Wednesday, September 6, 2017

ODD EYE ตาย ตา ตื่น : 10th Glance ||06.09.17


The 10th Glance


“ทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่ยอมกินยา” หลังจากความพยายามในการซักไซ้เด็กเมื่อวานซืนนับตั้งแต่ออกจากคลินิก จวบจนกินข้าวเย็นล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า สัตยาผู้ไม่ย่อท้อก็เปิดฉากไล่บี้เด็กเมื่อวานซืนอีกครั้งทันทีที่บานประตูหน้าห้องพักถูกอีกฝ่ายไขเปิด “ว่าไง จะตอบคำถามฉันได้หรือยัง”

“ผมเหนียวตัวอ่ะ ขออาบน้ำอาบท่าก่อนไม่ได้เหรอคุณตำรวจ” จอมบ่ายเบี่ยงต่อรองฉับไวพลางเปิดไฟแล้วชิงเดินหนีเข้าด้านในห้องโดยไม่รั้งรอ

“เฮ่อออ” คนฟังทอดถอนใจพลางงับประตูปิดอย่างไม่มีทางเลือก อันที่จริง แม้สัตยาจะร้อนใจอยากรู้คำตอบจนอยู่ไม่สุข ทว่าอาการอ่อนเพลียที่เห็นได้ชัดผ่านสีหน้าอิดโรยกับท่าทางกระปลกกระเปลี้ย กอปรกับสายตาหวาดระแวงผิดสังเกตของเด็กเลี้ยงแกะยามถูกเขาขอร้องแกมบังคับให้ตอบคำถามในที่สาธารณะ ก็ทำให้คนเกิดก่อนไม่อาจเร่งรัดหรือตัดพ้อเจ้าตัวดีได้เต็มปาก แต่ในเมื่อตอนนี้พวกเขาอยู่ในที่รโหฐาน ก็ไม่มีอะไรให้ต้องหวั่นกลัวอีกต่อไปแล้ว

“ฉันจะถามนายอีกที” สัตยาเปรยเสียงเรียบพลางกอดอกมองเด็กหนุ่มที่ทำหูทวนลมเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้าชุดใหม่ขึ้นพาดบ่าหน้าตาเฉย “ถ้ายังจะดื้อไม่ตอบ นายก็อย่ามาโวยวายทีหลังแล้วกัน” ลองว่าโดนผู้พิทักษ์สันติราษฎร์สำทับพร้อมกับส่งสายตาท้าทายใส่ มีหรือเด็กที่รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดีอย่างอังคารจะไม่อินังขังขอบ

“จิ๊!” ฝ่ายที่ถูกจี้ถามชักสีหน้าทว่ากลับยอมเลี้ยวมานั่งลงตรงปลายเตียงแต่โดยดี

“ทำไมถึงไม่ยอมกินยา”

“ก็ตั้งแต่ออกจากโรงบาลผมก็ไม่เคยชักสักครั้ง แล้วผมจะกินยาไปทำไมล่ะคุณตำรวจ” อังคารยิ่งกระฟัดกระเฟียดหนักเมื่อเจ้าตัวนึกถึงสาเหตุที่น่าจะเป็นไปได้ของอาการชักเฉียบพลันที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันนี้ “ผมว่าน้องชายคุณนั่นแหละที่เป็นตัวการทำให้ผมชักจนไม่เป็นอันทำอะไรสักอย่าง แถมยังต้องมากินยาเพิ่มอีก... ไอ้เพียรนะไอ้เพียร มึงนี่มันซวยฉิบหายเลย อะไรกันนักกันหนาก็ไม่รู้!

“หมายความว่าไง แล้วขลุ่ยไปเกี่ยวอะไรด้วย” เป็นเพราะหลายปีที่ผ่านมา สัตยาพบปะผู้คนมานักต่อนัก นายตำรวจจึงแทบไม่ใส่ใจกับคำผรุสวาทก่นด่าโชคชะตาช่วงท้ายประโยคของคู่หูจำเป็นเลยสักนิด

ฝ่ายอังคารที่ได้ระบายความฉุนเฉียวไปบ้างแล้วก็ไพล่นึกตรึกตรองถึงเหตุการณ์แปลก ๆ ที่เกิดขึ้นโดยละเอียดอีกครั้ง ภาพใบหน้าซีดเซียวของเพียงออที่เขามักจะเห็นก่อนหลุดเข้าสู่โลกแห่งมโนภาพทำให้เด็กหนุ่มเริ่มจะเห็นเค้าลางของอะไรบางอย่างแจ่มชัดขึ้นเรื่อย ๆ ...

อะไรบางอย่างที่สำคัญ และดันเกิดพ้องต้องตรงกันในทุก ๆ ครั้งราวกับตั้งใจ  
อะไรบางอย่างนั่นเองที่ทำให้เขาตาสว่างในท้ายที่สุด  

“ถึงตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ผมจะฝันร้ายจนแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน แต่ผมยืนยันได้เลยนะว่า หลังผ่าตัดจนกลับมารักษาตัวที่บ้าน ผมไม่เคยชักแม้แต่ครั้งเดียว แต่พอผมเห็นน้องคุณที่หน้าโรงบาลเมื่อสามวันก่อน แล้วก็ที่ตลาดเมื่อวานซืน หรือเมื่อเช้านี้ ผมจะชักทันที แถมยังชักทุกครั้ง... ไม่มีครั้งไหนเลยที่พอเห็นเขาแล้วผมจะไม่ชัก”

พอพูดถึงอาการป่วยแบบฉับพลันของตัวเองขึ้นมา อังคารก็ลากสายตาวางประสานกับคนโตกว่าอย่างแน่วแน่คล้ายต้องการจะเน้นย้ำใจความหลักให้ยิ่งโดดเด่นเป็นพิเศษ “ที่สำคัญ หลังจากผมเผลอจ้องตาน้องคุณจนสลบไป ผมจะเห็นภาพแปลก ๆ เสมอ... ภาพพวกนั้นมันแปลกมากนะคุณ แปลกแบบที่มันไม่เหมือนกับตอนที่ผมฝันน่ะ คุณเข้าใจผมป่ะ”  

“แปลกยังไง แล้วมันไม่เหมือนกับที่นายฝันตรงไหน”

“ตอนผมฝัน ผมจะรู้สึกเหมือนกับตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่ฝันอยู่จริง ๆ ” ยิ่งเมื่อเห็นคู่สนทนาทำหน้างุนงงเพราะตามไม่ทัน อังคารก็ตั้งใจลำดับความคิดก่อนจะค่อย ๆ อธิบายอย่างช้า ๆ

“...”

“คืองี้” คนเล่าเรื่องมีสีหน้าหนักใจ เพราะจนป่านนี้ ผู้กองก็ยังไม่เห็นภาพเดียวกันกับเขาเสียที “ถ้าเกิดในฝันผมมีฝนตก ผมจะรู้สึกหนาวแล้วก็รู้สึกว่าตัวเปียกแฉะ อะไรแบบนี้น่ะ แต่พอเทียบความฝันกับสิ่งที่ผมเห็นทุกครั้งที่ผมหมดสติเพราะฝีมือน้องของคุณ ผมกลับรู้สึกว่า สิ่งที่ผมเห็นตอนนั้น น่าจะเป็นภาพของเหตุการณ์จริงที่ถูกมองผ่านสายตาของใครสักคนน่ะ” เด็กหนุ่มเลี่ยงที่จะไม่ยกตัวอย่างด้วยการสาธยายถึงสายฝนเลือดในความฝันให้สัตยาฟัง เพราะเพียงแค่กระหวัดนึกถึง เขาก็เริ่มรู้สึกผะอืดผะอมอย่างไรบอกไม่ถูก

“หืม?” แม้นายตำรวจจะแค่ส่งเสียงครางถามในลำคอ แต่สายตาคมที่ดูวูบไหวคล้ายไม่ปักใจเชื่อก็ทำให้อังคารร้อนรนได้ไม่ยากเย็น  

“ที่ผมกล้าพูดว่าสิ่งที่ผมเห็นตอนผมหมดสติคือภาพเหตุการณ์จริง ก็เพราะเมื่อวันก่อนตอนที่ผมชักในตลาด ตอนนั้นผมเห็นว่าใครสักคนกำลังใช้เชือกมัดผู้ชายคนนึงอยู่ ผมคิดว่าผู้ชายคนนั้นน่าจะหมดสติ ไม่งั้นเขาคงไม่นอนขดตัวอยู่ในกระโปรงหลังรถนิ่ง ๆ แล้วปล่อยให้คนอื่นมัดมือมัดเท้าง่าย ๆ หรอก”

“อืม” สัตยานิ่งฟังพลางลูบคางขณะใช้ความคิด

“แต่ที่ผมแน่ใจว่ามันเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นจริง ๆ ก็เพราะผมเห็นสุริยุปราคาสะท้อนอยู่บนบานกระจกท้ายรถด้วยน่ะสิ”

“สุริยุปราคางั้นเหรอ?” พอได้ยินแบบนั้น คนโตกว่าก็อดนึกถึงประสบการณ์ประหลาดที่ตนเองก็เพิ่งสัมผัสมาหมาด ๆ เมื่อช่วงเที่ยงของวานซืนไม่ได้ กระนั้นสัญชาตญาณความเป็นตำรวจอันเข้มข้นกลับทำให้สัตยาไม่อาจปักใจเชื่อในทันที

“ใช่”

“แน่ใจนะว่าไม่ได้คิดไปเอง?”

“โธ่! ผมไม่ได้คิดไปเองนะคุณตำรวจ! ผมเห็นจริง ๆ !

“ฉันรู้ แต่นายจะด่วนสรุปแบบนั้นไม่ได้” ใบหน้าบูดบึ้งกับสายตาฉุนเฉียวของอังคารไม่ทำให้สัตยาสั่นคลอน “ที่สำคัญ ต่อให้สิ่งที่นายเห็นตอนชักเป็นเรื่องจริง และต่อให้สุริยคราสที่นายเห็นมันเกิดขึ้นจริง ๆ  มันก็อาจจะไม่ใช่สุริยคราสที่เกิดขึ้นเมื่อวานก็ได้”

“...เฮ่อ!...” เด็กหนุ่มลุกลี้ลุกลนเพราะจนคำพูด แต่ความรู้สึกมั่นใจจากส่วนลึกภายในทำให้เขายังคงเลือกที่จะเชื่อฟังสัญชาตญาณของตัวเองอยู่ดี ผิดกับนายตำรวจที่เอาแต่ยึดติดกับหลักเหตุผลจนน่าหมั่นไส้

“ไหนนายลองนึกให้ดี ๆ สิว่า ตอนนั้นนายเห็นอะไรบ้าง แล้วมีหลักฐานอะไรไหมที่ช่วยยืนยันว่าภาพที่นายเห็นเกิดขึ้นเมื่อวานซืนจริง ๆ” สัตยาแสดงเหตุผลโต้กลับข้อสันนิษฐานของเด็กเมื่อวานซืนอย่างลืมตัวและนั่นก็ทำให้เส้นความอดทนของคู่สนทนาขาดผึงในบัดดล  

ไอ้ผู้กองมนุษย์ถ้ำแม่งเซ้าซี้ฉิบหาย!
เวลาก็มีเท่านั้น แถมไอ้ที่เห็นก็ดันมาแต่ภาพแต่เสือกไม่มีเสียง แล้วจะหวังอะไร ไอ้เพียรไม่ใช้กูเกิ้ล จะได้รอบรู้แม่งไปเสียทุกเรื่องนะเว่ย!

“โว้ย!” อังคารโพล่งอย่างเหลืออดก่อนจะตวัดหางตาจ้องนายตำรวจด้วยความขัดใจ “เชื่อไม่เชื่อก็เรื่องของคุณ!” พูดจบ คนเกิดทีหลังก็ผุดลุกขึ้นแล้วเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงหายเข้าห้องน้ำไป ชิ!... ก็เพราะผู้กองมนุษย์ถ้ำเป็นเสียแบบนี้อย่างไรล่ะ อังคารจึงไม่อยากจะเปิดอกเล่าเรื่องเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้ใครฟังเลยสักคน

***********

“เฮ่อ!” เป็นเพราะเด็กเลี้ยงแกะหายต๋อมเข้าห้องน้ำไปนานสองนาน ฝ่ายที่รู้ตัวว่าเผลอกวนน้ำให้ขุ่นจึงยอมอดทนเฝ้ารอเพื่อขอโทษขอโพยอีกฝ่ายด้วยความจริงใจ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปกว่าค่อนชั่วโมง ความรู้สึกกระตือรอล้นในทีแรกก็ลดลงอย่างห้ามไม่ได้ สัตยาจึงอาศัยจังหวะที่ยังว่างนั้นโทรหาเพื่อนร่วมรุ่นเพื่อสอบถามถึงคดีของเพียงออเสียเลย

(...อือ... ว่าไงมึง มีไร)

“เฮ่ย! โทษทีว่ะท็อป! มึงนอนอยู่เหรอ... งั้นไว้เดี๋ยวกูค่อยโทรมาใหม่แล้วกัน” น้ำเสียงแหบห้าว งัวเงีย อีกทั้งยังฟังขึ้นจมูกของธีทัตทำให้สัตยารู้สึกผิดที่รบกวนเวลานอนของคนป่วยขึ้นมาในบัดดล

(ไม่เป็นไรมึง กูคุยได้)

“กูเข้าเรื่องเลยแล้วกัน มึงจะได้นอนต่อเร็ว ๆ ” ยิ่งธีทิตเป็นเพื่อนที่ดีและมีน้ำใจกับเขามากเท่าไร สัตยาก็ยิ่งเกรงใจอีกฝ่ายมากขึ้นเป็นเงาตามตัว “พรุ่งนี้มึงพอมีเวลาว่างไหมวะ กูกับน้องแวะไปเจอมึงได้เปล่า กูอยากนั่งคุยกับมึงเรื่องขลุ่ยว่ะ”

แม้สัตยาจะไม่มั่นใจว่าหลังจากอาบน้ำอาบท่าจนเรี่ยมเร้เรไร ไอ้ตัวแสบผู้เป็นเบาะแสเดียวของคดีนี้จะโวยวายเล่นแง่กับตนสักกี่มากน้อย ถึงอย่างนั้น ก่อนนอนคืนนี้ นายตำรวจหนวดเฟิ้มก็ตั้งใจเอาไว้แล้วว่า เขาจะเกลี้ยกล่อมให้อังคารยอมคายความลับทั้งหมดออกมาให้จงได้ เพราะการที่เจ้าของคดีอย่างธีทัตมาลงพื้นที่อยู่ใกล้ ๆ แค่เอื้อม ย่อมช่วยให้การสืบหาเพียงออเป็นเรื่องง่ายดายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก

(โทษทีว่ะเสือ พรุ่งนี้เช้ากูต้องเข้าไปพบท่านเป็นเพื่อนนายว่ะ)

“นี่มึงกลับกรุงเทพแล้วเหรอ หรือมึงยังอยู่เพชร?” การที่คู่สนทนาสนิทสนมกับผู้บังคับบัญชาถึงขั้นต้องปลีกเวลาไปคอยติดสอยห้อยตามหัวหน้าเข้าสังคมไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะนอกจากธีทัตจะเป็นตำรวจมากฝีมือแล้ว นามสกุลเก่าแก่ของเพื่อนร่วมรุ่นผู้นี้ คือ ใบเบิกทางชั้นดีให้ต้นสายบังคับบัญชาสามารถผูกสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ได้เสียอีก ทว่าเหตุที่เขาถามซอกแซก นั่นก็เพราะสัตยาอดเป็นห่วงธีทัตในสภาพไม่เต็มร้อยไม่ได้  

(ตอนนี้กูอยู่บ้านที่กรุงเทพ)

“เหรอวะ”

(เออ นายเขาโทรหากูหลังจากที่เจอมึงที่คลินิกอ่ะ พอคุยเสร็จกูเลยฝืนขับรถกลับบ้านเลยเพราะกูอยากนอนพักยาว ๆ พรุ่งนี้จะไม่ได้เบลอ... นี่ก็เพิ่งได้นอนไปไม่กี่ชั่วโมงเองว่ะ) 

“โทษ ๆ ! กูไม่รู้ งั้นกูวางก่อนแล้วกัน” ได้ยินแบบนั้น สัตยาก็ไม่มีแก่ใจชวนคนป่วยให้ฝืนคุยได้ลงคอ

(ไว้เดี๋ยวเที่ยง ๆ พรุ่งนี้กูโทรหามึงอีกทีนะเสือ)

“ได้ ๆ ไว้ค่อยคุยกัน” แม้สัตยาจะยังไม่สิ้นหวังกับการตามหาคนหาย ทว่าจังหวะที่ต้องจำใจวางสายจากธีทัต ความรู้สึกห่อเหี่ยวก็คืบคลานเข้ามากัดกินหัวใจของชายหนุ่มโดยไม่ทันห้ามปราม...

ทำไมอะไร ๆ ถึงไม่เป็นใจให้พี่เจอขลุ่ยเสียทีนะ

ทว่าก่อนที่นายตำรวจจะจมดิ่งลงในห้วงความคิดจนยากจะถอนตัว ไอ้ตัวแสบที่เขาเพิ่งบ่นหาก็เดินหน้าตึงออกมาจากห้องน้ำจนได้ เห็นดังนั้น สัตยาก็ไม่โยกโย้ให้มากความ “ขอโทษ”

“...” เด็กเลี้ยงแกะที่ขัดสีฉวีวรรณจนใบหน้าผ่องใสเลิกคิ้วมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าแปลกใจราวกับไม่เชื่อหูตัวเอง... รู้ตัวด้วยเหรอว่าทำอะไรเอาไว้?  

“เมื่อกี๊ที่ถามเยอะ ไม่ใช่เพราะไม่เชื่อ แต่เพราะฉันเป็นห่วงขลุ่ยจนอยากแน่ใจว่าสิ่งที่ได้ยินเป็นเรื่องจริง”

“...” นอกจากการได้ยืนบ่นคนเกิดก่อนอยู่ใต้ฝักบัวจนตัวเปื่อยแล้ว การได้รู้ว่าสัตยาเชื่อทุกสิ่งที่ตนพูดก็ทำให้อังคารอารมณ์ดีขึ้นมาก กระนั้น เด็กหนุ่มกลับวางมาดนิ่งเฉยพลางเดินเลยคู่สนทนาเพื่อไปตากผ้าเช็ดตัวที่ราวด้วยสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ฝ่ายผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่เห็นท่าทีเพิกเฉยดังนั้น จึงอาศัยการเลียบ ๆ เคียง ๆ เลี่ยงคุยเรื่องอื่นเพื่อตะล่อมให้เด็กเลี้ยงแกะหลวมตัวยอมสนทนาด้วยอีกครั้ง

“ผิวบางเหมือนกันนะเรา ดูสิ แขนช้ำหมดแล้ว” สัตยาไม่พูดเปล่า หากแต่ยังพยักเพยิดให้อังคารมองจ้ำสีเขียวอมม่วงขนาดเท่าผลมะนาวตรงข้อพับแขนของเจ้าตัว  

“อือ ตอนโดนเจาะแขนให้น้ำเกลือผมก็ช้ำเป็นดวง ๆ แบบนี้แหละ” เมื่อลองสังเกตดี ๆ จะพบว่า ตรงใจกลางของจ้ำสีเขียวที่ทั้งสองกำลังพูดถึงนั้น ปรากฏจุดสีแดงเข้มอันเป็นผลจากการเจาะเลือดเมื่อตอนบ่ายแต้มอยู่ อังคารปรายหางตามองมันอย่างไม่ใส่ใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินเลี่ยงไปนั่งแกว่งขาตรงปลายเตียง

“ขอโทษนะที่ทำเหมือนไม่เชื่อกัน” ท่าทีเป็นมิตรกับการโต้ตอบของเด็กหนุ่มทำให้คนฟังใจชื้นขึ้นอีกโข “ฉันคงติดนิสัยตำรวจมามากไปเลยเผลอทำเหมือนกำลังสอบสวนนาย แต่ฉันเป็นห่วงขลุ่ย ฉันเลยอยากจะรู้ทุก ๆ อย่างแล้วก็อยากจะแน่ใจเร็ว ๆ ”  

“อือ ผมเข้าใจ ถึงผมจะตัวคนเดียว แต่ถ้ามีน้อง... ผมก็คงจะเป็นห่วงเขามากเหมือนกัน”

“ถ้างั้นนายช่วยเล่าให้ฉันฟังอีกทีได้ไหมว่าตอนชัก นายเห็นอะไรบ้าง”

“หึ! ไม่อ่ะ” อังคารส่ายหัวดิกก่อนจะเปลี่ยนมาเล่นบทเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียเอง “คราวนี้ตาคุณเล่าเรื่องคุณกับขลุ่ยให้ผมฟังบ้าง เอาเป็นว่าถ้าคุณยอมเล่า ผมก็จะบอกคุณเรื่องของผมเหมือนกัน” หลังจากเล่นเกมจ้องตากันพักใหญ่ ๆ สายตาแน่วแน่ ไม่แปรผันหรือสั่นไหวของเด็กเมื่อวานซืนก็ทำให้สัตยายอมจำนนเพราะไม่อยากถ่วงเวลาให้ช้ายิ่งไปกว่านี้

“ก็ได้ ฉันยอม” เจ้าของประโยคยกมือเสมอไหล่แสดงความพ่ายแพ้ ท่าทางดังกล่าวเรียกรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของคู่สนทนาได้ในพริบตาเดียว

“คุณกับขลุ่ยรู้จักกันได้ไง”

“ฉันจับตาของขลุ่ยเข้าคุก แต่สำนวนฟ้องยังส่งไม่ถึงศาล ตาขลุ่ยก็เสีย ฉันเลยดูแลขลุ่ยกับยายแทนตา” สัตยารวบรัดเรื่องราวจนสั้นกุด เพราะไม่อยากให้เจ้าตัวแสบขุดลึกถึงต้นตอของปัญหาที่แท้จริง ทว่ามีหรือที่คนขี้สงสัยจะให้ความร่วมมือง่าย ๆ  

“แต่ที่คุณทำ ก็เพราะคุณเป็นตำรวจ ตำรวจก็ต้องจับผู้ร้ายตามหน้าที่อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” อังคารขมวดคิ้วพลางนิ่งนึกอยู่อึดใจแล้วจึงเปรยด้วยความฉงนสนเท่ห์ “ถ้าตำรวจจับคนร้ายแล้วต้องตามไปดูแลครอบครัวเขา ผมว่าคุณเลิกเป็นตำรวจเถอะ ลำบากเปล่า ๆ ”

“ฉันก็ไม่ได้ทำแบบนั้นกับทุกคนเสียหน่อย”

“อ๋อเหรอ ผมก็นึกว่าบ้านคุณเปิดสถานสงเคราะห์เพื่อดูแลครอบครัวคนร้ายโดยเฉพาะเสียอีก แต่คุณนี่ก็เหลือเกินนะ... ทำไมถึงเลือกปฏิบัติแบบนี้ล่ะ ...หรือว่า... ” อังคารชะงักค้างก่อนจะทำหน้ากรุ้มกริ่มคล้ายตั้งใจล้อเลียนอีกฝ่ายอยู่ในที “จริง ๆ แล้วคุณแอบชอบขลุ่ยใช่ป่ะ พอตาเขาเสียคุณเลยอาสาเข้ามาดูแลครอบครัวเขาเพื่อที่คุณจะได้คอยเต๊าะเขาง่าย ๆ ” สิ้นคำ เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมก็ยักคิ้วหลิ่วตาทำหน้ารู้มากใส่สัตยาเสียยกใหญ่

“เฮ่อ” ฝ่ายผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย... นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเพียงออผูกติดกับอีกฝ่าย เชื่อเถอะว่าเขาไม่มีวันเปิดประเด็นถึงเรื่องราวในอดีตจนโดนเด็กน้อยผู้ไม่รู้ประสีประสาเที่ยวไล่ต้อนเขาอยู่ฝ่ายเดียวหรอก

“... ฮั่นแน่! ผมเดาถูกใช่ไหมล่ะ... เอาน่า ยอมรับมาตรง ๆ เถอะคุณตำรวจ รับรอง ผมไม่ปากโป้งเอาเรื่องของคุณไปขายหรอก” คนพูดจอมแก่แดดพยายามหว่านล้อมนายตำรวจอย่างไม่ลดละ “เชื่อดิ ถ้าคุณยอมบอกผมนะ คุณไม่โดนสอบเหมือนตำรวจที่ประกาศแต่งงานกับแฟนหนุ่มคนนั้นแน่ ๆ ให้ผมสัญญาต่อหน้าพระเลยก็ได้!

“ฉันไม่ได้ชอบขลุ่ย”

“แล้วไปช่วยเขากับยายทำไม เงินเดือนตำรวจมันเหลือกินเหลือใช้หรือไงคู้ณณณ”

“...”

“ช่างเถอะ จริง ๆ ผมก็ไม่ได้อยากรู้อะไรนักหรอก ที่ถามเพราะผมแค่อยากกวนตีนคุณตำรวจเฉย ๆ ” ขณะที่สัตยากำลังชั่งใจว่าจะเผยปูมหลังความสัมพันธ์ระหว่างตนกับเพียงออดีหรือไม่ เด็กหนุ่มกลับเป็นฝ่ายอ่านสายตาขุ่นมัวกับสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของคนโตกว่าได้อย่างทะลุปรุโปร่ง... แหม ก็ใช่ว่าอีตาผู้กองมนุษย์ถ้ำจะมีความลับอยู่คนเดียวเสียเมื่อไร

“อ่ะ ๆ ไหน ๆ คุณก็ยอมเล่าเรื่องของคุณกับขลุ่ยให้ผมฟังแล้ว คราวนี้ผมก็จะเล่าเรื่องที่มันน่าจะเกี่ยวข้องกับขลุ่ยให้ฟังบ้างแล้วกัน”  
.
.
.
.
หลังจากได้รับโอกาสอีกครั้ง สัตยาก็ตั้งใจฟังอีกทั้งยังหมั่นซักถามอังคารในทุก ๆ ประเด็นโดยไม่ล้ำเส้นที่อีกฝ่ายขีดไว้ เช่นเดียวกับที่เด็กหนุ่มไม่ละลาบละล้วงถึงอดีตอันขมขื่นของเขาในตอนต้นของบทสนทนา ความรู้สึกสบายใจทำให้คนเกิดทีหลังพรั่งพรูสิ่งที่อัดอั้นอยู่ภายในใจออกมาทั้งหมด กระทั่งความฝัน หรือแม้แต่เหตุการณ์ชวนขนหัวลุกชันทั้งหลาย อังคารก็ไม่ปล่อยปละละเลย

“แล้วนายคิดออกหรือยังว่า ภาพที่นายเห็นเมื่อเช้าคือภาพอะไร”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ผมสังหรณ์ใจว่าผู้ชายที่โดนหิ้วปีกคนนั้นต้องมีปัญหาแน่ ๆ ”

“อืม เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะลองโทรคุยกับไอ้ท็อปดูอีกที เผื่อว่ามันจะนึกอะไรออกบ้าง” ในเมื่อไม่ได้ข้อสรุป สามหัวช่วยกันย่อมต้องดีกว่ามันสมองแค่สองหัวของพวกเขาอยู่แล้ว

“คุณ”

“ว่าไง”

“เพื่อนคุณที่ชื่อท็อปเขาเป็นคนยังไงเหรอ” ไม่รู้อะไรดลใจ แต่กว่าจะรู้สึกตัว อังคารผู้ไม่เห็นหัวผู้ใดก็เผลอไผลถามไถ่ถึงบุคคลน่าสงสัยเมื่อตอนบ่ายเข้าเสียแล้ว

“ไอ้ท็อปมันนิสัยดี ไว้ใจได้ แถมยังเป็นตำรวจที่เก่งมาก ไม่งั้นฉันคงไม่ฝากให้มันช่วยตามหาขลุ่ยอีกแรงหรอก”

“...เหรอ... แต่เขาดูแปลก ๆ ยังไ... เฮ่ย!” พูดยังไม่ทันขาดคำ วิญญาณของบุคคลที่สามที่ถูกพาดพิงไม่ขาดปากก็ปรากฏกายขึ้นตรงหน้าจนอังคารตกใจจนอ้าปากค้าง และก่อนที่เจ้าตัวจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เด็กหนุ่มก็ถูกอาการชักเล่นงานจนล้มตึงหงายหลังผึ่งกระแทกที่นอน

“เฮ่ยไอ้หนู!” สัตยาที่แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อเห็นเจ้าตัวแสบหน้าซีดด้วยความตระหนกก่อนจะทิ้งตัวใส่ฟูกเสียงดังลั่น เขาก็ปราดเข้าไปดูอาการของอีกฝ่ายทันที “ไอ้หนู! ไอ้หนู!... โธ่เพียร!... ไม่เอาน่า อย่าชักบ่อย ๆ แบบนี้สิ”

“พี่เสือ”

“ขลุ่ย?
! น้ำเสียงนุ่มนวลผิดวิสัยของเด็กปากเสียผู้ที่ถูกเขาประคองอยู่นั้นทำให้สัตยาแยกแยะได้ทันทีว่าใครเป็นใคร

“พี่เสือห้ามทิ้งเพียรให้อยู่คนเดียวเด็ดขาดนะครับ” เพียงออกสั่งความพลางบีบแขนนายตำรวจเสียแน่นคล้ายกับต้องการเน้นย้ำคำพูดของตัวเอง

“ทำไมล่ะขลุ่ย?”

“...”

“ขลุ่ย! เดี๋ยวสิขลุ่ย! ลุกมาคุยกับพี่ให้รู้เรื่องก่อน!

นอกจากจะไม่ตอบคำถามแล้ว ดวงวิญญาณของเพียงออยังทิ้งร่างอังคารไว้เบื้องหลังเสียอีก ทว่าก่อนที่สัตยาจะว้าวุ่นใจจนประคองสติไม่อยู่ เด็กเลี้ยงแกะก็สะดุ้งตัวโยนก่อนจะละล่ำละลักสิ่งที่ตนเพิ่งเห็นในมโนภาพให้นายตำรวจได้รับฟังอย่างหมดเปลือก “เมื่อกี๊ผมเห็นใครก็ไม่รู้กำลังเตรียมมีดผ่าตัดอยู่... แล้วก็... แล้วก็ ผู้ชายคนที่ผมเห็นเมื่อเช้านอนสลบอยู่บนเตียงผ่าตัด! มันกำลังจะผ่าเขา! ผู้ชายคนนั้นกำลังจะตาย!

“ฮะ?!” แม้จะมีสติครบถ้วน แต่การพลิกผันรวนเรของสถานการณ์ตรงหน้าส่งผลให้นายตำรวจจับต้นชนปลายไม่ถูก

“แล้วก็คุณ!... ผมนึกออกแล้วนะว่าไอ้คนที่ฆ่าขลุ่ยมันชื่ออะไร!” อังคารพักหอบหายใจพลางมองหน้าสัตยาด้วยสายตามีความหวัง สิ่งที่เขาเพิ่งเห็นในมโนภาพ กระตุ้นเตือนความทรงจำระยะสั้นที่หล่นหายไปกับเศษเสี้ยวความฝันให้หวนคืนในท้ายที่สุด “วิน... ฆาตกรคนนั้นมันชื่อวิน ผมเคยได้ยินขลุ่ยเรียกชื่อมันในฝัน”

“แน่ใจนะ ไม่ได้จำผิดใช่ไหม?” ต่อให้บางเสี้ยวความคิดของสัตยาจะคัดค้านเรื่องเล่าของอังคาร แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้ารับรองอย่างหนักแน่น คนเกิดก่อนก็ต่อสายหาตำรวจเจ้าของคดีทันที

“รับซี่ไอ้ท็อป... รับเร็ว ๆ ”

เป็นอีกครั้งที่สัตยาต้องผิดหวัง เพราะแทนที่จะได้คุยกับธีทัต เสียงโต้ตอบของข้อความอัตโนมัติก็บอกให้ชายหนุ่มรู้ว่าเจ้าของเบอร์ได้ตัดช่องทางการสื่อสารของค่ำคืนนี้ลงอย่างสิ้นเชิง

“เฮ่อ! นอนแล้วเหรอ”

“เพื่อนคุณนอนแล้วเหรอ?”

“ช่างเถอะ ไม่เป็นไร เดี๋ยวไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยโทรหามันอีกทีก็ได้” เจ้าของประโยคเลิกคิดถึงเพื่อนร่วมรุ่นด้วยเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงจะกำลังนอนซมเพราะพิษไข้ เมื่อตระหนักว่าตนไม่สามารถควบคุมทุกอย่างให้เป็นดั่งใจ สัตยาจึงพยายามซุกซ่อนความร้อนรุ่มเอาไว้ภายใต้สีหน้าราบเรียบก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับคนป่วยใกล้ ๆ ตัวแทน “นายก็เหมือนกัน ไปนอนได้แล้วไป”

“...” อังคารไม่วายโต้แย้งคำสั่งดังกล่าวด้วยสายตา คนโตกว่าจึงอธิบายด้วยเหตุผลที่ทำให้หางตาของเด็กหนุ่มกระตุกด้วยความหงุดหงิดอยู่พักใหญ่ ๆ

“ต่อให้นายจะไม่กินเหล้าหรือไม่เครียด แต่ถ้าขืนนายยังนอนดึก นายก็ยังจะชักอยู่ดี เพราะฉะนั้น ถ้าไม่อยากชักก็รีบนอนได้แล้ว อย่าดื้อ”

***********

ร่างสูงใหญ่กรุ่นกลิ่นน้ำยาทำความสะอาดฉุนกึกที่กำลังทิ้งตัวลงนั่งด้วยความเหนื่อยอ่อนชะงักนิดหนึ่งเมื่อเห็นสิ่งผิดปกติวางอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือข้าง ๆ เตียง เขาถอนหายใจยาวหลังจากแน่ใจแล้วว่า สิ่งผิดปกติดังกล่าว คือ แฟ้มกระดาษแข็งสีหม่นที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในสถานพยาบาล

“หึ!” มีส่งเสียงเหยียดหยันดังขึ้นเบา ๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะเอื้อมมือไปหยิบแฟ้มตรงหน้า...

เชื่อเถอะ ต่อให้เขาไม่เปิดมันอ่าน ชายหนุ่มก็พอรู้ว่า ด้านในได้รวบรวมเอกสารหลายแผ่นที่บ่งบอกข้อมูลเกี่ยวกับร่างกายของผู้ป่วยคนหนึ่งเอาไว้โดยละเอียด... ข้อมูลของผู้ป่วยที่กำลังจะกลายมาเป็นตัวทำเงินให้กับพวกเขาในอีกไม่ช้า

“เฮ่อ!” ชายหนุ่มไม่ปฏิเสธว่าพักหลัง ๆ งานที่เขาต้องรับผิดชอบชักจะน่าเบื่อขึ้นทุกที ๆ ยิ่งเมื่อต้องสูญเสียคนที่เขารักที่สุดไปเพราะนิสัยวู่วามของตัวเองแล้วด้วย ทุก ๆ อย่างก็ยิ่งดิ่งลงเหว แต่ในเมื่อเขาถูกกำหนดมาให้ทำงานนี้โดยไม่อาจหลีกหนีชะตาตัวเองได้ ความรู้สึกสะอิดสะเอียนที่เกิดขึ้นในใจก็สู้กับความจำเป็นที่บีบคั้นตัวเขาไม่ได้อยู่ดี

คิดได้ดังนั้น ชายหนุ่มจึงเปิดแฟ้มในมือเพื่อศึกษารายละเอียดของงานชิ้นใหม่ตามหน้าที่ทันที

“หืม?!” สิ่งที่ทำให้เจ้าของร่างสูงผึ่งผายหลุดปากอุทานด้วยความประหลาดใจ คือ โน้ตใบเล็ก ๆ ที่มีใจความว่า...

ถ้ากูเอาตาข้างที่หายไปกลับมาคืนมึงได้ มึงจะเลิกบ้าไหมไอ้วิน?


 *****|| TBC ||*****



เป็นครั้งแรกเลยที่เราได้รับคอมเมนท์ว่า ค้าง เกือบทุกตอนที่ลงนิยาย
บอกไม่ถูกจริง ๆ ว่ารู้สึกยังไง ครั้นจะพูดว่าดีใจ ไอ้ความรู้สึกผิดก็ดันค้ำคอไปเสียอีก
เอาเป็นว่า อ่านแล้วชอบไม่ชอบยังไง ก็มาคุยกันนะคะคนดีของเรา
ขอให้ทุกคนมีความสุขในการอ่านค่ะ ^_^  



No comments:

Post a Comment