บทสรุปของงานลอยกระทงสุดหรรษามาแล้วค่ะ
ดีใจเหลือเกินที่ได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นเหมือนที่เคย...
เค้าสัญญาเลยว่าเค้าจะตั้งหน้าตั้งตาเขียนเรื่องนี้ต่อ
ด้วยความมุ่งมั่นเพราะกำลังใจที่เต็มเปี่ยมจากทุกๆท่านนี่แหละค่ะ
เจอกันอีกทีวันเสาร์ค่ะ
^^
ขอให้อ่านอย่างสุขสันต์นะคะ
รักคนอ่านทุกๆคนเลยค่ะ จุ๊บๆ
Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ
The 19th
Blessing
วันลอยกระทง
คือ วันเสียจูบแห่งชาติ
:: ปัจฉิมบท :: ไม่มั่ว แต่ทั่วถึง
แม้สถานการณ์ภายในซุ้มวิศวะจะดุเดือดเลือดพล่านปานใด
แต่เมื่อตัดภาพกลับไปยังซุ้มคณะสถาปัตย์แล้ว...
กลับพบแต่บรรยากาศอันผาสุกสนุกสนานปานสวนดอกไม้ในยามสายของวันดีๆที่ลมฟ้าอากาศเป็นใจ...
ดังเช่นเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินไปในปัจจุบันกาล
เป็นต้น
“ไอ้เหี้ยด้วง! ปล่อยกูสิวะ!! กูจะไปตามน้องพลับ!” ร่างเล็กพยายามสลัดข้อมือ แต่เพื่อนรักผมยาวกลับยื้อยุดฉุดรั้งเอาไว้อย่างเหนียวแน่นราวตุ๊กแกตัวพ่อที่ไม่หวั่นไหวให้เสียงฟ้าผ่า
“เป็นอะไรหรือเปล่าฟู?
เมื่อกี๊ฟูหมายถึงพลับไหน?...
.
...เราทำฟูตกใจจนเห็นภาพหลอนไปแล้วเหรอ?”
ด้วงถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยเพราะต่อให้จ้องพื้นที่โดยรอบแทบตาย
ก็ไม่เห็นเด็กชายตัวป้อมที่อีกฝ่ายเพิ่งพูดถึงไปเมื่อครู่ปรากฏอยู่ในสายตา
ทว่าร่างเล็กกลับหันขวับมาส่งตาขวางให้กับเพื่อนสนิทราวกับคนเมายาบ้าจับโหลปลาทองเป็นประกัน
“มึงเป็นบ้าไปแล้วหรือไงด้วง?!
ก็นี่ไง...น้องพลับวิ่งจูงมือกูขึ้นมาบนตึกเนี่ยะ!”
กังฟูพยักเพยิดไปยังตำแหน่งด้านหลังที่คาดว่าน้องพลับน่าจะยืนอยู่โดยไม่ละสายตาห้ำหั่นกดดันด้วงสักวินาที
แต่ดูเหมือนจะป่วยการ
เพราะอีกฝ่ายไม่อาจจับสัญญาณชีพของเด็กวิเศษได้แม้แต่น้อย
สายตาละห้อยบนใบหน้าเหลอหลาผิดกาลเทศะของหนุ่มผมยาว
คือ การตอบสนองเดียวที่ด้วงส่งคืนมาให้กับเจ้าของสายตาอาฆาตประหนึ่งคุณยายวรนาทกำลังคายตะขาบ
“ไหนพลับ?
เราเห็นแต่ฟูวิ่งหน้าตื่นขึ้นมาบนตึกแค่คนเดียว” คำอธิบายและท่าทางไม่เข้าใจของชายหนุ่มหน้าสวย
ทำให้คนฟังรู้สึกเหมือนถูกด้วงกวนประสาทด้วยการตวาดชื่อจริงป๊ากับม้าออกมาเป็นภาษาสวาฮิลี...
ในเมื่อเพื่อนรักดันพูดจาไม่รู้เรื่อง
แถมยังทำตัวรุงรังในจังหวะที่ตนเองกำลังติดตามเด็กน้อยอย่างรีบเร่ง
แล้วอย่างนี้
จะไม่ให้อารมณ์ของกังฟูร้อนระอุจนน่าเกรงขามขึ้นมาในพริบตาได้อย่างไร...
“ก็นี่ไง!!” พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยชูข้อมืออีกข้างขึ้นมาให้เพื่อนรักดู
หวังให้ด้วงประจักษ์ถึงการมาของเด็กชายพลับด้วยตัวเอง จะได้เลิกเปล่งวาจาราวกับถอดตาทิ้งไว้ที่บ้านเสียที
แต่แล้ว...สิ่งที่กังฟูเข้าใจ
กลับไม่ตรงกับความเป็นจริง...
เพราะข้อมืออีกข้างที่ยกขึ้นมา
ว่างเปล่าไร้เงาของผู้จับจูง
“อ้าวเฮ่ย!!! น้องพลับไปไหนแล้วล่ะ?
เมื่อกี๊ยังจับมือกูอยู่เลยนี่หว่า!!” ร่างเล็กตะโกนด้วยสีหน้าแตกตื่นพลางหันรีหันขวางทั้งซ้ายและขวาเพื่อตามหาเด็กชายให้เจอ
ดูท่าแล้ว...เห็นจะมีแต่กังฟูแค่เพียงผู้เดียวที่ตื่นตูมกับการหายตัวชั่วพริบตาของกุมารพลายในกายน้องพลับเมื่อครู่
เพราะอีกหนึ่งคนที่ไม่รู้ไม่เห็นภาพนิมิตด้วย
ยังคงงงงวยกับอาการแปลกประหลาดของเพื่อนรักร่างเล็กอยู่ไม่วางวาย
“ฟู
ฟูแน่ใจนะว่าฟูไม่ได้คิดไปเอง?” ด้วงยังคงยึดมั่นกับจุดยืนด้วยการผลักดันคำถามเดิมๆใส่หัวเพื่อนรักอยู่นั่น...
ซึ่งตลอดช่วงการต่อรองอันเข้มข้นของทั้งสองหนุ่ม
ฝ่ายถูกเกาะกุมเฝ้าสะบัดปลายแขนอย่างรุนแรงอย่างคงเส้นคงวา
กลับกัน...แม้เมื่อมองทีท่าเผินๆ
ฟังบทสนทนาผ่านๆ ฝั่งที่ง้องอนอ่อนข้อให้นั้นน่าจะเป็นหนุ่มผมยาวมากกว่า
ทว่าถ้อยคำโน้มน้าวออดอ้อนของด้วงไม่ได้สอดรับกับแรงหนักหน่วงที่ส่งผ่านฝ่ามือเหนียวหนับซึ่งจับกังฟูไม่ปล่อยเลยสักนิด
“มึงนั่นแหละที่คิดไปเอง...
เมื่อกี้น่ะพลับจริงๆนะมึง มึงเชื่อกูดิ!” สองตากลมใสเฝ้าแต่จับจ้องมองหาเด็กน้อยกลอยใจไปพร้อมๆกับสะบัดข้อมือเพื่อทวงอิสรภาพคืนจากด้วงโดยเร็วอย่างไม่เลิกรา
“ฟู
ยกโทษให้เราเถอะ...เราอยากกลับห้อง อยากกลับไปอยู่กับฟูจะแย่อยู่แล้วนะ”
หนุ่มหน้าสวยหลับหูหลับตาร่ำรำพันสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจด้วยไม่อยากปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่สนว่าคนฟังแทบจะยั้งโทสะเอาไว้ไม่ไหว
เรื่องทั้งหมดคงจะง่ายกว่านี้
หากด้วงมีสิทธิขาดในการเจรจากับกรกฏมากกว่าที่เป็นอยู่
ทว่าเมื่อเลือกใช้ไม้อ่อนเข้าต่อกรกับหัวใจคนขี้ดื้อมาตั้งแต่ต้น
ความอดทนอดกลั้น รู้จักผ่อนปรนโอนอ่อน และไม่หวั่นไหวสั่นคลอนโดยง่ายจึงกลายเป็นทางออกที่ด้วงเลือกใช้เพื่อรับมือกับอีกฝ่ายอยู่เสมอ
กระนั้น...
โควต้าขัดใจกังฟูที่ด้วงได้รับในระดับพรีเมี่ยมประสาเพื่อสนิทกำลังใกล้จะมิดเข็มไมล์สูงสุดเต็มที
“โอ๊ย!! อะไรของมึงนักหนาเนี่ยด้วง?! กูกำลังงงเรื่องน้องพลับอยู่ไม่เห็นหรือไง?...
.
...ปล่อยกู!! กูจะไปตามหาน้องพลับ
คนแม่งยิ่งเยอะๆอยู่...เดี๋ยวก็ได้คลาดสายตากันพอดี!!” พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยข่มขู่พลางกัดฟันกรอด
“ไม่! เราจะไม่หลบจนกว่าฟูจะยอมให้เรากลับห้อง”
ด้วงประกาศจุดยืนพร้อมกระชับฝ่ามือที่กำรอบๆข้อแขนเรียวของร่างเล็ก
ถึงจะแปลกใจกับความดื้อดึงผิดคาดของเพื่อนรักผมยาว
แต่นั่นกลับไม่สลักสำคัญเท่ากับความห่วงใยที่มีให้เด็กชายผู้ที่เขาผูกพันด้วยอย่างประหลาด
และหากเกิดเรื่องไม่คาดฝันใดๆขึ้นกับหนูน้อย...กังฟูคงจะพลอยเจ็บปวดตามพ่อแม่ของเด็กชายไปอีกคน
เพราะฉะนั้น...
ไอ้เฮงซวยหน้าทนคนไหนก็ตามที่กล้าขัดขวางการตามหาน้องพลับของเขา
ก็เท่ากับว่ามันผู้นั้นเป็นแมงเม่าที่พร้อมจะกระโดดเข้าสู่กองไฟบรรลัยกรรป์โดยแท้...
ไม่เว้นแต่ไอ้เม่าผมยาวจอมเร้าหรือที่ยังจับมือเขาไม่ปล่อยอยู่นี่
“ได้!! งั้นมึงก็ไม่ต้องหลบ
เพราะกูจะข้ามศพมึงไปเอง!!” กรกฏชี้หน้าคาดโทษเพื่อนรักที่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ยังไม่ยอมผละไปง่ายๆ
ยิ่งเมื่อได้เห็นประกายการต่อต้านในแววตาของอีกฝ่าย... กังฟูก็ตัดสินใจทำมิตรฆาตได้โดยไม่ลังเล
“หึ! บอกให้ถอยไม่ถอย...อย่ามาว่ากูใจร้ายทีหลังก็แล้วกัน”
ด้วยรู้อยู่แก่ใจว่าเพื่อนรักไม่มีทางยอมปลดคีมเหล็กรอบข้อมือตนออกง่ายๆ
คนตัวเล็กกว่าจึงดัดหลังเพื่อนผมยาวโดยเปลี่ยนให้เงื่อนไขดังกล่าวกลายมาเป็นข้อได้เปรียบ
กังฟูกระชากร่างหนาที่ไม่ทันระวังให้เซถลาเข้าหาตัว
ก่อนจะประเคนหัวเหม่งโขกเป้งเข้าตรงเบ้าหน้าขาวเนียนของด้วงอย่างจัง...กระทั่งตัวเขาซึ่งเป็นฝ่ายกระทำยังต้องยกมืออีกข้างขึ้นมาคลำหัวตัวเองป้อยๆ
ทว่าความโกรธคงทำให้กังฟูคิดน้อยไปหน่อย...
เพราะนอกจากด้วงจะไม่ปล่อยตัวเขาให้เป็นไทดั่งใจหวัง
น้ำหนักของร่างหนาใหญ่ที่หงายหลังตึงลงกระแทกพื้นในระหว่างที่ร่างกายของทั้งคู่ยังเชื่อมต่อกันอยู่นั้น
ถ่วงเอาร่างเล็กๆของเมทตัวน้อยให้ล้มตามลงไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้...
ทว่าความบรรลัยกลับไม่ได้สิ้นสุดอยู่แค่ตรงนั้น
หากแต่เป็นตำแหน่งที่กังฟูเสียทรงลงไปกองทับร่างของด้วงนั่นตังหากที่ไม่ผิดไปจากฉากชวนจิ้นในละครตอนดึกเป๊ะๆ
กลีบปากบางสีชมพูที่ดูน่าดูดดุนเป็นที่สุดในสายตาด้วง
สุดท้ายก็ร่วงหล่นมาพร้อมขั้วตกลงบนอวัยวะส่วนเดียวกันบนลำตัวของร่างหนาแบบพอเหมาะพอเจาะเข้าจนได้
ก่อนที่สามัญสำนึกจะร้องเตือนกังฟูให้ได้สติอีกครั้ง
ณ
ชั่วขณะที่ทั้งสองยังคงส่งผ่านความวาบหวามไปสู่ริมฝีปากของอีกฝ่าย
ความถูกผิดของทฤษฎีใดๆก็ดูเหมือนจะเลือนลางจางหายไปในความรู้สึกของกังฟูและด้วง
หนำซ้ำ...เวทย์มนตร์แห่งจุมพิตพิชิตทรวง
ยังช่วยคลายคำสาปที่กักขังหนุ่มร่างเล็กเอาไว้อีกต่างหาก
และนั่นก็แปลว่า...ช่วงเวลาแห่งความยากลำบากของนายพดด้วงกำลังจะเริ่มต้นขึ้นในอีกไม่ช้านี้
“เฮ่ย!!!!”
คนตัวเล็กร้องเสียงหลงก่อนสติจะเร่งให้เจ้าตัวหยัดสองมือเข้ากับพื้น
แล้วดันร่างกายท่อนบนขึ้นจากแผ่นอกของร่างหนาด้วยความว่องไว
ปล่อยให้ด้วงแสดงสีหน้าตกใจปนอึ้งอยู่อย่างนั้น
ซึ่งจังหวะก่อนที่หนุ่มผมยาวจะไหวตัวทัน...
กลไกป้องกันตัวเองของกังฟูได้ออกคำสั่งบังคับร่างเล็กให้เคลื่อนไหวโดยอัตโนมัติ เพื่อจัดการสั่งสอนอีกฝ่ายอย่างสาสม
“โอ๊ยยยยย!”
หนุ่มผมยาวผู้มีมารยาทสมมาดคุณชายอยู่เสมอกลับแหกปากส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดแบบผิดวิสัยออกมาทันที
หลังจากกังฟูตั้งหลักยันตัวขึ้นด้วยการประทับฝ่าเท้าคู่ลงบนแผ่นท้องของตน
จนด้วงจุกอั้กกระอักสะเทือนคล้ายกับอวัยวะภายในไหลเลื่อนไปกองรวมกันที่ด้านข้าง
อาการมึนงงก่งก๊งเพราะพิษร้ายจากรสจูบแผ่วๆเมื่อครู่
ทำลายความอาลัยอาวรณ์ในสวัสดิภาพของเด็กชายพลับของกังฟูจนปลาสนาการไปเสียสิ้น
หลังจากปรายตาชื่นชมร่างงอก่องอขิงด้วยความเจ็บปวดของด้วงจนสาแก่ใจ...
ร่างเล็กก็วิ่งเตลิดออกจากจุดเกิดเหตุหนีเพื่อหน้าอีกฝ่ายไปด้วยความสับสน
และอับอายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน...
เอ! หรือเขาจะเคยอายแบบนี้มาก่อนนะ?!
รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าไอ้สัมผัสแบบนั้นมันเคยเกิดขึ้นมาก่อน...
ผิดก็แต่ว่า
เมื่อครั้งที่แล้ว มีกลิ่นแอลกอฮอล์อ่อนๆแนบกับรสสัมผัสที่ตัดขาดความมีสติให้ห่างหายไปจากห้วงความคิดของเขาอยู่วูบใหญ่
“บ้าเอ๊ย!!!....” ร่างเล็กซอยช่วงขาสั้นๆพุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างไร้ทิศทางพลางใช้หลังมือถูริมฝีปากของตนเองไปมาคล้ายต้องการลบรอยประทับทั้งครั้งนี้และครั้งที่แล้วของเพื่อนชายคนสนิทให้หลุดพ้นไปจากรอยหยักในสมอง
“ฮึ่ย!!! ไอ้เหี้ยด้วงแม่ง!!! พ่องงงงง... เหวอออออออ..... อู้ออออออออออออ!!!!” เสียงอุทานและการบ่นอย่างหัวเสียถูกฝ่ามือหนาของชายร่างหมีซึ่งแอบซุ่มอยู่ตรงมุมตึกอีกฟากฝั่งที่กังฟูเพิ่งวิ่งผ่านสกัดเอาไว้ให้ดังก้องอยู่แค่ในลำคอ
การจู่โจมโดยไม่คาดฝันครั้งนี้แตกต่างกับการหน่วงเหนี่ยวข้อมือและเจรจาพาทีแบบผู้ดีหนก่อนหน้า
ด้วยระดับความจาบจ้วงที่เหนือชั้นและหน้าด้านกว่าหลายเท่านัก
ร่างจ้อยถูกแขนล่ำปล้ำรัดรวบมัดเข้าไปกอดกก
ก่อนแรงมหาศาลจะยกตัวกังฟูลอยปล่อยให้เท้าห้อยต่องแต่งเหนือพื้น
จากนั้นอีกฝ่ายจึงสอดเอวหนาเข้าประกบที่ว่างกลางหว่างขาซึ่งเผลอแหวกอ้าหลังจากแผ่นหลังบางถูกกดติดผนัง...
ส่วนสองมือที่กังฟูหมายจะใช้ตะกุยหน้าของอีกฝ่ายแทนอาวุธตอบโต้
ก็ดันถูกคนตัวโตรวบเอาไว้เหนือหัวเข้าเสียอีก
ท่วงท่าล่อแหลมเช่นนี้ถูกเต๋องัดขึ้นมารับมือกับกระบวนท่าฝ่ามือตะบันหน้า
ลูกเตะสลาตัน รวมทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้กังฟูขุดรูหนีไปได้
“อื้อออออออ
ไอ้เอี้ยเอ๋อออออออออออออ!... อื้อออออออ”
(ฮื่อออออออ
ไอ้เหี้ยเต๋อออออออออออออ!... ฮื่อออออออ)
เสียงอู้อี้ของกังฟูบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวกำลังโวยวายด้วยความอึดอัดขัดใจอย่างเต็มความสามารถ...
เพิ่งผละจากเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดมาได้ไม่เท่าไร
ก็ถูกไอ้หมีควายจับตัวเอาไว้อีกหน...
สรุปว่าพวกมันสองคนเคยเห็นหัวของเขาบ้างไหมวะเนี่ยะ?!!
“ฟู...มึงฟังกูให้ดีๆนะ”
เต๋อเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนทว่าสื่อถึงความหนักแน่นมั่นคงได้อย่างเต็มเปี่ยม
เมื่อสิ้นสุดประโยคเรียกสติร่างเล็กเพื่อขอความร่วมมือ
หนุ่มร่างหมีก็ถือโอกาสพักสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างช้าๆเพื่อสะกดความประหม่าภายในให้ลดลง
ซึ่งอีกฝ่ายก็อาศัยจังหวะเดียวกันนั้น แสดงอาการต่อต้านออกมาทันที
“อังอ้ออึงอิ
อ่อยยยยยยยยยยย!!!”
(ฟังพ่อมึงสิ ปล่อยยยยยยยยยย!!!)
ถึงจะยังเปล่งเสียงไม่ได้อย่างใจ
แต่ร่างเล็กกลับไม่ละทิ้งความพยายาม กังฟูถลึงตาขู่อีกฝ่ายที่กำลังยื่นหน้าเข้ามาใกล้กับใบหน้าของเขามากขึ้นเรื่อยๆ...
แค่ได้เห็นท่าทางสับสนที่ขัดแย้งกับแววตาจริงจังของหนุ่มสถาปัตย์ตาคมที่ลอยห่างออกไปแค่คืบ
ร่างกายที่เริ่มจะไม่ปกติของเขาก็รีบสั่งให้แสดงออกด้วยท่าทางตรงกันข้าม
เพื่อหักห้ามความรู้สึกตื่นเต้นรุนแรงที่พลุ่งพล่านอยู่ภายในซึ่งทำให้หัวใจเขาเต้นไม่เป็นส่ำอยู่ในขณะนี้
“กูยอมรับก็ได้ว่าเมื่อวานที่กูคุยกับกะเทยน่ะเกี่ยวกับมึง”
เต๋อยอมรับออกมาจนได้ในท้ายที่สุด...
กับกังฟู
เขาพร้อมจะพูดความจริงให้อีกฝ่ายได้รับฟังอยู่เป็นนิจโดยไม่คิดปิดบัง...
ถ้าคนฟังไม่แอบมาได้ยินเข้าเสียก่อนเหมือนเรื่องในครั้งนี้ล่ะก็นะ
และแน่นอน...
ชายหนุ่มย่อมต้องคิดหาวิธีรับมือกับอาการเกรี้ยวกราดฟาดงวงฟาดงาหลังรู้ว่าอะไรเป็นอะไรของคนตัวเล็กเอาแต่ใจไว้ล่วงหน้าอยู่เสมอ
“ไอ้เอี้ยเอ๋อออออออ!!”
(ไอ้เหี้ยเต๋อออออออ!!)
กังฟูก่นด่าตามประสาทว่ากลับฟังไม่รู้ความ...
จนคนฟังต้องนิ่วหน้าตามด้วยไม่อยากหลุดขำเพื่อทำลายบรรยากาศที่อุตส่าห์ตั้งใจบิวท์เสียดิบดี
“เออ! ฟังก่อนดิวะ...กูกับมัน
เดิมพันกันด้วยเรื่องของมึง” เต๋อสรุปสั้นๆให้คนฟังเข้าใจ และเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายจับกระแสความรู้สึกขบขันยามได้เห็นหน้าตาและท่าทางน่าเอ็นดูของกังฟูในยามนี้แบบจะจะ
“แอ้งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง!!”
(แม่งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง!! )
ร่างเล็กตะเบ็งเสียงอู้อี้จนหน้าดำหน้าแดงส่วนฝ่ายผู้กระทำ
กลับไม่มีโอกาสล่วงรู้แม้แต่น้อยว่า
ไอ้ท่าทางสุดประหลาดกับการกั้นเสียงร้องในปากของเขาเอาไว้แบบนี้
มันเหนื่อยกว่าส่งเสียงด่าดีเป็นไหนๆ
“ฟู...มึงฟังก่อนดิวะ! เรื่องที่กูจะบอกแม่งสำคัญนะเว่ย!!” เมื่อหนุ่มสถาปัตย์ยืนกรานคำเดิมด้วยความแน่วแน่
คนฟังก็ได้แต่พยายามสงบจิตสงบใจให้นิ่งกว่าช่วงแรกๆ เพราะรู้ซึ้งแล้วว่าการด่าแหลกโดยไม่อาจเปล่งเสียงได้นั้น
สูบพลังวัตรที่หมั่นรักษาด้วยความหวงแหนไปอย่างรวดเร็วขนาดไหน
“อีอะไออ้ออีบๆออกอาอ๊ะอีอิอ้ะ
อมอะอำอู่อ้ายไอ้เอี้ย!!!”
(มีอะไรก็รีบๆบอกมาซะทีสิวะ
อมพะนำอยู่ได้ไอ้เหี้ย!!)
เสียงอู้อี้ยาวเหยียดเกินจะแปลออกของกังฟูดูคล้ายกับคำอนุญาตผสมการยอมรับสำหรับหนุ่มร่างหมี
เต๋อจึงบอกเงื่อนไขล่าสุดที่เขาเพิ่งต่อรองกับด้วงแลกกับที่พักพิงชั่วคราวให้อีกฝ่ายรับฟังและทำความเข้าใจอย่างเร็วรี่ไม่มีติดขัด
“แข่งบอลวันพรุ่งนี้
กูต้องเตะบอลให้เข้าโกลอย่างน้อยหนึ่งลูก ไม่อย่างนั้นกูจะไม่ได้เจอหน้ามึงอีกต่อไป”
ใบหน้าของตรินสลดลงทันทีที่พูดจบ
แค่คิดตามเขาก็ห้ามความเศร้าโศกเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป...
ยิ่งได้มีโอกาสชิดใกล้กับกังฟูมากขึ้นเท่าไร
เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าการถอนตัวและหักใจจากคนตัวเล็กสุดร้ายกาจผู้นี้ กลายเป็นเรื่องยากเย็นเกินจะรับมือได้มากขึ้นเท่านั้น
“แอ๊วไอ?!!”
(แล้วไง?!!)
ดีนะที่มือทั้งสองข้างถูกเต๋อยึดเอาไว้
ไม่อย่างนั้นกังฟูอาจจะได้ตบปากตัวเองให้หายซ่า
ค่าที่เสนอหน้าเผยความนัย
ทีนี้ไอ้หมีควายก็รู้กันพอดีสิว่า
เขาสนใจในเงื่อนไขปัญญาอ่อนที่มันกับไอ้ด้วงแอบไปติ๊งต่างทำเอาไว้กันเอาไว้โดยไม่คิดจะบอกกล่าวให้เขารับรู้เสียก่อน...
แต่ไม่สิ! แล้วทำไมเขาต้องอยากให้ไอ้เต๋อมันเอาเรื่องนี้มาปรึกษากับเขาด้วยล่ะ?!! ชักจะไม่เข้าท่าไปกันใหญ่แล้วนะกังฟู!
“ถ้ากูแพ้เดิมพันหนนี้...กูกับมึงจะไม่ได้เจอกันเชียวนะเว่ยฟู”
สายตาของกังฟูเริ่มพร่า
เมื่อเจ้าของประโยคเมื่อครู่เลื่อนหน้าผากมาวางจรดกับหน้าผากกว้างของกังฟู
ก่อนจะถอนหายใจหนักๆ
จนร่างเล็กสัมผัสได้ถึงลมร้อนพวยพุ่งออกมาเป็นสายที่ถูกระบายพรูลงบนเนื้ออ่อนเหนือริมฝีปากตน
ความอ่อนแอแลดูไม่เหมาะกับไอ้หมีควายเต๋อที่ชอบเจ๋อมายุ่งเรื่องของเขาเป็นประจำเลยแม้แต่น้อย
เจ้าของร่างจ้อยจึงอดใจหาย
และรู้สึกเป็นห่วงอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
ทว่าการแสดงออกซึ่งความเห็นอกเห็นใจอย่างตรงไปตรงมา
หาใช่วิถีของมนุษย์ปากแข็งผู้แห้งแล้งความอ่อนไหวในระดับแอดวานซ์อย่างเขาที่ไหนกัน?!
“แอ้วอันเอี่ยวอะไออับอูอ้วยอ่ะ?!!”
(แล้วมันเกี่ยวอะไรกับกูด้วยล่ะ?!!)
แม้เมื่อครู่จะเป็นคำถามที่ประดับประดาด้วยค่าความหงุดหงิดติดลมบน
แต่คนที่อ่านทางขาดอย่างเต๋อกลับสัมผัสได้ถึงความอ่อยของน้ำเสียงซึ่งสอดไส้ความห่วงใยเอาไว้ภายในได้อย่างลงตัว
การตอบโต้ของกังฟูเมื่อครู่ถือเป็นสัญญาณอันดีเยี่ยมที่บอกให้เต๋อรู้ว่า
ลางสัญหรณ์บางอย่างที่ทำให้เขาไม่อยู่สุขมาตั้งแต่เช้า
แถมยังบังคับให้เฝ้าหนีงานมาเดินวนเวียนผ่านมุมมืดแห่งนี้อยู่ทุกๆครึ่งชั่วโมงโดยไร้สาเหตุ
ก็เพื่อให้เขาได้ลงมือกระทำบางสิ่งที่จะยกระดับ และกระชับความสัมพันธ์ที่ระหว่างเขากับกังฟูให้แนบแน่นยิ่งขึ้นไปกว่าเดิมนั่นเอง
สิ่งเดียวที่หนุ่มร่างหมีไม่อาจรู้เท่าทันเห็นจะเป็น
ไอ้ความรู้สึกที่เขาเชื่อว่าเป็นลางสังหรณ์ดังกล่าว
แท้ที่จริงแล้ว
เป็นผลพวงมาจากอำนาจดลใจของเจ้าพ่อห่อไหล่ ซึ่งช่วยสร้างโอกาสให้เจ้าตัวได้ปรับความเข้าใจกับกังฟูได้อย่างรวดเร็วนั่นเอง
“ฟู
กูขอกำลังใจหน่อยดิ...นะ นะฟูนะ... นะครับฟู”
หนุ่มร่างหมีหน้าคมออดอ้อนคนตัวเล็กกว่าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแบบที่ไม่เคยใช้พูดกับใคร
ซึ่งลูกแก้วสีน้ำตาลที่งามจับใจทั้งสองที่ตวัดมองไปทางอื่นด้วยเจ้าของไม่อาจสู้หน้าอีกฝ่ายได้อีกต่อไป
ทำให้เต๋อกล้าที่จะเลื่อนฝ่ามือซึ่งกั้นริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่อที่เริ่มจะเบินนิดๆของกังฟู
ให้หลบพ้นทางไปด้วยความรวดเร็ว
“อื้ออออออ!!”
ตรินประทับริมฝีปากของตนลงบนอวัยวะส่วนเดียวกันของอีกฝ่ายด้วยความแม่นยำอย่างทันท่วงที
จูบแรกจูบนี้
เจ้าของร่างหมีไม่ได้หวังสร้างความประทับใจให้กับอีกฝ่าย เนื่องจากไม่แน่ใจในปฏิกิริยาตอบสนองของกังฟู
เกิดพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยไหวตัวตั้งแต่หัววัน
ก็ไม่มีใครการันตีได้ว่า...ปลายลิ้นที่เขาส่งไปรุกล้ำดินแดนสนธยา จะกลับมาในสภาพสมบูรณ์พร้อมครบถ้วนทั้งร้อยเปอร์เซนต์เหมือนขาไปหรือไม่
เต๋อจึงอาศัยความว่องไวสอดเรียวลิ้นอ่อนนุ่มเข้าไปฉกชิมความหวานหอมด้านในโพรงปากที่เผลอเบิกกว้างด้วยอารามตกใจของร่างเล็ก
แล้วจึงตวัดปลายลิ้นไล่ล้อกับลิ้นเล็กๆหวานฉ่ำที่ดูเหมือนจะทำอะไรไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนที่อนุสติจะดึงให้เขากลับลงมายืนบนพื้นโลกได้อีกครั้ง
“ฮ่าาาาาาาาาาาา
ชื่นใจจัง... กำลังใจเต็มเปี่ยมแล้ว ไปก่อนนะ!” เต๋อพูดคล่องปร๋อหลังจากถอนสมอผละร่างออกห่างกายหยาบไร้วิญญาณของกังฟูที่แทบจะสิงสู่อยู่กินกับผนังตึกเรียน
โดยไม่ลืมตบท้ายด้วยการเปลี่ยนอารมณ์ด้วยรอยยิ้มกะล่อน แล้วจึงร่อนหนีอีกฝ่ายไปอย่างรวดเร็ว
“ไอ้...ไอ้....
ไอ้!... ไอ้สัดเต๋อออออ
มึงอย่าอยู่เลยยยยยย!!!!”
นานหลายนาทีกว่าที่พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยจะประกอบร่างกลับคืนมาเป็นกังฟูคนเดิมได้อีกครั้ง
เมื่อนั้น...ร่างเล็กก็ออกตัวซอยเท้าด้วยความรวดเร็วประหนึ่งนักวิ่งโอลิมปิกเพื่อไล่ตามไปจิกเอาเลือดชั่วออกจากหัวของจอมโจรปล้นจูบร่างใหญ่ให้สำเร็จ
ซึ่งในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนั้นเอง ด้วงที่เพิ่งฟื้นตัวจากอาการจุกจนลุกไม่ขึ้นก็อาศัยเสียงแห่งความอาฆาตแค้นดังกล่าวเป็นเครื่องนำทาง
พาร่างสูงใหญ่ของตนให้เร่งฝีเท้าก้าวยาวๆออกเดินตามหลังร่างเล็กไปห่างๆอย่างไม่ลดละ
Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ
“ฟู่ว์...
บันยันเหนื่อยมากเลยครับเบ๊บ...
.
...เมื่อกี๊ตอนที่เราแยกกันปฏิบัติภารกิจ...
...บันยันต้องทั้งเสกให้เจ้ากังฟูเห็นกุมารพลาย
ไหนจะต้องจัดฉากให้เจ้าตัววุ่นวายทั้งหลายได้ปรับความเข้าใจกัน...
...อย่างนี้แล้ว
เราสองตนจะไปเดทกันได้หรือยังล่ะครับเบ๊บ?” เจ้าพ่อไทรทองทำท่าเสมือนปาดเหงื่อเพื่อความสนับสนุนเนื้อความออดอ้อนออเซาะที่เพิ่งเอื้อนเอ่ยให้องค์เทพเจ้าของใบหน้าหมดจดงดงามได้รับฟัง
เจ้าพ่อห่อไหล่ที่ตั้งจิตอยู่ในสมาธิระหว่างจับยามสามตาเฝ้าดูผลลัพธ์ของการจัดฉากเพื่อช่วยเหลือเต๋อกับกังฟูให้ได้ใช้เวลาร่วมกันเมื่อสักครูยังไม่ออกจากภวังค์แห่งปีติสุข
กระทั่งได้ยินเสียงกระแนะกระแหนเจ้าพ่อไทรทองของเด็กวิเศษดังลอยลมมาให้สดับ
“ช้าก่อนขอรับเจ้าพ่อไทรทอง
เจ้าพ่อหลงลืมกระผมไปแล้วหรือไร?...
.
...เมื่อสักครู่นี้
หากไม่ได้กระผมวิ่งนำพ่อฟูมาส่งให้ถึงมือ
เห็นที่ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดคงไม่ลงเอยอย่างที่ท่านว่าไว้หรอกกระมังขอรับ” เด็กวิเศษสอดแทรกขึ้นทันตาโดยไม่อินังขังขอบกับท่าทางอ้อนวอนขอความร่วมมือของเทวบุตรสุดชิคแม้แต่น้อย
“เมื่อกี๊เจ้าว่าอะไรนะเจ้าลูกพลาย?”
เจ้าพ่อห่อไหล่ยอมออกจากสมาธิเพื่อลืมตาขึ้นพินิจใบหน้ากุมารทองที่เพิ่งอวดอ้างความดีความชอบของตนไปหมาดๆ
ท่าทีจับผิดของโฮลี่ฮิปสเตอร์ทำให้เจ้าพ่ออีกองค์ลอยปรี่เข้ามาคั่นกลางเพื่อกันเทพชั้นสูงออกจากจิตทิพย์ในร่างเด็กชายโดยพลัน
“เบ๊บครับ
เดี๋ยวเบ๊บรอบันยันแป๊บนึงนะ บันยันมีเรื่องต้องตกลงกับเจ้ากุมารแป๊บเดียวครับเบ๊บ”
ท่าทางเลิ่กลั่กของเจ้าพ่อไทรทองทำให้เจ้าพ่อห่อไหล่งุนงงอยู่พอสมควร แต่สุดท้าย...องค์เทพผู้ปกปักมหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็ไม่ได้ไต่สวนอะไรให้มากความ
“เจ้านี่นะ
ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย!..
ดูสิ...ข้ายังไม่ทันได้หามหมู อยู่ๆเจ้าก็เอาคานเข้ามาเสียบจนเสียกระบวนไปหมด”
เจ้าพ่อไทรทองที่ฉุดร่างทิพย์ของเด็กวิเศษให้หายตัวไปโผล่อีกมุมหนึ่งเอ็ดพี่พลายทันทีที่แน่ใจว่ากระแสจิตของเจ้าพ่อห่อไหล่จะไม่อาจติดตามมารับฟังข้อความหลังจากนี้ได้ทั้งหมด
“ถ้าข้าอดไปเที่ยวงานรื่นเริงของพวกมนุษย์กับเจ้าพ่อห่อไหล่เพราะปากลำโพงของเจ้าล่ะก็
น่าดูแน่ล่ะเจ้ากุมารเอ๋ย!!” เทวบุตรสุดชิคคาดโทษ กระนั้น...นอกจากกุมารทองจะไม่สลดแล้ว เด็กวิเศษยังทักท้วงทวงถามถึงข้อแลกเปลี่ยนที่เจ้าพ่อไทรทองได้เกริ่นล่อใจก่อนจะมอบหมายงานในครั้งนี้ให้พี่พลายทำอีกต่างหาก
“ถ้าเจ้าพ่อไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น
เจ้าพ่อก็ให้รางวัลกระผมตามที่เจ้าพ่อสัญญาเอาไว้สักทีสิขอรับ”
“กระผมเองก็มีธุระเร่งร้อนไม่แพ้ธุระของเจ้าพ่อสักเท่าใดหรอกขอรับ”
พี่พลายย้อนเจ้าพ่อไทรทองให้ด้วยคำพูดแสบสันผ่านท่าทางนอบน้อม
ครั้นจะโกรธเด็กวิเศษกับท่าทีตบหัวแล้วลูบหลังที่เพิ่งเห็นกับตาไปหลัดๆ...ก็ต้องอึดอัดเพราะทำไม่ได้
ด้วยหากเผลอโกรธลงไป
จะทำให้แต้มบุญที่สะสมเอาไว้ลดลงมากอักโข
เทวบุตรสุดชิคจึงได้แต่ปล่อยวางคำพูดที่เพิ่งได้ยินนั้นให้ลอยผ่านทะลุโสต
แล้วจึงเร่งจัดการกำจัดมารหัวใจในร่างเด็กใสซื่อตนนี้ให้พ้นหูพ้นตาไปโดยเร็ว
“ก็ได้
ก็ได้...เจ้ากุมาร แต่ก่อนที่ข้าจะให้รางวัลแก่เจ้าตามที่ขอ...
.
...ข้าถามจริงๆเถอะ
เจ้าจำเป็นต้องแบ่งร่างออกเป็นสามจริงๆหรือ?” เจ้าพ่อไทรทองถามย้ำกับกุมารพลายอีกครั้ง
เพราะลำพังการเสกกายเนื้อให้กับจิตทิพย์เพียงร่างเดียว
ก็ต้องอาศัยพลังจิตไม่น้อย...
แต่หนนี้
เจ้าเด็กวิเศษกลับต่อรองขอให้ตนสร้างกายเนื้อถึงสามร่างตามจำนวนจิตของเด็กที่จะมาเกิดในครอบครัวกังฟูอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
“ก็จริงน่ะสิขอรับ
เพราะกระผมจำต้องแบ่งกายเนื้อไปเยี่ยมเยียนผู้มีพระคุณหลายแห่ง...
.
...บ้างที่ติดค้างคำสัญญากันก็มี...
...กระผมเลยอยากจะไปเที่ยวเล่น...เอ๊ย!
ทำธุระด้วยร่างของสามพี่น้องที่แยกจิตกันน่ะขอรับ” พี่พลายอธิบายเจื้อยแจ้วตามความต้องการที่แท้จริง
“ข้าไม่น่าเสียทีวิญญาญระดับล่างขององค์กรอย่างเจ้าเล้ย...
.
...แค่ขอให้มาวิ่งเข้าฉากด้วยประเดี๋ยวเดียว
ไม่เห็นจะคุ้มกับการใช้เวทย์ขนานใหญ่แบบที่เจ้าร้องขอสักนิด” เจ้าพ่อไทรทองบ่นพึมพำ เพราะความตั้งใจจะสร้างความประทับใจให้เจ้าพ่อห่อไหล่ยอมใจอ่อนโดยเร็วแท้ๆ
ทำให้เขาต้องมาเสียรู้โดนเจ้าเด็กวิเศษศรีธนญชัยแก้ลำยด้วยการลำเลิกบุญคุณเสียยกใหญ่
“โธ่! ไม่เห็นจะเป็นกระไรเลยขอรับเจ้าพ่อ
เพราะหมดจากเรื่องพ่อฟูเมื่อสักครู่...
...ช่วงเวลาที่เหลือของค่ำคืนนี้
ก็ไม่มีภารกิจใดๆของพวกพ่อฌานมารบกวนเวลาอันมีค่าของท่านทั้งสองได้อีกแล้ว...
...ที่สำคัญ
กระผมรับรองเลยขอรับว่า
กระผมจะไม่ยอมให้การใช้พลังของเจ้าพ่อต้องเสียเปล่าแต่อย่างใดหรอกขอรับ”
พี่พลายรับคำอย่างเคร่งครัดเพื่อไม่ให้เทวบุตรผัดผ่อนไปมากกว่านี้
“เอา
เอา...งั้นเจ้าก็รีบตั้งสมาธิเสียสิ ข้าจะได้หมดธุระกับเด็กอย่างเจ้าเสียที...
.
...ดีนะที่วันนี้เป็นวันพระใหญ่
ข้าเลยไม่ต้องใช้พลังเวทย์มากจนเกินไปเหมือนเมื่อวาน”...ว่าแล้ว เจ้าพ่อไทรทองก็หลับตาลงเพื่อตั้งกระแสจิตก่อนจะเนรมิตรทุกอย่างให้ตามแต่เด็กวิเศษต้องการ
ฝ่ายกุมารก็ก้มลงกราบบุตรแห่งเทพด้วยความดีใจก่อนจะหลับตาตั้งจิตอธิษฐานตามไปโดยเร็ว
Ħ------------------------------------------------------------------------Ħ
“เชื่อแล้วว่าหิวจริงๆ กินเยอะเหมือนกันนะคุณน่ะ” ฌอนเอ่ยอึ้งๆ...ซึ่งต่อให้ฟังเผินๆก็รู้ได้ว่า นี่ไม่ใช่คำชม ออกจะห่างไกลกว่านั้นไปเยอะเหลือเกินเสียด้วยซ้ำ
เพราะตลอดเวลากว่าครึ่งชั่งโมงที่ผ่านมา
แฝดน้องทำได้แค่จ้องมองเจ้าของร่างกะทัดรัดยัดอาหารจานด่วนจานแล้วจานเล่าเข้าปากอย่างไม่รู้จักหยุดหย่อน
และดูเหมือนว่า
พายุสวาปามของอิ๊กคงจะไม่ยอมผ่อนกำลังลงง่ายๆอีกต่างหาก...
กินเป็นยัดทะนานอย่างนี้
คนเป็นแฟนจะต้องทำงานอะไรเพื่อหาเงินให้พอใช้กับการเลี้ยงดูปูเสื่ออีกฝ่ายเป็นอย่างดี?
ต่อไปเขาไม่ต้องแอบเอาหลวงพ่อของพี่ชายไปปล่อยเช่า...เพื่อแลกข้าวปลาอาหารให้อดีตเดือนหน้าหวานกินประทังความอยากอาหารอันล้นเหลือหรอกหรือ?
“ก็มันหิวนี่
นายนั่นแหละเอาแต่พูดโน่นพูดนี่อยู่ได้” ระหว่างตัดพ้อ อิ๊กก็กำลังเคี้ยวไข่ปลาหมึกหนุบหนับ พลางจับตามองถุงน้ำจิ้มปอเปี๊ยะทอดในมือระหว่างแกะหนังยางออกอย่างคร่ำเคร่ง
สุดท้ายแล้ว...ไอ้ท่าทางกินอะไรๆก็อร่อยของอิ๊กก็ทำให้ฌอนทิ้งความกังวลเมื่อครู่ไปจนหมดสิ้น
เพราะเมื่อลองเปรียบเทียบในใจ
ระหว่างเห็นอีกฝ่ายกินได้ ย่อมต้องดีกว่าให้อดีตเดือนบริหารเอาแต่อดอาหารเป็นไหนๆอยู่แล้ว
“ก็พามากินแล้วนี่ไง”
แฝดน้องตอบด้วยน้ำเสียงเอ็นดูอีกฝ่ายที่ยังวุ่นวายกับถุงน้ำจิ้มเจ้าปัญหาจนเผลอทำหน้ายุ่ง
ซึ่งทันทีที่อิ๊กเอาชนะหนังยางมัดถุงได้
ชายหนุ่มร่างเล็กก็ย้ายมาจัดการปอเปี๊ยะทอดสอดไส้ชีสและเนื้อปูเป็นรายการถัดไปโดยไม่ลังเล
“ดีนะฉันไม่หิวจนเป็นลมตายไปเสียก่อน”
เจ้าของใบหน้าหวานๆกับขนตางอนๆยังคงเคี้ยวแก้มตุ่ยพลางพร่ำรำพันโดยไม่มีอาการเสียงสะดุด
อาหารอุดลำคอ หรือปอเปี๊ยะพุ่งกระเด็นหลุดออกมาให้เห็นอย่างน่าอัศจรรย์...
ราวกับว่านี่คือพรสวรรค์ประการหนึ่งของอดีตเดือนบริหารหน้าใสอย่างไรอย่างนั้น
ทว่าคุณสมบัติดังกล่าวกลับไม่ได้ยืนยันว่า
ใบหน้าของนักกินร่างเล็กจะหมดจดสดใสไร้รอยเปื้อนของน้ำซอสทั้งหลายแต่อย่างใด ยิ่งถ้าเจ้าตัวซัดอาหารแบบเต็มปากเต็มคำไปเสียทุกรอบแบบนี้
“หึ!...อ่ะนี่” หนุ่มสถาปัตย์เอ่ยพลางยื่นกระดาษทิชชูที่ซื้อมาเตรียมไว้เป็นพิเศษให้อีกฝ่ายก่อนจะอธิบายสั้นๆ
“แก้มน่ะ เช็ดเสียหน่อย... เปื้อนไปหมดแล้ว”
“ไหน...เปื้อนตรงไหน?”
อดีตเดือนบริหารเว้นวรรคจากการรับประทานเพื่อถามไถ่อีกฝ่ายด้วยท่าทีสนใจเป็นพิเศษ แน่ละ...เขาไม่ได้อยากดูทุเรศเกินพิกัดเวลาอยู่ต่อหน้า
‘นายขอรับ’ สักเท่าไร ฝ่ายคนทักก็ทำท่าชี้จุดบอกใบ้ตำแหน่งเปื้อนให้หนุ่มหน้าหวานใสได้รู้ตัว
“เป็นไง?...ออกหมดยัง?”
ฝั่งคนแก้มเปื้อนซอสยากิโซบะที่นึกว่าหน้าเกลี้ยงแล้วก็รีบอวดผลงานให้อีกฝ่ายช่วยตรวจดูความเรียบร้อย
แต่รอยเปื้อนสีน้ำตาลเข้มที่มีมากกว่าหนึ่งจุดยังคงหลงเหลืออยู่บนเนื้อนิ่มเหนือมุมปากข้างซ้ายขึ้นไปหลายลิปดาทำให้ฌอนยังคงส่ายหน้าเนือยๆ
ทำให้อิ๊กตั้งหน้าตั้งตาเช็ดอยู่เรื่อยๆแบบไม่ยอมรามือ
จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่...
ทว่าแฝดน้องที่อดรนทนเห็นรอยด่างติดอยู่บนหน้าสว่างของอิ๊กไม่ได้อีกต่อไป
ก็คว้ามือที่กุมกระดาษทิชชูเอาไว้ขึ้นมาแตะตรงตำแหน่งเปื้อนให้ทันทีพลางบ่นด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก
“โตแล้วนะคุณน่ะ...
ยังจะกินเลอะเหมือนเด็กๆอยู่อีก”
หลังจากพูดจบพร้อมๆกับที่เช็ดเสร็จ...
ฌอนก็ถูกดวงตากลมใสแจ๋วของอีกฝ่ายกระตุ้นให้รู้สึกตัวว่าเผลอทำอะไรอุกอาจไม่เหมาะไม่ควรเข้าให้แล้ว
ทว่าฝ่ายที่จ้องหน้า ‘นายขอรับ’ อยู่เป็นนานสองนานกลับเกิดรู้สึกเห่อร้อนไปทั้งใบหน้าเสียเอง
เมื่อดวงตาคมกลมโตน่าเกรงขามของหนุ่มหน้าเข้มเลื่อนมาประสานไม่หลบไปไหน
ความรู้สึกเขินอายที่ห่างหายไปจากชีวิตมาชาติกว่า
ทำให้อิ๊กเสหลบสายตาแล้วคว้าเอาแก้วน้ำขึ้นมายกดื่มแก้เก้อ
กระนั้น...ฝ่ายที่เห็นอาการขวยฉับพลันของอิ๊กเต็มๆตากลับไม่ปล่อยให้เขาได้พักหายใจหายคอแต่โดยดี
“คุณ”
เสียงเรียกของแฝดน้องทำให้ร่างเล็กกว่าผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะส่งเสียงอ่อยๆมาถามไถ่โดยไม่ยอมหันหน้ากลับมามองคู่สนทนาอย่างที่ควรจะเป็น
“อะไร?...หน้าฉันยังเปื้อนอยู่อีกเหรอ?”
“เปล่าหรอก”
ฌอนตอบเรียบๆ น่าเสียดายที่อิ๊กเอาแต่หลบตาเลี่ยงไปมองไกลๆ
อดีตเดือนบริหารจึงไม่ทันได้เห็นใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มมุมปาก ซึ่งถือเป็นของหายากไม่ผิดไปจากอาการสงบปากสงบคำของสกล
“อ้าว! เรียกทำไมอีกเล่า?
คนจะกินน้ำไม่เห็นหรือไง?”
อิ๊กต่อปากต่อคำฉุนๆ
ว่าแล้วก็ดูดน้ำไล่ความร้อนอีกหนึ่งอึกใหญ่ๆ...คนยิ่งเขินๆอยู่ ยังจะมาทู่ซี้เอานิยมนิยายอะไรอีก?!
“อือ..ก็เห็น ว่าแต่...น้ำลำไยของผมอร่อยไหม?” แฝดน้องถามพลางจับตาดูการตอบสนองของคนฟังด้วยความตั้งใจ
แรกเลยเขาแค่อยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกตัวเมื่อไรว่าหยิบน้ำผิดแก้วไป
แต่พอเห็นท่าทางน่าสนใจเมื่อครู่
เขาจึงอดใจเฝ้ารอดูอาการตลกๆของอิ๊กหลังจากที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“อืม
ก็อร่อยดี” อดีตเดือนบริหารรับคำเหมือนคนบ้าจี้
แต่พอมีสติอีกครั้ง...ร่างบางก็สะดุ้งสุดตัวพร้อมหลุดปากอุทานด้วยสีหน้าตกอกตกใจที่ดูอย่างไรก็น่ารัก
“อุ้ย!... ผิดแก้ว!!”
“หึ
หึ หึ...แย่จังเลยเนอะ” คนพูดอ้อมแอ้มยิ้มแห้งๆพลางวางน้ำลำไยที่หายไปเกือบครึ่งแก้วลงตรงหน้าฌอนด้วยท่าทางกระมิดกระเมี้ยน
คนฟังจึงเลื่อนโอรีโอ้ปั่นเต็มแก้วไปให้อีกฝ่ายที่ทำหน้าดูไม่จืดพร้อมกับเอ่ยขำๆ
“หึ
หึ หึ...อ่ะนี่ แก้วคุณ”
“โทษทีนะ” อิ๊กพูดเสียงอ่อน ก่อนจะก้มหน้าก้มตาดูดน้ำปั่นในแก้วของตนด้วยความตั้งอกตั้งใจราวกับคนกระหายน้ำมาทั้งชีวิต
ส่วนฝ่ายคนชอบแกล้งก็หยิบแก้วของตนขึ้นมามองดูด้วยสายตาเป็นประกายราวกับได้ของที่ปรารถนามาครอบครอง
“ไม่เป็นไรหรอกคุณ...
ก็มันอร่อยนี่เนอะ”...ฌอนจับหลอดที่อีกฝ่ายเพิ่งทิ้งรอยสัมผัสเอาไว้ขึ้นมาจรดริมฝีปากด้วยความทนุถนอมก่อนจะละเลียดดูดชิมน้ำลำไยที่เหลืออย่างช้าๆ
ชายหนุ่มแน่ใจเป็นที่สุดว่า
หลังจากนี้...ความหอมหวานจากน้ำแก้วไหนๆ
คงเทียบไม่ได้กับน้ำที่ดื่มผ่านหลอดพลาสติกหลอดนี้...
หลอดที่คนข้างๆวางติดริมฝีปากอวบอิ่มคู่นั้นอยู่หลายต่อหลายครั้ง
ฝ่ายคนที่ไม่เข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ของประโยคเมื่อครู่สักเท่าไร
ก็ขยับปากตอบส่งๆ
เพราะยังคงโดนความอับอายถล่มจนไม่อาจหันไปสู้หน้ากับแฝดน้องได้อีกพักใหญ่ๆ
“ฮื่อ...
อร่อย อร่อยมากด้วย”
ซึ่งคำพูดตอกย้ำที่อดีตเดือนบริหารตอบกลับมา
ทำให้ใบหน้าของฌอนค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงตามอิ๊กไปติดๆ
จากนั้น...คนที่หน้าแดงแจ๋ทั้งสองที่นั่งหันหลังให้กันโดยไม่พูดไม่จา
ต่างก็ก้มหน้าดูดน้ำในแก้วของตนเงียบๆพลางแอบอมยิ้มเป็นพักๆระหว่างปักหลักเหม่อมองไปทางอื่น
Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ
“ไอ้เหี้ยเต๋อ
หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!” กังฟูตะโกนสั่งไอ้โจรร่างหมีที่วิ่งลับตาหายเข้าไปในซุ้มสาวดุ้นตกน้ำเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน
ซึ่งเสียงห้าวๆของเต๋อก็ตะโกนย้อนเขามาแทบจะทันทีเหมือนกัน
“หยุดก็กลัวดิวะไอ้เตี้ย!!”
“สองมือล้วงกระเป๋าสองเท้าก้าวเข้ามาครับพ่อแม่พี่น้อง...
.
...สาวแว่นสุดน่ารักในชุดน้องเมดมานั่งรอให้กับพ่อแม่พี่น้องได้เข้ามาประลองความแม่นกันอยู่ทางนี้แล้ว...
...เพียงห้าบาทเท่านั้นครับ
ห้าบาท!! แต่อย่าประมาทความมันส์สะใจที่จะได้เห็นสาวแว่นของเราตกน้ำป๋อมแป๋มลงไปต่อหน้าต่อตาของท่านแบบจะจะ!!”
“พวกมึงหลบไป!!” กังฟูแหกปากไล่กลุ่มลูกค้าและหน้าม้าเรียกแขกจนแตกกระเจิง...
จากนั้นก็วิ่งเข้าไปชาร์จกองลูกเทนนิสที่ใช้ปาเป้าสาวดุ้นแล้วจึงหมุนวงแขนควงลูกที่ถืออยู่ราวกับพิทเชอร์เบสบอลมือทอง
หลังจากล็อคเป้าเคลื่อนไหวที่ใจหมายได้แน่นอนแล้ว
เครื่องจักรขว้างปาก็ดำเนินการอัดลูกเทนนิสผสมแรงเหวี่ยงเต็มอัตราใส่ร่างหมีๆโดยไม่มีพลาดสักองศา
“โอ๊ย! ไอ้เตี้ย! เจ็บนะ!! นั่นมันลูกเทนนิสจริงเลยนะเว่ย!!!”...แม้จะเจ็บปวดตรงตำแหน่งที่โดนบอลอัดสักแค่ไหน แต่เต๋อกลับทำได้แค่ส่งเสียงประท้วง
พลางกระโดดยักย้ายส่ายร่างไปทางซ้ายที ขวาทีโดยมีฉากของสาวดุ้นตกน้ำหน้าแว่นในชุดเมดเอาไว้ใช้กำบังต่างหลุมหลบภัย
ทว่ากังฟูที่พัฒนาทักษะในการสร้างความเจ็บปวดให้กับอริตัวร้าย
ก็เหน็บเอาหน้าม้าชายมาเป็นผู้ช่วยย้ายตะกร้าใส่ลูกบอลวิ่งตามการเคลื่อนที่ของตนและชายร่างหมีไปเรื่อยๆโดยไม่มีเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด...
และแล้ว กังฟูก็ได้กลายร่างเป็นเครื่องจักรสังหารโดยสมบูรณ์
“โอ๊ย!...อูยยยย!! ไอ้เหี้ยเตี้ย!! ใครก็ได้ช่วยจับแม่งทีดิวะ!!” เต๋อด่ากราดพลางเรียกร้องความช่วยเหลือจากสตาฟพี่น้องเพื่อนผองผู้ร่วมคณะ
ถึงอย่างนั้น
กลับยังไม่มีใครได้วิ่งเข้าใส่กังฟูอย่างที่เต๋อสั่ง
เพราะอยู่ๆ
ร่างสูงใหญ่ของชายผมยาวก็โผล่ออกมายืนจังก้าบังหน้าบังตากังฟูเอาไว้เบื้องหลัง
พร้อมกับตั้งท่าประหนึ่งองครักษ์ผู้ดูแลความปลอดภัยให้กับร่างเล็กก็ไม่ปาน
“ไม่ได้!! ห้ามใครแตะต้องตัวฟูเป็นอันขาด!!” ผู้พิทักษ์ที่เพิ่งมาใหม่ประกาศกร้าวด้วยท่าทางเอาจริงเอาจัง
แต่อพิโธ่พิถัง...กระทั่งองค์รักษ์ผู้ซื่อสัตย์ก็ยังไม่อาจหลุดรอดจากความผิดสถานเดียวกันกับไอ้ร่างหมีที่ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งหนีอย่างจ้าละหวั่นอยู่ไกลๆนั่นไปได้
“โอ๊ย!! ฟู!!! แล้วฟูจะปาบอลใส่เราทำไมเนี่ย?” ลูกเทนนิสกระแทกเข้าที่กลางหลังเปรียบดังสัญญาณออกสตาร์ทของนักวิ่งลมกรด
ด้วงโอดครวญพลางวิ่งหลบกระสุนลูกเทนนิสของกังฟูไปตามรูหลืบต่างๆเท่าที่ตัวเขาจะลอดผ่านเข้าไปได้
“นี่มันยังน้อยไป! มึงสองคนต้องโดนหนักกว่านี้... นี่แน่ะ
นี่แน่ะ!! อยากใช้กูเป็นเดิมพันดีนักนะ” พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยขว้างเขวี้ยงเหวี่ยงปาลูกเทนนิสใส่หนุ่มร่างใหญ่ทั้งสองอย่างบ้าคลั่ง
ฝั่งเต๋อกับด้วงที่ไร้อาวุธต่อสู้ก็ได้แต่ร้องอู้อ้าคารวะฝีมือการปาที่แม่นหาใดเปรียบของร่างเล็กอย่างไม่ขาดสาย
“พวกมึงเอาบอลออกมาอีก
ไม่งั้นกูถล่มซุ้มพวกมึงราบเป็นหน้ากลองแน่!!!” กังฟูหันไปตะคอกสั่งสตาฟตาดำๆที่ยืนมองทั้งสามอย่างอึ้งๆ “ไอ้สัดเต๋อ...
ไอ้ด้วง เก่งจริงมึงอย่าหนีสิโว้ย!!” ร่างเล็กกระชากหน้าม้าผู้โชคร้ายให้ออกวิ่งตามตนไล่ล่าไอ้หมีบ้ากับเมทผู้ชั่วช้าอีกครั้ง
“ฟู
หยุดเถอะนะฟู ขอร้องล่ะ!!” ด้วงที่เพิ่งวิ่งออกจากหลืบที่เป็นทางตันพยายามหว่านล้อมระหว่างก้มหลบลูกเทนนิสที่พุ่งเข้าหาใบหน้าได้อย่างหวุดหวิด...
หรือกังฟูไม่คิดจะเลี้ยงเขาเอาไว้เป็นเพื่อนอีกต่อไปกันนะ?!!
“ไม่!!! กูไม่หยุด” ร่างเล็กเปลี่ยนกลยุทธเป็นตั้งหลักอยู่กับที่เพื่อรักษาวิถีและความแม่นของลูกกระสุน
“ที่พวกมึงทำแบบนี้ เคยนึกถึงหัวอกกูบ้างไหม?
เห็นกูเป็นผักปลาเป็นข้าวของไม่มีชีวิตหรือยังไง? จะเอาไปวางตรงไหนก็ได้แล้วแต่ใจพวกมึงอย่างนั้นน่ะเหรอ?
ฝันไปเหอะ!!!”
“มันใช่แบบนั้นซะที่ไหนล่ะไอ้เตี้ย!!! / เปล่านะ เราไม่ได้คิดแบบนั้นเลยนะฟู!!” สองหนุ่มร่างสูงประสานเสียงแก้ต่างในแนวทางเดียวกัน
ทว่าก่อนที่กังฟูจะได้โต้ตอบทั้งคู่กลับไปนั้น
เสียงสวรรค์ของสาวดุ้นหน้าแว่นก็ลอยแทรกมาช่วยขัดตาทัพรับความอาฆาตมาดร้ายของพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยเอาไว้เสียก่อน
“โอ๊ย!! คุณกรกฏครับ” สกลในชุดเมดที่นั่งอยู่ตรงสะพานกลตรงกึ่งกลางถังน้ำขนาดใหญ่ตะโกนอ้อนวอนหลังจากโดนลูกหลงเข้าที่กลางลำตัวจนเสียดแปล๊บอยู่หลายนาที
“พอเถอะคร๊าบบบบบ
ถ้าคุณกรกฏยังไม่หยุด...ซุ้มพวกผมจะล่มเอาได้นะครับคุณกอระโก้ดดดด!!”
เหตุผลที่อ้างเอาความผาสุกของส่วนรวมที่สกลยกขึ้นมานั้น
ถูกกังฟูปัดตกไปอย่างไร้เยื่อใยแบบแทบจะทันที
ด้วยคำถามที่ขีดเส้นแบ่งสถานะของคนนอกของหนุ่มหน้าแว่นอย่างชัดเจน...
“แล้วมึงมาเกี่ยวอะไรด้วยไอ้สัดแว่น?”
...นัดเดียวแบบเนื้อๆ
เน้นๆ
...อาห์
ช่างเป็นคำถามที่สะกิดต่อมน้ำตาของคนไม่มีสิทธิอย่างหนุ่มหน้าแว่นได้รุนแรงมาก!!
“ก็จะไม่เกี่ยวได้ไงล่ะวะไอ้เหี้ยเตี้ย...
ก็นี่มันซุ้มคณะพวกกู ไอ้แว่นนั่นมันเป็นสาวน้อยตกน้ำ...มันก็ต้องเกี่ยวดิวะ” เต๋อพยายามอธิบายด้วยหวังให้คำขอของสกลเป็นผลเสียที
อย่างน้อยๆ...การละเล่นของคณะก็จะสามารถดำเนินต่อไปได้ในที่สุด
แต่ณ
บัดนี้...คงไม่มีอะไรหยุดความกระหายเลือดของเครื่องจักรสังหารได้อีกต่อไปแล้ว
ซึ่งเป้าหมายใหม่ที่เพิ่งผุดขึ้นในดวงตาของกังฟู
ก็คืออีหนูหน้าแว่นแก้มแดงปลั่งที่นั่งตัวสั่นงันงกเป็นลูกนกตกน้ำอยู่ไกลๆ
“เหรอ...
สาวน้อยตกน้ำก็ต้องอยู่ในน้ำสิวะ จะมานั่งชูคอด่ากูอยู่ได้ยังไง... ไอ้สัดแว่น
มึงอย่าอยู่เลย!!!”
สิ้นวาจาสิทธิ์เมื่อสักครู่
กังฟูก็ปาลูกเทนนิสเข้าปะทะหน้าแงของสาวแว่นอย่างจังแบบสั่งตาย
จนสกลเห็นดาวเดือนส่องประกายระยิบระยับเต็มๆสองตา
ก่อนจะแหงนหน้าหงายเงิบตกลงสู่ผืนน้ำโดยไม่โผล่หน้าขึ้นมาอย่างที่เคย พวกสตาฟที่นับเลขในใจพลางลุ้นให้สกลโผกลับขึ้นมาเริ่มจะเห็นท่าไม่ดี
จึงรีบรี่ลงไปช่วยอุ้มเจ้าหญิงสาหร่ายในชุดเมดขึ้นมาจากน้ำทันทีเพราะสงครามด้านหน้ายังไม่ยุติ
“ไอ้เหี้ยเตี้ย!! มึงทำอะไรลงไป? ไม่เห็นหรือไงว่า
ไอ้สกลมันสลบจนตกน้ำตายไปแล้วเนี่ย???!!” หนุ่มร่างหมีตวาดกังฟูที่เล่นไม่รู้เรื่องจนรุ่นน้องสลบคาอ่าง...
แม้จะวางใจว่าไอ้เด็กหน้าแว่นแค่เจ็บแต่ไม่ถึงตายเพราะจมหายไปในน้ำแล้วก็เถอะ
“พี่เต๋อ...
พี่เต๋อต้องขึ้นไปแทนสกลมันแล้วล่ะ พี่เต๋อลงชื่อเป็นตัวสำรองนิ” หน้าม้าผู้โชคร้ายรีบเตือนสติเต๋อถึงหน้าที่เมดสำรองของรุ่นพี่ทันที
เพราะหากปล่อยให้ซุ้มว่างโดยไม่มีสาวดุ้นนั่งประดับสายตา ลูกค้าอาจจะพากันหนีไปเที่ยวเล่นที่ซุ้มต่างคณะกันหมด
“เฮ่ย
เดี๋ยวก่อน กูยังเคลียร์กับไอ้เหี้ยนี่ไม่เสร็จ!!” กังฟูหันไปดุหน้าม้าเรียกแขกทันตา... ก็ชะตาของโจรขโมยจูบทั้งสองยังไม่ขาดอย่างที่เขาปรารถนาเลยนี่นะ
“ฟู
พอเถอะนะ...ดูสิ พวกเค้าวุ่นวายกันไปหมดแล้ว” ด้วงอ้อนวอนเสียงอ่อนเสียงหวานเหมือนกับทุกครั้ง
ซึ่งหนุ่มผมยาวหวังใจว่า...กังฟูจะยอมอ่อนให้ไม่ต่างจากทุกที
แต่ครั้งนี้กลับผิดคาด...
“ไอ้น้อง...
มึงไม่มีคนมานั่งแทนไอ้แว่นนั่นใช่ไหม?” หนุ่มวิศวะคาดคั้นคำตอบจากหน้าม้าผู้โชคร้ายด้วยเสียงนิ่มๆ
“คระ
คระ...ครับพี่”
“พี่มีข้อเสนอแนะ”
กังฟูเอ่ยกับเด็กเต็กหน้าม้าด้วยน้ำเสียงสดใส ก่อนจะหันไปมองหน้าเต๋อกับด้วงอย่างมีเลศนัยชวนให้ขนหัวลุก
“ระหว่างพวกมึงสองคน...ใครตกน้ำทีหลัง กูจะยอมยกโทษให้ก่อน” สุดท้ายร่างเล็กก็อ่านคำพิพากษาของผู้กระทำผิดออกหน้าไมค์
“หมายความว่าไงวะไอ้เตี้ย?”
ไม่ใช่แค่เต๋อหรอกที่สงสัย
เพราะด้วงก็ทำหน้าเป็นหมางงใส่กังฟูไปเรียบร้อยแล้ว
“ก็หมายความว่า
พวกมึงต้องขึ้นไปนั่งแทนไอ้แว่นยังไงล่ะ” พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยอธิบายอย่างช้าๆ
ชัดๆด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม โดยอนุเคราะห์เพิ่มเติมข้อมูลประกอบด้วยการชี้นิ้วไปยังที่นั่งของเมดหน้าแว่นที่เพิ่งพุ่งหลาวลงน้ำไปไม่นาน
“แล้วถ้าระหว่างมึงสองคน
ใครตกน้ำทีหลัง...กูก็จะยอมคุยด้วยเหมือนเดิม”ร่างเล็กส่งยิ้มชวนให้รู้สึกเหน็บหนาวราวกับพญามัจจุราชมายืนอยู่ตรงปลายเท้าของคนใกล้สิ้นอายุขัย
“ไปเลย! ขึ้นไปนั่งข้างบนโน่นเลย
แล้วห้ามตุกติกนะเว่ย!!”
หลังจากออกคำสั่งที่ไม่มีใครกล้าบังอาจขัดได้
กังฟูก็หันไปกำกับรายละเอียดกับสตาฟประจำซุ้มสาวดุ้นตกน้ำเป็นลำดับถัดไป
กังฟูก็หันไปกำกับรายละเอียดกับสตาฟประจำซุ้มสาวดุ้นตกน้ำเป็นลำดับถัดไป
“ไอ้น้อง...
มียางวงป่ะ?”
“มะ
มีครับ” รุ่นน้องหน้าม้ารับคำปากคอสั่น
“ดีมาก!! งั้นไปเตรียมมาให้พี่สักสามสี่ถุงนะ
เดี๋ยวพี่รับช่วงทางนี้ต่อเอง /
ครับ
ครับ”
หลังจากที่ทั้งสองหนุ่มร่างใหญ่เข้าประจำยังตำแหน่งที่กำหนด
กังฟูก็โดดมารับหน้าที่หน้าม้าเรียกแขกแทนเด็กเต็กที่วิ่งหายไปทำงานรับใช้ความต้องการของร่างเล็กโดยไม่ต้องร้องขอ
“เอ้า!!
หากพ่อแม่พี่น้องประสบปัญหากับความเครียดจากเรื่องเรียน หรือเรื่องการงาน...
...ขอเชิญท่านทั้งหลายดาหน้ากันเข้ามาดีดหนังยางใส่หนุ่มล่ำทั้งสองทางนี้ได้เลยครับ...
.
.
...เร่เข้ามาครับ
เร่เข้ามา...เสียเงินแค่สิบบาท แต่อาการเครียดจะหายขาดในทันตาครับพี่น้อง!!...
...แถมถ้ายิงถูกที่
อาจทำให้หนุ่มหล่อล่ำหน้าตาดีทั้งสองคนของซุ้มเราตกน้ำได้อีกด้วยนะครับ!!” สิ้นเสียงเชิญชวนของหนุ่มร่างเล็กหน้าหวาน
บรรดาผู้คนที่ยืนมุงดูการแสดงชุดพิเศษเมื่อสักครู่ ต่างวิ่งกรูกันเข้ามาต่อแถวกันอย่างเนืองแน่นยิ่งกว่าเมื่อตอนปาสกลให้ตกน้ำเสียอีก
“เฮ๊ยไอ้เตี้ย
มึงทำอย่างนี้กับกูไม่ได้นะเว่ย!/
ฟู...เราขอโทษ
หยุดเถอะนะเราขอร้อง!!” ทั้งเต๋อและด้วงที่เพิ่งรับรู้จุดประสงค์แอบแฝงที่แท้จริงของกังฟูถึงกับร้องลั่น
แต่คำขอร้องเหล่านั้น... กลับไม่ได้ทำให้กังฟูหวั่นไหวเลยสักนิด
‘เสียใจด้วยนะ!’ กังฟูลอยหน้าลอยตาตอบโดยไม่ส่งเสียงพลางโบกแบงค์ร้อยที่เพิ่งได้มาหมาดๆใส่หน้าสองหนุ่มหยอยๆด้วยรอยยิ้มเฉกเช่นพญามัจจุราชอีกครั้ง
สาเหตุที่ซุ้มดีดหนังยางใส่หนุ่มล่ำทำยอดได้อย่างงดงามน่าจะมีด้วยกันหลายประการ
นัยว่า...
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะถูกอกถูกใจที่จะได้แกล้งหนุ่มรูปงามสองแบบสองสไตล์ให้เจ็บๆคันๆ
บางส่วนก็เป็นหนุ่มๆที่ตบเท้าเข้ามาต่อแถวและจ่ายเงินเพื่อแลกกับการจ้องมองใบหน้าหวานหยดของกังฟูใกล้ๆ
และบางส่วน...ก็ตั้งใจมาระบายความเครียดด้วยการแกล้งสองหนุ่มหล่อที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เคยได้เห็นหน้ากันแบบจริงๆจังๆสักครั้งในชีวิตมหาวิทยาลัย
Ħ------------------------------------------------------------------------Ħ
“เฮ้ย!! ใครรู้วิธีปฐมพยาบาลคนจมน้ำมั่งวะ?!!”
“กูจะรู้เหรอ
กูไม่ใช่หมอ!”
“เดี๋ยวนะ
ขอกูเปิดกูเกิลหาวิธีก่อน”
“ไอ้ห่า
เดี๋ยวแว่นแม่งก็ได้ตายพอดีหรอก!!”
“เท่าที่กูจำได้
เราต้องปฐมพยาบาลคนจมน้ำให้สำลักน้ำออกมาก่อน แล้วค่อยพาตัวส่งโรงบาลนะมึง”
“งั้นมึงก็รีบอ่านให้ว่องเลย
เดี๋ยวกูไปลองหาตัวช่วยไอ้แว่นก่อน.....
.
....แถวนี้มีใครเป็นหมอ....
เสียงตะโกนของสตาฟประจำซุ้มสาวดุ้นตกน้ำของถูกคั่นด้วยการปรากฏกายของผู้ชายคนหนึ่ง
ร่างสูงหนาราวฝาบ้านเดินดุ่มๆฝ่าเหล่าสตาฟที่ยืนห้อมล้อมร่างไร้สติของเทพธิดาสาหร่าย...หรือชายหนุ่มหน้าแว่นซึ่งยังนอนราบอยู่กับพื้น
เมื่อรู้แน่ว่าคนที่ต้องการความช่วยเหลือคือใคร
หนุ่มนิรนามหน้าตี๋ทว่าหล่อจัดผู้มาพร้อมเหล็กดัดสีสะท้อนแสงและหูฟังขนาดใหญ่เบิ้มคล้องติดต้นคอ
ก็ก้มลงผายปอดให้กับร่างผอมมีแต่ก้างในชุดเมดโดยไม่พูดพล่ามทำเพลงหรืออธิบายอะไรให้เสียเวลา
“เฮ้ยพวกมึง...
คนนี้เค้าเป็นใครวะ?”
“ไม่รู้ว่ะ...
คนรู้จักไอ้แว่นมันมั้ง”
“แต่แว่นแม่งไม่มีเพื่อนคนไหนนอกจากชายกลางกับท่านสองแฝดไม่ใช่เหรอ?”
“กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ
แค่เขาเข้ามาช่วยถูกเวลา...พวกเราก็น่าจะเบาใจได้แล้วไม่ใช่เหรอวะ?”
“แต่กูสงสัยนี่หว่า...
แล้วเขารู้ได้ไงว่าไอ้แว่นมันตกน้ำ?”
“ช่างแม่งเหอะวะ! ดูนั่น!!...ไอ้แว่นมันพ่นน้ำออกมาแล้ว!”
“เฮ้อ! ค่อยยังชั่วหน่อย อย่างน้อยไอ้แว่นแม่งก็รอดตายแล้วล่ะพวกเรา”
“ไปเถอะน้าหนวด...
ไม่ต้องอยู่เฝ้าหรอก เขาฟื้นแล้ว”
และนั่นคือคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคที่เจ้าของร่างสูงใหญ่ผู้นั้นพูดกับมวลอากาศข้างๆตัวที่ไร้รูปร่าง
ก่อนจะหายตัวไปท่ามกลางฝูงชนโดยไม่หันหลังกลับมาสบตากับคนหน้าแว่นที่ค่อยๆปรือตาขึ้นอย่างช้าๆ
ผ่านม่านน้ำที่เคลือบเกาะแว่นตาเป็นเม็ดๆ เพื่อมองตามฝ่าเท้าของคนที่เพิ่งผละจากไปพร้อมกับหมาตัวใหญ่สายพันธุ์ที่เคยเห็นผ่านตามาก่อน
จากนั้นสกลก็ถูกความอ่อนล้าเข้าครอบงำจนสลบเหมือดไปอีกครั้ง
Ħ------------------------------------------------------------------------Ħ
“คุณ...
พาผมมาทำอะไรที่ริมน้ำนี่?” เจ้าพ่อห่อไหล่เอ่ยถามเจ้าพ่อไทรทองที่ลอยอยู่ข้างๆ
หลังจากอีกฝ่ายทำท่างุบงิบอยู่นานสองนาน
“อ้าว
ก็วันนี้เป็นวันลอยกระทง เราก็ต้องลอยกระทงเพื่อแสดงความเคารพต่อพระแม่คงคาสิครับ”
พูดจบ เทวบุตรสุดชิคก็ยื่นกระทงใบตองขนาดใหญ่ที่ดูวิจิตรงดงามยิ่งกว่ากระทงไหนๆในน่านน้ำแห่งนี้ขึ้นมาตรงหน้าของบุตรแห่งเทพองค์ที่ตนหมายปอง
“แล้วเราจะทำอย่างนั้นไปทำไมล่ะคุณ?...
.
...อยากเคารพแม่คงคา
ก็นัดท่านไปดื่มน้ำชาแล้วทำความเคารพกันดีๆอีกทีก็ได้นี่” โฮลี่ฮิปสเตอร์ถามด้วยความงุนงงสงกา
ด้วยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะทำให้เรื่องง่ายๆกลายเป็นยุ่งยากไปเพื่อเหตุผลกลใด
“โธ่เบ๊บครับ...เบ๊บไม่อินเลยอ่ะ!!!” เทวบุตรสุดชิคตัดพ้อด้วยน้ำเสียงประหนึ่งมนุษย์วัยรุ่นนมเพิ่งแตกพานกำลังเซ็ง
“ลอยกระทงนี่ถือเป็นกิจกรรมสุดฮิปที่เหล่ามนุษย์ชอบชวนแฟนมาทำร่วมกันเป็นที่สุดเลยนะครับ...
.
...ถ้าไม่เชื่อ
เบ๊บก็ลองไปอ่านนิยายเรื่องไหนๆดูก็ได้...
...ใครๆเขาก็เขียนถึงตอนลอยกระทงให้คนอ่านจิ้นกันตัวม้วนทั้งนั้นแหละ”
เจ้าพ่อไทรทองอธิบายตามข้อสรุปที่สกลเคยจดมาถวายเป็นข้อมูลช่วงเตรียมความพร้อมให้กับเต๋อแรกๆ
“เหรอ?
ฮิปขนาดนั้นเลยเหรอคุณ?
ผมนึกว่าชวนกันไปนั่งบำเพ็ญภาวนาจะเกาะกระแสมากกว่าเสียอีก” เจ้าพ่อห่อไหล่ซักถามด้วยความสนอกสนใจ... ด้วยเขามักจะอ่อนไหวกับอะไรที่ฮิปๆมากเป็นพิเศษ
“อันนั้นไว้เดี๋ยวบันยันพาไปแน่ครับ
แต่คงต้องรอให้ภารกิจนี้ลุล่วงไปเสียก่อนนะครับเบ๊บ...
.
...แต่ตอนนี้
เราสองตนมาร่วมลอยกระทงด้วยกันเป็นครั้งแรกดีไหมเอ่ย?”
“อืม...ก็ตามใจคุณสิ”
...และแล้วการเต๊าะอย่างต่อเนื่องของเจ้าพ่อไทรทองก็เป็นผลสำเร็จ เจ้าพ่อไทรทองจึงโบกมือผ่านลำเทียนและหมู่ธูปให้ติดไฟลุกโชน
“ถ้าอย่างนั้น
เรามาเริ่มจาก...ตั้งจิตอธิษฐานพร้อมๆกันเลยนะครับเบ๊บ...
.
...หลับตาสิครับเบ๊บ...
...จากนั้นเบ๊บก็ค่อยๆระลึกถึงพระคุณของพระแม่คงคาตลอดปีที่ผ่านมา...
...พร้อมทั้งขอขมาการกระทำล่วงเกินที่เราอาจจะเผลอเรอทำลงไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์...
...นึกนานๆเลยครับเบ๊บ
นึกให้ละเอียด”
เทวบุตรสุดชิคที่ตั้งตารอคอยชั่วขณะนี้มานานหลายสิบศตวรรษ
บรรจงยื่นหน้าเข้าไปใกล้กับใบหน้าของเจ้าพ่อห่อไหล่
ที่กำลังตั้งใจอธิษฐานถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผู้เป็นเจ้าภาพของพิธีสำคัญประจำค่ำคืนดังที่เจ้าพ่อไทรทองกล่าวอ้าง
จังหวะที่โฮลี่ฮิปสเตอร์หลับตา
คือโอกาสอันล้ำค่ำเขาซึ่งจะมอบจุมพิตลงบนริมฝีปากคู่อิ่มตรงหน้าที่ดูงดงามในแสงเทียนยิ่งกว่ายามไหนๆ
แต่เพียงชั่วอึดใจก่อนที่ริมฝีปากของทั้งสองเทพเกือบจะจรดโดนกันนั้น
กลับมีเสียงหวานๆของเทวนารีรูปงามนางหนึ่งร้องทักขัดจังหวะออกมาเสียก่อน
“โธ่เอ๊ย! เจ้าพ่อห่อไหล่ เจ้าพ่อไทรทอง...
.
...ถ้าพวกท่านอยากเจอข้า
ก็ไม่เห็นจะต้องมาลำบากตั้งจิตเพรียกหาอยู่ตรงริมตลิ่งแบบนี้เลย” บุตรีแห่งเทพปรากฏกายขึ้นทันทีที่ได้ยินการอธิษฐานจิตของเจ้าพ่อห่อไหล่
“เอ่อ...แม่คงคา?!!” เจ้าพ่อไทรทองถึงกับเหวอไปเพราะทำอะไรไม่ถูก
“เจอหน้าพวกท่านวันนี้ดีจริงเชียว
ข้ากำลังอยากได้เพื่อนร่ำน้ำทิพย์เฉลิมฉลองวันของข้าเสียหน่อย...
.
...ปีนี้แม่พระธรณีก็มาชิงลาพักร้อนไปเที่ยวเสียนาน...
...ส่วนองค์จันทร์ก็ยังวุ่นๆกับการบริหารจัดการน้ำให้เอ่อถ้วนทั่วทุกตลิ่งจนข้าก็ไม่เหลือเพื่อนร่วมสังสรรค์ที่ไหนอีก...
...ไป ไป... น้ำทิพย์ที่ข้าเพิ่งได้มาหมาดๆ นี่ต้องถูกใจเจ้าทั้งสองตนเป็นแน่”
...ไป ไป... น้ำทิพย์ที่ข้าเพิ่งได้มาหมาดๆ นี่ต้องถูกใจเจ้าทั้งสองตนเป็นแน่”
พระแม่คงคาลอยปราดเข้ามาคั่นกลางระหว่างทั้งสองเทพ
ก่อนจะกอดคอพาเจ้าพ่อทั้งสององค์หายตัวไปยังวิมานใต้บาดาลของเจ้าหล่อนด้วยปีติยินดี
ผิดกับเจ้าพ่อไทรทองที่แอบเสียดายหลังจากพลาดโอกาสที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่ง...ทั้งจูบ
และการทำกิจกรรมสุดฮิปอันน่าประทับใจชวนให้จิกหมอนนอนจิ้นกับเจ้าพ่อห่อไหล่เป็นครั้งแรกไปอย่างน่าหงุดหงิด
Ħ------------------------------------------------------------------------Ħ
“ยอมออกมาหาพี่ฌานแล้วเหรอครับคนดี?...รอพี่ฌานนานไหม?”
ฌานถามพลับน้อยที่เพิ่งเดินต้วมเตี้ยมออกมาจากมุมมืดของซุ้มดูดวง ร่างเล็กส่ายหัวน้อยๆก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงของเด็กชายที่ไพเราะเหลือเกินสำหรับแฝดพี่
“ฌานต้องทำงาน
พลับรอได้...พลับรักษาสัญญา” วงแขนกว้างของคนโตกว่าที่ย่อตัวนั่งลงอยู่บนพื้นอ้าออกเพื่อรอรับร่างป้อมๆของเด็กชายมาอุ้มเอาไว้แนบอก
“แล้วนี่มาได้ยังไงครับ?
พี่ฌานรู้แค่ว่าวันนี้เป็นวันพระใหญ่...ร่างที่มาได้ ก็น่าจะเป็นพลายมากกว่าพลับไม่ใช่เหรอ?”
แฝดพี่สงสัยในปาฏิหารย์ครั้งนี้ เพราะไม่คิดว่าเจ้าพ่อทั้งสองจะเปิดโอกาสให้เขาได้ใช้เวลากับพลับอย่างใจหลังจากพลาดโอกาสไปเมื่อวาน
“พลายขอเจ้าพ่อแบ่งร่างให้พลับกับพลุด้วย”
เจ้าของร่างป้อมในอ้อมอกของฌานพูดอย่างฉะฉาน
“หึ
หึ พ่อพลายนี่ช่างรู้ใจพี่ฌานเสียจริงๆ” แฝดพี่ชื่นชมกุมารทองจากใจจริง เพราะหากไม่แยกจิตออกตามกายเนื้อ
เขาคงรู้สึกอิหลักอิเหลื่อกับการกอดรัดส่วนหนึ่งของพี่พลายด้วยเจตนาเชิงชู้สาวแบบนี้
“อุตส่าห์มานั่งรอพี่ฌานตั้งนาน...
.
...เบื่อหรือเปล่า?...อยากออกไปเดินเที่ยวเล่นกับพี่ฌานข้างนอกไหมครับ?”
ฌานเอ่ยชวนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนทุ้มนุ่มรื่นหู...หากสกลฟังอยู่ คงได้เก็บเอาเรื่องนี้มาล้อเขาจนวันตาย
“พลับมีเวลาน้อย...พลับอยากอยู่กับฌาน
ไม่อยากทำอย่างอื่น” เจ้าของร่างป้อมบอกปัดพลางโอบวงแขนสั้นๆรอบๆคอของชายหนุ่มก่อนจะซบหน้าลงตรงซอกคอของอีกฝ่ายคล้ายกำลังออดอ้อน
“ฌาน อดใจรอพลับนะ... พลับสัญญา
พลับจะเป็นของฌานคนเดียว”
“ครับ...
พี่ฌานจะอดทนรอจนกว่าถึงวันที่เราจะได้เจอกันนะครับ” แฝดพี่ตอบรับคำมั่นของอีกฝ่ายด้วยคำสัญญาจากหัวใจ
ความหนักแน่นที่ส่งผ่านประโยคสั้นๆของฌานทำให้เด็กชายยิ้มหวานด้วยความปลื้มปริ่ม
“รอพลับนะ
รอพลับคนเดียวนะ” ฝ่ามือเล็กๆทั้งสองประคองแก้มสากของคนเป็นพี่ด้วยสัมผัสแห่งรัก ดวงตากลมโตสดใสของเด็กชายกวาดมองทุกๆส่วนบนใบหน้าของฌานอย่างพินิจพิเคราะห์ราวกับต้องการจะจารึกทุกๆตำหนิ
ทุกๆองค์ประกอบเอาไว้ในห้วงความทรงจำ
การกระทำดังกล่าว
ทำให้แฝดพี่เอ่ยปากฝากคำมั่นอีกครั้งเพื่อทำให้คนฟังวางใจว่า
ต่อให้นานแค่ไหน...ใจของเขาก็จะไม่เป็นอื่นเช่นกัน
“ครับ
พี่ฌานจะรอ”
ริมฝีปากเล็กๆอ่อนนุ่มและหอมอวลไปด้วยกลิ่นแห่งความบริสุทธิ์แตะเบาๆลงบนริมฝีปากได้รูปของฌานแทนตราประทับแห่งคำมั่นสัญญา
จากนั้นร่างของเด็กชายก็ระเหิดหายกลายเป็นอากาศธาตุเมื่อช่วงเวลาสุดพิเศษที่องค์เทวบุตรมอบให้สิ้นสุดลง
Ħ------------------------------------ TBC ------------------------------------Ħ
No comments:
Post a Comment