Saturday, September 27, 2014

เขาวานให้ผมเป็น 'สายรับ' (เคคู่ผู้รู้รอบฯ) : ❶ ยอมรับความรู้สึกของตัวเอง


ยอมรับความรู้สึกของตัวเอง [แรงดึงดูด  ทีโบน]



To:  malinee@ilovebananapress.com
From: khemnun@ilovebananapress.com
Subject: บทนำนิยายเรื่องใหม่ (แนวทดลอง)

กราบสวัสดีครับคุณพี่เมี่ยง

ด้านล่างที่เป็นตัวเอียง คือจั่วหัวใหม่ของนิยายเรื่องใหม่ที่ผมอยากจะเขียนน่ะครับ...
เรื่องนี้เป็นเรื่องของนักเขียนนิยายเกย์ที่ประสบปัญหาในหน้าที่การงานและความรัก กับหนุ่มนักศึกษาครับ เดี๋ยวผมจะลองรีบปั่นตอนแรกแล้วส่งแนบไปพร้อมกับพล็อตเรื่องเพื่อให้คุณพี่เมี่ยงได้อ่านเพิ่มเติมภายในวันพรุ่งนี้

หลังจากที่อ่านบทนำแล้ว คุณพี่เมี่ยงคิดเห็นอย่างไร รบกวนชี้แนะด้วยนะครับ

ขอบพระคุณครับ
ขนุน


บทนำ

 “เพื่อให้หน้าที่การงานของคุณก้าวหน้า...ทำไมเราสองคนไม่ลองมีอะไรกันดูล่ะ... 
.
.
...ถ้าคุณรับปาก ไม่เพียงแต่เรื่องงานที่จะดีขึ้นเท่านั้น ผมรับรองว่า...ผมจะให้ความช่วยเหลือในการแปลงโฉมให้คุณกลายเป็นคนน่าสนใจยิ่งขึ้นอีกด้วยนะ  เผื่อว่าคนที่คุณแอบชอบ เค้าจะหันกลับมาสนใจคุณบ้างยังไงล่ะ”


ถ้ามีผู้ชายคนหนึ่งมาพูดประโยคที่มีเนื้อความคล้ายๆแบบนี้กับคุณ ในวันที่งานของคุณมีปัญหาเข้าขั้นวิกฤต และคนที่คุณชอบมองข้ามความรักของคุณ......


เพื่อให้ผลลัพธ์ที่รอคุณอยู่ตรงปลายทาง เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต...
...คุณจะทำอย่างไร?

สำหรับคนอื่น ผมไม่รู้ว่าเขาจะเลือกตอบอย่างไร  แต่สำหรับตัวผม...นี่คือสิ่งที่ผมตอบผู้ชายคนนั้น หลังจากใช้เวลาไตร่ตรองเพียงไม่นาน.......
“ตกลงครับ ผมยินดีรับข้อเสนอของคุณ”

แน่ล่ะ...เพราะผมรู้ว่า ถ้าผมยอรับข้อเสนอของเขา  ผมจะยังคงได้ทำงานที่ผมรักต่อไป ดีไม่ดี...คราวนี้ ผมอาจจะได้กลายเป็นนักเขียนเบอร์ต้นๆในสายงานก็ได้   ส่วนเรื่องความรัก...เอาไว้ผมค่อยรอดู ว่า...ไอ้ที่เขาโฆษณาเอาไว้เสียใหญ่โตสวยหรู มันจะดีจริงสมราคาคุยหรือเปล่า


...แต่ถ้าไม่...ผมก็ไม่มีอะไรเสียหาย...
...นอกจากร่างกายเท่านั้น


๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐


🚹 บ่นบนบล็อก
ชื่อโพสต์ : How to Tame a Bad Boy 👿 พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส }}
สถานะ : Draft


กว่าที่ผมจะตัดสินใจเขียนเรื่องราวการมัดใจผู้ชายแสบๆคนหนึ่งซึ่งเดินเข้ามาในชีวิตผมได้นั้น ผมใช้เวลาอยู่นานหลายชั่วโมง แต่นั่นนับว่ายังน้อย...เมื่อเทียบกับเวลาที่ผมใข้ในการรวบรวมความกล้าในการกดปุ่มเผยแพร่เนื้อความนี้สู่สายตาสาธารณชนได้

พวกคุณคงไม่รู้หรอกว่า ตัวหนังสือที่พวกคุณกำลังจะได้อ่านต่อไปนี้ ถูกร้อยเรียงกันขึ้นมาด้วยมวลความกล้าปริมาณมหาศาล ซึ่งผมต้องทั้งขู่ทั้งปลอบตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกครั้งที่จรดนิ้วมือลงบนแป้นคีย์บอร์ด  เพราะเรื่องราวนี้...เขียนขึ้นโดยอ้างอิงจากประสบการณ์ของตัวผมโดยตรง

ใจนึง...ผมอยากจะคงสถานะ เรื่องส่วนตัว ของมันเอาไว้เพื่อชื่นชมเพียงลำพัง 
แต่อีกใจ...มันกลับบอกให้ผมเลือกทำตรงกันข้าม...

เมื่อผมใคร่ครวญถึงข้อดีและข้อเสียของการตัดสินใจเปิดโปงเรื่องของตัวเองให้ทุกคนได้รับรู้อย่างครบถ้วนทุกแง่มุมแล้ว ผมก็ได้ข้อสรุปว่า....ประสบการณ์ของผม  อาจเกิดประโยชน์ต่อใครหลายๆคนที่อาจกำลังตกอยู่ในเหตุการณ์แบบผมเข้าสักวันก็เป็นได้  

และเพื่อไม่ให้คุณๆเข้าใจผิด ผมต้องขอออกตัวเพื่อให้คุณทั้งหลายทราบโดยทั่วกันว่า...ผมเป็นเกย์ และชอบผู้ชายมาตั้งแต่ยังไม่เปลี่ยนคำนำหน้าจากเด็กชายเป็นนายเลยด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น...เรื่องที่คุณกำลังจะอ่าน จะเป็นการแนะนำวิธีการจีบผู้ชายอีกคน ให้ตกลงปลงใจและยอมใช้คำว่าแฟนด้วย

ไหนๆผมก็ออกตัวกับคุณๆด้วยเรื่องสำคัญเรื่องแรกไปแล้ว ผมขอเพิ่มเติมคำแนะนำอีกข้อหนึ่งเพื่อประกอบการพิจารณาก่อนที่คุณจะเริ่มติดตามประสบการณ์ความรักของผมก็แล้วกัน...

เนื่องจากชื่อเรื่องได้บอกอย่างชัดเจนแล้วว่ามันคือการบ่น  เพราะฉะนั้น...หากคุณหวังจะให้สิ่งที่ผมเขียนมีหลักการมากพอ และนำไปใช้เป็นแนวทางในการจีบหนุ่มได้เหมือนกับพวกหนังสือคู่มือทั่วๆไป  สิ่งที่ผมเขียนนี่...คงห่างไกลกับคำตอบซึ่งคุณกำลังมองหา  โปรดเข้าใจตั้งแต่บทแรกเลยว่า เรื่องราวที่ผมกำลังจะแบ่งปันนั้น จะเป็นไปตามอารมณ์ และสถานการณ์ต่างๆที่ผมพบเจอ โดยไม่มีหลักเกณฑ์และเหตุผลรองรับนอกจากความต้องการของทั้งผม......และเขา เท่านั้น...

...ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วคุณยังคงรับเงื่อนไขของผมทั้งสองข้อนี้ได้  ผมก็ขอเชิญคุณเข้าสู่บล็อกบ่นๆของผมนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป



การระบายความรู้สึกลงบนบล็อคของผมคงจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไร้ซึ่งจุดเริ่มต้น...

ผมคงไม่มีทางรู้ว่าตัวเองเบี่ยงเบน  หากไม่ใช่เพราะการบ้านเรียงความที่ผมเขียนตอนเรียนชั้นป.หก ในหัวข้อ... ครอบครัวของข้าพเจ้าในอีกสามสิบปีข้างหน้า...งานเขียนความยาวหนึ่งหน้ากระดาษซึ่งคุณครูสั่งตอนท้ายชั่วโมงการสอนวิชาสปช.เกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างครอบครัวเดี่ยว กับครอบครัวขยาย

ด้วยความตั้งใจ ผมรีบกลับไปนั่งนึกภาพครอบครัวในอนาคตของผมเพื่อบรรยายสิ่งที่ผมเห็นออกมาเป็นตัวอักษร แต่สิ่งที่ผมเห็นขณะยังเป็นเด็กชายวัยเจ็ดขวบในเวลานั้น กลับทำให้ผมต้องรู้สึกตื่นตะลึง...เพราะบรรดาผู้คนที่อยู่รายล้อมตัวผม ไม่ได้มีแค่พ่อ แม่ พี่และน้องสาวเท่านั้น หากแต่มีเพื่อนผู้ชายหน้าตาน่ารักนิสัยเรียบร้อยที่นั่งเรียนโต๊ะเยื้องๆกับผมอีกหนึ่งคนยืนอยู่แนบกายผม โดยที่มือของเราสองคนจับกันไว้แน่น

วินาทีนั้น...ผมก็รู้ได้ทันทีว่า เพื่อนร่วมห้องคนที่ผมเห็นหน้าอย่างชัดเจนในจินตนาการ...คือคนที่ผมใฝ่ฝันอยากให้เขากลายมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเดี่ยวของผมในวันข้างหน้า

นั่นนับเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นเกินไปสำหรับเด็กน้อยที่รู้ใจตัวเองเร็วเหลือเกิน หนำซ้ำ...มันยังทำให้ผมถึงกับช็อค เมื่อได้ตระหนักว่า นอกจากจะไม่ชอบผู้หญิงเหมือนเด็กผู้ชายคนอื่นๆแล้ว ผมยังรู้แน่ชัดถึงลักษณะของผู้ชายที่ผมปรารถนาอยากได้มาเป็นคู่ครอง  ทั้งรูปพรรณสัณฐาน บุคลิก รวมไปถึงอุปนิสัยใจคอ เรียกได้ว่า ผมสามารถบรรยายลักษณะของคนๆนั้นออกมาได้เป็นฉากๆ...

...แต่พวกคุณสบายใจได้ เรียงความฉบับที่ส่งถึงมือคุณครู ผมละเรื่องเพื่อนคนนั้นเอาไว้โดยไม่เคยเอ่ยถึง

ผมเก็บสิ่งที่ผมเห็นในหัวสมองเป็นความลับแรกในชีวิต และพยายามลืมเรื่องนี้ไปจากใจ  ทว่า...จนแล้วจนรอด ความคิดที่เคยทำเป็นลืมๆไปนั้น...ก็ได้หวนกลับมาทวงพื้นที่ในหัวอีกครั้ง เมื่อตอนที่ผมกำลังเรียนอยู่ชั้นม.สาม...

...ผมจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้แม่น เหมือนว่าผมเพิ่งได้รับรู้มันเมื่อเย็นวาน เพราะมันเป็นวันที่ผมได้สัมผัสกับความจริงอันน่าเจ็บปวดเกี่ยวกับความสัมพันธ์เชิงชู้สาวเปิดเผยของเพื่อนคนที่ผมแอบชอบมาตั้งแต่ประถมคนนั้น  กับรุ่นพี่นักฟุตบอลศูนย์หน้ารูปหล่อ พ่อรวย ผู้รั้งตำแหน่งหนุ่มฮอตติดอันดับต้นๆของโรงเรียน  

ผมบอกพวกคุณได้อย่างเต็มปากเลยว่า ความเสียใจที่ผมมีเมื่อเห็นสองคนนั้นกลายมาเป็นคู่ไอดอลสุดป็อบประจำโรงเรียนกินนอนชายล้วนที่ผมเรียนมาตั้งแต่ชั้นอนุบาล เทียบไม่ได้แม้เพียงเศษเสี้ยวของความเสียใจที่เกิดขึ้นจากการไม่สนใจฟังเสียงเรียกร้องจากสัญชาตญาณของตัวเองตั้งแต่เมื่อตอนป.หก...

...ไม่อย่างนั้น คนที่ยืนข้างๆเพื่อนหน้าหวานแทนที่รุ่นพี่นักบอล อาจเป็นเด็กแว่นอย่างผมก็ได้...ใครจะรู้

หลังจากเรื่องราวสะเทือนใจในครั้งนี้... ผมได้ใช้เวลาส่วนหนึ่งใคร่ครวญเกี่ยวกับความชอบทางเพศของผมอย่างจริงจัง เพื่อหาคำตอบว่า ผมควรเลือกทำตามเสียงของหัวใจตัวเองเพื่อจะไม่เสียใจซ้ำสองอย่างในคราวนี้อีก  หรือผมควรทำในสิ่งที่สมควรตามบรรทัดฐานของสังคมเพื่อให้ได้การยอมรับนับถือและสืบทอดวงศ์ตระกูลกันแน่

สุดท้าย...คำตอบมันก็มาปรากฏตัวตรงหน้าผมในรูปของรุ่นน้องม.หนึ่งที่ย้ายเข้ามาเรียนกลางเทอม...

น้องคนนั้นเป็นเจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มชวนมองจนทำให้เด็กชายกว่าครึ่งค่อนโรงเรียนต่างเวียนเข้าไปขายขนมจีบอยู่ไม่เว้นแต่ละวัน กระทั่งผมเองก็เช่นกัน...แต่ผมไม่ชอบวิธีกระโตกกระตากไร้ซึ่งอารยะแบบพวกนั้น ผมเลยเลือกจะเฝ้ามองน้องคนนั้นอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆโดยไม่คลาดสายตาแทน...เห็นไหมล่ะ ว่าวิธีของผมน่ะ มีคลาสกว่ากันเยอะ

ในวันที่ผมควักตังค์เกือบหมื่นจ่ายค่าอัดรูปน้องคนนั้นที่ถ่ายในวันงานกีฬาสีให้สมาชิกชมรมถ่ายภาพ ทำให้ผมได้รู้ว่า... ต่อให้ผมสามารถเลือกเปลี่ยนแปลงความความชอบทางเพศของผมใหม่อีกครั้งได้ ผมคงจะเลือกเหมือนเดิมอยู่ดี และต่อให้ผมจะรู้แก่ใจว่าการชอบไม้ป่าเดียวกันจะไม่ใช่สิ่งที่สังคมให้การยอมรับเท่าไร แต่จะให้ผมทำอย่างไร... ในเมื่อ ผมมองใครไม่น่ารักเท่ากับน้องคนนั้นอีกแล้ว

ภายหลังจากได้ข้อสรุป และรู้ว่าน้องคนนั้นไล่ต่อยรุ่นพี่ที่เข้ามาลวนลามจนตาแตก... ผมจึงเปลี่ยนกลยุทธมาเป็นการหล่อเลี้ยงตัวเองให้มีความสุขทุกๆวัน ด้วยการหลบเข้าไปในโลกแห่งความฝันอันสวยสดงดงาม สถานที่เดียวซึ่งผมได้ครองคู่กับคนที่ผมวาดหวังเอาไว้อย่างมีความสุขวันละห้านาทีก่อนลงมือกินอาหารทุกมื้อ และเริ่มแบ่งปันความฝันนั้นๆในรูปของตัวอักษรเพื่อบอกเล่าสิ่งที่ผมเห็นในจินตนาการลงในบล็อคไม่ต่างจากการเขียนไดอารี่ประจำวัน

และเพื่อทำให้ความฝันของผมเป็นจริง...ตลอดหลายปีที่ผ่านมา หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย ผมได้เจียดเวลาส่วนหนึ่งจากการทำงานที่ผมรัก เพื่อลงประลองความจริงใจ และทดสอบความทุ่มเทของตัวเองในสนามแห่งความรักจริงๆเสียที  ผมใช้เวลาทุกนาทีร่วมกับคนที่ผมปลื้มเหล่านั้นทุกๆวัน ผ่านกิจกรรมต่างๆที่ผมคิดว่าจะเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนได้ 

ผมทุ่มแรงกายแรงใจ และพยายามทำทุกอย่างเท่าที่ผมจะนึกออก เพื่อทำให้ชายในฝันของผมแต่ละคน...ได้รู้ซึ้งถึงความรักด้วยใจพิสุทธิ์ของผมอย่างสม่ำเสมอ โดยหวังว่า ในวันหนึ่งข้างหน้า...ผมจะกลายเป็นคนที่เขาฝากหัวใจและร่างกายเอาไว้ตราบจนวันสุดท้ายของชีวิตเราทั้งสองคน... อา นั่นแหละ คือความรักในรูปแบบของผม

โอ้อนิจจา... ที่ผ่านมา...เหมือนฟ้าจะไม่เป็นใจ เพราะผมคว้าน้ำเหลวมาโดยตลอด จนผมเริ่มไม่แน่ใจว่าวิธีการเข้าหาผู้ชายที่ผมเคยชอบนั้นได้ผลจริงหรือไม่????  ในเมื่อการจีบด้วยวิธีของตัวเองไม่ได้ผล... ชะรอย...ผมคงต้องหาคู่มือดีๆสักเล่มเพื่อช่วยนำทางเสียแล้วสิ

และแล้ว...เมื่อประมาณสองปีก่อน ระหว่างที่ตะเวนหาหนังสือคู่มือในการจีบหนุ่มๆอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย ความพยายามของผมก็เป็นผลขึ้นมาจนได้ ทันทีที่ผมได้เห็นชื่อเรื่องบนหน้าปกหนังสือเล่มนี้...ผมเชื่อโดยไม่มีความสงสัยใดๆเลยว่า มันถูกกำหนดมา เพื่อให้ผมได้ใช้มันแต่เพียงผู้เดียว




ในบทแรกของหนังสือคู่มือเล่มนี้บอกเอาไว้ว่า การจะจีบใครสักคนมาเป็นแฟนนั้นควรเริ่มจากการรับรู้ความจริงที่สำคัญที่สุดสองเรื่องด้วยกัน 

หนึ่งคือ...การยอมรับความรู้สึกของตัวเอง 
และสองคือ...เราต้องรู้แน่ว่าใครจะเป็นเป้าหมายของการจีบในครั้งนี้

หลังจากได้ข้อสรุปเกี่ยวกับข้อมูลทั้งสองส่วนนี้อย่างแน่ชัดแล้ว  การลงมือจีบคนๆนั้นตามวิธีการต่างๆดังที่ระบุในบทถัดๆไปของหนังสือย่อมจะกลายเป็นเรื่องง่ายและไม่เสียแรงเปล่า  และในตอนนี้...ผมบอกได้เลยว่า ผมมีหนุ่มคนใหม่เดินเข้ามาในชีวิตเพื่อให้ทดลองวิธีการจีบหนุ่มที่หนังสือคู่มือฟ้าประทานบอกเอาไว้แล้ว

และจากนี้...ผมจะค่อยๆแนะนำให้รู้จักกับหนุ่มผู้โชคดีที่ว่าให้คุณๆได้รู้จักกันเสียที

อย่างที่คุณๆได้อ่านในเบื้องต้น ว่าหากยึดตามความชอบส่วนตัว ผมมีสเปคของผู้ชายที่ผมชอบอยู่แล้ว ถึงอย่างนั้น...ใครเลยจะรู้ว่าเวลาแค่ชั่วข้ามคืน โชคชะตาจะเล่นตลกกับผมได้ถึงเพียงนี้...  เพราะสิ่งที่ผมวิ่งไล่และไขว่คว้ามาโดยตลอด กับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงของผมนั้น...กลับตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง

คนที่ผมวิ่งไล่....วิ่งคล้องแขนผู้ชายคนอื่นหายไปต่อหน้าต่อตา...
ส่วนคนที่วิ่งเข้าใส่...กลับเป็นหญ้าปากคอก ม้านอกสายตา ขนาดที่ว่า...เป็นคนประเภทที่ผมไม่เคยคิดจะสนใจ เพราะเขาไม่มีความใกล้ๆเคียงใดๆกับคนที่ผมจะชอบได้เลยแม้แต่น้อย... 

แต่นั่น ไม่ใช่เรื่องที่ผมควรต้องกังวลมากเท่ากับ...อะไรล่ะ...ที่ทำให้ผมยอมตกลงใจทำทุกอย่างตามที่เขาต้องการ???


พอได้ใช้เวลาคิดหาเหตุผลอยู่สักพัก ผมก็เริ่มเข้าใจแล้วว่า การตัดสินใจเปิดใจยอมรับสิ่งที่ผมไม่เคยต้องการ อาจเป็นเพราะความผิดหวังซ้ำซากหลังจากลองวิ่งไล่ตามคนที่ชอบมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง  โดยในรายสุดท้ายที่เพิ่งจบไป ทิ้งรอยกรีดลึกอันแสนเจ็บปวดลงตรงกลางดวงใจของผม... 

...ไม่ใช่เพราะเขาบอกผมว่าไม่ ซึ่งซึ่งหน้า...
...แต่มันกลับเป็นเพราะผมได้รู้ว่า...ตัวเองพ่ายแพ้อย่างไม่เป็นท่าตั้งแต่ยังไม่เริ่มสู้ต่างหาก...

เรื่องที่เกิดขึ้นได้บอกกับผมว่า...การถอนตัวออกมาและเริ่มต้นใหม่กับผู้ชายที่เข้าหาผมก่อน   อาจเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาด และสมเหตุสมผลที่สุดก็เป็นได้  อีกอย่าง ผมจะได้พักหายใจหายคอจากความเครียดจากหน้าที่การงานที่กลุ้มรุมผมอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก

แน่ล่ะ...เพราะมันไม่ใช่แค่ได้รับความสนุกจากการเล่นเกมไล่ล่าในฐานะเหยื่อที่น่าทนุถนอมเท่านั้น... หากแต่มันเปิดโอกาสให้ผมได้สัมผัสกับรสชาติอันหอมหวานของเกมแห่งตัณหาราคะที่ทำให้ใครต่อใครต่างลุ่มหลง ซึ่งตัวผมเองยังไม่เคยมีโอกาสได้ลิ้มลองมาก่อนในชีวิตอีกด้วย




เอาล่ะ....ทีนี้ เพื่อเป็นการตอบคำถามทั้งสองข้อในบทแรกของหนังสือคู่มือ ผมจะบอกให้ก็แล้วกัน ว่าสิ่งที่ผมคิดในตอนนี้คืออะไร แล้วทำไมผมถึงยอมเปลี่ยนใจยอมรับเขาคนนั้นอย่างง่ายดายทั้งที่ผมไม่ใช่คนใจง่ายเลยแม้แต่นิดเดียว

เหตุผลหลักก็คือ...เขาทำให้ผมรู้สึกสนใจในตัวเขาขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะเขาผ่านด่านแรกที่สำคัญที่สุดของผมอย่างสง่าผ่าเผยและสวยงาม นั่นคือ...เขายอมรับหน้าที่การงานที่ผมรักและให้ความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดในชีวิตด้วยใจจริง จนตัวผมยังสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนี้ 


ก่อนอื่น... ถ้าพวกคุณยังไม่รู้  ผมบอกให้ก็ได้ ว่าผมทำงานอะไร... 
...ผมเป็นนักเขียนนิยายเกย์...
...นอกจากคนในครอบครัว และพี่ๆที่สำนักพิมพ์ เขาเป็นคนสุดท้ายที่รู้ความจริงเกี่ยวกับผมข้อนี้...

เมื่อเขารู้ว่าผมประกอบสัมมาอาชีพอะไร เขาก็พยายามทำความเข้าใจกับปัญหาของผม แต่ที่มันโดนใจผมที่สุด ตรงที่เขาไม่มีท่าทีรังเกียจงานที่ผมรัก ไม่เคยตัดสิน และไม่ดูถูกสิ่งที่ผมทำเพื่อหาเลี้ยงตัวเองเลย ต่างจากท่าทีของผู้ชายหลายๆคนซึ่งเพื่อนๆนักเขียนผู้ชายคนอื่นๆในสายงานเดียวกันเคยพบเจอมาราวฟ้ากับเหว

กลับกัน ตั้งแต่เมื่อเขารู้ว่างานของผมคืออะไร เขามักจะคอยถามถึงรายละเอียดและปัญหาของงานที่ผมต้องประสบ รับฟังสิ่งที่ผมเล่าอย่างตั้งใจ และเขายังกล้าเสนอตัวเข้ามาแก้ปัญหาในการทำงานอันหนักหนาสาหัสของผมได้อย่างตรงจุด...
.
.
.
...แม้จะไม่ตรงใจของผมเท่าไรก็เถอะ เฮอะ!!


นอกจากการยอมรับเรื่องงาน...เขายังมองข้ามสิ่งที่ผมเป็นภายนอก เขาไม่เคยตำหนิการแต่งกาย การพูดจา หน้าตา ทรงผม หรืออะไรก็ตามที่ทำให้ผมดูต่างออกไปจากคนหมู่มากอย่างที่คนอื่นมักจะทำให้ผมเสียความรู้สึกเวลาที่พวกเขาได้ยินผมพูดเป็นครั้งแรก....และเขาไม่เคยเมินผม ถึงผมจะเป็นฝ่ายทำเฉยใส่เขาอยู่บ่อยครั้งก็ตามที

จริงสินะ...ผมนี่แย่จริงๆ! ผมลืมไป...ว่าผมยังไม่เคยแนะนำตัวเองให้พวกคุณได้รู้จักเลย แต่ขอออกตัวก่อนนะครับว่า ผมเป็นคนไม่ชอบพูดถึงตัวเองมากเท่าไรนัก... แต่ที่คุณจะได้อ่านต่อไปนี้ คือสิ่งที่ผมจำเป็นต้องบอกกับพวกคุณเอาไว้ ก่อนที่เรื่องของเราจะดำเนินไปไกลกว่านี้ หวังว่าพวกคุณจะทนอ่านมันผ่านตาไหวนะครับ

หลังจากนี้ พวกคุณจะรู้จักผมในชื่อเรียกง่ายๆว่าขนุน... ตอนเด็กๆผมสายตาสั้นมาก  โตขึ้นมา...ผมเลยกลายเป็นหนุ่มแว่นไปโดยปริยาย ผิวขาว ผมหยักศกยาวพอดีบ่า หน้าตาปานกลาง รูปร่างผอม

ด้วยความที่ผมทำอาชีพนักเขียน ผมมักจะมีคลังคำศัพท์มากมายอยู่ในหัว...
ข้อดีของมันอยู่ที่ มันทำให้ผมสามารถเขียนนิยายได้อย่างลื่นไหล ใช้คำได้อย่างหลากหลาย...
ส่วนข้อเสียอันโดดเด่นล้ำหน้าเกินใครนั้น คงหนีไม่พ้น...การพูดจาแปลกๆเวลาต้องอยู่ต่อหน้าคนที่ผมไม่สนิทด้วย...
ถ้าต้องให้อธิบาย...ผมว่าพวกคุณลองกูเกิ้ลหาตัวอย่างหนังสือราชการ หรือประกาศสำนักรัฐมนตรีฉบับไหนก็ได้ขึ้นมาลองอ่านออกเสียงดู สลับกับการพูดประโยคอะไรก็ได้ตามปกติของคุณ  นั่นล่ะ...คือบรรยากาศในการพูดคุยกับผมแบบตัวต่อตัว แปลกเข้าทีไม่หยอกใช่ไหมครับ?

ผมเป็นคนไม่ชอบแต่งตัว และมองว่าเรื่องการแต่งกายเป็นเพียงแค่เปลือกภายนอกที่ไม่สลักสำคัญอะไร...ผมจึงมักจะแต่งตัวสบายๆ ง่ายๆเป็นสรณะ  แต่ดูเหมือนใครๆก็ลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า ไอ้เปลือกนอกที่ผมเลือกใส่อยู่ทุกวันนี้ มันสร้างมลพิษทางสายตาให้กับคนอื่นๆอยู่เสมอ...

...น่า ผมว่ามันก็ไม่แย่อะไรขนาดนั้นเสียหน่อย...
...อีกอย่าง ผมจะไปใส่ใจอะไรกับคำพิพากษาตัวผมแบบผิดๆ ที่ออกจากปากของอีโกอิสต์ที่คิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาลที่เดินกันเพ่นพ่านเต็มถนนไปหมดในเวลานี้กัน

และสิ่งสุดท้ายที่คุณควรรู้เกี่ยวกับตัวผม ก็คือ...ผมเป็นเกย์รุกมาตั้งแต่ที่รู้ตัวว่าชอบผู้ชาย

คุณว่า...ถ้าเป็นคุณ แล้วต้องมาเจอคนที่มีลักษณะเฉพาะตัวโดยสังเขปแบบผม...คุณจะมองผมอย่างไรกันล่ะ?
ผมเข้าใจนะ หากคุณจะแสดงอาการไม่ยอมรับ รังเกียจ ดูถูก เยาะหยัน หรืออะไรก็แล้วแต่...เพราะผมยอมรับโดยดุษฎี ว่ามันเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของคุณ ที่จะทำแบบนั้นเมื่อไรก็ได้ ตราบใดที่คุณไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร และผมเคารพทุกความเห็นของคนอื่นๆเสมอ
.
.
.
แต่เขาคนนี้....ไม่เคยสนใจอะไรกับสิ่งที่ผมเป็นเลยแม้แต่นิดเดียว
หรือเมื่อก่อน เขาอาจจะเคยเป็นบ้าง... แต่เท่าที่ผมเห็นเวลานี้ ผมคิดว่าเขามองข้ามเรื่องภายนอกจิ๊บจ้อยพวกนั้นไปแล้วล่ะ

ไม่เท่านั้น....เขายังคอยให้กำลังใจผมเวลาที่ผมหลุดพูดด้วยความน้อยอกน้อยใจถึงสิ่งที่ผมเป็นอยู่ทุกครั้ง และที่สำคัญที่สุดคือ เขาเทความสนใจให้กับผมมากกว่าใครคนใดที่ผมเคยพบเจอ กระทั่งคนที่ผมแอบชอบคนล่าสุด...ยังดีกับผมไม่ได้ครึ่งหนึ่งของสิ่งที่เขาเป็นเลยล่ะ


เรื่องสุดท้ายเกี่ยวกับตัวผมซึ่งเมื่อเขาเปิดใจยอมรับมันได้แล้ว และทำให้ผมต้องยอมลงให้เขาจริงๆ...คงจะเป็น ตอนที่เขารู้ความลับของเรื่องเพศของผม แต่เขากลับไม่มีท่าทางหมางเมิน หรือรังเกียจใดๆ

ยิ่งเรารู้จักกันมากขึ้นเรื่อยๆ ผมกลับยิ่งรู้สึกว่า เขาเริ่มจะรุกล้ำกล้ำกลายเข้ามามีบทบาทกับเรื่องทางเพศของผมมากขึ้นตามลำดับ จนในท้ายที่สุด...เราทั้งคู่ก็มาลงเอยด้วยการทำข้อตกลงลับๆ เพื่อช่วยให้ผมได้มีประสบการณ์ความรัก และประสบการณ์ทางเพศไปพร้อมๆกัน โดยที่เขาเอาตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องกับผมแบบเต็มๆ



เอาล่ะ...พวกคุณต้องทนอ่านเรื่องของผมมาเสียยืดยาว ดังนั้น...ผมว่ามันสมควรแก่เวลาที่ผมจะบรรยายคุณสมบัติของเขาให้พวกคุณได้ทำความรู้จักกันเป็นรายการถัดไปจากนี้ 

บอกตรงๆเลยนะครับว่า ตั้งแต่ที่ผมรู้จักกับเขามาสักพัก ผมไม่เคยให้ความสำคัญหรือสนใจอะไรเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว...เรียกว่า ไม่เคยอยู่ในห้วงความคิดเลยจะดีกว่า แต่เมื่อเขายื่นข้อเสนอที่คุณก็รู้ดีว่ามันคืออะไรให้กับผม...ผมจึงหาโอกาสลอบสังเกตคนๆนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนเป็นครั้งแรก

ผู้ชายคนนี้ชื่อน็อต... เขายังเรียนรามฯไม่จบ อายุยี่สิบห้าปีได้ล่ะมั้ง...เห็นเขาว่าอย่างนั้นนะ และนั่นคือข้อมูลส่วนตัวของเขาเท่าที่ผมรู้มาตลอดหลายวันมานี่ นอกนั้น...ผมไม่ค่อยให้ความสนใจเท่าไร

ส่วนนิสัยใจคอของเขาน่ะหรือ...ก็ใช้ได้เลยนะ หึ!

...กับคนอื่น เขาพยายามแสดงให้คนอื่นเข้าใจว่าเขาเป็นคนเลว ปากไม่มีหูรูด ชอบพูดจายียวน  ประมาณว่า...ถ้าจัดให้เขาเป็นตัวเอกในนิยาย คงไม่พ้นพวกหนุ่มแบดบอย ที่เที่ยวกวนประสาท หาเรื่องต่อยตี ปีนเกลียวเที่ยวเหม็นหน้าใครต่อใครไปทั่ว  แต่กับผม...เขาเป็นคนอ่อนโยน สนใจความรู้สึกของผม เป็นห่วง ดูแล และคอยเอาใจผมมากเลยนะ  เว้นแต่เรื่องฝีปาก ที่ไม่ยอมลดราให้สักเท่าไรอยู่เหมือนเดิม

ยกตัวอย่างให้ฟังสักเรื่องก็ได้...เมื่อคืนผมเมามากเพราะเสียใจที่อกหักจากคนที่ผมแอบชอบมาหลายเดือน ถ้าเขาไม่ใส่ใจ ไม่เป็นห่วงผม ผมว่าเขาคงไม่มานั่งหลังขดหลังแข็งดูแลพยาบาลผมจนพอจะเหลือสภาพเป็นคนอยู่บ้างให้เหนื่อยโดยใช่เหตุ  เพราะการปล่อยให้ผมนอนจมกองอ้วกอยู่ที่ไหนสักแห่งให้ได้อายไปอีกหลายวันคงจะเป็นเรื่องที่ทำง่ายกว่าเป็นไหนๆ...ผมพูดถูกใช่ไหมล่ะ?

ส่วนตัวอย่างความน่ารักของน็อตเรื่องอื่นๆน่ะเหรอ... หึ! มีอีกเป็นพะเรอเกวียน แต่เดี๋ยวผมค่อยเอาไว้เล่าให้พวกคุณๆอ่านกันวันหลังจะดีกว่า..... ผมไม่อยากรบรากับบรรดาแม่ยกจัดตั้งของน็อตเสียตั้งแต่ตอนนี้  ถ้าต่อไปข้างหน้า ผมเกิดเผลอไปทำตัวไม่ดีใส่เขาเข้าน่ะ

ข้อดีเกี่ยวกับตัวเขาที่ผมเห็นยังมีอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น...ไม่เซ้าซี้ต่อความยาวสาวความยืดในเรื่องที่ผมไม่อยากพูดถึง ไม่อายที่ต้องไปไหนมาไหนโดยมีผมอยู่ข้างๆ  ทั้งที่ถ้าเป็นคนอื่นที่มีลักษณะรูปกายภายนอกดึงดูดสายตาแบบเขา... อาจเลือกเดินห่างจากผมหลายเมตรเพื่อป้องกันสายตาเข้าใจผิดไปแล้ว.... และที่ดีที่สุด คือ...เขายอมลงให้ผมในสิ่งที่ผมต้องการอยู่เสมอ มันเลยทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนพิเศษ และบางครั้ง...มันกลายเป็นเรื่องสนุกมาก เมื่อได้ลองปั่นหัวพ่อหนุ่มแบดบอยคนนี้ให้หมุนไปทางนั้นที ทางนี้ทีได้ดังใจ

รูปร่างหน้าตาของน็อตโดยรวมนี่บอกได้เลยว่าตรงกันข้ามกับคนที่ผมฝันเอาไว้อย่างสุดขั้ว...

ถ้าจะให้ผมบอกว่าน็อตเป็นอย่างไรน่ะเหรอ ง่ายๆเลย... ผมว่าเขาเหมือนพวกหนุ่มนักบาสฯในทีมมหาวิทยาลัยที่มักจะเด่นดังในหมู่สาวๆ  เขาค่อนข้างสูงและตัวหนาพอสมควร แต่ไม่ใช่พวกกล้ามปูหรอกนะครับ...ซึ่งผมแอบดีใจ เพราะโดยส่วนตัว ผมไม่มักผู้ชายกล้ามใหญ่...กลัวโดนกล้ามหน้าอกตบหน้าจนชาเวลาโผเข้าไปกอดน่ะ

น็อตเป็นคนผิวขาว หน้าตาจัดว่าน่ามอง จมูกโด่ง ปากแดง ด้วยความที่เขาเป็นลูกเสี้ยว ทำให้เมื่อมองบางมุม เขาจะดูคล้ายกับพวกฝรั่งหน้าตี๋...ถึงอย่างนั้น ผมเองก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าหน้าตาอย่างเขาเรียกว่าหล่อได้หรือเปล่า เพราะผมแยกแยะพวกแมนๆไม่ค่อยเก่ง  ขอโทษด้วยนะครับหากผมไม่สามารถทำให้พวกคุณจินตนาการหน้าตาของเขาได้ชัดเจนนัก

ส่วนที่เหลือทั้งหมดนอกจากที่ว่ามานี้...ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ผมไม่ชอบแทบทั้งสิ้น...

...ทั้งรอยสักที่มากจนเกินจะนับ  เมื่อเช้าหลังจากตื่นนอน...ถึงผมจะแฮงค์ สลึมสลือ และมองไม่ค่อยชัด แต่ผมรู้ว่าไอ้ลำตัวท่อนบนเปลือยๆของเขานั่น กลับไม่มีพื้นที่ว่างสีเนื้อเท่าไร เมื่อเทียบกับสีดำๆแดงๆหนักๆยึกยือๆที่พาดอยู่ทั่วไปหมด... อย่างนี้ตอนจะทำรอยจูบทิ้งเอาไว้ตามลำตัวก็ไม่สนุกกันพอดีน่ะสิ

...ทั้งเจาะ และระเบิดร่างกายตรงโน้นตรงนี้ อย่างที่เห็นชัดที่สุดคงจะเป็นหูขวาที่ระเบิดออกเป็นรูกว้างแบบที่มองลอดทะลุรูหูไปแล้วสามารถเห็นอีกฝั่งได้อย่างชัดเจน นี่ถ้าเปิดผ้ามาแล้วเจอว่าเขาไปแอบเจาะน้องชายเอาไว้...ผมจะไม่แปลกใจเลยจริงๆ

...ทั้งทรงผม ที่ไม่ต่างอะไรกับซามูไรสมัยก่อน ดีนะ ที่ผมชอบอ่านการ์ตูนพวกนี้อยู่เป็นทุนเดิม เลยทำใจให้ยอมรับไอ้ผมทรงไถข้างทั้งหัวแล้วเหลืออยู่แต่ไอ้จุกข้างบนได้ไม่ยากเท่าไร แต่ถ้าถามว่าขัดใจไหม...ผมตอบได้เลยว่า มากอยู่...เฮ้อ!

...ที่หนักที่สุด ก็คือ...มาดแบดบอยที่สุดของที่สุดอย่างกับหลุดมาจากแกงค์ยากูซ่าที่ไหนสักแห่ง ซึ่งเจ้าตัวดูออกจะภูมิอกภูมิใจกับมันนักหนา  แต่ในเมื่อเรื่องมันดำเนินมาถึงขั้นนี้ และผมไม่คิดจะเปลี่ยนใจหรือหันหลังกับอีกต่อไป...ผมก็จะเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้.... ก็ทีเขา เขายังทำใจกับสิ่งที่ผมเป็นได้เลยนี่เนอะ



ผมจะบอกอะไรให้ครับ...ระหว่างเราสองคน มีเรื่องแปลกมากๆเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นก่อนเราจะตกลงทำสัญญาร่วมกันเสียอีก...
ผมขอยอมรับอย่างตรงไปตรงมาเลยแล้วกันว่า... แม้เขาจะไม่ใช่คนที่ผมมองหา แต่ผมกลับไม่รู้สึกรังเกียจสัมผัสของเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว... แถมบางที มันกลับทำให้รู้สึกดีเสียด้วยซ้ำ

มาถึงตรงนี้ คุณๆคงจะนึกออกใช่ไหมครับ ว่าเราค่อนข้างจะถึงเนื้อถึงตัวกันพอสมควรตลอดเวลาที่ผ่านมา ตอนแรกๆที่ผมยังไม่รู้ถึงจุดประสงค์ที่เขาหาเรื่องมาเข้าใกล้ผม เราสองคนเคยมีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดกันหลายครั้ง โดยที่ผมไม่เคยคิดอะไรมากเกินไปกว่าเรื่องบังเอิญที่ไม่น่าจดจำเท่านั้น

ผมรู้มาโดยตลอดนะว่า...หลายคืนที่ผ่านมา ที่เรานอนด้วยกัน เขากอดผมเอาไว้เกือบทั้งคืน...

...ผม...ชายผู้เกิดมาเพื่อเป็นฝ่ายรุก กลับต้องมาถูกกอดเอาไว้ในอ้อมแขนของผู้ชายอีกคน ที่มีดีกรีความเป็นชายเหนือกว่า และดูท่าว่าเขาก็น่าจะเป็นรุกเหมือนกัน    ถ้าตามสมการนี้...ผมควรจะรู้สึกเหมือนโดนลูบคม หรือไม่พอใจไปแล้ว แต่สิ่งที่ผมรู้สึก กลับกลายเป็น อบอุ่นในหัวใจและปลอดภัยอย่างที่ผมไม่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิต

หรือจะเป็นตอนที่เขาจับมือผม... ซึ่งสำหรับผู้ชายทั่วๆไป คงไม่มีใครชอบที่ผู้ชายอีกคนอุตริคว้าข้อมือ หรือฝ่ามือของเราไปเกาะกุมเอาไว้นานๆได้โดยไม่รู้สึกแปลกๆหรอก แต่พอเขาทำกับผม...ผมกลับชอบผิวสัมผัสของฝ่ามือกร้านๆใหญ่ๆของเขามากเสียจริงๆ โดยเฉพาะเวลาที่มันลูบไล้หลังมือผมวนไปวนมาอย่างแผ่วเบา

และเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆเมื่อเช้านี้... ซี่งเขาใช้ข้ออ้างว่าเป็นการลงโทษผมกับความวุ่นวายที่ผมทำไว้เมื่อตอนเมา  ถ้าเป็นคนอื่น ผมก็ไม่แน่ใจหรอกนะ ว่าจะยอมนั่งนิ่งๆบนตักเพื่อให้ผู้ชายหน้าไหนหอมแก้มผมได้อย่างใจหลายๆครั้งแบบนั้นหรือเปล่า แต่พอเป็นเขา...พอผมได้กลิ่นของเขาใกล้ๆเท่านั้นแหละ... มันเลยทำให้ผมลืมไปว่า ผมกำลังนั่งไม่ไหวติงให้เขาสำเร็จโทษบนแก้มของผมอยู่เป็นนานสองนาน แถมใจผมมันยังเต้นโครมครามแปลกๆอีกด้วยน่ะสิ




ตลอดเวลาสั้นๆที่เรารู้จักกัน รวมทั้งการกระทำที่พิเศษหลายๆครั้งของเขา ทำให้ผมได้ข้อสรุปว่า เขาชอบผมนะ แม้ว่าต่อหน้าผม ปากเจ้าตัวจะบอกว่าไม่ก็เถอะ... แต่ผมน่ะเคยได้ยินที่เขาสารภาพความรู้สึกที่มีต่อผมในคืนที่สองที่เรานอนด้วยกัน... แต่ตอนที่ได้ยินนั้น ผมกลับไม่ได้คิดอะไรเพราะยังติดพันคนในสเปคคนล่าสุดอยู่

ส่วนความรู้สึกของผมน่ะเหรอ... ผมว่าเขาเป็นคนน่ารักใช้ได้ เดาการกระทำและการตัดสินใจได้ง่ายเหมือนอ่านหนังสือ ช่างเอาอกเอาใจผมมากเสียจนไม่มีใครเกิน  เอาจริงเอาจังกับการแก้ปัญหาให้ผมในทุกๆเรื่องแบบนี้ แถมยังแบไต๋ว่าชอบผมด้วยน่ะสิ  แล้วอย่างนี้ จะให้ผมอดใจไม่ลองเล่นไปตามเกมของเขาไหวได้อย่างไรกันล่ะ






ในเมื่อการวิ่งไล่ตามให้ผลตรงกันข้ามกับสิ่งที่หวัง... 
คราวนี้...ผมจะลองเปลี่ยนมาเล่นบทลูกแกะน้อยผู้น่าสงสารที่ถูกไล่ล่าดูสักทีก็คงจะดี... 


ผมจะลดจังหวะการวิ่งหนีกรงเล็บของพ่อเสือหนุ่มจอมวายร้ายให้ช้าลง...
เพื่อจะได้หยุดชื่นชมความงามอันน่ารื่นรมย์ของสองข้างทางระหว่างกำลังวิ่งบ้าง...
เพราะผมเองชักเริ่มอยากจะรู้เหมือนกันว่า ความรู้สึกของการเป็นคนที่ถูกเลือก....มันเป็นอย่างไร 


ถึงตอนจบของเรื่องอาจจะไม่สวยงามและเป็นสุขเหมือนในนิยายที่ผมแต่ง อย่างน้อยๆ...ผมก็พูดได้ว่าผมเต็มที่กับความสัมพันธ์ครั้งนี้ ที่มันอาจทำให้ผมได้เข้าใจการได้รับความรักทั้งทางกายและทางใจเสียที




อ้อ...ผมลืมบอกไปอย่างหนึ่ง... ผมอยากรบกวนคุณๆทั้งหลาย ที่ได้อ่านเรื่องของผมแล้ว... 
...ขอร้องอย่าเพิ่งไปบอกน็อตนะครับ ว่าเขากลายเป็นเป้าหมายใหม่ของผมที่กำลังจะถูกผมจีบเข้าแล้วล่ะ...
...เพราะสุดท้าย ผมอยากเห็นสีหน้าพ่ายแพ้ของเขา เมื่อเขารู้ว่า...หนังสือเล่มที่เขาเคยดูถูกเอาไว้นักหนา จะกลายมาเป็นตำราพิชิตใจของเขาได้น่ะสิ




๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐


2 comments:

  1. โถๆๆๆๆๆ 555555 น็อตเอ๋ย เจ้าพลาดท่าให้ขนุนแล้วล่ะ
    ขนุนจะทำยังไงต่อไปจ้ะ

    มะลิมารุก็รักษาสุขภาพด้วยน้าาา อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยแล้วก็ใกล้หนาวแล้วด้วย
    เลิฟนะเชิฟๆ อิอิ

    ReplyDelete
  2. ฮ่าๆๆๆๆๆ ถึงชื่อของนิยายเรื่องนี้จะดูเหมือนเป็นเรื่องที่เล่าจากปากขนุน แต่เอาเข้าจริงๆ จะเป็นน็อตเล่าเรื่องเยอะมากนะคะ เพราะฉะนั้น...กว่าที่เราจะรู้ว่าขนุนจะเอายังไงต่อ มะลิว่าเราจะงงและไปไม่เป็นไปพร้อมๆกับน็อตเสียก่อน (ขนุนเค้าเป็นพวก...เห็นนางเงียบๆ แต่แผนเพียบนะจ๊ะ อะไรทำนองนี้น่ะค่ะ)

    แต่หวังว่าคุณนาราจะติดตามต่อไปเพือได้รู้คำตอบของขนุนในท้ายที่สุดนะคะ...
    รักคุณนาราค่ะ (ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วง -- คุณนาราเองก็เหมือนกันนะคะ อย่าลืมดูแลตัวเองเน้ออออ อิอิ)

    ReplyDelete