#11
น่ารัก เมื่อเธออยู่ใกล้ หวาน หวานละไม นี่แหละใจของเธอ
ซ่อนใจ ฉันไม่กล้าเสนอ เกรงว่าฉันจะเก้อ เธอรักก่อนได้ไหม
หากรัก บอกมาค่อยๆ ขวัญ ฉัน จะลอย ลิ่วไปไกลแสนไกล
โธ่เอ๋ย ขวัญมันคงหวั่นไหว ยามที่เห็นเธอใกล้ ใจฉันสั่นละเมอ
น่ารัก - ชัยรัตน์ เทียบเทียม
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
“กลับยัง”
พี่ฟี่ถามขึ้นตอนที่แกหิ้วกระเป๋าคอมฯ ตั้งท่าพร้อมกลับบ้าน ปกติแล้ว หากไม่มีงานเร่งด่วนหรือคั่งค้าง
คอนซัลท์ส่วนใหญ่มักจะเข้าและเลิกงานตามเวลางานของบริษัทลูกค้า
แต่เหตุที่วันนี้พี่ฟี่อยู่เย็น เพราะแกต้องช่วยดูระบบให้จูเนียร์อีกคนที่ดูแลโปรเจคของลูกค้าเจ้าอื่น
ส่วนผมน่ะเหรอ...
ก็หางานนั่นนี่ทำพอเป็นพิธี ขาเม้าท์แถว ๆ นี้จะได้ไม่รู้ว่าเย็นนี้ผมแอบนัดไปซิ่งกับผู้ชายไง
“เดี๋ยวทำอันนี้เสร็จก่อนค่อยกลับอ่ะพี่”
“ด่วนเหรอ”
แกยันฝ่ามือเท้าโต๊ะแล้วชะโงกมองหน้าจอระบบตัวตั้งต้นที่ผมกำลังตั้งค่าพลางบีบหัวไหล่ผมเบา
ๆ ก่อนจะนิ่วหน้านึก “แต่กว่าจะพรีเซนต์อีกทีก็อีกตั้งหลายวันไม่ใช่ไง... ไป ๆ กลับกัน
พรุ่งนี้ค่อยมาทำต่อ”
“เหลืออีกนิดเดียวเองพี่
พี่กลับก่อนเลยไม่ต้องห่วงผม”
“เออ
ๆ ตามใจ” ผมแอบโล่งใจที่พี่ฟี่ไม่เร้าหรือทั้งที่ฝีมือระดับแกย่อมรู้อยู่แล้วว่าเนื้องานที่โชว์หราอยู่บนหน้าจอคอมฯ
ผมนั้นจิ๊บจ๊อยขนาดที่ถ้าเก็บไว้ทำพรุ่งนี้ก็ไม่เสียหาย แต่ก็นั่นแหละ ตราบใดที่พี่หนาวยังไม่เลิกประชุม
ทำงานเพลิน ๆ ไประหว่างรอก็คุ้มกว่าไปเสียตังค์นั่งจิบสตาร์บัคส์ฆ่าเวลาอยู่ดี
“เอ้อ
ก่อนกลับก็อย่าลืมปิดไฟปิดแอร์ให้เขาด้วยล่ะ” พี่ฟี่หยุดยืนตรงหน้าประตูแล้วเอี้ยวตัวหันกลับมาย้ำนโยบายประหยัดพลังงานของลูกค้าให้ผมฟังทิ้งท้าย
ตัวผมยังไม่ทันตอบเพราะจู่ ๆ กลับมีเสียงเคาะประตูดังแทรกขึ้นพร้อม ๆ กับที่ท่าน HR Director โผล่หน้าเข้ามาโดยไม่บอกกล่าว
“เฮ่ย?!”
“เอ่อ
ขอโทษครับ” พี่หนาวยังคงอึ้ง ๆ เพราะเมื่อกี้ลุงแกหวิดเปิดประตูฟาดหน้าพี่ฟี่
ในขณะที่ผมเองก็นั่งเอ๋ออ้าปากหวอมองหน้าทั้งคู่สลับกันไปมา
“พี่ว่าพี่กลับเลยดีกว่า”
ผู้หญิงเพียงคนเดียวในที่เกิดเหตุไหวตัวก่อนใครเพื่อน
พี่ฟี่กระชับสายกระเป๋าบนไหล่ ถลึงตาใส่ผมหนึ่งจึ๊ก
จากนั้นจึงหันไปทิ้งท้ายกับคนมาใหม่ด้วยรอยยิ้มแบบมีเลศนัยสุด ๆ “กลับก่อนนะคะคุณหนาว”
“เชิญครับ”
.
.
.
.
“จริง
ๆ เมื่อกี้คุณไม่ต้องมาหาผมที่ห้องก็ได้นะครับ
แค่ไลน์มาบอกว่าให้ผมไปเจอที่ไหนก็พอ” ทันทีที่พริอุสคันงามเคลื่อนตัวลงสู่ถนน
ผมก็เปรยกับคนขับด้วยน้ำเสียงเกรงใจ
“ผมไม่แน่ใจว่าจะประชุมเสร็จเมื่อไร
ผมเลยไม่อยากให้คุณไปคอยเก้อ”
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเมื่อกี้ผมดีใจแทบตายเมื่อรู้ว่าเขาอุตส่าห์เดินมารับถึงห้อง
“แต่ถ้าคนอื่นเห็น...”
“ใครจะคิดยังไงก็ปล่อยเขาเถอะ”
พี่หนาวตัดบทเสียงเรียบเสียจนผมเผลอกลืนหางเสียงลงคอไปจนหมด... จิตใจลุงแกทำด้วยหินผาหรือไงถึงได้สตรองได้กระทั่งเรื่องที่โดนมองว่าเป็นเกย์
นี่ผมกำลังเป็นห่วงพี่อยู่นะเว่ย ไม่เข้าใจหรือไง
ขณะที่ผมพยายามนึกถึงเหตุผลอื่น
ๆ มาโน้มน้าวให้แกตระหนักถึงปัญหา แต่เมื่อสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายดูจะ Fast & Furious หนักกว่าเมื่อวาน ผมก็อดคิดไม่ได้ว่า ระหว่างวันลุงแกอาจจะเปลี่ยนใจไม่อยากพาผมไปหาลูกสาว
แต่เพราะอยากเสียมารยาทลั่นคำปฏิเสธเอานาทีสุดท้าย พี่หนาวเลยต้องมาระบายความคับแค้นใจผ่านการขับรถซิ่ง
“เอ่อ ถ้าวันนี้ไม่สะดวก เราเลื่อนนัดไปก่อนดีไหมครับ
ไว้ผมค่อยไปเจอปลาวาฬวันหลังก็ได้ครับ”
“ไม่ได้หรอก
ปลาวาฬตื่นเต้นอยากเจอคุณมากนะ”
“เอ่อ
ครับ” แค่พี่หนาวพูดเพียงประโยคเดียว ผมก็เลิกคิดฟุ้งซ่านทันที
“วันนี้งานเป็นยังไงบ้าง”
“งานก็เรื่อย
ๆ ครับ” เมื่อความรู้สึกคับข้องใจหายไป ผมก็แอบเหลือบมองหน้าอีกฝ่ายเหมือนทุกทีที่สบโอกาส
แต่พอเห็นพี่หนาวชายตามองสบมาพอดี ผมก็หลบตาแสร้งหันไปมองนอกหน้าต่างพลางพรั่งพรูเรื่องงานกลบเกลื่อนทันควัน
“ตอนนี้ผมกำลังออกแบบกับวางระบบจำลองแล้วก็เตรียมเอกสารเป็นหลัก เลยยังไม่ยุ่งเท่าไร
แต่ถ้า Blueprint อนุมัติปุ๊บ ชีวิตหลังจากนั้นก็จะวุ่นวายขึ้นอีกนิดนึงครับ”
อาจเป็นเพราะวันนี้เราเลิกงานช้ากว่าปกติ
การจราจรจึงคล่องตัวกว่าตอนที่เกือบทุกออฟฟิศในย่านนี้เร่งระบายรถลงจากตึกโดยพร้อมเพรียงกัน
ท้องถนนที่มีพอพื้นที่ว่างให้ทำความเร็วส่งเสริมให้ยวดยานส่วนใหญ่พุ่งไปข้างหน้าอย่างลิงโลด
พี่หนาวเร่งเครื่องยนต์ก่อนจะเบี่ยงข้ามเลนอย่างคล่องแคล่วหากแต่นุ่มนวลจนผมแอบนึกทึ่งในใจ
ขณะกำลังเพลิดเพลินกับฝีมือการขับขี่อันเหนือชั้นของท่าน HR Director อยู่นั้นเอง อยู่ ๆ ร่างหลังพวงมาลัยก็หันมามองผมแล้วเอ่ยถามรวดเร็ว
“คุณได้คุยกับเซียงบ้างหรือยัง”
“วันนี้ยังครับ
แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมสัญญาว่าถ้ามีปัญหาอีก ผมจะบอกพี่จี๊ดทันทีครับ”
“นอกจากคุณจี๊ดแล้วคุณก็ต้องบอกผมด้วย”
พี่หนาวเอี้ยวมองผมแล้วยกมุมปากขึ้นอย่างขี้เล่น “ลืมผมแล้วเหรอคุณ”
“ครับ
ๆ ไม่ลืมครับ” ผมก้มหน้างุดพลางสั่งตัวเองให้จำว่าลุงไซด์ไลน์ตอนอารมณ์ดี ๆ
มีอานุภาพทำลายล้างสูงเกินรับมือ แต่ถึงจะเขินอีกฝ่ายแค่ไหน ผมก็ไม่ยอมนั่งอมลิ้มเป็นใบ้ทั้งที่ได้อยู่กับพี่หนาวสองต่อสองหรอก
“ปลาวาฬเรียนพิเศษเยอะเหมือนกันนะครับ”
“คุณว่าเยอะเหรอ...
อืม” คนขับครางในลำคอพลางขมวดคิ้วคล้ายกำลังนึกอยู่ว่าที่จริงแล้วควรตอบผมอย่างไรดี
ซึ่งท่าทางจริงจังเกินพอดีกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ
ของเขานี่แหละที่ทำให้ผมรู้สึกครึ้มใจจนเผลอเล่าเรื่องส่วนตัวออกไปจนได้
“ก็เยอะกว่าตอนผมเป็นเด็กนะครับ”
พอนึกถึงตัวเองตอนอายุไล่เลี่ยกับปลาวาฬขึ้นมาทีไร ผมก็อดหัวเราะไม่ได้ทุกที
สมัยเด็ก
ๆ ผมเนิร์ดมาก เนิร์ดแบบที่ถ้าจับเด็กทั้งชั้นปีมายืนเรียงแถวหน้ากระดานกัน ผมคือเหยื่อรายแรก
ๆ ที่ครูจะเรียกไปร่วมฟอร์มทีมอเวนเจอร์ตอบปัญหาวิชาการ
ไม่ก็ประกวดสวดมนต์หมู่ทำนองสรภัญญะหรืออะไรเทือก ๆ นั้น
ผลจากการเดินสายชิงถ้วยรางวัลให้โรงเรียนทำให้ผมขาดเรียนบ่อยจนตามเทรนด์เพื่อนในห้องไม่ทัน
พอไม่มีเพื่อน ผมก็ยิ่งโหยหาการละเล่นตามวัยไปกันใหญ่
โชคดีที่พี่เอิงเป็นจ่าฝูงของกลุ่มเด็กแถวบ้าน ผมจึงใช้เวลาว่างที่มีทั้งหมดเดินตามตูดพี่ชายต้อย
ๆ แน่นอนว่าเมื่อผมกับพี่เอิงเริ่มหายหัวไปจากบ้าน ไอ้สามที่เกิดหลังผมสองปีก็งอแงขอแม่ออกมาเล่นด้วยอีกคนเพราะมันกลัวโดนผมกับพี่เอิงทอดทิ้ง
ไป ๆ มา ๆ เลยกลายเป็นว่า ที่ไหนมีพี่เอิงก็จะมีผมที่กระเตงไอ้สามคอยติดตามห้อยท้ายยิ่งกว่าเงา
“ตอนผมอายุเท่าปลาวาฬ
พอเลิกเรียนกลับถึงบ้าน นอกจากเล่นการ์ดดิจิมอนกับเกมบอย เด็กผู้ชายแถวบ้านผมก็แทบไม่ทำอย่างอื่นกันแล้วครับ
ส่วนเสาร์อาทิตย์ก็โน่นครับ ขี่จักรยานออกตะลอนกันตั้งแต่เช้า ถ้าแม่ไม่โทรตามคงไม่กลับบ้านกัน”
เสียงหัวเราะทุ้ม
ๆ ของพี่หนาวชวนให้ผมหัวเราะตามได้ไม่ยาก “ถ้าเทียบกับผมหรือคุณ ปลาวาฬคงเรียนพิเศษเยอะจริง
ๆ น่ะแหละ แต่ถ้าเทียบกับเด็กรุ่นเขา ผมว่าก็น้อยนะ”
“อืม...
ครับ” อันที่จริงผมไม่รู้หรอกว่าเด็กสมัยนี้เรียนหนักกันแค่ไหน แต่พอลองนึกดูดี ๆ
ก็คลับคล้ายคลับคลาว่าหลังเลิกเรียน ผมมักจะเห็นพวกเพื่อน ๆ กว่าครึ่งห้องนั่งเรียนพิเศษตอนเย็นต่อจนครูบางคนรวยไปเลย
เพราะฉะนั้น ที่พี่หนาวว่ามาก็น่าจะจริง
“ก่อนจะมีปลาวาฬ
ผมกับป๊อบปี้เคยคุยกันว่าเราจะไม่ให้ลูกเรียนพิเศษเพราะอยากให้เขาใช้เวลาเล่นให้เต็มที่
แต่ว่ายน้ำนี่ผมเป็นคนขอให้เขาเรียน เพราะอยากให้ปลาวาฬดูแลตัวเองได้เวลาลงน้ำ ส่วนเปียโน
เขาชอบของเขาเอง” ผมไม่เคยเบื่อสีหน้าเป็นปลื้มของพี่หนาวเวลาพูดถึงลูกสาวเลยสักนิด
ยิ่งมองก็ยิ่งหลงจนอดคิดไม่ได้ว่า ถ้ามีสักครั้งที่เขาทำหน้าแบบนี้เพราะผม
ผมคงดีใจจนเป็นบ้าไปเลยแน่ ๆ
“เรียนเปียโนคือที่พี่ป๊อบปี้พูดถึงเมื่อวันเสาร์น่ะเหรอครับ”
คนขับพยักหน้าก่อนจะตีไฟเลี้ยวแล้วปาดเข้าเลนซ้ายโดยแทบไม่ผ่อนคันเร่ง
“ใช่ วันพุธเรียนว่ายน้ำ ส่วนวันเสาร์เรียนเปียโน”
“ว่ายน้ำนี่เรียนที่ไหนเหรอครับ”
ที่ผมสงสัยเพราะอยู่ ๆ เจ้าของรถก็เลี้ยวเข้ารั้วมหาวิทยาลัยที่อยู่ไม่ไกลจากออฟฟิศเท่าไรนัก
“ที่นี่ไง”
ก่อนที่ผมจะพูดอะไร พริอุสก็ค่อย ๆ ลดความเร็วแล้วจอดนิ่งอยู่ในซองข้าง ๆ
รถตู้สีดำคันใหญ่ ผมเลื่อนสายตามองตามพี่หนาวไปจนสุดแล้วจึงพบว่า บนผนังกำแพงไม่ใกล้ไม่ไกลมีป้ายสระว่ายน้ำมาตรฐานประจำมหาวิทยาลัยติดอยู่
พี่หนาวคงรู้ว่าผมเห็นป้ายนั้นแล้ว เขาเลยดับเครื่องแล้วหันมาพยักเพยิดให้ผมเตรียมตัว “ไปครับ ถึงแล้ว”
.
.
.
.
หลังจากขึ้นบันไดไม่กี่ขั้น
กลิ่นชื้น ๆ สะอาด ๆ เฉพาะตัวของสระว่ายน้ำกับเสียงตีน้ำกับเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ที่ห่างหายไปนานก็ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นและมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
ผมคลี่ยิ้มพลางยกมือไหว้ทักทายพี่ป๊อบปี้ที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนอัฒจันทร์ขั้นล่างสุดทันทีที่สบตากัน
“พี่ป๊อบปี้หวัดดีครับ”
“ดีจ้า”
พี่ป๊อบปี้เดินยิ้มเข้ามากอดผมแน่นเสียจนผมรู้สึกเขินกับความสนิทสนมที่ได้รับ
“เป็นไงบ้างทู สบายดีไหม”
“สบายดีครับ
พี่ป๊อบปี้ล่ะครับสบายดีไหม” ผมตอบพลางลูบท้ายทอยแก้เก้อ
สารภาพว่าตั้งแต่รู้ใจตัวเอง
ผมก็ไม่กล้าสู้สายตาพี่ป๊อบปี้เพราะกลัวจะโดนจับได้ว่าผมอยากจะเคลมพ่อของลูกสาวแกเอามาก
ๆ
“แหม
ถามเหมือนคนไม่ได้เจอกันนานอย่างนั้นแหละ... พี่สบายดีค่ะ ปลาวาฬอยู่โน่นแน่ะ”
ว่าแล้ว พี่ป๊อบปี้ก็ชี้นิ้วไปตรงใจกลางกลุ่มเด็กที่อีกฝั่งของสระก่อนจะเจาะจงจุดนำสายตาที่ถูกต้องให้อีกที
“หมวกสีเงินจ้ะ”
พอคุยกับผมเสร็จ
พี่ป๊อบปี้ก็หันไปพยักหน้าให้พี่หนาวที่เดินไปนั่งเฝ้าของแทนที่แก
ส่วนผมก็ยืนส่องหาเป้าหมายท่ามกลางลูกลิงฝูงใหญ่ตามคำใบ้อย่างตั้งอกตั้งใจ เท่าที่เดาจากเสียงกรี๊ดกร๊าดที่ดังดีไม่มีตก
ปลาวาฬน่าจะเรียนเสร็จแล้ว แต่น่าจะยังเล่นติดพันจนไม่อยากขึ้น
แต่ทันทีที่หันมาทางนี้เท่านั้นแหละ เจ้าของหมวกว่ายน้ำสีเงินก็ปีนขึ้นจากสระแล้ววิ่งตรงเข้ามาหาด้วยความเร็วสูง
“ปลาทู!”
“ครับ”
ผมขานรับในจังหวะเดียวกันกับที่เด็กหญิงถลาเข้าใส่ ถึงอ้อมกอดของปลาวาฬจะทำให้ขากางเกงผมเปียกไปทั้งแถบ
แต่ผมกลับอดยิ้มไม่ได้ที่แฟนคลับให้การตอบรับอย่างถึงเนื้อถึงตัวดีเหลือเกิน
“คิดถึงปลาทูจังเลยค่ะ”
ดวงตากลมโตสดใสที่จ้องมองผมด้วยความดีใจทำให้หัวใจผมพองฟูด้วยความตื้นตัน
เด็กอะไร... ทำไมต้องน่ารักขนาดนี้
“อาทูก็คิดถึงปลาวาฬเหมือนกันครับ”
ผมแกะมือแกออกแล้วย่อตัวลงนั่งยอง ๆ เพราะอยากมองหน้าคู่สนทนาให้ชัด ๆ
“ปลาวาฬ
มาเช็ดตัวก่อนลูก ดูสินั่น ลูกทำอาทูเปียกหมดแล้ว” พี่ป๊อบปี้พูดพลางค้นกระเป๋าแล้วหยิบผ้าสีฟ้าผืนใหญ่ออกมากางก่อนจะหันมามองผมด้วยสายตาขอโทษขอโพย
“ไม่เป็นไรครับ”
ถึงผมจะพูดอย่างนั้น พี่ป๊อบปี้ก็รีบเดินเข้ามาเอาผ้าห่อตัวลูกสาวเอาไว้
ซึ่งนอกจากมันจะช่วยให้ปลาวาฬตัวอุ่นขึ้นแล้ว
หยดน้ำตามตัวเด็กหญิงที่เคยทำผมเปียกก็ดูจะหมดพิษสงลงทันที
“ปลาทูอยู่เล่นกับปลาวาฬก่อนนะคะ
อย่าเพิ่งกลับ” ฝ่ามือเล็ก ๆ ใต้ผ้าขนหนูลายเอลซ่าขย่าแขนผมขณะเจ้าตัวส่งเสียงออดอ้อนไม่หยุด...
เอาเลขบัญชีมา เดี๋ยวอาทูโอนค่าเล่าเรียนให้เลย!
“ครับ”
“คุณรีบพาลูกไปล้างตัวเถอะ
เดี๋ยวจะได้กลับบ้านกัน”
พี่หนาวคงจะเห็นว่าลูกสาวเริ่มหนาวจนต้องยืนซอยเท้าคุยกับผมแกเลยขัดขึ้น
“ปลาวาฬ...
ไปค่ะลูก”
“ปลาทูรออยู่นี่นะคะ
ปลาวาฬไปอาบน้ำเดี๋ยวเดียว” เด็กหญิงยิ้มแฉ่งก่อนจะวิ่งตื๋อตามหลังคุณแม่ไปอย่างกระตือรือล้น
ปล่อยให้ผมเดินนวดแก้มกลับมานั่งตรงอีกฟากของกระเป๋าเอลซ่าใบโตที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นของใคร
“เย็นนี้คุณไม่ติดธุระที่ไหนใช่ไหม”
เสียงพูดจากคนที่นั่งยู่อีกฝั่งดังขึ้นลอย
ๆ คล้ายไม่เจาะจง แต่น้ำหนักของสายตาคมที่พักไว้บนหน้าผมเกือบตลอดเวลาทำให้ผมรู้ว่าคำถามนั้นถูกส่งหากันไม่ผิดแน่
ผมส่ายหัวก่อนจะตอบโดยไม่ละสายตาจากริ้วน้ำที่ยิ่งดูระยิบระยับเมื่อโดนแสงสปอตไลท์สีเหลืองนวลสาดส่อง
“ไม่ครับ”
“ถ้างั้นก็อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันก่อนสิ
ปลาวาฬอยากเจอคุณมากนะ” น้ำเสียงของพี่หนาวเว้าวอนเสียจนผมใจหวิว แล้วผมที่แพ้พ่ายให้ลุงไซด์ไลน์ตั้งแต่แรกเจอจะทำอะไรได้นอกไปจากพยักหน้ารับเชื่อง
ๆ แล้วปล่อยให้กายละเอียดหลอมละลายกลายเป็นของเหลวอยู่ตรงนั้น
••••••
คเชนทร์คว่ำกระถางใส่ดอกไม้ที่เพิ่งล้างลงบนชั้นก่อนจะเช็ดมือแล้วเดินมานั่งมองเวลาที่กำลังเล่นกับแมวโดยไม่ส่งเสียง
ความเครียดอันเป็นผลจากหน้าที่การงานพลันสลายไปเมื่อเขาได้เฝ้ามองสีหน้าอ่อนโยนของเด็กชายกับท่าทางสุดสบายของก้อนขนสีดำ
วิธีการเข้าหาลูกพี่ของปลาวาฬกับเวลานั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เท่าที่สังเกตและถามไถ่ คเชนทร์รู้มาว่ารายแรกคุ้นเคยกับการเล่นกับสุนัขขนาดใหญ่ที่บ้านคุณตาคุณยายบ่อย
ๆ ปลาวาฬจึงไม่รู้วิธีออมแรงเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตหน้าขนชนิดอื่น ๆ
ที่สำคัญ อาจเป็นเพราะหน้าตาหาเรื่องกับหุ่นย้วย ๆ ของแมวหน้ากาก เด็กหญิงจึงมักจะแสดงอาการหมั่นเขี้ยวระคนเอ็นดูออกมาในทุก
ๆ สัมผัส
ผิดกับเวลาที่มักจะค่อย
ๆ ลูบกลุ่มขนสีดำเบา ๆ อย่างใจเย็น อย่างเช่นวันนี้ที่เด็กชายเกาคางลูกพี่จนมันแทบจะม่อยหลับคามืออยู่รอมร่อ
จึงไม่แปลกหากแมวกวักประจำร้านจะเทียวเดินป้วนเปี้ยนใกล้ ๆ รายหลังมากกว่าปลาวาฬ
“ลูกพี่ติดเวลามากเลยนะ
ขนาดกับลุง ลูกพี่ยังไม่ยอมให้ลูบนาน ๆ แบบนี้เลย” เวลายิ้มพรายเมื่ออยู่ ๆ
เจ้าเหมียวก็ครางเบา ๆ ในลำคอคล้ายกับจะช่วยยืนยันคำพูดของอดีตนางโชว์ “เห็นไหมครับเวลา
เมื่อกี้มันบอกว่ามันชอบให้เวลาเกาคางให้ที่สุดเลย”
“เวลา
กลับบ้าน อาม่าให้มาตามแล้ว!”
“หืม?”
คเชนทร์หันไปมองต้นเสียงที่ดังมาจากหน้าร้าน
“ไปเวลา
กลับบ้านกัน” อันที่จริงก่อนหน้านี้ ไอซ์ส่งเสียงเรียกเด็กชายมาหลายรอบแล้วทว่าเด็กหนุ่มกลับไม่วายกังวลว่าลูกเจ้านายจะติดเล่นเสียจนไม่ยอมกลับบ้าน
ดังนั้นทันทีที่มอเตอร์ไซค์คู่ใจจอดเทียบตรงฟุตบาทหน้าประตูร้านดอกไม้ เจ้าตัวจึงรีบตะโกนย้ำจุดมุ่งหมายซ้ำอีกครั้ง
“เร็วดิเวลา เดี๋ยวพี่ต้องไปซ้อมต่ออีก”
คเชนทร์สังเกตเห็นว่าวันนี้ไอซ์ไม่ได้มาตัวเปล่า
หากแต่บนแผ่นหลังมีกระเป๋ากีตาร์สะพายติดมาด้วย เห็นดังนั้น
ชายหนุ่มจึงเสนอตัวด้วยความเต็มใจ “เราไปเถอะ เดี๋ยวพี่เดินไปส่งเวลาให้ก็ได้”
“เอ่อ
จะดีเหรอพี่” ไอซ์ลังเลอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่ต้องห่วง
เดี๋ยวพี่ดูเวลาให้เอง” เจ้าของร้านดอกไม้หันไปกวักมือเรียกเด็กชาย “ไปครับเวลา
กลับบ้านนะ ไว้พรุ่งนี้ค่อยมาเล่นกันใหม่”
พูดจบ
คเชนทร์ก็ยื่นมือไปให้อีกฝ่ายจับ ซึ่งเจ้าหนูเองก็ไม่ปล่อยให้เจ้าของแมวหน้ากากต้องเสียหน้าแต่อย่างใด
คเชนทร์ก้มมองฝ่ามือเล็ก ๆ ที่ตนกำลังประคองด้วยความรู้สึกตื้นตัน เพราะท้ายที่สุดแล้ว
ความปรารถนาดีจากใจจริงของเขาก็ทำให้ระยะห่างระหว่างพวกเขาค่อย ๆ หดเล็กลงกว่าที่เคย
ฝ่ายไอซ์ที่ตอนแรกยังชั่งใจ
แต่ทันทีที่เห็นปฏิกิริยาของเวลา เขาก็จัดหมวกกันน็อคให้เข้าที่ก่อนจะร่ำลาลูกเจ้านายสั้น
ๆ “งั้นพี่ไปก่อนนะเวลา เดินกลับบ้านดี ๆ ล่ะ” เด็กหนุ่มผงกหัวให้คเชนทร์เหมือนเมื่อวานก่อนจะบิดเร่งเครื่องจากไปอย่างรวดเร็ว
แม้ระหว่างทางกลับบ้านเด็กชายจะไม่พูดอะไรกับเขาสักคำ
แต่ความเงียบกลับไม่อาจทำลายความรู้สึกดีใจของคเชนทร์ในยามนี้ได้ เจ้าของร้านดอกไม้จูงมือเด็กชายกลับไปยังร้านที่อวลไปด้วยกลิ่นหอมนมเนยอย่างไม่เร่งรีบ
ทว่าก่อนจะถึงยังที่หมาย สายตาทิ่มแทงไม่เป็นมิตรของชายไร้มารยาทที่กำลังยืนกอดอกอยู่ตรงหน้าร้านก็ทำให้เขารู้สึกหัวเสียขึ้นมากะทันหัน
คเชนทร์รับรู้ว่าอีกฝ่ายเห็นเขาแล้ว
แต่เจ้าตัวกลับมองเมินก่อนจะกรอกเสียงตะคอกลงในโทรศัพท์รัวเร็วราวกับหายใจด้วยผิวหนัง
ดวงตาทั้งสองจ้องมองตำหนิเด็กชายไม่วาง “ไอ้ไอซ์ มึงนี่ใช้ไม่ได้จริง ๆ กูบอกให้มึงแวะไปรับลูกแทนแค่นี้
ทำไมมึงทำไม่ได้ แล้วนี่อะไร ทำไมมึงถึงปล่อยลูกกูให้กลับมากับคนแปลกหน้าที่ไหนก็ไม่รู้ได้วะ
คอยดูนะ เดือนนี้กูจะหักเงินมึงให้หมดเลย!”
เมื่อด่าผู้ช่วยจนหนำใจ
ธามก็กดตัดสายก่อนจะออกคำสั่งกับเลือดเนื้อเชื้อไขด้วยน้ำเสียงดุดัน “มานี่เวลา”
สีหน้าของเวลาหมองลงอย่างเห็นได้ชัด
เด็กชายบีบมือคเชนทร์แน่นแต่สองขากลับไม่ขยับไปไหน ท่าทางต่อต้านกลาย ๆ ที่บุตรชายแสดงออกทำให้ธามหงุดหงิดจนไม่อาจเก็บอาการเอาไว้ได้อีกต่อไป
“มาหาป๊าเดี๋ยวนี้นะเวลา!”
“เดี๋ยวคุณ! คุณจะทำอะไรน่ะ” ธามไม่เสียเวลาอธิบาย
ชายหนุ่มปราดเข้าไปฉุดข้อมืออีกข้างของเวลาแล้วดึงให้เดินตามหลังกันเข้าบ้าน ฝ่ายคเชนทร์เองก็หลุดปากร้องเสียงหลงอย่างตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า
แม้อดีตนางโชว์จะไม่เห็นด้วยกับการกระทำของคนไร้มารยาท
แต่ชายหนุ่มอดกลัวไม่ได้ว่า หากตนยื้อยุดขัดขืนเวลาจะยิ่งเจ็บตัว เจ้าของร้านดอกไม้จึงทำได้แค่ปล่อยมือเจ้าตัวเล็กแล้วยืนงงฟังชายแปลกหน้าอบรมเวลาโดยไม่ได้รับคำขอบคุณแต่อย่างใด
“อาม่ารอกินข้าวอยู่
ทีหลังอย่าทำให้ผู้ใหญ่คอย มันเสียมารยาทเดี๋ยวคนอื่นจะหาว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอน
เข้าใจไหม” ที่สุดแล้ว คเชนทร์ก็ได้เข้าใจว่าทำไมเวลาจึงไม่ยอมปริปากพูดกับใครเลยสักคน
ก็เพราะมีพ่อแย่ ๆ แบบนี้อย่างไรล่ะ... เขาล่ะเกลียดจริง ๆ
ไอ้พวกเผด็จการบ้าอำนาจกระทั่งกับคนในครอบครัวเนี่ย
••••••
“ปลาทูชอบกินมะเขือเทศไหมคะ”
เด็กหญิงถามขึ้นเมื่อจานข้าวผัดถูกแจกจ่ายแก่สมาชิกร่วมโต๊ะอาหารทุก ๆ
คนโดยพร้อมหน้า
“ชอบครับ
ชอบที่สุดเลย” โชคผมยังดีที่ปลาวาฬขยันหาเรื่องชวนคุยตลอดเวลา เพราะลำพังแค่ได้ร่วมโต๊ะกินข้าวเย็นกับสองพ่อลูกก็ดีใจแทบตาย
แต่นี่ พี่หนาวกลับพาผมมากินข้าวที่คอนโดตัวเอง...
คิดดูดิ
แค่เดทแรกผมก็ถูกผู้ชายพามากินข้าวถึงบ้าน
ถ้าไม่ตื่นเต้นตอนนี้แล้วจะไปตื่นเต้นตอนไหน
“นี่ค่ะ
ปลาวาฬยกให้หมดเลย กินเยอะ ๆ นะคะ” ผมยังไม่ทันได้พูดอะไร มะเขือเทศชิ้นโตในข้าวผัดของเจ้าตัวเล็กก็อพยพมาตั้งรกรากในจานผมเต็มไปหมด
“ปลาวาฬ
นั่นมะเขือเทศส่วนของลูกนะครับ ลูกต้องกินเองสิครับ” คนนั่งหัวโต๊ะท้วงเสียงเข้มจนผมต้องเหลือบมองสองพ่อลูกสลับกันไปมา
ซึ่งอาการลำบากใจจนคล้ายกล้ำกลืนของพี่หนาวทำให้ผมอดตั้งคำถามกับเด็กหญิงไม่ได้
“อ้าว
ปลาวาฬไม่ชอบกินมะเขือเทศหรอกเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ
มันแหยะ ๆ ปลาวาฬไม่ชอบกิน” พูดจบ เด็กหญิงก็ทำหน้าแหย ๆ พลางแลบลิ้นอย่างสุดทน
ผมเข้าใจแกนะ
เพราะกระทั่งตัวผมเอง กว่าจะยอมกินผักบางชนิดได้
แม่ก็ต้องเคี่ยวเข็ญจนปากเปียกปากแฉะ ดีที่ผมมีพี่เอิงเป็นไอดอล พอเห็นพี่เอิงกินได้ทุกอย่างแถมยังกินไม่เกี่ยง
ผมเลยค่อย ๆ พยายามปรับตัวจนกลายเป็นคนกินง่ายอยู่ง่ายในที่สุด นั่นจึงทำให้ผมเชื่อว่า
ปัญหาการเลือกกินของเด็กเล็ก ๆ แก้ไขได้ แค่พ่อหรือแม่ต้องสร้างแรงจูงใจให้เจ้าตัวเล็กยอมเปิดรับของกินที่เจ้าตัวไม่ชอบเท่านั้นเอง
“น่าเสียดายจังน้า
ปลาวาฬเลยอดกินของอร่อยเลยทีนี้” ผมยู่หน้าอย่างเห็นใจก่อนจะตักมะเขือเทศแว่นใหญ่เข้าปากแล้วเคี้ยวกลืนด้วยสีหน้าปลาบปลื้มเกินเบอร์
“มะเขือเทศมันอร่อยขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
“อร่อยสิครับ
อร่อยมากเลย” ว่าแล้วผมก็สาธิตให้เด็กหญิงดูแบบจะ ๆ อีกครั้ง โดยที่คราวนี้เปลี่ยนเหยื่อเป็นมะเขือเทศราชินีในสลัดผักที่หวานและเคี้ยวเพลินสูสีกับผลไม้เลยทีเดียว
“โอ้โห ลูกเมื่อกี้หวานฝุด ๆ ”
“จริงเหรอคะ”
“จริงสิครับ
อาทูไม่โกหกปลาวาฬหรอก” ผมแอบอมยิ้มเมื่อเห็นว่าปลาวาฬเริ่มลังเล เดาว่าถ้าโดนผมกล่อมอีกสักนิด
เจ้าตัวเล็กจะต้องยอมกินมะเขือเทศแน่ ๆ “เอาอย่างนี้ ถ้าไม่เชื่อปลาวาฬก็ลองกินดูสิครับ...
อ่ะนี่ ลองกินลูกนี้ดูก่อนก็ได้ ลูกนี้เล็กนิดเดียว ปลาวาฬเคี้ยวไม่กี่ทีก็หมดแล้ว”
อีกฝ่ายมองหน้าผมเหมือนไม่แน่ใจ
ผมเลยรีบเสริมความมั่นใจให้ทันที “เดี๋ยวเรากินพร้อมกันก็ได้ครับ
อาจะกินเป็นเพื่อนปลาวาฬนะ”
“มาครับ
เดี๋ยวพ่อกินเป็นเพื่อนลูกด้วยอีกคน" อยู่ ๆ
พี่หนาวก็เอ่ยขึ้นพลางชูมะเขือเทศชิ้นโตในช้อนตัวเองเพื่อยืนยัน
“ปลาวาฬพร้อมยัง?”
“ค่ะ”
เจ้าตัวเล็กตักมะเขือเทศลูกเล็กพลางพยักหน้าเรียกขวัญแรง ๆ หนึ่งทีเมื่อปลงตก ก่อนที่ปลาวาฬจะเปลี่ยนใจ
ผมก็ชำเลืองมองพี่หนาวแล้วให้สัญญาณการเริ่มภารกิจกล่อมเด็กกินมะเขือเทศ
เห็นดังนั้น เด็กหญิงจึงยอมเคี้ยวผลไม้สีแดงที่ผมบรรจงเลือกให้อย่างดี
ชั่ววินาทีแห่งความระทึกใจผ่านไปอย่างเชื่องช้า
แต่ที่สุดแล้วสีหน้าไม่มั่นใจในทีแรกก็แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าเซอร์ไพรส์ปนพึงพอใจจนได้
“อู้หู
หวานฝุด ๆ ไปเลยค่ะ” ปลาวาฬทำตาโตแล้วยิ้มกว้างอย่างชอบใจจนผมอดฉวยโอกาสไม่ได้
“ถ้างั้นเอาอีกมะ”
“วันนี้กินแค่นี้ได้ไหมคะ
ปลาวาฬอยากกินอย่างอื่นมากกว่า” ปลาวาฬยู่หน้าส่งสายตาออดอ้อน
“ได้สิครับ”
เรื่องน่าตลกก็คือ นอกจากเจ้าตัวเล็กแล้ว ผมแอบเห็นพี่หนาวกลืนน้ำลายด้วยสีหน้าลำบากใจเมื่อได้ยินคำถามเมื่อครู่
สงสัยอาการขยาดมะเขือเทศนี่น่าจะเป็นกันทั้งบ้านแฮะ
“แล้วปลาทูชอบกินอะไรอีกคะ”
เจ้าของคำถามเคี้ยวข้าวพลางจ้องหน้าผมอย่างตั้งอกตั้งใจ สายตาเชื่อมั่นและแน่วแน่ของแกทำให้ผมนึกถึงสายตาของไอ้สามที่มองตามผมกับพี่เอิงสมัยที่มันยังเล็ก
ๆ ขึ้นมาตงิด ๆ
ไม่รู้สิ
ผมว่าการที่เราได้เป็นคนสำคัญในสายตาของเด็กเล็ก ๆ สักคนมันทำให้เรามีพลังและพร้อมจะทำตัวให้ดียิ่ง
ๆ ขึ้นเพื่อจะได้เป็นแบบอย่างให้กับเด็กคนนั้นต่อไป ซึ่งหากผมได้รับเกียรติให้เป็นคน
ๆ นั้นของปลาวาฬ ผมคงจะปลื้มปริ่มมากทีเดียว
“โหย
อาทูชอบกินทุกอย่างเลยครับ ไม่อย่างนั้นอาทูจะตัวสูงแบบนี้เหรอ”
“คุณพ่อปลาวาฬก็ตัวสูงเหมือนกันค่ะ”
พี่หนาวอมยิ้มกับท่าทีภาคภูมิใจที่ปลาวาฬแสดงออก... แหม ไม่ค่อยจะหน้าบานเลยเนอะลุง
“ใช่แล้วครับ
ที่คุณพ่อตัวสูงเพราะคุณพ่อกินกับข้าวได้ทุกอย่างยังไงล่ะครับ” ต่อให้ผมจะพอรู้ว่าปลาวาฬไม่ชอบกินมะเขือเทศเหมือนใคร
แต่เรื่องอะไรที่ผมจะแฉตัวการจนโดนเฉดหัวออกจากบ้านเขาตลอดกาลล่ะครับ “ถ้าปลาวาฬอยากตัวสูง
ๆ และโตไว ๆ ปลาวาฬต้องกินอาหารให้ได้ทุกอย่างเหมือนคุณพ่อนะครับ”
“แต่ปลาวาฬไม่ชอบกินมะเขือเทศนี่นา”
เด็กหญิงถอนหายใจแรงจนไหล่สองข้างตกลู่... โอเคครับปลาวาฬ อาทูเก็ทหนูนะ
แต่อาทูจะไม่ยอมแพ้หรอก รู้ใช่ไหม
“ไม่ชอบมะเขือเทศ
แล้วปลาวาฬชอบกินอะไรครับ”
“ปลาวาฬชอบกินพิซซ่า
ชอบกินข้าวผัด หมูอบ ชอบสปาเก็ตตี้ แล้วก็ชอบ... ชอบ ” เจ้าตัวเล็กทำหน้านึกอย่างตั้งอกตั้งใจ
แต่ผมกลัวจะกินข้าวไม่เสร็จเลยจำเป็นต้องตัดบทอย่างเสียไม่ได้
“เอาอย่างนี้ไหมครับปลาวาฬ
ไว้เดี๋ยวคราวหน้าอาทูจะทำสปาเก็ตตี้ผัดซอสมะเขือเทศให้กิน รับรองว่าปลาวาฬจะต้องชอบจนร้องว้าวยาว
ๆ เลยครับ” อาจเป็นเพราะผมรู้สึกเห็นใจพ่อเด็กด้วยแหละที่ทนลำบากร่วมกันมาถึงตอนนี้
ไหนจะคอยลุ้น ไหนจะยอมกินของที่ตัวเองไม่ชอบเป็นเพื่อนลูกสาว
ผมเลยพลั้งปากเสนอตัวไปโดยไม่ทันยั้งคิดทั้ง ๆ ที่ตัวเองอ่อนด๋อยต้อยต่ำด้านการทำอาหารเป็นที่สุด
“เย่! สปาเก็ตตี้! ปลาวาฬชอบกินสปาเก็ตตี้”
อาการชอบอกชอบใจอย่างแรงของอีกฝ่ายทำให้ผมเริ่มรู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ
อย่างไรบอกไม่ถูก
“ไว้อาทูจะทำให้กินนะครับ”
ผมทำยิ้มสู้แล้วกินข้าวต่อด้วยสีหน้าปกติ แต่เด็กหญิงกลับรุกหนักจนผมยังตกใจ
“ปลาทูทำพรุ่งนี้เลยนะคะ
ปลาวาฬอยากกิน”
เมื่อ
– กี้ – กรู – เผลอ – ทำ – อะ – ไร – ลง – ไป
จุด
ๆ นี้ผมล่ะอยากกด CTRL +
Z
แล้วกลับไปตบปากพล่อย ๆ เพื่อเรียกสติตัวเองเหลือเกิน!
“เอ่อ...
พรุ่งนี้ไม่ได้หรอกครับ อาทูต้องไปทำงาน” ผมพยายามส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากท่าน HR Director แต่กลับเป็นลูกสาวของแกที่ออกอาวุธก่อนใครเพื่อน
“อ้าว
แล้วปลาทูจะทำสปาเก็ตตี้ให้ปลาวาฬกินเมื่อไรเหรอคะ”
“เอาไว้อาทิตย์หน้าดีไหมครับ
เดี๋ยวอาทูจะทำใส่กล่องแล้วฝากคุณพ่อมาให้” ถึงจะละอายใจในทักษะงานครัวของตัวเอง
แต่ในเมื่อพูดไปแล้ว ผมก็ไม่อยากทำลายความฝันของเด็กน้อยด้วยการสารภาพว่า ทันทีที่กลับถึงบ้าน
ผมไปจะออดอ้อนแม่ให้ช่วยเมตตาทำสปาเก็ตตี้สูตรบ้านเราให้หนึ่งทัพเพอร์แวร์เพื่อมากำนัลสองพ่อลูก
เพราะนอกจากมันจะดูไม่คูลแล้ว ปลาวาฬอาจลดฐานะผมจาก ‘ปลาทู’ เป็น ‘ปลาตีน’ ภายในชั่วพริบตา
“แต่ปลาวาฬอยากดูตอนปลาทูทำด้วยนี่คะ”
“อ่า” พอนึกภาพตัวเองระเบิดครัวพี่หนาวเข้าจริง
ๆ ผมก็อดสยองไม่ได้
ไม่! จะยังไงผมก็ต้องไม่ใจอ่อนกับลูกอ้อนของปลาวาฬเป็นอันขาด
ขืนผมเหิมเกริมทำสปาเก็ตตี้ที่ว่าเอง
ผมคงไม่แคล้วโดนข้อหาฆาตกรรมยกครัวเรือนเป็นแน่แท้
“นะคะปลาทู
ปลาวาฬอยากช่วยปลาทูทำสปาเก็ตตี้” อย่าช้อนตามองหน้าอาทูแล้วยิ้มหวานอย่างนั้นสิครับปลาวาฬ
อาทูใจไม่ดีเลย
“เอ่อ”
ผมชำเลืองมองหน้าพี่หนาวด้วยสายตาสิ้นหวังทั้งที่ใจอยากจะเดินเข้าไปเขย่า ๆ
ลุงแกแล้วบอกว่า ‘พี่หนาวครับ
นอกจากพี่แล้วผมก็มองไม่เห็นใครที่จะช่วยชีวิตผมจากลูกพี่ได้อีกแล้วนะครับ’
“ปลาวาฬช่วยคุณพ่อทำกับข้าวบ่อยนะคะ
ปลาวาฬเก่งด้วยนะคะไม่เชื่อถามคุณพ่อได้เลย” เด็กหญิงลงทุนปีนเก้าอี้แล้วเอื้อมมือข้ามโต๊ะมาเขย่าแขนผมอย่างกระตือรือล้นพร้อมกับอ้อนวอนไม่หยุด
“นะคะ ปลาทู ให้ปลาวาฬทำด้วยนะคะ”
“เอ่อ”
ไม่น่าเลย ผมไม่น่าพลาดเลยจริง ๆ
“กินข้าวให้หมดก่อนครับลูก
แล้วค่อยชวนอาทูคุย”
พี่หนาวปรามเสียงเรียบก่อนจะจับมือเจ้าตัวเล็กให้กลับไปนั่งที่ตามเดิม... ฮือ ดีใจ
ในที่สุด พ่อเทพบุตรของผมก็ขี่ม้าขาวเข้ามาช่วยผมไว้ได้ทัน
“ก็ได้ค่ะ”
.
.
.
.
พี่หนาวเดินออกมาจากครัวเพื่อมาหยุดยืนกอดอกมองปลาวาฬที่นั่งสุมหัวแข่งระบายสีรูปการ์ตูนกับผมอยู่ครู่หนึ่ง
จากนั้นแกก็เปรยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง “จะสองทุ่มแล้วลูก ลาอาทูแล้วไปอาบน้ำนอนได้แล้วครับ
ดึกแล้ว อาทูต้องกลับไปพักผ่อนที่บ้านเหมือนกัน”
“ว้า
จะสองทุ่มแล้วเหรอคะ ปลาวาฬยังอยากเล่นกับปลาทูอยู่เลยค่ะคุณพ่อ” เด็กหญิงจำใจวางดินสอสีก่อนจะใช้ท่าไม้ตายออดอ้อนอันร้ายกาจกับบิดาของตัวเอง...
ผมเคยโดนมาก่อน ผมย่อมรู้ดีว่าพลังทำลายล้างของตากลม ๆ และแก้มป่อง ๆ นั่นรุนแรงแค่ไหน
แต่ผมคงลืมไปว่าพี่หนาวคือชายหนุ่มผู้มีจิตใจแข็งแกร่งยิ่งกว่าหินผา
“ไหน ลูกเคยตกลงกับพ่อว่าไงครับ”
“ปลาวาฬจะไม่นอนดึกค่ะ”
ลุงไซด์ไลน์ย่อตัวลงนั่งคุยกับเจ้าตัวเล็กเสียงอ่อนเสียงหวานพลางลูบผมลูกสาวเบา
ๆ ราวกับสะกดจิต “เพราะอะไรครับลูก”
“เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นไปโรงเรียนแต่เช้าค่ะ”
“ถ้างั้นก็ไปอาบน้ำได้แล้วลูก
ดึกแล้ว” สิ้นประกาศิตของพี่หนาว เด็กหญิงก็หันมาออดอ้อนผมต่อทันที
“ปลาทูขา
วันหลังปลาทูมาเล่นกับปลาวาฬอีกนะคะ” ไม่ได้พูดอย่างเดียว ปลาวาฬยังกอดผมเสียแน่นก่อนจะหยอดคำหวานให้ผมนอนตายคาที่ไม่มีเรี่ยวแรงต่อต้าน
“นะคะ”
“ครับ”
แม้อ้อมกอดเล็ก
ๆ จะคลายลง แต่เด็กหญิงกลับยังเกาะคอผมไม่ปล่อยก่อนจะเอ่ยทิ้งท้ายด้วยสีหน้าเว้าวอน
“แล้วก็... แล้วก็ ปลาทูต้องมาทำสปาเก็ตตี้มะเขือเทศร้องว้าวให้ปลาวาฬกินเร็ว ๆ
นะคะ”
“ได้ครับผม”
“Pinky swear ก่อนค่ะ”
ผมกลั้นยิ้มต่อไปไม่ไหวเมื่อเห็นนิ้วก้อยเล็ก ๆ ยื่นมาตรงหน้า
“ครับ
อาทูสัญญา” ถึงจะยังไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร แต่หลังจากเกี่ยวก้อยกับเด็กหญิง
ผมก็ตั้งใจว่า ทุกวันหลังจากนี้ ผมจะกลับไปหัดทำสปาเก็ตตี้ให้เก่ง ๆ
ปลาวาฬจะได้ภูมิใจในตัวผมมากขึ้นไปอีก
“สองทุ่มแล้วลูก
อาบน้ำครับ” พี่หนาวย้ำกับปลาวาฬก่อนจะหอมขมับลูกสาวอย่างรักใคร่
“เดี๋ยวพ่อส่งอาทูเสร็จแล้วจะตามเข้าไปอ่านนิทานให้ฟังนะครับ”
“ถ้างั้นปลาวาฬไปอาบน้ำก่อนนะคะ”
เด็กหญิงโบกมือหยอย ๆ ขณะเบือนหน้ากลับมาคุยกับผม
“ครับ”
“Good Night” ขณะที่เจ้าตัวเล็กในชุดนักเรียนยับยู่ยี่กำลังเดินโต๋เต๋ไปยังห้องที่เปิดประตูทิ้ง
เด็กหญิงก็หันกลับมามองหน้าผมเป็นพัก ๆ โดยไม่หยุดโบกไม้โบกมืออย่างอาลัยอาวรณ์ “บ๊ายบายค่ะ”
“บ๊ายบายครับ”
แม้ภาพที่เห็นจะทำให้ผมใจหาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมดีใจมาก ๆ ที่ได้รู้จักและได้ใช้เวลากับเด็กคนนี้...
ผมเอ็นดูลูกพี่หนาวจนอยากจะแอบเอาใส่กระเป๋ากลับบ้านด้วยสุด ๆ ไปเลย
เมื่อปลาวาฬเดินหายเข้าห้องไป
พี่หนาวก็หันมาคุยกับผมด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย “ขอโทษนะที่ทำให้คุณต้องกลับบ้านดึก”
“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ
เพราะผมก็อยากอยู่เล่นกับปลาวาฬเหมือนกัน” ก่อนที่เจ้าบ้านจะรู้สึกผิดยิ่งไปกว่านี้
ผมก็รีบหยัดตัวลุกขึ้นแล้วเดินไปเก็บของ สะพายกระเป๋า ก่อนจะจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่
“เสาร์นี้คุณว่างไหม”
“ว่างครับ”
ผมมองหน้าคู่สนทนาอย่างแปลกใจเพราะไม่เข้าใจว่าทำไม อยู่ ๆ พี่หนาวจึงถามแบบนี้
แต่พอได้ฟังคำตอบ ผมก็หมดความสงสัย รวมถึงหมดอาลัยตายอยากไปพร้อม ๆ กัน
“ถ้าอย่างนั้น
วันเสาร์ผมยกครัวให้คุณทั้งวันเลย” ว่าแล้ว
ลุงไซด์ไลน์ก็ผายมือไปทางห้องครัวสุดทันสมัยจนดูน่ากลัวเกินไปสำหรับคนอย่างผม
“หืม
อะไรนะครับ?”
“ก็สปาเก็ตตี้มะเขือเทศร้องว้าวไงคุณ
คุณสัญญากับลูกผมไว้ไม่ใช่เหรอ”
“จะให้ผมทำที่นี่เหรอครับ”
ผมเชื่อมั่นว่าสีหน้าตกใจของผมในตอนนี้จะต้องดูสมจริงอย่างไม่น่าเชื่อ...
เจ้าประคู๊ณ ขออย่าให้พี่หนาวมองออกเลยว่าที่ผมกำลังแพนิคจนขาสั่นนี่มันมีสาเหตุมาจากอะไร
“ครับ
เชิญคุณใช้ครัวที่นี่ตามสบาย”
“แต่ผมว่า
ผมทำสำเร็จมาจากบ้านจะดีกว่านะครับ ครัวคุณจะได้ไม่เลอะเทอะด้วย”
มันจะไม่ใช่แค่เลอะเทอะอย่างเดียวหรอก
แต่ถ้าผมเข้าครัว ทุกสิ่งทุกอย่างจะพังพินาศจนไม่สามารถเก็บกู้เอาซากอะไรกลับมาใช้ได้อีกเลยต่างหากล่ะ
ถ้าไม่เชื่อ ลองถามแม่ผมดูก็ได้
“ไม่เป็นไรครับ
ผมชอบล้างจาน ชอบทำความสะอาดบ้าน”
เรื่องที่พี่หนาวชอบทำงานบ้านคือความจริงที่ตัวผมได้พิสูจน์มาแล้ว
เพราะทันทีที่พวกเรากินข้าวเย็นเสร็จ นอกจากจะปฏิเสธข้อเสนอช่วยเก็บกวาดล้างจานของแขกอย่างผมแล้ว
ลุงแกยังไล่ผมกับลูกสาวให้ต้องระเห็จออกไปนั่งเล่นตรงหน้าโซฟารับแขกก่อนที่แกจะหลุดเข้าไปในหลุมดำแห่งการทำความสะอาดจนเพิ่งเดินออกมาตามปลาวาฬไปอาบน้ำเมื่อกี้นั่นแหละ...
แต่นี่มันใช่เวลาสดุดีความเป็นพ่อบ้านพ่อเรือนของพี่หนาวเสียที่ไหนล่ะวะ!
“แต่ผมเกรงใจนี่ครับ
อย่าเลย รบกวนคุณเปล่า ๆ ” ผมพยายามหนีตายด้วยการแสร้งตีหน้าเกรงใจแบบที่สุด...
พี่หนาวต้องไม่ลืมสิครับว่าเราไม่สนิทกัน เพราะฉะนั้นพี่หนาวจะต้องไม่ยอมให้คนแปลกหน้ามาใช้ครัวที่บ้านง่าย
ๆ เข้าใจไหมครับ
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกคุณ
ปลาวาฬคงจะญาติดีกับมะเขือเทศได้สักทีถ้าแกได้ช่วยเป็นลูกมือคุณเข้าครัวตั้งแต่ต้นจนจบ”
พี่หนาวแค่นยิ้มอย่างอ่อนใจ ดูท่าว่าเรื่องกินมะเขือเทศจะเป็นปมที่กระทั่งคนแข็งแกร่งดั่งหินผาอย่างลุงแกยังหาทางเอาชนะไม่ได้จริง
ๆ ... น่าสงสารเหมือนกันแฮะ
พอคิดได้แบบนั้น
ปากผมก็พาซวยอีกครั้งอย่างไม่น่าให้อภัย “อ่า ก็ได้ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้คุณก็ส่งลิสต์รายการของที่ต้องใช้มาให้ผมแล้วกันนะ
ผมจะได้ซื้อเตรียมไว้”
“ครับ”
“คุณพ่อขา
ปลาวาฬอาบน้ำเสร็จแล้วค่ะ” เสียงตะโกนแจ้ว ๆ ที่ดังออกมาจากห้องที่ไม่ได้ปิดประตูทำให้ผมหลุดยิ้มด้วยความเอ็นดูเจ้าตัวเล็กที่อยู่ด้านใน
“ขอเวลาพ่ออีกห้านาทีนะครับลูก
เดี๋ยวพ่อเข้าไป” หลังจากตะโกนคุยกับปลาวาฬ พี่หนาวก็หันมาทำหน้าลำบากใจใส่ผมอีกครั้ง
“ผมคงไปส่งคุณที่บ้านไม่ได้ ขอโทษนะ”
แหม
เห็นหน้าลุงแกตอนนี้แล้วผมล่ะอยากจะกอดปลอบให้เลิกคิดมากเสียจริง ๆ แต่คนมโนเก่งทั้งที่ตัวจริงกากอย่างผมกลับพูดได้แค่
“ไม่เป็นไรครับ ออกไปตอนนี้รถคงไม่ติดเท่าไร เผลอ ๆ นั่งแท็กซี่แค่ครึ่งชั่วโมงก็ถึงบ้านแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้น
พอคุณกลับถึงบ้าน คุณช่วยโทรมาบอกผมหน่อยได้ไหม”
“ผมจะไม่รบกวนคุณใช่ไหมครับ”
ผมแสร้งทำท่าหนักใจทั้งที่ข้างในลิงโลดมาก... ตื๊อผมสิ ตื๊อผม! แล้วผมจะโทรหาลุงจนลุงไม่อยากเปิดมือถืออีกเลย
“ไม่เลย
แต่ถ้าคุณไม่โทรมา ผมเองนี่แหละที่จะโทรไปกวนคุณ”
ถึงความเป็นห่วงแบบพ่อ
ๆ ของพี่หนาวจะทำให้ผมหลุดหัวเราะ แต่สุดท้ายผมก็รับปากเขาด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง
“ก็ได้ครับ เดี๋ยวพอถึงบ้านแล้วผมจะโทรมานะครับ” พูดจบ ผมก็หมุนตัวตั้งท่าจะเดินไปที่ประตู
แต่อยู่ ๆ ข้อมือผมก็โดนอีกคนดึงไว้
“เดี๋ยวคุณ”
“ครับ?”
ผมหันกลับไปมองหน้าอีกฝ่ายงง ๆ
“เอาอย่างนี้ดีกว่า
เดี๋ยวอีกสิบนาทีผมจะโทรหาคุณ แต่คุณไม่ต้องคุยหรอกนะ ผมแค่จะอยู่เป็นเพื่อนคุณนั่งแท็กซี่ให้ถึงบ้าน”
ดูท่าว่าเขาจะรู้สึกผิดที่ไม่ได้ไปส่งผมที่บ้านจริง ๆ ถึงได้เป็นกังวลกับการปล่อยผมกลับบ้านคนเดียวเอามาก
ๆ ... โดนเข้าไปแบบนี้แล้วจะไม่ให้ผมหวั่นไหวได้ยังไง
“ไม่เป็นไรครับ
ผมกลับบ้านได้ ไม่ต้องโทรมาหรอกครับ เปลืองเงินแล้วก็ลำบากคุณด้วย”
“งั้นผมโทรไลน์ไปก็ได้
คุณแค่กดรับเฉย ๆ ไม่ต้องพูดอะไร แล้วค่อยวางอีกทีตอนถึงบ้าน” ฮือออ...
ทำไมพี่หนาวต้องโคตรของโคตรน่ารักเบอร์นี้ด้วย แล้วใจบาง ๆ
ของผมจะทนได้อีกสักกี่น้ำกัน
“อย่าเลยครับ
วุ่นวายเปล่า ๆ ”
“เถอะครับ
ผมเป็นห่วง” ให้ตายสิ แรงบีบเบา ๆ รอบ ๆ ข้อมือมีผลกับใจผมพอ ๆ กับสายตาของเขาเลย
“ก็ได้ครับ”
จริงอย่างที่เจ้าตัวโฆษณา
เพราะหลังจากที่พี่หนาวโทรมา ผมก็ทำได้แค่รับสายอย่างเดียวจริง ๆ แต่การได้นั่งฟังเสียงสองของเขาขณะเล่านิทานให้ปลาวาฬฟังอย่างตั้งใจไปตลอดทางกลับทำให้ผมแฮปปี้เสียจนเผลอตัดสายเรียกเข้าของเบอร์แปลก
ๆ ที่โทรแทรกเข้ามาตอนเกือบจะสามทุ่มไปโดยปริยาย
••• TBC •••
ถึงวันนี้เราจะมาดึกไปหน่อย
แต่ก็มาแล้วแหละเนอะ
ถ้าอ่านแล้วชอบ หรือไม่ชอบอย่างไร
อย่าลืมติด #ลุงไซด์ไลน์ละมุนมาก
#คันหิม
บ้างนะคะ ^^
No comments:
Post a Comment