The 5th Glance
อังคารชักไม่แน่ใจว่าตนกำลังฝันอยู่หรือไม่
เพราะแทนที่บรรยากาศโดยรอบจะมืดมิดเหมือนทุก ๆ ที คราวนี้เขากลับพบตัวเองกำลังนั่งขดอยู่บนพื้นตรงมุมของห้อง
ๆ หนึ่ง ด้านหลังมีเสียงฝีเท้าเดินสวบสาบสลับกับเสียงถอนหายใจอย่างงุ่นง่านดังไม่หยุด...
คราวนี้มีคนอยู่ในห้องกับเขาด้วยเหรอ?
ใครวะ?
อย่าหันไป...
ห้ามหันไปเด็ดขาด!
อันที่จริงเขาควรรู้สึกดีใจที่ไม่ต้องถูกขังอยู่ในห้องมืดอย่างเดียวดาย
ทว่าอะไรบางอย่างกลับสั่งให้เขานั่งก้มหน้า ห่อตัวเป็นก้อนกลมเล็ก ๆ เล็กแบบที่ว่าถ้าไม่มีใครมองเห็นได้เลยยิ่งดี
แต่ที่สุดแล้ว ความพยายามใด ๆ กลับไม่เป็นผล เพราะอยู่ ๆ อีกคนที่เดินพล่านไปทั่วห้องก็ปราดเข้าประชิดตัวอังคารแล้วดันแผ่นหลังเขาจนติดกำแพง
เฮ่ย! อะไรเนี่ย?!
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเสียจนเด็กหนุ่มไม่ทันตั้งตัว
ฉะนั้น เรื่องที่จะเหลือบดูใบหน้าคู่กรณีจึงแทบไม่มีหวัง ขณะที่สมองของอังคารกำลังเร่งประเมินสถานการณ์
เขาก็ได้ยินเสียงอ้อนวอนดังขึ้นข้างหูพร้อม ๆ
กับรู้สึกถึงน้ำหนักตัวของอีกฝ่ายที่ทาบลงบนลำตัวจนแทบกระดุกกระดิกไม่ได้
‘ขลุ่ยอยู่กับพี่เถอะนะ’ อังคารลองพยายามออกแรงดิ้นเพื่อให้หลุดพ้นจากการเกาะกุม
แต่ยิ่งต่อต้าน อีกฝ่ายก็ยิ่งทิ้งน้ำหนักตัวเข้าใส่จนเขาแทบหายใจไม่ออก แถมสองมือเขายังถูกรวบเข้าไว้ด้วยกันเสียอีก
‘เป็นพี่ไม่ได้จริง
ๆ เหรอขลุ่ย?’ ประโยคตัดพ้อของใครคนนั้นไม่ได้ชวนฝัน
ไม่แม้กระทั่งจะทำให้คนฟังเกิดความเห็นอกเห็นใจ กลับกัน ความรู้สึกชิงชังที่ฟังชัดในหางเสียงนั่นทำให้อังคารกลัวเกรงชายนิรนามหนักข้อขึ้นอีกหลายเท่า
สัญชาตญาณการเอาตัวรอดจึงสั่งให้เด็กหนุ่มยิ่งดิ้นรนเพื่ออิสรภาพไม่เลิกรา
ขลุ่ยพ่อมึงสิ! ไม่เห็นเรอะว่ากูไม่ใช่ขลุ่ย มึงจับผิดคนแล้วโว้ย!
กูไม่ใช่ขลุ่ย
ปล่อยกู!!
‘พี่รักขลุ่ยนะ’
ลำพังแค่ต้องทนฟังคำสารภาพความรู้สึกของผู้ชายสักคนในสภาพถูกจองจำน่ะยังพอทำเนา
แต่อังคารกลับทนไม่ได้เมื่ออีกฝ่ายบดเบียดริมฝีปากลงประกบบนปากเขาแล้วยัดเยียดสัมผัสเปียกชื้นน่าคลื่นไส้ให้โดยไม่ทันรู้ตัว
ไอ้เหี้ย!!!
ชั่วขณะที่คลื่นความรังเกียจระคนตระหนกพุ่งปะทะจิตใจจนเขาคิดอะไรไม่ออก
ร่างกายของอังคารกลับเอาคืนผู้รุกรานด้วยการกัดลิ้นแปลกปลอมเสียเต็มรัก เด็กหนุ่มบ้วนน้ำลายรสเค็มปร่าที่มาพร้อมกลิ่นสนิมในโพรงปากทิ้งอย่างไม่แยแส
ก่อนจะอาศัยจังหวะที่คู่กรณีเอาแต่ร้องครวญครางออกวิ่งโดยมีจุดหมายปลายทางเป็นประตูห้อง
แต่สับขาได้ไม่ทันถึงก้าว อังคารก็โดนกระชากผมจนหน้าหงาย
ก่อนที่ชายปริศนาจะระบายโทสะผ่านฝ่ามือทั้งสองลงสู่ลำคอของเขาพร้อมหวีดร้องอย่างก้าวร้าวเหมือนคนคลุ้มคลั่ง
‘ขลุ่ยต้องอยู่กับพี่
ขลุ่ยต้องอยู่กับพี่ ขลุ่ยต้องอยู่กับพี่!!’
‘...อึก...อึก
อึก...อ่อก...อ่อก...’ อิสรภาพอยู่ห่างออกไปเพียงเอื้อมมือ
กระนั้นการจะคว้าลูกบิดบนบานไม้กลับเป็นไปไม่ได้ แรงบีบรอบ ๆ คอที่เพิ่มขึ้นเมื่อเห็นเขาต่อสู้จนสุดใจทำให้น้ำในตาค่อย
ๆ ไหลเอ่อคลอหน่วย ความทรมานจากการขาดอากาศหายใจรุกคืบเข้าใกล้ราวเปลวไฟได้เชื้อเพลิง
“ขลุ่ยต้องอยู่กับพี่
ขลุ่ยต้องอยู่กับพี่!”
‘...อ่อก
อ่อก...พ... เสื...อ...อ... อ่อก... ’ ณ วินาทีที่ร่างกายตัดขาดจากอ็อกซิเจนโดยสมบูรณ์นั้น
สองมือที่เคยพยายามยื้อชีวิตอย่างเอาเป็นเอาตายก็กลับยอมพ่ายแพ้ ก่อนจะห้อยตกลงพร้อม
ๆ กับตัวตนที่สูญสลาย และความปรารถนาที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้ในเสียงเพรียกสุดท้ายซึ่งแผ่วเบาจนแทบไม่มีใครได้ยิน
.
.
.
.
.
“เฮือก!” จุดจบอันน่าเศร้าในฝันทำเอาคนเพิ่งตื่นสะดุ้งสุดตัวจนเกือบจะกลิ้งตกเตียง
เด็กหนุ่มสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง เขานั่งกอดตัวเองพลางสูดลมหายใจชดเชยอากาศที่ถูกมือปริศนาคู่นั้นพรากไปอย่างตะกละตะกราม
แม้การสัมผัสความตายจะกินเวลาเพียงชั่วอึดใจ แต่ความทรมานและอาการแสบร้อนทุกครั้งที่หายใจยังคงตราตรึง
อังคารกวาดตามองไปรอบ
ๆ ตัวอย่างหวาดระแวง สภาพห้องไม่คุ้นตาทำให้เด็กหนุ่มระลึกขึ้นได้ว่า หลังเช็กอินเมื่อช่วงบ่าย
ความอ่อนเพลียตกค้างจากการอดนอนเรื้อรังที่ผสมโรงด้วยการโดยสารรถไฟชั้นสามท่ามกลางอากาศอบอ้าวทำให้ตนผล็อยหลับไปหลายชั่วโมง
หยาดเหงื่อที่ไหลเป็นทางผ่านปลายคาง ลำคอ เรื่อยลงไปถึงผิวอ่อนใต้ร่มผ้าก่อให้เกิดความรู้สึกคันยุบยิบจนต้องยกหลังมือขึ้นเช็ด
เชี่ยเอ๊ย!
น่ากลัวฉิบ!
นี่ขนาดเปิดแอร์แล้วนะเหงื่อยังแตกเป็นปี๊บ
ๆ ...
ไอ้เวรนั่นแม่งเป็นใครวะ?!
แล้วขลุ่ยเป็นใคร?
“หืม?!” อังคารชะงักมือเมื่อรู้ว่า
ของเหลวที่ร่างกายระบายออกมานั้น ไม่ใช่เหงื่อ หากแต่เป็นน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย...
น้ำตาที่ไหลออกจากดวงตาข้างซ้ายของเขาเท่านั้น
ตาซ้ายอีกแล้วเหรอ?!
แม้จะยังไม่มีจุดหมายหรือแผนการใด
ๆ แต่ความฝันที่คาบเกี่ยวกับความเป็นความตายและการร้องไห้ด้วยตาเพียงข้างเดียวก็ทำให้เด็กหนุ่มรีบลุกไปล้างหน้าล้างตาด้วยรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอยากออกไปเตร็ดเตร่ข้างนอกมันเดี๋ยวนั้น...
แน่ล่ะ ต่อให้คืนนี้เขาจะต้องเดินเรื่อยเปื่อยจนฟ้าสาง ก็น่าจะดีกว่าต้องหลับแล้วฝันถึงไอ้โรคจิตนั่นเป็นไหน
ๆ
***********
หลังขี่จักรยานที่หยิบยืมมาจากโรงแรมลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยต่าง
ๆ ของตัวเมืองเพชรบุรีจนพอได้เหงื่อ เด็กหนุ่มวัยยี่สิบปีผู้ไม่เคยเชื่อเรื่องผีสางนางไม้ใด
ๆ ก็ตัดสินใจแวะไหว้พระเพื่อเรียกขวัญกำลังใจที่หล่นหายให้หวนคืน
เมื่อนมัสการหลวงพ่อและทำบุญด้วยการบริจาคเงินจนรู้สึกสบายใจขึ้นมาก
อังคารก็ถือโอกาสเดินเที่ยวชมวัดให้ครบทุกซอกทุกมุมเพื่อให้รู้สึกคุ้มค่ากับเวลาและเงินทองที่ต้องใช้จ่ายไปกับการเดินทางครั้งแรกของชีวิต
โชคดีที่วัดดังกล่าวเป็นพระอารามหลวงที่มีสถาปัตยกรรมโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์
เด็กหนุ่มที่ไม่เคยเสียเงินไปกับการท่องเที่ยวจึงรู้สึกเพลิดเพลินไปกับสถาปัตยกรรมและประติมากรรมที่ผิดแผกไปจากวัดส่วนใหญ่ที่พบเห็นได้ทั่วไปจนไม่ทันระแวดระวังตัว
ถึงอย่างนั้น จังหวะที่อังคารกำลังแหงนคอ
เชิดหน้าชื่นชมความงามของพระปรางค์ห้ายอดสีขาวอร่ามอยู่ตามลำพัง หางตาของเขากลับจับสังเกตเห็นเงาราง
ๆ รูปร่างคล้ายคนที่แอบอยู่ตรงเสาต้นหนึ่งได้อยู่ดี
ใคร?! หรือผี?!
ไม่ดิ
อยู่ในวัดแท้ ๆ จะมีผีได้ไง
เด็กหนุ่มเร่งฝีเท้าหลบมุมไปอีกทางแล้วจึงก้าวเร็ว
ๆ ย้อนกลับไปตลบหลังตรงจุดที่ตนเห็นว่ามีคนแอบอยู่ แต่หลังจากเดินย่องวนจนครบรอบ
อังคารกลับไม่เจอใคร กระทั่งหมาแมวสักตัวก็ไม่มี
ตึก
ตึก
ตึก...
ระหว่างที่เจ้าตัวกำลังยืนสับสนอยู่นั้น
จู่ ๆ กลับมีเสียงฝีเท้ากระทบพื้นหินอ่อนดังไล่จากริมวิหารคดด้านขวามือร่นระยะเข้าใกล้ตัวเด็กหนุ่มราวกับมีใครกำลังเดินกระแทกฝ่าเท้าเข้ามาหา
ตึก
ไอ้เหี้ย
ใครวะ?! ไม่เล่นนะเว่ย!!
ตึก
“ใครอ่ะ?”
ตึก
“ใคร?
ถามว่าใคร?!!”
ตึก...
มันคงจะดีกว่านี้มากหากเสียงที่ว่ามาพร้อมกับร่างของใครสักคนที่เป็นเจ้าของ
ไม่ใช่ความว่างเปล่ากับตัวเขาและพระพุทธรูปสมัยทวาราวดีที่ประดิษฐานเรียงรายรอบระเบียงคดในยามโพล้เพล้แบบนี้
ตึก
ตึก
“ค... คระ...?”
ตึก ตึก ตึก
ตึก ตึก...
เชี่ยเอ๊ย!
ในวัดก็ไม่เว้น!!
เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
ความเชื่อที่ว่าเขตพัทธสีมาช่วยให้ปลอดภัยก็ปลิวหายไปกับสายลม จากแรกที่รู้สึกระแวงผู้คน
กลับกลายเป็นนึกผวาผีขึ้นมาในบัดดลจนอังคารต้องรีบวิ่งตาลีตาเหลือกออกไปยังลานจอดรถ
ก่อนจะกระโดดขึ้นคร่อมจักรยานแล้วปั่นเจ้าสองล้อข้ามแม่น้ำไปยังย่านตลาดที่น่าจะมีคนพลุกพล่านและปลอดภัยจากวิญญาณมากกว่าวัดหลายสิบเท่า
ตลาดตัวเมืองเพชรช่วงใกล้ค่ำมีผู้คนบางตา
กระนั้นกลับมีรถราสัญจรไปมาจนแทบทำความเร็วไม่ได้ อังคารจึงค่อย ๆ
ปั่นพาหนะชั่วคราวอย่างค่อยเป็นค่อยไปพลางสังเกตบรรยากาศโดยรอบไปพร้อม ๆ กัน ถ้าไม่ติดว่าเพิ่งโดนผีหลอกไปสด
ๆ ร้อน ๆ เขาคงดื่มด่ำกับอาคารและบ้านไม้เก่า ๆ ที่เรียงรายอยู่สองข้างทางมากกว่านี้...
คอยดูเถอะ ไว้จบเรื่องผีนั่นเมื่อไร
ไอ้เพียรจะเช่ามอไซค์ขี่เที่ยวเมืองเพชรให้ทะลุเลย!
อังคารคิดการณ์ใหญ่กับตัวเองระหว่างหยุดรอจังหวะเพื่อปั่นข้ามสี่แยกหนึ่งด้านท้ายตลาด
แต่ฟอร์จูนเนอร์สีดำที่กำลังขับผ่านไปอย่างช้า ๆ
ตรงหน้าก็ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกตงิด ๆ จนต้องตัดสินใจเลี้ยวซ้ายแล้วขี่สวนไปอีกทาง
เหมือนวันนี้จะเห็นรถคันนั้นหลายทีแล้วนะ
แม้รถคันนั้นจะทำให้อังคารไม่สบายใจนัก
แต่เด็กหนุ่มกลับไม่เลิกล้มจุดมุ่งหมายสำคัญของทริปลงง่าย ๆ
ไหน ๆ
ก็ยืมจักรยานจากโรงแรมได้แล้ว เขาจึงตั้งใจจะปั่นจักรยานไปเรื่อย ๆ เพราะตั้งใจจะตามหารถเก๋งสีบรอนซ์รุ่นเก่าที่มีรอยสนิมตรงโครงหลังคาด้านซ้ายอันเป็นสิ่งเดียวที่จะสามารถทับซ้อนกับมโนภาพที่เห็นเมื่อวานได้อย่างพอดิบพอดี
ก่อนออกเดินทาง
อังคารเตรียมใจยอมรับความล้มเหลวของการมาเพชรบุรีเอาไว้แล้วล่วงหน้า
หนำซ้ำยังแอบสมน้ำหน้าตัวเองเสียแต่เนิ่น ๆ ที่จนถึงบัดนี้ เขายังไม่เลยรู้ว่าจะเริ่มพิสูจน์สมมติฐานของตัวเองจากภาพที่เห็นในฝันและจินตนาการด้วยวิธีไหนนอกไปจากหลับหูหลับตาขี่จักรยานงมเข็มในมหาสมุทรอยู่อย่างนี้
“เฮ่ย!” ทว่าก่อนที่ภารกิจจะเดินหน้า หางตาของอังคารก็ชำเลืองเห็นรถเอสยูวีสีดำทะมึนอีกครั้ง
รอบนี้เขาจะลองพิสูจน์ให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลยว่า
คนขับฟอร์จูนเนอร์คันที่วิ่งตามหลังมาห่าง ๆ นั้นมีเจตนาเช่นไร
คิดได้ดังนั้น
อังคารก็เร่งความเร็วขึ้นแบบฉับพลันแล้วหักเลี้ยวเข้าตรอกเล็ก ๆ
ที่มีเพียงรถสองล้อเท่านั้นที่จะแล่นผ่านได้เพื่อตัดเข้าซอยคู่ขนานก่อนจะปั่นสวนทางวันเวย์ย้อนไปยังทิศทางเดิมตามที่ตั้งใจ
เอาเป็นว่าถ้าฟอร์จูนเนอร์คันนั้นโผล่หน้ามาจริง ๆ เขาจะท่องจำเลขทะเบียนให้ขึ้นใจพร้อม
ๆ กับคิดหาทางหนีทีไล่แล้วชิ่งกลับไปหลบกบดานที่โรงแรมแล้วค่อยว่ากันใหม่ในวันพรุ่งนี้
“เชี่ย!”
อังคารดีใจได้ไม่สุด
เพราะเพียงชั่วอึดใจให้หลัง ฟอร์จูนเนอร์สีดำคันนั้นก็พุ่งทะยานมาตามทาง คนขับพาหนะสองล้อที่ละเมิดกฏจราจรจึงมีโอกาสได้ท่องจำสัญลักษณ์บนป้ายทะเบียนสมใจ
ก่อนเจ้าตัวจะเลี้ยวหายเข้าอีกซอยแล้วปั่นหลบหนีไปอย่างไม่รู้ทิศทาง
จวบจนเมื่อสองขาเริ่มอ่อนล้า อังคารจึงบังคับแฮนต์หักเลี้ยวตรงหัวมุมแล้วเข้าไปหลบอยู่ภายในตรอกเล็ก
ๆ ที่เต็มไปด้วยบ้านไม้สองชั้น เด็กหนุ่มตีหน้านิ่งพลางบอกตัวเองให้เมินสายตาแปลก
ๆ ของชาวบ้านแล้วจูงจักรยานเข้าไปนั่งจับจองโต๊ะตัวหนึ่งของร้านน้ำแข็งไสใกล้ ๆ ท่าน้ำ
ก่อนจะพยายามทำตัวกลมกลืนด้วยการสั่งขนมหวานหนึ่งถ้วยมากินระหว่างช่วงพักหายใจหายคอ
เรื่องผีนั่นยังไม่ถึงไหน
มึงยังจะโดนใครก็ไม่รู้สะกดรอยตามต้อย ๆ อีกเหรอวะไอ้เพียร?
เอ... ว่าแต่ใครมันจะบ้ามาตามมึงให้เสียเวลาวะ
สมบัติก็ไม่มี แถมหน้าตาก็บ้าน ๆ ...
เออแฮะ
มึงนี่ขี้ระแวงจนใกล้บ้าเข้าไปทุกทีแล้วเว้ยเฮ้ย!
หลังจากตำหนิตัวเองจนพอใจ
อังคารก็อดย้อนคิดถึงเหตุที่ทำให้เขาต้องเก็บข้าวเก็บของจองตั๋วรถไฟถ่อมาถึงสถานที่
ๆ ตัวเองไม่รู้จักไม่ได้
นี่ถ้าเขาไม่เคยสัมผัสความฝันที่สมจริงเท่ากับฝันเมื่อช่วงบ่ายวันนี้
อังคารคงจะเผลอเข้าใจไปตลอดแน่ ๆ ว่าภาพการผ่าชำแหละหน้าท้องคนที่เห็นเมื่อสองวันก่อนคือขุมนรกแห่งจินตนการ
แต่พอคิดทบทวนถึงความฝันนั่นอีกที อังคารว่ามันคงจะดีกว่านี้มากหากเขาไม่ต้องลองสัมผัสประสบการณ์เลวร้ายแทนใครต่อใครอีก...
เดี๋ยว ๆๆๆ
เดี๋ยวก่อนไอ้เพียร
มึงกำลังมองข้ามเรื่องสำคัญมาก
ๆ เรื่องหนึ่งไป...
ในบรรดาเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นกับตัวเขาตลอดสองเดือนที่ผ่านมา
ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง...
.
.
.
.
.
ใช่แล้ว!
บทบาทของมึงยังไงล่ะที่ไม่เหมือนกัน!
เพราะจนถึงตอนนี้
อังคารยังจำความรู้สึกทุกข์ทรมานในทุกขณะ ๆ ที่ร่างกายถูกชายปริศนาทำร้ายได้แม่นยำ
ความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวที่ตกค้างยังคงแจ่มชัด อีกทั้งยังแตกต่างจากภาพของการแหวกหน้าอกลิบลับ
เพราะแม้อังคารจะเห็นการลงมีดทุก ๆ ขั้นตอนแบบจะ ๆ เต็ม ๆ สองตา แต่แค่ผ่านมาสองวัน
เขาก็แทบจำอะไรไม่ได้นอกจากความรู้สึกสยดสยองระคนสงสารเหยื่อเท่านั้น ซึ่งตัวแปรเดียวที่น่าจะเป็นไปได้ คือ ทุก ๆ
ครั้งที่ตกอยู่ในห้วงความฝัน เด็กหนุ่มจะเป็นฝ่ายถูกกระทำโดยตรง ผิดจากสถานะผู้ชมซึ่งไม่สามารถเบือนหน้าหรือหลับตาหนีภาพตรงหน้าได้แบบที่เขามักจะเป็นหลังการเจอผีตนนั้นหลอกแบบจัง
ๆ หน้า
แล้วที่มึงฝันเห็นผีนั่นนั่งถอดตาดูหนังล่ะ
มึงก็เป็นแค่คนดูเหมือนกับตอนที่มึงชักไม่ใช่เหรอวะไอ้เพียร?
ที่สำคัญ...
มึงจะแน่ใจได้ยังไงว่าภาพที่มึงเห็นตอนชักไม่ได้เป็นเพราะมึงกลัวผีจนเพ้อเจ้อเป็นตุเป็นตะไปเอง?
“เฮ่อ!” เด็กหนุ่มทอดถอนใจพลางนั่งเท้าคางคนเกล็ดน้ำแข็งที่เริ่มละลายให้กลายเป็นเนื้อเดียวกันกับน้ำเชื่อมสีชมพูอมแดง
นั่นสิ...
ไอ้ที่เห็นในฝันเมื่อวานมันคืออะไรวะ?
ถ้าอย่างนั้น
การที่เขาดั้นด้นนั่งรถมาไกลถึงเพชรบุรีนี่ก็เสียเปล่าน่ะสิ!
โว้ย! จะให้ทำอะไรก็บอกมาตรง ๆ เถอะ คิดเองเออเองจนจะงงไปหมดแล้วเนี่ย!
ถ้าปล่อยให้งงมาก
ๆ เดี๋ยวไอ้เพียรก็หนีกลับกรุงเทพฯ มันคืนนี้เลยหนิ!
ปึง!!
“เฮ่ย!” ไม่ใช่แค่อังคารเท่านั้นที่ตกใจ
แต่เป็นคนเกือบทั้งร้านที่ส่งเสียงอุทานลั่นทันทีที่แถวมอเตอร์ไซค์ซึ่งจอดเรียงกันอย่างเป็นระเบียบตรงด้านหน้าร้านล้มระเนระนาดจนเกิดเสียงดังสนั่นซอยทั้งที่ไม่มีใครแตะต้อง
กระทั่งกระแสลมแรง หรือหมาแมวที่วิ่งทะเล่อทะล่าผ่านมาสักตัวก็ยังไม่มี
อังคารวางเงินค่าขนมหวานลงบนโต๊ะก่อนจะเดินผ่านสภาพโกลาหลหน้าร้านน้ำแข็งไสข้ามไปคว้าจักรยานที่พิงรั้วอีกด้านไว้แล้วขี่ออกไปทันที
เด็กหนุ่มพร่ำบอกกับตัวเองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นชั่วอึดใจก่อนหน้าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
เมื่อกี๊วิญญาณตนนั้นพยายามสื่อสารกับเขาอยู่จริง
ๆ และนั่นทำให้อังคารเริ่มจะมั่นใจมากขึ้นทุกทีว่า จินตภาพกับความฝันอันน่ากลัวทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นจุดเริ่มต้นของอะไรสักอย่างที่พัวพันกับตัวเขาอย่างแยกไม่ออก
“เฮ่ย! อื้อ!!” ในจังหวะที่เด็กหนุ่มกำลังจะเลี้ยวขวากลับเข้าสู่ถนนใหญ่อีกครั้ง
จู่ ๆ ก็มีวงแขนปริศนายื่นออกมาจากหลืบเล็ก ๆ ข้าง ๆ รั้วบ้านหลังหนึ่ง ก่อนที่แขนคู่นั้นจะตวัดรวบตัวพร้อมปิดปากอังคารแล้วดูดกลืนร่างกะทัดรัดของเขาจนกลืนหายเข้าไปในเงามืด
*****|| TBC ||*****
ตอนที่ห้ามาแล้ว
มาพร้อมกับปริศนามากมาย ชะเอิงเงย!
อย่างไรก็ดี
เพียรก็น่าจะเริ่มต้นถูกที่ถูกเวลาแล้วนะคะ
ไม่งั้นรถมอเตอร์ไซค์จะล้มเป็นทิวแถวเหรอ
เนอะ ๆๆๆ
ขอให้ทุกคนอ่านอย่างมีความสุขนะคะ
ชอบไม่ชอบยังไง
ฝากความในใจเอาไว้ให้เราอ่านมั่งก็ดีเนอะ ^^
No comments:
Post a Comment