Monday, May 4, 2015

◘ ชั่ว...ฟ้า ดินสลาย ◘ #01 ||04.05.2015



#01




 ‘...พี่หรั่ง...


ผมร้องเรียกเจ้าของแผ่นหลังที่ผมจำได้ติดตา


 ‘...พี่จะไปไหน?...
.
.
...พี่หรั่ง...
...พี่รอจ้าด้วย...
...จ้าอยากไปกับพี่


ผมตะโกนสุดเสียง
พลางวิ่งไล่ร่างที่เดินทิ้งห่างจนมองไม่เห็นเงา

ยิ่งจำได้แม่นว่า ขาผมสั้นกว่าช่วงขาของพี่หรั่งมากแค่ไหน
ผมก็ยิ่งออกแรงซอยเท้าถี่ เพื่อลดระยะห่างระหว่างเราให้มากขึ้นเท่านั้น 
แต่ผมกลับทำได้แค่หกล้มจมกองฝุ่นอยู่ไม่ห่างจุดเริ่มต้นที่ผมจากมาเท่าใดนัก


จ้า...ลุกขึ้น...
.
...จะนอนอีกนานไหม?

พี่หรั่ง...พี่หรั่งกลับมารับจ้าแล้ว

หึ หึ...เด็กโง่เอ๊ย...เข้าใจผิดแล้ว...
...พี่ไม่ได้กลับมารับซะหน่อย...
.
.
...พี่แค่อยากแน่ใจว่า...
...หลังจากที่พี่ไปแล้ว จ้าจะยืนขึ้น...แล้วเดินทางต่อไปด้วยตัวเองได้จริงๆ

ไม่เอา...
.
.
...จ้าไม่อยากไปคนเดียว...
...จ้าจะไปกับพี่

ไม่ได้หรอกจ้า...
...พี่คงให้จ้าไปกับพี่ไม่ได้....
....มันยังไม่ถึงเวลาของจ้า

ไม่!!!...
...จ้าจะไปกับพี่...
...จ้าอยากอยู่กับพี่หรั่งนี่นา

อย่าดื้อสิจ้า...
...พี่บอกว่า จ้าไปกับพี่ไม่ได้...
...ต่อให้จ้าเกลียด หรือโกรธพี่ยังไง พี่ก็ให้จ้าไปกับพี่ไม่ได้เด็ดขาด...
.
.
...ที่สำคัญ  จ้าจำไม่ได้จริงๆเหรอว่า... เมื่อครั้งสุดท้ายที่จ้าไปกับพี่...
...มันเกิดเรื่องร้ายแรงอะไรขึ้นกับเราสองคนบ้าง?
...มันเกิดอะไรที่ทำให้เราสองคนต้องอยู่ห่างกันแบบนี้

อะไรพี่หรั่ง?...... อะไร?

นึกดูดิๆสิจ้า...
.
.
...แล้วจ้าจะเข้าใจ...
...ว่าทำไม...
...พี่ถึงไม่ยอมให้จ้าไปกับพี่
.
.
.
.
.
.
.
จ้าลองนึกดูให้ดีๆนะ




สิ้นเสียงย้ำเตือนของพี่หรั่ง...
เมื่อผมกระพริบตาอีกครั้ง
พี่หรั่งตรงหน้า...กลับกลายเป็นความว่างเปล่าสีขาวกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา

ด้านล่างคือผืนน้ำนิ่ง...
ใส แต่มองไม่เห็นข้างล่าง...

ลึกแค่ไหนเชียวนะ?


ร่างของผม ถูกโอบอุ้มให้ลอยเหนือผิวน้ำด้วยมือขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็น
มือหนึ่ง...สะบัดผ่านตัวผมเพียงครั้ง ทั้งกายผมก็เปลือยเปล่า

มือนั้น วักน้ำอุ่นจากเบื้องล่างขึ้นรดไปตามตัว
ส่วนอีกข้าง ลูบไล้ผิวกายผมด้วยสัมผัสอ่อนโยนทนุถนอม


มันคือการชำระล้าง...
...มันคือการลบเลือนร่องรอย...
...มันคือการกำจัดสิ่งไม่ดีทั้งหลายให้หลุดพ้นไปพร้อมๆกับคราบไคลหมักหมมทุกซอกหลืบที่ซ่อนเร้น


...ก่อนเข้านอน ฉัน วอน ฝัน ไปเพ้อ ครวญ
ภาพเธอหลอน ให้ชวน ละเมอ...


เสียงนุ่มๆ ทุ้มกังวานหวานรื่นหู ดังอยู่ไม่ไกล
ฟังๆแล้ว เจ้าของเสียง...ออกจะพอใจ และมีความสุขกับช่วงเวลานี้เป็นอย่างยิ่ง
มือใหญ่ไร้รูปทรงละเลียดหยอกล้อปาดปัดหยดน้ำที่เกาะพราวตรงแผ่นหลังของผม ตามจังหวะเอื้อน จังหวะหลบของเนื้อร้อง


ผมไม่รู้จักเพลงนี้... ถึงจะเพราะดีก็เถอะ
และดูท่าว่าคนร้องก็ไม่ได้ใส่ใจจะบอกความเป็นมาของเพลงๆนี้ให้ผมฟังเช่นกัน


 ‘...อยากให้เป็น ของ เธอ ชั่ว ฟ้า ดิน ได้
อย่า มี อันใดพรากไป ไกลกัน...


แล้วเขาจะร้องเพลงให้ผมฟังไปทำไม?
แล้วมือล่องหนทั้งสองนั่น จะยังยุ่งวุ่นวายกับตัวผมไปอีกนานเท่าไร?

แต่นั่นกลับไม่สำคัญเท่ากับ...
.
.
...เขาเป็นใคร?
ทำไมผมถึงรู้สึกคุ้นเคยกับสัมผัสของเขาได้มากขนาดนี้?


ปล่อย!!
ปล่อยผมเดี๋ยวนี้!!!


ผมออกแรงทั้งหมดที่มี
ขืนสะบัดตัวออกจากอุ้งมือทั้งสองที่ประคองร่างกายผมราวกับแก้วเปราะบาง

ทว่าผมคงใช้แรงมากเกินไป
ตัวผมจึงกลิ้งไถลหล่นตกลงสู่ผิวน้ำโดยไม่ตั้งใจ




สายน้ำเชี่ยวกรากที่ล้อมรอบตัว
ให้ความรู้สึกก้ำกึ่งถึงความเป็น และความตาย

แต่ก่อนที่ความลึกเกินหยั่งจะดูดกลืนผมสู่ก้นบึ้งที่อาจไม่มีอยู่จริง...
ถ้อยคำร่ำลาของเจ้าของเสียงเพลงรักหวานซึ้ง
กลับดังผ่านชั้นความหนาแน่นของสายน้ำ
ทะลุเข้ามาฝังตรึงอยู่ในห้วงคำนึงอย่างไม่มีวันลืมเลือน


 ‘...แล้วพบกันนะครับ...
.
.
.
...เด็กดีของพี่






ในที่สุด....
...ผมก็จำได้ว่า...
...นั่นคือ ข้อความสุดท้ายของ มัน
.
.
.
.
.
มันบอกว่า มัน จะกลับมา...
จะกลับมาหาผม




ไม่!!!!!
ไม่นะ!!!!


“....ม่ายยยยยยยยยยยยยย!!!...”



------------------------------------------------------------------------------------



ร่างผอมกระหร่องที่ดูเผินๆคล้ายขีดบางๆพาดอยู่กลางเตียงผู้ป่วยกรีดร้องเสียงหลง ก่อนผวาผุดขึ้นนั่งทั้งที่ไม่ลืมตา 
รักษ์ที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโซฟาถึงกับต้องผุดลุกขึ้น และถลันไปดูอาการข้างเตียงแทบจะทันที


“คุณ!! คุณ....คุณไม่เป็นอะไรแล้วนะ...
.
...คุณปลอดภัยแล้ว”


เขาเอื้อมมือไปแตะเบาๆตรงหลังมือกำแน่นข้างหนึ่งของคนป่วย ที่เพิ่งฟื้นจากการสลบไสลเนิ่นนาน  
หากแต่ตอนนี้ ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะอยู่ในภาวะตกใจอย่างที่สุด 

กำปั้นเย็นชืดนั้นชักหลบมือเขาราวกับต้องของร้อนไม่พึงประสงค์
เจ้าของฝ่ามือหอบหายใจ ขมวดกาย แล้วกอดตัวเองเอาไว้แน่น
ก่อนจะถดตัวร่นไปจนหลังติดข้างฝา
สายตาหวาดหวั่นสอดส่ายสำรวจรอบห้องสลับกับทำสีหน้าสงสัย ประหวั่นพรั่นพรึง และสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก


“คุณ...ได้ยินผมไหม?” รักษ์ถามอย่างใจเย็น


จากสภาพที่เห็น
และหลักฐานสนับสนุนเป็นผลตรวจร่างกายที่หมอชี้แจง...
ทุกสิ่งทุกอย่างก็ชัดแจ้งแดงแจ๋ โดยไม่ต้องการคำอธิบายใดๆเพิ่มเติม

ชายหนุ่มเข้าใจ...
เด็กหนุ่มตรงหน้า เพิ่งผ่านเรื่องเลวร้ายที่สุดในชีวิตมาหมาดๆ
รักษ์จึงเสริมความด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม โดยไม่ลืมรักษาระยะห่าง


“รุ่งรวี... ตอนนี้คุณอยู่ที่โรงพยาบาล”


เขาไม่เดินเข้าไปคุยใกล้ๆ...หากแต่ไม่ถอยหนี
รักษ์ต้องการให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าเขามาดี




เด็กหนุ่มยังคงเงียบ
ความเคลื่อนไหวเดียวที่เกิดขึ้น คือ การโยกตัวไปมาของคนไข้
ดวงตาเหม่อลอยของเขาฉายแววรวดร้าวเกินบรรยาย


“รุ่งรวี คุณปลอดภัยแล้ว” 


ถึงอีกฝ่ายจะไม่โต้ตอบ แต่จังหวะการโยกตัวที่ช้าลง กับการผ่อนแรงของอ้อมกอด
ทำให้รักษ์ใจชื้นขึ้นได้บ้าง


“ผมชื่อรักษ์... 
.
.
...เมื่อสองวันก่อน ผมเจอคุณวิ่งตัดหน้ารถผมตรงทางออกห้าง...
...คุณคงตกใจมาก เพราะพอผมลงจากรถมา คุณก็สลบไปแล้ว...
.
...ผมกลัวว่าคุณจะเป็นอะไร ผมเลยพาคุณมาโรงพยาบาล...
...คุณอยู่ในการดูแลของหมอแล้วนะครับ...
.
.
...ไม่ต้องห่วงนะรุ่งรวี...
...คุณปลอดภัยแล้ว”


ได้ผล...
ใบหน้าซูบเซียวที่เหม่อลอย ค่อยๆหันมา แล้วหยุดยังตำแหน่งที่ชายหนุ่มยืนอยู่
ดวงตาโศกบวมช้ำ ทว่าสวยจับจิต เลื่อนขึ้นสบตาเขา

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า... ดวงตาคู่นั้น ทำรักษ์หวั่นไหวไม่น้อย
รักษ์ปัดความรู้สึกนึกคิดที่ไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ตรงหน้าทิ้ง แล้วพูดต่อ


“ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร ผมเลยถือวิสาสะค้นกระเป๋าสตางค์ กับโทรศัพท์มือถือของคุณ...
...ผมลองโทรหาหลายคน แต่ไม่มีใครรับสาย...
...แต่สุดท้าย ผมก็ติดต่อลุงของคุณได้...
.
.
...เดี๋ยวซักพัก ลุงของคุณคงมาถึง”


ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่า เมื่อเขาเอ่ยถึงลุง คนป่วยก็เปลี่ยนแปลงท่าทีอย่างเห็นได้ชัด
จะบอกว่า ดีใจจนไม่เหลือเค้าความหวาดหวั่น...
รักษ์ก็พูดได้ไม่เต็มปาก
.
.
ไม่สิ...
เขามองว่า วินาทีนี้ เด็กหนุ่มดูวิตกกังวลจนลืมกลัวเสียมากกว่า


ทำไมล่ะ?
จะได้เจอหน้าญาติแล้ว...
ไม่ดีใจสักหน่อยเหรอ?




เสียงโวยวายอึกทึกด้านนอกห้องพักผู้ป่วย เรียกความสนใจของทั้งรักษ์ และเด็กหนุ่มได้เป็นอย่างดี
ทั้งสอง จ้องมองยังทิศต้นเสียงที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

รักษ์แปลกใจ...
เพราะไม่ว่าใคร ล้วนเข้าใจตรงกันว่า...บริเวณห้องพักผู้ป่วยเป็นเขตงดส่งเสียงรบกวน

แต่เมื่อชำเลืองมองหน้าคนป่วย กลับต้องประหลาดใจซ้ำสอง
เพราะรุ่งรวี หน้าซีดเซียวเป็นสีเดียวกับกระดาษไปเสียแล้ว


“ไอ้จ้า...มึงไปก่อเรื่องอะไรเอาไว้? ทำไมตำรวจถึงโทรไปหากู? ห๊ะ! ไอ้หลานเวร!!


เสียงก่นด่ามาพร้อมกับร่างสันทัดของชายวัยกลางคน
มองปราดเดียว ชายหนุ่มก็รู้ได้ทันทีว่า...ความเป็นอยู่ของลุงหลานคู่นี้ไม่สู้ดีนัก
แต่ที่ผิดสังเกต เห็นจะเป็นผู้อาวุโส ที่ไม่มีร่องรอยของคนตรากตรำทำงานหนักแม้แต่น้อย

ครั้นจะวิเคราะห์รูปกายภายนอกของผู้มาใหม่เอาตอนนี้ คงไม่เข้าทีนัก...
เพราะผู้เป็นลุงดูเกรี้ยวกราดเหมือนเปลวไฟได้น้ำมัน
ในขณะที่หลานตัวสั่น...
และพยายามห่อตัวเป็นก้อนกลมที่ขนาดหดเล็กลงเรื่อยๆ


“ใจเย็นๆก่อนครับลุง ค่อยๆพูดค่อยๆจากันดีๆก็ได้” เห็นแก่คนป่วย รักษ์จำต้องเอ่ยขัดคนเป็นผู้ใหญ่อย่างเสียไม่ได้

“แล้วคุณน่ะเป็นใคร?.... ผมจะคุยกับหลานผม คุณมาเกี่ยวอะไรด้วย?” ญาติคนป่วยอารมณ์ร้อนกระชากเสียงใส่ไม่ไว้หน้า

“ผม... ร้อยตำรวจเอกสุทธิรักษ์  รัตนศักดิ์เดชา...
.
.
...ผมเป็นคนโทรไปหาคุณเมื่อเช้าน่ะครับ”


ชายหนุ่มแนะนำตัวเองโดยหวังลึกๆว่า ตำแหน่งหน้าที่ และความบริสุทธิ์ใจของเขา
จะช่วยทำให้ท่าทีแข็งกร้าวของผู้อาวุโสอ่อนลง

ผิดคาด...
ทันทีที่เขาพูดจบ ผู้มีศักดิ์เป็นลุง กลับปรี่เข้าไปกระชากคอเสื้อเด็กหนุ่มขึ้นอย่างรุนแรง จนร่างเล็กราวก้านไม้ขีดไฟลอยหวือติดมือชายอาวุโสขึ้นมาง่ายๆ


“ไอ้จ้า สารภาพมาซะดีๆว่า มึงกับไอ้หรั่งแอบไปทำเรื่องเลวๆที่ไหนมา?...
...ทำไมตำรวจถึงมาอยู่กับมึงได้?...
.
.
...บอกกูมาเดี๋ยวนี้นะ!

“...............”


จนถึงตอนนี้ เจ้าของดวงตาโศกก็ยังไม่ปริปาก
แต่หยาดน้ำใสๆที่ปริ่มล้นจากหางตา ไหลผ่านโหนกแก้มไล้ต่ำลงยังปลายทางแบบไร้จุดสิ้นสุด
กลับบ่งบอกถึงถ้อยคำแห่งความเศร้าหมองได้นับร้อยพัน


“ไอ้หลานจัญไร!...
...เลี้ยงมึงนี่เปลืองกว่าหมาจริงๆนะไอ้จ้า...
.
.
...หมามันยังเฝ้าบ้านได้...
...แต่กับมึง...
...นอกจากจะเสียข้าวสุกฟรีๆ กูยังต้องปวดหัวกับเรื่องที่มึงคอยหามาใส่หัวกูได้ทุกวี่ทุกวัน” คนพูดผละมือจากคอเสื้อ มาสาดอารมณ์ฟาดลงบนหัวคนเป็นหลานแทนแล้ว

“...ลุง... จ้าเจ็บ!!!” คนป่วยทำได้แค่ ร้องขอและใช้สองมือปัดป้องตัวเองเท่านั้น

“เจ็บเหรอ? มึงยังมีหน้ากล้าเจ็บ กล้าร้องอยู่อีกเหรอ? ทีตอนทำชั่วไม่ร้อง...พอกูจะเอาเลือดหัวมึงออก มึงเสือกสำออยนะไอ้จ้า!!! ผู้เป็นลุงกระหน่ำตบหัวหลานชายไม่ยั้ง


เมื่อเห็นวี่แววของโศกนาฏกรรมอยู่รำไร
รักษ์ก็ก้าวเอาร่างสูงใหญ่ของตนเข้าไปขวาง เพื่อกั้นลุงไม่ให้ตีหลานตัวเองจนสลบคามือ

ชายหนุ่มนึกไม่ถึงจริงๆว่า การมาของญาติของคนป่วย
จะทำให้บรรยากาศภายในห้องเลวร้ายลงได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ 


“ลุงครับ... ได้โปรดฟังผมก่อนนะครับ” รักษ์กล่อม

“ไม่!!! กูจะเอาเลือดหัวมันออก... มันหายหัวไปทำชั่วมา มันก็ต้องเจอกับกูนี่แหละ” มือสองข้างของชายวัยสี่สิบปลายยังเงื้อสูง รักษ์จึงรีบอธิบายก่อนที่ญาติผู้ป่วยจะช่วยซ้ำให้รุ่งรวีต้องเจ็บหนัก

“หลานลุงไม่ได้ไปทำเรื่องไม่ดีที่ไหนหรอกครับ...
.
.
...ผมบังเอิญไปเจอเค้าเป็นลมอยู่ตรงหน้าห้าง เลยพาเค้ามาส่งโรงพยาบาล...
...ที่ต้องเชิญให้ลุงมาที่นี่ เพราะผมไม่รู้จักเค้า กลัวเค้าจะตกใจที่ตื่นมาแล้วเจอคนแปลกหน้าอย่างผมเฝ้าอยู่” 


ใจจริงรักษ์อยากจะบอกกให้ญาติคนป่วยรับทราบถึงเรื่องที่เกิดขึ้นโดยละเอียด
เพื่อหลีกเลี่ยงการรื้อฟื้นเรื่องดังกล่าวกับเด็กหนุ่มตรงๆ 

ที่สำคัญ...
เขาอยากรู้ว่า ญาติของเด็กคนนี้ ต้องการดำเนินคดีกับคนที่ทำร้ายหลานชายตัวเองจนเจ็บหนักหรือไม่


“อ้าว  แล้วกัน!!... ทำไมคุณตำรวจถึงไม่บอกผมล่ะว่าไอ้จ้ามันแค่เป็นลม....
...ผมจะได้ไม่ต้องถ่อมาถึงโรงหมอนี่...
.
.
...ดูซิเนี่ย ไหนจะเสียตังค์ ไหนจะเสียเวล่ำเวลาทำมาหากิน...
...คนหาเช้ากินค่ำ ไม่ได้มีเวลาเที่ยวเล่นสุขสบายไปเรื่อยเปื่อยหรอกนะคุณ”


คนฟังยังไม่ทันประมวลผลคำกระแนะกระแหนคำรบแรกของจอมดีเท่าไร
ชายวัยกลางคนก็จวกหลานชายต่อเข้าให้อีกกระบวนทันที


“มึงก็เหลือเกินนะไอ้จ้า...
...ป่วยแล้วก็เสือกไม่รู้จักเจียม เที่ยวออกไปตะลอนๆไม่กลับบ้านกลับช่อง
...ดูซิ คุณเค้าต้องมาเดือดร้อนพามานอนโรงหมอให้วุ่นวายกันไปหมด...
.
.
...ฟื้นแล้วก็เก็บของกลับบ้านซะทีสิ ยิ่งอยู่ที่นี่นานก็ยิ่งเปลือง”

“รุ่งรวียังออกจากโรงพยาบาลไม่ได้หรอกครับ หมอบอกให้พักฟื้นร่างกายอีกซักสองสามวัน” รักษ์เสริมข้อมูลให้ผู้เป็นลุงเข้าใจสถานการณ์ได้มากขึ้น

“โอ๊ย!! จะกี่วันก็ไม่ได้หรอกคู๊ณณณณ ผมไม่มีปัญญาจ่ายค่าห้องโรงหมอนี่ร๊อกกกก” จอมอุทธรณ์ แต่ไม่วายแดกดันชายหนุ่มที่ดูภูมิฐานอย่างเห็นได้ชัดแบบรักษ์

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง ลุงไม่ต้องเป็นห่วง”

“อ่อ งั้นเรอะ...
...เออ...ก็ดี  ได้ยินอย่างนี้ผมก็สบายใจ...
.
.
...งั้นกูไปก่อนนะไอ้จ้า...
...หายเมื่อไหร่ก็รีบกลับบ้านเราล่ะ มึงจะได้กลับไปช่วยกูหาเงิน... อู้มาหลายวันแล้วนะมึงน่ะ” จอมชี้นิ้วหน้าคาดโทษคนป่วยที่แทบจะคู้ตัวแนบเป็นเนื้อเดียวกับเตียงนอน


แต่เมื่อเห็นที่พึ่งทางสายเลือดเพียงคนเดียวกำลังจะออกไปจากห้อง
จ้าก็อดรั้งลุงจอมของตนเอาไว้ไม่ได้


“........ลุงจอม..........
.
.
...ลุงจะไม่อยู่เป็นเพื่อนจ้าอีกซักหน่อยเหรอ?”

“อุ๊วะ!! ก็กูบอกแล้วไงว่ากูต้องรีบกลับไปหาเงิน... อย่าเซ้าซี้ให้มากความได้ไหมไอ้จ้า”


เห็นจอมตวาดเด็กหนุ่มแบบไม่รักษาน้ำใจ
รักษ์จึงแทรกบทสนทนาของสองลุงหลานขึ้นกลางปล้อง


“งั้นผมเดินไปส่งนะครับลุง” 

“เออๆ ตามใจคุณตำรวจก็แล้วกัน” 


จอมไม่ได้สนใจจะรับไหว้หลาน หรือสิ่งใดทั้งสิ้น
เมื่อหมดธุระกวนใจ ก็ไม่มีสิ่งใดที่สำคัญไปกว่าการกลับไปถอนทุนให้ได้เร็วที่สุด
เขาเดินเลื่อนลอยออกไปรอตำรวจหนุ่ม


“ดูทีวีไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่กลับมา”

“.....ครับ.....”


รักษ์คลี่ยิ้มกว้างกับตัวเอง...
อย่างน้อยๆ เด็กหนุ่มก็ไม่ได้เพิกเฉยต่อคำพูดของเขาอีกต่อไป 

หลังจากแน่ใจว่า หนังฝรั่งเรื่องดังที่ฉายอยู่ในหน้าจอโทรทัศน์
ช่วยเบนความสนใจ จนรุ่งรวีเลิกพะวงกับการกอดปลอบตัวเองเพียงลำพังแล้ว
ผู้กองก็เดินตัวปลิวออกจากห้องคนป่วยด้วยสีหน้าแช่มชื่น  
ผิดกับชายวัยกลางคนที่ออกเดินล่วงหน้าไปก่อน




ความเงียบงันน่ากระอักกระอ่วนร่วมโดยสารลิฟท์ของโรงพยาบาลลงสู่ชั้นล่างเป็นเพื่อนจอม และตำรวหนุ่ม
แต่เมื่อทั้งคู่เดินพ้นออกจากตู้ลิฟท์  ผู้สูงวัยกว่ากลับเอ่ยในสิ่งที่ชายหนุ่มไม่คาดฝันว่าจะได้ยินจากปากคนที่เพิ่งเห็นหน้ากันไม่ถึงชั่วโมงดี


“คุณตำรวจ... มีเงินให้ผมยืมบ้างไหม?...
.
.
.
...คือจริงๆผมก็เกรงใจคุณอยู่หรอกนะ...
...ไหนจะค่าโรงหมอ ไหนจะค่าหยูกยาของไอ้จ้ามัน...
...ดูๆแล้วคงจะไม่ใช่แค่ร้อยสองร้อย...
.
.
...แต่ถ้าไอ้จ้ามันไม่อยู่ช่วยทำงาน ตัวผมก็จะพลอยขาดรายได้ไปด้วย...
...คนหาเช้ากินค่ำน่ะคุณ แค่หัวเรี่ยวหัวแรงหายไปคน...
...ข้าวกรอกก้นหม้อ ยังไม่รู้จะพอมีรึเปล่าเลย...
.
...ไหนๆคุณก็เมตตาไอ้จ้ามันแล้ว...
...ถ้าไม่ลำบากจนเกินไป...
...ขอผมยืมเงินซักสี่ซ้าห้าพันจะได้ไหมล่ะ?”

“เอ่อ...เรื่องให้ยืมเงินน่ะไม่เป็นปัญหาหรอกครับลุง แต่ผมอยากรู้ว่า ลุงจะเอาเงินห้าพันไปทำอะไรเหรอครับ?”


รักษ์รู้ดีว่า เขากำลังเอาเงินง้างปากผู้เป็นลุงของจ้าอยู่
ปัญหาก็คือ...เขาไม่มีทางรู้ว่า สิ่งที่กำลังจะได้ยิน เชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด


“ก็ทำทุนค้าขายทั่วๆไปนั่นแหละคุณ...
...รอบที่แล้ว ลุงขาดทุนไปเยอะ...
.
...เงินที่เคยเก็บเอาไว้ทำทุน มันก็ร่อยหรอเพราะต้องเอามากเลี้ยงปากเลี้ยงท้องทั้งตัวผม ทั้งไอ้จ้า...
...มาโรงหมอนี่ก็เสียค่าแท็กซี่อีกตั้งสามร้อยกว่าบาท...
...กลับบ้านไป ลุงยังไม่รู้จะเอาเงินที่ไหนไปซื้อข้าวเย็นกินเลยพ่อคู๊ณณณณณ” 


ถึงจะติดใจกับสิ่งที่ได้ยินไม่น้อย แต่รักษ์กลับไม่ลังเลที่จะให้การช่วยเหลือ
ชายหนุ่มให้น้ำหนักความน่าเชื่อถือ น้อยกว่าคำว่ามนุษยธรรมเสมอ

กระนั้น...เมื่อได้เห็นสายตาแวววาวของจอม
ยามที่นิ้วของเขากรีดปึกธนบัตรสีเทาในกระเป๋าเพื่อนับตามจำนวนที่ตั้งใจไว้
เขาก็เริ่มเอะใจว่า ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นในบ้านของรุ่งรวี...
.
.
.
...อะไรที่คนนอกอย่างเขาไม่มีวันได้ล่วงรู้ หากคนในไม่ยอมเปิดเผย


“นี่ครับลุง  ผมให้ลุงแปดพัน ชดเชยแทนเงินส่วนที่จ้าน่าจะพอช่วยลุงหาได้ในช่วงวันสองวันนี่ด้วย” ปึกธนบัตรยังอยู่ในอุ้งมือชายหนุ่ม แต่ผู้รับกลับกระชากเงินออกจากมือเขาแทบจะทันที

“ขอบคุณนะพ่อคุณ พ่อมหาจำเริญ... ใจดีเหมือนพระมาโปรดคนจนๆอย่างลุงกับไอ้จ้าเลยนะพ่อ”


ปากจอมพร่ำสรรเสริญรักษ์ ไม่ขาด
แต่สายตากับสองมือ ง่วนกับการนับเงินอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
สำหรับจอมแล้ว ต่อให้ชายหนุ่มสั่งให้เขาก้มลงกราบลงตรงรองเท้าหนังมันปลาบของตนเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน  
เขาก็พร้อมจะทำ...เพราะเงินก้อนนี้หมายถึงโอกาสเสี่ยงโชคในบ่อนได้ต่อเนื่องยาวนานไม่ต่ำกว่าสองวัน


“ไม่เป็นไรครับ ผมยินดีช่วย”

“ลุงไปก่อนนะ...ไว้ถ้าลุงมีเงินเมื่อไหร่ ลุงจะฝากไอ้จ้าไปคืนคุณก็แล้วกัน...
.
...รีบไปเถอะคุณ เดี๋ยวไอ้จ้ามันจะรอ”

พูดจบ จอมก็แทบจะเหาะออกจากโรงพยาบาลไป
กลับเป็นตำรวจหนุ่มเสียอีก ที่ยืนมองลุงของจ้าเดินลับตาไปอย่างรวดเร็วราวกับกระแสลมกรด




ระหว่างขึ้นลิฟท์กลับไปหาคนป่วย
ตำรวจหนุ่มนึกขอบคุณตัวเองอยู่ไม่คลาย
เขาตัดสินใจถูกจริงๆ ที่ไม่เล่าอาการบาดเจ็บของจ้าให้ชายสูงวัยกว่าฟังทางโทรศัพท์

เพราะนอกจากลุงของจ้าจะไม่ช่วยให้อะไรๆดีขึ้นแล้ว 
ไม่อยากจะนึกเลยว่า ถ้าเรื่องจ้าโดนล่วงเกินทางเพศรู้ไปถึงหูจอม
การเริ่มต้นทำความรู้จักกับเด็กหนุ่ม จะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากสักแค่ไหน

ถึงอย่างนั้น...ใช่ว่าการมาของผู้เป็นลุงจะเสียเที่ยว
เพราะในท้ายที่สุด เด็กหนุ่มก็รับรู้ได้ถึงความปรารถนาดีของเขา
ยอมโต้ตอบ โดยไม่แสดงท่าทางหวาดกลัวเหมือนเมื่อแรกเห็นหน้า

ระยะทางเดินจากลิฟท์ไปห้องคนป่วยดูสั้นลงทันตา
เมื่อรักษ์ไม่รู้สึกหนักใจเท่ากับที่เคยเป็น


แต่แล้วเขากลับต้องตระหนก
เมื่อสองหูได้ยินสุ้มเสียงฟังพิกล ดังออกมาจากอีกฝั่งของบานประตูที่เขากำลังจะเปิดเข้าไป


“..............อือออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออ.................” 


ภาพที่รักษ์เห็นหลังจากผลุนผลันวิ่งเข้าห้องไป
คือ ภาพของจ้า ที่กำลังนั่งหลับตากอดเข่าตัวเองเอาไว้แน่น
ร่างเล็กๆเหมือนลูกบอลกล่อมตัวเองด้วยการโยกตัวไปมาจนเตียงลั่นเอี๊ยดอ๊าด


“...................อืออออออออออออออออ.................อือออออออออออออ.................อือออออออออออออออ......”

“จ้า!! จ้าเป็นอะไร?
...จ้า...
...จ้าได้ยินพี่ไม๊จ้า?....
.
.
....จ้า จ้าครับ...
...จ้าฟังพี่!!...
...ตอนนี้จ้าปลอดภัย ไม่มีใครทำอะไรจ้าได้อีกแล้วนะ”  


ถ้าการกระทำของจ้า คือ การจำกัดความด้วยภาพของคำว่าน่าตกใจ
เสียงของรักษ์ ก็ไม่ต่างอะไรกับ สำเนียงที่บ่งชัดถึงความตระหนกเมื่อแรกฟัง


“.........อือออออออออออออออ............อือออออออออออออออออออออออออ.............อือออออออออ........” 

“จ้า ใครทำอะไรจ้า?...จ้าบอกพี่สิ!  บอกพี่!!... บอกพี่เถอะนะจ้า” 


อารามร้อนอกร้อนใจ รักษ์จึงไม่ทันสังเกตตัวเองขณะเดินเข้าไปถึงตัวเด็กหนุ่ม
เขาได้สติอีกครั้ง ก็ตอนได้ยินจ้าแผดเสียงร้องโหยหวน

เมื่อนั้น...ชายหนุ่มจึงเพิ่งได้ตระหนักว่า
ฝ่ามือของเขากระชับรอบต้นแขนเรียวเล็กใต้ชุดผู้ป่วยของจ้าจนแน่น  


อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!


ความโกลาหลของเจ้าหน้าที่
และการต่อต้านอย่างไร้สติของคนป่วยคือสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงไม่กี่นาทีนับจากนั้น 
จ้าดีดดิ้นหวีดร้องไม่เป็นภาษา กายผอมกระเสือกกระสนหวังเพียงหลุดพ้นจากการยื้อยุดของบุรุษพยาบาลทั้งสี่

พยาบาลสาววิ่งวุ่นมัดแขนขาของเด็กหนุ่มเข้ากับเตียงมือเป็นระวิง
ทันทีที่คนป่วยสิ้นหนทางดิ้นรน พยาบาลอีกคนก็ลงฝีเข็ม ฉีดตัวยาตรงเข้าเส้นเลือดอย่างช้าๆ
จากนั้น...จ้าก็ค่อยๆสงบลง และหลับไปในที่สุด



เมื่อเห็นสภาพอันน่าเวทนาของเด็กหนุ่มตัวน้อย
และยิ่งรู้แก่ใจดีว่า ตนเองเป็นสาเหตุทำให้เด็กหนุ่มคุ้มคลั่ง ทั้งยังช่วยแก้ไขอะไรไม่ได้

รักษ์จึงได้แต่เฝ้าถามตัวเองในใจซ้ำๆว่า...
.
.
...เพราะอะไร?...
...เขาทำผิดพลาดที่จุดไหน?
...ทำไมเรื่องทั้งหมดถึงกลับตาลปัตรได้ง่ายดายถึงเพียงนี้?





ตำรวจหนุ่มคงมัวแต่โทษตัวเองจนลืมคิดไปว่า
เรื่องบางเรื่อง ก็ไม่ใช่ตัวเราเสมอไป...
ที่เป็นจุดเริ่มต้นของความผิดพลาดทั้งหมด...
.
.
.
.
...เรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับจ้าก็เช่นกัน...
...บางที มันอาจจะเป็นแบบนี้ เพราะความจงใจของใครสักคน




-------------------------------------------TBC-----------------------------------------



ขอบคุณนะคะสำหรับกำลังใจ และการเข้ามาติดตามนิยายเรื่องนี้
นั่นจึงทำให้ มะลิเข็นตอนใหม่เสร็จก่อนกำหนดหนึ่งอาทิตย์ด้วย...
เย่ๆ ดีใจน้ำตาไหลพราก

รักชอบประการใด
ติชมได้นะคะ





ขอบคุณเนื้อเพลง:

ที่มา: http://lyrics.cm


------------------------------------------------------------------------------------




No comments:

Post a Comment