Wednesday, August 9, 2017

ODD EYE ตาย ตา ตื่น : 6th Glance ||09.08.17


The 6th Glance

“อ่อยยยย!!!” เมื่อตระหนักว่าตนเองอยู่ห่างไกลจากเขตพลุกพล่านในย่านชุมชนมากขึ้นทุกที อังคารก็ยิ่งแผลงฤทธิ์ แหกปากกรีดร้อง สะบัดตัวดีดดิ้นไม่หยุด กระนั้นการโดนรวบกอดอีกทั้งยังถูกปิดปากเสียแน่นก็ทำให้ความพยายามเอาตัวรอดทั้งหลายแทบไร้ประโยชน์ หนำซ้ำยิ่งเขาขัดขืนมากเท่าไร คนร้ายก็ยิ่งออกแรงฉุดกระชากหนักมือขึ้นเป็นเงาตามตัวเช่นกัน “อ้วยอ้วยยย!!! อ้วยอ้วยยยยย!!

“ถ้าอยากให้ปล่อยก็อยู่นิ่ง ๆ ห้ามร้อง เข้าใจไหม?”

“...” ข้อเสนอที่กรอกอยู่ข้างหูทำให้เด็กหนุ่มสงบลงทันตา แน่นอนว่าถ้าโอกาสมาถึงแล้วไม่คว้าไว้ ก็อย่าเรียกเขาว่าไอ้เพียรให้เสียชื่อ

“ห้ามร้อง ห้ามดิ้น โอเคนะ”

“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่... อุ๊บ! อ้วยย อ้วยอ้วยยยยย!!”  ทันทีที่ฝ่ามือใหญ่เลื่อนห่างจากใบหน้า คนโดนจับก็แผดเสียงแปดหลอดร้องเรียกหาพลเมืองดีพลางขุดท่าไม้ตายมาทำร้ายอีกฝ่ายโดยพลัน กระนั้นจังหวะที่อังคารเหวี่ยงส้นหมายจะตอกใส่หน้าแข้งของคนร้าย เขากลับโดนอีกฝ่ายรวบตัวพร้อมปิดปากในท่าแรกเริ่มอีกคำรบ

“เฮ่อ! นายนี่มันจริง ๆ เล้ย!” อิสรภาพที่ได้สัมผัสเพียงเสี้ยววินาทีถูกลิดรอนไปอีกครั้งหลังจากอังคารฝ่าฝืนข้อตกลง ดังนั้นแทนที่จะได้พูดคุยกันดี ๆ ฝ่ายที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคนร้ายจึงจำใจสนทนากับเด็กหนุ่มในสภาพโจรเรียกค่าไถ่ไปพลาง ๆ “มาทำอะไรที่นี่?”

“อ่อยยยย!” คนถูกถามขยับตัวยุกยิกก่อนจะพยายามเบือนหน้าหันกลับไปมองเจ้าของเสียงปริศนา รู้ดังนั้น อีกฝ่ายจึงโน้มคอลงชะโงกหน้าข้ามไหล่คนในอ้อมกอดมาแสดงตัว

“ว่าไง มาทำอะไรที่นี่ ฮึไอ้หนู?”

“?!?”

เฮ่ย! ไอ้ตำรวจบ้าอำนาจมันโผล่มาได้ไงเนี่ย?!!

“อ่อยยยยยยยยย!!

“ฉันปล่อยนายก็ได้ แต่นายต้องตอบคำถามฉันดี ๆ แล้วก็ห้ามทำเสียงดังอีก ฉันหนวกหู ตกลงไหม?” สัตยาไม่ได้เกรงกลัวหน้าตาถมึงทึงกึ่งอาฆาตของอังคาร แต่ขืนเขาปิดปากอีกฝ่ายนานกว่านี้ มีหวังเด็กเลี้ยงแกะคงหงุดหงิดจนขาดใจตายก่อนจะคุยกันรู้เรื่องเป็นแน่ ทว่าสายตาลอกแลกของคู่กรณีก็ทำให้ผู้กองหนุ่มจำต้องปรามทิ้งท้าย “แต่ถ้าขืนนายยังดื้อ พูดจาไม่รู้เรื่อง ก็อย่าหาว่าฉันใจร้ายทีหลังแล้วกัน”

ดูเหมือนคำขู่จะกำราบอีกฝ่ายเสียอยู่หมัด เพราะสีหน้าเกรี้ยวกราดของเด็กหนุ่มกลับอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด สัตยาจึงไม่เล่นเกมให้เสียเวลา แต่ทันทีที่เป็นอิสระ อังคารก็ชี้หน้าพลางตวาดคนโตกว่าเต็มเสียง

“ไอ้ตำรวจบ้า! ทำแบบนี้มันรังแกประชาชนชัด ๆ !” ด่าเสร็จสมใจ เด็กหนุ่มก็ท้าชนกับผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างไม่ยอมกัน “ปล่อยผมเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ปล่อย ผมจะตะโกนเรียกให้คนช่วย!” อังคารวางโตขณะพยายามแงะนิ้วที่กำรอบข้อมือตัวเองออกเป็นพัลวัน แต่มีหรือที่สัตยาจะหวั่นไหว

“แล้วคิดไหมว่าฉันลากนายมาที่นี่ทำไม?” นายตำรวจเลิกคิ้วพลางพยักเพยิดให้คู่สนทนาประเมินสถานการณ์ตรงหน้าอีกครั้ง “เอาสิ อยากตะโกนก็ตะโกนให้เต็มที่เลย ไว้นายหมดแรงเมื่อไร เราค่อยคุยกันตอนนั้นก็ได้” สัตยาสำทับด้วยสีหน้าท้าทาย

“...” อังคารลอบกลืนน้ำลายเมื่อตระหนักถึงสถานะของตัวเองอย่างถ่องแท้ เพราะจนถึงตอนนี้ นอกจากเด็กหนุ่มจะไม่เห็นผู้คน หรือยวดยานสัญจรผ่านไปมาแล้ว บรรยากาศโดยรอบบริเวณที่พวกเขายืนอยู่ยังเงียบงันราวกับป่าช้า  

“นายรู้จักผู้ชายคนนี้ไหม?” ขณะที่เด็กเลี้ยงแกะหันรีหันขวางพลางทำหน้าเจื่อนอยู่นั้น สัตยาก็วกเข้าหัวข้อที่ต้องการจะถกพร้อมกับควานหามือถือในกระเป๋ากางเกงเพื่อใช้ประกอบการสนทนา แต่ฝ่ายที่มีแต้มต่อน้อยกว่าก็ยังจะรั้นเอาเท้าราน้ำมันร่ำไป

“เฮ่ย ๆ นั่นคุณจะทำอะไรน่ะ? ล้วงอะไร? ล้วงหาอะไร?!” ไม่พูดเปล่า เด็กหนุ่มยังป้องปากตะโกนไม่หยุด “ไฟไหม้! ไฟไหม้! ใครก็ได้ช่วยด้วย ไฟไหม้!! ได้ยินดังนั้น สัตยาจึงกระชากข้อมืออีกฝ่ายจนเสียหลักเซเข้าหาตัวแล้วเปรยเสียงเรียบหากแต่เด็ดขาดดุดัน

“ถ้านายตอบคำถามฉันครบทุกข้อ ฉันจะยอมปล่อยนายไป... แต่ถ้าไม่ นายต้องไปกับฉัน”
“ผมไม่ตอบ แล้วผมก็ไม่ไปไหนทั้งนั้น!
“หึ! ถ้าคิดว่าทำได้ก็ลองดู!
“เฮ่ยคุณ! ปล่อยผมนะเว่ย!!

เด็กหนุ่มที่เชิดหน้าท้าทายอยู่เมื่ออึดใจก่อนกลับร้องโหวกเหวกเสียงหลงเมื่ออยู่ ๆ ก็โดนคุณตำรวจรวบเอวเข้าอีกครั้ง แต่ก่อนที่อังคารจะโดนอุ้มขึ้นพาดบ่า เสียงเรียกเข้าที่ฝ่ายผู้รักษากฏหมายตั้งให้หมายเลขหนึ่งโดยเฉพาะก็ส่งเสียงดังขึ้นกลางปล้องจนสัตยาชะงักงัน

สัตยาไม่เคยลืมว่ามันเป็นเสียงเรียกของใคร
ยิ่งเมื่อเสียงนั้น คือ เสียงเรียกเดียวที่เคยโทรหาเขาทุกวันจนน่าเบื่อหน่ายก่อนที่มันจะหายไปในช่วงกว่าสองเดือนให้หลัง... เสียงเรียกของเพียงออ

“ขลุ่ย?!” ผู้กองหนุ่มละความสนใจจากเด็กดื้อแล้วเหลือบดูรูปของเพียงออบนหน้าจอมือถือเพื่อความแน่ใจ ทว่าก่อนที่ปลายนิ้วจะสัมผัสปุ่มรับสาย หน้าจอก็ดับลงจนเจ้าของเครื่องร้อนรน “โธ่โว้ย! ทำไมต้องดับเอาตอนนี้ด้วยวะ!” สัตยาเดินพล่านเป็นหนูติดจั่น ชายหนุ่มกระหน่ำกดปุ่มปฏิบัติการจำนวนหยิบมือสลับกันไปมาพลางพึมพำไม่ขาดปากเหมือนคนสติหลุด “ติดสิวะ ติดซี่ ติด ติด!!!”  

“พอเถอะคุณ เดี๋ยวเครื่องก็พังหรอก” จากที่คอยภาวนาให้มีจังหวะหลบหนี แต่พอสบโอกาสเข้าจริง ๆ อังคารกลับยืนนิ่งไม่ไปไหน

“ติดสักทีสิวะ! ติดดิวะ! 

“คุณ... พอเถอะ!” เด็กหนุ่มปราดเข้าไปกระชากข้อมือนายตำรวจก่อนจะให้สติด้วยข้อมูลที่ตนรู้ดีมากกว่าใคร ๆ “ต่อให้เครื่องคุณใช้ได้แล้วโทรกลับไป เขาก็รับโทรศัพท์คุณไม่ได้หรอก”

“หมายความว่าไง?”

“คุณอยากรู้ใช่ไหม งั้นผมจะเล่าให้ฟัง” เป็นเพราะรูปบนหน้าจอนั่นแท้ ๆ ที่รั้งให้อังคารเปลี่ยนใจ แถมยังยอมเปิดอกพูดคุยกับอีกฝ่ายแต่โดยดีในท้ายที่สุด  

***********

(...มึงหาเรื่องให้กูอีกแล้วนะวิน กูบอกกี่ทีแล้วว่าอย่าฆ่าคนเพราะอยากฆ่า ศพที่ขายได้แค่ตาแม่งปัญหาโคตรเยอะ! หึ! แต่มึงจะรู้อะไรอ่ะ มึงไม่ได้โดนนายด่าจนหูชาเหมือนกูหนิ)

นานหลายนาทีแล้วที่ชายหนุ่มปล่อยให้คู่สนทนาปลายสายระบายความอัดอั้นตันใจผ่านลำโพงโทรศัพท์มือถือโดยไม่โต้ตอบ เพราะจวบจนถึงตอนนี้ ยังคงไม่มีสิ่งไหนจะดึงดูดความสนใจของเขามากไปกว่าการเฝ้ามองดวงตาสีน้ำตาลอมเขียวที่ลอยคว้างอยู่ในขวดแก้วใสไปพร้อม ๆ กับการเฝ้านึกถึงเจ้าของดวงตาคู่นั้นที่ไม่มีวันหวนกลับ

(คราวก่อนกูอุตส่าห์ให้ตามึงไปข้างนึง มึงยังไม่พอใจอีกหรือไง? แล้วที่กูบอกให้มึงอยู่เฉย ๆ ห้ามออกไปไหนจนกว่าเรื่องจะซา ทำไมถึงไม่เคยฟัง? จะให้โดนจับกันหมดก่อนหรือไงมึงถึงจะสำนึก? ฮะวิน?!)

“...”

(วิน กูถามทำไมไม่ตอบ? ไอ้นิสัย!)

“ครับ” กับคนอื่น เขาจะดื้อแพ่งสักแค่ไหนก็ได้ แต่กับคนปลายสายที่เห็นไส้กันมาครบทุกขดแล้วล่ะก็ ชายหนุ่มไม่คิดจะเสี่ยงงัดข้อด้วย “ขอโทษครับ”

(มึงก็รู้ใช่ไหมวินว่าห้ามฆ่าถ้าไม่มีใบสั่ง ศพที่สองแล้วนะมึง เป็นบ้าไปแล้วหรือไง?)

“เปล่าครับ” เขาไม่ได้บ้า เขาแค่คิดถึงเพียงออจนทนไม่ไหว แล้วไอ้ความคิดถึงนี่แหละที่ทำให้ชายหนุ่มไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอยเท่าที่ควร

(ถ้ามึงยังไม่รีบหาย กูจะบอกนายให้เพิ่มชั่วโมงงานให้มึง มึงจะได้เห็นเลือดจนเอียน จะเอาอย่างนั้นไหมล่ะ?)

“ไม่ครับ ผมขอโทษครับ” ค่าที่รู้ว่าอีกคนที่อยู่ปลายสายไม่เคยล้อเล่น จึงไม่แปลกหากสิ่งที่เพิ่งได้ยินจะทำให้ชายหนุ่มสำนึกผิดได้ทันตา “ผมจะไม่ทำอีกแล้วครับ”

(เออ! อย่าให้มีศพที่สามโผล่มาเชียวนะมึง เพราะกูจะไม่คอยตามแก้ปัญหาให้มึงอีกแล้ว เข้าใจไหม?)

“ครับ”

เมื่อได้ฟังคำตอบที่พอใจ คู่สนทนาก็กดตัดสายโดยไม่ใยดี ฝ่ายตัวเขาที่โดนกำชับแกมบังคับอย่างเข้มงวดซ้ำอีกครั้ง ก็ได้แต่ลูบคลำของที่ระลึกชิ้นสุดท้ายจากชายผู้เป็นที่รักต่างเครื่องปลอบประโลมใจให้ผ่านพ้นช่วงเวลาอันเปลี่ยวเหงาไปได้โดยไม่รู้สึกทุรนทุรายจนเกินไปนัก “ขลุ่ยครับ พี่คิดถึงขลุ่ยนะครับ”

***********

“ว่าไง เมื่อไรจะเลิกยึกยักเสียที?” สัตยาเหน็บคนที่ก้มหน้าก้มตาละเลียดหอยทอดคำสุดท้ายด้วยท่าทางน่าหมั่นไส้... ใจคอเด็กนี่จะอ้อยอิ่งไปถึงไหน ไม่เห็นหรือไงว่าเขาจวนจะอกแตกตายอยู่รอมร่อแล้ว

“ก็ผมกำลังจะบอกคุณอยู่นี่ไง!” อังคารดูดน้ำปั่นเสียเต็มปากเต็มคำจนเผลอนิ่วหน้าเมื่อความเย็นไม่ปรานีเส้นประสาทรับความรู้สึกเลยสักนิด “อูย จี๊ดเลย ปวดหัวจี๊ดเลย”

“เลิกเล่นแล้วตอบฉัน!” ผู้กองหนุ่มพยายามหักห้ามใจอย่างหนักที่จะไม่เอื้อมมือข้ามโต๊ะไปกระชากคอเด็กเมื่อวานซืนขึ้นมาเขย่าให้หยุดพิรี้พิไร “นายรู้จักขลุ่ยได้ยังไง? ว่ายังไง นายกับขลุ่ยรู้จักกันได้ยังไง?”

“อ่ะ ๆ ผมจะยอมบอกคุณก็ได้ แต่มีข้อแม้นะว่า...” อังคารลากหางเสียงพลางเชิดหน้ามองคนโตกว่าอย่างยียวนจนอีกฝ่ายทนรอไม่ไหว

“ว่าอะไร?” หลังจากสองเดือนที่คว้าน้ำเหลวอย่างต่อเนื่อง เงื่อนไขใด ๆ ของคู่สนทนาจึงแทบจะไม่เป็นปัญหาต่อสัตยาทั้งสิ้น ดังนั้น ต่อให้อีกฝ่ายจะขอเดือนขอดาวเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับข่าวคราวของเพียงออ เขาก็จะพยายามหามาประเคนให้ “ข้อแม้ของนายคืออะไร?”

“ผมจะเล่าทุกอย่างให้คุณฟัง ขออย่างเดียว ห้ามหาว่าผมเป็นบ้าเด็ดขาด ตกลงไหม?” เด็กหนุ่มเอนหลังพิงพนักด้วยท่วงท่าสบาย ๆ หากแต่สายตากลับจริงจังเสียจนสัตยาสัมผัสได้ถึงความเคร่งเครียดระคนหวาดหวั่นที่อัดแน่นอยู่ภายใน “อ้อ! แล้วถ้าฟังจบและคุณไม่เชื่อ มันก็เป็นเรื่องของคุณ ผมไม่เกี่ยวและไม่ขอรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น ชัดนะ?”

ผู้กองหนุ่มพยักหน้าน้อย ๆ แทนการรับคำ ทั้งสองทอดสายตามองกันและกัน ระหว่างนั้นสมองของอังคารก็ค่อย ๆ ลำดับเหตุการณ์ทั้งหมด ก่อนจะร้อยเรียงออกมาเป็นเรื่องเล่าที่แทบจะหาจุดเชื่อมโยงกับหัวข้อที่สัตยาอยากได้ยินไม่ได้เลยสักนิด

“เมื่อสองเดือนก่อนผมโดนรถชนล้มหัวกระแทก มีเลือดคั่งในสมอง แต่หลังผ่าตัด พอผมรู้สึกตัว ตาซ้ายผมก็มัวจนมองอะไรไม่เห็น หมอเลยบอกให้เปลี่ยนกระจกตาเพราะมันอักเสบมากจนฟื้นฟูไม่ได้”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับขลุ่ย?”

“โธ่! ใจเย็นสิคุณ ผมยังพูดไม่ถึงไหนเลย” เด็กหนุ่มมองตำหนิคนใจร้อนพอเป็นพิธีก่อนจะเล่าต่อ “พอเปลี่ยนกระจกตาเสร็จ ผมก็เริ่มฝันร้ายเรื่องเดิม ๆ ซ้ำกันทุกคืน แต่ที่หนักที่สุดคือหลัง ๆ มานี่ ผมเริ่มมองเห็นอะไรที่ไม่ควรจะเห็น ขนาดตอนกลางวันแดดเปรี้ยง ๆ ก็ไม่เว้นนะคุณ”

“นายเห็นอะไร?” สัตยาหรี่ตามองเด็กเลี้ยงแกะอย่างระแวดระวัง

“...อ่า...” ทั้งที่เตรียมใจยอมรับกับปฏิกิริยาของคู่สนทนามาเป็นอย่างดี แต่พอต้องยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นต่อหน้าคนอื่นจริง ๆ อังคารก็นึกลังเล แต่สัตยากลับไม่ยอมปล่อยให้เด็กหนุ่มถอนตัวไปง่าย ๆ เหมือนเล่นขายของ

“นายคงยังไม่รู้ว่าฉันเป็นคนรักษาสัญญา” คนโตกว่าโน้มตัวเข้าหาแล้วเท้าศอกทั้งสองลงกับโต๊ะพลางสบสายตากับคู่สนทนาอย่างแน่วแน่ “ดูยังไงนายก็ไม่ใช่คนบ้า พูดมาเถอะ ฉันรอฟังอยู่”

อังคารกลืนน้ำลาย เด็กหนุ่มมองหน้าสัตยาตาปริบ ๆ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าออกเนิ่นนานขณะชั่งใจเป็นครั้งสุดท้าย “...ผม... เอ่อ...”
.
.
.
.
.
“ผมเห็น ผี” คนพูดลอบประเมินสถานการณ์อยู่ชั่วอึดใจ จนเมื่อเห็นสีหน้าเรียบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลงของคู่สนทนาแล้วนั่นแหละ เด็กหนุ่มจึงเริ่มรู้สึกกล้าที่จะเปิดเผยความลับที่ไม่เคยบอกใครในท้ายที่สุด “ตาซ้ายทำให้ผมมองเห็นผีแหละคุณตำรวจ”

“เพราะก่อนจะโดนรถชนนายไม่เคยเห็นผี นายเลยคิดว่าตาซ้ายเป็นต้นเหตุงั้นสิ?”

อังคารผงกหัวป้อย ๆ ก่อนจะยืนยันความเข้าใจของอีกฝ่ายด้วยการยกตัวอย่างสารพันเรื่องแปลกที่เพิ่งเคยประสบพบเจอด้วยตัวเองหลังการผ่าตัด “ตอนแรกผมเข้าใจว่าสมองผมกระทบกระเทือน ก็เลยเห็นภาพหลอน เพราะคุณหมอก็เคยบอกผมว่ามันเป็นไปได้ แต่พอเกิดเรื่องเมื่อสองวันก่อน ผมก็มั่นใจว่า ไม่ใช่สมองผมหรอกที่มีปัญหา กระจกตาใหม่ต่างหากที่ทำให้ผมเห็นผี”

ข้อมูลที่ผิดไปจากความคาดหมายทำให้สัตยางุนงงจนไม่ทันประมวลความรู้สึกนึกคิดด้วยเหตุด้วยผล เขาลืมแม้กระทั่งการพูดจาเตือนสติให้เด็กเลี้ยงแกะวกเข้าประเด็นที่ตั้งตารอแต่ทีแรกไปเสียด้วยซ้ำ “แล้วยังไงอีก?”

“คุณไม่สงสัยเหรอว่าทำไมอยู่ ๆ ผมถึงยอมคุยกับคุณ?”

“จะพูดอะไรก็พูดมาเถอะ ฉันไม่ว่านายบ้าหรอก”

“ที่ผมเปลี่ยนใจยอมคุยกับคุณ ทั้งที่ไม่รู้จักคุณ เพราะผมเห็นรูปในโทรศัพท์คุณเมื่อกี๊ยังไงล่ะ” ย้อนไปเมื่อไม่ถึงชั่วโมงก่อนในตอนที่มือถือของสัตยาจับสัญญาณโทรเข้าของเพียงออได้นั้น อังคารก็เป็นอีกคนที่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกหลังจากเหลือบเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของผู้ชายคนหนึ่งปรากฏหราอยู่กลางหน้าจอโทรศัพท์ ก็จะไม่ให้อังคารช็อกอย่างไรไหวในเมื่อผู้ชายคนนั้นดันหน้าเหมือนกันกับผีที่ขยันรังควานเขาไม่เว้นแต่ละวันราวกับฝาแฝด

“หืม? รูปในโทรศัพท์? รูปขลุ่ยน่ะเหรอ?”

“อือ แต่คุณรู้ไหมว่าทำไมผมถึงมาที่นี่?” อังคารอารัมภบทด้วยคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ เด็กหนุ่มมองเหม่อก่อนจะพรั่งพรูความในใจออกมาเป็นฉาก ๆ “คนที่คุณเรียกว่าขลุ่ยอะไรนั่นน่ะ นอกจากเขาจะมาเข้าฝันผมแล้ว ช่วงหลัง ๆ เขายังชอบโผล่มาหลอกผมอีก พอเห็นรูปเขาในโทรศัพท์คุณ ผมเลยได้รู้เสียทีว่าเขาเป็นใคร”  

“...”

“อึ้งตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วมั้งคุณ เพราะถึงยังไง ผีที่หลอกผมมาตลอดสองเดือนก็หน้าเหมือนผู้ชายในโทรศัพท์คุณอยู่ดี”

“ขลุ่ย... ตายแล้วงั้นเหรอ?”

ทุกครั้งที่ประสบปัญหา สัตยามักจะคำนึงถึงความเป็นไปได้ในแง่ร้ายเอาไว้เสมอ กับเรื่องของเพียงออก็เช่นกัน ไม่มีสักวันที่ผู้กองหนุ่มจะไม่เผื่อใจรอฟังข่าวการพบศพของคนคุ้นเคยที่หายตัวไป แต่น่าแปลกที่พอได้ยินบทสรุปจากปากอังคารเข้าจริง ๆ เขากลับไม่อยากยอมรับความจริงขึ้นมาดื้อ ๆ  

“ก็ใช่สิคุณ ไม่งั้นเขาจะมาตามหลอกผมได้ยังไงล่ะ ถามแปลก”

“...เป็นไปไม่ได้...”

“เฮอะ! ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะคุณตำรวจ ก็ผมเห็นผีนั่นกับตาอ่ะ ตั้งหลายครั้งด้วยนะ จะบอกให้” ต่อให้อังคารจะอ่านอาการเศร้าเสียใจของคู่สนทนาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่เด็กหนุ่มกลับโต้แย้งอย่างไม่ใส่ใจ... ลำพังตัวเองยังแทบไม่รอด อย่าหวังว่าเขาจะเห็นใจคนอื่นเสียให้ยาก “เฮ้ย ! อย่าเพิ่งเศร้าดิ้ ไหน ๆ คุณก็รู้เรื่องหมดแล้ว มาช่วยผมคิดหน่อยสิว่าผีนั่นถึงต้องการอะไรจากผมกันแน่”

“นายหาทางเองเถอะ ฉันมีธุระต้องทำ” แม้ลึก ๆ สัตยาจะปักใจเชื่อคำพูดของอังคารไปแล้วเกินครึ่ง แต่ตราบใดที่ยังไม่พบร่างไร้วิญญาณของเพียงออ เขาก็ไม่คิดจะล้มเลิกแผนการตามหาคนหายแต่อย่างใด

“โอเค ถ้าคุณมีธุระก็ไป เพราะต่อให้คุณไม่ช่วยผม แต่เดี๋ยวคืนนี้ผมไว้รอถามเขาในฝันก็ได้ เพราะยังไงผมก็เจอเขาทุกคืนอยู่แล้ว” อังคารแสร้งยักไหล่อย่างไม่ยี่หระก่อนจะหยัดตัวขึ้นยืนเต็มความสูงอย่างเชื่องช้าคล้ายกับต้องการยืดเวลาเพื่อวัดใจกับนายตำรวจ
ไม่อยากรู้เรื่องผีนั่นมากกว่านี้หรือไงผู้กอง... ไอ้เพียรนี่แหล่งข่าวชั้นดีเลยนะ!

“ที่ผมมาเพชรบุรีก็เพราะผีนั่นบอกใบ้ ไม่แน่พรุ่งนี้ผมอาจจะรู้ก็ได้ว่าเขาอยากให้ผมไปที่ไหนต่อ” ทั้งที่อยากจะอ้อนวอนขอความร่วมมือจากอีกฝ่ายใจจะขาด แต่จนแล้วจนรอด อังคารก็ยังห่วง มาดเป็นเด็ก ๆ “ผมไปนะคุณตำรวจ บ๋ายบา...”

“เดี๋ยว!” ภายใต้ใบหน้าหงิกงอไม่พอใจของอังคารมีความตั้งอกตั้งใจรอฟังคำพูดของคู่สนทนาอย่างจดจ่อซ่อนอยู่อย่างมิดชิด “ฉันจะช่วยนาย แต่นายก็ต้องช่วยฉันตามหาขลุ่ยให้เจอ ตกลงไหม?”

“เฮ่อ! ก็ได้ ๆ เอาอย่างนั้นก็ได้”  เด็กหนุ่มแอบอมยิ้มชอบใจ เพราะจากที่มืดแปดด้านด้วยไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นตรงจุดไหน จู่ ๆ ฟ้าก็ส่งสัตยามาช่วยแก้ปัญหาได้ถูกจังหวะเสียเหลือเกิน

 *****|| TBC ||*****



อ่านแล้วคิดเห็นยังไง บอกเราได้นะคะ
เราอยากอ่านความเห็นของทุก ๆ คนเหมือนเดิมค่ะ ^^


No comments:

Post a Comment