Wednesday, August 30, 2017

ODD EYE ตาย ตา ตื่น : 9th Glance ||30.08.17


The 9th Glance

เด็กหนุ่มมองตามฟีโน่สีแดงรุ่นล่าสุดที่เพิ่งเลี้ยวหายเข้าลานจอดรถด้านหลังตึกแถวแห่งหนึ่งตาเป็นมัน เข้าอาทิตย์ที่สองแล้วที่เขาใช้เวลาว่างก่อนตอกบัตรเข้างานมาเฝ้าจับตาดูกิจวัตรของเจ้าของมอเตอร์ไซค์คันนั้นอย่างถี่ถ้วน ที่สุดก็เริ่มเห็นลู่ทางในการหาลำไพ่พิเศษอีกครั้ง... สภาพรถดีขนาดนี้ ถ้าไม่โดนกดราคา เขาน่าจะปล่อยได้สักหมื่นปลาย ๆ

ด้วยรู้ดีว่าเวลาไม่คอยท่า หนำซ้ำการโยกโย้รอช้าอาจทำให้ผิดสังเกต เด็กหนุ่มจึงแสร้งเดินผ่านตึกแถวแถบนั้นเพื่อดูลาดเลาเป็นครั้งสุดท้าย จนเมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครสนใจ เจ้าตัวก็ผลุบหายตามมอเตอร์ไซค์ที่หมายตาเข้าด้านในซอกตึกแถวทันที

เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าข้างหลังอาคารพาณิชย์แถบนี้ จะมีตึกรูปตัวยูอีกหลังปลูกสร้างอยู่ชั้นใน ส่วนจุดจอดรถที่เผลอเข้าใจในทีแรก กลับกลายเป็นลานอเนกประสงค์ทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส มีไว้เพื่อให้เจ้าของพื้นที่ได้ใช้สอยตามความต้องการ ซึ่งrหลังจากกวาดตามองไปรอบ ๆ เด็กหนุ่มก็สามารถบอกได้ทันทีว่า อาคารสองชั้นรูปตัวอยูที่หลบเร้นอยู่หลังตึกแถวริมถนน คือ โรงน้ำแข็งขนาดใหญ่ และถ้าเขาจำสติกเกอร์ข้างรถตู้เย็นพวกนั้นไม่ผิด นั่นจะหมายความว่า นอกจากสถานที่แห่งนี้จะเป็นแหล่งผลิตน้ำแข็งเป็นหลักแล้ว มันยังผูกขาดการขายน้ำแข็งให้แก่ห้างสรรพสินค้า ร้านรวง รวมไปถึงผู้คนส่วนใหญ่ในตัวเมืองเพชรอีกด้วย

แต่ช่างหัวโรงน้ำแข็งเถอะ... เพราะถึงอย่างไร สิ่งที่เขาสนใจที่สุดในตอนนี้คงหนีไม่พ้นฟีโน่คันนั้นเพียงคันเดียว

เมื่อความละโมบบดบังสติสตังหรือแม้กระทั่งสายตา เด็กหนุ่มจึงมองข้ามบรรยากาศช่วงสายของวันทำงานที่เงียบสงัดเสียยิ่งกว่าป่าช้าไปโดยปริยาย เขารีบสาวเท้าก้าวลึกเข้าด้านในพลางสอดส่ายสายตาเลยผ่านแถวรถตู้เย็นที่จอดแน่นิ่งตรงกลางลานเพื่อมองหาจักรยานยนต์คันสีแดงให้เจอโดยเร็วที่สุด และแล้ว ความพยายามของเด็กหนุ่มก็ประสบผลในอีกไม่กี่อึดใจให้หลัง เพราะฟีโน่คันงามจอดแอบอยู่ตรงหลืบเล็ก ๆ ข้างโกดังบริเวณปีกซ้ายของโรงน้ำแข็งนั่นเอง

เห็นดังนั้น เด็กหนุ่มก็ปรี่เข้าไปหามอเตอร์ไซค์อย่างมาดหมายโดยไม่ทันสังเกตเห็นว่า ณ อีกฟากของโกดัง บริเวณด้านหลังม้วนผ้าใบที่เรียงซ้อนกันเป็นกำแพงขนาดย่อม มีชายสองคนกำลังประคองหญิงสาวในสภาพสิ้นสติคนหนึ่งออกมาพอดี...  และนั่นถือเป็นคราวเคราะห์ของโจรขโมยรถมือสมัครเล่น เพราะหนึ่งในนั้นสังเกตเห็นผู้บุกรุกมาได้สักพักแล้ว

“เฮ่ย! ช่ว...!!” กว่าที่เด็กหนุ่มจะได้แหกปากตะโกนสุดเสียง ยาสลบในผืนผ้าที่โปะลงบนจมูกอย่างแม่นยำโดยน้ำมือเจ้าถิ่นที่ย่องมาจากด้านหลังก็ทำงานเสียก่อน หัวขโมยชะตาขาดจึงไม่ทันสำเหนียกว่า ฟีโน่คันสีแดงที่ชักนำตนมายังสถานที่แห่งนี้ ที่แท้คือราชรถแห่งความตาย

***********

สัตยาเหลือบมองหน้าปัดนาฬิกาบนผนังก่อนจะหันกลับไปจ้องหน้าคนป่วยที่นอนหลับอยู่บนเตียงพลางถอนหายใจยาว ไม่นึกเลยว่าอาการชักรอบนี้จะทำให้เด็กแสบหมดสติไปนานถึงสองชั่วโมง

“จะเที่ยงแล้วนะไอ้หนู ตื่นเสียที ฉันหิวจนจะแทะข้างฝากินอยู่แล้วนะ” รำพึงรำพันไปก็เท่านั้น เพราะนอกจากเด็กเลี้ยงแกะจะไม่ฟื้นแล้ว กระเพาะของเขายังส่งเสียงโครกครากร้องเรียกหาอาหารเช้าควบกลางวันเข้าให้เสียอีก

อาการหิวโหยเฉียบพลันเรียกร้องให้ผู้กองหนุ่มกระวนกระวาย สัตยาหยัดตัวขึ้นลุกยืนพลางจับจ้องคนป่วยด้วยสายตาลังเล แม้จะเริ่มหิวจนอยู่ไม่สุข แต่เขากลับไม่อาจหักใจปล่อยอังคารไว้ในห้องพักด้านหลังคลินิกที่พนักงานโรงแรมแนะนำเพียงลำพัง กระนั้นพอคิดถึงภาพคนป่วยหลังฟื้นขึ้นมาแล้วร้องหาอาหาร คนโตกว่าก็ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว

“เดี๋ยวฉันมานะ นอนดี ๆ อย่าดื้อ แล้วก็อย่าเพิ่งรีบฟื้นล่ะ รอฉันกลับมาก่อน เข้าใจนะไอ้หนู” พูดเองเออเองเสร็จสรรพ สัตยาก็ลูบผมลูบหน้าคนป่วยเบา ๆ ก่อนจะผลุนผลันออกประตูด้านหลังคลินิกไปไล่ล่าหาของกินรองท้องสำหรับพวกเขาทั้งสองคน
.
.
.
.
“กาแฟเย็นไม่หวานแก้วนึงครับ” สัตยาละสายตาจากเจ้าของร้านกาแฟวัยกลางคนเพื่อสำรวจบรรดาถุงของกินจุกจิกปริมาณมหาศาลในมืออีกครั้ง อยู่ ๆ ก็เกิดไม่มั่นใจว่าไอ้ที่กว้านซื้อมานี่จะพอยาไส้ไอ้เด็กแสบไหม เขาเห็นเมื่อวานกว่าอังคารจะปิดมื้อเย็นด้วยหอยทอดและน้ำปั่นได้ เจ้าตัวก็สังหารก๋วยเตี๋ยวน้ำตก ยำมาม่ามา กับสาคูไส้หมูเสียเรียบวุธ... หึ! ตัวเท่าลูกหมาแต่กินจุจนเขายังกลัวใจ

“ของคุณกาแฟเย็นไม่หวานใช่ไหมคะ”

“ครับ?” เสียงเรียกของเจ้าของร้านกาแฟทำให้สัตยาหลุดจากภวังค์ สีหน้าตั้งใจรอฟังคำตอบของเจ้าหล่อนและลูกมือเร่งเร้าให้นายตำรวจรีบรับคำ “ใช่ครับ กาแฟเย็นไม่หวานครับ”

“รอสักครู่นะคะ”

“อันนี้เท่าไรครับ” เป็นอีกครั้งที่คุกกี้หน้าตาน่ากินในหีบห่อขนาดพอดีมือทำให้ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อดนึกถึงเด็กเลี้ยงแกะรูปร่างแคระแกร็นไม่ได้

“สามสิบห้า สามห่อร้อยค่ะ คุกกี้เจ้านี้อร่อยนะคะ แถมยังให้เยอะด้วย” ได้ยินคำโฆษณาดังนั้น สัตยาก็จัดการรวบขนมสามห่อแล้วส่งให้หญิงสาวอีกคนเบื้องหลังเคาน์เตอร์ชงกาแฟทันที ก่อนที่สภาพคับคั่งด้านหน้าคลินิกรักษาโรคทั่วไปที่เขาพาอังคารมารักษาตัวจะดึงดูดความสนใจของสัตยาไปทั้งหมด

จริงอยู่ที่แม้สถานพยาบาลตรงหัวมุมถนนจะเป็นเพียงคลินิกชุมชนเล็ก ๆ ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบความโอ่อ่าทันสมัยกับโรงพยาบาลขนาดใหญ่ตามหัวเมืองต่าง ๆ ด้วยแล้วก็ยิ่งดูห่างชั้น แต่เมื่อประเมินจำนวนรถราและคนไข้ที่เดินทางมารอคิวพบหมอที่นี่แบบไม่ขาดสาย สัตยาก็รู้สึกทึ่งจนอดสอบถามประวัติของสถานพยาบาลแห่งนี้จากตัวแทนผู้คนในพื้นที่ไม่ได้

“คลินิกนี้คนเยอะดีนะครับ”

“ค่ะ คุณหมอแกใจดี ที่สำคัญแกก็คิดค่ารักษาไม่แพง เวลาป่วย ใคร ๆ เลยมาหาแกกันทั้งนั้น”

“เปิดมานานหรือยังครับ” นายตำรวจถามโดยไม่หยุดจ้องมองบรรดาคนป่วยรวมถึงญาติที่พากันเดินสวนสนามผ่านเข้า-ออกประตูกระจกด้านหน้าคลินิกเป็นว่าเล่น... ขนาดวันทำงานคนยังแน่นขนัด แล้วเสาร์อาทิตย์จะคนเยอะขนาดไหนนะ?

“ก็สิบกว่าปีได้นะคะ นานพอ ๆ กับร้านกาแฟของพี่นี่แหละค่ะ” เจ้าของร้านวัยกลางคนเจื้อยแจ้วเสียงใส “พี่ได้ยินมาว่าก่อนแกจะมาเปิดคลินิกที่นี่ แกเคยเป็นหมอใหญ่อยู่ที่กรุงเทพ แต่เพราะแกอยากจะรักษาคนยากคนจน แกเลยตัดสินใจลาออกแล้วมาปักหลักที่เพชรนี่แหละค่ะ”

สัตยานิ่งฟังพลางคลี่ยิ้มบาง ๆ ด้วยหมดคำถามเกี่ยวกับความเป็นมาของคลินิกยอดนิยม หากแต่สิ่งที่เตะตาชายหนุ่มเป็นลำดับถัดไป คือ ป้ายประกาศตามหาคนหายที่แปะอยู่ทั่วไป ไม่เว้นแม้กระทั่งบอร์ดเล็ก ๆ ในร้านกาแฟแห่งนี้ก็ตาม “ที่นี่คนหายเยอะเหรอครับ”  

“ค่ะ พักหลัง ๆ แถวนี้คนหายเยอะ อัลไซเมอร์มั่ง หลงมั่ง ไม่กลับบ้านกลับช่องมั่ง”

“แล้วตำรวจเขาไม่ทำอะไรเหรอครับ คนหายเยอะขนาดนี้มันไม่ธรรมดาแล้วนะครับ ผมว่า”

“ทำค่ะ ทำเยอะด้วยค่ะ แต่ตำรวจก็แนะนำว่าพวกญาติ ๆ ให้ลองมาแปะป้ายหาตามสถานที่ ๆ คนหายเคยไปดูอีกแรง เผื่อจะมีใครเคยเห็นแล้วจะโทรแจ้งญาติหรือตำรวจ” คนพูดทำหน้าหนักใจราวกับเป็นครอบครัวของคนหายเสียเอง “พอดีว่าคนหายส่วนใหญ่ก็เคยมาหาหมอที่นี่กันทั้งนั้น พวกญาติ ๆ เขาเลยเอาป้ายมาฝากแปะ... หัวอกคนรอก็แบบนี้แหละนะคะ ขอแค่ได้ทำอะไรเท่าที่พอทำได้ ก็น่าจะดีกว่ารอคอยอย่างสิ้นหวังไปวัน ๆ ”

“...” ถ้อยคำของเจ้าของร้านกาแฟสะดุดหูผู้ฟังเข้าจังเบ้อเร่อ ส่วนน้อย คือ ความรู้สึกเจ็บปวดตามประสาผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกันกับญาติคนหายเหล่านั้น ในขณะที่ส่วนที่เหลือ คือ ความสงสัยในเหตุการณ์สุดประหลาดที่เพิ่งได้รับรู้ไปหมาด ๆ ... คนหายเยอะขนาดนี้ ไม่ใช่เรื่องปกติแล้วมั้ง

“ทีนี้พอมีคนนึงเริ่มทำ คนอื่นก็พลอยทำตาม ฝั่งตำรวจเขาก็พยายามสืบหาคนหายกันเต็มที่ ไม่อย่างนั้นงบอนุมัติกล้องวงจรปิดติดทั่วเมืองคงไม่ออกเร็วแบบนี้หรอกค่ะ” เจ้าของร้านกาแฟว่าพลางชี้ชวนให้สัตยาดูกล้องวงจรปิดตรงเสาไฟฟ้าด้านหน้าร้าน นายตำรวจรับฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะกวาดสายตาไล่ดูใบหน้าของคนหายในป้ายประกาศที่กินพื้นที่เกือบทั้งหมดของบอร์ดในร้าน... นี่ยังไม่นับป้ายที่แปะตามเสาไฟฟ้าและกำแพงข้างนอกนั่นเลยนะ  

ทว่าก่อนที่เจ้าของร้านกาแฟกับลูกค้าแปลกถิ่นจะได้สนทนาหารือกันอย่างลึกซึ้ง เรื่องไม่คาดฝันยิ่งกว่าเหตุการณ์ไหน ๆ ก็บังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาสัตยาเข้าเสียก่อน เพราะอยู่ ๆ ธีทัตที่ควรลงพื้นที่ในเขตเมืองหลวงกลับเดินผิวปากลงมาจากรถกระบะกลางเก่ากลางใหม่คันที่เพิ่งพุ่งเข้าจอดในซองตรงหน้าคลินิก

 ไอ้ท็อป?! มาได้ไงวะ?!!

“กาแฟนเย็นไม่หวานได้แล้วค่ะ”

“นี่ครับ ไม่ต้องทอนนะครับ”

สัตยาไม่ได้สนใจสีหน้าสับสนงงงวยของเจ้าของร้านกาแฟที่โดนยัดเยียดเงินสองร้อยบาทใส่มือ ชายหนุ่มคว้าข้าวของแล้วรีบวิ่งกระหืดกระหอบไล่ตามแผ่นหลังของเพื่อนร่วมสายอาชีพเข้าคลินิกไปติด ๆ แต่จนแล้วจนรอด เขากลับหาอีกฝ่ายไม่เจอ ครั้นจะเปิดปากไต่ถามเจ้าหน้าที่ธุรการด้านหน้า นายตำรวจก็ดันหาช่องแทรกแซงจังหวะอันยุ่งเหยิงของพวกหล่อนแทบไม่ได้ และแน่นอนว่าเมื่อบรรยากาศในคลินิกคลายความวุ่นวายลง ก็ไม่มีใครสามารถยืนยันกับเขาได้ว่า ธีทัตได้เดินเอ้อระเหยเข้ามาในสถานพยาบาลแห่งนี้หรือไม่

***********

ความรู้สึกวิงเวียนหนักอึ้งไปทั้งหัวกับสายตาที่กำลังปรับตัวสู้แสง คือ สาเหตุที่อังคารไม่อาจแยกแยะความเป็นจริงออกจากความฝันได้ เท่าที่พอนึกออก เด็กหนุ่มจำได้ว่า หลังจากตื่นนอนพร้อม ๆ กับผู้กองมนุษย์ถ้ำเมื่อช่วงสาย เพียงออในสภาพโผล่มาแต่หัวก็ทำให้เขาตกใจจนหลุดเข้าสู่โลกแห่งมโนภาพอีกครั้ง

สำหรับการเป็นผู้ร่วมชมภาพเคลื่อนไหวไร้เสียงในรอบนี้ อังคารถูกบังคับมองเด็กหนุ่มผู้หนึ่งขณะถูกหิ้วปีกด้วยเรียวแขนปริศนาสองคู่ หัวของเขาลู่ตกและแกว่งไกวไปมาตามจังหวะและน้ำหนักการเดินของคนลาก เนื่องด้วยภาพที่จำกัดอยู่เพียงแค่แผ่นหลังของเด็กหนุ่มผู้นั้น อังคารจึงแทบประเมินความเลวร้ายของสถานการณ์ไม่ได้ แต่หากถามใจคนที่ผ่านการเฝ้าดูการผ่าชำแหละเพื่อนมนุษย์มาจะ ๆ ทั้งที่ไม่เต็มใจแล้วล่ะก็ เขาบอกได้ทันทีว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ ๆ

“นี่ไอ้หนู... รีบ ๆ ฟื้นเสียทีเถอะ” เสียงทุ้มต่ำที่พึมพำอยู่ไม่ห่างหูกระตุ้นให้อังคารพยายามหยีตามองหาต้นเสียงพลางโต้ตอบ

“คุณตำ... รวจ” ความเงียบทำให้เด็กหนุ่มยิ่งสับสน... สรุปว่าเสียงที่ได้ยินเมื่อกี๊ เป็นแค่ความฝันใช่ไหม? แล้วเมื่อไรเขาถึงจะตื่นเสียที?

“คุณพยาบาลครับ เขาฟื้นแล้วครับ” แต่แล้ว น้ำเสียงตื่นเต้นของสัตยาที่ดังกลบเสียงเลื่อนประตูกับเสียงฝีเท้าหลายคู่จนมิดก็ทำให้อังคารถอนหายใจก่อนจะกระตุกมุมปากทั้งสองขึ้นด้วยความโล่งอก
.
.
.
.
“เอาล่ะ ถ้าคุณยังต้องติดต่อธุระที่นี่ ผมขอให้คุณกินยาที่หมอให้เพื่อคุมอาการทุกวัน ห้ามลืมเป็นอันขาด และถ้าเป็นไปได้ ผมอยากให้คุณรีบกลับไปปรึกษาหมอที่ดูแลอาการคุณมาตั้งแต่แรกโดยเร็วที่สุด”

“ครับ” หลังจากคืนสติ อังคารก็ถูกสัตยาจับนั่งรถเข็นแล้วพามาพบคุณหมอที่รอตรวจอยู่แล้ว และถึงแม้เด็กหนุ่มจะสัมผัสได้ว่าคุณหมอวัยใกล้เกษียณซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าจะเป็นคนใจดี แต่สายตาเป็นห่วงของนายแพทย์พ่วงด้วยสายตาเอาเรื่องของนายตำรวจก็ทำให้เขารู้สึกผิดจนเผลอคิดว่าตัวเองกำลังหดเล็กลงเรื่อย ๆ

“คุณอย่าชะล่าใจแล้วปล่อยเอาไว้นานนะครับ เพราะโรคลมชักจะไม่มีทางหายขาด ถ้าคนไข้หยุดยาตามใจ” เจ้าของคลินิกชุมชนเน้นย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ยิ่งในกรณีของคุณที่ผ่านการผ่าตัดสมองมาก่อน คุณยิ่งต้องดูแลตัวเองให้ดี”

“ยังไงบ้างครับคุณหมอ” จากเดิมที่ตั้งใจว่าจะเข้ามาเป็นผู้ฟังที่ดี ไป ๆ มา ๆ ท่าทางเลื่อนลอยของเด็กเลี้ยงแกะก็ทำให้ผู้กองหนุ่มยอมรับบทผู้ปกครองสุดเจ้ากี้เจ้าการของอังคารไปเสียได้

“นอกจากกินยาอย่างต่อเนื่องแล้ว” เมื่อแน่ใจว่าสัตยาและอังคารตั้งใจฟัง ผู้พูดก็ยื่นแผ่นพับเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยลมชักให้ตำรวจนอกเครื่องแบบพลางอธิบายอย่างใจเย็น “ผมอยากให้คนไข้หมั่นออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงแต่ควรงดเว้นกีฬาที่มีการปะทะ พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ที่สำคัญ คนไข้ต้องพยายามหลีกเลี่ยงจากสภาวะเครียดต่าง ๆ เพราะถ้าคุณละเลยสิ่งเหล่านี้ ร่างกายคุณจะอ่อนแอจนอาจส่งผลให้เกิดอาการชักได้”

“แล้วถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ล่ะครับหมอ” สัตยาอดถามแทนเจ้าตัวแสบไม่ได้ เพราะตราบใดที่พวกเขายังหาเพียงออไม่เจอ เชื่อเถอะว่า เขานี่แหละที่จะคอยก่อกวนจนอังคารเครียดหนักยิ่งกว่าเดิม “ยาจะพอช่วยได้ไหม”

“ยาก็ช่วยได้ส่วนนึง แต่สิ่งที่ดีที่สุด คือ การดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอครับ” เจ้าของไข้ชั่วคราวยังคงยืนยันข้อควรปฏิบัติโดยไม่หวั่นไหว แต่เมื่อเห็นสีหน้าไม่แน่ใจของทั้งคนป่วยและญาติ ชายวัยใกล้เกษียณก็เปรยขึ้นอย่างหนักใจไม่แพ้กัน “ในฐานะญาติ คุณไม่ควรปล่อยให้คนป่วยคลาดสายตา เพราะหากคนป่วยถูกกระตุ้นจนชักโดยไม่รู้ตัว คนป่วยอาจบาดเจ็บหรือประสบอุบัติเหตุได้ ส่วนข้อควรระวังอื่น ๆ คุณสามารถศึกษาจากแผ่นพับที่ผมให้ได้”

“ขอบคุณมากนะครับหมอ ผมจะพยายามไม่ลืมกินยาแล้วก็จะดูแลตัวเองให้ดี ๆ ครับ” อังคารชิงตัดบทเมื่อรู้สึกได้ว่าคุณหมอหมดธุระกับตนแล้ว แต่สัตยากลับยังไม่ยอมรามือง่าย ๆ

“เอ่อ หมอครับ... เมื่อตอนเที่ยงกว่า ๆ มีผู้ชาย ผิวขาว ๆ ตัวหนา ๆ สูงราว ๆ ร้อยแปดสิบห้า ผมตรง ยาวประมาณนี้” คนพูดทำท่าประกอบแข็งขัน ก่อนจะบรรยายลักษณะของธีทัตอย่างคล่องแคล่ว “ใส่เสื้อโปโลสีน้ำตาล กางเกงยีนส์มาหาหมอไหมครับ” ในเมื่อไม่สามารถหักห้ามใจได้ สัตยาจึงซักไซ้ที่พึ่งสุดท้ายที่น่าจะจดจำคนไข้เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วได้ดีกว่าใครหน้าไหนในสถานพยาบาลแห่งนี้

“คุณพูดจาเหมือนตำรวจเลยนะครับ นี่ผมกำลังมีปัญหาหรือเปล่าเนี่ย” คุณหมอสัพยอกด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แต่คนฟังกลับแอบสะดุ้งในใจที่เผลอไผลจนหลุดมาดเจ้าพนักงานนอกเครื่องแบบไปอย่างไม่น่าให้อภัย

“คุณหมอไม่ได้กำลังมีปัญหาหรอกครับ ที่ผมถามเพราะเขาเป็นเพื่อนผม ผมแค่อยากแน่ใจว่าผมไม่ได้ตาฝาดน่ะครับ” ใครจะหาว่าเขาบ้าก็ช่าง แต่การต้องเห็นอังคารเป็นเพียงออซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็พลอยทำให้สัตยาเริ่มไม่แน่ใจว่า ความช่างสังเกตและช่างจดจำของตัวเองยังเป็นปกติดีหรือไม่

“ด้วยจรรยาบรรณแพทย์ผมคงบอกอะไรคุณมากไม่ได้ แต่ผมยืนยันได้นะครับว่าเขามาหาผมจริง ๆ ” นายแพทย์ยังคงคลี่ยิ้มอย่างโอภาปราศรัย แต่ก่อนที่สัตยาจะยิงคำถามชุดใหม่ เสียงเคาะประตูจากด้านนอกก็ทำให้เจ้าของคลินิกรวบรัดอย่างสุภาพ “ขอโทษด้วยที่ผมคงคุยกับพวกคุณไม่ได้แล้ว ช่วงนี้ฝนตกบ่อย คนไข้ผมเลยเยอะเป็นพิเศษ”

ได้ยินดังนั้น อังคารก็รีบยกมือไหว้นายแพทย์ปลก ๆ ก่อนจะฉุกกระชากลากถูผู้กองมนุษย์ถ้ำให้เดินตามหลังกันออกมาทันที “เป็นบ้าอะไรของคุณเนี่ย อยากให้คนอื่นรู้หรือไงว่าเป็นตำรวจ?” เด็กหนุ่มชักสีหน้าพลางตวาดอีกฝ่ายด้วยเสียงกระซิบ

“อ้าวมึง!” ยังไม่ทันจะคลายความสงสัยให้เด็กเมื่อวานซืน คนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องตรวจที่สองก็ดึงดูดความสนใจของสัตยาไปจนหมดสิ้น “กูนึกว่ากูตาฝาดไปเอง มึงมานี่ได้ไงวะท็อป?”

“ไอ้เสือ?!” คนถูกทักถามดูจะตกใจเล็กน้อย แต่ก่อนที่ใครจะจับสังเกตได้ ธีทัตก็ปรับสีหน้าเป็นยิ้มแย้มตามปกติได้อย่างรวดเร็วและแนบเนียนราวกับใส่หน้ากาก “กูก็มาทำงานนี่แหละ แต่เมื่อวานกูโดนฝนแล้วเสือกนอนดึกไง ตื่นมาก็ไข้แดก ปวดหัวว่ะ เลยต้องมาหาหมอ ไม่อยากนอนซมจนเสียการเสียงาน มึงอ่ะ มาทำไรถึงนี่”

เมื่อเห็นว่าสายตาของเพื่อนร่วมรุ่นเลื่อนลงจับจ้องฝ่ามือของอังคารที่กุมรอบข้อมือเขาอย่าจดจ่อ สัตยาก็พลอยหลงลืมความรู้สึกตงิดใจหลังบังเอิญเจอหน้าอีกฝ่ายนอกพื้นที่ทำงานตามที่ได้รับมอบหมายไปเสียสิ้น “อ๋อ... กูพาน้องกูมาหาหมอ”

“น้อง? คนไหนวะ ทำไมกูไม่เคยเห็นหน้า?” สายตาสนอกสนใจของธีทัตที่มองอังคารสลับกับสัตยาบอกให้นายตำรวจมนุษย์ถ้ำรู้ว่าเพื่อนกำลังเปรียบเทียบความต่างของรูปพรรณสัณฐานของพวกเขาอยู่ และขืนปล่อยให้ธีทัตลอบสังเกตนานกว่านี้ คงไม่ดีแน่

ไม่รู้ทำไม... แต่ในตอนนั้น สัตยากลับคิดวนเวียนแค่ว่า มันคงจะดีกว่า หากธีทัตเข้าใจว่าเด็กแสบนี่เป็นคนสำคัญของเขา

“อ๋อ นี่เพียร ลูกพี่ลูกน้องกูเอง พอดีอากูเพิ่งส่งขึ้นมาเรียนกวดวิชาหลังมันซิ่ว กูเลยลาพักร้อนขับรถมารับเนี่ย” สัตยาเปลี่ยนมารวบข้อมือเด็กแสบเอาไว้ก่อนจะกระตุกปลายแขนเซียวเบา ๆ คล้ายส่งสัญญาณขอความร่วมมือ “เพียร นี่ท็อป... เพื่อนพี่”  

“สวัสดีครับพี่ท็อป” แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมสัตยาต้องโกหก แต่อังคารยังมีมารยาทมากพอที่จะไม่ฉีกหน้าเพื่อนร่วมขบวนการเพียงคนเดียวตั้งแต่ไก่ยังไม่ทันโห่

“สวัสดีครับน้องเพียร กูไปก่อนนะเสือ ปวดหัวว่ะ อยากนอนเต็มแก่แล้วเนี่ย” สัตยาไม่ติดใจกับอาการเนือย ๆ จนดูผิดปกติของเพื่อนร่วมรุ่นแต่อย่างใด สงสัยอีกฝ่ายจะป่วยจริง ๆ ไม่อย่างนั้นคนอารมณ์ดีอย่างธีทัตคงไม่ตัดบทสนทนาอย่างรวดเร็วเช่นนี้

“เฮ่ยเดี๋ยวไอ้ท็อป!

“ว่าไงมึง”

“คืนนี้กูโทรไปถามมึงเรื่องขลุ่ยได้ไหมวะ” ตั้งแต่ได้คุยกับอังคารเมื่อเย็นวานจนถึงเดี๋ยวนี้ นอกจากเรื่องของเด็กแสบแล้ว ความคืบหน้าเกี่ยวกับการสืบคดีของเพียงออก็เป็นอีกหัวข้อหนึ่งที่สัตยาให้ความสำคัญเป็นที่สุด ซึ่งธีทัตคือบุคคลเพียงคนเดียวที่จะให้คำตอบทั้งหมดกับเขาได้

“เอาดิ มึงโทรมาสักสามทุ่มแล้วกัน ตอนนั้นกูคงตื่นมากินข้าวเย็นแล้วแหละ” พูดจบ ธีทัตก็เดินออกาจากคลินิกไปทันที ฝ่ายอังคารที่จำใจรับบทผู้ฟังเพื่อแสดงมารยาทการเข้าสังคมอันดีก็ได้แต่สงสัยว่าคนป่วยที่ไหนจะอาการหนักจนหลง ๆ ลืม ๆ การขั้นตอนการรอรับยาและจ่ายค่าหมอเหมือนอย่างที่ธีทัตทำบ้าง


*****|| TBC ||*****



ตอนที่แล้วว่าค้าง ก่อนหน้านั้นก็ค้าง
ไม่รู้ว่าตอนนี้จะทำใครต่อใครค้างอีกหรือเปล่า
เอาเป็นว่า ชอบไม่ชอบยังไง อ่านแล้วมาโวยวายได้นะคะ ฮ่า ๆๆๆ ^^


No comments:

Post a Comment