Saturday, August 22, 2015

Ħ บน บาน ศาล รัก Ħ The 23rd Blessing || 22.08.2015



วันนี้เรารีบเอาตอนใหม่มาลงโดยไม่ได้ตอบความเห็นใดๆทั้งสิ้น
พร้อมกับมาส่งใบลาจนถึงวันเสาร์หน้าเลยนะคะ
(พอดีช่วงอาทิตย์หน้าเป็นวันเกิดของสมาชิกหลายๆคนในครอบครัว
เราเลยแน่ใจว่าจะไม่ค่อยมีเวลาเขียนนิยายตอนใหม่แน่ๆค่ะ)

เพราะฉะนั้น...เอาตอนใหม่นี้ไปอ่านกันก่อนเนอะ
ขออภัยหากภาษาแปร่ง คำประหลาด และเนื้อเรื่องแปลกๆ
ทันทีที่เราว่าง เราจะเข้ามา edit คำผิดและตอบความเห็นของตอนที่แล้วค่ะ
รักคนอ่านทุกๆท่านอย่างแรงเลยค่ะ ^_^

รักชอบประการใด...ฝากความเห็นทิ้งท้ายเอาไว้ได้นะคะ



Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ



The 23rd Blessing
บ้านชายกลาง...มีชั้นบน มีชั้นล่าง มี(ภู)เขาหน้า มีป่าหลัง มีกระทั่งน้ำตก




“เอาล่ะ เอาล่ะ...พวกมึงทั้งหมดมาขึ้นรถกันได้แล้ว” หนุ่มร่างหมีจัดแจงเรียกรวมเหล่าผู้ร่วมคณะเดินทางที่แตกกระสานซ่านกระเซ็นกันอยู่เต็มลานจอดรถของอพาร์ทเมนท์ให้มาจับจองที่นั่งภายในรถตู้สุดหรูก่อนการเดินทางจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า  

“แถวหน้าของกูกับฟู พวกมึงเข้าไปข้างในเสียดีๆ” เต๋อทำเสียงเข้มใส่รุ่นน้องซึ่งหมายตาที่นั่งตอนหน้าสุดของส่วนผู้โดยสารเพื่อบอกว่าความต้องการนั้น ไม่มีวันเป็นจริงได้... นับว่า ท่าทางข่มขวัญประหนึ่งจิ๊กโก๋รถบัมพ์ช่วยทำให้อะไรๆดำเนินไปอย่างราบรื่นกว่าที่คิดเอาไว้เยอะ

แฝดน้องหัวจุกดันหลังอดีตเดือนบริหารให้เดินนำ 
ฝ่ายร่างบางหน้าง้ำก็ออกอาการต่อต้านอีกครั้งเมื่อเดินผ่านแฟนเก่าที่ยืนคุยหนุงหนิงกับหนุ่มสถาปัตย์อยู่ใกลๆประตูรถโดยไม่สนใจการปรากฏกายของเขาแม้แต่น้อย  

“คุณเข้าไปก่อนเลย... ยังอีก! ผมบอกให้คุณเข้าไปไง” ฌอนพูดเร่งรัดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์พลางรุนแผ่นหลังของอิ๊กให้ก้าวขึ้นรถตู้โดยเร็ว  ฝ่ายหนุ่มหน้าสวยที่เริ่มจะเหลืออดกับพฤติกรรมโขกสับของอีกฝ่ายที่วุ่นวายกับชีวิตของเขาเสียเต็มประดา ก็ปรายหางตามองหน้าแฝดน้องแล้วบ่นฮึดฮัดในลำคอ

“นายนี่มันเหลือเกินจริงๆ!!


การโต้ตอบด้วยอารมณ์ของทั้งสองหนุ่มผู้ซึ่งเพิ่งเดินขึ้นรถตู้ไปเมื่อครู่นั้น
กระตุ้นไฟแห่งความใคร่รู้ในดวงตาตี่ๆเบื้องหลังเลนส์เว้าหนาของสกลให้ลุกโชนขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ


“หูยยยย! ร้อยวันพันปีไม่เคยได้ยินฌอนศรีของเพื่อนๆพูดประโยคยาวๆด้วยน้ำเสียงก้าวร้าวแบบนี้มาก่อน” ...ใช่...ประเด็นบาดหมางเมื่อกี๊ช่างควรค่าแก่การนำไปใส่สีตีไข่ แล้วเอาไปเล่าต่อแบบสดใหม่อีกสักสามร้อยรอบเสียจริงๆ 

“เห็นทีว่า สกลรีพอร์ตจะต้องดอดไปเก็บภาพบรรยากาศความอาฆาตมาดร้ายของฌอนศรีเสียหน่อยดีกว่า...
...พี่ฌานครับ ขอผมขึ้นรถก่อนนะครับ...ผมอยากนั่งแถวหลังครับ” หนุ่มหน้าแว่นปาดหน้าเค้กแฝดพี่โดยไม่สนความถูกต้อง ที่นั่งข้างๆแฝดน้อง คือ แหล่งข้อมูลเดียวที่เขาจะเสียให้ใครอื่นครอบครองไปมิได้อีกแล้ว!!  

“หึ! ฝักใฝ่ใคร่เรียนรู้ไม่มีเปลี่ยนเลยนะแว่น” ฌานได้แต่ส่ายหัวให้กับความสอดรู้สอดเห็นในเรื่องที่ไม่เป็นสาระของสกลระหว่างก้าวขึ้นรถตามไปนั่งยังที่นั่งเดี่ยวของแถวที่สอง 

เมื่อไม่เหลือปูรุ่นน้องตัวอื่นให้จับใส่กระด้งอีกต่อไป
รุ่นพี่หนุ่มร่างใหญ่จึงหันไปกระแอมเสียงดังใส่ไอ้หน้าหล่อที่ยังยืนป้อน้องรหัสตัวเองอยู่ตลอดเวลาแบบไม่อายฟ้าดิน


“ไปครับบูบู้... เดี๋ยวเรานั่งคู่กันนะครับ” อดีตเดือนมหาลัยเอ่ยชวนแฟนกำมะลอของตน...

เก็กทำหน้าเอือมระอากับบทสนทนาหวานแหววของตนที่ถูกขัดจังหวะมาตั้งแต่เช้าด้วยน้ำมือของเหล่าคนแวดล้อม
ร่างหนาเดินซ้อนหลังชายกลางพลางจับหัวไหล่ทั้งสองข้าง เขาลดระดับใบหน้าลงต่ำเพื่อให้ริมฝีปากลอยเคลียแก้มอีกฝ่ายพลางเอ่ยถามอารามอยากจะเอาอกเอาใจร่างผอมให้ถึงที่สุด

“บูบู้อยากนั่งไหนเอ่ย...ริมหน้าต่างหรือว่าริมทางเดินครับ?”

“โอ๊ย! คุณธันวาครับ...นี่มันรถตู้ ไม่ใช่แก่งคุดคู้แอร์ไลน์!!...
.
...นั่งๆไปก็ใช่ว่าจะเห็นยอดหิมาลัยโผล่ขึ้นมาเหนือยอดหญ้าคาสองข้างทางเสียหน่อย...
...เอาซักที่เถอะครับ จะริมหน้าต่าง จะข้างทางเดิน หรือจะเหินขึ้นไปนั่งบนหลังคาก็บอกมาเสียที...
...ผมนี่อยากจะออกเดินทางเต็มแก่แล้วครับ”

เงาของไอ้หนุ่มแว่นที่นั่งตะคุ่มๆอยู่ตรงแถวหลังส่งเสียงแดกดันดังไปทั่วทั้งคันรถ...
สกลจัดเป็นสายโหดด้านการแอบฟังเสียนี่กระไร ไม่ว่าจะอยู่ในระยะใกล้หรือไกล ความเอาใจใส่ของสกลที่มีให้ทุกคนก็ไม่เคยตกหล่นเลยสักครั้ง


“เร็วๆหน่อยพวกมึง เดี๋ยวกังฟูกลับมา พวกมึงจะไม่ได้นั่งด้วยกันนะ” เต๋อให้สติหนุ่มรูปงาม

“ครับๆพี่เต๋อ... งั้นบูบู้ขึ้นก่อนแล้วกันเนอะ”

“เก็กอย่าเก็บเอาขี้ปากแว่นมาใส่ใจเลยนะ แว่นมันกำลังห้าวเพราะหวังกับทริปครั้งนี้เอาไว้มากน่ะ” แฝดพี่รีบอธิบายให้อดีตเดือนมหาลัยเข้าใจธรรมชาติอันร้ายกาจของเพื่อนซี้หน้าแว่นหลังจากคู่รักปักหลักตรงเบาะคู่ได้สักพัก


“ผมก็ไม่อยากเอาไม้สั้นไปรันขี้สักเท่าไรหรอกพี่ฌาน”  หนุ่มหล่อดีกรีมหาลัยยักไหล่เพราะส่วนใหญ่ คำพูดของสกลมักจะลอยเข้าหูซ้ายแล้วทะลุผ่านหูขวาของเขาออกไปโดยไม่มีหลงเหลือติดใจเขาเหมือนคำพูดของคนอื่น


หลังจากการฟาดปากระหว่างเหล่าสมุนเลวว่าด้วยทำเลการนั่งสิ้นสุดลงได้เพียงไม่นาน...
การต่อสู้ช่วงชิงจุดยุทธศาสตร์ระหว่างรุ่นพี่ร่างหนาทั้งสองก็เริ่มขึ้นทันทีที่ด้วงเดินล่วงหน้าออกจากห้องน้ำเพื่อมาตกลงเรื่องที่นั่งกับเต๋อให้แล้วเสร็จก่อนที่ร่างเล็กจะตามมาสมทบกับคนอื่นๆที่รถเป็นคนสุดท้าย


“มึงขึ้นไปก่อนเลยกะเทย” ร่างหนาซึ่งยืนค้ำตระหง่านเต็มหน้าประตูทางขึ้นรถตู้สั่งห้วนๆ...

เต๋อไม่มีวันปล่อยให้ร่างเล็กคลาดสายตาไปได้
หากหนุ่มสถาปัตย์ชะล่าใจเพียงครู่เดียว อริผมยาวต้องเข้ามามีเอี่ยวกับตำแหน่งการนั่งรถตู้ของกังฟูเป็นแน่

จริงดังคาด... ด้วงเองก็ไม่คิดอ่อนข้อให้กับหนุ่มร่างหมีแต่อย่างใด
หากปล่อยให้อีกฝ่ายได้ชัยภูมิที่ดีในการนั่งไปตลอดสามชั่วโมงข้างหน้า คนปากว่ามือถึงอย่างเต๋ออาจล่วงเกินกังฟูไปถึงไหนต่อไหน... สาเหตุที่เขาไม่ไว้ใจ คงเป็นเพราะจิตใต้สำนึกของตัวเองก็คิดวนเวียนถึงเรื่องเหล่านั้นอยู่ทุกลมหายใจไม่ต่างกัน


“ไม่ได้... เราจะรอให้ฟูขึ้นก่อน!!” หนุ่มผมยาวประกาศความต้องการอย่างชัดแจ้ง

“เรื่อง?!! เดี๋ยวมึงก็ตุกติกอีกอ่ะ” หนุ่มร่างหมีที่หนากว่าอีกฝ่ายนิดหน่อยแสยะพลางย่างสามขุมเข้าหาอีกฝ่ายเพื่อขู่ขวัญ แต่นั่นไม่ได้ทำให้ด้วงสะเทือน   

“เรายอมนายเรื่องรถแล้ว ถึงตานายยอมเราเรื่องที่นั่งมั่งดิ” หนุ่มวิศวะไม่ยอมลดราวาศอกให้สักนิด

“ก็กูบอกแล้วไงว่ากูยอมใช้รถตู้บ้านมึงก็ได้ แต่ต้องให้ฟูมานั่งตักกู สุดท้ายมึงก็ไม่ยอม...
.
...มึงเลือกนั่งรถกูเองนี่หว่า แล้วอย่างนี้จะมาบอกว่ายอมกูก่อนได้ยังไง?” หนุ่มร่างหมียอกย้อนพลางส่งใบหน้ายียวนชวนปลายประสาทฝ่าเท้าไปให้ด้วงเชยชมเป็นขวัญตา

เต๋อและด้วงไม่ทันรู้ตัวเลยว่า ร่างเล็กผู้เป็นสาเหตุแห่งการทุ่มเถียงกันเหมือนเด็กแย่งหุ่นยนต์ของทั้งสอง
เฝ้ามองภาพน่าอนาถของทั้งคู่มาตั้งแต่เปิดประเด็น

“โอ๊ย!! พวกมึงหยุดทะเลาะกันได้แล้ว!!! เดี๋ยวกูก็ไม่ไปแม่งซะเลยนิ!!” กังฟูห้ามมวยด้วยน้ำเสียงเหลืออด ร่างเล็กเลื่อนสายตาจากใบหน้าเศร้าสลดของหนุ่มรุ่นพี่ทั้งสองกวาดมองไปทั่วรถ ก่อนจะสะดุดเข้ากับน้องชายที่นั่งผนึกสีข้างรวมเข้ากับไอ้เด็กบูบู้จนแทบจะยู่เป็นก้อนเดียว   “ไอ้สัดเก็ก... ใครบอกให้มึงนั่งกับไอ้บูบู้?!! มึงลงมานั่งข้างกูเดี๋ยวนี้นะ!!” กังฟูแผลงฤทธิ์วาจากัมปนาทอย่างกึกก้อง...

นับวัน น้องชายตัวดีของเขาก็มักจะหาโอกาสแว่บไปอยู่ใกล้ๆกับไอ้เด็กบูบู้เสียจนไม่เป็นอันทำอะไร...
ถ้าขืนเขาปล่อยไอ้เด็กบูบู้หลงระเริง มันอาจจะเหลิงจนสำคัญตัวผิด คอยปั่นหัวให้น้องชายจนไม่ฟังคำสอนสั่งของเขาอีกต่อไปก็เป็นได้

ฝ่ายด้วงที่มองเห็นลู่ทางสกัดกั้นไม่ให้เต๋อได้ใช้เวลาช่วงปิดเทอมกับพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยได้  
ก็อาศัยยกคำพูดที่ร่างเล็กเอ่ยเมื่อครู่เพื่อใช้เป็นข้ออ้างปลีกตัวกังฟูและเขาออกจากเหล่าคนไร้สมองทันที


“ดีเหมือนกัน เรากลับบ้านกันเถอะนะฟู... อยู่กับพวกนี้แล้วปวดหัวจะตาย” ด้วงฉุดแขนของกังฟูที่ยืนชี้หน้าเท้าเอวกางขาด่าน้องอย่างออกรสออกชาติให้ออกเดิน... แต่ร่างเล็กซึ่งวัดกำลังและความดื้อด้านกับน้องชายกลับเมินและไม่ยอมขยับเขยื้อนกายไปไหน


“ไอ้เหี้ยเก็ก!! กูบอกให้ลงมาเดี๋ยวนี้!!!! ถ้ามึงยังขืนดื้อดึงมากๆ ทั้งกูทั้งมึงก็ไม่ต้องไปบ้านไอ้เหี้ยบูบู้มันหรอก!” ผู้เป็นพี่งัดไม้ตายออกมาใช้เพียงหวังให้อดีตเดือนมหาลัยหวาดกลัวจนลนลาน   ทว่ากลเม็ดดังกล่าวดูจะได้ผลดีกับหนุ่มร่างหมีมากกว่าไอ้น้องชั่วที่รู้ไส้รู้พุงกันมานานหลายปี

“เฮ่ย! ได้ไงอ่ะครับฟู? ไหนฟูบอกว่าอยากไปเที่ยวกับเต๋อไง?” หนุ่มสถาปัตย์บ่นหงุงหงิงพลางทำท่าประหนึ่งหมีบราวน์เศร้าสร้อย

“ละเมอหรือสัด?!!?...ไอ้เหี้ยเก็ก!!!!” ร่างเล็กแสดงทักษะทำหลายสิ่งในเวลาเดียวกันได้อย่างดีเยี่ยมโดยการหันไปพ่นไฟใส่เต๋อที่มุมหางตาข้างหนึ่ง  แล้วจึงตวัดใบหน้าไปจิกด่าน้องชายตัวเองด้านในรถได้อย่างต่อเนื่องไม่มีติดขัด

“นี่ไงครับ...ที่เราไลน์จีบกันเมื่อคืน ฟูจำไม่ได้เหรอ?”

จังหวะที่เต๋อร่ำๆจะควักมือถือออกมาเปิดหน้าจอยืนยันด้วยหลักฐานเป็นบทสนทนาดังกล่าวให้คนทั้งโลกได้ร่วมเป็นพยาน
ร่างเล็กก็ยอมละสายตาจากน้องชายชั่วคราวเพื่อหยุดยั้งความตั้งใจของชายร่างหมีเอากลางคัน...
สิ่งที่เขากับเต๋อคุยกัน มันควรจะเป็นเรื่องของเขาสองคนเท่านั้นไปจนวันตายไม่ใช่หรือ?!


“จิ๊!! ใครจีบกับมึง?! ตอนนั้นกูแผ่เมตตาอยู่หรอกไอ้ควายยยยย!!!

“เอ้า เอ้า! ตรงนั้นน่ะยังจะเถียงกันยันเช้าเลยไหมครับ? ล้อจะหมุนวันนี้ครับ ไม่ใช่ปีนหน้า” และแล้วพ่อหนุ่มสกลคนกล้า ก็กระโดดเข้ามาห้ามศึกเอาไว้อีกครั้งจนได้...

บางทีการสละตนล่อเป้าเพื่อรักษาสันติภาพ... หรือเพื่อกำราบความทุกข์ยากของคนส่วนใหญ่
แทบไม่ต่างอะไรกับการเอ่ยวาจาหมาไม่แหลก ท่ามกลางความแตกแยกของคนสองฝ่ายแบบไม่รู้จักเวล่ำเวลาสักเท่าไรนัก  
หลักๆคงจะคล้ายกับที่หนุ่มหน้าแว่นมักจะทำอยู่เป็นประจำดังเช่นขณะนี้...

สกลไม่อาจหลีกหนีชะตากรรมอันยิ่งใหญ่ในฐานะผู้ผดุงความยุติธรรมของเพื่อนผองได้จริงๆ 
แม้เขาจะพยายามฝึกจิตให้นิ่งมาโดยตลอดก็ตามที... อาห์!  ความรู้สึกของการเป็นฮีโร่มันช่างซาบซ่านเสียจริงๆ!


“ไอ้สัดแว่น!!!... ไอ้เหี้ยเก็ก!!!!!” สุดท้ายกังฟูก็ยอมเบนเป้ามายังสกลสมใจ... ทว่าร่างเล็กกลับไม่ยอมรามือจากน้องชายที่แกล้งทำเบื้อใบ้ไม่ตอบสนองใดๆทั้งสิ้น

“เปล่านะครับคุณกรกฏ! ผมไม่ได้พูดนะครับ... โน่นเลย ผมเห็นพี่คนขับเพิ่งหุบปากไปเมื่อกี๊เอง!!” สกลแถอย่างไหลลื่น... ย่อมมีสักครั้งที่ฮีโร่อ่อนแอเต็มกลืน จนต้องฝืนใจโยนความผิดให้ผู้อื่นช่วยแบกรับไปบ้าง...นานๆถี่

“ไอ้ตอแหล!! มึงนั่งอยู่นั่นเลยนะ เดี๋ยวกูจะขึ้นไปจัดการมึงเอง!!”  วิถีการโยนระเบิดเวลาลูกใหญ่ของกังฟูย้ายไปยังที่หมายหน้าแว่นในบัดดล ส่วนหนุ่มผมยาวที่ยังมุ่งมั่นกับการจับจิ๋วจอมโวให้ห่างจากไอ้หมีตัวโตก็ไม่ทิ้งความตั้งใจไปง่ายๆเช่นกัน -

“ฮื่อฟู อย่ามีเรื่องกันเลยนะ... เรากลับบ้านกันเถอะ” ด้วงกึ่งจูงกึ่งลากกังฟูกลายๆจนร่างเล็กที่ใช้ปลายเท้าจิกพื้นลานจอดรถเอาไว้ ค่อยๆเคลื่อนตัวห่างออกจากประตูรถตู้มากขึ้นทีละนิด ทีละนิด  

กระนั้น...สุ้มเสียงออดอ้อนของน้องชายที่เอ่ยขึ้นลอยๆทันทีที่รุ่นพี่ร่างจ้อยถอยห่างออกไปเรื่อยๆนั้น
ก็ทำให้กังฟูขืนตัวนิ่งกับที่เพื่อเงี่ยหูสดับการตอบโต้ของคนบนรถทันที


“บูบู้ครับ เค้าหิวจัง... ป้อนแซนด์วิชเค้าหน่อยได้ไหมอ่ะ?” น้ำเสียงของเก็กที่ลอยลมมานั้น ก่อให้เกิดความรู้สึกปั่นป่วนชวนของขึ้นให้กับกังฟูได้ดีเหลือเกิน ฟังแล้วรู้สึกวูบๆจนอยากจะเดินไปกระแทกหมัดใส่หน้าให้ตาเหลือกเป็นที่สุด

“แล้วทำไมพี่หมีไม่กินเองล่ะครับ? มือพี่หมีว่างอยู่ไม่ใช่เหรอ?” เสียงของบ๊วยฟังฉงนฉงายไม่แพ้กับความรู้สึกของพี่ชายอดีตเดือนมหาลัย แต่แล้วคำตอบชวนเลี่ยนของธันวาก็ทำให้กรกฏตัดสินใจได้...

“ฮื่อ... ใช่ที่ไหน เดี๋ยวพอยกขึ้นไปจับแก้มบูบู้...มือเค้าก็ไม่ว่างแล้ว...
.
...นะ ป้อนแซนด์วิชให้เค้าหน่อยนะ...
...ประสบการณ์ป้อนแซนด์วิชครั้งแรกประจำทริปแรกของสองเรา น่าจดจำไม่เบานะครับบูบู้” เสียงนุ่มทุ้มหล่อที่อดีตเดือนมหาลัยเปล่งออกมาตบท้ายนั้น ทำให้คนฟังครั่นเนื้อครั่นตัวเมื่อสัมผัสถึงความหวานชื่นที่ซุกซ่อนอยู่ในเหตุผลที่เก็กหยิบยกมาอ้าง


กังฟูสาบานกับตนเอง ณ บัดนั้นว่า ไม่ว่าอย่างไร...
ไอ้บูบู้กับน้องชายเขาจะต้องตกนรกหมกไหม้ตลอดสามวันของทริปอย่างแน่นอน


“ด้วง! มึงขึ้นไปก่อนเลย!!” พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยสั่งเพื่อนสนิทผมยาวเสียงเข้มจนอีกฝ่ายเลิ่กลั่ก

“เดี๋ยวสิฟู ไหนบอกว่าจะกลับบ้านกับเราไง?”

“ด้วง...อย่าให้กูต้องพูดซ้ำ!!!” ร่างเล็กทั้งผลักทั้งดันด้วงให้เดินกลับไปที่รถตู้ด้วยสีหน้าแน่วแน่เป็นกำลัง

“ก็ได้” หนุ่มผมยาวรับคำร่างเล็กด้วยสีหน้าลำบากใจ... ทำไมเดี๋ยวนี้เขามักจะตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่เสมอๆด้วยนะ?!

ในระหว่างที่กังฟูกำลังง่วนอยู่กับการปีนป่ายขั้นบันไดตามเพื่อนรักขึ้นรถไปนั้น
หนุ่มวิศวะปีสามทั้งสองไม่ทันได้เห็นเต๋อขยิบตาให้กับอดีตเดือนมหาลัยด้วยความขอบอกขอบใจที่อีกฝ่ายช่วยแก้สถานการณ์ได้อย่างเฉียดฉิว จนเขากลับมาเป็นต่ออีกครั้งทั้งที่ไม่ต้องออกแรง

หนุ่มร่างหมีเข้าไปนัดแนะเส้นทางกับคนขับรถ ก่อนจะเดินผิวปากอย่างอารมณ์ดีมาขึ้นรถเป็นคนสุดท้ายตรงเบาะว่างข้างๆร่างเล็กที่ตกอยู่ในภวังค์ระหว่างครุ่นคิดอะไรบางอย่างด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง   

“ออกรถเลยครับพี่โจ้” เต๋อตะโกนบอกคนขับรถที่ที่บ้านส่งมาเพื่อบริการคุณหนูและเพื่อนๆโดยเฉพาะ  


ทันทีที่ล้อหมุน ร่างเล็กตรงเบาะกลางแถวหน้าก็เปลี่ยนท่านั่งเป็นชันเข่าลงบนเบาะรอง เอาหน้าท้องพาดกับพนักพิงหลัง
แล้วตั้งท่าราวกับอยากจะคุยกับหนุ่มๆแถวหลังเสียเต็มประดา ทว่าคู่สนทนาของกังฟูในครั้งนี้กลับไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากแฟนกำมะลอของน้องชายตัวเอง


“ไอ้บูบู้... ไหนมึงลองบรรยายมาซิว่าบ้านมึงนี่มันน่าเที่ยวยังไง?”..ถ้ากังฟูไม่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร ที่ปิดท้ายด้วยรอยยิ้มกระชากจิตรแบบเมื่อครู่นี้... คงทำให้คนมองหายใจได้ทั่วท้องกว่านี้อีกเยอะ

ไม่ใช่แค่บ๊วยแล้วล่ะที่ทำหน้างงเหมือนปลากระพงโดนทุบหัว...
พูดง่ายๆว่าหนุ่มๆทั้งกรุ๊ปทัวร์ในยามนี้ ต่างตั้งข้อสงสัยในใจถึงเจตนาที่แท้จริงของกังฟูกันวุ่นไปหมด
วันนี้เป็นวันกลียุคหรืออย่างไร? ทำไมพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยถึงได้ชวนชายกลางพูดคุยด้วยสีหน้าท่าทางสนอกสนใจอีกฝ่ายเป็นพิเศษ? ทั้งที่ปกตินี่แทบจะเฉดหัวบ๊วยส่งออกไปนอกโลก...ถ้าเป็นไปได้  

กระนั้น...หนุ่มหน้าแว่นผู้ไม่สนใจใครกลับแสดงสปิริตแห่งแหล่งข่าววงใน
ด้วยการชูแขนตึงขึงรักแร้เพื่อขอใช้สิทธิเปิดปากพูดทันที


“อะไรของมึงไอ้สัดแว่น? ยกมือหาพ่อมึงเหรอ?” พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยถอนหายใจด้วยความเอือมระอาเมื่อเห็นสีหน้าอ้อล้อของสกล

“ผมขอตอบคำถามเมื่อครู่เองครับคุณกรกฏ” หนุ่มหน้าแว่นเฉลยความต้องการอย่างแข็งขัน แต่นั่นไม่ได้ทำให้กังฟูสมเพชในท่าทางอวดรู้ของรุ่นน้องต่างคณะจนยอมใจโดยง่ายเหมือนใครหลายๆคน

“มึงชื่อไอ้บูบู้หรือไง?” เจ้าของคำถามปรายตามองไอ้เด็กหน้าแว่นอย่างไม่ใยดี

“เปล่าครับ แต่ผมไปเที่ยวบ้านบูบู้มาบ่อยราวกับบ้านหลังที่สองของตัวเองเลยครับ” สกลโอ่ด้วยความภาคภูมิใจ...

แม้ลูกหลานครอบครัวคนจีนในย่านเจริญกรุงอย่างเขาจะไม่มีบ้านอยู่ต่างจังหวัดเหมือนเพื่อนรักคนนี้
แต่ตั้งแต่เริ่มเรียนระดับมัธยม... ทุกๆปิดเทอม เขามักจะขออนุญาตที่บ้านไปพักค้างอ้างแรมที่ไร่ของบ๊วยอยู่หลายสัปดาห์
เพราะฉะนั้น นอกจากบ๊วยแล้ว...คงไม่มีใครเหมาะสมกับการให้ข้อมูลเกี่ยวกับไร่แม่บัวได้เจาะลึกเท่ากับตัวเขาอีกแล้ว


“นี่มึงไม่ละอายใจบ้างเหรอที่เกิดมาแล้วก็เที่ยวทำตัวเป็นกาฝากบ้านคนอื่นอยู่แบบนี้น่ะ?” พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยตอกหน้าสกลจนเงิบ และเมื่อหนุ่มรุ่นพี่เห็นริมฝีปากของหนุ่มหน้าแว่นเพยิบพยาบคล้ายจะเถียงสู้ กังฟูก็พูดแซงด้วยสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ใส่อีกฝ่ายจนเสียโอกาส

“พอเลย พอเลย มึงเก็บปากของมึงไปได้เลย กูถามใคร ก็ให้ไอ้คนนั้นมันตอบเองสิวะ!!” คนพูดส่งสายตากดดันแฟนใหม่น้องชายจนบ๊วยต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆอยู่นานสองนานระหว่างเรียบเรียงคำตอบของตน

“เอ่อ... ผมก็ไม่คิดว่าบ้านผมน่าเที่ยวนักหรอกครับ เพราะแถวๆบ้านผมเป็นเพียงชุมชนชาวไร่ธรรมดาๆ...
.
...จะพิเศษหน่อยก็ตรงที่อยู่ไม่ไกลจากเขาใหญ่ และตัวเมืองปากช่องเท่าไรนักน่ะครับเฮียฟู” บ๊วยเอ่ยเรียบๆ

คำตอบที่สะท้อนความสมถะของเจ้าบ้านทำให้กังฟูกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างสาแก่ใจ...
คิดเอาไว้แล้วเชียวว่า ไอ้เด็กบูบู้ต้องไม่มีอะไรน่าสนใจเลยแม้แต่อย่างเดียว... หน้าตาก็บ้านๆ ฐานะก็น่าจะปานกลาง  
รอให้ไปถึงบ้านไร่ปลายนาหลังน้อยของมันเมื่อไร เขาจะแซะให้ไอ้เด็กบูบู้มันกระอักเลือดตาย ค่าที่ไม่มีอะไรคู่ควรกับน้องชายเขาสักนิดเดียว


“ก็นั่นสิ กูถึงได้แปลกใจอยู่นี่ไงว่าทำไมน้องกูถึงใฝ่ต่ำอยากจะมาเที่ยวบ้านมึงนัก ทั้งๆที่ไม่เห็นจะมีอะไรน่าสนใจสักอย่าง...
.
...นี่ถ้ากูรู้ก่อนนะว่าบ้านมึงมันกระจอกอย่างนี้...  
...กูคงแนะนำให้พวกมึงไปเที่ยวบ้านพักตากอากาศของครอบครัวน้องอิ๊กที่เชียงใหม่ สมุย ไม่ก็หัวหินไปแล้ว...
...ใช่ไหมครับน้องอิ๊ก” กังฟูเอ่ยอย่างผู้ชนะ...เรื่องตอกย้ำความไม่เอาไหนของไอ้เด็กบูบู้จอมจืดชืดน่ะ ขอให้เชื่อใจเขาเถิด

“เอ่อ... ครับ” อดีตเดือนบริหารรับสมอ้างอย่างไม่เต็มเสียงนัก...

ภายในใจของอิ๊กถึงกับงงหนัก เพราะชักไม่แน่ใจว่า...ครอบครัวตนเองไปแอบซื้อบ้านพักตากอากาศเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไร?!
ไอ้พี่ชายของอดีตแฟนมันชักจะสตอเบอแหลตาใสเกินไปหน่อยแล้ว


“เอาไว้เฮียเห็นบ้านบูบู้ก่อนแล้วเฮียค่อยตีโพยตีพายดีกว่าไหม? เก็กว่าเฮียออกตัวแรงเกินไปแล้วนะ” อดีตเดือนมหาลัยถึงกับต้องออกโรงปกป้องแฟนหนุ่มเพราะทนคำพูดถากถางของพี่ชายเมื่อครู่ไม่ไหวพลางบีบมือนิ่มให้กำลังใจร่างผอมที่นั่งห่อไหล่จนแทบจะฝังกายหลบไปในซอกเบาะ

“เงียบปากไปเลยไอ้เหี้ยเก็ก! ... หนอย!...แตะนิดแตะหน่อยไม่ได้เลยนะไอ้บูบู้เนี่ย!!” กังฟูด่าสวนด้วยความหงุดหงิด จากที่ตั้งใจจะสะกิดต่อมน้ำตาของเด็กสถาปัตย์ปีสองให้สะใจ  แต่ผลสุดท้าย...เขากลับโดนน้องชายทำให้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเสียเอง

“แหม่...คุณกรกฏครับ ถึงคุณกรกฏจะไม่ได้เป็นพวกโลกสวย แต่ช่วยหยุดนิสัยโลกทรามสักห้าวิจะดีกว่านะครับ...
...เพราะภาพที่คุณกรกฏมโนในใจน่ะ เทียบกับบรรยากาศอันน่าอยู่ของบ้านเพื่อนรักผมไม่ได้สักกระผีก” สกลใช้ช่วงที่กังฟูยังไม่ต่อปากต่อคำพร่ำพรรณนาต่ออีกยกใหญ่

“คุณกรกฏลองนึกถึงบ้านไร่สองชั้นขนาดใหญ่ทำด้วยไม้ทั้งหลัง ตั้งตระหง่านอยู่บนเนิน...
...ข้างหน้าบ้านเป็นทิวเขาสลับซับซ้อน ข้างหลังเป็นป่าใหญ่มีต้นไม้ และดอกไม้นานาพรรณ...
...ลึกเข้าไปด้านในมีลำธารใสแจ๋วที่มีปลาน้อยใหญ่ดำผุดดำว่ายอยู่เต็มไปหมด...
.
...หากเดินเลาะไปตามตลิ่งลึกเข้าไปในป่า ก็จะเจอน้ำตกขนาดย่อมที่สวยจนแทบไม่น่าเชื่อ...
...ช่วงเช้าตรู่จะมีหมอกบางๆโรยตัวแตะยอดเขาเบื้องหน้า ก่อนกลายร่างเป็นน้ำค้างใสแจ๋วแต่งแต้มยอดหญ้าเมื่อแดดยามสายส่องลงมาทักทาย  พลบค่ำเหล่าดวงดารานับร้อยนับพันก็จะออกมาเปล่งประกายแต่งแต้มผืนนภาสีดำสนิท...
...คุณกรกฏพอจะคิดภาพออกแล้วใช่ไหมครับ?”

“เออ! แล้วยังไง?”

“นั่นไม่ใช่บ้านบ๊วยหรอกครับ... แต่มันคือภาพในจินตนาการของผมก่อนจะได้ไปเที่ยวที่บ้านบ๊วยเป็นครั้งแรกต่างหาก”

“ไอ้สัด!!! มึงนี่อ้อนตีนมากเลยนะไอ้เหี้ยแว่น!!!” ถ้าไม่ติดว่านั่งกันคนละโยชน์ ป่านนี้กังฟูคงได้โดดไปโปรดสัตว์สกลจนหมอบไปแล้วแน่ๆ

“แหม่... ผมแค่อยากจะบอกว่า คุณกรกฏไม่ควรทำตัวจิตใจคับแคบจนมองโลกย่ำแย่ไปล่วงหน้าเท่านั้นเองครับ...
.
...อ่ะ อ่ะ... ผมบอกความจริงให้ก็ได้ บ้านบ๊วยน่ะเป็นไร่ปลูกผลหมากรากไม้โน่นนี่เต็มไปหมดเลยครับ...
...พ่อกับแม่บ๊วยใจดีแถมยังเฮฮามากๆเลยครับ...
.
...แต่ไฮไลท์ของบ้านนี้ที่เปรียบเสมือนของดีประจำจังหวัดก็คงจะหนีไม่พ้น...  
...พี่บิว พี่บ็อบ พี่โบ๊ท...พี่สาวสามใบเถาของบ๊วยที่สวยหยาดฟ้ามาดินแบบที่ผู้ชายคนไหนได้เห็นหน้า ก็ต้องอยากมาสมัครเป็นลูกเขยพ่อเขียวกับแม่เบญกันไปเสียทุกรายเลยล่ะครับ”  

ใครก็ตามที่จ้องมองสกลในจังหวะเมื่อครู่อยู่โดยไม่วางสายตา... คงได้เห็นประกายแปลบปลาบของฉาบเลนส์วูบไหวก่อนจะลับหายไปในชั่วพริบตาเหมือนเวลาที่โคนันไขปริศนาได้ ณ ขณะที่หนุ่มหน้าแว่นแสดงความเห็นถึงบรรดาพี่สาวคนสวยทั้งสามของบ๊วย... ช่วยไม่ได้ หากนั่นจะทำให้ขนของคนที่เฝ้ามองตั้งชันกันไปพักใหญ่


“มึงนี่สมควรตายจริงๆนะไอ้สัดแว่น” กังฟูบริภาษหนุ่มหน้าแว่นอย่างสาดเสียเทเสีย แต่ทักษะการเอาตัวรอดของสกลนั้นก็แน่นจนหาตัวจับยากใช่ย่อย

“อุ๊ย! อิ่มแซนด์วิชจังเลย นอนดีกว่า!!” พูดจบหนุ่มหน้าแว่นก็แสร้งม่อยหลับคอพับคออ่อนไปในพริบตา จนคนออกปากด่าถึงกับไปไม่เป็น

“ไอ้สัด!!! เมินกูเหรอ?... อ้าวเฮ่ย! แล้วทำไมพวกมึงถึงหลับกันหมดเลยล่ะ?”

กังฟูเสียงหลงเมื่อผู้โดยสารรุ่นน้องประจำแถวสองและสามต่างใช้มุกแกล้งตายสลายโต๋โดยพร้อมเพรียงกัน
พอไม่มีใครเหลือให้ต่อปากต่อคำด้วย พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยจึงยอมตัดใจนั่งในท่าปกติอย่างช่วยไม่ได้  

ซึ่งเมื่อเวลาคล้อยหลังไปอีกไม่กี่สิบนาที... หลังจากที่โดนเต๋อกับด้วงยัดเยียดโน่นนี่ให้กินจนอิ่ม
ร่างเล็กที่ตรากตรำกับการอ่านตำรับตำรามากว่าสองอาทิตย์ก็หลับตาพริ้มตามหลังคนอื่นๆไปติดๆ
ปล่อยให้เต๋อกับด้วงนั่งสัปงกถ่างตาเป็นยกๆ ผลัดกันยักย้ายเรือนกายอุ่นนุ่มของกังฟูให้มาอยู่ในอ้อมกอดของตน เพราะทนเห็นอีกฝ่ายเอาเปรียบร่างเล็กยามไร้สติไม่ได้


เนื่องจากชาวคณะสลบไสลกันทั้งคันรถจึงไม่มีใครร้องขอให้คนขับจอดพักระหว่างทาง  
ราวๆเที่ยงกว่าๆ รถตู้ของที่บ้านเต๋อก็ลัดเลาะเข้าสู่ถนนสายย่อยในละแวกบ้านของบ๊วยเป็นที่เรียบร้อย  


“คุณพี่โจ้ครับ เลี้ยวซ้ายข้างหน้าเลยครับ.... น่าน นั่นแหละครับ... แล้วพี่ก็ขับตรงตามทางไปเรื่อยๆเลยครับ”  สกลยืดคอยาวร้องกำกับเส้นทางทั้งๆที่นั่งอยู่หลังสุด “ตื่นได้แล้วครับทุกคน!!!... อีกไม่กี่อึดใจข้างหน้าพวกเราก็จะเดินทางเข้าสู่ใจกลางของบ้านไร่แม่บัวกันแล้วล่ะครับ!

น้ำเสียงร่าเริงของหนุ่มสถาปัตย์หน้าแว่นปลุกทุกคนให้ตื่นจากนิทรา
เพื่อออกจากฝันมาพบกับภาพทิวทัศน์งดงามรอบกายที่ไม่ผิดไปจากคำบรรยายของสกลสักเท่าไร  

เมื่อคะเนด้วยตา... ไร่นี้อาจไม่กว้างใหญ่ไพศาลประมาณไร่ที่เห็นได้ทั่วไปในละครหลังข่าว
แต่ก็นับเป็นพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่คล้ายๆแปลงทดลองท้ายมหาลัยของพวกเด็กเกษตร ทว่าจัดสรรพื้นที่ได้ลงตัวมากกว่า
ตลอดสองข้างทางของถนนลูกรังที่ตัดตรงมาจากป้ายทางเข้า เหล่าไม้ผลที่ยืนต้นอย่างเป็นระเบียบถูกตัดแต่งและห่อลูกจนมิดชิด บนเนินเขาสุดทางรถมีเคบินไม้สองชั้นขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางวงล้อมของทิวเขาและป่าไม้... และนั่นคือที่หมายหลักของการเดินทางเช้าวันนี้



“สัดแว่น! ไหนมึงบอกว่าที่มึงบรรยายมายืดยาวนั่นไม่ใช่บ้านไอ้บูบู้มันไง?” กังฟูหันไปแยกเขี้ยวใส่หนุ่มรุ่นน้องต่างคณะที่นั่งยิ้มร่าไม่มีสลด

“อ้าว! ก็นี่ไม่ใช่บ้านเพื่อนบ๊วยจริงๆนี่ครับ...
.
...ที่คุณกรกฏและทุกๆคนเห็นอยู่นี่เป็นบ้านของแม่บัวเมียพ่อเขียวน่ะครับ” ด้วยความรักตัวกลัวตาย ทำให้หลังจากรถตู้จอดสนิทตรงลานกรวดหน้าบ้านหลังงาม สกลก็ตัดสินใจกระเสือกกระสนปีนข้ามแผงเบาะด้านหลัง กระโดดลงหลังรถเพื่อหลบวิถีออกอาวุธของพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยไปยืนหลบอยู่ด้านหลังแฝดพี่ทันที

“แล้วแม่บัวนี่ใครล่ะสกล?” รุ่นพี่ผมยาวรับหน้าถกประเด็นน่าข้องใจแทนเพื่อนรักที่ตนกำลังกักตัวเอาไว้ไม่ให้พุ่งเข้าใส่หนุ่มหน้าแว่นแสนปลิ้นปล้อน

“แม่บัวเป็นแม่ของบ๊วยครับ” พูดจบสกลก็วิ่งปร๋อเข้าไปในบ้านโดยไม่คิดรอใคร  

“เดี๋ยวมึงได้โดนตีนกูแน่ไอ้แว่น!!” กังฟูเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยแผนการถล่มไอ้เด็กบูบู้เรื่องปูมครอบครัวต้องกลายเป็นหมันเพราะหลงปักใจไปผิดทาง... แต่ยังก่อน! เขาจะถอดใจไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ไม่ได้

“ขึ้นบ้านกันก่อนเถอะครับ แม่ผมรออยู่” เจ้าของบ้านเปลี่ยนเรื่อง ก่อนเดินนำขบวนหนุ่มๆที่เหลือเข้าสู่ตัวบ้านโดยไม่รั้งรอ





“แม่บัว...สวัสดีคร๊าบบบบบ” สกลลากเสียงยาวระหว่างวิ่งรี่เข้าไปกอดเจ้าบ้านหญิงวัยราวๆสี่สิบกลางๆด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า  มารดาของบ๊วยผู้ซึ่งยังดูอ่อนกว่าวัยและสวยสง่าแม้ไม่ได้อยู่ในอาภรณ์หรูหราส่งยิ้มละมุนให้เด็กหนุ่มที่เธอรักดั่งลูกชายอีกคน

“อ้าว! น้องแนน มาหาแม่บัวเหรอครับ? นี่หนูสูงขึ้นอีกหรือเปล่าเนี่ยะ?... แล้วลูกชายแม่บัวล่ะ ไม่ได้พามาใช่ไหม?” แม่บัวลูบหน้าลูบตาของหนุ่มแว่นด้วยสัมผัสอ่อนโยน หล่อนถามเพื่อนรักลูกชายด้วยน้ำเสียงสัพยอกถึงบุตรคนเล็ก แม้จะเห็นเงาผอมๆเดินดุ่มๆนำหน้ากลุ่มเด็กชายกลุ่มใหญ่เข้ามาในบ้านแล้วก็ตาม

“หนูอยู่นี่ครับแม่” ร่างผอมร้องเรียกดึงความสนใจของมารดามาแต่ไกล  

ทว่าอยู่ๆถ้อยคำรำพึงรำพันของแม่บัวที่เอ่ยกับหนุ่มหน้าแว่น
ก็เกือบทำให้บ๊วยที่วิ่งกางแขนโผเข้าหาร่างสมส่วนของแม่แทบสะดุดล้มหน้าหงาย


“โธ่น้องแนน! แม่บอกแล้วไงครับว่า ถ้าคราวหน้าหนูมาหาแม่ หนูไม่ต้องพาลูกแม่กลับมาด้วย...ใช้ไม่ได้เลยนะหนูแนนเนี่ยะ!” สกลที่กอดแม่บัวแน่นเหมือนเป็นแม่ตัวเองแลบลิ้นปลิ้นตาใส่บุตรชายแท้ๆของเจ้าหล่อน  ฝั่งบุตรในอุทรกลับทำได้แค่ส่งเสียงกระเง้ากระงอดใส่มารดาที่ยืนส่งเสียงหัวเราะหวานน่าฟัง

“แม่!!

เมื่อเห็นหน้าลูกชายกลายเป็นจวักสมใจ
แม่บัวก็คลายอ้อมกอดออกจากหนุ่มหน้าแว่นเพื่อเดินเข้ามาสวมกอดลูกชายของตนอย่างแนบแน่น


“โอ๋ โอ๋! แม่ไม่แกล้งหนูแล้วนะครับ...กลับมาหาแม่แล้วเหรอครับคนเก่ง?” บ๊วยกระพุ่มมือไหว้มารดา ส่วนผู้เป็นแม่ก็บรรจงหอมแก้มเด็กหนุ่มทั้งซ้ายและขวาอยู่หลายฟอด

“แล้วพ่อกับพวกพี่ๆล่ะครับแม่?” ร่างผอมสอดส่ายสายตามองหาสมาชิกที่เหลือในบ้านด้วยความคาดหวัง เพราะหลังจากเข้ามหาวิทยาลัย บ๊วยต้องรอให้ถึงช่วงเวลาปิดเทอม จึงจะได้กลับมาอยู่บ้านสักครั้ง

“พ่อหนูไปไร่ตั้งแต่ตอนสายแล้วลูก ส่วนพี่เราเขาไปร้าน...พอดีมีลูกค้าสั่งผลไม้เอาไว้เยอะ แล้วนี่ก็ใกล้สิ้นปี...ร้านเราก็ต้องเริ่มจัดกระเช้าแล้วน่ะ  เย็นนี้โน่นแหละถึงจะได้เจอกันพร้อมหน้าพร้อมตา”  แม่บัวกวาดสายตามองไปยังกลุ่มหนุ่มๆทั้งหลายที่ยืนสำรวมกายใจเป็นกลุ่มก้อนอยู่ด้านหลังด้วยความสนอกสนใจ เพราะนี่คือครั้งแรกที่ลูกชายของหล่อนพาเพื่อนฝูงกลุ่มใหญ่มาเที่ยวที่บ้าน

“เหมือนหนูจะเพื่อนๆเยอะขึ้นนะลูก หนูเคยบอกว่ากลุ่มหนูมีกันแค่สี่คนไม่ใช่เหรอ...
.
...เทอมนี้มีคนหลวมตัวมาคบกับพวกหนูเพิ่มขึ้นแล้วเหรอลูก?” แม่บัวถามด้วยสีหน้าตื่นเต้นยิ่งเมื่อได้เห็นว่า หนุ่มๆทั้งหมดที่เหลือ หน้าตาหมดจดถึงขันหล่อเหลาไม่มีเค้าของไก่รองบ่อน หรือหนอนหนังสือดังเช่นลูกชายและเพื่อนสนิทหน้าแว่นเลยสักนิด

“แหม่...แม่บัวครับ ทำพูดเข้า... พวกแนนต่างหากล่ะครับที่ยอมลดตัวไปเกลือกกลั้วด้วย” ...กลุ่มเด็กหนุ่มผู้ถูกพาดพิงเสียๆหายๆต่างถอนหายใจ ไม่ก็กลอกตามองเพดานด้วยความละเหี่ยไปตามๆกัน

“คราวนี้หนูพารุ่นพี่กับเพื่อนต่างคณะมาด้วยครับแม่” บ๊วยอธิบายให้แม่ได้เข้าใจความเป็นจริงเมื่อหวังพึ่งเหตุผลของสกลไม่ได้สักนิดเดียว

“ถ้างั้นเย็นนี้ค่อยพามาแนะนำตัวให้พ่อและพี่ๆเค้ารู้จักเอาไว้แล้วกันนะลูก...
.
...เดี๋ยวพาเพื่อนๆเอาของไปเก็บแล้วล้างหน้าล้างตาที่ห้องกันก่อนนะครับแล้วค่อยลงมากินข้าวกลางวันพร้อมๆกัน...
...แม่เตรียมของโปรดของหนูเอาไว้เยอะเชียวลูก” แม่บัวลูบหัวกระเซิงของลูกชายด้วยความรักใคร่

“ครับ” บ๊วยรับคำมารดาด้วยรอยยิ้มกว้าง

“กินข้าวเสร็จแล้วค่อยพาเพื่อนๆไปเดินเล่นในไร่ หรือจะไปเล่นน้ำกันก็ได้ เมื่อสองวันก่อนฝนเพิ่งตกไป...
...คนงานบอกว่าตอนนี้น้ำเต็มตลิ่งใสกิ๊งน่าเล่นเชียวลูก”  

“ครับ ถ้าอย่างนั้นหนูอาจจะเอารถไปใช้นะครับ”

“จ๊ะ... ไป พาเพื่อนขึ้นไปเก็บของกันก่อนเถอะ” ฝ่ามือของแม่บัวแตะเบาๆบนแผ่นหลังบางของลูกชายให้รีบทำตามคำแนะนำ แต่ยังไม่ทันที่บ๊วยจะได้เคลื่อนมวลกายไปไหน  อดีตเดือนมหาลัยก็เสียบเข้ามาทำคะแนนกับว่าที่แม่ยายทันที

“สวัสดีครับคุณแม่” เก็กยกมือขึ้นไหว้แล้วแจกจ่ายรอยยิ้มการค้าเข้าตาแม่ภรรยาอย่างจัง

“นี่ก็เพื่อนหนูเหรอลูก?” แม่บัวหันไปถามลูกชายของหล่อนด้วยความสงสัย...และหากจะบอกว่าหล่อนประทับใจในหน้าตาและสัมมาคารวะของอีกฝ่ายก็คงจะไม่เกินไปนัก

“เปล่าครับ...ผมเ / พี่หมีครับ เค้าว่าเราเอาของขึ้นไปเก็บก่อนดีกว่าครับ” ชายกลางเอ่ยประโยครวบตึงสถานการณ์ ก่อนที่มารดาจะได้ยินเรื่องไม่เหมาะไม่ควรออกจากปากร่างสูงผู้มุ่งมั่นกับการประกาศสถานะระหว่างเขาทั้งสองคนเสียเหลือเกิน -

“เอ่อครับ...ก็ได้ครับ... เดี๋ยวผมลงมาหานะครับคุณแม่”

เก็กรับคำแฟนกำมะลอด้วยสีหน้าทะเล้น
ก่อนจะหันไปออดอ้อนว่าที่แม่ใหม่ด้วยการใช้สายตาลูกหมาหลงทางเพื่อจับจองที่ว่างในใจของแม่บัวเสียแต่เนิ่นๆ  

ฝ่ายคนเป็นแม่ซึ่งรับรู้ถึงความผิดปกติของลูกชายที่เพิ่งเดินก้มหน้างุดๆไปยังบันไดโดยไม่พูดไม่จากับใครได้นั้น  
ก็รับคำหนุ่มหล่อดีกรีเดือนมหาลัยด้วยประโยคชวนยิ้มได้ตามประสาคนอารมณ์ดีเป็นทุน


“จ๊ะ...ไปเถอะลูก..นี่บ้านแม่ แม่ไม่หนีหนูไปไหนหรอก”  


“หึ! น้องแนน...ชื่อเล่นน่ารักนะแว่น” แฝดพี่เอ่ยลอยๆด้วยน้ำเสียงชอบใจระหว่างเดินหิ้วกระเป๋าตามหลังอดีตเดือนมหาลัยผ่านหน้าสกลไป ฝ่ายผู้เสียหายที่ได้ยินดังนั้นก็รีบส่งเสียงอ้อนวอนออกมาด้วยความเดือดเนื้อร้อนใจเป็นยิ่งนัก

“โห่...พี่ฌานครับ เรียกผมว่าสกลเถอะครับผมขอร้อง”...สีหน้าของหนุ่มแว่นดูย่ำแย่อย่างที่ไม่เคยเป็น นอกจากบ๊วยที่บังเอิญสนิทกันตั้งแต่ชั้นอนุบาล สกลก็ไม่เคยเปิดเผยชื่อเล่นที่ป๊าม้าตั้งให้กับใครมาก่อน เพราะการถูกคนอื่นล้อชื่อบ่อยๆ ไม่ใช่เรื่องน่าอภิรมย์สักเท่าไร

“น้องแนน น้องแนน น้องแนน น้องแนน น้องแนน น้องแนน น้องแนน น้องแนน น้องแนน น้องแนน...   แม้แฝดพี่จะรามือไปง่ายๆ ทว่าฌอนกลับเดินท่องชื่อเล่นของสกลไปตลอดทางระหว่างเดินนำหน้าอิ๊กที่ก้มหน้าก้มตาถือกระเป๋าสองใบตามหลังแฝดน้องไปต้อยๆ

“น้องแนนจะไม่ขึ้นไปล้างหน้าล้างตาหน่อยเหรอลูก?”

“ไปครับแม่บัว ไปเดี๋ยวนี้เลยครับ”  ฌานส่งยิ้มหวานให้มารดาของบ๊วยแล้วจึงออกเดินตามหลังเพื่อนหน้าแว่นขึ้นชั้นสองโดยไม่พูดไม่จา ทว่าแฝดพี่กลับไม่หยุดส่งสายตาล้อเลียนไปให้สกลไม่ได้ขาด

“กะเทย... มึงปล่อยมือจากกระเป๋าฟูเดี๋ยวนี้ กูจะถือขึ้นไปเอง!!

เต๋อแทบจะจิกหัวด้วงเพื่อแย่งเป้ใบน้อยในมือมาถือไว้เอง แต่เพราะเกรงใจมารดาของน้องรหัสที่ยังยืนยิ้มให้พวกเขาอยู่
เลยทำให้ทั้งหมดเกิดอาการกระอักกระอ่วนจนไม่อาจรวนอีกฝ่ายได้ตามปกติ
ฝ่ายหนุ่มผมยาวก็รีบย้ายเป้ของกังฟูไปหนีบรักแร้อีกฝั่งเพื่อหลบให้พ้นจากเงื้อมมือยื้อแย่งของเต๋อ ก่อนจะบอกปัดอย่างสุภาพ


“นายก็หิ้วของๆนายไปสิ กระเป๋าฟูใบแค่นี้เราถือได้”

“พวกมึงเถียงกันไปนะ กูไปล่ะ” กังฟูส่ายหัวอย่างอ่อนใจก่อนจะเดินเชิดหน้าปาดสองหมีขึ้นไปชั้นสองโดยไม่ใยดี

“ถ้ามึงอยากถือนักก็ถือไปเถอะกะเทย... มึงได้แค่กระเป๋าฟู แต่กูได้ทั้งตัวและหัวใจเลยเว่ย”  


สิ้นคำของเต๋อ แม่บัวผู้ยืนสังเกตเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่เงียบๆ
ก็ได้เห็นสองหนุ่มร่างสูงใหญ่วิ่งตึงตังเบียดไหล่กันเพื่อหาทางตีคู่กับร่างเล็กที่เดินนำด้วยความไม่ใส่ใจเป็นภาพปิดท้าย
จากนั้นหล่อนจึงบ่ายหน้าออกไปจ่ายตลาดเพื่อจัดเตรียมอาหารมื้อใหญ่ให้บรรดาเด็กหนุ่มทั้งหลายในค่ำคืนนี้


Ħ------------------------------------------------------------------------Ħ


“บ้านน้องบ๊วยนี่กว้างมากเลยนะครับ” ด้วงชวนรุ่นน้องต่างคณะที่เดินข้างๆคุยหลังจากทั้งหมดอิ่มหนำสำราญจากอาหารกลางวันมื้อใหญ่ที่เจ้าบ้านหญิงเตรียมเอาไว้ให้ ทั้งหมดกำลังมุ่งหน้าไปยังลำธารใหญ่ที่อยู่ไม่ห่างจากตัวบ้านเท่าไรนัก

“ไม่หรอกครับ ถ้าเทียบกับไร่อื่นๆแถวนี้...ไร่นี้เล็กที่สุดแล้วล่ะครับพี่ด้วง”

“หึ! ทำมาเป็นถ่อมตัว คิดว่าจะช่วยให้ดูดีขึ้นหรือไง?... ก็แค่ไร่แค่ป่านั่นแหละว้า ไม่เห็นจะน่าตื่นเต้นที่ตรงไหน” คำพูดฉีกหน้าของกังฟูเดินทางมาพร้อมใบหน้าเหยียดหยัน

ตั้งแต่ได้สำรวจพื้นที่โดยรอบผ่านสายตาคร่าวๆ
รุ่นพี่ร่างเล็กก็แสดงท่าทางตั้งแง่ใส่สภาพแวดล้อม และสิ่งปลูกสร้างต่างๆภายในบ้านไร่ของไอ้เด็กบูบู้อย่างเต็มที่...
ซึ่งดูแล้ว คงจะมีเพียงพี่ชายของอดีตเดือนมหาลัยคนเดียวเท่านั้นที่ตั้งใจทำตรงข้ามกับความรู้สึกภายในไปเรื่อยๆโดยไม่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า


“วู้วววววว!!” สกลวิ่งฝ่าหนุ่มๆทั้งวงพลางถอดเสื้อยืดทิ้งลงข้างตลิ่งแล้วจึงกระโดดลงน้ำไปดำผุดดำว่ายอย่างคล่องแคล่ว

กาก!!!!” กังฟูตะโกนด่าไล่หลังด้วยน้ำเสียงดูถูกดูแคลน “กระโดดน้ำมันต้องอย่างนี้เว่ย!” ว่าแล้วพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยก็ถอดเสื้อก่อนกระโดดม้วนตัวลงน้ำอย่างสวยงาม

“อืม... นั่นไม่ได้เรียกว่าตื่นเต้นเลยให้ตาย” แฝดพี่อดชื่นชมความซึนของกังฟูไม่ได้... เห็นคอยแต่จะหาเรื่องว่าร้าย แต่ลืมตัวเมื่อไร เป็นต้องได้แสดงปฏิกิริยาตรงกันข้ามกับคำพูดไปเสียทุกที   

“ไปเล่นน้ำกันเถอะครับพี่ชาย”

“หึ หึ หึ... ไปสิ” ฌานตอบรับคำชวนของแฝดน้องโดยไม่ลังเล 

ระหว่างแฝดพี่ค่อยๆหย่อนตัวลงสู่ผืนน้ำใสเย็น
สายตาคมทรงอำนาจก็จับจ้องพฤติกรรมแปลกประหลาดของฌอน ที่แสดงออกยามอยู่ต่อหน้าอดีตเดือนบริหารโดยไม่คลาดสายตา...

ไม่บ่อย...ที่น้องชายฝาแฝดของเขาจะแสดงอารมณ์ และสีหน้าหลากหลายออกมาให้เห็นโดยง่ายดายดังเช่นที่เป็นอยู่  
เขารู้ดีว่าฌอนกำลังมีความสุข ยิ่งได้ลากคอเสื้อโปโลของอิ๊กเพื่อพาร่างบางให้มุ่งหน้าไปยังลำธารทั้งที่อีกฝ่ายขัดขืนดิ้นรน... ประกายแวววาวแห่งความสุขก็ยิ่งฉายชัดอยู่ในแววตาของฝาแฝดผู้น้องจนเห็นได้ชัด


“ปล่อยยยดี้!!” แค่เสียงแหกปากตะโกนของอิ๊กดังลอดออกจากริมฝีปากบางเพียงไม่นาน มือหนาที่จับจูงร่างบางเอาไว้นั้นก็เลื่อนไปตลบชายเสื้อด้านหลังขึ้นปิดหัวปิดหูคนโวยวายจนเดินต่อไม่ได้ “มองไม่เห็นโว้ยยยยยย!!”  พอถึงตำแหน่งที่ฌอนพอใจ แฝดน้องก็จับแฟนเก่าเก็กเปลื้องท่อนบนแล้วผลักตกน้ำทันที

“ไอ้นายขอรับบ้า!! บอกว่าไม่เล่น ไม่เล่นยังจะผลักลงมาได้”  อคิราที่หัวและหูดูไม่ได้ในชั่วพริบตากำลังพุ้ยน้ำเป็นลูกหมาเพื่อลอยตัวด่ากราดแฝดน้องด้วยระดับความเหวี่ยงสูงสุด  

กระนั้น...ผู้ก่อการร้ายกลับไม่เสียเวลาต่อกรให้มากความ  ร่างหนากระโดดทุ่มทั้งร่างลงกระทบผิวน้ำแบบสุดตัวตามลงไป
และนั่นทำให้เสียงก่นด่าเมื่อครู่กลายเป็นเสียสำลักน้ำเพราะโดนฌอนสแปลชน้ำใส่หน้าเข้าอย่างจัง


“พี่ด้วงไม่เล่นน้ำเหรอครับ?” เจ้าของบ้านซึ่งแนะนำกิจกรรมดังกล่าวให้แขกทั้งหมดได้รู้จักเอ่ยถามรุ่นพี่ผมยาวด้วยความเป็นห่วง  แต่ด้วงยังไม่ทันได้ตอบคำถาม...พี่รหัสหน้าคมของเขาก็เดินตามมาถล่มอีกฝ่ายเข้าเสียก่อน

“หึ! กะเทยมันไม่กล้าแก้ผ้าต่อหน้าผู้ชายหรอกบ๊วย... เพราะฉะนั้น มึงอยู่โยงเฝ้าเสื้อผ้าและข้าวของๆทุกคนแล้วกันนะ”

พูดจบ...เต๋อก็ถอดเสื้อยืดของตัวเองออกเพื่อใช้คลุมหัวด้วงจนมองไม่เห็น
หนุ่มร่างหมีกระโจนลงน้ำโดยกะตำแหน่งแลนดิ้งให้ใกล้กับจุดที่กังฟูลอยตัวอยู่ให้มากที่สุด  

เมื่อได้เห็นสีหน้าระรื่นของคู่อริตัวเอ้ว่ายน้ำวนเวียนอยู่รอบๆกังฟูด้วยสีหน้าดูมีความสุขเหลือล้น...
ด้วงก็รีบถอดเสื้อแล้วกระโดดตามลงไปโดยไม่ลืมเอาเสื้อเต๋อติดมือไปด้วย


“ไอ้เหี้ยด้วง!! มึงเอาเสื้อกูลงน้ำมาทำไมเนี่ย?”

“อ้าว เราไม่รู้...เราเห็นนายลืมเอาไว้ เราเลยจะเอาลงมาให้ยังไงล่ะ...
.
...อ่ะ! เอาเสื้อนายไป เราเอามาให้แล้ว” หนุ่มผมยาวโยนเสื้อยืดราคาแพงของเต๋อที่เปียกซ่กคืนให้เจ้าของอย่างไม่ใยดี “ฟูว่ายน้ำแข่งกันเถอะ”

“ไอ้สัดด้วง...มึง!!” เต๋อโยนเสื้อของตนขึ้นบกแล้วว่ายตามไปกดน้ำหนุ่มผมยาวจนสำลัก

“ยังไม่ลงน้ำอีกเหรอครับพี่หมี?” ...ณ เวลานี้ เหลือแขกเพียงคนเดียวที่เจ้าบ้านต้องดูแลให้แน่ใจว่าชายหนุ่มรูปงามจะมีความสุขกับการมาเยี่ยมเยียนบ้านของเขา

“เค้ารอบูบู้อยู่ครับ” เก็กยิ้มหวานให้ร่างผอมเพื่อเอาใจ เขาชอบเวลาที่อีกฝ่ายดูสดใสเป็นพิเศษเมื่อได้อยู่ในที่ๆเจ้าตัวคุ้นเคย

“พี่หมีกลัวความสูงหรือเปล่าครับ?” บ๊วยถามอีกฝ่ายด้วยสีหน้าขี้เล่น แววตาสุกใสเหมือนเด็กๆที่เก็กไม่ค่อยได้เห็น ทำให้ธันวานึกขอบคุณสกลอีกครั้งในใจที่เสนอให้ทุกคนมาบ้านไร่ของบ๊วยช่วงปิดเทอม

“ไม่กลัวครับ ทำไมเหรอบูบู้?”

“ถอดเสื้อเตรียมลงน้ำเลยครับ เค้ามีของดีจะนำเสนอ... พี่หมีต้องชอบแน่ครับ รับรองเลย”  

ร่างผอมถอดเสื้อเผยโครงร่างที่พอมีกล้ามเนื้อประดับอยู่ประปรายแต่ก็ถือว่าแห้งกว่าผู้ชายทั่วๆไป  
แล้วจึงจัดแจงวางเสื้อยืดของตนไว้ใกล้ๆกับกองเสื้อของทุกคน เจ้าบ้านพาเก็กที่เปลือยท่อนบนเดินอ้อมไปยังหลังต้นไม้ใหญ้ริมน้ำ 


“ตามมาเร็วครับ”  

ฝ่าเท้าไม่เล็กไม่ใหญ่หยัดไปตามแง่งน้อยใหญ่ของลำต้น สองมือฉุดลำตัวผอมให้สูงขึ้นจากพื้นคืบแล้วคืบเล่า
บ๊วยปีนต้นไม้ขึ้นไปด้วยความว่องไวจนน่าชื่นชม ทำให้อดีตเดือนมหาลัยต้องเร่งปีนตามให้ทัน
จนเมื่อทั้งสองโหนตัวขึ้นไปหยุดยืนบนคาคบใหญ่ที่สูงจากผิวน้ำราวๆสองเมตรกว่า บ๊วยก็เลี้ยงตัวเดินไปตามกิ่งแข็งแรงนั้น  

เจ้าบ้านปลดเชือกมะนิลาขนาดใหญ่ราวๆเชือกชักเย่อที่พันรอบกิ่งไม้บนหัว โดยปล่อยให้ส่วนปลายเชือกโรยตัวเหนือผิวน้ำ
ก่อนที่เก็กจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร... หนุ่มสถาปัตย์ก็เกาะปลายเชือกที่ห้อยอยู่เอาไว้มั่น
เพียงชั่วพริบตา ร่างผอมก็ยันตัวกับกิ่งไม้ใหญ่ โหนปลายเชือกแล้วปล่อยมือทิ้งร่างลงกระทบผืนน้ำด้านล่างทันที  

บ๊วยที่โผขึ้นจากผิวน้ำหลังจากดำดิ่งหายลงไปครู่ใหญ่หัวเราะเอิ๊กอ๊ากที่ทำให้เพื่อนๆและพี่ๆตกใจได้
แต่ก่อนที่ใครจะได้ต่อว่าเจ้าของบ้านให้มากความ ระเบิดน้ำลูกใหญ่กว่าเมื่อครู่ ก็ปะทุขึ้นอีกครั้งเมื่ออดีตเดือนมหาลัยที่กระโดดทิ้งตัวตามลงมาด้วยวิธีเดียวกัน ซึ่งเพียงไม่นานหลังจากนั้น...การแข่งกระโดดน้ำด้วยท่าแปลกประหลาดพิสดารของหนุ่มๆทั้งหลาย ก็กลายเป็นกิจกรรมใหม่ของชาวคณะไปในทันที


หลังจากเล่นน้ำจนแดดล่มลมตก ทั้งหมดก็พากันกลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านเพื่อรอรับประทานอาหารเย็นพร้อมหน้าครอบครัวของบ๊วยแบบเต็มสูตร

เมื่อเก้าหนุ่มตบเท้าลงมายังห้องอาหารขนาดใหญ่ที่รองรับแขกได้เกือบยี่สิบที่
เจ้าบ้านเกือบทั้งหมดต่างส่งเสียงอื้ออึงด้วยความตื่นเต้น โดยเฉพาะเสียงของสาวๆทั้งสี่...

ในที่นี้หมายถึงพี่สาวสามคนของบ๊วย บวกแม่บัวเข้าไปด้วยอีกหนึ่ง...
เนื่องจากตอนหัววันเจ้าบ้านหญิงขาดลูกคู่ ฉะนั้น...การวี้ดว้ายกระตู้วู้โดยไม่มีลูกสางอยู่ด้วยคงไม่ช่วยให้หล่อนดูน่าเคารพสักเท่าไรนัก


“พ่อครับ หนูคิดถึงพ่อจังเลย” บ๊วยร้องทักบิดาด้วยน้ำเสียงยินดี ฝ่ายผู้มีอาวุโสกว่าก็ยิ้มรับทันทีเช่นกัน

“ไอ้หนู... มาให้พ่อกอดหน่อยซิลูก” พูดจบ พ่อเขียวก็เดินเข้าไปกอดอิ๊กหน้าตาเฉย

“เฮ่ยพ่อ!! หนูอยู่นี่!!!

“แหม่! ถึงว่าสิ... ตอนกอดเมื่อกี๊ก็ตงิดๆกับเบ้าหน้าอยู่เหมือนกัน คลับคล้ายคลับคลาว่าไอ้หนูไม่ได้หน้าตาขนาดนี้เสียหน่อยเนอะ” เจ้าบ้านชายผู้ที่ไม่ใช่แค่ดูหล่อเหลา หากแต่ยังเป็นคนอารมณ์ดีเหลือหลายคลายอ้อมกอดจากร่างอดีตเดือนบริหารที่ยืนค้างอยู่กับที่ แล้วย้ายไปกอด และลูบหัวลูกชายตัวจริงที่บ่นงุ้งงิ้งกับการแกล้งหยอกของตนเมื่อครู่  

“พ่อ!!

“ก็จริงนะครับพ่อเขียว โดยเฉพาะยิ่งมีคุณอิ๊กมายืนอยู่ข้างๆพ่อกับแม่และพี่ๆ แนนว่า...คุณอิ๊กดูกลมกลืนประหนึ่งลูกแท้ๆที่พลัดพรากมากกว่าบ๊วยเยอะเลยครับ” สกลออกความเห็นที่ทำให้หนุ่มๆเกือบทั้งหมดอดคล้อยตามไม่ได้

“พ่อก็ว่างั้นเหมือนกัน... นี่ถ้าตอนคลอดคุณพยาบาลไม่ใส่ป้ายชื่อบ๊วยต่อหน้าต่อตาพ่อนะ พ่อจะคิดว่าโรงพยาบาลแอบสับตัวลูกพ่อกับลูกไอ้โก๋ท่ารถสองแถวที่ตลาด ฮ่า ฮ่า ฮ่า” พ่อเขียวกุมท้องพลางระเบิดหัวเราะเสียงดังอย่างเอร็ดอร่อย จนแม่บัวต้องออกปากห้าม

“เอาล่ะ เอาล่ะพ่อ พอก่อน เดี๋ยวให้เพื่อนๆลูกนั่งกันก่อนเถอะนะ ยืนนานๆเดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งกันไปเสียก่อน” เจ้าบ้านหญิงผายมือเชิญชวนเด็กๆให้นั่งประจำที่ตามเก้าอี้ที่ยังว่างอยู่

“เอ้า อีหนู...นั่งสิเว้ยเฮ้ย จะมายืนตะบิดตะบวนอะไรกันอยู่ แก่เทื้อป่านนี้แล้ว...เพื่อนไอ้หนูมันคงไม่แลพวกเอ็งง่ายๆหรอกมั้ง  อย่าลืมสิวะว่า ตอนพวกเอ็งนมตั้ง...ไอ้พวกนี้มันยังนุ่งผ้าอ้อมกันอยู่เล้ย” พ่อเขียวหันไปเอ็ดบรรดาลูกสาวที่ยังไม่หย่อนกายลงนั่งกันเสียที  

“โธ่ พ่ออ้ะ!!” พี่สาวสุดสวยทั้งสามของบ๊วยตัดพ้อผู้เป็นพ่อแบบพอเป็นพิธี... ที่พวกหล่อนยังไม่นั่งนี่น่าจะมาจาก ทั้งสามสาวกำลังตรวจสอบความเรียบร้อยของชุดจานชามแก้วช้อนที่จัดเตรียมให้แขกของน้องทั้งแปดมากกว่าจะตื่นเต้นกับรุ่นน้องหนุ่มๆอย่างที่พ่อเขียวแซว

ก่อนที่มื้ออาหารจะเริ่มต้นขึ้น
ชายกลางก็เริ่มแนะนำครอบครัวตัวเองให้กับทุกคนได้ทำความรู้จักกันเสียก่อน  


“ทุกคนครับ... นี่พ่อเขียว พ่อผมเองครับ / สวัสดีครับพ่อ” สิ้นเสียงแนะนำเจ้าบ้านชายที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ หนุ่มๆทั้งเจ็ดผู้ไม่เคยมาเยี่ยมเยียนบ้านหลังนี้ก็ต่างยกมือไหว้ทำความเคารพพ่อเขียวโดยพร้อมเพรียงกัน

“เออ ไหว้พระเถอะลูก” พ่อเขียวที่ดูคล้ายกับพระเอกหนังไทยสมัยก่อนยกมือรับไหว้หนุ่มๆแล้วส่งยิ้มกว้างจนตาหยี จากนั้นบ๊วยก็ผายมือไปยังมารดาของตนที่นั่งอยู่ข้างๆกัน  

“ส่วนนั่นก็แม่บัวของผมครับ / สวัสดีครับแม่” เด็กหนุ่มทั้งหมดต่างแสดงความเคารพแม่บัวด้วยความนอบน้อมไม่ต่างจากเมื่อสักครู่ ฝ่ายคนรับไหว้ก็ดูจะกระดี๊กระด๊าหน้าบานเป็นพิเศษ แม่บัวเอ่ยต้อนรับชาวคณะด้วยน้ำเสียงมีชีวิตชีวา...ดูท่าว่าจะเก็บกดจากเมื่อกลางวันอยู่ไม่น้อย  

“ดี ดี ดี... มาเป็นลูกแม่กันให้หมดเลยนะ แม่อยากมีลูกชายหล่อๆมานานแล้ว”

“โธ่แม่ก็! พูดอย่างนี้เดี๋ยวไอ้หนูมันก็รู้ปมด้อยของเราสองคนกันพอดีน่ะสิ!” พ่อเขียวทำท่าเหมือนโดนจับไต๋ได้ขณะทำความผิดใหญ่หลวง แต่ที่น่าเป็นห่วงยิ่งไปกว่านั้นคือการรับมุกอย่างทันกันของคู่ชีวิตซึ่งนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ตัวข้างๆ

“ตายแล้วทีนี้! พวกเราสองคนจะทำยังไงดีล่ะพ่อ...โธ่! แม่ไม่น่าลืมตัวหลุดปากเลย”

“เฮ้ออออ!” ชายกลางถอนหายปลงๆให้กับความก่งก๊งของพ่อและแม่ตัวเอง “ทุกคนครับ ถัดจากพ่อมาคือพี่บิ๊ว พี่บ็อบ และพี่โบ๊ท พี่สาวทั้งสามของผมเองครับ”  

“สวัสดีครับพี่ๆ” นี่นับเป็นครั้งที่สามซึ่งชายหนุ่มทั้งเจ็ดแสดงความนอบน้อมต่อสมาชิกอาวุโสกว่าของบ้าน

เมื่อพินิจรูปพรรณสัณฐานของสมาชิกส่วนใหญ่ของบ้าน...
ความสงสัยเหลือประมาณก็เข้าเกาะกุมหัวใจของทุกๆคนจนแสดงอาการล่อกแล่กออกมาอย่างเห็นได้ชัด...
หากจะบอกว่าพ่อเขียว แม่บัว และลูกสาวทั้งสามคือคนในครอบครัวเดียวกันนั้น คงไม่มีผู้ใดกังขา แต่เมื่อเติมสมาชิกคนที่หกอย่างบ๊วยเข้ามาในภาพถ่ายครอบครัวเมื่อไร... คำว่า ไม่ใช่อ่ะ ก็โผล่แว่บขึ้นใรมโนสำนึกอย่างช่วยไม่ได้

ฝ่ายพ่อเขียวที่เข้าใจสีหน้าดังกล่าวของหนุ่มๆเป็นอย่างดีก็รีบแก้ไขสถานการณ์ด้วยคำพูดเรียกเสียงขบขันตามสไตล์เพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกประดักประเดิดยามร่วมรับประทานอาหารขึ้นเสียก่อน


“นั่นไง! พ่อเตือนแล้วใช่ไหมไอ้หนูว่าอย่าพาเพื่อนไม่สนิทมาบ้านเราสุ่มสี่สุ่มห้า” พ่อเขียวเรียกความสนใจของชายหนุ่มทั้งหลายด้วยการเอ็ดลูกชายเสียงอึงมี่  “เดี๋ยวพอพ้นจากบ้านเราไป ไอ้หนุ่มพวกนี้ต้องแอบไปโพทะนาให้ชาวบ้านฟังกันอีกล่ะว่า ตอนท้องเอ็ง...แม่บัวแอบไปมีชู้เป็นเต้าหู้ก้อนจนเอ็งหลงมาเป็นลูกให้พ่อเลี้ยงแหงๆ หึ หึ หึ”

“ไม่ต้องงงกับความหล่อหลบในของลูกชายคนเล็กของแม่ขนาดนั้นหรอกจ้ะหนุ่มๆ...
.
...บ๊วยน่ะหน้าตารับยีนเด่นของญาติๆทางฝั่งคุณตาแบบเคาะกันมาเป๊ะๆ...
...ส่วนพวกพี่ๆทั้งสามน่ะมักน้อย ได้แต่ยีนด้อยของพ่อกับไปเท่านั้น”  แม่บัวอธิบายเสริมด้วยน้ำเสียงเอ็นดูลูกๆทั้งสี่ของเธอ โดยเฉพาะลูกชายคนเล็กที่มากเป็นพิเศษ

“เอาเถอะแม่บัว เรื่องนั้นเอาไว้ค่อยกินไปคุยไปแล้วกันนะ จะได้เจริญอาหารด้วยยังไงล่ะ... มา มา มา! ตักข้าวตักปลากันได้แล้ว” เจ้าบ้านหัวโต๊ะกล่าวเชิญชวนทุกๆคนให้เริ่มกินอาหารที่วางอยู่อย่างละลานตาเต็มโต๊ะร่วมกัน

“ไอ้หนู... แล้วนี่เพื่อนเราชื่อเรียงเสียงไรกันมั่งล่ะ  พ่อไม่ได้อยากรู้นะ... แต่ถามเพราะอีหนูสามตัวนี่มันนั่งก้นกระดิกริกๆอยากจะรู้จักเพื่อนเอ็งจนใจจะขาดแล้วเนี่ยะ” พ่อเขียวแซวลูกสาวจนทั้งสามยิ้มกว้าง

“ให้แนนแนะนำแล้วกันครับพ่อ” สกลอาสา

“เออ เออ... จัดไปอย่าให้เสีย!!

“ฝาแฝดทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทในกลุ่มของแนนกับบ๊วยเองครับ คนที่นั่งข้างผมนี่ชื่อพี่ฌาน ส่วนคนน้องชื่อฌอน..
.
...ถัดจากฌอนไป คนที่หน้าเหมือนลูกชายพ่อมากกว่าบ๊วยนั่นชื่อคุณอิ๊กครับเป็นเพื่อนจากคณะบริหาร...
...ส่วนหัวปิงปองที่หน้าดุๆและหล่อน้อยกว่าแนนนั่นเป็นพี่รหัสของบ๊วยครับ ชื่อพี่เต๋อ...  
...คนตัวเล็กๆนั่งติดพี่เต๋อชื่อเฮียกังฟู  คนผมยาวหล่อๆนั่นชื่อคุณพี่ด้วง ปิดท้ายด้วยสุดหล่อที่นั่งข้างบ๊วย...

“ผมชื่อเก็กครับ ผมเป็นแฟนบ๊วยครับคุณพ่อ”

ธันวาที่รอโอกาสแนะนำตัวเองกับครอบครัวของบ๊วยมาตั้งแต่บ่ายพูดแทรกสกลขึ้นกลางคัน
การสารภาพสถานะของธันวาเมื่อครู่ ทำให้สมาชิกของบ้านไร่แม่บัวทั้งห้านั่งอ้าปากค้างฟังเสียงหริ่งเรไรในยามหัวค่ำอยู่นานสองนาน...  ปฏิกิริยาตอบสนองของครอบครัวสุดครื้นเครงของบ๊วยที่ผิดไปจากการคาดการณ์ พลอยทำให้กำลังใจของอดีตเดือนมหาลัยลดฮวบฮาบ


“พ่อหนุ่มชื่อเก็กใช่ไหม?” เป็นครั้งแรกที่หนุ่มๆได้ยินคำถามจริงจังออกจากปากผู้เป็นประมุขของบ้าน

“ครับ” เก็กตอบว่าที่พ่อตาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ก่อนจะมาคบกับลูกพ่อนี่ หนูรู้มาก่อนหรือเปล่าว่าที่บ้านพ่อมีไร่อยู่หลายแปลง?” คนเป็นพ่อยังคงถามด้วยความสุขุมนุ่มลึกน่าเลื่อมใส หากแต่ชวนให้ว่าที่ลูกเขยหวาดหวั่นได้ไม่น้อย

“เปล่าครับ เอ่อ...ทำไมเหรอครับคุณพ่อ?”

“พ่อกลัวว่าหนูจะมาคบกับลูกพ่อเพราะหวังจะฮุบไร่อันเป็นที่รักของพ่อกับแม่เอาน่ะสิ เพราะที่ดินของพ่อน่ะอุดมสมบูรณ์ดี...หนุ่มๆแถวนี้เลยชอบเอาตัวเข้าแลกกับลูกชายพ่อเพื่อหวังจะเคลมที่ผืนนี้กันทั้งนั้น”

“เฮ่ย! ไม่ใช่อย่างนั้นเลยครับคุณพ่อ ผมเองก็เพิ่งรู้ว่าบ้านบ๊วยน่าอยู่ขนาดนี้ก็วันนี้เองนี่แหละครับ” เก็กปฏิเสธเสียงหลง

เนื่องจากเขาไม่ใช่พวกผู้ชายที่มุ่งหวังอะไรเทือกนั้น...
แต่เดี๋ยวนะ?! เมื่อกี๊พ่อเขียวบอกว่ามีผู้ชายคนอื่นเข้าหาบ๊วยเพื่อแลกกับมรดกที่ดินอย่างนั้นน่ะเหรอ?
ใครวะ?!! พวกมันเป็นใคร?!!


“ฮ่า ฮ่า ฮ่า... แม่บัวเอ๊ย! แกล้งคนหล่อให้ตกใจนี่ก็สแนนดีเหมือนกันเเนอะ” พ่อเขียวระเบิดหัวเราะออกมาทันทีที่เห็นสีหน้าตกใจไม่เก็บอาการของอดีตเดือนมหาลัยหลังจากถูกเจ้าบ้านอำเสียเละเทะ

“นั่นน่ะสิพ่อ แต่ไอ้หนูเก็กนี่มันหล่อเหมือนพ่อตอนหนุ่มๆเด๊ะๆเลยนะ” แม่บัวส่งยิ้มหวานหยดไปให้ว่าที่ลูกเขยโดยเพิกเฉยกับสายตาดุๆของพ่อเขียวที่จับจ้องทั้งสองอย่างดุเดือด

“แม่บัว เบาหน่อย เบาหน่อย... ผัวแม่บัวนั่งหัวโด่อยู่ทั้งคนน่ะเฮ่ย!

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า... แกล้งคนหล่อให้หึงนี่ก็สแนนดีเหมือนกันเนอะอีหนู / จ๊ะแม่!” บรรดาสาวๆของบ้านต่างเข้าขากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย จนหนุ่มๆที่เหลือต่างหลุดหัวเราะกับความตลกโปกฮาของครอบครัวนี้ไม่ได้

“คุณพ่อคุณแม่ไม่ว่าอะไรเรื่องที่ผมคบกับบ๊วยเหรอครับ?” อดีตเดือนมหาลัยถามไถ่เพื่อความแน่ใจอีกครั้ง

“จะว่าอะไรล่ะ ลูกรักใคร พ่อแม่ก็รักด้วยทั้งนั้นแหละ...
.
...ไอ้หนูมันแค่ไม่ได้รักผู้หญิง เอาไว้ให้ลูกพ่อไปทำตัวชั่วช้าสร้างความเดือดร้อนให้สังคมเสียก่อน ถึงตอนนั้น...พ่อกับแม่จะเฆี่ยนมันให้หลังลายแล้วขังมันเอาไว้ในบ้านจนวันตายเลยล่ะ” พ่อเขียวอธิบายง่ายๆ

“คนรักของลูกแม่ทุกคน คือ ส่วนหนึ่งของชีวิตพวกเขาในวันหน้า... ถ้าพ่อกับแม่ไม่ให้พวกเขาเลือกเอง แล้วพวกเขาจะมีความสุขกับอนาคตได้ยังไงล่ะลูก” แม่บัวอธิบายเกี่ยวกับความต้องการของตนและสามีให้อีกฝ่ายได้เข้าใจจุดยืนของท่านทั้งสองอย่างถ่องแท้

“ถ้าอย่างนั้น... ผมขอฝากเนื้อฝากตัวเป็นลูกชายของคุณแม่อีกคนแล้วกันนะครับ” เก็กไหว้พ่อกับแม่ของบ๊วยอีกครั้งด้วยความซาบซึ้งและประทับใจในความคิดของท่านทั้งสองเป็นที่สุด

“งั้นหนูมาเป็นลูกแม่เลยเถอะ แม่จะได้ตัดหางปล่อยวัดน้องเต้าหู้เสียที”

“แม่!!!” เสียงโวยวายของบ๊วยทำเอาทุกคนในโต๊ะหัวเราะ... จะเว้นก็แต่ร่างเล็กที่หาจังหวะทำลายบรรยากาศชื่นมื่นของครอบครัวสุขสันต์อยู่ทุกขณะจิต

“คุณพ่อคุณแม่ครับ... ผมขอแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่รู้จักกับน้องอิ๊กเป็นกรณีพิเศษได้ไหมครับ?” กังฟูถือโอกาสเอ่ยความต้องการของตนออกมาก่อนที่บทสนทนาจะเปลี่ยนไปสู่หัวข้ออื่นที่ยากเกินแทรกแซง

“ยังไงเหรอลูก?”

“ผมขอเตือนคุณพ่อคุณแม่ด้วยความหวังดีในฐานะพี่ชายของเก็ก คุณพ่อคุณแม่อย่าเพิ่งดีใจไปว่าน้องชายผมจะมาเป็นลูกชายคนใหม่ของคุณพ่อและคุณแม่เป็นการถาวรเลยจะดีกว่าครับ” กรกฏกล่าวกับผู้ใหญ่ทั้งสองด้วยน้ำเสียงติดจะข่มขู่และถือตัวน้อยๆ

“อ้าว! ทำไมล่ะลูก? หนูเก็กมีวันหมดอายุหรือยังไงครับ?” แม่บัวถามด้วยสีหน้าตกอกตกใจ ในขณะที่เก็กพยายามจะห้ามพี่ชาย แต่กลับโดนสายตาของกังฟูขู่เอาไว้เสียก่อน

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับคุณแม่ แต่ผมแค่แน่ใจว่า...อีกไม่นานน้องชายของผมน่าจะเลิกกับลูกชายคุณพ่อคุณแม่แล้วกลับมาคบกับน้องอิ๊กแน่ๆครับ” พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยเฉลยแผนการของตนให้ทุกคนทราบโดยทั่วกัน...

และนั่นคือการประกาศสงครามต่อหน้าพ่อแม่ของคนรักคนใหม่ของน้องชายตัวเองเป็นครั้งแรก
แรกเลย กังฟูหวังให้เกิดความแตกแยกร้าวฉานขึ้นระหว่างญาติผู้ใหญ่ของบ๊วยกับน้องชายตัวเอง
แต่ปฏิกิริยาตอบสนองอันเหนือความคาดหมายของพ่อเขียวและแม่บัวเมื่อครู่ ทำให้เขาต้องออกโรงแสดงบทตัวร้ายอย่างไม่มีทางเลือก


“นี่หนูเคยคบกับเก็กมาก่อนเหรอลูก?”  แม่บัวหันไปถามอิ๊กด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ครับ” อดีตเดือนบริหารที่อยู่ในโหมดเบลอก็ตอบรับอย่างว่าง่าย และไม่วายส่งสายตาชอกช้ำไปให้เก็กเพื่อตอกย้ำคำพูดของกรกฏเข้าให้อีกดอก

“บ๊ะ! เข้าตำราหนังไทยเหลือเกินแม่บัว” พ่อเขียวถึงกับตบเข่าฉาดเมื่อรับรู้เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น กระนั้น...รอยยิ้มกว้างกลับยังไม่ร้างลาไปจากใบหน้าหล่อเหลาของเจ้าบ้านทุกคนแต่อย่างใด

“แม่ก็ว่าอย่างนั้นแหละพ่อ... แล้วจะดูตอนหน้าต่อที่ช่องไหนล่ะเนี่ยะ?” แม่บัวทำท่าตีโพยตีพายเสียยกใหญ่ แต่กลับไม่ได้ต่อว่าฝ่ายใดให้เกิดเรื่องวุ่นวายใดๆขึ้น

“ดี ดี! เป็นวัยรุ่นมันต้องมีเรื่องขบคิดให้หัวแตกกันบ้าง...
.
...เอาเลย! อยากทำอะไรทำเลย เพราะพ่อเชื่อว่า ลูกเขยพ่อจะไม่หวั่นไหวใช่ไหม?”

และแล้วก็เป็นพ่อเขียวที่รวบรัดตัดความเอาตามความรู้สึกที่สัมผัสได้จากทุกๆฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว...
ไม่ว่าจะเป็นความจริงจังและจริงใจของว่าที่ลูกเขยที่ประกาศกร้าวอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งโดยไม่คิดปิดบังความสัมพันธ์
หรือสายตาที่เคยไหวสั่นของลูกชายตัวเอง ซึ่งเปลี่ยนเป็นเข้มแข็งยามจ้องมองเด็กหนุ่มหล่อจัดที่ฝากตัวเป็นลูกคนใหม่ของครอบครัวไปเมื่อครู่... แค่มองเผินๆพ่อเขียวก็รู้ ว่าลูกคนสุดท้องรู้สึกห่วงใยและรักใคร่อีกฝ่ายมากขนาดไหน


“ครับคุณพ่อ” เก็กรับคำแข็งขัน แต่นั่นกลับไม่ใช่สาระที่บ๊วยสนใจเท่าใดนัก

“พ่อ... ทำไมพ่อถามเก็กอย่างนั้นล่ะ หนูอายนะ!!” ชายกลางตวัดหางเสียงใส่พ่อเขียวเมื่อได้ฟังคำถามแปร่งๆเมื่อครู่

“โวยวายอะไรอีกล่ะเอ็ง? ไม่ชอบที่พ่อเรียกไอ้หนูเก็กว่าลูกเขย หรือไม่ชอบที่พ่อบอกว่าไอ้หนูเก็กมันจะไม่หวั่นไหว?” พ่อเขียวถามลูกชายตัวน้อยของตนเสียงเข้ม จนอีกฝ่ายถอนหายใจหนักๆอยู่หลายครั้งพลางก้มหน้างุดอยู่หลายอึดใจ
.
.
.
.
.
.
“...อันแรก!...” บ๊วยพ่นลมหายใจพรูระบายความเขินอายที่เผลอคิดตามคำพูดหลุดปากของพ่อตัวเองไปถึงไหนๆ  

“โอ๊ยยยยย! ไอ้หนู... ดูสารรูปก็รู้แล้วว่าเอ็งน่ะกดใครไม่ได้... 
.
...อยากให้พ่อเรียกแฟนว่าสะใภ้...
...แล้วทำไมเอ็งไม่หาแฟนตัวใหญ่เท่าเด็กปอสามมาแนะนำให้พ่อรู้จักกันล่ะลูกเอ๊ย!” สิ้นเสียงของพ่อเขียว สมาชิกผู้ร่วมรับประทานอาหารในโต๊ะยาวส่วนใหญ่ต่างหัวเราะเสียงดังตามเจ้าบ้านที่หัวเราะได้เมามันเป็นที่สุด...

จะเหลือก็เพียงบ๊วยที่แทบจะมุดเอาใบหน้าแดงก่ำลงใต้โต๊ะ...
กังฟูที่โกรธหน้าดำหน้าแดงที่ยุแยงตะแคงรั่วไม่สำเร็จ...  
และอิ๊กที่อยากจะหัวเราะกับคนอื่นแทบตาย แต่กลับทำได้แค่จ้องหน้าเก็กไม่วางเท่านั้น




Ħ------------------------------------ TBC ------------------------------------Ħ



ทุกข์คนรวย (เหตุเกิดก่อนเวลานัดรวมพลไม่ถึงครึ่งชั่วโมง):

“รถตู้ใครอ่ะครับพี่ฌาน?”
“เห็นบ๊วยบอกว่าพี่เต๋อให้ที่บ้านเตรียมมาน่ะ”
“อ่ะโห
! ใช่เบานะครับเนี่ยะ  เห็นหน้าเหี้ยมๆนึกว่าจะชั่วช้า... ใครเลยจะรู้ว่าเวลาใจดี แกก็ดีใจหายเหมือนกัน”
“ถ้าจะให้ถูก สกลต้องพูดว่า...พวกเรามีบุญที่ได้เกาะพี่ชายไอ้เก็กไปเที่ยวด้วย ไม่อย่างนั้นป่านนี้พี่ฌานคงได้ขับรถจนหลังแข็งไปแล้ว”
“แสดงว่างานนี้...พี่เต๋อของพวกเราก็ได้แสดงอภินิหารของมิสเตอร์เปรูยูนิเวิร์สให้รู้กันไปทั้งบางเลยสินะครับ”
“แต่ดูท่าว่า คุณพี่ด้วง ณ ไทเปคงไม่ยอมน้อยหน้าง่ายๆหรอกนะสกล... ดูโน่นสิ หึ หึ หึ”
“เต๋อ... นายให้คนเอารถกลับไปเถอะ ใช้รถของที่บ้านเราจะดีกว่า”
“เบนซ์รุ่นนั้นมันนั่งได้แค่แปดคนทำไมกูจะไม่รู้...
...ก่อนจะให้ที่บ้านเอารถตู้มาให้เนี่ย เลขาคุณพ่อกูโทรเช็คกับเอเย่นต์รถนำเข้าทุกเจ้ามาหมดแล้ว...
...ถ้าไม่ใช่มินิบัส ก็ไม่มีรถรุ่นไหนในไทยที่นั่งได้สิบที่นั่งสบายๆเท่ารถตู้หรอกกะเทย...
.
...มึงสั่งให้คนขับเอารถกลับไปเลย จอดทิ้งไว้แม่งก็เกะกะลูกกะตากูเปล่าๆว่ะด้วง”
“แต่คันนี้นั่งสบายกว่า เราไม่อยากให้ฟูเหนื่อย”
“กูก็ไม่ได้อยากให้ฟูเหนื่อย กูถึงได้เอารถที่นั่งสบายมาที่ไม่เว่อร์เกินไปมาใช้ยังไงล่ะวะ”
“งั้นเราแยกกัน... นายไปกับรุ่นน้องของนาย ส่วนเราจะไปคันนี้กับฟู”
“ถ้ามึงยังจะดื้อด้านเอาชนะเรื่องรถให้ได้ กูก็จะยอมตามใจ...
.
...แต่บอกไว้เลยนะว่า กูจะให้ฟูมานั่งตักกูทั้งขาไปขากลับ ไม่อย่างนั้นวันนี้ก็อย่าหวังว่าจะได้ไปไหนกันเลย”
“ผมเชียร์ทีละหมัดของผมนะ อะไรจะเถื่อนถ่อยสก๊อยกรี๊ดได้มากขนาดนี้ก็ไม่รู้”
“ฟังไปฟังมา พี่ฌานว่า...ไม่ใช่แค่สก๊อยแล้วล่ะมั้งที่กรี๊ด พี่ฌานเห็นเดี๋ยวนี้สกลก็ติ่งพี่เต๋ออยู่นะ”
“แหม...ก็แค่เทิดทูนประสาพี่ๆน้องๆร่วมคณะน่ะครับพี่ฌาน จะให้ผมติ่งคุณพี่ด้วงก็ดันไม่ใช่ทางถนัดของผมเสียด้วย...
.
...แล้วพี่ฌานว่าศึกครั้งนี้ใครจะชนะครับ?”
“พี่ฌานว่า... พี่ชายไอ้เก็กนอนมาว่ะ”
“จริงด้วย!... เหนือฟ้ายังมีฟ้า แต่เหนือกว่าใครในโลกหล้าคือกังฟูเมียรัก กรั่ก กรั่ก กรั่ก” 





No comments:

Post a Comment