The 7th Glance: เพียงออ
หากถามว่าเพียงออหายตัวไปได้อย่างไร
คงต้องย้อนเรื่องราวไปจนถึงช่วงบ่ายของวันหนึ่งที่ผ่านเลยไปเมื่อประมาณสามเดือนที่แล้ว
“ขอโทษนะครับ
เก้าอี้ตัวนี้มีคนนั่งไหมครับ?”
“?” หลังเงยหน้าขึ้นจากชีทปึกหนา
รอยยิ้มสว่างไสวชวนมองของฝ่ายผู้ตั้งคำถามก็ทำให้นักศึกษาแพทย์ปีสามไม่อาจถอนสายตา
เขามัวแต่จับจ้องเพื่อนร่วมสถาบันแปลกหน้าจนไม่เป็นอันตอบคำ
“...คือ... พอดีผมเห็นเก้าอี้ตรงนี้ว่างแค่ตัวเดียวน่ะครับ
แต่ถ้ามีคนนั่งแล้วก็ไม่เป็นไรนะครับ เดี๋ยวผมลองเดินไปหาชั้นบนอีกที” ใบหน้านิ่ง
ๆ ของคู่สนทนาทำให้กลายเป็นเพียงออเสียเองที่ต้องรีบอธิบายสภาพความแออัดล่าสุดภายในห้องสมุดประจำมหาวิทยาลัยเป็นพัลวัน
“นั่งได้ครับ
ตรงนี้ว่าง”
“ขอบคุณครับ”
ทันทีที่เก้าอี้ตัวตรงข้ามถูกคนมาใหม่ครอบครอง
เด็กปีสามก็รีบก้มหน้าแสร้งว่ากำลังทบทวนความรู้ช่วงโค้งสุดท้ายก่อนสอบอย่างขมักเขม้น
ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ตลอดเวลาหลายชั่วโมงที่เคลื่อนผ่าน เขากลับคอยแต่เหลือบสายตาแอบมองเจ้าของรอยยิ้มพิมพ์ใจอยู่เป็นระยะ
ๆ จวบจนเมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มทยอยเก็บข้าวของลงกระเป๋าสะพาย นักศึกษาแพทย์ผู้ไร้มนุษยสัมพันธ์มาตลอดหลายปีก็ถูกความรู้สึกถูกตาต้องใจก่อกวนจนไม่อาจปล่อยให้ชายหนุ่มแปลกหน้าหายลับเข้ากลีบเมฆไปโดยไม่ทำความรู้จัก
“คุณเรียนอักษรเหรอครับ?”
ค่าที่คิดใคร่ครวญหาวิธีเปิดบทสนทนามาครั้งแล้วครั้งเล่า ชยินจึงสามารถแสดงเหตุผลประกอบบทเกริ่นของตัวเองได้อย่างเป็นธรรมชาติ
“ผมเห็นคุณเปิดดิกฯ ตอนอ่านชีทนั่นตลอดเลยน่ะครับ”
“ครับ”
เพียงออยิ้มรับขณะที่สองมือยังไม่หยุดจัดของ ห้าโมงแล้ว
ถ้าไม่รีบกลับเสียแต่ตอนนี้ กว่าจะฝ่ารถติดกลับถึงบ้านคงกินเวลาอีกหลายชั่วโมง อันที่จริง
การกลับบ้านดึก ๆ ไม่ใช่ปัญหา เพียงแต่เมื่อคิดว่า พี่เสืออาจโทรหาเขาผ่านเบอร์บ้าน
เพียงออก็อยากรีบกลับไปรอรับโทรศัพท์ของอีกฝ่ายไว ๆ ทางนั้นจะได้ไม่ว้าวุ่นขุ่นใจไปเปล่า
ๆ
“สอบวันแรกเมื่อไรเหรอครับ?”
ชยินยิ้มบางก่อนชวนคุยด้วยการเสแสร้งโอดครวญเพื่อเชิญชวนให้เด็กอักษรร่วมบทสนทนาให้จงได้
“เฮ่อ! ของผมสอบวันแรกพรุ่งนี้
ป่านนี้ยังอ่านไม่ถึงไหนเลยครับ”
“ของผมวันพุธครับ”
เป็นเพราะถือครองสถานะนักศึกษาไม่ต่างกัน ชายหนุ่มจึงเข้าใจหัวอกของอีกฝ่ายได้อย่างแจ่มแจ้ง
เพียงอออมยิ้มกับท่าทางท้อถอยของคนนั่งตรงข้ามก่อนจะถามไถ่คู่สนทนาตามมารยาท “แล้วคุณล่ะครับ
อยู่คณะอะไร?” แสงแดดช่วงเย็นทำให้ดวงตาสีเขียวอมน้ำตาลในยามนี้ดูคล้ายอำพันเปล่งปลั่งสุกใส
อีกทั้งยังทำให้ใบหน้าที่ขาวเป็นทุนเดิมยิ่งดูละมุนละไมเมื่อถูกแสงสุดท้ายอาบเจือ
“แพทย์ครับ เรียนมาตั้งสองปีแล้ว
แต่ไม่เคยอ่านหนังสือทันสักรอบ” ชยินแทบลืมหายใจเมื่อเด็กอักษรคลี่ยิ้มละไมหลังได้ยินคำโกหกคำโตของเขา
“สงสัยคืนนี้ต้องโต้รุ่งแหง ๆ ”...ไม่เลย การอดตาหลับขับตานอนเพื่ออ่านหนังสือเอานาทีสุดท้ายไม่ใช่แนวทางในการเล่าเรียนของชยิน
แต่ถ้าต้องโต้รุ่งจนสว่างคาตาเพราะ ‘งาน’ นั่นก็พอจะเป็นไปได้
“ผมจะเอาใจช่วยคุณอีกแรง
ยังไงผมขอตัวก่อนนะครับ”
“เดี๋ยวครับ!” ชยินยื้อช่วงเวลาตรงหน้าให้ยืดเยื้อกว่าที่ควรจะเป็น
“ครับ?”
“หลังสอบเสร็จพรุ่งนี้ผมจะมาขลุกอยู่ที่นี่แล้วก็จะจองที่ไว้ให้
เผื่อถ้าคุณมาแล้วไม่มีที่นั่ง คุณจะแวะมาอ่านหนังสือด้วยกันก็ได้นะครับ”
“ขอบคุณครับ” เพียงออยิ้มรับพลางค้อมหัวขอบคุณไมตรีของรุ่นพี่ต่างคณะอย่างจริงใจก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องสมุดอย่างเร่งรีบ
เห็นดังนั้น ชยินก็ผลุนผลันตามติด ก่อนจะสะกดรอยแล้วตามไปส่งอีกฝ่ายถึงหน้าบ้านโดยที่ไม่มีใครล่วงรู้
“อุ๊บ! ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ!” เพียงออยกมือกระพุ่มไหว้คนที่ตนเดินชนปลก ๆ แต่เมื่อเห็นหน้าค่าตาคู่กรณีในตลาดโต้รุ่งละแวกบ้าน
สีหน้าของเด็กอักษรก็แสดงความประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด “คุณ?!”
“อ้าวคุณนี่เอง
คุณอยู่แถวนี้เหรอครับ?”
“คะ... ครับ” เพียงออยังคงแปลกใจไม่หาย
ไม่นึกเลยว่าโลกจะกลมถึงเพียงนี้ อยู่ดี ๆ เขาก็เดินชนรุ่นพี่ร่วมสถาบันทั้งที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกที่หอสมุดเมื่อราว
ๆ สามวันก่อน
“บังเอิญจังเลย
บ้านญาติผมก็อยู่แถวนี้” การหายหน้าไปของเด็กอักษรราวกับไม่ใส่ใจคำชวนทิ้งท้ายของเขาทำให้ชยินไม่อาจรอคอยความหวังได้อย่างที่แรกตั้งใจ
ชายหนุ่มจึงวางแผนลวงโลกครั้งใหญ่เพียงเพราะอยากจะเข้าใกล้รุ่นน้องที่หมายตามากยิ่งขึ้น
“คุณมาซื้อของเหรอครับ?”
“ผมแวะมาหาอะไรกินน่ะครับ
อีกเดี๋ยวก็จะกลับแล้ว” เพียงออคลี่ยิ้มบางเพื่อรักษามารยาทพลางหาจังหวะตัดบทก่อนแยกย้าย
“ผมก็กำลังเดินหาของกินอยู่เหมือนกัน
แต่ผมไม่ค่อยได้มาที่นี่บ่อย ๆ ผมเลยไม่รู้ว่าร้านไหนอร่อย เจ้าถิ่นอย่างคุณพอจะแนะนำผมได้บ้างไหมครับ?”
เมื่อโกหกเสร็จสรรพ เด็กปีก็สามจงใจทำหน้ามุ่ยเพื่อเรียกร้องความสนใจ
และดูเหมือนมันจะได้ผลกับคนมีน้ำใจอย่างเพียงออเสียด้วย
“คุณจะกินอะไรเหรอครับ
อาหารตามสั่ง ก๋วยเตี๋ยว หรืออยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า?”
“เรียกวินเถอะครับ
เรียกผมเรียกคุณแล้วมันฟังดูห่างเหินยังไงไม่รู้” ชยินยิ้มตาหยีจนคนมองอดยิ้มตามไม่ได้
“ครับพี่วิน
ผมขลุ่ยครับ”
“อ้าว นี่ขลุ่ยเป็นน้องพี่เหรอ?
พี่นึกว่ารุ่นเดียวกันเสียอีก”
“ครับ ผมเพิ่งขึ้นปีสองครับ”
สีหน้าประหม่าของเพียงออทำให้ชยินร้อนตัว
“ขอโทษ ๆ
พี่ไม่ได้จะว่า ๆ ขลุ่ยแก่หรืออะไรหรอกนะ พี่แค่ไม่รู้ว่าขลุ่ยเรียนปีไหน แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าขลุ่ยเป็นน้องพี่นี่เอง”
“ไม่เป็นไรครับ”
“ถ้างั้นมื้อนี้ขอพี่เลี้ยงต้อนรับ
แล้วก็เลี้ยงขอโทษน้องร่วมสถาบันโทษฐานที่พี่เข้าใจขลุ่ยผิดจะได้ไหมครับ?”
“ไม่ต้...” ชยินชิงฉวยโอกาสรวบรัดก่อนที่แววตาลังเลของคู่สนทนาจะทำให้เขาโดนบอกปัดแบบสิ้นเชิง
“อย่าปฏิเสธพี่เลยนะขลุ่ย
ถ้าพี่ซื้อใส่ห่อกลับไป ยังไงพี่ก็ต้องกินข้าวคนเดียวอยู่ดี เพราะจนป่านนี้ที่บ้านญาติพี่ยังไม่มีใครกลับบ้านเลยซักคน”
นอกจากเพียงออแล้ว ชยินจะไปหาใครหน้าไหนมาร่วมโต๊ะกินข้าวเย็นกับเขาได้อีกล่ะ ก็ไอ้ที่เขาอ้างว่ามีวงศาคณาญาติอาศัยอยู่แถวนี้น่ะ
มันยกเมฆทั้งนั้น
หลายวันที่ไม่ได้เห็นหน้าเพียงออที่หอสมุด
ชยินมักจะแอบมาคอยจับตาดูความเป็นอยู่ของอีกฝ่ายจนแน่ใจว่ารุ่นน้องต่างคณะอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่เพียงลำพัง
การชักชวนของชายหนุ่มจึงถือเป็นข้ออ้างชั้นดีที่สามารถตะล่อมเด็กอักษรให้หลงลมปากได้อย่างง่ายดาย
จึงไม่แปลกหากฝ่ายที่ต้องกินข้าวเย็นคนเดียวเกือบทุกวันอย่างเพียงออจะตอบตกลงหลังจากได้ฟังเรื่องน้ำเน่าไร้มูลได้เพียงไม่นาน
“ก็ได้ครับ”
“อ้าวขลุ่ย
เจอกันอีกแล้ว!”
ชยินแสร้งยิ้มกว้างทำทีราวกับว่าเจอหน้าอีกฝ่ายที่หอสมุดโดยบังเอิญ ทั้ง ๆ ที่หลังเลิกเรียนในวันที่ไม่ต้องทำ ‘งาน’ ชายหนุ่มมักจะทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการซุ่มสอดส่องเด็กอักษรโดยแทบไม่ปล่อยให้คลาดสายตา
“ขอพี่นั่งด้วยคนนะ
ตรงนี้อุ่นดี” พูดจบชยินก็นึกกระหยิ่ม เพราะทำเลดังกล่าวแทบจะเป็นมุมลับแลมุมหนึ่งของหอสมุดเสียด้วยซ้ำ
การจะทำอะไร ๆ ก็น่าจะเป็นเรื่องง่าย ฝ่ายเพียงออที่พอจะคุ้นเคยกับอีกฝ่ายมากกว่าช่วงแรกเริ่มก็ไม่คิดบอกปัดให้รุ่นพี่ต่างคณะต้องหน้าม้าน
“พี่วินนั่งเลยครับ”
ชายหนุ่มไม่มีปัญหาหากชยินพอใจจะนั่งอ่านหนังสือข้าง ๆ ด้วยเพราะทันทีที่มีสมาธิจดจ่อกับตัวอักษรละลานตา
เขาก็แทบจะหลงลืมสิ่งแวดล้อมรอบตัวไปชั่วขณะ กอปรกับเมื่อครั้งแรกที่ทั้งสองนั่งอ่านหนังสือตรงข้ามกัน
ชยินได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่า มารยาทในการใช้ห้องสมุดของเขาอยู่ในระดับดีเลิศ
“ถ้าพี่หลับ
ขลุ่ยก็ช่วยสงเคราะห์ปลุกพี่ด้วยแล้วกัน ไม่งั้นเทอมนี้พี่ลำบากแน่” ชยินสัพยอกอย่างลื่นไหล
ทั้งที่ในใจนึกแย้งคำปดของตัวเอง... หึ! อยากเห็นหน้าขลุ่ยจะตาย เขาคงจะหลับลงอยู่หรอก
“ถ้าพี่วินง่วงก็นอนเถอะครับ
ไว้ถ้าผมจะกลับเมื่อไร ผมค่อยปลุกพี่อีกที”
“ขลุ่ยอ่านหนังสือเถอะ
พี่ไม่กวนขลุ่ยแล้ว” ชยินยังคงสวมบทรุ่นพี่ที่แสนดีได้อย่างแนบเนียน
แม้ในใจจะร่ำร้องให้อีกฝ่ายเลิกอ่านหนังสือเร็ว ๆ เพราะเมื่อนั้น เขาจะสารภาพความในใจที่มีต่อเด็กอักษรพร้อม
ๆ กับขอโอกาสจีบน้องอย่างเป็นทางการ
แน่นอนว่าเพียงออไม่ได้ทำให้ชยินต้องอดทนรอจนอกแตกตาย
เพราะเพียงหนึ่งชั่วโมงให้หลัง เด็กอักษรก็เริ่มเก็บของด้วยตั้งใจจะกลับบ้านเร็วกว่าปกติหลังรู้ว่าสัตยาจะกลับบ้านในช่วงสุดสัปดาห์ที่จะถึง...
เย็นนี้เขาจะเริ่มทำความสะอาดบ้าน และหากพอมีเวลาเหลือ เขาจะลองทำเอเนอร์จี้บาร์สูตรใหม่
อย่างน้อย ๆ ของกินเล่นชนิดนี้ก็น่าจะช่วยให้ผู้กองหนุ่มได้รับสารอาหารจำเป็นในมื้อเช้ามากกว่าคาเฟอีนจากกาแฟดำเพียงแก้วเดียว
กระนั้น แม้รุ่นน้องจะไม่ปล่อยให้ชยินต้องกลัดกลุ้มกับการรอคอยก็จริง
แต่ความรู้สึกยินดีของเด็กปีสามก็ปลิวหายไปกับสายลมทันทีที่เพียงออปฏิเสธความรู้สึกของเขาทันทีทันใดด้วยเหตุผลที่ชายหนุ่มไม่อาจทำใจยอมรับได้เลยสักนิด
“ขอโทษนะครับพี่วิน แต่ผมรักคนอื่นแล้ว”
และแล้วก็เป็นประโยคสั้น
ๆ ประโยคนี้เองที่กลายเป็นชนวนของโศกนาฏกรรมทั้งหลาย
เพราะหลังจากแผ่นหลังของเพียงออลับสายตาไป
คนช้ำรักที่ไม่ยอมแพ้พ่ายก็คิดจะหักหาญน้ำใจอีกฝ่ายด้วยการตามสะกดรอยรุ่นน้องไปจนเกือบถึงบ้าน
จากนั้นจึงลักพาตัวเด็กอักษรมากักขังหน่วงเหนี่ยวไกลถึงเพชรบุรีอันเป็นสถานที่สุดท้ายบนโลกที่เพียงออได้เยี่ยมเยือนอย่างจำยอม
***********
“ผีนั่นน่ะ”
อังคารแอบเบ้ปากเมื่อเห็นสายตาดุดันของอาคันตุกะร่วมห้องพักในคืนนี้ทันทีที่อีกฝ่ายได้ยินสรรพนามไม่เข้าหู
“ตอนมีชีวิต ขลุ่ยเขาเป็นคนแบบไหนเหรอคุณตำรวจ?” เด็กหนุ่มยอมลงให้ผิดปกติวิสัยเพราะอยากรู้รายละเอียดเกี่ยวกับวิญญาณดวงนั้นให้มากที่สุด
“เขาเป็นเด็กดี
มีน้ำใจ ว่านอนสอนง่าย ไม่เคยโกรธใคร ทำงานบ้า...”
“พูดง่าย ๆ คือเพอร์เฟคว่างั้น?”
คนถามเลิกคิ้วมองหน้าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างยียวน
แหม... อีตอนเมื่อกี๊ถามอะไรก็ทำบื้อใบ้กลัวดอกพิกุลจะร่วง
ทีนี้ล่ะพร่ำพรรณนาความดีของคนตายได้เป็นฉาก ๆ เชียวนะอีตาผู้กองหน้าหนวด เอ๊ะ... หรือว่า...?!
“เขาเป็นแฟนคุณเหรอ?”
อารมณ์ของอังคารผันแปรรวดเร็วราวพลิกฝ่ามือ เพราะจู่ ๆ
ความรู้สึกหมั่นไส้ก็ถูกแทนที่ด้วยความกระหายใคร่รู้ในเรื่องคาว ๆ ของมนุษย์ถ้ำหน้าไม่รับแขกเอาดื้อ
ๆ “ยอมรับมาเฮอะ เพราะถ้าไม่ใช่แฟนกัน ผู้กองคงไม่ร้อนรนขนาดนี้หรอก ใช่ไหม ๆ ?”
“เปล่า เขาเป็นคนที่ฉันต้องคอยดูแล”
“ทำไมต้องคอยดูแล
เขาเป็นง่อยดูแลตัวเองไม่ได้หรือไง? อายุเท่าไรแล้ว ทำไมคุณยังต้องคอยดูแลอยู่อีก?”
สัตยาตวัดหางตาเอาเรื่องใส่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมตรงหน้าทันควันก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาด้วยน้ำเสียงเนิบ
ๆ
“ไม่ไปอาบน้ำแล้วหรือไง?
ไหนบอกว่าวิ่งหนีฉันจนเหนียวตัวไปหมด?”
“อ่ะ ๆ
ผมจะพยายามไม่ปากเสียใส่ผู้กองแล้วก็ได้” อังคารยกสามนิ้วขึ้นสาบานแล้วหว่านล้อมอ้อมถาม
“ทำไมผู้กองต้องคอยดูแลเขาด้วยล่ะ? เขาเด็กกว่าผมอีกเหรอ?”
จุดกำเนิดความสัมพันธ์ระหว่างสัตยากับเพียงออคือต้นเหตุของอาการเหม่อลอยพลางถอนหายใจยืดยาว
การจะให้เขาเปิดปากบอกเล่าถึงความผิดพลาดในอดีตของตัวเองให้คนแปลกหน้ารับฟัง
ชายหนุ่มก็กลัวว่าเด็กเมื่อวานซืนคงไม่มีวันเข้าใจ ซ้ำร้ายตำรวจหนุ่มอาจจะโดนอีกฝ่ายถอนหงอกตบท้ายเข้าให้อีก
ที่สุดแล้ว สัตยาจึงเลือกที่จะเล่าเรื่องของเพียงออเท่าที่ตัวเขารู้สึกสบายใจเท่านั้น
“ขลุ่ยน่าจะอายุพอ ๆ กับนาย เหตุผลที่ฉันคอยดูแลเขาเพราะฉันติดหนี้กับครอบครัวของขลุ่ย
พอมีโอกาส ฉันเลยอยากชดใช้”
“อ๋อ
ที่แท้มันก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ไม่เป็นไรนะผู้กอง คุณยังมีผมเป็นเพื่อนอีกทั้งคน!” อังคารทึกทักพลางพยักหน้าหงึกหงักด้วยความเห็นอกเห็นใจเพราะรู้ซึ้งว่า
สถานะลูกหนี้นั้นย่ำแย่หาใดเปรียบจริง ๆ “ผมไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน คุณก็อย่าคิดมากเรื่องขลุ่ยจนคิดสั้นล่ะ
แค่ผีตัวเดียวผมก็กลัวจะแย่อยู่แล้ว ขืนคุณมาตายอีกคน ผมคงได้เป็นบ้าก่อนใครเพื่อน!”
“...”
“อาบน้ำ ๆ
อาบน้ำกันดีกว่าจะได้หายร้อน!!”
“...” แม้จะตกอยู่ในภวังค์แต่สัตยาก็ไม่ปล่อยให้เด็กน้อยลามปามทั้งเขาและขลุ่ยไปมากกว่านี้
ชายหนุ่มปรายตามองคู่สนทนานิ่งนานจนฝ่ายนั้นจำต้องวิ่งแจ้นหลบหน้าเข้าห้องน้ำไปทันควัน
***********
ตลอดสองเดือนที่ต้องเผชิญหน้ากับความหวาดกลัว
ไม่เคยมีสักคืนที่อังคารจะตั้งตารอช่วงเวลาแห่งความฝันอย่างเป็นบ้าเป็นหลังเท่ากับค่ำคืนนี้
และทันทีที่พบว่าตัวเองได้หวนกลับมาอยู่ในห้องมืดที่แสนคุ้นเคยอีกครั้ง เขาก็ยิ้มรับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างเต็มอกเต็มใจ
ฉันพร้อมแล้วขลุ่ย...
นายอยากบอกอะไรฉันก็พูดมาเถอะ
ไวเท่าความคิด...
เพียงชั่วอึดใจหลังจากตกอยู่ในห้วงฝันร้ายซ้ำซาก อังคารก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังตึงตังจากอีกฟากฝั่งของประตู
เสียงนั้นบอกใบ้ให้เด็กหนุ่มรู้ว่า มีใครคนหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้อย่างเร่งร้อนและรวดเร็ว
จริงอยู่ที่แม้จิตใจของเขาจะพร้อมรับมือกับทุกสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างเต็มร้อย
แต่ร่างกายที่อยู่ในห้วงความทรงจำช่วงท้าย ๆ ของขลุ่ยกลับสั่นเทาจนอังคารจับสังเกตได้
ยิ่งภายหลังจากที่บานประตูถูกเปิดกระชากกว้างจนแสงสว่างจากภายนอกสาดส่องขับไล่ความมืดมิดภายในห้องให้เลือนมลาย
เพียงออก็ยิ่งตื่นตระหนกจนไม่อาจสะกดกลั้นอาการสะอึกสะอื้น
‘ฮึก! พี่วิน?!’ เจ้าของเสียงกระถดตัวถอยหนีเมื่อเห็นเงาทะมึนของร่างสูงใหญ่ปรากฏอยู่นอกกรอบประตู
ท่าทีดังกล่าวทำให้อังคารลงความเห็นว่า ชายแปลกหน้าผู้นี้จะต้องเกี่ยวพันกับการตายของเพียงออ
ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง ไม่อย่างนั้นร่างที่จิตของเขาแฝงตัวอยู่ ณ ตอนนี้คงจะไม่หวาดกลัวจนจวนเจียนสิ้นสติ
‘ใช่ พี่เอง’
‘พี่วินปล่อยผมไปเถอะนะครับ!’
‘ไม่!’
‘พี่วิน’ อังคารในร่างของเพียงออร่ำไห้พลางยกมือขึ้นไหว้พร้อมกับอ้อนวอนไม่ขาดปาก
‘ปล่อยผมไปเถอะครับ
ผมขอร้อง’
‘อยากให้พี่ปล่อย
ก็รักพี่สิขลุ่ย รักพี่ รักพี่สิขลุ่ย!’
‘ผมรักพี่เสือ
ผมไม่มีวันรักพี่!’
‘ขลุ่ยต้องรักพี่
รักพี่คนเดียวเท่านั้น!’ สิ้นเสียงคำรามก้อง
คนพูดก็ปราดเข้าหาแล้วกระชากแขนของอังคารก่อนจะลากถูลู่ถูกังให้เดินตามเข้าไปในห้อง
จากนั้นจึงเหวี่ยงทั้งร่างของเขาลงกับพื้นราวกับคนคลุ้มคลั่ง
‘ทำไมขลุ่ย
ทำไม... ทำไมถึงไม่ใช่พี่ ทำไมถึงเป็นพี่ไม่ได้?’ ระหว่างที่ชายปริศนามัวแต่พึมพำพลางเดินพล่านไปมาทั่วห้องนั้นเอง
อังคารก็ถือโอกาสมองหาทางหนีทีไล่ไปพร้อม ๆ กัน ทว่าภาพของมุมห้องที่ดูคุ้นตาจนน่ากลัวก็ทำให้เด็กหนุ่มใจแป้วในบัดดล
ห้องนี้?! เฮ่ย! นี่มันห้องที่เพิ่งฝันถึงเมื่อกลางวันนี่หว่า?!!
ทันทีที่จิตใต้สำนึกกระหวัดถึงวาระสุดท้ายที่เพิ่งประสบผ่านฝันร้ายเมื่อช่วงบ่าย
อังคารผู้สัมผัสความกลัวของเพียงออได้ล้ำลึกยิ่งกว่าใคร ๆ ก็เริ่มจะลนลานจนทำอะไรไม่ถูกตามไปอีกคน...
ให้ตายสิ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเขาไม่ใช่เหยื่อที่แท้จริง แต่ความทรมานก่อนลมหายใจสุดท้ายจะถูกลิดรอนก็ไม่ใช่เรื่องพึงปรารถนาเลยสักนิด
ถึงอย่างนั้น ต่อให้เฝ้าเพียรภาวนา
แต่อังคารกลับไม่อาจหลีกเลี่ยงชะตากรรมอันโหดร้ายไปได้ เพราะที่สุดแล้ว ความผิดหวัง
ความเสียใจก็ทำให้ใครอีกคนขาดสติจนหยิบยื่นความตายให้ถึงมือ
‘ขลุ่ยอยู่กับพี่เถอะนะ’
‘เป็นพี่ไม่ได้จริง
ๆ เหรอขลุ่ย?’
‘!!!’
‘พี่รักขลุ่ยนะ’
ต่อให้ต้องตกอยู่ในห้วงฝันร้ายนี้อีกสักกี่ครั้ง
แต่เพียงออหรือกระทั่งอังคารเองก็ไม่อาจข่มความรู้สึกรังเกียจที่มีต่อรสจูบของไอ้ฆาตกรได้เลย
และก็เหมือนกับทุกทีอีกเช่นกัน ที่ร่างกายของเขาในตอนนี้จะตอบแทนคนร้ายอย่างสาสมด้วยคมฟันจนมันร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด
ในระหว่างที่เพียงออรวบรวมกำลังเฮือกสุดท้ายออกวิ่งเพื่ออิสรภาพ
อังคารเองก็นับถอยหลังรอคอยจุดจบด้วยใจจดจ่อ และแล้ว ฆาตกรที่กำลังโกรธกริ้วจนเสียสติก็หันกลับมาเล่นงานเขาอย่างทันท่วงที
‘ขลุ่ยต้องอยู่กับพี่
ขลุ่ยต้องอยู่กับพี่ ขลุ่ยต้องอยู่กับพี่!!’
‘...อึก...อึก
อึก...อ่อก...อ่อก...’
“ขลุ่ยต้องอยู่กับพี่
ขลุ่ยต้องอยู่กับพี่!”
‘...อ่อก
อ่อก...พ... เสื...อ...อ... อ่อก... ’
แม้จนถึงตอนนี้อังคารจะยังไม่รู้จักเพียงออดีนัก
แต่ความฝันที่เพิ่งพ้นผ่านก็ทำให้เด็กหนุ่มแน่ใจแล้วว่า เพียงออถึงแก่ความตายด้วยสาเหตุใด
*****|| TBC ||*****
ตอนนี้ว่าด้วยชีวิตบั้นปลาย(ก่อนวัยอันควร)ของขลุ่ยค่ะ
เขียนเองก็สงสารเอง คนอะไรจะโชคร้ายได้ขนาดนี้...
แค่ยิ้มสวย แค่มีตาสีแปลกก็โดนคนร้ายหมายตาเข้าให้
เอาเป็นว่าอ่านจบแล้วก็อย่าเครียดจนเกินไปนะคะ
เราเป็นห่วง รู้ไหมเอ่ย
No comments:
Post a Comment