❶
To: malinee@ilovebananapress.com
From: khemnun@ilovebananapress.com
Subject: บทนำนิยายเรื่องใหม่
(แนวทดลอง)
กราบสวัสดีครับคุณพี่เมี่ยง
ด้านล่างที่เป็นตัวเอียง
คือจั่วหัวใหม่ของนิยายเรื่องใหม่ที่ผมอยากจะเขียนน่ะครับ...
เรื่องนี้เป็นเรื่องของนักเขียนนิยายเกย์ที่ประสบปัญหาในหน้าที่การงานและความรัก
กับหนุ่มนักศึกษาครับ เดี๋ยวผมจะลองรีบปั่นตอนแรกแล้วส่งแนบไปพร้อมกับพล็อตเรื่องเพื่อให้คุณพี่เมี่ยงได้อ่านเพิ่มเติมภายในวันพรุ่งนี้
หลังจากที่อ่านบทนำแล้ว
คุณพี่เมี่ยงคิดเห็นอย่างไร รบกวนชี้แนะด้วยนะครับ
ขอบพระคุณครับ
ขนุน
บทนำ
“เพื่อให้หน้าที่การงานของคุณก้าวหน้า...ทำไมเราสองคนไม่ลองมีอะไรกันดูล่ะ...
.
.
...ถ้าคุณรับปาก
ไม่เพียงแต่เรื่องงานที่จะดีขึ้นเท่านั้น
ผมรับรองว่า...ผมจะให้ความช่วยเหลือในการแปลงโฉมให้คุณกลายเป็นคนน่าสนใจยิ่งขึ้นอีกด้วยนะ เผื่อว่าคนที่คุณแอบชอบ
เค้าจะหันกลับมาสนใจคุณบ้างยังไงล่ะ”
ถ้ามีผู้ชายคนหนึ่งมาพูดประโยคที่มีเนื้อความคล้ายๆแบบนี้กับคุณ
ในวันที่งานของคุณมีปัญหาเข้าขั้นวิกฤต และคนที่คุณชอบมองข้ามความรักของคุณ......
เพื่อให้ผลลัพธ์ที่รอคุณอยู่ตรงปลายทาง
เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต...
...คุณจะทำอย่างไร?
สำหรับคนอื่น ผมไม่รู้ว่าเขาจะเลือกตอบอย่างไร แต่สำหรับตัวผม...นี่คือสิ่งที่ผมตอบผู้ชายคนนั้น หลังจากใช้เวลาไตร่ตรองเพียงไม่นาน....... “ตกลงครับ ผมยินดีรับข้อเสนอของคุณ”
แน่ล่ะ...เพราะผมรู้ว่า
ถ้าผมยอรับข้อเสนอของเขา
ผมจะยังคงได้ทำงานที่ผมรักต่อไป ดีไม่ดี...คราวนี้ ผมอาจจะได้กลายเป็นนักเขียนเบอร์ต้นๆในสายงานก็ได้ ส่วนเรื่องความรัก...เอาไว้ผมค่อยรอดู
ว่า...ไอ้ที่เขาโฆษณาเอาไว้เสียใหญ่โตสวยหรู มันจะดีจริงสมราคาคุยหรือเปล่า
...แต่ถ้าไม่...ผมก็ไม่มีอะไรเสียหาย...
...นอกจากร่างกายเท่านั้น
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
🚹 บ่นบนบล็อก
ชื่อโพสต์ : How to Tame a Bad Boy 👿 พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส }}
สถานะ :
Draft
กว่าที่ผมจะตัดสินใจเขียนเรื่องราวการมัดใจผู้ชายแสบๆคนหนึ่งซึ่งเดินเข้ามาในชีวิตผมได้นั้น
ผมใช้เวลาอยู่นานหลายชั่วโมง แต่นั่นนับว่ายังน้อย...เมื่อเทียบกับเวลาที่ผมใข้ในการรวบรวมความกล้าในการกดปุ่มเผยแพร่เนื้อความนี้สู่สายตาสาธารณชนได้
พวกคุณคงไม่รู้หรอกว่า
ตัวหนังสือที่พวกคุณกำลังจะได้อ่านต่อไปนี้ ถูกร้อยเรียงกันขึ้นมาด้วยมวลความกล้าปริมาณมหาศาล
ซึ่งผมต้องทั้งขู่ทั้งปลอบตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกครั้งที่จรดนิ้วมือลงบนแป้นคีย์บอร์ด เพราะเรื่องราวนี้...เขียนขึ้นโดยอ้างอิงจากประสบการณ์ของตัวผมโดยตรง
ใจนึง...ผมอยากจะคงสถานะ
‘เรื่องส่วนตัว’ ของมันเอาไว้เพื่อชื่นชมเพียงลำพัง
แต่อีกใจ...มันกลับบอกให้ผมเลือกทำตรงกันข้าม...
เมื่อผมใคร่ครวญถึงข้อดีและข้อเสียของการตัดสินใจเปิดโปงเรื่องของตัวเองให้ทุกคนได้รับรู้อย่างครบถ้วนทุกแง่มุมแล้ว
ผมก็ได้ข้อสรุปว่า....ประสบการณ์ของผม อาจเกิดประโยชน์ต่อใครหลายๆคนที่อาจกำลังตกอยู่ในเหตุการณ์แบบผมเข้าสักวันก็เป็นได้
และเพื่อไม่ให้คุณๆเข้าใจผิด
ผมต้องขอออกตัวเพื่อให้คุณทั้งหลายทราบโดยทั่วกันว่า...ผมเป็นเกย์
และชอบผู้ชายมาตั้งแต่ยังไม่เปลี่ยนคำนำหน้าจากเด็กชายเป็นนายเลยด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น...เรื่องที่คุณกำลังจะอ่าน
จะเป็นการแนะนำวิธีการจีบผู้ชายอีกคน ให้ตกลงปลงใจและยอมใช้คำว่าแฟนด้วย
ไหนๆผมก็ออกตัวกับคุณๆด้วยเรื่องสำคัญเรื่องแรกไปแล้ว
ผมขอเพิ่มเติมคำแนะนำอีกข้อหนึ่งเพื่อประกอบการพิจารณาก่อนที่คุณจะเริ่มติดตามประสบการณ์ความรักของผมก็แล้วกัน...
เนื่องจากชื่อเรื่องได้บอกอย่างชัดเจนแล้วว่ามันคือการบ่น
เพราะฉะนั้น...หากคุณหวังจะให้สิ่งที่ผมเขียนมีหลักการมากพอ
และนำไปใช้เป็นแนวทางในการจีบหนุ่มได้เหมือนกับพวกหนังสือคู่มือทั่วๆไป สิ่งที่ผมเขียนนี่...คงห่างไกลกับคำตอบซึ่งคุณกำลังมองหา
โปรดเข้าใจตั้งแต่บทแรกเลยว่า เรื่องราวที่ผมกำลังจะแบ่งปันนั้น
จะเป็นไปตามอารมณ์ และสถานการณ์ต่างๆที่ผมพบเจอ โดยไม่มีหลักเกณฑ์และเหตุผลรองรับนอกจากความต้องการของทั้งผม......และเขา
เท่านั้น...
...ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วคุณยังคงรับเงื่อนไขของผมทั้งสองข้อนี้ได้
ผมก็ขอเชิญคุณเข้าสู่บล็อกบ่นๆของผมนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
การระบายความรู้สึกลงบนบล็อคของผมคงจะเกิดขึ้นไม่ได้
หากไร้ซึ่งจุดเริ่มต้น...
ผมคงไม่มีทางรู้ว่าตัวเองเบี่ยงเบน
หากไม่ใช่เพราะการบ้านเรียงความที่ผมเขียนตอนเรียนชั้นป.หก
ในหัวข้อ... ‘ครอบครัวของข้าพเจ้าในอีกสามสิบปีข้างหน้า’...งานเขียนความยาวหนึ่งหน้ากระดาษซึ่งคุณครูสั่งตอนท้ายชั่วโมงการสอนวิชาสปช.เกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างครอบครัวเดี่ยว
กับครอบครัวขยาย
ด้วยความตั้งใจ
ผมรีบกลับไปนั่งนึกภาพครอบครัวในอนาคตของผมเพื่อบรรยายสิ่งที่ผมเห็นออกมาเป็นตัวอักษร
แต่สิ่งที่ผมเห็นขณะยังเป็นเด็กชายวัยเจ็ดขวบในเวลานั้น กลับทำให้ผมต้องรู้สึกตื่นตะลึง...เพราะบรรดาผู้คนที่อยู่รายล้อมตัวผม
ไม่ได้มีแค่พ่อ แม่ พี่และน้องสาวเท่านั้น หากแต่มีเพื่อนผู้ชายหน้าตาน่ารักนิสัยเรียบร้อยที่นั่งเรียนโต๊ะเยื้องๆกับผมอีกหนึ่งคนยืนอยู่แนบกายผม
โดยที่มือของเราสองคนจับกันไว้แน่น
วินาทีนั้น...ผมก็รู้ได้ทันทีว่า
เพื่อนร่วมห้องคนที่ผมเห็นหน้าอย่างชัดเจนในจินตนาการ...คือคนที่ผมใฝ่ฝันอยากให้เขากลายมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเดี่ยวของผมในวันข้างหน้า
นั่นนับเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นเกินไปสำหรับเด็กน้อยที่รู้ใจตัวเองเร็วเหลือเกิน
หนำซ้ำ...มันยังทำให้ผมถึงกับช็อค เมื่อได้ตระหนักว่า นอกจากจะไม่ชอบผู้หญิงเหมือนเด็กผู้ชายคนอื่นๆแล้ว
ผมยังรู้แน่ชัดถึงลักษณะของผู้ชายที่ผมปรารถนาอยากได้มาเป็นคู่ครอง ทั้งรูปพรรณสัณฐาน บุคลิก รวมไปถึงอุปนิสัยใจคอ
เรียกได้ว่า ผมสามารถบรรยายลักษณะของคนๆนั้นออกมาได้เป็นฉากๆ...
...แต่พวกคุณสบายใจได้
เรียงความฉบับที่ส่งถึงมือคุณครู ผมละเรื่องเพื่อนคนนั้นเอาไว้โดยไม่เคยเอ่ยถึง
ผมเก็บสิ่งที่ผมเห็นในหัวสมองเป็นความลับแรกในชีวิต
และพยายามลืมเรื่องนี้ไปจากใจ ทว่า...จนแล้วจนรอด
ความคิดที่เคยทำเป็นลืมๆไปนั้น...ก็ได้หวนกลับมาทวงพื้นที่ในหัวอีกครั้ง เมื่อตอนที่ผมกำลังเรียนอยู่ชั้นม.สาม...
...ผมจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้แม่น
เหมือนว่าผมเพิ่งได้รับรู้มันเมื่อเย็นวาน เพราะมันเป็นวันที่ผมได้สัมผัสกับความจริงอันน่าเจ็บปวดเกี่ยวกับความสัมพันธ์เชิงชู้สาวเปิดเผยของเพื่อนคนที่ผมแอบชอบมาตั้งแต่ประถมคนนั้น
กับรุ่นพี่นักฟุตบอลศูนย์หน้ารูปหล่อ
พ่อรวย ผู้รั้งตำแหน่งหนุ่มฮอตติดอันดับต้นๆของโรงเรียน
ผมบอกพวกคุณได้อย่างเต็มปากเลยว่า
ความเสียใจที่ผมมีเมื่อเห็นสองคนนั้นกลายมาเป็นคู่ไอดอลสุดป็อบประจำโรงเรียนกินนอนชายล้วนที่ผมเรียนมาตั้งแต่ชั้นอนุบาล
เทียบไม่ได้แม้เพียงเศษเสี้ยวของความเสียใจที่เกิดขึ้นจากการไม่สนใจฟังเสียงเรียกร้องจากสัญชาตญาณของตัวเองตั้งแต่เมื่อตอนป.หก...
...ไม่อย่างนั้น
คนที่ยืนข้างๆเพื่อนหน้าหวานแทนที่รุ่นพี่นักบอล อาจเป็นเด็กแว่นอย่างผมก็ได้...ใครจะรู้
หลังจากเรื่องราวสะเทือนใจในครั้งนี้...
ผมได้ใช้เวลาส่วนหนึ่งใคร่ครวญเกี่ยวกับความชอบทางเพศของผมอย่างจริงจัง เพื่อหาคำตอบว่า
ผมควรเลือกทำตามเสียงของหัวใจตัวเองเพื่อจะไม่เสียใจซ้ำสองอย่างในคราวนี้อีก หรือผมควรทำในสิ่งที่สมควรตามบรรทัดฐานของสังคมเพื่อให้ได้การยอมรับนับถือและสืบทอดวงศ์ตระกูลกันแน่
สุดท้าย...คำตอบมันก็มาปรากฏตัวตรงหน้าผมในรูปของรุ่นน้องม.หนึ่งที่ย้ายเข้ามาเรียนกลางเทอม...
น้องคนนั้นเป็นเจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มชวนมองจนทำให้เด็กชายกว่าครึ่งค่อนโรงเรียนต่างเวียนเข้าไปขายขนมจีบอยู่ไม่เว้นแต่ละวัน
กระทั่งผมเองก็เช่นกัน...แต่ผมไม่ชอบวิธีกระโตกกระตากไร้ซึ่งอารยะแบบพวกนั้น
ผมเลยเลือกจะเฝ้ามองน้องคนนั้นอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆโดยไม่คลาดสายตาแทน...เห็นไหมล่ะ
ว่าวิธีของผมน่ะ มีคลาสกว่ากันเยอะ
ในวันที่ผมควักตังค์เกือบหมื่นจ่ายค่าอัดรูปน้องคนนั้นที่ถ่ายในวันงานกีฬาสีให้สมาชิกชมรมถ่ายภาพ
ทำให้ผมได้รู้ว่า... ต่อให้ผมสามารถเลือกเปลี่ยนแปลงความความชอบทางเพศของผมใหม่อีกครั้งได้
ผมคงจะเลือกเหมือนเดิมอยู่ดี และต่อให้ผมจะรู้แก่ใจว่าการชอบไม้ป่าเดียวกันจะไม่ใช่สิ่งที่สังคมให้การยอมรับเท่าไร
แต่จะให้ผมทำอย่างไร... ในเมื่อ ผมมองใครไม่น่ารักเท่ากับน้องคนนั้นอีกแล้ว
ภายหลังจากได้ข้อสรุป
และรู้ว่าน้องคนนั้นไล่ต่อยรุ่นพี่ที่เข้ามาลวนลามจนตาแตก...
ผมจึงเปลี่ยนกลยุทธมาเป็นการหล่อเลี้ยงตัวเองให้มีความสุขทุกๆวัน ด้วยการหลบเข้าไปในโลกแห่งความฝันอันสวยสดงดงาม
สถานที่เดียวซึ่งผมได้ครองคู่กับคนที่ผมวาดหวังเอาไว้อย่างมีความสุขวันละห้านาทีก่อนลงมือกินอาหารทุกมื้อ
และเริ่มแบ่งปันความฝันนั้นๆในรูปของตัวอักษรเพื่อบอกเล่าสิ่งที่ผมเห็นในจินตนาการลงในบล็อคไม่ต่างจากการเขียนไดอารี่ประจำวัน
และเพื่อทำให้ความฝันของผมเป็นจริง...ตลอดหลายปีที่ผ่านมา
หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย ผมได้เจียดเวลาส่วนหนึ่งจากการทำงานที่ผมรัก เพื่อลงประลองความจริงใจ
และทดสอบความทุ่มเทของตัวเองในสนามแห่งความรักจริงๆเสียที ผมใช้เวลาทุกนาทีร่วมกับคนที่ผมปลื้มเหล่านั้นทุกๆวัน
ผ่านกิจกรรมต่างๆที่ผมคิดว่าจะเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนได้
ผมทุ่มแรงกายแรงใจ
และพยายามทำทุกอย่างเท่าที่ผมจะนึกออก เพื่อทำให้ชายในฝันของผมแต่ละคน...ได้รู้ซึ้งถึงความรักด้วยใจพิสุทธิ์ของผมอย่างสม่ำเสมอ
โดยหวังว่า ในวันหนึ่งข้างหน้า...ผมจะกลายเป็นคนที่เขาฝากหัวใจและร่างกายเอาไว้ตราบจนวันสุดท้ายของชีวิตเราทั้งสองคน...
อา นั่นแหละ คือความรักในรูปแบบของผม
โอ้อนิจจา... ที่ผ่านมา...เหมือนฟ้าจะไม่เป็นใจ
เพราะผมคว้าน้ำเหลวมาโดยตลอด จนผมเริ่มไม่แน่ใจว่าวิธีการเข้าหาผู้ชายที่ผมเคยชอบนั้นได้ผลจริงหรือไม่????
ในเมื่อการจีบด้วยวิธีของตัวเองไม่ได้ผล...
ชะรอย...ผมคงต้องหาคู่มือดีๆสักเล่มเพื่อช่วยนำทางเสียแล้วสิ
และแล้ว...เมื่อประมาณสองปีก่อน
ระหว่างที่ตะเวนหาหนังสือคู่มือในการจีบหนุ่มๆอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย ความพยายามของผมก็เป็นผลขึ้นมาจนได้
ทันทีที่ผมได้เห็นชื่อเรื่องบนหน้าปกหนังสือเล่มนี้...ผมเชื่อโดยไม่มีความสงสัยใดๆเลยว่า
มันถูกกำหนดมา เพื่อให้ผมได้ใช้มันแต่เพียงผู้เดียว
ในบทแรกของหนังสือคู่มือเล่มนี้บอกเอาไว้ว่า
การจะจีบใครสักคนมาเป็นแฟนนั้นควรเริ่มจากการรับรู้ความจริงที่สำคัญที่สุดสองเรื่องด้วยกัน
หนึ่งคือ...การยอมรับความรู้สึกของตัวเอง
และสองคือ...เราต้องรู้แน่ว่าใครจะเป็นเป้าหมายของการจีบในครั้งนี้
หลังจากได้ข้อสรุปเกี่ยวกับข้อมูลทั้งสองส่วนนี้อย่างแน่ชัดแล้ว
การลงมือจีบคนๆนั้นตามวิธีการต่างๆดังที่ระบุในบทถัดๆไปของหนังสือย่อมจะกลายเป็นเรื่องง่ายและไม่เสียแรงเปล่า และในตอนนี้...ผมบอกได้เลยว่า
ผมมีหนุ่มคนใหม่เดินเข้ามาในชีวิตเพื่อให้ทดลองวิธีการจีบหนุ่มที่หนังสือคู่มือฟ้าประทานบอกเอาไว้แล้ว
และจากนี้...ผมจะค่อยๆแนะนำให้รู้จักกับหนุ่มผู้โชคดีที่ว่าให้คุณๆได้รู้จักกันเสียที
อย่างที่คุณๆได้อ่านในเบื้องต้น
ว่าหากยึดตามความชอบส่วนตัว ผมมีสเปคของผู้ชายที่ผมชอบอยู่แล้ว
ถึงอย่างนั้น...ใครเลยจะรู้ว่าเวลาแค่ชั่วข้ามคืน
โชคชะตาจะเล่นตลกกับผมได้ถึงเพียงนี้...
เพราะสิ่งที่ผมวิ่งไล่และไขว่คว้ามาโดยตลอด
กับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงของผมนั้น...กลับตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง
คนที่ผมวิ่งไล่....วิ่งคล้องแขนผู้ชายคนอื่นหายไปต่อหน้าต่อตา...
ส่วนคนที่วิ่งเข้าใส่...กลับเป็นหญ้าปากคอก
ม้านอกสายตา ขนาดที่ว่า...เป็นคนประเภทที่ผมไม่เคยคิดจะสนใจ เพราะเขาไม่มีความใกล้ๆเคียงใดๆกับคนที่ผมจะชอบได้เลยแม้แต่น้อย...
แต่นั่น ไม่ใช่เรื่องที่ผมควรต้องกังวลมากเท่ากับ...อะไรล่ะ...ที่ทำให้ผมยอมตกลงใจทำทุกอย่างตามที่เขาต้องการ???
พอได้ใช้เวลาคิดหาเหตุผลอยู่สักพัก
ผมก็เริ่มเข้าใจแล้วว่า การตัดสินใจเปิดใจยอมรับสิ่งที่ผมไม่เคยต้องการ
อาจเป็นเพราะความผิดหวังซ้ำซากหลังจากลองวิ่งไล่ตามคนที่ชอบมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
โดยในรายสุดท้ายที่เพิ่งจบไป ทิ้งรอยกรีดลึกอันแสนเจ็บปวดลงตรงกลางดวงใจของผม...
...ไม่ใช่เพราะเขาบอกผมว่า
‘ไม่’ ซึ่งซึ่งหน้า...
...แต่มันกลับเป็นเพราะผมได้รู้ว่า...ตัวเองพ่ายแพ้อย่างไม่เป็นท่าตั้งแต่ยังไม่เริ่มสู้ต่างหาก...
เรื่องที่เกิดขึ้นได้บอกกับผมว่า...การถอนตัวออกมาและเริ่มต้นใหม่กับผู้ชายที่เข้าหาผมก่อน อาจเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาด
และสมเหตุสมผลที่สุดก็เป็นได้ อีกอย่าง
ผมจะได้พักหายใจหายคอจากความเครียดจากหน้าที่การงานที่กลุ้มรุมผมอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก
แน่ล่ะ...เพราะมันไม่ใช่แค่ได้รับความสนุกจากการเล่นเกมไล่ล่าในฐานะเหยื่อที่น่าทนุถนอมเท่านั้น...
หากแต่มันเปิดโอกาสให้ผมได้สัมผัสกับรสชาติอันหอมหวานของเกมแห่งตัณหาราคะที่ทำให้ใครต่อใครต่างลุ่มหลง
ซึ่งตัวผมเองยังไม่เคยมีโอกาสได้ลิ้มลองมาก่อนในชีวิตอีกด้วย
เอาล่ะ....ทีนี้
เพื่อเป็นการตอบคำถามทั้งสองข้อในบทแรกของหนังสือคู่มือ ผมจะบอกให้ก็แล้วกัน
ว่าสิ่งที่ผมคิดในตอนนี้คืออะไร แล้วทำไมผมถึงยอมเปลี่ยนใจยอมรับเขาคนนั้นอย่างง่ายดายทั้งที่ผมไม่ใช่คนใจง่ายเลยแม้แต่นิดเดียว
เหตุผลหลักก็คือ...เขาทำให้ผมรู้สึกสนใจในตัวเขาขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
เพราะเขาผ่านด่านแรกที่สำคัญที่สุดของผมอย่างสง่าผ่าเผยและสวยงาม นั่นคือ...เขายอมรับหน้าที่การงานที่ผมรักและให้ความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดในชีวิตด้วยใจจริง
จนตัวผมยังสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนี้
ก่อนอื่น...
ถ้าพวกคุณยังไม่รู้ ผมบอกให้ก็ได้
ว่าผมทำงานอะไร...
...ผมเป็นนักเขียนนิยายเกย์...
...นอกจากคนในครอบครัว
และพี่ๆที่สำนักพิมพ์ เขาเป็นคนสุดท้ายที่รู้ความจริงเกี่ยวกับผมข้อนี้...
เมื่อเขารู้ว่าผมประกอบสัมมาอาชีพอะไร
เขาก็พยายามทำความเข้าใจกับปัญหาของผม แต่ที่มันโดนใจผมที่สุด ตรงที่เขาไม่มีท่าทีรังเกียจงานที่ผมรัก
ไม่เคยตัดสิน และไม่ดูถูกสิ่งที่ผมทำเพื่อหาเลี้ยงตัวเองเลย ต่างจากท่าทีของผู้ชายหลายๆคนซึ่งเพื่อนๆนักเขียนผู้ชายคนอื่นๆในสายงานเดียวกันเคยพบเจอมาราวฟ้ากับเหว
กลับกัน
ตั้งแต่เมื่อเขารู้ว่างานของผมคืออะไร
เขามักจะคอยถามถึงรายละเอียดและปัญหาของงานที่ผมต้องประสบ
รับฟังสิ่งที่ผมเล่าอย่างตั้งใจ และเขายังกล้าเสนอตัวเข้ามาแก้ปัญหาในการทำงานอันหนักหนาสาหัสของผมได้อย่างตรงจุด...
.
.
.
...แม้จะไม่ตรงใจของผมเท่าไรก็เถอะ
เฮอะ!!
นอกจากการยอมรับเรื่องงาน...เขายังมองข้ามสิ่งที่ผมเป็นภายนอก
เขาไม่เคยตำหนิการแต่งกาย การพูดจา หน้าตา ทรงผม หรืออะไรก็ตามที่ทำให้ผมดูต่างออกไปจากคนหมู่มากอย่างที่คนอื่นมักจะทำให้ผมเสียความรู้สึกเวลาที่พวกเขาได้ยินผมพูดเป็นครั้งแรก....และเขาไม่เคยเมินผม
ถึงผมจะเป็นฝ่ายทำเฉยใส่เขาอยู่บ่อยครั้งก็ตามที
จริงสินะ...ผมนี่แย่จริงๆ! ผมลืมไป...ว่าผมยังไม่เคยแนะนำตัวเองให้พวกคุณได้รู้จักเลย
แต่ขอออกตัวก่อนนะครับว่า ผมเป็นคนไม่ชอบพูดถึงตัวเองมากเท่าไรนัก...
แต่ที่คุณจะได้อ่านต่อไปนี้ คือสิ่งที่ผมจำเป็นต้องบอกกับพวกคุณเอาไว้
ก่อนที่เรื่องของเราจะดำเนินไปไกลกว่านี้ หวังว่าพวกคุณจะทนอ่านมันผ่านตาไหวนะครับ
หลังจากนี้
พวกคุณจะรู้จักผมในชื่อเรียกง่ายๆว่าขนุน... ตอนเด็กๆผมสายตาสั้นมาก โตขึ้นมา...ผมเลยกลายเป็นหนุ่มแว่นไปโดยปริยาย
ผิวขาว ผมหยักศกยาวพอดีบ่า หน้าตาปานกลาง รูปร่างผอม
ด้วยความที่ผมทำอาชีพนักเขียน
ผมมักจะมีคลังคำศัพท์มากมายอยู่ในหัว...
ข้อดีของมันอยู่ที่
มันทำให้ผมสามารถเขียนนิยายได้อย่างลื่นไหล ใช้คำได้อย่างหลากหลาย...
ส่วนข้อเสียอันโดดเด่นล้ำหน้าเกินใครนั้น
คงหนีไม่พ้น...การพูดจาแปลกๆเวลาต้องอยู่ต่อหน้าคนที่ผมไม่สนิทด้วย...
ถ้าต้องให้อธิบาย...ผมว่าพวกคุณลองกูเกิ้ลหาตัวอย่างหนังสือราชการ
หรือประกาศสำนักรัฐมนตรีฉบับไหนก็ได้ขึ้นมาลองอ่านออกเสียงดู
สลับกับการพูดประโยคอะไรก็ได้ตามปกติของคุณ
นั่นล่ะ...คือบรรยากาศในการพูดคุยกับผมแบบตัวต่อตัว
แปลกเข้าทีไม่หยอกใช่ไหมครับ?
ผมเป็นคนไม่ชอบแต่งตัว
และมองว่าเรื่องการแต่งกายเป็นเพียงแค่เปลือกภายนอกที่ไม่สลักสำคัญอะไร...ผมจึงมักจะแต่งตัวสบายๆ
ง่ายๆเป็นสรณะ
แต่ดูเหมือนใครๆก็ลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า ไอ้เปลือกนอกที่ผมเลือกใส่อยู่ทุกวันนี้
มันสร้างมลพิษทางสายตาให้กับคนอื่นๆอยู่เสมอ...
...น่า ผมว่ามันก็ไม่แย่อะไรขนาดนั้นเสียหน่อย...
...อีกอย่าง ผมจะไปใส่ใจอะไรกับคำพิพากษาตัวผมแบบผิดๆ
ที่ออกจากปากของอีโกอิสต์ที่คิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาลที่เดินกันเพ่นพ่านเต็มถนนไปหมดในเวลานี้กัน
และสิ่งสุดท้ายที่คุณควรรู้เกี่ยวกับตัวผม
ก็คือ...ผมเป็นเกย์รุกมาตั้งแต่ที่รู้ตัวว่าชอบผู้ชาย
คุณว่า...ถ้าเป็นคุณ
แล้วต้องมาเจอคนที่มีลักษณะเฉพาะตัวโดยสังเขปแบบผม...คุณจะมองผมอย่างไรกันล่ะ?
ผมเข้าใจนะ
หากคุณจะแสดงอาการไม่ยอมรับ รังเกียจ ดูถูก เยาะหยัน หรืออะไรก็แล้วแต่...เพราะผมยอมรับโดยดุษฎี
ว่ามันเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของคุณ ที่จะทำแบบนั้นเมื่อไรก็ได้
ตราบใดที่คุณไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร และผมเคารพทุกความเห็นของคนอื่นๆเสมอ
.
.
.
แต่เขาคนนี้....ไม่เคยสนใจอะไรกับสิ่งที่ผมเป็นเลยแม้แต่นิดเดียว
หรือเมื่อก่อน
เขาอาจจะเคยเป็นบ้าง... แต่เท่าที่ผมเห็นเวลานี้ ผมคิดว่าเขามองข้ามเรื่องภายนอกจิ๊บจ้อยพวกนั้นไปแล้วล่ะ
ไม่เท่านั้น....เขายังคอยให้กำลังใจผมเวลาที่ผมหลุดพูดด้วยความน้อยอกน้อยใจถึงสิ่งที่ผมเป็นอยู่ทุกครั้ง
และที่สำคัญที่สุดคือ เขาเทความสนใจให้กับผมมากกว่าใครคนใดที่ผมเคยพบเจอ กระทั่งคนที่ผมแอบชอบคนล่าสุด...ยังดีกับผมไม่ได้ครึ่งหนึ่งของสิ่งที่เขาเป็นเลยล่ะ
เรื่องสุดท้ายเกี่ยวกับตัวผมซึ่งเมื่อเขาเปิดใจยอมรับมันได้แล้ว
และทำให้ผมต้องยอมลงให้เขาจริงๆ...คงจะเป็น ตอนที่เขารู้ความลับของเรื่องเพศของผม
แต่เขากลับไม่มีท่าทางหมางเมิน หรือรังเกียจใดๆ
ยิ่งเรารู้จักกันมากขึ้นเรื่อยๆ
ผมกลับยิ่งรู้สึกว่า
เขาเริ่มจะรุกล้ำกล้ำกลายเข้ามามีบทบาทกับเรื่องทางเพศของผมมากขึ้นตามลำดับ จนในท้ายที่สุด...เราทั้งคู่ก็มาลงเอยด้วยการทำข้อตกลงลับๆ
เพื่อช่วยให้ผมได้มีประสบการณ์ความรัก และประสบการณ์ทางเพศไปพร้อมๆกัน
โดยที่เขาเอาตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องกับผมแบบเต็มๆ
เอาล่ะ...พวกคุณต้องทนอ่านเรื่องของผมมาเสียยืดยาว
ดังนั้น...ผมว่ามันสมควรแก่เวลาที่ผมจะบรรยายคุณสมบัติของเขาให้พวกคุณได้ทำความรู้จักกันเป็นรายการถัดไปจากนี้
บอกตรงๆเลยนะครับว่า
ตั้งแต่ที่ผมรู้จักกับเขามาสักพัก
ผมไม่เคยให้ความสำคัญหรือสนใจอะไรเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว...เรียกว่า ไม่เคยอยู่ในห้วงความคิดเลยจะดีกว่า
แต่เมื่อเขายื่นข้อเสนอที่คุณก็รู้ดีว่ามันคืออะไรให้กับผม...ผมจึงหาโอกาสลอบสังเกตคนๆนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนเป็นครั้งแรก
ผู้ชายคนนี้ชื่อน็อต...
เขายังเรียนรามฯไม่จบ อายุยี่สิบห้าปีได้ล่ะมั้ง...เห็นเขาว่าอย่างนั้นนะ
และนั่นคือข้อมูลส่วนตัวของเขาเท่าที่ผมรู้มาตลอดหลายวันมานี่ นอกนั้น...ผมไม่ค่อยให้ความสนใจเท่าไร
ส่วนนิสัยใจคอของเขาน่ะหรือ...ก็ใช้ได้เลยนะ
หึ!
...กับคนอื่น
เขาพยายามแสดงให้คนอื่นเข้าใจว่าเขาเป็นคนเลว ปากไม่มีหูรูด ชอบพูดจายียวน ประมาณว่า...ถ้าจัดให้เขาเป็นตัวเอกในนิยาย คงไม่พ้นพวกหนุ่มแบดบอย
ที่เที่ยวกวนประสาท หาเรื่องต่อยตี ปีนเกลียวเที่ยวเหม็นหน้าใครต่อใครไปทั่ว แต่กับผม...เขาเป็นคนอ่อนโยน สนใจความรู้สึกของผม
เป็นห่วง ดูแล และคอยเอาใจผมมากเลยนะ เว้นแต่เรื่องฝีปาก
ที่ไม่ยอมลดราให้สักเท่าไรอยู่เหมือนเดิม
ยกตัวอย่างให้ฟังสักเรื่องก็ได้...เมื่อคืนผมเมามากเพราะเสียใจที่อกหักจากคนที่ผมแอบชอบมาหลายเดือน
ถ้าเขาไม่ใส่ใจ ไม่เป็นห่วงผม ผมว่าเขาคงไม่มานั่งหลังขดหลังแข็งดูแลพยาบาลผมจนพอจะเหลือสภาพเป็นคนอยู่บ้างให้เหนื่อยโดยใช่เหตุ เพราะการปล่อยให้ผมนอนจมกองอ้วกอยู่ที่ไหนสักแห่งให้ได้อายไปอีกหลายวันคงจะเป็นเรื่องที่ทำง่ายกว่าเป็นไหนๆ...ผมพูดถูกใช่ไหมล่ะ?
ส่วนตัวอย่างความน่ารักของน็อตเรื่องอื่นๆน่ะเหรอ...
หึ! มีอีกเป็นพะเรอเกวียน
แต่เดี๋ยวผมค่อยเอาไว้เล่าให้พวกคุณๆอ่านกันวันหลังจะดีกว่า..... ผมไม่อยากรบรากับบรรดาแม่ยกจัดตั้งของน็อตเสียตั้งแต่ตอนนี้
ถ้าต่อไปข้างหน้า ผมเกิดเผลอไปทำตัวไม่ดีใส่เขาเข้าน่ะ
ข้อดีเกี่ยวกับตัวเขาที่ผมเห็นยังมีอีกหลายอย่าง
ไม่ว่าจะเป็น...ไม่เซ้าซี้ต่อความยาวสาวความยืดในเรื่องที่ผมไม่อยากพูดถึง
ไม่อายที่ต้องไปไหนมาไหนโดยมีผมอยู่ข้างๆ
ทั้งที่ถ้าเป็นคนอื่นที่มีลักษณะรูปกายภายนอกดึงดูดสายตาแบบเขา... อาจเลือกเดินห่างจากผมหลายเมตรเพื่อป้องกันสายตาเข้าใจผิดไปแล้ว....
และที่ดีที่สุด คือ...เขายอมลงให้ผมในสิ่งที่ผมต้องการอยู่เสมอ
มันเลยทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนพิเศษ และบางครั้ง...มันกลายเป็นเรื่องสนุกมาก
เมื่อได้ลองปั่นหัวพ่อหนุ่มแบดบอยคนนี้ให้หมุนไปทางนั้นที ทางนี้ทีได้ดังใจ
รูปร่างหน้าตาของน็อตโดยรวมนี่บอกได้เลยว่าตรงกันข้ามกับคนที่ผมฝันเอาไว้อย่างสุดขั้ว...
ถ้าจะให้ผมบอกว่าน็อตเป็นอย่างไรน่ะเหรอ
ง่ายๆเลย...
ผมว่าเขาเหมือนพวกหนุ่มนักบาสฯในทีมมหาวิทยาลัยที่มักจะเด่นดังในหมู่สาวๆ เขาค่อนข้างสูงและตัวหนาพอสมควร แต่ไม่ใช่พวกกล้ามปูหรอกนะครับ...ซึ่งผมแอบดีใจ
เพราะโดยส่วนตัว ผมไม่มักผู้ชายกล้ามใหญ่...กลัวโดนกล้ามหน้าอกตบหน้าจนชาเวลาโผเข้าไปกอดน่ะ
น็อตเป็นคนผิวขาว
หน้าตาจัดว่าน่ามอง จมูกโด่ง ปากแดง ด้วยความที่เขาเป็นลูกเสี้ยว
ทำให้เมื่อมองบางมุม เขาจะดูคล้ายกับพวกฝรั่งหน้าตี๋...ถึงอย่างนั้น
ผมเองก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าหน้าตาอย่างเขาเรียกว่าหล่อได้หรือเปล่า
เพราะผมแยกแยะพวกแมนๆไม่ค่อยเก่ง ขอโทษด้วยนะครับหากผมไม่สามารถทำให้พวกคุณจินตนาการหน้าตาของเขาได้ชัดเจนนัก
ส่วนที่เหลือทั้งหมดนอกจากที่ว่ามานี้...ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ผมไม่ชอบแทบทั้งสิ้น...
...ทั้งรอยสักที่มากจนเกินจะนับ
เมื่อเช้าหลังจากตื่นนอน...ถึงผมจะแฮงค์
สลึมสลือ และมองไม่ค่อยชัด แต่ผมรู้ว่าไอ้ลำตัวท่อนบนเปลือยๆของเขานั่น
กลับไม่มีพื้นที่ว่างสีเนื้อเท่าไร เมื่อเทียบกับสีดำๆแดงๆหนักๆยึกยือๆที่พาดอยู่ทั่วไปหมด...
อย่างนี้ตอนจะทำรอยจูบทิ้งเอาไว้ตามลำตัวก็ไม่สนุกกันพอดีน่ะสิ
...ทั้งเจาะ
และระเบิดร่างกายตรงโน้นตรงนี้
อย่างที่เห็นชัดที่สุดคงจะเป็นหูขวาที่ระเบิดออกเป็นรูกว้างแบบที่มองลอดทะลุรูหูไปแล้วสามารถเห็นอีกฝั่งได้อย่างชัดเจน
นี่ถ้าเปิดผ้ามาแล้วเจอว่าเขาไปแอบเจาะน้องชายเอาไว้...ผมจะไม่แปลกใจเลยจริงๆ
...ทั้งทรงผม
ที่ไม่ต่างอะไรกับซามูไรสมัยก่อน ดีนะ ที่ผมชอบอ่านการ์ตูนพวกนี้อยู่เป็นทุนเดิม
เลยทำใจให้ยอมรับไอ้ผมทรงไถข้างทั้งหัวแล้วเหลืออยู่แต่ไอ้จุกข้างบนได้ไม่ยากเท่าไร
แต่ถ้าถามว่าขัดใจไหม...ผมตอบได้เลยว่า มากอยู่...เฮ้อ!
...ที่หนักที่สุด
ก็คือ...มาดแบดบอยที่สุดของที่สุดอย่างกับหลุดมาจากแกงค์ยากูซ่าที่ไหนสักแห่ง
ซึ่งเจ้าตัวดูออกจะภูมิอกภูมิใจกับมันนักหนา
แต่ในเมื่อเรื่องมันดำเนินมาถึงขั้นนี้ และผมไม่คิดจะเปลี่ยนใจหรือหันหลังกับอีกต่อไป...ผมก็จะเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้....
ก็ทีเขา เขายังทำใจกับสิ่งที่ผมเป็นได้เลยนี่เนอะ
ผมจะบอกอะไรให้ครับ...ระหว่างเราสองคน
มีเรื่องแปลกมากๆเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นก่อนเราจะตกลงทำสัญญาร่วมกันเสียอีก...
ผมขอยอมรับอย่างตรงไปตรงมาเลยแล้วกันว่า...
แม้เขาจะไม่ใช่คนที่ผมมองหา แต่ผมกลับไม่รู้สึกรังเกียจสัมผัสของเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว...
แถมบางที มันกลับทำให้รู้สึกดีเสียด้วยซ้ำ
มาถึงตรงนี้
คุณๆคงจะนึกออกใช่ไหมครับ
ว่าเราค่อนข้างจะถึงเนื้อถึงตัวกันพอสมควรตลอดเวลาที่ผ่านมา ตอนแรกๆที่ผมยังไม่รู้ถึงจุดประสงค์ที่เขาหาเรื่องมาเข้าใกล้ผม
เราสองคนเคยมีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดกันหลายครั้ง
โดยที่ผมไม่เคยคิดอะไรมากเกินไปกว่าเรื่องบังเอิญที่ไม่น่าจดจำเท่านั้น
ผมรู้มาโดยตลอดนะว่า...หลายคืนที่ผ่านมา
ที่เรานอนด้วยกัน เขากอดผมเอาไว้เกือบทั้งคืน...
...ผม...ชายผู้เกิดมาเพื่อเป็นฝ่ายรุก
กลับต้องมาถูกกอดเอาไว้ในอ้อมแขนของผู้ชายอีกคน ที่มีดีกรีความเป็นชายเหนือกว่า
และดูท่าว่าเขาก็น่าจะเป็นรุกเหมือนกัน ถ้าตามสมการนี้...ผมควรจะรู้สึกเหมือนโดนลูบคม
หรือไม่พอใจไปแล้ว แต่สิ่งที่ผมรู้สึก กลับกลายเป็น อบอุ่นในหัวใจและปลอดภัยอย่างที่ผมไม่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิต
หรือจะเป็นตอนที่เขาจับมือผม...
ซึ่งสำหรับผู้ชายทั่วๆไป คงไม่มีใครชอบที่ผู้ชายอีกคนอุตริคว้าข้อมือ
หรือฝ่ามือของเราไปเกาะกุมเอาไว้นานๆได้โดยไม่รู้สึกแปลกๆหรอก
แต่พอเขาทำกับผม...ผมกลับชอบผิวสัมผัสของฝ่ามือกร้านๆใหญ่ๆของเขามากเสียจริงๆ
โดยเฉพาะเวลาที่มันลูบไล้หลังมือผมวนไปวนมาอย่างแผ่วเบา
และเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆเมื่อเช้านี้...
ซี่งเขาใช้ข้ออ้างว่าเป็นการลงโทษผมกับความวุ่นวายที่ผมทำไว้เมื่อตอนเมา ถ้าเป็นคนอื่น ผมก็ไม่แน่ใจหรอกนะ
ว่าจะยอมนั่งนิ่งๆบนตักเพื่อให้ผู้ชายหน้าไหนหอมแก้มผมได้อย่างใจหลายๆครั้งแบบนั้นหรือเปล่า
แต่พอเป็นเขา...พอผมได้กลิ่นของเขาใกล้ๆเท่านั้นแหละ... มันเลยทำให้ผมลืมไปว่า
ผมกำลังนั่งไม่ไหวติงให้เขาสำเร็จโทษบนแก้มของผมอยู่เป็นนานสองนาน
แถมใจผมมันยังเต้นโครมครามแปลกๆอีกด้วยน่ะสิ
ตลอดเวลาสั้นๆที่เรารู้จักกัน
รวมทั้งการกระทำที่พิเศษหลายๆครั้งของเขา ทำให้ผมได้ข้อสรุปว่า เขาชอบผมนะ แม้ว่าต่อหน้าผม
ปากเจ้าตัวจะบอกว่าไม่ก็เถอะ... แต่ผมน่ะเคยได้ยินที่เขาสารภาพความรู้สึกที่มีต่อผมในคืนที่สองที่เรานอนด้วยกัน...
แต่ตอนที่ได้ยินนั้น ผมกลับไม่ได้คิดอะไรเพราะยังติดพันคนในสเปคคนล่าสุดอยู่
ส่วนความรู้สึกของผมน่ะเหรอ...
ผมว่าเขาเป็นคนน่ารักใช้ได้ เดาการกระทำและการตัดสินใจได้ง่ายเหมือนอ่านหนังสือ
ช่างเอาอกเอาใจผมมากเสียจนไม่มีใครเกิน เอาจริงเอาจังกับการแก้ปัญหาให้ผมในทุกๆเรื่องแบบนี้
แถมยังแบไต๋ว่าชอบผมด้วยน่ะสิ แล้วอย่างนี้
จะให้ผมอดใจไม่ลองเล่นไปตามเกมของเขาไหวได้อย่างไรกันล่ะ
ในเมื่อการวิ่งไล่ตามให้ผลตรงกันข้ามกับสิ่งที่หวัง...
คราวนี้...ผมจะลองเปลี่ยนมาเล่นบทลูกแกะน้อยผู้น่าสงสารที่ถูกไล่ล่าดูสักทีก็คงจะดี...
ผมจะลดจังหวะการวิ่งหนีกรงเล็บของพ่อเสือหนุ่มจอมวายร้ายให้ช้าลง...
เพื่อจะได้หยุดชื่นชมความงามอันน่ารื่นรมย์ของสองข้างทางระหว่างกำลังวิ่งบ้าง...
เพราะผมเองชักเริ่มอยากจะรู้เหมือนกันว่า
ความรู้สึกของการเป็นคนที่ถูกเลือก....มันเป็นอย่างไร
ถึงตอนจบของเรื่องอาจจะไม่สวยงามและเป็นสุขเหมือนในนิยายที่ผมแต่ง
อย่างน้อยๆ...ผมก็พูดได้ว่าผมเต็มที่กับความสัมพันธ์ครั้งนี้ ที่มันอาจทำให้ผมได้เข้าใจการได้รับความรักทั้งทางกายและทางใจเสียที
อ้อ...ผมลืมบอกไปอย่างหนึ่ง...
ผมอยากรบกวนคุณๆทั้งหลาย ที่ได้อ่านเรื่องของผมแล้ว...
...ขอร้องอย่าเพิ่งไปบอกน็อตนะครับ
ว่าเขากลายเป็นเป้าหมายใหม่ของผมที่กำลังจะถูกผมจีบเข้าแล้วล่ะ...
...เพราะสุดท้าย
ผมอยากเห็นสีหน้าพ่ายแพ้ของเขา เมื่อเขารู้ว่า...หนังสือเล่มที่เขาเคยดูถูกเอาไว้นักหนา
จะกลายมาเป็นตำราพิชิตใจของเขาได้น่ะสิ
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
โถๆๆๆๆๆ 555555 น็อตเอ๋ย เจ้าพลาดท่าให้ขนุนแล้วล่ะ
ReplyDeleteขนุนจะทำยังไงต่อไปจ้ะ
มะลิมารุก็รักษาสุขภาพด้วยน้าาา อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยแล้วก็ใกล้หนาวแล้วด้วย
เลิฟนะเชิฟๆ อิอิ
ฮ่าๆๆๆๆๆ ถึงชื่อของนิยายเรื่องนี้จะดูเหมือนเป็นเรื่องที่เล่าจากปากขนุน แต่เอาเข้าจริงๆ จะเป็นน็อตเล่าเรื่องเยอะมากนะคะ เพราะฉะนั้น...กว่าที่เราจะรู้ว่าขนุนจะเอายังไงต่อ มะลิว่าเราจะงงและไปไม่เป็นไปพร้อมๆกับน็อตเสียก่อน (ขนุนเค้าเป็นพวก...เห็นนางเงียบๆ แต่แผนเพียบนะจ๊ะ อะไรทำนองนี้น่ะค่ะ)
ReplyDeleteแต่หวังว่าคุณนาราจะติดตามต่อไปเพือได้รู้คำตอบของขนุนในท้ายที่สุดนะคะ...
รักคุณนาราค่ะ (ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วง -- คุณนาราเองก็เหมือนกันนะคะ อย่าลืมดูแลตัวเองเน้ออออ อิอิ)