<|No.05|>
ว่าชายทำไม
ชายแค่หวังดี?!
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
“โอ๊ย!” สุ้มเสียงบ่งบอกความเจ็บปวดดังขึ้นหลังจากเจ้าบ้านตบเท้าเข้าห้องได้เพียงเสี้ยววินาที
“เมื่อกี๊มันอะไรวะ?!” เด็กวิศวะบ่นเป็นหมีพลางเบี่ยงปลายเท้าร้าวระบมหลบสิ่งกีดขวางบนพื้นที่ตนไม่คุ้นเคย
แต่ใครเลยจะรู้ว่าเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา สถานที่ซุกหัวนอนเก่าคร่ำคร่าของเขาจะถูกยกระดับขึ้นเป็นค่ายกลไปเสียแล้ว
“อู๊ยยยย!” หัวแม่เท้ายังไม่ทันหายเจ็บดีแท้ ๆ หน้าแงก็เสือกแร่เข้าไปปะทะกับมุมคม ๆ ของอะไรสักอย่างที่ทำด้วยไม้...
เฮ่ย! เดี๋ยวดิ...
ถ้าเขาไม่ได้เบลอจนเข้าผิดห้องแล้วไอ้แง่งตู้เมื่อกี๊มันจะโผล่มาได้อย่างไรล่ะ?
ความรู้สึกอยู่ผิดที่ผิดทางกับสังหรณ์บางอย่างทำให้เฟรชชี่หน้าหนวดรีบคลำหาสวิตช์ไฟอย่างเร็วรี่
“เฮ่ย?!!” สภาพห้องที่แน่นขนัดไปด้วยเฟอร์นิเจอร์หน้าตาทันสมัยพร้อมด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกหลากหลายทำให้เด็กปีหนึ่งผงะไปครู่ใหญ่
ๆ แต่เมื่อกรอบสายตาเลื่อนไปเห็นเรือนร่างขนาดน้อง ๆ ควายของรุ่นพี่ต่างคณะบนเตียงหลังใหม่ใจกลางห้อง
เขาก็ได้สติ “พี่ชาย พี่ชายตื่นขึ้นมาคุยกันก่อนพี่!”
“อือ”
เสียงตวาดก้องของเจ้าบ้านไม่ระคายหูคนนอนเลยสักนิด ชายชาตรีบิดตัวเล็กน้อยพร้อมเคี้ยวน้ำลายสองแจ๊บก่อนจะแน่นิ่งไปอีกครั้ง
“พี่ชาย
ตื่นดิวะพี่! เรามีเรื่องต้องคุยกันนะเว่ย!” อารามร้อนใจเมื่อเห็นสิ่งแวดล้อมเดิม
ๆ ถูกแทรกแซงเสียย่อยยับ พอ ๆ กับอดห่วงอนาคตอันใกล้ของอีกฝ่ายไม่ได้ เด็กวิศวะจึงปราดเข้าไปชาร์จหัวไหล่หนาทั้งสองข้างพลางออกแรงเขย่าร่างรุ่นพี่จนหัวสั่นหัวคลอน...
ช่างหัวเรื่องสัมมาคารวะกับอาวุโสมันไปก่อนเถอะ ถ้าคืนนี้เขายังไม่ได้ฟังคำอธิบายดี
ๆ คนต้นเรื่องก็อย่าหวังว่าจะมีค่ำคืนอันสงบสุขอีกเลย!
“อือออ”
ความพยายามครั้งที่สองเหมือนจะได้ผลเพราะคนนอนราบยอมลุกขึ้นนั่งในที่สุด
“นี่พี่ทำบ้าอะไรของพี่เนี่ย?
ทำไมห้องผมถึงเป็นแบบนี้?” ยิ่งเห็นชายชาตรีนั่งก้มหน้าก้มตาด้วยอาการสำรวม เด็กวิศวะผู้เห็นคุณค่าของเงินตรายิ่งกว่าใคร
ๆ ก็สวดรุ่นพี่ไม่มียั้ง “ผมบอกพี่แล้วไม่ใช่เหรอว่าให้หัดรู้จักคุณค่าของเงิน
ไม่ทันไร พี่ก็กระหน่ำซื้อของบ้าบออะไรมาตั้งเยอะแยะ
แล้วเงินที่แม่พี่ให้มาน่ะหมดหรือยัง? ตอนนี้เหลือเงินเท่าไรแล้วพี่?”
“...”
ในเมื่อความเงียบไม่ใช่คำตอบที่น่าพอใจ
เจ้าบ้านที่ยืนค้ำหัวผู้อาศัยด้วยท่าทางองอาจก็ลงมือกระตุ้นอีกฝ่ายด้วยวาจาแถมด้วยการกระทำอีกคำรบ
“เฮ่ยพี่ชาย! นี่พี่ได้ยินที่ผมถามป่ะเนี่ย? ซื้อของไปเยอะขนาดนี้
สรุปว่าพี่เหลือเงินเท่าไรแล้วครับ? พี่มีเงินเหลือพอไปทำสัญญาห้องวันพรุ่งนี้หรือเปล่า?”
ทันทีที่สิ้นแรงเขย่า ลูกควายน้อยก็หงายหลังผึ่งพร้อมกับกรนเอร็ดอร่อย
“พี่ชาย! พี่ชาย!” หลังจากเฝ้าเพียรก่อกวนชายชาตรีอยู่อีกพักใหญ่ ๆ สุดท้าย เฟรชชี่หน้าหนวดก็ยอมพ่ายแพ้ให้กับคนขี้เซาอย่างหมดรูป
“พี่ชายนะพี่ชาย!”
“ค่าไฟเดือนนี้บานเบอะแหง
ๆ !” ยิมยืนเท้าเอวมองรุ่นพี่ต่างคณะอย่างปลง
ๆ ก่อนจะเดินไล่ถอดปลั๊กบรรดาเครื่องใช้ไฟฟ้าที่คนขี้เซาเสียบค้างไว้พร้อมกับปิดแอร์แล้วแหงนพัดลมเลื่อนไปจ่อให้ใกล้
ๆ แม้ปากจะบ่นประโยคเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ก็ตามที
เสียงพัดลมก๊อกแก๊กไม่ได้สร้างความรำคาญให้แก่ชายชาตรีได้หนักข้อเท่ากับไอร้อนระอุที่เช้าวันใหม่นำพามาเป็นเพื่อน
แม้จะพยายามเตะถีบผ้าผวยให้หลุดพ้นตัวจนถึงจุดที่ใกล้ต้องเปลื้องผ้า เด็กบริหารก็ค่อย
ๆ หยีตาแล้วหยัดตัวชะโงกมองหาสัญญาณชีพของแอร์ที่เพิ่งติดตั้งใหม่ ๆ ด้วยสีหน้าหงุดหงิดติดหมัด
“อะไรกัน แอร์เสียเหรอ?”
เด็กบริหารชักสีหน้าก่อนจะกวาดสายตาขวาง
ๆ มองหารีโมทคอนโทรลของเครื่องปรับอากาศลูกรักรายใหม่ แต่แล้วรังสีอำมหิตจากมุมมืดด้านหลังกลับเรียกร้องความสนใจของชายชาตรีได้อย่างน่าประหลาด
“เฮ่ย?!” รุ่นพี่ถึงกับสะดุ้งเมื่อเห็นเจ้าของห้องนั่งอุดอู้อยู่ตรงมุมโต๊ะญี่ปุ่นที่ดูเล็กไปถนัดตาเมื่อมีพร็อพใหม่มากมายประดังประเดเข้ามาประดับอย่างไม่ปรานี
“ตื่นแล้วก็ดีพี่?”
และแล้วโอกาสที่ยิมเฝ้ารอมาตั้งแต่เมื่อคืนก็มาถึง
“หือ?”
ชายชาตรีกระพริบตามองรุ่นน้องอย่างงง ๆ
“เรามีเรื่องต้องคุยกันครับ”
ทันทีที่ไล่ให้รุ่นพี่ลุกไปอาบน้ำแต่งตัวได้สำเร็จ
ยิมก็เรียกคนโตกว่าในชุดนักศึกษามาไต่สวนความผิดหน้าโจ๊กบนโต๊ะญี่ปุ่นตัวเดิมเพิ่มเติมคือความแออัด
“พี่ทำอะไรกับห้องผม?"
“ยิมไม่ชอบเหรอ?”
“เรื่องชอบไม่ชอบน่ะไว้คุยกันทีหลัง
ตอนนี้ผมอยากรู้ว่าพี่เหลือเงินสดติดตัวอยู่เท่าไร?” ไป ๆ มา ๆ ไอ้ที่น่าห่วงน่ะไม่ใช่ห้องแคบ
ๆ ของเขาหรอก ยอดเงินคงเหลือของอีกฝ่ายต่างหากล่ะที่ทำเอายิมนอนกระสับกระส่ายตลอดทั้งคืน
“ไม่รู้สิ
พี่ยังไม่ได้นับ” เด็กบริหารตอบง่าย ๆ พลางคนโจ๊กเด็กใส่ไข่ในชามอย่างเลื่อนลอย
“งั้นก็เอาออกมานับเลยครับ
ผมอยากรู้ว่าพี่จะมีเงินเหลือพอไปทำสัญญาเช่าห้องเย็นวันนี้หรือเปล่า”
“ไม่รอกินโจ๊กให้เสร็จก่อนเหรอ?”
คนพูดเหลือบมองโจ๊กหอมกรุ่นในชามสลับกับหน้ารุ่นน้องด้วยสายตาเว้าวอน
“ยิมไม่หิวหรือไง?”
“เดี๋ยวค่อยกินก็ได้ครับ
นับเงินกันก่อนดีกว่า” ความหวังดีของอีกฝ่ายถูกปัดตกอย่างไร้เยื่อใยเพราะยิมเดือดเนื้อร้อนใจจนกระเดือกอะไรไม่ใคร่จะลง
“งั้นพี่ชายขอเปิดแอร์หน่อยได้ไหม
พี่ชายร้อนอ่ะ” การที่คู่สนทนาไม่ตอบอะไร หากแต่ใช้ปลายเท้าเขี่ยพัดลมให้หันกลับมาจ่อเข้าเหง้าหน้าจนริมฝีปากกระพือ
พร้อม ๆ กับส่งสายตาแนบใบหน้าโหดเหี้ยมเทียมมหาโจรมาให้ ก็ช่วยให้ชายชาตรีสงบลงได้อย่างน่าทึ่ง
“อ่า... งั้นก็นับเงินเลยแล้วกันเนอะ” สายเปย์ยิ้มเจื่อนพลางควักกระเป๋าตังค์ใบหรูขึ้นมาวางบนโต๊ะแล้วเอาธนบัตรปึกสุดท้ายออกมาเริ่มนับ
“หนึ่งร้อย...
สองร้อย... เจ็ดร้อย... แปดร้อย... แปดร้อยกับอีกห้าร้อย...” ชายชาตรีพึมพำพลางตั้งโจทย์บวกเลขสามหลักในใจซึ่งนั่นทำให้เด็กหน้าหนวดโพล่งขึ้นอย่างเหลืออด
“พันสามพี่”
“อ้อ
เอ้อ! พันสาม... พันสี่ แล้วก็...”
เมื่อเห็นรุ่นพี่ตั้งท่าจะเริ่มนับแบงค์ย่อยกับเหรียญเล็กเหรียญน้อยที่กองอยู่บนโต๊ะญี่ปุ่น
ยิมก็แหวขึ้น “เดี๋ยวพี่?!
แบงค์พันล่ะพี่
แบงค์พันไปไหนหมด? ทำไมพี่ไม่เอาแบงค์พันออกมานับด้วย?”
“แบงค์พันเหรอ?”
เจ้าของเงินทำท่านึกนิดหนึ่งก่อนจะเฉลยความนัยด้วยน้ำเสียงซื่อ ๆ “ไม่มีหรอก”
“ห๊ะ?!! ว่าไงนะพี่?” วิญญูชนผู้อับจนข้นแค้นเป็นปกติวิสัยถึงกับอ้าปากค้างพลางทำหน้าไม่เชื่อหูตัวเอง...
เงินกำลังจะหมุนไป
กำลังจะหมุนไป กำลังจะหมุนไป... จู่ ๆ เสียงเพลงประกอบโฆษณาที่เคยได้ยินตอนเด็ก
ๆ ก็ดังวนขึ้นในหัวแบบไม่รู้จักจบสิ้น เด็กปีหนึ่งจึงไม่ทันได้ชื่นชมสายตาสงสัยคล้ายจะถามว่า
‘ยิมหูตึงเหรอ?’ ที่รุ่นพี่แอบมอบให้ไปอย่างน่าเสียดาย
“เมื่อกี๊พี่ชายบอกว่าแบงค์พันหมดแล้ว”
ชายชาตรีช่วยสงเคราะห์รุ่นน้องที่นั่งตัวแข็งทื่ออีกครั้งอย่างช้า ๆ ชัด ๆ จัดเต็ม
“เอาจริงดิ?!!”
“ก็จริงน่ะสิ”
ไม่พูดเปล่า เจ้าของเงินยังมีน้ำใจยกกระเป๋าสตางค์ขึ้นมากาง คว่ำ แล้วเขย่าตอกย้ำต่อหน้าพร้อมกับลอยหน้าลอยตาเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ
“นี่ไง บ๋อแบ๋ เกลี้ยงกระเป๋าเลย”
“เฮ่ยพี่! มันจะเป็นไปได้ยังไง?! ก็เมื่อวานผมเห็นกับตาว่าแม่พี่เพิ่งให้แบงค์พันมาตั้งปึกเบ้อเร่อ
เงินตั้งเยอะตั้งแยะ จะหายวับไปภายในเวลาไม่ถึงชั่วข้ามคืนได้ยังไง? ไม่มีทางอ่ะ...ผมไม่เชื่อพี่หรอก!!” ยิมประกาศกร้าวราวกับกำลังต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
“อ่ะ
งั้นยิมเอากระเป๋าตังค์พี่ไปดูเลยก็ได้” ในเมื่อรุ่นน้องทำตัวสตรองใส่แบบนี้ สายเปย์ก็จำต้องยื่นหลักฐานให้เจ้าพนักงานเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองอย่างไม่มีทางเลือก
ยิมถอนหายใจยาวเหยียดพลางมองกระเป๋าตังค์ที่คนตรงหน้ายื่นให้แบบไม่คิดอะไร
ก่อนจะส่ายหัวให้เพื่อปฏิเสธกลาย ๆ ด้วยไม่คิดจะล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวของอีกฝ่ายแต่อย่างใด
“พี่เอาเงินไปทำอะไรหมด ผมถามจริง ๆ ”
“พี่ก็เอาไปซื้อข้าวของพวกนี้ไง”
เด็กปีสามเผยมือไปรอบ ๆ ตัวพลางเอ่ยอย่างภาคภูมิใจในข้าวของมากมายที่ช่วยบันดาลให้ห้องนี้กลายเป็นรังหนูไปในพริบตา
“แล้วพี่ชายจะขนซื้อมาทำไมล่ะครับ
นี่มันห้องผมนะพี่!”
“ก็พี่เห็นยิมดีกับพี่
แถมยิมยังคอยเตือนสติพี่ พี่เลยอยากตอบแทนยิมบ้าง” ชายชาตรียิ้มร่าพลางสาธยายวีรกรรมความป๋าของตัวเองแค่พอสังเขป
“นี่ยังน้อยนะ กับคนอื่นพี่ให้เยอะกว่านี้อีก”
ชายหนุ่มรุ่นน้องถึงกับเกาหัวแกรก
ๆ “โธ่! ช่วงวิกฤตแบบนี้ผมว่าพี่ควรเอาตัวเองให้รอดก่อนคิดตอบแทนคนอื่นนะเว่ย!”
“ยิมไม่ต้องห่วงหรอกน่า
พี่ชายยังมีบัตรนี่อีกตั้งใบ” คนโตกว่าแย้งอย่างไม่สำนึก ยิ่งเมื่อเห็นคู่สนทนาทอดถอนใจ
ชายชาตรีจึงเร่งชี้แจงทางออกของเรื่องคาใจดังกล่าวโดยไม่ยึกยัก “เมื่อวานพี่ชายไปลองรูดซื้อของมาแล้ว
มันใช้ได้”
“ห๊ะ?! เมื่อวานพี่ใช้บัตรนี่แล้วด้วย?!” เป็นอีกครั้งที่ยิมหูอื้อตาลายกับพฤติกรรมการใช้จ่ายของรุ่นพี่...
นี่น่ะเหรอสภาพจิตใจของคนที่เพิ่งถูกพ่อแม่ตัดหางปล่อยวัดมาหมาด ๆ ?
จะต้องรอให้เงินหมดก่อนหรือไงถึงจะได้สติ?!
“ก็ใช่น่ะสิ
นี่ยิมคิดว่าพี่ซื้อเสื้อผ้า ซื้อแอร์ ซื้อเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดนี่ด้วยเงินสดเหรอ?”
ชายชาตรีเจื้อยแจ้วไปเรื่อยโดยไม่สนใจรุ่นน้องที่นั่งตาค้าง
หุบขากรรไกรล่างไม่ลงเลยสักนิด “บ้าหรือยิม ขืนทำแบบนั้นเงินสดก็หมดตัวกันพอดีสิ! ยอดซื้อหลายหมื่นน่ะต้องรูดบัตรเท่านั้นนะ
ถึงจะคุ้ม แถมยังได้คะแนนสะส...”
“แล้วงั้นแบงค์พันพี่หายไปไหนหมดอ่ะ?!” แม้จะยังช็อกไม่หาย
แต่สมองอันว่องไวของชายหนุ่มผู้มัธยัสถ์เป็นชีวิตจิตใจกลับยังทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี
“พี่จ่ายค่าเช่าที่ยิมติดเจ้าของตึกแทนให้
แถมยังจ่ายค่าเช่าของปีหน้าให้ทั้งปี ทีนี้ยิมก็จะอยู่ห้องนี้ได้โดยที่ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าเช่าแล้วยังไงล่ะ”
“ห๊ะ?!! เมื่อกี๊พี่ว่าอะไรนะ?!”
“เมื่อกี๊ยิมไม่ได้ยินที่พี่พูดเหรอ?”
พอโดนถามย้ำมาก ๆ เข้า ชายชายตรีก็ลืมตัวกลอกตา เบ้ปาก พร้อมทำท่าเอือมระอาเลียนแบบอาการเซ็งของพิชญ์ใส่รุ่นน้องจนโดนมองแรงตอบโต้
สายเปย์จึงรีบกลับลำตั้งหน้าตั้งตาอธิบายเร็วรี่ “ก็เมื่อวานตอนที่ช่างมาติดตั้งแอร์กับมาส่งของน่ะ
เจ้าของตึกก็มาคุยกับพี่ มาบอกพี่ว่ายิมติดค่าเช่าอยู่หลายเดือน
พี่เลยช่วยเคลียร์ให้ แล้วก็จ่ายค่าเช่าไปจนถึงสิ้นปีหน้ารวดเดียวเลย...”
ทันทีที่หายตกใจและสมองเริ่มประมวลผลอีกครั้ง
เด็กวิศวะก็เริ่มจะเห็นเค้าลางของความวินาศสันตะโรอยู่ไหว ๆ “... เดี๋ยวนะพี่...”
“...
ตอนแรกพี่ก็กะว่าจะแอบทำเซอร์ไพรส์ยิมอยู่หรอก แต่ไม่เป็นไร... ไว้คราวหลังก็ได้” แม้จะโดนยิมเอ่ยแทรก
แต่ชายหนุ่มรุ่นพี่กลับจมปลักอยู่ในมโนภาพว่าด้วยแผนการอันสวยหรูของตัวเองไม่เลิกรา
“...
เมื่อกี๊พี่บอกว่าเจ้าของห้องมาทวงค่าห้องกับพี่เหรอ?”
“ฮื่อ! ก็ใช่น่ะสิ เจ้าของตึกที่เป็นอาแปะอ้วน ๆ ไว้หนวดจุ๋มจิ๋มสองสามหย่อมเหนือปากน่ะ” สายเปย์ระบุรูปพรรณสัญฐานของผู้ร่วมสมคบคิดด้วยน้ำเสียงเริงรื่น
“อ้วน
ๆ ... หนวด ๆ ?...” ในที่สุด ปริศนาก็ถูกไขจนกระจ่าง “เฮ่ย! ไอ้อ้วนนั่นมันเจ้าของตึกที่ไหนกันล่ะพี่?! ที่สำคัญ ผมไม่เคยค้างค่าเช่าห้องเลยนะเว่ย!”
ชายชาตรีเริ่มตกใจจนเม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นทั่วเนื้อตัว
“ยิมล้อพี่ชายเล่นหรือเปล่า? ก็เขาบอกพี่ชายเองว่าเขาเป็นเจ้าของตึก ตอนเขาเดินเข้ามาดูห้อง
เขาก็คุยกับช่างรู้เรื่องไฟ เรื่องท่อน้ำประปาของตึกนี้ละเอียดมากเลยนะ”
“พี่เลยให้เงินมันไปง่าย
ๆ อย่างนั้นน่ะเหรอ?!” เฟรชชี่ตวาดเสียงหลง... ที่ผ่านมา คน
ๆ นี้กลายเป็นเหยื่อให้กับใครบ้างวะ? เฮ่อ! คนอะไรจะซื่อขนาดยอมควักเงินสดให้คนแปลกหน้าโดยไม่ขอดูหลักฐานอะไรเลยสักชิ้น?
“ก็พี่ชายไม่รู้หนิ”
“โธ่โว้ย!” ยิ่งฟังคำพูดของอีกฝ่าย ยิมก็นึกอยากจะดึงตัวชายชาตรีมาเขย่า
ๆ ให้หายซื่อ แต่พอเห็นรุ่นพี่ทำหน้าสลด เขาก็เลิกความคิดดังกล่าวไปในบัดดล
เอาเถอะ! ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว พวกเขาก็คงต้องค่อย
ๆ แก้ปัญหาไปทีละเปลาะนั่นแหละนะ
คิดได้ดังนั้น
ยิมลุกพรวดพราดแล้วเดินดุ่ม ๆ ออกจากห้องไปเคาะประตูห้องตรงข้ามโดยไม่เอ่ยคำใด ฝ่ายชายก็รีบเดินตามไปแอบสำรวจความเคลื่อนไหวของชายหนุ่มรุ่นน้องแบบไม่ละสายตา
“เอะอะอะไรของมึงแต่เช้าวะไอ้ยิม?
คนจะหลับจะนอนเนี่ยไม่เห็นเรอะ?!” ยิมเคาะประตูอยู่เพียงไม่นาน เจ้าของห้องตรงข้ามก็ชะโงกหน้าออกมาจากซอกประตูอย่างงัวเงียและหงุดหงิด
“ไอ้เก่ง
พี่มึงอยู่ไหน?!”
“นี่มึงมาเคาะห้องกูแต่เช้าเพื่อถามหาไอ้โก้เนี่ยนะ”
สีหน้าถมึงทึงผิดปกติของเพื่อนบ้านทำให้เก่งไม่กล้าหือ “กูไม่รู้หรอกว่าแม่งหายหัวไปไหน
รู้แค่ว่ามันออกไปตั้งแต่เย็นวาน จะกลับเมื่อไรมันก็ไม่บอก”
“วันไหนพี่มึงกลับมา
โทรหากูด้วย!”
ยิมกำชับหนักแน่นจนคนฟังตงิดใจ
“ทำไม?
มึงมีอะไรกับไอ้โก้มันเหรอ?”
“มันติดเงินเงินพี่กูหลายหมื่น”
“พี่มึง?” เก่งจำไม่ยักได้ว่าเจ้าของห้องตรงข้ามกับตนมีญาติโกโหติกาที่ไหน
ก็เห็นมันบอกตอนย้ายเข้ามาใหม่ ๆ ว่ามันเป็นเด็กกำพร้าอาศัยข้าวก้นบาตรกินนี่หว่า
“โน่น คนโน้น”
เด็กวิศวะว่าพลางพยักเพยิดไปทางชายชาตรีที่ยืนคลี่ยิ้มอาย ๆ อยู่ในห้อง
“นั่นพี่มึงแน่เหรอวะ?
หน้าตาไม่เห็นเหมือนกันเลย!”
“อย่างกับมึงเหมือนไอ้โก้นักแหละ!” เฟรชชี่หน้าหนวดย้อนด้วยความจริงที่ยากจะปฏิเสธ
เพราะกระทั่งชายชาตรียังอดเห็นด้วยไม่ได้ว่า เจ้าของห้องตรงข้ามที่ดูคมขำคล้ายคนใต้
ดูไม่น่าจะเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับนักต้มตุ๋นเมื่อเย็นวานเลยสักนิด “อย่าลืมนะเว่ย
ถ้าไอ้โก้กลับมา มึงต้องบอกกูทันที!” ยิมตัดบทเด็ดขาดจนแม้คนฟังจะยังไม่ปักใจเชื่อร้อยเปอร์เซนต์
ทว่าเก่งก็ไม่คิดจะโต้แย้งให้ผิดใจกันไปเปล่า ๆ ปลี้ ๆ
“เออ ๆ
ไว้มันกลับมาเมื่อไรกูจะรีบบอกมึงแล้วกัน”
.
.
.
.
.
.
“สรุปว่าเมื่อวานนี้พี่ชายให้เงินไอ้โก้มันไปเท่าไร?”
ยิมซักไซ้ทันที่ที่เสร็จธุระกับเพื่อนร่วมหอ
“เขาบอกว่ายิมค้างค่าห้องหกเดือน
แล้วพี่ก็จ่ายค่าเช่าของปีหน้าอีกทั้งปี รวมทั้งหมดก็สิบแปดเดือนพอดี...” ค่าที่ละอายกับความผิดของตัวเอง
ชายชาตรีจึงพูดอ้อมไปอ้อมมาอย่างสงวนท่าที แต่ต่อให้รุ่นพี่จะโยกโย้กว่านี้ มีหรือที่เฟรชชี่ผู้ที่เค็มจนเกลือร้องไห้จะคำนวณยอดเงินตามไม่ทัน
“หกหมื่นสาม?! หกหมื่นสามเนี่ยนะพี่?!”
“หึ!” พอเห็นชายชาตรีส่ายหัวดิก ยิมก็อดโล่งอกไม่ได้...
แล้วไป นึกว่าจะซื่อจนยอมยกเงินทั้งกระเป๋าให้เขาไปทั้งหมดเสียอีก กระนั้น
ประโยคที่ตามมาในชั่วอึดใจกลับทำให้เด็กปีหนึ่งหน้ามืดวิงเวียนคล้ายจะเป็นลมได้ในชั่วพริบตา
“หกหมื่นห้าต่างหาก
เขาบอกว่าเขาต้องเก็บค่าดอกเบี้ยของช่วงหกเดือนที่ยิมจ่ายช้าอีกห้าพัน นี่ดีนะที่เขายอมลดให้ตั้งสามพัน
ไม่งั้นเมื่อวานพี่คงไม่เหลือเงินกินข้าวเย็น” ชายชาตรีจาระไนหมดเปลือกอย่างไร้เล่ห์เหลี่ยม
“โอ๊ย!
พี่ยอมให้เงินหกหมื่นห้ากับคนแปลกหน้าได้ยังไง?!
โว้ย! ผมอยากจะบ้า!!”
“ยิม...
พี่ชายผิดไปแล้ว พี่ชายไม่รู้ พี่ชายขอโทษ พี่ชายแค่หวังดี พี่ชายอยากให้ยิมอยู่ที่นี่สบาย
ๆ ”
“ทำไมพี่ชายไม่เอะใจบ้างวะ? จ่ายค่าห้องล่วงหน้าตั้งหนึ่งปีนะเว่ย
ใบส่ง ใบเสร็จมันก็ต้องมีไม่ใช่เหรอ?”
“ก็เขาบอกว่าจะเอาใบเสร็จมาให้วันนี้นี่นา
พี่ชายก็เลยคิดว่าเดี๋ยวพี่ชายค่อยเอาใบเสร็จมาเซอร์ไพรส์ยิมอีกที” สายเปย์เสียงอ่อย
“พี่ชายขอโทษนะยิม พี่ชายไม่รู้จริง ๆ พี่ชายคิดว่าพี่ชายยังพอมีเงินติดตัวอยู่
พี่ชายเลยอยากทำอะไรเพื่อยิมบ้าง”
ประโยคทิ้งท้ายของอีกฝ่ายทำให้ความเสียดายของยิมอันตรธานไปในพริบตา...
นั่นสิ! แล้วเขาจะเป็นเดือดเป็นร้อนกับเงินพี่ชายไปทำไมวะ?
เป็นห่วง
หรือ อิจฉาที่ไม่มีปัญญาทำอย่างเขา?
ช่างเถอะ! พี่ชายจะเอาเงินกี่หมื่นกี่ล้านไปใช้อะไร
มันก็เรื่องของเขาหรือเปล่าวะไอ้ยิม?
“พี่ไม่ต้องขอโทษผมหรอก
ก็ไอ้ที่พี่ใช้น่ะมันเงินพี่ทั้งนั้นนี่หว่า”
“...”
ชายชาตรีหุบปากฉับพลางมองหน้ารุ่นน้องตาปริบ ๆ ด้วยกลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายโวยวายขึ้นมาอีกระลอก
“เอาเป็นว่าตอนนี้เรามาหาทางแก้ปัญหาตรงหน้ากันก่อนเหอะ
ส่วนเงินหกหมื่นห้าที่ไอ้โก้มันเอาไป เดี๋ยวผมจะตามทวงให้พี่เอง” เด็กวิศวะสรุปด้วยการไม่คิดปัดความรับผิดชอบใด
ๆ ซึ่งนั่นทำให้คนฟังอดซึ้งใจไม่ได้
“ยิมไม่ต้องเครียดนะ
ทุกปัญหามีทางออก เชื่อพี่ชายสิ”
เจ้าบ้านหน้าหนวดมองไปรอบ
ๆ ห้องพลางใคร่ครวญหาทางออกให้กับปัญหาเร่งด่วนของอีกฝ่ายพร้อมแนะนำ “จริง ๆ ผมว่าผมเอาข้าวของพวกนี้ไปคืนเขาดีกว่าว่ะพี่
พี่จะได้เอาเงินไปจ่ายค่าเช่าห้องเย็นนี้ด้วยไง”
เท่าที่เขากะด้วยสายตา
สายเปย์น่าจะรูดบัตรไปไม่ต่ำกว่าห้าหมื่น ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าว สามารถเช่าห้องแอร์ได้
แถมยังน่าจะเหลือเงินพอใช้ไปทั้งเดือนได้อย่างสบาย ๆ อีกด้วย ทว่าเจ้าของเงินกลับเห็นต่าง
“ไม่ต้อง
ๆ เดี๋ยวเย็นนี้พี่ชายใช้บัตรใบนี้จ่ายค่าห้องไปก่อน ยิมไม่รู้เหรอว่าบัตรใบนี้ใช้รูดแถมกดเงินสดได้ด้วยนะ
สะดวกมาก ๆ !” ชายชาตรีโบกบัตรเครดิตสีดำในมือไปมาพลางอวดอ้างสรรพคุณสุดฤทธิ์
แต่น่าผิดหวังที่มันโน้มน้าวคนฟังแทบไม่ได้
“อย่าเลยพี่
ผมว่าเราเอาของไปคืนแล้วเอาเงินสดมาดีกว่า”
.
.
.
.
.
.
“คืนไม่ได้หรอก”
ชายชาตรียู่หน้าพลางเอ่ยสารภาพด้วยน้ำเสียงไม่เต็มใจ... ทำไมยิมถึงชอบให้พี่ชายพูดเรื่องน่าอายด้วยก็ไม่รู้
“หา?!”
“ของพวกนี้มันคืนไม่ได้หรอก”
คนโตกว่ายิ่งอึกอักเมื่อตระหนักว่า จนป่านนี้ เจ้าของห้องก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเข้าใจสิ่งที่เขาพูดเสียที
“ทำไมอ่ะพี่?”
“ก็มันเป็นของลดราคา
เขาบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าซื้อแล้วห้ามคืนนี่นา!” สายเปย์กระเง้ากระงอดใส่อีกฝ่ายที่ไม่ได้อินังขังขอบใด ๆ ทั้งสิ้น...
ทำไมยิมต้องให้พี่ชายยอมรับด้วยว่าพี่ชายซื้อของเซลล์? มันเสียประวัติพี่ชาย ยิมเข้าใจไหม?!!
“โธ่เว้ย! ให้มันได้อย่างนี้ดิวะ!”
อาการผิดหวังอย่างรุนแรงของรุ่นน้องต่างคณะทำเอาชายชาตรีเลิกพะวงถึงเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบปลิดทิ้ง
“ยิมอย่าโกรธเลยนะ พี่ชายขอโทษ!”
แววตาเศร้า
ๆ ไม่สดใสกับท่าทางเซื่อง ๆ ผิดกับชายชาตรีเวอร์ชั่นที่เห็นเป็นประจำทำให้เฟรชชี่หน้าหนวดไม่คิดจะตำหนิติเตียนอีกฝ่ายให้ยิ่งซึมหนัก
“ผมไม่ได้โกรธพี่
ผมแค่ตกใจกับการใช้เงินของพี่ พี่แม่ง... ใช้เงินโคตรเก่งอ่ะ”
“จริง
ๆ ถ้าไม่ถูกคุณชายพ่อไล่ออกจากบ้านเสียก่อน เมื่อวานพี่อาจจะใช้เงินเยอะกว่านี้ก็ได้นะ”
สายเปย์พยายามปลุกปลอบรุ่นน้องในรูปแบบที่ตัวเองถนัด
“พอ
ๆ เลิกอวดรวยเหอะพี่ เหลือเงินติดตัวแค่พันสี่นี่แปลว่าพี่ต้องหัดเจียมเนื้อเจียมตัวได้แล้วนะครับ”
“เหรอ?
พี่ต้องเจียมตัวแล้วเหรอ?” ชายชาตรีเลิกคิ้วพลางมองหน้าคู่สนทนาอย่างเด๋อ ๆ ด๋า ๆ
“ก็เออดิพี่! คนรวยที่ไหนจะมีเงินติดตัวแค่พันสี่กัน”
“แต่พี่ยังมีบัตรเครดิตไม่จำกัดวงเงินอยู่อีกตั้งใ...”
น้ำเสียงเจื้อยแจ้วของรุ่นพี่ช่างเถียงถูกเสียงท้องร้องโครกครากดังแทรกจนเจ้าตัวเขินหน้าแดงเป็นตูดลิง
“อุ้ย! เสียงท้องพี่เองแหละ”
ยิมหลุดหัวเราะก่อนจะอาศัยอาการกระเพาะไม่เป็นใจมาเป็นเครื่องมือตักเตือนอีกฝ่ายให้ฉุกคิด
“หึ! ต่อให้ตอนนี้พี่จะมีบัตรวิเศษ แต่พี่ก็รูดซื้อโจ๊กถุงละสามสิบห้าบาทตรงหน้าไม่ได้อยู่ดี”
เด็กวิศวะว่าพลางดึงชามโจ๊กของชายชาตรีเข้าหาตัวพร้อมยักคิ้วใส่ “จริงไหมครับ?”
“...ยิม...
พี่ชายหิวแล้ว...” สายเปย์หน้าเข่าวิงวอนอย่างน่าสงสาร
“ถ้าอยากกินโจ๊กนี่
พี่ชายต้องสัญญากับผมก่อนว่าพี่จะเลิกฟุ่มเฟือย”
“พี่ชายสัญญาว่าจะเลิกฟุ่มเฟือย”
รุ่นพี่บริหารปฏิญาณขณะจับจ้องอาหารเช้าตาละห้อยโดยมีเสียงโครกครากดังคำรามเป็นแบ็คกราวด์เสริมความน่าเชื่อถือ
แม้ยิมจะไม่พอใจกับการเจื้อยแจ้วแบบขอไปทีของอีกฝ่าย
แต่เพราะรู้ซึ้งดีว่าอาการหิวโหยจนแสบไส้ทรมานเพียงใด เฟรชชี่จึงไม่คิดจะทำร้ายรุ่นพี่ตาดำ
ๆ โดยไม่จำเป็น “เฮ่อ! ครั้งนี้ผมยอมให้พี่ก่อนก็ได้ อ่ะ! กินได้แล้วพี่ เดี๋ยวโจ๊กมันจะเย็นจนไม่อร่อยไปเสียก่อน”
“โจ๊กเย็นเหรอยิม?”
ชายชาตรีตาโต ทำหน้าดีอกดีใจราวกับเพิ่งได้ฟังเสียงสวรรค์ “ยิมไม่ต้องกลัวนะ
เพราะพี่มีนี่!” สิ้นคำ ชายหนุ่มรุ่นพี่ก็ผายมือไปที่ไมโครเวฟที่เทินอยู่บนชั้นเหนือหัวด้วยสีหน้าอวดเบ่งคล้ายเซลล์ขายเครื่องกรองน้ำตามบ้าน
ซึ่งนั่นทำให้ยิมระเบิดหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“เอาชามของยิมมาด้วยสิ
เดี๋ยวพี่ชายอุ่นโจ๊กให้” ท่าทางกุลีกุจออย่างเต็มอกเต็มใจของอีกฝ่ายทำให้คนมองได้แต่ส่ายหัวปลง
ๆ ทว่ากลับหุบยิ้มไม่ได้สักวินาที
“เฮ่อ!” ยิมถอนหายใจยาวพลางยื่นชามโจ๊กของตัวเองให้รุ่นพี่แต่โดยดี
พลางสั่งตัวเองให้เลิกคิดคำนวณค่าไฟที่ต้องจ่ายเพราะไม่อยากเผลอทำหน้าหงิกจนทำลายความสุขของอีกคน
“พี่ชาย”
เจ้าของร่างสูงใหญ่ที่นั่งยอง ๆ คว่ำจานชามที่เพิ่งล้างเสร็จลงในกะละมังอยู่ตรงระเบียงเอ่ยขึ้นลอย
ๆ
“หืม?! อะไรเหรอ?”
“ผมขออะไรอย่างได้ป่ะ?”
ยิมเบือนหน้าหันกลับไปมองรุ่นพี่ที่นั่งกระพือเสื้อใส่พัดลมพลางกระดิกขาไปมาอยู่บนเตียงอย่างเป็นสุข
“ยิมจะขออะไรพี่เหรอ?
ราคาไม่เกินพันสี่ใช่ป่ะ?”
คำถามตามนิสัยป๋า
ๆ ไม่คิดหน้าคิดหลังของอีกฝ่ายทำเอายิมจิ๊ปาก มุ่นคิ้ว ทำหน้าดุ
พร้อมกับย่างสามขุมกลับเข้ามาในห้องคล้ายจะเอาเรื่องจนชายชาตรีเอนตัวไปด้านหลังเพื่อตั้งหลัก
“ผมขอให้วันนี้พี่ลองใช้เงินแค่ร้อยเดียวได้ไหม?”
“โห! ร้อยเดียวเนี่ยนะ?! แค่ค่าแท็กซี่ไปมหาลัยยังไม่พอเลยมั้ง”
รุ่นพี่หน้าเข่าบ่นอุบโดยไม่ทันได้สำเหนียกว่า
ตนได้เผลอคายความลับทางราชการออกไปเสียแล้ว
“นี่พี่ตั้งใจจะนั่งแท็กซี่ไปมหาลัยงั้นเหรอ?”
ยิมสืบเท้าเข้าไปยืนค้ำหัวพลางกอดอกมองหน้ารุ่นพี่ใกล้ ๆ
“ก็ใช่น่ะสิ
ถ้าไม่มีรถขับ แล้วไม่เรียกแท็กซี่ แล้วพี่ชายจะไปเรียนได้ยังไงล่ะ?” ชายชาตรีย้อนถามโดยไม่ต้องยั้งคิด
“งั้นเดี๋ยวพี่ออกไปเรียนพร้อมผมนี่แหละ
พี่จะได้ไม่ต้องเสียเงินหลายร้อยให้คนขับแท็กซี่เปล่า ๆ !”
“ไม่นะยิม
คนขับเขาก็ขับไปส่งพี่ชายที่มหาลัยไง พี่ชายไม่ได้ให้เงินเขาเปล่า ๆ นะ”
“ไม่รู้ล่ะ
ยังไงวันนี้พี่ก็ต้องออกไปเรียนพร้อมผม” เฟรชชี่สรุปหนักแน่นจนคนฟังกลัวใจ
“เฮ่ย! ไม่เอา พี่ชายมีเรียนสิบโมง
ทำไมพี่ชายต้องไปมหาลัยตั้งแต่แปดโมงด้วยล่ะ?!” ต่อให้สายเปย์จะโวยวายให้ตาย
ก็ไม่อาจเปลี่ยนความตั้งใจของเด็กหน้าหนวดได้เลย ที่สำคัญ อีกฝ่ายกลับฉวยข้าวของทั้งหมดของเขาติดมือไป
โดยหนึ่งในนั้นคือกระเป๋าตังค์ที่มีบัตรเครดิตความหวังสุดท้าย ชายชาตรีจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากหมุนซ้ายหมุนขวาเพื่อสำรวจตรวจตราข้าวของที่อาจตกหล่นอยู่ในห้องพลางร้องตะโกนโหวกเหวก
“เฮ้ยยิม! รอพี่ชายด้วย!”
“พี่ล็อกห้องให้ผมด้วย
เดี๋ยวผมไปสตาร์ทรถรอ”
.
.
.
.
.
.
.
“เอาจริงเหรอ?”
สภาพบุโรทั่งของพาหนะที่เด็กวิศวะคร่อมอยู่ทำให้ชายชาตรีลังเล จริงอยู่ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเห็นอีกฝ่ายใช้งานรถมอเตอร์ไซค์คันดังกล่าว
เมื่อคราวก่อนที่มาค้าง ยิมยังขับไอ้เจ้าสองล้อสุดเยินคันนี้ผ่านหน้ารถแท็กซี่ของเขาไปฉลุย
แต่เมื่อเปลี่ยนฐานะจากผู้ชมมาเป็นผู้โดยสาร เขาก็อดหวั่นใจไม่ได้ “ยิมไปแท็กซี่กับพี่ไหม
พี่กลัววิ่ง ๆ ไปแล้วล้อมันจะหลุดน่ะ”
“เอาน่าพี่! ไม่ลองไม่รู้” รุ่นน้องจุดยิ้มมุมปากพลางเร่ง
“เร็วพี่ชาย! เดี๋ยวผมเข้าห้องสายพอดี” พูดจบ
เจ้าตัวก็ยื่นหมวกกันน็อคที่สภาพย่ำแย่ไม่แพ้รถใส่มือชายชาตรี
คนเป็นพี่จึงไม่มีทางเลือก
“เหวอออ!” ยิมอาศัยจังหวะที่รุ่นพี่เพิ่งหย่อนตัวลงนั่ง
บวกกับยังวุ่นวายกับการสวมหมวกนิรภัยบิดเร่งเครื่องพร้อมออกตัว ซึ่งเสียงอุทานด้วยความตกใจของอีกฝ่ายก็ทำให้คนขับระเบิดหัวเราะได้อีกครั้ง
“เกาะแน่น
ๆ นะพี่ ผมจะซิ่งแล้ว!”
“ไม่น่าเชื่อว่าจะขี่มาถึงมหาลัยได้”
ชายชาตรียังประหลาดใจไม่หายกับความว่องไวและไม่เกเรของเจ้าสองล้อคันตรงหน้า
ยิมหัวเราะเบา
ๆ พร้อมกับยื่นกระเป๋าตังค์คืนให้เจ้าของพลางมองหน้ารุ่นพี่อย่างเอาจริงเอาจัง “อ่ะพี่
อย่าลืมที่ผมขอนะ”
สายเปย์ทำหน้าเหมือนเด็กขื่นขมหลังถูกครูบังคับให้อมบอระเพ็ด
“ร้อยเดียวจริง ๆ เหรอยิม?”
“แค่จ่ายค่าข้าวกลางวันมื้อเดียวเอง
ร้อยเดียว... เหลือ ๆ ” ยิมพยักหน้าสำทับเพื่อยืนยันคำขอของตัวเอง
.
.
.
.
.
.
.
.
“ก็ได้...
พี่ชายจะพยายาม”
“ดีมากพี่
ผมเชื่อนะว่าพี่ต้องทำได้” เด็กวิศวะบีบหัวไหล่รุ่นพี่เบา ๆ คล้ายปลุกปลอบอยู่ในที
จากนั้นจึงทิ้งท้ายด้วยการนัดหมายกับอีกฝ่ายล่วงหน้าก่อนขับรถไปเรียนด้วยความหวังเต็มเปี่ยม
“ผมไปเรียนล่ะ... สามโมงเจอกันพี่”
ความสุขของยิมคงจะยืดยาวและเนิ่นนานกว่านี้ถ้าตอนพักกลางวัน
เด็กปีหนึ่งจะไม่ต้องขี่มอเตอร์ไซค์ตาลีตาเหลือกมาหารุ่นพี่บริหารถึงคณะเพื่อขอคำอธิบายเกี่ยวกับข้อความล่าสุดที่เจ้าตัวส่งมาให้เขาในช่วงสาย
ๆ ความว่า ‘ทำไงดียิม... บัตรเครดิตพี่ใช้ไม่ได้แล้วอ่ะ?!!’
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
ความในใจทิ้งท้ายตามสไตล์ชายชิค ๆ :
เวลาชายอวดของที่เพิ่งซื้อมาใหม่ พิชญ์ชอบด่าชายว่า
มีเงินอย่างเดียวซื้อไม่ได้นะ ต้องโง่ด้วย
แต่ชายว่าชายไม่โง่นะ ชายแค่ละเอียดอ่อนกับสินค้าที่มีชิ้นเดียวในโลกเอามาก
ๆ เท่านั้นเอง
$$$$<| TBC |>$$$$
No comments:
Post a Comment