Wednesday, December 14, 2016

ถ้าต้อยได้ ชายจะเป็นอมตะ ||#05|| 14.12.2016



<|No.05|>
ว่าชายทำไม ชายแค่หวังดี?!

……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...


“โอ๊ย!” สุ้มเสียงบ่งบอกความเจ็บปวดดังขึ้นหลังจากเจ้าบ้านตบเท้าเข้าห้องได้เพียงเสี้ยววินาที

“เมื่อกี๊มันอะไรวะ?!” เด็กวิศวะบ่นเป็นหมีพลางเบี่ยงปลายเท้าร้าวระบมหลบสิ่งกีดขวางบนพื้นที่ตนไม่คุ้นเคย แต่ใครเลยจะรู้ว่าเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา สถานที่ซุกหัวนอนเก่าคร่ำคร่าของเขาจะถูกยกระดับขึ้นเป็นค่ายกลไปเสียแล้ว

“อู๊ยยยย!” หัวแม่เท้ายังไม่ทันหายเจ็บดีแท้ ๆ  หน้าแงก็เสือกแร่เข้าไปปะทะกับมุมคม ๆ ของอะไรสักอย่างที่ทำด้วยไม้...

เฮ่ย! เดี๋ยวดิ...
ถ้าเขาไม่ได้เบลอจนเข้าผิดห้องแล้วไอ้แง่งตู้เมื่อกี๊มันจะโผล่มาได้อย่างไรล่ะ?
ความรู้สึกอยู่ผิดที่ผิดทางกับสังหรณ์บางอย่างทำให้เฟรชชี่หน้าหนวดรีบคลำหาสวิตช์ไฟอย่างเร็วรี่  

เฮ่ย?!!” สภาพห้องที่แน่นขนัดไปด้วยเฟอร์นิเจอร์หน้าตาทันสมัยพร้อมด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกหลากหลายทำให้เด็กปีหนึ่งผงะไปครู่ใหญ่ ๆ แต่เมื่อกรอบสายตาเลื่อนไปเห็นเรือนร่างขนาดน้อง ๆ ควายของรุ่นพี่ต่างคณะบนเตียงหลังใหม่ใจกลางห้อง เขาก็ได้สติ “พี่ชาย พี่ชายตื่นขึ้นมาคุยกันก่อนพี่!

“อือ” เสียงตวาดก้องของเจ้าบ้านไม่ระคายหูคนนอนเลยสักนิด ชายชาตรีบิดตัวเล็กน้อยพร้อมเคี้ยวน้ำลายสองแจ๊บก่อนจะแน่นิ่งไปอีกครั้ง

“พี่ชาย ตื่นดิวะพี่! เรามีเรื่องต้องคุยกันนะเว่ย!” อารามร้อนใจเมื่อเห็นสิ่งแวดล้อมเดิม ๆ ถูกแทรกแซงเสียย่อยยับ พอ ๆ กับอดห่วงอนาคตอันใกล้ของอีกฝ่ายไม่ได้ เด็กวิศวะจึงปราดเข้าไปชาร์จหัวไหล่หนาทั้งสองข้างพลางออกแรงเขย่าร่างรุ่นพี่จนหัวสั่นหัวคลอน... ช่างหัวเรื่องสัมมาคารวะกับอาวุโสมันไปก่อนเถอะ ถ้าคืนนี้เขายังไม่ได้ฟังคำอธิบายดี ๆ คนต้นเรื่องก็อย่าหวังว่าจะมีค่ำคืนอันสงบสุขอีกเลย!

“อือออ” ความพยายามครั้งที่สองเหมือนจะได้ผลเพราะคนนอนราบยอมลุกขึ้นนั่งในที่สุด

“นี่พี่ทำบ้าอะไรของพี่เนี่ย? ทำไมห้องผมถึงเป็นแบบนี้?” ยิ่งเห็นชายชาตรีนั่งก้มหน้าก้มตาด้วยอาการสำรวม เด็กวิศวะผู้เห็นคุณค่าของเงินตรายิ่งกว่าใคร ๆ ก็สวดรุ่นพี่ไม่มียั้ง “ผมบอกพี่แล้วไม่ใช่เหรอว่าให้หัดรู้จักคุณค่าของเงิน ไม่ทันไร พี่ก็กระหน่ำซื้อของบ้าบออะไรมาตั้งเยอะแยะ แล้วเงินที่แม่พี่ให้มาน่ะหมดหรือยัง? ตอนนี้เหลือเงินเท่าไรแล้วพี่?”

“...”

ในเมื่อความเงียบไม่ใช่คำตอบที่น่าพอใจ เจ้าบ้านที่ยืนค้ำหัวผู้อาศัยด้วยท่าทางองอาจก็ลงมือกระตุ้นอีกฝ่ายด้วยวาจาแถมด้วยการกระทำอีกคำรบ  “เฮ่ยพี่ชาย! นี่พี่ได้ยินที่ผมถามป่ะเนี่ย? ซื้อของไปเยอะขนาดนี้ สรุปว่าพี่เหลือเงินเท่าไรแล้วครับ? พี่มีเงินเหลือพอไปทำสัญญาห้องวันพรุ่งนี้หรือเปล่า?” ทันทีที่สิ้นแรงเขย่า ลูกควายน้อยก็หงายหลังผึ่งพร้อมกับกรนเอร็ดอร่อย

“พี่ชาย! พี่ชาย!” หลังจากเฝ้าเพียรก่อกวนชายชาตรีอยู่อีกพักใหญ่ ๆ สุดท้าย เฟรชชี่หน้าหนวดก็ยอมพ่ายแพ้ให้กับคนขี้เซาอย่างหมดรูป “พี่ชายนะพี่ชาย!

“ค่าไฟเดือนนี้บานเบอะแหง ๆ !” ยิมยืนเท้าเอวมองรุ่นพี่ต่างคณะอย่างปลง ๆ ก่อนจะเดินไล่ถอดปลั๊กบรรดาเครื่องใช้ไฟฟ้าที่คนขี้เซาเสียบค้างไว้พร้อมกับปิดแอร์แล้วแหงนพัดลมเลื่อนไปจ่อให้ใกล้ ๆ แม้ปากจะบ่นประโยคเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ก็ตามที






เสียงพัดลมก๊อกแก๊กไม่ได้สร้างความรำคาญให้แก่ชายชาตรีได้หนักข้อเท่ากับไอร้อนระอุที่เช้าวันใหม่นำพามาเป็นเพื่อน แม้จะพยายามเตะถีบผ้าผวยให้หลุดพ้นตัวจนถึงจุดที่ใกล้ต้องเปลื้องผ้า เด็กบริหารก็ค่อย ๆ หยีตาแล้วหยัดตัวชะโงกมองหาสัญญาณชีพของแอร์ที่เพิ่งติดตั้งใหม่ ๆ ด้วยสีหน้าหงุดหงิดติดหมัด “อะไรกัน แอร์เสียเหรอ?”

เด็กบริหารชักสีหน้าก่อนจะกวาดสายตาขวาง ๆ มองหารีโมทคอนโทรลของเครื่องปรับอากาศลูกรักรายใหม่ แต่แล้วรังสีอำมหิตจากมุมมืดด้านหลังกลับเรียกร้องความสนใจของชายชาตรีได้อย่างน่าประหลาด

“เฮ่ย?!” รุ่นพี่ถึงกับสะดุ้งเมื่อเห็นเจ้าของห้องนั่งอุดอู้อยู่ตรงมุมโต๊ะญี่ปุ่นที่ดูเล็กไปถนัดตาเมื่อมีพร็อพใหม่มากมายประดังประเดเข้ามาประดับอย่างไม่ปรานี

“ตื่นแล้วก็ดีพี่?” และแล้วโอกาสที่ยิมเฝ้ารอมาตั้งแต่เมื่อคืนก็มาถึง

“หือ?” ชายชาตรีกระพริบตามองรุ่นน้องอย่างงง ๆ

“เรามีเรื่องต้องคุยกันครับ”

ทันทีที่ไล่ให้รุ่นพี่ลุกไปอาบน้ำแต่งตัวได้สำเร็จ ยิมก็เรียกคนโตกว่าในชุดนักศึกษามาไต่สวนความผิดหน้าโจ๊กบนโต๊ะญี่ปุ่นตัวเดิมเพิ่มเติมคือความแออัด “พี่ทำอะไรกับห้องผม?"

“ยิมไม่ชอบเหรอ?”

“เรื่องชอบไม่ชอบน่ะไว้คุยกันทีหลัง ตอนนี้ผมอยากรู้ว่าพี่เหลือเงินสดติดตัวอยู่เท่าไร?” ไป ๆ มา ๆ ไอ้ที่น่าห่วงน่ะไม่ใช่ห้องแคบ ๆ ของเขาหรอก ยอดเงินคงเหลือของอีกฝ่ายต่างหากล่ะที่ทำเอายิมนอนกระสับกระส่ายตลอดทั้งคืน

“ไม่รู้สิ พี่ยังไม่ได้นับ” เด็กบริหารตอบง่าย ๆ พลางคนโจ๊กเด็กใส่ไข่ในชามอย่างเลื่อนลอย

“งั้นก็เอาออกมานับเลยครับ ผมอยากรู้ว่าพี่จะมีเงินเหลือพอไปทำสัญญาเช่าห้องเย็นวันนี้หรือเปล่า”

“ไม่รอกินโจ๊กให้เสร็จก่อนเหรอ?” คนพูดเหลือบมองโจ๊กหอมกรุ่นในชามสลับกับหน้ารุ่นน้องด้วยสายตาเว้าวอน “ยิมไม่หิวหรือไง?”

“เดี๋ยวค่อยกินก็ได้ครับ นับเงินกันก่อนดีกว่า” ความหวังดีของอีกฝ่ายถูกปัดตกอย่างไร้เยื่อใยเพราะยิมเดือดเนื้อร้อนใจจนกระเดือกอะไรไม่ใคร่จะลง

“งั้นพี่ชายขอเปิดแอร์หน่อยได้ไหม พี่ชายร้อนอ่ะ” การที่คู่สนทนาไม่ตอบอะไร หากแต่ใช้ปลายเท้าเขี่ยพัดลมให้หันกลับมาจ่อเข้าเหง้าหน้าจนริมฝีปากกระพือ พร้อม ๆ กับส่งสายตาแนบใบหน้าโหดเหี้ยมเทียมมหาโจรมาให้ ก็ช่วยให้ชายชาตรีสงบลงได้อย่างน่าทึ่ง “อ่า... งั้นก็นับเงินเลยแล้วกันเนอะ” สายเปย์ยิ้มเจื่อนพลางควักกระเป๋าตังค์ใบหรูขึ้นมาวางบนโต๊ะแล้วเอาธนบัตรปึกสุดท้ายออกมาเริ่มนับ

“หนึ่งร้อย... สองร้อย... เจ็ดร้อย... แปดร้อย... แปดร้อยกับอีกห้าร้อย...” ชายชาตรีพึมพำพลางตั้งโจทย์บวกเลขสามหลักในใจซึ่งนั่นทำให้เด็กหน้าหนวดโพล่งขึ้นอย่างเหลืออด

“พันสามพี่”

“อ้อ เอ้อ! พันสาม... พันสี่ แล้วก็...”

เมื่อเห็นรุ่นพี่ตั้งท่าจะเริ่มนับแบงค์ย่อยกับเหรียญเล็กเหรียญน้อยที่กองอยู่บนโต๊ะญี่ปุ่น ยิมก็แหวขึ้น “เดี๋ยวพี่?! แบงค์พันล่ะพี่ แบงค์พันไปไหนหมด? ทำไมพี่ไม่เอาแบงค์พันออกมานับด้วย?”

“แบงค์พันเหรอ?” เจ้าของเงินทำท่านึกนิดหนึ่งก่อนจะเฉลยความนัยด้วยน้ำเสียงซื่อ ๆ “ไม่มีหรอก”

ห๊ะ?!! ว่าไงนะพี่?” วิญญูชนผู้อับจนข้นแค้นเป็นปกติวิสัยถึงกับอ้าปากค้างพลางทำหน้าไม่เชื่อหูตัวเอง...

เงินกำลังจะหมุนไป กำลังจะหมุนไป กำลังจะหมุนไป... จู่ ๆ เสียงเพลงประกอบโฆษณาที่เคยได้ยินตอนเด็ก ๆ ก็ดังวนขึ้นในหัวแบบไม่รู้จักจบสิ้น เด็กปีหนึ่งจึงไม่ทันได้ชื่นชมสายตาสงสัยคล้ายจะถามว่า ยิมหูตึงเหรอ?ที่รุ่นพี่แอบมอบให้ไปอย่างน่าเสียดาย

“เมื่อกี๊พี่ชายบอกว่าแบงค์พันหมดแล้ว” ชายชาตรีช่วยสงเคราะห์รุ่นน้องที่นั่งตัวแข็งทื่ออีกครั้งอย่างช้า ๆ ชัด ๆ จัดเต็ม

เอาจริงดิ?!!

“ก็จริงน่ะสิ” ไม่พูดเปล่า เจ้าของเงินยังมีน้ำใจยกกระเป๋าสตางค์ขึ้นมากาง คว่ำ แล้วเขย่าตอกย้ำต่อหน้าพร้อมกับลอยหน้าลอยตาเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ “นี่ไง บ๋อแบ๋ เกลี้ยงกระเป๋าเลย”

“เฮ่ยพี่! มันจะเป็นไปได้ยังไง?! ก็เมื่อวานผมเห็นกับตาว่าแม่พี่เพิ่งให้แบงค์พันมาตั้งปึกเบ้อเร่อ เงินตั้งเยอะตั้งแยะ จะหายวับไปภายในเวลาไม่ถึงชั่วข้ามคืนได้ยังไง? ไม่มีทางอ่ะ...ผมไม่เชื่อพี่หรอก!!” ยิมประกาศกร้าวราวกับกำลังต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง  

“อ่ะ งั้นยิมเอากระเป๋าตังค์พี่ไปดูเลยก็ได้” ในเมื่อรุ่นน้องทำตัวสตรองใส่แบบนี้ สายเปย์ก็จำต้องยื่นหลักฐานให้เจ้าพนักงานเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองอย่างไม่มีทางเลือก  

ยิมถอนหายใจยาวเหยียดพลางมองกระเป๋าตังค์ที่คนตรงหน้ายื่นให้แบบไม่คิดอะไร ก่อนจะส่ายหัวให้เพื่อปฏิเสธกลาย ๆ ด้วยไม่คิดจะล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวของอีกฝ่ายแต่อย่างใด “พี่เอาเงินไปทำอะไรหมด ผมถามจริง ๆ ”

“พี่ก็เอาไปซื้อข้าวของพวกนี้ไง” เด็กปีสามเผยมือไปรอบ ๆ ตัวพลางเอ่ยอย่างภาคภูมิใจในข้าวของมากมายที่ช่วยบันดาลให้ห้องนี้กลายเป็นรังหนูไปในพริบตา

“แล้วพี่ชายจะขนซื้อมาทำไมล่ะครับ นี่มันห้องผมนะพี่!

“ก็พี่เห็นยิมดีกับพี่ แถมยิมยังคอยเตือนสติพี่ พี่เลยอยากตอบแทนยิมบ้าง” ชายชาตรียิ้มร่าพลางสาธยายวีรกรรมความป๋าของตัวเองแค่พอสังเขป “นี่ยังน้อยนะ กับคนอื่นพี่ให้เยอะกว่านี้อีก”

ชายหนุ่มรุ่นน้องถึงกับเกาหัวแกรก ๆ “โธ่! ช่วงวิกฤตแบบนี้ผมว่าพี่ควรเอาตัวเองให้รอดก่อนคิดตอบแทนคนอื่นนะเว่ย!

“ยิมไม่ต้องห่วงหรอกน่า พี่ชายยังมีบัตรนี่อีกตั้งใบ” คนโตกว่าแย้งอย่างไม่สำนึก ยิ่งเมื่อเห็นคู่สนทนาทอดถอนใจ ชายชาตรีจึงเร่งชี้แจงทางออกของเรื่องคาใจดังกล่าวโดยไม่ยึกยัก “เมื่อวานพี่ชายไปลองรูดซื้อของมาแล้ว มันใช้ได้”

ห๊ะ?! เมื่อวานพี่ใช้บัตรนี่แล้วด้วย?!” เป็นอีกครั้งที่ยิมหูอื้อตาลายกับพฤติกรรมการใช้จ่ายของรุ่นพี่... นี่น่ะเหรอสภาพจิตใจของคนที่เพิ่งถูกพ่อแม่ตัดหางปล่อยวัดมาหมาด ๆ ? จะต้องรอให้เงินหมดก่อนหรือไงถึงจะได้สติ?!

“ก็ใช่น่ะสิ นี่ยิมคิดว่าพี่ซื้อเสื้อผ้า ซื้อแอร์ ซื้อเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดนี่ด้วยเงินสดเหรอ?” ชายชาตรีเจื้อยแจ้วไปเรื่อยโดยไม่สนใจรุ่นน้องที่นั่งตาค้าง หุบขากรรไกรล่างไม่ลงเลยสักนิด “บ้าหรือยิม ขืนทำแบบนั้นเงินสดก็หมดตัวกันพอดีสิ! ยอดซื้อหลายหมื่นน่ะต้องรูดบัตรเท่านั้นนะ ถึงจะคุ้ม แถมยังได้คะแนนสะส...”

“แล้วงั้นแบงค์พันพี่หายไปไหนหมดอ่ะ?!” แม้จะยังช็อกไม่หาย แต่สมองอันว่องไวของชายหนุ่มผู้มัธยัสถ์เป็นชีวิตจิตใจกลับยังทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี

“พี่จ่ายค่าเช่าที่ยิมติดเจ้าของตึกแทนให้ แถมยังจ่ายค่าเช่าของปีหน้าให้ทั้งปี ทีนี้ยิมก็จะอยู่ห้องนี้ได้โดยที่ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าเช่าแล้วยังไงล่ะ”

ห๊ะ?!! เมื่อกี๊พี่ว่าอะไรนะ?!

“เมื่อกี๊ยิมไม่ได้ยินที่พี่พูดเหรอ?” พอโดนถามย้ำมาก ๆ เข้า ชายชายตรีก็ลืมตัวกลอกตา เบ้ปาก พร้อมทำท่าเอือมระอาเลียนแบบอาการเซ็งของพิชญ์ใส่รุ่นน้องจนโดนมองแรงตอบโต้ สายเปย์จึงรีบกลับลำตั้งหน้าตั้งตาอธิบายเร็วรี่ “ก็เมื่อวานตอนที่ช่างมาติดตั้งแอร์กับมาส่งของน่ะ เจ้าของตึกก็มาคุยกับพี่ มาบอกพี่ว่ายิมติดค่าเช่าอยู่หลายเดือน พี่เลยช่วยเคลียร์ให้ แล้วก็จ่ายค่าเช่าไปจนถึงสิ้นปีหน้ารวดเดียวเลย...”

ทันทีที่หายตกใจและสมองเริ่มประมวลผลอีกครั้ง เด็กวิศวะก็เริ่มจะเห็นเค้าลางของความวินาศสันตะโรอยู่ไหว ๆ “... เดี๋ยวนะพี่...”

“... ตอนแรกพี่ก็กะว่าจะแอบทำเซอร์ไพรส์ยิมอยู่หรอก แต่ไม่เป็นไร... ไว้คราวหลังก็ได้” แม้จะโดนยิมเอ่ยแทรก แต่ชายหนุ่มรุ่นพี่กลับจมปลักอยู่ในมโนภาพว่าด้วยแผนการอันสวยหรูของตัวเองไม่เลิกรา

“... เมื่อกี๊พี่บอกว่าเจ้าของห้องมาทวงค่าห้องกับพี่เหรอ?”

“ฮื่อ
! ก็ใช่น่ะสิ เจ้าของตึกที่เป็นอาแปะอ้วน ๆ ไว้หนวดจุ๋มจิ๋มสองสามหย่อมเหนือปากน่ะ” สายเปย์ระบุรูปพรรณสัญฐานของผู้ร่วมสมคบคิดด้วยน้ำเสียงเริงรื่น

“อ้วน ๆ ... หนวด ๆ ?...” ในที่สุด ปริศนาก็ถูกไขจนกระจ่าง “เฮ่ย! ไอ้อ้วนนั่นมันเจ้าของตึกที่ไหนกันล่ะพี่?! ที่สำคัญ ผมไม่เคยค้างค่าเช่าห้องเลยนะเว่ย!

ชายชาตรีเริ่มตกใจจนเม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นทั่วเนื้อตัว “ยิมล้อพี่ชายเล่นหรือเปล่า? ก็เขาบอกพี่ชายเองว่าเขาเป็นเจ้าของตึก ตอนเขาเดินเข้ามาดูห้อง เขาก็คุยกับช่างรู้เรื่องไฟ เรื่องท่อน้ำประปาของตึกนี้ละเอียดมากเลยนะ”

พี่เลยให้เงินมันไปง่าย ๆ อย่างนั้นน่ะเหรอ?!” เฟรชชี่ตวาดเสียงหลง... ที่ผ่านมา คน ๆ นี้กลายเป็นเหยื่อให้กับใครบ้างวะ? เฮ่อ! คนอะไรจะซื่อขนาดยอมควักเงินสดให้คนแปลกหน้าโดยไม่ขอดูหลักฐานอะไรเลยสักชิ้น?

“ก็พี่ชายไม่รู้หนิ”

โธ่โว้ย!” ยิ่งฟังคำพูดของอีกฝ่าย ยิมก็นึกอยากจะดึงตัวชายชาตรีมาเขย่า ๆ ให้หายซื่อ แต่พอเห็นรุ่นพี่ทำหน้าสลด เขาก็เลิกความคิดดังกล่าวไปในบัดดล

เอาเถอะ! ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว พวกเขาก็คงต้องค่อย ๆ แก้ปัญหาไปทีละเปลาะนั่นแหละนะ
คิดได้ดังนั้น ยิมลุกพรวดพราดแล้วเดินดุ่ม ๆ ออกจากห้องไปเคาะประตูห้องตรงข้ามโดยไม่เอ่ยคำใด ฝ่ายชายก็รีบเดินตามไปแอบสำรวจความเคลื่อนไหวของชายหนุ่มรุ่นน้องแบบไม่ละสายตา  

“เอะอะอะไรของมึงแต่เช้าวะไอ้ยิม? คนจะหลับจะนอนเนี่ยไม่เห็นเรอะ?!” ยิมเคาะประตูอยู่เพียงไม่นาน เจ้าของห้องตรงข้ามก็ชะโงกหน้าออกมาจากซอกประตูอย่างงัวเงียและหงุดหงิด

“ไอ้เก่ง พี่มึงอยู่ไหน?!”  

“นี่มึงมาเคาะห้องกูแต่เช้าเพื่อถามหาไอ้โก้เนี่ยนะ” สีหน้าถมึงทึงผิดปกติของเพื่อนบ้านทำให้เก่งไม่กล้าหือ “กูไม่รู้หรอกว่าแม่งหายหัวไปไหน รู้แค่ว่ามันออกไปตั้งแต่เย็นวาน จะกลับเมื่อไรมันก็ไม่บอก”

“วันไหนพี่มึงกลับมา โทรหากูด้วย!” ยิมกำชับหนักแน่นจนคนฟังตงิดใจ

“ทำไม? มึงมีอะไรกับไอ้โก้มันเหรอ?”

“มันติดเงินเงินพี่กูหลายหมื่น”

“พี่มึง?” เก่งจำไม่ยักได้ว่าเจ้าของห้องตรงข้ามกับตนมีญาติโกโหติกาที่ไหน ก็เห็นมันบอกตอนย้ายเข้ามาใหม่ ๆ ว่ามันเป็นเด็กกำพร้าอาศัยข้าวก้นบาตรกินนี่หว่า

“โน่น คนโน้น” เด็กวิศวะว่าพลางพยักเพยิดไปทางชายชาตรีที่ยืนคลี่ยิ้มอาย ๆ อยู่ในห้อง  

“นั่นพี่มึงแน่เหรอวะ? หน้าตาไม่เห็นเหมือนกันเลย!

“อย่างกับมึงเหมือนไอ้โก้นักแหละ!” เฟรชชี่หน้าหนวดย้อนด้วยความจริงที่ยากจะปฏิเสธ เพราะกระทั่งชายชาตรียังอดเห็นด้วยไม่ได้ว่า เจ้าของห้องตรงข้ามที่ดูคมขำคล้ายคนใต้ ดูไม่น่าจะเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับนักต้มตุ๋นเมื่อเย็นวานเลยสักนิด “อย่าลืมนะเว่ย ถ้าไอ้โก้กลับมา มึงต้องบอกกูทันที!” ยิมตัดบทเด็ดขาดจนแม้คนฟังจะยังไม่ปักใจเชื่อร้อยเปอร์เซนต์ ทว่าเก่งก็ไม่คิดจะโต้แย้งให้ผิดใจกันไปเปล่า ๆ ปลี้ ๆ

“เออ ๆ ไว้มันกลับมาเมื่อไรกูจะรีบบอกมึงแล้วกัน”
.
.
.
.
.
“สรุปว่าเมื่อวานนี้พี่ชายให้เงินไอ้โก้มันไปเท่าไร?” ยิมซักไซ้ทันที่ที่เสร็จธุระกับเพื่อนร่วมหอ

“เขาบอกว่ายิมค้างค่าห้องหกเดือน แล้วพี่ก็จ่ายค่าเช่าของปีหน้าอีกทั้งปี รวมทั้งหมดก็สิบแปดเดือนพอดี...” ค่าที่ละอายกับความผิดของตัวเอง ชายชาตรีจึงพูดอ้อมไปอ้อมมาอย่างสงวนท่าที แต่ต่อให้รุ่นพี่จะโยกโย้กว่านี้ มีหรือที่เฟรชชี่ผู้ที่เค็มจนเกลือร้องไห้จะคำนวณยอดเงินตามไม่ทัน  

หกหมื่นสาม?! หกหมื่นสามเนี่ยนะพี่?!

“หึ!” พอเห็นชายชาตรีส่ายหัวดิก ยิมก็อดโล่งอกไม่ได้... แล้วไป นึกว่าจะซื่อจนยอมยกเงินทั้งกระเป๋าให้เขาไปทั้งหมดเสียอีก กระนั้น ประโยคที่ตามมาในชั่วอึดใจกลับทำให้เด็กปีหนึ่งหน้ามืดวิงเวียนคล้ายจะเป็นลมได้ในชั่วพริบตา

“หกหมื่นห้าต่างหาก เขาบอกว่าเขาต้องเก็บค่าดอกเบี้ยของช่วงหกเดือนที่ยิมจ่ายช้าอีกห้าพัน นี่ดีนะที่เขายอมลดให้ตั้งสามพัน ไม่งั้นเมื่อวานพี่คงไม่เหลือเงินกินข้าวเย็น” ชายชาตรีจาระไนหมดเปลือกอย่างไร้เล่ห์เหลี่ยม

โอ๊ย! พี่ยอมให้เงินหกหมื่นห้ากับคนแปลกหน้าได้ยังไง?! โว้ย! ผมอยากจะบ้า!!

“ยิม... พี่ชายผิดไปแล้ว พี่ชายไม่รู้ พี่ชายขอโทษ พี่ชายแค่หวังดี พี่ชายอยากให้ยิมอยู่ที่นี่สบาย ๆ ”

ทำไมพี่ชายไม่เอะใจบ้างวะ? จ่ายค่าห้องล่วงหน้าตั้งหนึ่งปีนะเว่ย ใบส่ง ใบเสร็จมันก็ต้องมีไม่ใช่เหรอ?

“ก็เขาบอกว่าจะเอาใบเสร็จมาให้วันนี้นี่นา พี่ชายก็เลยคิดว่าเดี๋ยวพี่ชายค่อยเอาใบเสร็จมาเซอร์ไพรส์ยิมอีกที” สายเปย์เสียงอ่อย “พี่ชายขอโทษนะยิม พี่ชายไม่รู้จริง ๆ พี่ชายคิดว่าพี่ชายยังพอมีเงินติดตัวอยู่ พี่ชายเลยอยากทำอะไรเพื่อยิมบ้าง”

ประโยคทิ้งท้ายของอีกฝ่ายทำให้ความเสียดายของยิมอันตรธานไปในพริบตา...  
นั่นสิ! แล้วเขาจะเป็นเดือดเป็นร้อนกับเงินพี่ชายไปทำไมวะ?

เป็นห่วง หรือ อิจฉาที่ไม่มีปัญญาทำอย่างเขา?

ช่างเถอะ! พี่ชายจะเอาเงินกี่หมื่นกี่ล้านไปใช้อะไร มันก็เรื่องของเขาหรือเปล่าวะไอ้ยิม?


“พี่ไม่ต้องขอโทษผมหรอก ก็ไอ้ที่พี่ใช้น่ะมันเงินพี่ทั้งนั้นนี่หว่า”

“...” ชายชาตรีหุบปากฉับพลางมองหน้ารุ่นน้องตาปริบ ๆ ด้วยกลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายโวยวายขึ้นมาอีกระลอก

“เอาเป็นว่าตอนนี้เรามาหาทางแก้ปัญหาตรงหน้ากันก่อนเหอะ ส่วนเงินหกหมื่นห้าที่ไอ้โก้มันเอาไป เดี๋ยวผมจะตามทวงให้พี่เอง” เด็กวิศวะสรุปด้วยการไม่คิดปัดความรับผิดชอบใด ๆ ซึ่งนั่นทำให้คนฟังอดซึ้งใจไม่ได้  

“ยิมไม่ต้องเครียดนะ ทุกปัญหามีทางออก เชื่อพี่ชายสิ”

เจ้าบ้านหน้าหนวดมองไปรอบ ๆ ห้องพลางใคร่ครวญหาทางออกให้กับปัญหาเร่งด่วนของอีกฝ่ายพร้อมแนะนำ “จริง ๆ ผมว่าผมเอาข้าวของพวกนี้ไปคืนเขาดีกว่าว่ะพี่ พี่จะได้เอาเงินไปจ่ายค่าเช่าห้องเย็นนี้ด้วยไง”

เท่าที่เขากะด้วยสายตา สายเปย์น่าจะรูดบัตรไปไม่ต่ำกว่าห้าหมื่น ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าว สามารถเช่าห้องแอร์ได้ แถมยังน่าจะเหลือเงินพอใช้ไปทั้งเดือนได้อย่างสบาย ๆ อีกด้วย ทว่าเจ้าของเงินกลับเห็นต่าง

“ไม่ต้อง ๆ เดี๋ยวเย็นนี้พี่ชายใช้บัตรใบนี้จ่ายค่าห้องไปก่อน ยิมไม่รู้เหรอว่าบัตรใบนี้ใช้รูดแถมกดเงินสดได้ด้วยนะ สะดวกมาก ๆ !” ชายชาตรีโบกบัตรเครดิตสีดำในมือไปมาพลางอวดอ้างสรรพคุณสุดฤทธิ์ แต่น่าผิดหวังที่มันโน้มน้าวคนฟังแทบไม่ได้

“อย่าเลยพี่ ผมว่าเราเอาของไปคืนแล้วเอาเงินสดมาดีกว่า”
.
.
.
.
.
.
“คืนไม่ได้หรอก” ชายชาตรียู่หน้าพลางเอ่ยสารภาพด้วยน้ำเสียงไม่เต็มใจ... ทำไมยิมถึงชอบให้พี่ชายพูดเรื่องน่าอายด้วยก็ไม่รู้  

หา?!

“ของพวกนี้มันคืนไม่ได้หรอก” คนโตกว่ายิ่งอึกอักเมื่อตระหนักว่า จนป่านนี้ เจ้าของห้องก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเข้าใจสิ่งที่เขาพูดเสียที  

“ทำไมอ่ะพี่?”

“ก็มันเป็นของลดราคา เขาบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าซื้อแล้วห้ามคืนนี่นา!” สายเปย์กระเง้ากระงอดใส่อีกฝ่ายที่ไม่ได้อินังขังขอบใด ๆ ทั้งสิ้น... ทำไมยิมต้องให้พี่ชายยอมรับด้วยว่าพี่ชายซื้อของเซลล์? มันเสียประวัติพี่ชาย ยิมเข้าใจไหม?!!

โธ่เว้ย! ให้มันได้อย่างนี้ดิวะ!

อาการผิดหวังอย่างรุนแรงของรุ่นน้องต่างคณะทำเอาชายชาตรีเลิกพะวงถึงเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบปลิดทิ้ง “ยิมอย่าโกรธเลยนะ พี่ชายขอโทษ!

แววตาเศร้า ๆ ไม่สดใสกับท่าทางเซื่อง ๆ ผิดกับชายชาตรีเวอร์ชั่นที่เห็นเป็นประจำทำให้เฟรชชี่หน้าหนวดไม่คิดจะตำหนิติเตียนอีกฝ่ายให้ยิ่งซึมหนัก  “ผมไม่ได้โกรธพี่ ผมแค่ตกใจกับการใช้เงินของพี่ พี่แม่ง... ใช้เงินโคตรเก่งอ่ะ”

“จริง ๆ ถ้าไม่ถูกคุณชายพ่อไล่ออกจากบ้านเสียก่อน เมื่อวานพี่อาจจะใช้เงินเยอะกว่านี้ก็ได้นะ” สายเปย์พยายามปลุกปลอบรุ่นน้องในรูปแบบที่ตัวเองถนัด

“พอ ๆ เลิกอวดรวยเหอะพี่ เหลือเงินติดตัวแค่พันสี่นี่แปลว่าพี่ต้องหัดเจียมเนื้อเจียมตัวได้แล้วนะครับ”

“เหรอ? พี่ต้องเจียมตัวแล้วเหรอ?” ชายชาตรีเลิกคิ้วพลางมองหน้าคู่สนทนาอย่างเด๋อ ๆ ด๋า ๆ  

“ก็เออดิพี่! คนรวยที่ไหนจะมีเงินติดตัวแค่พันสี่กัน”

“แต่พี่ยังมีบัตรเครดิตไม่จำกัดวงเงินอยู่อีกตั้งใ...” น้ำเสียงเจื้อยแจ้วของรุ่นพี่ช่างเถียงถูกเสียงท้องร้องโครกครากดังแทรกจนเจ้าตัวเขินหน้าแดงเป็นตูดลิง “อุ้ย! เสียงท้องพี่เองแหละ”

ยิมหลุดหัวเราะก่อนจะอาศัยอาการกระเพาะไม่เป็นใจมาเป็นเครื่องมือตักเตือนอีกฝ่ายให้ฉุกคิด “หึ! ต่อให้ตอนนี้พี่จะมีบัตรวิเศษ แต่พี่ก็รูดซื้อโจ๊กถุงละสามสิบห้าบาทตรงหน้าไม่ได้อยู่ดี” เด็กวิศวะว่าพลางดึงชามโจ๊กของชายชาตรีเข้าหาตัวพร้อมยักคิ้วใส่ “จริงไหมครับ?” 

“...ยิม... พี่ชายหิวแล้ว...” สายเปย์หน้าเข่าวิงวอนอย่างน่าสงสาร

“ถ้าอยากกินโจ๊กนี่ พี่ชายต้องสัญญากับผมก่อนว่าพี่จะเลิกฟุ่มเฟือย”

“พี่ชายสัญญาว่าจะเลิกฟุ่มเฟือย” รุ่นพี่บริหารปฏิญาณขณะจับจ้องอาหารเช้าตาละห้อยโดยมีเสียงโครกครากดังคำรามเป็นแบ็คกราวด์เสริมความน่าเชื่อถือ

แม้ยิมจะไม่พอใจกับการเจื้อยแจ้วแบบขอไปทีของอีกฝ่าย แต่เพราะรู้ซึ้งดีว่าอาการหิวโหยจนแสบไส้ทรมานเพียงใด เฟรชชี่จึงไม่คิดจะทำร้ายรุ่นพี่ตาดำ ๆ โดยไม่จำเป็น “เฮ่อ! ครั้งนี้ผมยอมให้พี่ก่อนก็ได้ อ่ะ! กินได้แล้วพี่ เดี๋ยวโจ๊กมันจะเย็นจนไม่อร่อยไปเสียก่อน”

“โจ๊กเย็นเหรอยิม?” ชายชาตรีตาโต ทำหน้าดีอกดีใจราวกับเพิ่งได้ฟังเสียงสวรรค์ “ยิมไม่ต้องกลัวนะ เพราะพี่มีนี่!” สิ้นคำ ชายหนุ่มรุ่นพี่ก็ผายมือไปที่ไมโครเวฟที่เทินอยู่บนชั้นเหนือหัวด้วยสีหน้าอวดเบ่งคล้ายเซลล์ขายเครื่องกรองน้ำตามบ้าน ซึ่งนั่นทำให้ยิมระเบิดหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้

“เอาชามของยิมมาด้วยสิ เดี๋ยวพี่ชายอุ่นโจ๊กให้” ท่าทางกุลีกุจออย่างเต็มอกเต็มใจของอีกฝ่ายทำให้คนมองได้แต่ส่ายหัวปลง ๆ ทว่ากลับหุบยิ้มไม่ได้สักวินาที

“เฮ่อ!” ยิมถอนหายใจยาวพลางยื่นชามโจ๊กของตัวเองให้รุ่นพี่แต่โดยดี พลางสั่งตัวเองให้เลิกคิดคำนวณค่าไฟที่ต้องจ่ายเพราะไม่อยากเผลอทำหน้าหงิกจนทำลายความสุขของอีกคน




“พี่ชาย” เจ้าของร่างสูงใหญ่ที่นั่งยอง ๆ คว่ำจานชามที่เพิ่งล้างเสร็จลงในกะละมังอยู่ตรงระเบียงเอ่ยขึ้นลอย ๆ

“หืม?! อะไรเหรอ?”

“ผมขออะไรอย่างได้ป่ะ?” ยิมเบือนหน้าหันกลับไปมองรุ่นพี่ที่นั่งกระพือเสื้อใส่พัดลมพลางกระดิกขาไปมาอยู่บนเตียงอย่างเป็นสุข

“ยิมจะขออะไรพี่เหรอ? ราคาไม่เกินพันสี่ใช่ป่ะ?”  

คำถามตามนิสัยป๋า ๆ ไม่คิดหน้าคิดหลังของอีกฝ่ายทำเอายิมจิ๊ปาก มุ่นคิ้ว ทำหน้าดุ พร้อมกับย่างสามขุมกลับเข้ามาในห้องคล้ายจะเอาเรื่องจนชายชาตรีเอนตัวไปด้านหลังเพื่อตั้งหลัก “ผมขอให้วันนี้พี่ลองใช้เงินแค่ร้อยเดียวได้ไหม?”

“โห! ร้อยเดียวเนี่ยนะ?! แค่ค่าแท็กซี่ไปมหาลัยยังไม่พอเลยมั้ง” รุ่นพี่หน้าเข่าบ่นอุบโดยไม่ทันได้สำเหนียกว่า ตนได้เผลอคายความลับทางราชการออกไปเสียแล้ว

“นี่พี่ตั้งใจจะนั่งแท็กซี่ไปมหาลัยงั้นเหรอ?” ยิมสืบเท้าเข้าไปยืนค้ำหัวพลางกอดอกมองหน้ารุ่นพี่ใกล้ ๆ

“ก็ใช่น่ะสิ ถ้าไม่มีรถขับ แล้วไม่เรียกแท็กซี่ แล้วพี่ชายจะไปเรียนได้ยังไงล่ะ?” ชายชาตรีย้อนถามโดยไม่ต้องยั้งคิด

“งั้นเดี๋ยวพี่ออกไปเรียนพร้อมผมนี่แหละ พี่จะได้ไม่ต้องเสียเงินหลายร้อยให้คนขับแท็กซี่เปล่า ๆ !

“ไม่นะยิม คนขับเขาก็ขับไปส่งพี่ชายที่มหาลัยไง พี่ชายไม่ได้ให้เงินเขาเปล่า ๆ นะ”

“ไม่รู้ล่ะ ยังไงวันนี้พี่ก็ต้องออกไปเรียนพร้อมผม” เฟรชชี่สรุปหนักแน่นจนคนฟังกลัวใจ

“เฮ่ย! ไม่เอา พี่ชายมีเรียนสิบโมง ทำไมพี่ชายต้องไปมหาลัยตั้งแต่แปดโมงด้วยล่ะ?!” ต่อให้สายเปย์จะโวยวายให้ตาย ก็ไม่อาจเปลี่ยนความตั้งใจของเด็กหน้าหนวดได้เลย ที่สำคัญ อีกฝ่ายกลับฉวยข้าวของทั้งหมดของเขาติดมือไป โดยหนึ่งในนั้นคือกระเป๋าตังค์ที่มีบัตรเครดิตความหวังสุดท้าย ชายชาตรีจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากหมุนซ้ายหมุนขวาเพื่อสำรวจตรวจตราข้าวของที่อาจตกหล่นอยู่ในห้องพลางร้องตะโกนโหวกเหวก “เฮ้ยยิม! รอพี่ชายด้วย!

“พี่ล็อกห้องให้ผมด้วย เดี๋ยวผมไปสตาร์ทรถรอ”
.
.
.
.
.
.
.
“เอาจริงเหรอ?” สภาพบุโรทั่งของพาหนะที่เด็กวิศวะคร่อมอยู่ทำให้ชายชาตรีลังเล จริงอยู่ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเห็นอีกฝ่ายใช้งานรถมอเตอร์ไซค์คันดังกล่าว เมื่อคราวก่อนที่มาค้าง ยิมยังขับไอ้เจ้าสองล้อสุดเยินคันนี้ผ่านหน้ารถแท็กซี่ของเขาไปฉลุย แต่เมื่อเปลี่ยนฐานะจากผู้ชมมาเป็นผู้โดยสาร เขาก็อดหวั่นใจไม่ได้ “ยิมไปแท็กซี่กับพี่ไหม พี่กลัววิ่ง ๆ ไปแล้วล้อมันจะหลุดน่ะ”

“เอาน่าพี่! ไม่ลองไม่รู้” รุ่นน้องจุดยิ้มมุมปากพลางเร่ง “เร็วพี่ชาย! เดี๋ยวผมเข้าห้องสายพอดี” พูดจบ เจ้าตัวก็ยื่นหมวกกันน็อคที่สภาพย่ำแย่ไม่แพ้รถใส่มือชายชาตรี คนเป็นพี่จึงไม่มีทางเลือก   

เหวอออ!” ยิมอาศัยจังหวะที่รุ่นพี่เพิ่งหย่อนตัวลงนั่ง บวกกับยังวุ่นวายกับการสวมหมวกนิรภัยบิดเร่งเครื่องพร้อมออกตัว ซึ่งเสียงอุทานด้วยความตกใจของอีกฝ่ายก็ทำให้คนขับระเบิดหัวเราะได้อีกครั้ง

“เกาะแน่น ๆ นะพี่ ผมจะซิ่งแล้ว!




“ไม่น่าเชื่อว่าจะขี่มาถึงมหาลัยได้” ชายชาตรียังประหลาดใจไม่หายกับความว่องไวและไม่เกเรของเจ้าสองล้อคันตรงหน้า

ยิมหัวเราะเบา ๆ พร้อมกับยื่นกระเป๋าตังค์คืนให้เจ้าของพลางมองหน้ารุ่นพี่อย่างเอาจริงเอาจัง “อ่ะพี่ อย่าลืมที่ผมขอนะ”

สายเปย์ทำหน้าเหมือนเด็กขื่นขมหลังถูกครูบังคับให้อมบอระเพ็ด “ร้อยเดียวจริง ๆ เหรอยิม?”

“แค่จ่ายค่าข้าวกลางวันมื้อเดียวเอง ร้อยเดียว... เหลือ ๆ ” ยิมพยักหน้าสำทับเพื่อยืนยันคำขอของตัวเอง
.
.
.
.
.
.
.
.
“ก็ได้... พี่ชายจะพยายาม”

“ดีมากพี่ ผมเชื่อนะว่าพี่ต้องทำได้” เด็กวิศวะบีบหัวไหล่รุ่นพี่เบา ๆ คล้ายปลุกปลอบอยู่ในที จากนั้นจึงทิ้งท้ายด้วยการนัดหมายกับอีกฝ่ายล่วงหน้าก่อนขับรถไปเรียนด้วยความหวังเต็มเปี่ยม  “ผมไปเรียนล่ะ... สามโมงเจอกันพี่”

ความสุขของยิมคงจะยืดยาวและเนิ่นนานกว่านี้ถ้าตอนพักกลางวัน เด็กปีหนึ่งจะไม่ต้องขี่มอเตอร์ไซค์ตาลีตาเหลือกมาหารุ่นพี่บริหารถึงคณะเพื่อขอคำอธิบายเกี่ยวกับข้อความล่าสุดที่เจ้าตัวส่งมาให้เขาในช่วงสาย ๆ ความว่า ทำไงดียิม... บัตรเครดิตพี่ใช้ไม่ได้แล้วอ่ะ?!!’


……………………………………………………………………………………………………………………………………………………...


ความในใจทิ้งท้ายตามสไตล์ชายชิค ๆ :
เวลาชายอวดของที่เพิ่งซื้อมาใหม่ พิชญ์ชอบด่าชายว่า มีเงินอย่างเดียวซื้อไม่ได้นะ ต้องโง่ด้วย
แต่ชายว่าชายไม่โง่นะ ชายแค่ละเอียดอ่อนกับสินค้าที่มีชิ้นเดียวในโลกเอามาก ๆ เท่านั้นเอง


$$$$<| TBC |>$$$$





No comments:

Post a Comment