Wednesday, August 2, 2017

ODD EYE ตาย ตา ตื่น : 5th Glance ||02.08.17

The 5th Glance


อังคารชักไม่แน่ใจว่าตนกำลังฝันอยู่หรือไม่ เพราะแทนที่บรรยากาศโดยรอบจะมืดมิดเหมือนทุก ๆ ที คราวนี้เขากลับพบตัวเองกำลังนั่งขดอยู่บนพื้นตรงมุมของห้อง ๆ หนึ่ง ด้านหลังมีเสียงฝีเท้าเดินสวบสาบสลับกับเสียงถอนหายใจอย่างงุ่นง่านดังไม่หยุด...

คราวนี้มีคนอยู่ในห้องกับเขาด้วยเหรอ?
ใครวะ?

อย่าหันไป... ห้ามหันไปเด็ดขาด!

อันที่จริงเขาควรรู้สึกดีใจที่ไม่ต้องถูกขังอยู่ในห้องมืดอย่างเดียวดาย ทว่าอะไรบางอย่างกลับสั่งให้เขานั่งก้มหน้า ห่อตัวเป็นก้อนกลมเล็ก ๆ เล็กแบบที่ว่าถ้าไม่มีใครมองเห็นได้เลยยิ่งดี แต่ที่สุดแล้ว ความพยายามใด ๆ กลับไม่เป็นผล เพราะอยู่ ๆ อีกคนที่เดินพล่านไปทั่วห้องก็ปราดเข้าประชิดตัวอังคารแล้วดันแผ่นหลังเขาจนติดกำแพง

เฮ่ย! อะไรเนี่ย?!

ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเสียจนเด็กหนุ่มไม่ทันตั้งตัว ฉะนั้น เรื่องที่จะเหลือบดูใบหน้าคู่กรณีจึงแทบไม่มีหวัง ขณะที่สมองของอังคารกำลังเร่งประเมินสถานการณ์ เขาก็ได้ยินเสียงอ้อนวอนดังขึ้นข้างหูพร้อม ๆ กับรู้สึกถึงน้ำหนักตัวของอีกฝ่ายที่ทาบลงบนลำตัวจนแทบกระดุกกระดิกไม่ได้

ขลุ่ยอยู่กับพี่เถอะนะ อังคารลองพยายามออกแรงดิ้นเพื่อให้หลุดพ้นจากการเกาะกุม แต่ยิ่งต่อต้าน อีกฝ่ายก็ยิ่งทิ้งน้ำหนักตัวเข้าใส่จนเขาแทบหายใจไม่ออก แถมสองมือเขายังถูกรวบเข้าไว้ด้วยกันเสียอีก  

เป็นพี่ไม่ได้จริง ๆ เหรอขลุ่ย? ประโยคตัดพ้อของใครคนนั้นไม่ได้ชวนฝัน ไม่แม้กระทั่งจะทำให้คนฟังเกิดความเห็นอกเห็นใจ กลับกัน ความรู้สึกชิงชังที่ฟังชัดในหางเสียงนั่นทำให้อังคารกลัวเกรงชายนิรนามหนักข้อขึ้นอีกหลายเท่า สัญชาตญาณการเอาตัวรอดจึงสั่งให้เด็กหนุ่มยิ่งดิ้นรนเพื่ออิสรภาพไม่เลิกรา

ขลุ่ยพ่อมึงสิ! ไม่เห็นเรอะว่ากูไม่ใช่ขลุ่ย มึงจับผิดคนแล้วโว้ย!
กูไม่ใช่ขลุ่ย ปล่อยกู!!

พี่รักขลุ่ยนะ ลำพังแค่ต้องทนฟังคำสารภาพความรู้สึกของผู้ชายสักคนในสภาพถูกจองจำน่ะยังพอทำเนา แต่อังคารกลับทนไม่ได้เมื่ออีกฝ่ายบดเบียดริมฝีปากลงประกบบนปากเขาแล้วยัดเยียดสัมผัสเปียกชื้นน่าคลื่นไส้ให้โดยไม่ทันรู้ตัว

ไอ้เหี้ย!!!  

ชั่วขณะที่คลื่นความรังเกียจระคนตระหนกพุ่งปะทะจิตใจจนเขาคิดอะไรไม่ออก ร่างกายของอังคารกลับเอาคืนผู้รุกรานด้วยการกัดลิ้นแปลกปลอมเสียเต็มรัก เด็กหนุ่มบ้วนน้ำลายรสเค็มปร่าที่มาพร้อมกลิ่นสนิมในโพรงปากทิ้งอย่างไม่แยแส ก่อนจะอาศัยจังหวะที่คู่กรณีเอาแต่ร้องครวญครางออกวิ่งโดยมีจุดหมายปลายทางเป็นประตูห้อง แต่สับขาได้ไม่ทันถึงก้าว อังคารก็โดนกระชากผมจนหน้าหงาย ก่อนที่ชายปริศนาจะระบายโทสะผ่านฝ่ามือทั้งสองลงสู่ลำคอของเขาพร้อมหวีดร้องอย่างก้าวร้าวเหมือนคนคลุ้มคลั่ง

ขลุ่ยต้องอยู่กับพี่ ขลุ่ยต้องอยู่กับพี่ ขลุ่ยต้องอยู่กับพี่!!’

...อึก...อึก อึก...อ่อก...อ่อก... อิสรภาพอยู่ห่างออกไปเพียงเอื้อมมือ กระนั้นการจะคว้าลูกบิดบนบานไม้กลับเป็นไปไม่ได้ แรงบีบรอบ ๆ คอที่เพิ่มขึ้นเมื่อเห็นเขาต่อสู้จนสุดใจทำให้น้ำในตาค่อย ๆ ไหลเอ่อคลอหน่วย ความทรมานจากการขาดอากาศหายใจรุกคืบเข้าใกล้ราวเปลวไฟได้เชื้อเพลิง

“ขลุ่ยต้องอยู่กับพี่ ขลุ่ยต้องอยู่กับพี่!

...อ่อก อ่อก...พ... เสื...อ...อ... อ่อก... ณ วินาทีที่ร่างกายตัดขาดจากอ็อกซิเจนโดยสมบูรณ์นั้น สองมือที่เคยพยายามยื้อชีวิตอย่างเอาเป็นเอาตายก็กลับยอมพ่ายแพ้ ก่อนจะห้อยตกลงพร้อม ๆ กับตัวตนที่สูญสลาย และความปรารถนาที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้ในเสียงเพรียกสุดท้ายซึ่งแผ่วเบาจนแทบไม่มีใครได้ยิน
 .
.
.
.
.
“เฮือก!” จุดจบอันน่าเศร้าในฝันทำเอาคนเพิ่งตื่นสะดุ้งสุดตัวจนเกือบจะกลิ้งตกเตียง เด็กหนุ่มสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง เขานั่งกอดตัวเองพลางสูดลมหายใจชดเชยอากาศที่ถูกมือปริศนาคู่นั้นพรากไปอย่างตะกละตะกราม แม้การสัมผัสความตายจะกินเวลาเพียงชั่วอึดใจ แต่ความทรมานและอาการแสบร้อนทุกครั้งที่หายใจยังคงตราตรึง

อังคารกวาดตามองไปรอบ ๆ ตัวอย่างหวาดระแวง สภาพห้องไม่คุ้นตาทำให้เด็กหนุ่มระลึกขึ้นได้ว่า หลังเช็กอินเมื่อช่วงบ่าย ความอ่อนเพลียตกค้างจากการอดนอนเรื้อรังที่ผสมโรงด้วยการโดยสารรถไฟชั้นสามท่ามกลางอากาศอบอ้าวทำให้ตนผล็อยหลับไปหลายชั่วโมง หยาดเหงื่อที่ไหลเป็นทางผ่านปลายคาง ลำคอ เรื่อยลงไปถึงผิวอ่อนใต้ร่มผ้าก่อให้เกิดความรู้สึกคันยุบยิบจนต้องยกหลังมือขึ้นเช็ด

เชี่ยเอ๊ย! น่ากลัวฉิบ! นี่ขนาดเปิดแอร์แล้วนะเหงื่อยังแตกเป็นปี๊บ ๆ ...
ไอ้เวรนั่นแม่งเป็นใครวะ?! แล้วขลุ่ยเป็นใคร?

“หืม?!” อังคารชะงักมือเมื่อรู้ว่า ของเหลวที่ร่างกายระบายออกมานั้น ไม่ใช่เหงื่อ หากแต่เป็นน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย... น้ำตาที่ไหลออกจากดวงตาข้างซ้ายของเขาเท่านั้น

ตาซ้ายอีกแล้วเหรอ?!

แม้จะยังไม่มีจุดหมายหรือแผนการใด ๆ แต่ความฝันที่คาบเกี่ยวกับความเป็นความตายและการร้องไห้ด้วยตาเพียงข้างเดียวก็ทำให้เด็กหนุ่มรีบลุกไปล้างหน้าล้างตาด้วยรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอยากออกไปเตร็ดเตร่ข้างนอกมันเดี๋ยวนั้น... แน่ล่ะ ต่อให้คืนนี้เขาจะต้องเดินเรื่อยเปื่อยจนฟ้าสาง ก็น่าจะดีกว่าต้องหลับแล้วฝันถึงไอ้โรคจิตนั่นเป็นไหน ๆ  


***********

หลังขี่จักรยานที่หยิบยืมมาจากโรงแรมลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยต่าง ๆ ของตัวเมืองเพชรบุรีจนพอได้เหงื่อ เด็กหนุ่มวัยยี่สิบปีผู้ไม่เคยเชื่อเรื่องผีสางนางไม้ใด ๆ ก็ตัดสินใจแวะไหว้พระเพื่อเรียกขวัญกำลังใจที่หล่นหายให้หวนคืน

เมื่อนมัสการหลวงพ่อและทำบุญด้วยการบริจาคเงินจนรู้สึกสบายใจขึ้นมาก อังคารก็ถือโอกาสเดินเที่ยวชมวัดให้ครบทุกซอกทุกมุมเพื่อให้รู้สึกคุ้มค่ากับเวลาและเงินทองที่ต้องใช้จ่ายไปกับการเดินทางครั้งแรกของชีวิต โชคดีที่วัดดังกล่าวเป็นพระอารามหลวงที่มีสถาปัตยกรรมโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เด็กหนุ่มที่ไม่เคยเสียเงินไปกับการท่องเที่ยวจึงรู้สึกเพลิดเพลินไปกับสถาปัตยกรรมและประติมากรรมที่ผิดแผกไปจากวัดส่วนใหญ่ที่พบเห็นได้ทั่วไปจนไม่ทันระแวดระวังตัว

ถึงอย่างนั้น จังหวะที่อังคารกำลังแหงนคอ เชิดหน้าชื่นชมความงามของพระปรางค์ห้ายอดสีขาวอร่ามอยู่ตามลำพัง หางตาของเขากลับจับสังเกตเห็นเงาราง ๆ รูปร่างคล้ายคนที่แอบอยู่ตรงเสาต้นหนึ่งได้อยู่ดี  

ใคร?! หรือผี?!
ไม่ดิ อยู่ในวัดแท้ ๆ จะมีผีได้ไง

เด็กหนุ่มเร่งฝีเท้าหลบมุมไปอีกทางแล้วจึงก้าวเร็ว ๆ ย้อนกลับไปตลบหลังตรงจุดที่ตนเห็นว่ามีคนแอบอยู่ แต่หลังจากเดินย่องวนจนครบรอบ อังคารกลับไม่เจอใคร กระทั่งหมาแมวสักตัวก็ไม่มี

ตึก

ตึก

ตึก...

ระหว่างที่เจ้าตัวกำลังยืนสับสนอยู่นั้น จู่ ๆ กลับมีเสียงฝีเท้ากระทบพื้นหินอ่อนดังไล่จากริมวิหารคดด้านขวามือร่นระยะเข้าใกล้ตัวเด็กหนุ่มราวกับมีใครกำลังเดินกระแทกฝ่าเท้าเข้ามาหา

ตึก

ไอ้เหี้ย ใครวะ?! ไม่เล่นนะเว่ย!!

ตึก

“ใครอ่ะ?”

ตึก

“ใคร? ถามว่าใคร?!!

ตึก...

มันคงจะดีกว่านี้มากหากเสียงที่ว่ามาพร้อมกับร่างของใครสักคนที่เป็นเจ้าของ ไม่ใช่ความว่างเปล่ากับตัวเขาและพระพุทธรูปสมัยทวาราวดีที่ประดิษฐานเรียงรายรอบระเบียงคดในยามโพล้เพล้แบบนี้  

ตึก

ตึก

“ค... คระ...?”

ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก...

เชี่ยเอ๊ย! ในวัดก็ไม่เว้น!!

เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ความเชื่อที่ว่าเขตพัทธสีมาช่วยให้ปลอดภัยก็ปลิวหายไปกับสายลม จากแรกที่รู้สึกระแวงผู้คน กลับกลายเป็นนึกผวาผีขึ้นมาในบัดดลจนอังคารต้องรีบวิ่งตาลีตาเหลือกออกไปยังลานจอดรถ ก่อนจะกระโดดขึ้นคร่อมจักรยานแล้วปั่นเจ้าสองล้อข้ามแม่น้ำไปยังย่านตลาดที่น่าจะมีคนพลุกพล่านและปลอดภัยจากวิญญาณมากกว่าวัดหลายสิบเท่า

ตลาดตัวเมืองเพชรช่วงใกล้ค่ำมีผู้คนบางตา กระนั้นกลับมีรถราสัญจรไปมาจนแทบทำความเร็วไม่ได้ อังคารจึงค่อย ๆ ปั่นพาหนะชั่วคราวอย่างค่อยเป็นค่อยไปพลางสังเกตบรรยากาศโดยรอบไปพร้อม ๆ กัน ถ้าไม่ติดว่าเพิ่งโดนผีหลอกไปสด ๆ ร้อน ๆ เขาคงดื่มด่ำกับอาคารและบ้านไม้เก่า ๆ ที่เรียงรายอยู่สองข้างทางมากกว่านี้... คอยดูเถอะ ไว้จบเรื่องผีนั่นเมื่อไร ไอ้เพียรจะเช่ามอไซค์ขี่เที่ยวเมืองเพชรให้ทะลุเลย!

อังคารคิดการณ์ใหญ่กับตัวเองระหว่างหยุดรอจังหวะเพื่อปั่นข้ามสี่แยกหนึ่งด้านท้ายตลาด แต่ฟอร์จูนเนอร์สีดำที่กำลังขับผ่านไปอย่างช้า ๆ ตรงหน้าก็ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกตงิด ๆ จนต้องตัดสินใจเลี้ยวซ้ายแล้วขี่สวนไปอีกทาง

เหมือนวันนี้จะเห็นรถคันนั้นหลายทีแล้วนะ

แม้รถคันนั้นจะทำให้อังคารไม่สบายใจนัก แต่เด็กหนุ่มกลับไม่เลิกล้มจุดมุ่งหมายสำคัญของทริปลงง่าย ๆ
ไหน ๆ ก็ยืมจักรยานจากโรงแรมได้แล้ว เขาจึงตั้งใจจะปั่นจักรยานไปเรื่อย ๆ เพราะตั้งใจจะตามหารถเก๋งสีบรอนซ์รุ่นเก่าที่มีรอยสนิมตรงโครงหลังคาด้านซ้ายอันเป็นสิ่งเดียวที่จะสามารถทับซ้อนกับมโนภาพที่เห็นเมื่อวานได้อย่างพอดิบพอดี

ก่อนออกเดินทาง อังคารเตรียมใจยอมรับความล้มเหลวของการมาเพชรบุรีเอาไว้แล้วล่วงหน้า หนำซ้ำยังแอบสมน้ำหน้าตัวเองเสียแต่เนิ่น ๆ ที่จนถึงบัดนี้ เขายังไม่เลยรู้ว่าจะเริ่มพิสูจน์สมมติฐานของตัวเองจากภาพที่เห็นในฝันและจินตนาการด้วยวิธีไหนนอกไปจากหลับหูหลับตาขี่จักรยานงมเข็มในมหาสมุทรอยู่อย่างนี้

“เฮ่ย!” ทว่าก่อนที่ภารกิจจะเดินหน้า หางตาของอังคารก็ชำเลืองเห็นรถเอสยูวีสีดำทะมึนอีกครั้ง

รอบนี้เขาจะลองพิสูจน์ให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลยว่า คนขับฟอร์จูนเนอร์คันที่วิ่งตามหลังมาห่าง ๆ นั้นมีเจตนาเช่นไร
คิดได้ดังนั้น อังคารก็เร่งความเร็วขึ้นแบบฉับพลันแล้วหักเลี้ยวเข้าตรอกเล็ก ๆ ที่มีเพียงรถสองล้อเท่านั้นที่จะแล่นผ่านได้เพื่อตัดเข้าซอยคู่ขนานก่อนจะปั่นสวนทางวันเวย์ย้อนไปยังทิศทางเดิมตามที่ตั้งใจ เอาเป็นว่าถ้าฟอร์จูนเนอร์คันนั้นโผล่หน้ามาจริง ๆ เขาจะท่องจำเลขทะเบียนให้ขึ้นใจพร้อม ๆ กับคิดหาทางหนีทีไล่แล้วชิ่งกลับไปหลบกบดานที่โรงแรมแล้วค่อยว่ากันใหม่ในวันพรุ่งนี้

“เชี่ย!

อังคารดีใจได้ไม่สุด เพราะเพียงชั่วอึดใจให้หลัง ฟอร์จูนเนอร์สีดำคันนั้นก็พุ่งทะยานมาตามทาง คนขับพาหนะสองล้อที่ละเมิดกฏจราจรจึงมีโอกาสได้ท่องจำสัญลักษณ์บนป้ายทะเบียนสมใจ ก่อนเจ้าตัวจะเลี้ยวหายเข้าอีกซอยแล้วปั่นหลบหนีไปอย่างไม่รู้ทิศทาง จวบจนเมื่อสองขาเริ่มอ่อนล้า อังคารจึงบังคับแฮนต์หักเลี้ยวตรงหัวมุมแล้วเข้าไปหลบอยู่ภายในตรอกเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยบ้านไม้สองชั้น เด็กหนุ่มตีหน้านิ่งพลางบอกตัวเองให้เมินสายตาแปลก ๆ ของชาวบ้านแล้วจูงจักรยานเข้าไปนั่งจับจองโต๊ะตัวหนึ่งของร้านน้ำแข็งไสใกล้ ๆ ท่าน้ำ ก่อนจะพยายามทำตัวกลมกลืนด้วยการสั่งขนมหวานหนึ่งถ้วยมากินระหว่างช่วงพักหายใจหายคอ

เรื่องผีนั่นยังไม่ถึงไหน มึงยังจะโดนใครก็ไม่รู้สะกดรอยตามต้อย ๆ อีกเหรอวะไอ้เพียร?
เอ... ว่าแต่ใครมันจะบ้ามาตามมึงให้เสียเวลาวะ สมบัติก็ไม่มี แถมหน้าตาก็บ้าน ๆ ...
เออแฮะ มึงนี่ขี้ระแวงจนใกล้บ้าเข้าไปทุกทีแล้วเว้ยเฮ้ย!

หลังจากตำหนิตัวเองจนพอใจ อังคารก็อดย้อนคิดถึงเหตุที่ทำให้เขาต้องเก็บข้าวเก็บของจองตั๋วรถไฟถ่อมาถึงสถานที่ ๆ ตัวเองไม่รู้จักไม่ได้

นี่ถ้าเขาไม่เคยสัมผัสความฝันที่สมจริงเท่ากับฝันเมื่อช่วงบ่ายวันนี้ อังคารคงจะเผลอเข้าใจไปตลอดแน่ ๆ ว่าภาพการผ่าชำแหละหน้าท้องคนที่เห็นเมื่อสองวันก่อนคือขุมนรกแห่งจินตนการ แต่พอคิดทบทวนถึงความฝันนั่นอีกที อังคารว่ามันคงจะดีกว่านี้มากหากเขาไม่ต้องลองสัมผัสประสบการณ์เลวร้ายแทนใครต่อใครอีก... 

เดี๋ยว ๆๆๆ เดี๋ยวก่อนไอ้เพียร
มึงกำลังมองข้ามเรื่องสำคัญมาก ๆ เรื่องหนึ่งไป...

ในบรรดาเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นกับตัวเขาตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง...
.
.
.
.
.
ใช่แล้ว! บทบาทของมึงยังไงล่ะที่ไม่เหมือนกัน!

เพราะจนถึงตอนนี้ อังคารยังจำความรู้สึกทุกข์ทรมานในทุกขณะ ๆ ที่ร่างกายถูกชายปริศนาทำร้ายได้แม่นยำ ความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวที่ตกค้างยังคงแจ่มชัด อีกทั้งยังแตกต่างจากภาพของการแหวกหน้าอกลิบลับ เพราะแม้อังคารจะเห็นการลงมีดทุก ๆ ขั้นตอนแบบจะ ๆ เต็ม ๆ สองตา แต่แค่ผ่านมาสองวัน เขาก็แทบจำอะไรไม่ได้นอกจากความรู้สึกสยดสยองระคนสงสารเหยื่อเท่านั้น  ซึ่งตัวแปรเดียวที่น่าจะเป็นไปได้ คือ ทุก ๆ ครั้งที่ตกอยู่ในห้วงความฝัน เด็กหนุ่มจะเป็นฝ่ายถูกกระทำโดยตรง ผิดจากสถานะผู้ชมซึ่งไม่สามารถเบือนหน้าหรือหลับตาหนีภาพตรงหน้าได้แบบที่เขามักจะเป็นหลังการเจอผีตนนั้นหลอกแบบจัง ๆ หน้า

แล้วที่มึงฝันเห็นผีนั่นนั่งถอดตาดูหนังล่ะ มึงก็เป็นแค่คนดูเหมือนกับตอนที่มึงชักไม่ใช่เหรอวะไอ้เพียร?
ที่สำคัญ... มึงจะแน่ใจได้ยังไงว่าภาพที่มึงเห็นตอนชักไม่ได้เป็นเพราะมึงกลัวผีจนเพ้อเจ้อเป็นตุเป็นตะไปเอง?

“เฮ่อ!” เด็กหนุ่มทอดถอนใจพลางนั่งเท้าคางคนเกล็ดน้ำแข็งที่เริ่มละลายให้กลายเป็นเนื้อเดียวกันกับน้ำเชื่อมสีชมพูอมแดง

นั่นสิ... ไอ้ที่เห็นในฝันเมื่อวานมันคืออะไรวะ?
ถ้าอย่างนั้น การที่เขาดั้นด้นนั่งรถมาไกลถึงเพชรบุรีนี่ก็เสียเปล่าน่ะสิ!

โว้ย! จะให้ทำอะไรก็บอกมาตรง ๆ เถอะ คิดเองเออเองจนจะงงไปหมดแล้วเนี่ย!
ถ้าปล่อยให้งงมาก ๆ เดี๋ยวไอ้เพียรก็หนีกลับกรุงเทพฯ มันคืนนี้เลยหนิ!  

ปึง!!

“เฮ่ย!” ไม่ใช่แค่อังคารเท่านั้นที่ตกใจ แต่เป็นคนเกือบทั้งร้านที่ส่งเสียงอุทานลั่นทันทีที่แถวมอเตอร์ไซค์ซึ่งจอดเรียงกันอย่างเป็นระเบียบตรงด้านหน้าร้านล้มระเนระนาดจนเกิดเสียงดังสนั่นซอยทั้งที่ไม่มีใครแตะต้อง กระทั่งกระแสลมแรง หรือหมาแมวที่วิ่งทะเล่อทะล่าผ่านมาสักตัวก็ยังไม่มี

อังคารวางเงินค่าขนมหวานลงบนโต๊ะก่อนจะเดินผ่านสภาพโกลาหลหน้าร้านน้ำแข็งไสข้ามไปคว้าจักรยานที่พิงรั้วอีกด้านไว้แล้วขี่ออกไปทันที เด็กหนุ่มพร่ำบอกกับตัวเองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นชั่วอึดใจก่อนหน้าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

เมื่อกี๊วิญญาณตนนั้นพยายามสื่อสารกับเขาอยู่จริง ๆ และนั่นทำให้อังคารเริ่มจะมั่นใจมากขึ้นทุกทีว่า จินตภาพกับความฝันอันน่ากลัวทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นจุดเริ่มต้นของอะไรสักอย่างที่พัวพันกับตัวเขาอย่างแยกไม่ออก

“เฮ่ย! อื้อ!!” ในจังหวะที่เด็กหนุ่มกำลังจะเลี้ยวขวากลับเข้าสู่ถนนใหญ่อีกครั้ง จู่ ๆ ก็มีวงแขนปริศนายื่นออกมาจากหลืบเล็ก ๆ ข้าง ๆ รั้วบ้านหลังหนึ่ง ก่อนที่แขนคู่นั้นจะตวัดรวบตัวพร้อมปิดปากอังคารแล้วดูดกลืนร่างกะทัดรัดของเขาจนกลืนหายเข้าไปในเงามืด  


 *****|| TBC ||*****



ตอนที่ห้ามาแล้ว มาพร้อมกับปริศนามากมาย ชะเอิงเงย!
อย่างไรก็ดี เพียรก็น่าจะเริ่มต้นถูกที่ถูกเวลาแล้วนะคะ
ไม่งั้นรถมอเตอร์ไซค์จะล้มเป็นทิวแถวเหรอ เนอะ ๆๆๆ

ขอให้ทุกคนอ่านอย่างมีความสุขนะคะ
ชอบไม่ชอบยังไง ฝากความในใจเอาไว้ให้เราอ่านมั่งก็ดีเนอะ ^^







No comments:

Post a Comment