#10
ผิดไปแล้ว ผิดไปแล้ว
แต่ก็ยังยืนยันว่าฉันไม่ได้ตั้งใจ
ที่แล้วแล้วมา ฉันเสียใจ
ที่ไม่รู้ความจริงในใจเธอ
ผิดไปแล้ว - มาช่า วัฒนพานิช
…………………………………………………………………………………………………………
“ถ้าในส่วนนี้ไม่มีการแก้ไข
ผมขออธิบาย Flowchart* ถัดไปเลยนะครับ”
ผมคลิกเลื่อนสไลด์ทันทีที่เห็นคุณเซียงพยักหน้า อันที่จริง ถ้าตัดเรื่องยึกยักไม่ค่อยให้ความร่วมมือออกไป
คุณเซียงจัดว่าเป็นยูสเซอร์ที่หัวไวและเข้าใจระบบได้เร็วมากคนนึง (หมายเหตุ: Flowchart
คือ
แผนผังที่ระบุขั้นตอนการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการ)
“ขั้นตอนกา...”
“ผมขอเข้าฟังด้วยคนนะ”
มั่นใจแรงว่าไม่ใช่แค่ผมหรอกที่ตกใจเมื่อจู่ ๆ ท่าน HR Director ก็ก้าวฉับ ๆ ผ่านประตูเข้ามาในห้องประชุมก่อนจะเชิญตัวเองไปนั่งด้านหลังอย่างรู้หน้าที่
“คงไม่เป็นไรใช่ไหม”
แหม
ออกตัวล้อฟรีเสียขนาดนี้ คงจะมีใครกล้าว่าท่านหรอกนะครับ
“เชิญครับ”
ผมแสร้งสนใจรายละเอียดในสไลด์เพื่อจะได้ไม่ต้องมองสีหน้ายิ้ม ๆ ล้อเลียนของยีนส์ที่เข้ามาช่วยจดบันทึกการประชุม
นอกจากต้องพรีเซนต์
Flowchart อธิบายขั้นตอนการทำงานใหม่โดยเปรียบเทียบกับของเดิม
รวมถึงอัพเดทแนวทางการออกแบบระบบให้ยูสเซอร์เข้าใจแล้ว ก็มีเรื่องที่พี่หนาวสุ่มเข้าฟังประชุมย่อยก่อนอนุมัติ
Blueprint โดยไม่บอกกล่าวนี่แหละที่ทีมคอนซัลท์ต้องเตรียมตัวรับมือ
แต่สงสัยผมจะฟาดเคราะห์ไปตั้งแต่ตอนที่เลิกกับไอ้พี่บูม เพราะท่านผู้อำนวยการโผล่ไปจ๊ะเอ๋พี่ฟี่ตอนพรีเซนต์ระบบเงินเดือนเป็นแมทช์แรก
วันนี้ผมเลยชิล ๆ เพราะเผื่อใจมาพร้อมมาก
“สำหรับ
Flowchart ขั้นตอนการสำรองชื่อเข้ารับการฝึกอบรมของพนักงาน
ผมได้แก้ไขใหม่ตามที่คุณเซียงบอกเมื่อคราวที่แล้วดังนี้นะครับ” ผมเลื่อนเลเซอร์พ้อยเตอร์ลากจุดสีแดงวงรอบกล่องข้อความที่ยังไม่ได้ข้อสรุปแล้วเริ่มอธิบายแผนผังล่าสุดไปทีละจุดเหมือนทุกครั้งที่เข้าประชุม
จะต่างกันก็แค่ หลังจากผมเปิดฉากพูดได้ไม่ถึงสามประโยค ท่านยูสเซอร์กิตติมศักดิ์ก็ชูมือหราพร้อมส่งเสียงเหมือนเช่นเคย
“เดี๋ยวนะ”
พี่หนาวขมวดคิ้วพลางกวาดตามองสไลด์ด้วยสีหน้ากังวล
“ครับ?”
ระหว่างเงี่ยหูรอฟัง ผมก็อดคิดดเล่น ๆ ไม่ได้ว่า ต่อไปถ้าพี่หนาวเข้าฟังประชุมแล้วไม่ร้องขัด
ผมคงจับไข้หรือลิ้นไม่รู้รสจนกินอะไรก็ไม่อร่อยไปเลยล่ะมั้ง
“ผมเข้าใจว่า
Flowchart นี่อธิบายขั้นตอนการทำงานของงานฝึกอบรมที่
HR ทำอยู่ในปัจจุบันใช่ไหม” ผมเริ่มไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรเลยอ่านทวนเนื้อหาที่ระบุในสไลด์เร็ว
ๆ อีกครั้ง แต่ก็ยังไม่พบจุดที่ผิดปกติ
“ใช่ครับ”
“เมื่อกี้คุณบอกว่า
Flowchart อันนี้คุณแก้ไขตามข้อมูลล่าสุด
ถูกต้องหรือเปล่า” พี่หนาวละสายตาจากหน้าจอโน้ตบุ๊คส่วนตัวที่พกเข้ามาด้วยแล้วจ้องผมนิ่ง
ๆ เหมือนกำลังจับผิด ผมจึงรีบยืนยันคำตอบตามจริง
“ครับ
ผมแก้ไขตามที่คุณเซียงชี้แจงในที่ประชุมคราวที่แล้วครับ”
สีหน้าพี่หนาวที่ดูเคร่งเครียดขึ้นสิบเท่าหลังจากฟังคำตอบทำให้ผมสังสัย
ก่อนจะแน่ใจเมื่อเหลือบไปเห็นหน้าซีด ๆ ของคุณเซียง... บุญบาป เมื่อกี้คือผมเพิ่งจับยูสเซอร์ตัวเองเผานั่งยางแล้วไลฟ์โชว์ใช่ไหมวะ
พี่หนาวถอนหายใจยาวก่อนจะพูดตอบผม
“Flowchart นั่นยังมีบางจุดที่ไม่ถูกต้องนะคุณ”
“เหรอครับ”
ถึงจะแน่ใจว่าตัวเองเผลอคายความลับทางราชการไปแบบโง่ ๆ แต่จังหวะนี้ใครก็ห้ามผมช่วยชีวิตคุณเซียงไม่ได้
“เอ่อ ผมอาจจะยังไม่เข้าใจขั้นตอนการทำงานในส่วนนี้ดีเท่าไร แผนผังเลยยังผิดอยู่
ขอโทษด้วยนะครับ”
ฟังคำผมแล้วพี่ก็หนาวยกฝ่ามือขึ้นปรามพลางส่ายหน้าอย่างหนักใจ
“เดี๋ยวผมอธิบายขั้นตอนส่วนนี้ที่ HR
ทำตามปกติให้คุณฟังเองแล้วกัน
คุณจะได้ไม่ต้องเสียเวลาแก้งาน”
“ครับ
ขอบคุณครับ” แม้จะรู้สึกเฟลที่เผลอโป๊ะเรื่องคุณเซียงออกมาจนได้ แต่ลึก ๆ
ผมกลับโล่งใจที่จะได้ทำงานอย่างถูกต้องตามที่ควรจะเป็นเสียที ยิ่งพอได้ยินข้อเสนอแกมบังคับของอีกฝ่าย
ผมจึงยิ่งตั้งใจเก็บข้อมูลจากต้นฉบับแบบครบทุกเม็ด
“หลังจากหัวหน้างานอนุมัติใบคำร้องสำรองที่นั่งฝึกอบรมที่พนักงานส่งมาแล้ว
ตามปกติ HR จะต้องกรอกข้อมูลช่วงเวลาดังกล่าวลงใน Excel Sheet เพื่อบันทึกว่าพนักงานคนนั้น ๆ จะเข้ารับการฝึกอบรม พร้อมกับเตรียมเอกสารลงทะเบียนเข้ารับการฝึกอบรมไปในตัว”
“ถ้าอย่างนั้นก็จะหมายความว่า
ภายหลังจากการเริ่มใช้ระบบอย่างจริงจัง สิ่งที่ยูสเซอร์ HR จะต้องทำ คือ คีย์ใบคำร้องดังกล่าวลงในระบบ
Training เพียงอย่างเดียว
เพราะข้อมูลดังกล่าวจะเชื่อมโยงกับข้อมูลเวลาทำงานในระบบ TM แบบอัตโนมัตินะครับ” ผมลากพ้อยเตอร์ไปยังกล่องข้อความที่เกี่ยวข้องเพื่อขอคำยืนยันจากกูรู
“ใช่
แต่เฉพาะในเฟสแรกตามที่ตกลงกัน ส่วนเฟสที่สอง... ” ท่าน HR Director เม้มปากพลางเคาะปลายปากกาลงกับโต๊ะเบา
ๆ เหมือนกับลั่นระฆังพักยกก่อนจะเน้นยำใจความสำคัญ “... พนักงานจะต้องเป็นคนคีย์ใบคำร้องผ่านแอปพลิเคชันด้วยตัวเอง
โดยที่จะมี HR คอยให้คำแนะนำในกรณีที่พนักงานประสบปัญหาการใช้ระบบเท่านั้น”
“ทราบครับ”
ผมตอบรับทันควันหากแต่ไม่ลืมชี้แจงประเด็นสำคัญซ้ำอีกครั้งเพื่อป้องกันยูสเซอร์เข้าใจผิด
“อย่างไรก็ตาม HR จะต้องไม่ลืมว่า ภายหลังจากการฝึกอบรมสิ้นสุดลง
หากเวลาเข้าฝึกอบรมไม่ตรงกับเวลาทำงาน
หรือพนักงานไม่เข้าร่วมการฝึกอบรมตามที่ระบุไว้แต่แรก HR ต้องแก้ไขข้อมูลในระบบ TM อีกครั้งนะครับ ไม่อย่างนั้นระบบเงินเดือนอาจจ่ายโอทีหรือหักเงินพนักงานเพราะข้อมูลเวลาไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง”
“แน่นอน
ผมรับรองว่าทีมผมจะดูแลขั้นตอนเหล่านี้เอง”
เมื่อได้ฟังคำยืนยันของผู้มีอำนาจตัดสินใจแบบชัด
ๆ ผมก็เบาใจ อย่างน้อย ๆ หลังจากนี้ก็คุณเซียงคงไม่กล้าบิดเบือนขั้นตอนการทำงานหลัก
ๆ ให้ผมต้องปวดหัวอีก “ถ้าอย่างนั้นผมจะแก้ไข Flowchart ของระบบงาน Training ในส่วนนี้ตามข้อมูลที่คุณคิมหันต์ชี้แนะอีกทีนะครับ”
พี่หนาวพยักหน้าเร็ว
ๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงเข้ม “คุณทิวัตถ์ ผมอยากดู Flowchart ล่าสุดของทุก ๆ ระบบที่คุณดูแล
รบกวนคุณช่วยส่งเมลมาให้ผมภายในวันนี้ก่อนบ่ายโมงได้ไหมครับ”
“ได้ครับ”
ผมพอเดาได้ว่าท่าน HR
Director จะเอาไฟล์พวกนั้นไปทำอะไร
คุณเซียงเองก็คงคิดได้เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่นั่งหน้าซีดตัวสั่นหนักกว่าเดิมจนผมชักเริ่มสงสาร
แต่ถ้าผมหยั่งรู้สักนิดว่าก่อนเลิกงานวันนี้
พี่หนาวจะโทรมาหาพร้อมกับสั่งเสียงเฉียบว่าให้ติดรถกลับบ้านด้วยกัน ผมคงสำนึกได้ว่า
ผมควรเป็นห่วงตัวเองก่อนใคร ๆ เพราะเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญครั้งหนึ่งในชีวิตเลยทีเดียว
••••••
“ขอโทษครับ” ผมบอกเจ้าของรถทันทีที่ทรุดตัวลงตรงเบาะข้าง
ๆ กัน หย่อนก้นนั่งยังไม่ทันร้อน ผมก็นึกแปลกใจที่แอร์ในรถค่อนข้างเย็น แถมเมื่อหันไปเห็นคนขับปลดกระดุมเม็ดบนสุดลงพร้อมทั้งพับแขนเสื้อพ้นข้อศอก
หนำซ้ำยังออกรถทันทีโดยไม่มีแก่ใจโต้ตอบตามมารยาท ผมก็อดเปรยด้วยความรู้สึกผิดนิด
ๆ ไม่ได้ “ขอโทษที่ทำให้ต้องรอนะครับ พอดีเมื่อกี้ผมลงลิฟท์มาพร้อมกับพี่ฟี่ เลยต้องลงไปข้างล่างก่อนแล้วค่อยกลับขึ้นมาใหม่”
พี่หนาวไม่มอง ไม่แม้แต่จะพูดหรือวิจารณ์เรื่องที่ผมทุ่มเทกับการปกปิดเรื่องของเราเป็นอย่างดี
เขาเพียงแต่เพ่งสายตาจับจ้องท้ายรถเก๋งคันหน้าพร้อมกับเร่งความเร็วพารถลงจากลานจอดของอาคารอย่างเงียบ
ๆ เท่านั้น
ซวยแล้ว... ผมทำให้พี่หนาวหงุดหงิดงั้นเหรอ
แต่ช่างเถอะ ถึงลุงแกจะโกรธจริง ๆ ผมก็แค่ต้องทนอึดอัดไม่นาน เพราะอีกเดี๋ยวเขาก็ปล่อยผมลงตรงฟุตบาธที่เดิมเหมือนเมื่อคราวโน้นนั่นแหละ
“คาดเข็มขัดสิคุณ” เมื่อพ้นออกจากตึก
คนที่นั่งเงียบมาตลอดก็ยอมเปิดปาก
อ้าว ต้องคาดเข็มขัดด้วยเหรอ ไปแค่ข้างหน้านี่เองนะ พี่หนาวคงอ่านท่าทางผมขาด
ไม่อย่างนั้นคงไม่ปรายหางตามองกดดันจนผมไม่กล้าขัดใจ “ครับ ๆ คาดแล้วครับ”
“คุณรู้ไหมว่าคุณกำลังทำผิดอยู่”
“หืม?” คนขับดูอารมณ์คุกรุ่นคล้ายใกล้จะพ่นไฟในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า
สงสัยท่าน Director จะกลัวโดนตำรวจเรียกโทษฐานที่ผมทำผิดกฏจราจร
“เพราะผมไม่คาดเข็มขัดน่ะเหรอครับ”
พี่หนาวส่ายหัวพลางถอนหายใจยาวก่อนจะบีบแตรกระตุ้นรถยนต์คันหน้าให้เคลื่อนตัว
เออเว้ย ปกติไม่เห็นขับรถดุเบอร์นี้เลยนี่หว่า
หรือลุงแกจะเหวี่ยงที่ผมมาช้าจริง ๆ
“คุณกับเซียงมีปัญหาอะไรกัน”
อ่า...
ท่าจะไม่ใช่เรื่องที่ผมปล่อยให้เขารอเสียแล้วล่ะ
“ครับ?” ผมแสร้งตีหน้าซื่อพลางจ้องมองพี่หนาวตาใสทั้งที่ใจแอบภาวนาขอคุณพระคุณเจ้าช่วยคุ้มครองให้ผมปลอดภัยแคล้วคลาด
“เมื่อตอนบ่าย ผมเรียกเซียงเข้าไปคุย” ชัดเลย
ลุงแกเล่นระบุชื่อคู่กรณีเสียชัดเจนจนผมคิดเป็นอื่นไปไม่ได้อีกแล้ว... ปั่ดโธ่
แทนที่จะฟินเพราะได้กลับบ้านพร้อมกัน ที่ไหนได้ตอนจบดันหักมุมเฉยเลย
“ทีนี้คุณจะบอกผมได้หรือยังว่าคุณสองคนมีเรื่องอะไรกันอยู่”
“แล้วคุณเซียงบอกคุณว่าไงล่ะครับ”
“ผมถามคุณอยู่นะทู!” เขาหันมาทำเสียงเข้มใส่จนผมเผลอบึนปาก
ผมแค่อยากรู้เองว่าทางนั้นเขาพูดอะไร ผมจะได้พูดให้ตรงกัน อยากรู้อะไรทำไมพี่หนาวไม่คุยกับน้องทูดี
ๆ ทำไมถึงดุเก่งจังเลยล่ะครับ
“ว่ายังไง พวกคุณมีปัญหาอะไรกัน”
พูดจบพี่หนาวก็บีบแตรเร่งรถคันหน้าอีกครั้ง ผมเดาว่าที่วันนี้ลุงแกสวมวิญญาณดอม
โทเรตโตทั้งที่ปกติขับรถใจเย็นสมวัยคงเพราะแกโมโหผมพอ ๆ กับรถคันหน้าที่ออกตัวช้าจนโดนชาวบ้านปาดแย่งเลนเป็นว่าเล่น
“...เอ่อ...” ผมตวัดสายตาจากเสี้ยวหน้าด้านข้างของร่างหลังพวงมาลัยก่อนจะเสไปมองตัวเลขตรงหน้าปัดแอร์บนคอนโซลขณะครุ่นคิดหาคำอธิบายอย่างลังเลใจ
ทว่าเมื่อได้ยินประโยคที่อีกฝ่ายสำทับตามมา ผมก็หมดแรงจะแถ
“ถ้าคุณไม่บอกความจริงกับผม
ผมคงต้องคุยเรื่องนี้กับคุณจี๊ดตามข้อมูลที่ผมได้รับจากคนของผมเพียงฝ่ายเดียว
คุณรู้ใช่ไหมว่าผมกำลังพูดเรื่องอะไร”
“บอกแล้วครับ ผมยอมบอกแล้วครับ” เพื่อแลกกับการไม่ลากคุณอาทิมา
เจ้านายผู้ขึ้นชื่อเรื่องความเป๊ะโปรฯ เป็นที่หนึ่งเข้ามาเกี่ยวด้วย ต่อให้พี่หนาวจะสั่งให้ผมไปบุกน้ำลุยไฟที่ไหน
ผมก็ยินดีสนองให้โดยไม่ปริปากบ่น
“ผมรอฟังอยู่”
“เท่าที่เข้าใจ ผมคิดว่าที่คุณเซียงทำแบบนั้นเพราะเธอน่าจะไม่พอใจเรื่องที่คุณคบกับผมน่ะครับ”
แค่ประโยคแรก ผมก็โดนคนขับถอนหายใจใส่เสียเต็มแรง ใจเย็นครับท่าน... ขอผมแก้ต่างให้กับตัวเองหน่อย
“แต่นอกเหนือจากเรื่องนี้ คุณเซียงก็ไม่เคยทำอะไรไม่ดีกับผมเลยแม้แต่ครั้งเดียวนะครับ
ผมรับรองได้”
“การที่ต้นทางจงใจให้ข้อมูลผิด ๆ เพื่อที่คนรับงานต่อต้องแก้งานบ่อย
ๆ ไม่ใช่เรื่องดีในความคิดผมนะคุณ”
“คุณเซียงคงไม่ได้ตั้งใจหรอกครับ”
เอาจริง ๆ เลยนะ เมื่อกี้ผมตอแหล...
แหม ผู้ประสงค์ดีที่ไหนจะวางยากันตั้งแต่เริ่มโปรเจค แถมส่งเมลถามเรื่องงานไปทีไร
ถ้าผมไม่คอยทวงก็แทบไม่ตอบ ที่เด็ดสุดคือคอยหลบหน้าจนต้องเดินไปตามถึงที่ แต่ก็นั่นแหละ
ดูยังไงคดีนี้ครึ่งนึงก็ความผิดผมเต็ม ๆ ในเมื่อลงเรือลำเดียวกันแล้ว ผมก็ต้องตีขาพาคุณเซียงลอยคอรอดไปถึงฝั่งด้วยกันให้ได้
“ผมอ่าน Flowchart กับมินิทครบทุกฉบับแล้วนะคุณ
อยากให้ผมไฮไลท์ให้คุณฟังไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง” พี่หนาวที่สวนกลับมานิ่ง ๆ แบบเน้น
ๆ ขณะบีบแตรใส่มอเตอร์ไซค์ที่ขับสวนเลนผ่านมา ทำให้ผมสำนึกได้เดี๋ยวนั้นเลยว่า ขืนผมยังโกหกไม่เลิก
แกจะต้องดริฟท์รถแหกโค้งข้างหน้าแล้วถีบผมลงตรงนั้นแน่ ๆ
“เอ่อ... ไม่ต้องครับ” หลังจากจำใจสารภาพบาป
ผมก็แทบไม่กล้าหันไปมองพี่หนาวแบบเต็ม ๆ ตาอีกเลย แต่เท่าที่คุยกันมาจนถึงตอนนี้
ผมก็พอรู้แหละว่าถึงจะโกรธแต่เขากลับควบคุมอารมณ์ได้ดี ลองเป็นผมสิ ถ้ายีนส์แอบงุบงิบทำแบบนี้ลับหลังแล้วโดนจับได้
ผมคงโวยวายจนน้องร้องไห้ไปแล้ว
“คุณเคยคุยเปิดอกกับเซียงเรื่องนี้ไหม”
ผมเกาะสายเข็มขัดนิรภัยไม่ปล่อยพลางส่ายหัวป้อย
ๆ ให้กับบานประตูข้าง ๆ ตัวอย่างจนใจ “ก็อย่างที่บอกไปตั้งแต่แรกว่าทั้งหมด คือ ผมคาดเดาอยู่คนเดียว
ผมเลยไม่กล้าถามคุณเซียงเรื่องนี้น่ะครับ”
“แล้วทำไมคุณไม่บอกผม” จนถึงตอนนี้
พี่หนาวก็ยังคงบีบแตรเป็นระยะจนผมลืมตัวเบือนหน้ากลับไปมอง
ก่อนจะพบว่าสายตาคมกริบคู่นั้นจับจ้องรอจังหวะจะประสานสายตาด้วยอยู่สักพักแล้ว
ผมเห็นความผิดหวัง เห็นคำตำหนิ
และเห็นความเสียใจอัดแน่นอยู่ในนั้น ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกแย่กับตัวเองเอามาก ๆ
“...คือ...” เสียงพูดของผมติดขัดและแผ่วเบาสวนทางกับความรู้สึกหนักอึ้งในใจ
“ถ้าผมบอกคุณหรือบอกใครทั้ง ๆ ที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าต้นเหตุของปัญหาคืออะไร นอกจากจะไม่แฟร์กับคุณเซียงแล้ว
ผมกลัวว่าระหว่างผมกับคุณเซียง เราจะเข้าหน้ากันไม่ติดน่ะครับ”
“คุณคิดแบบนั้นจริง ๆ เหรอ”
“ครับ” ผมพยักหน้ารับแม้มันจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวของเรื่องจริงเท่านั้น
ส่วนเหตุผลที่เหลือ ให้ตายผมก็ไม่กล้าพูดหรอก... เรื่องอะไรผมจะบอกลุงแกว่าที่ผมไม่กล้าปรึกษาเรื่องคุณเซียงกับใคร
เป็นเพราะผมดันอินกับการคำโกหกของเราเสียจนไม่อยากให้คนอื่นจับได้ว่าเราสองคนไม่ได้คบกันจริง
ๆ
ถึงจะโดนยูสเซอร์บูลลี่ทุกวัน
แต่การเป็นแฟนปลอม ๆ ของพี่หนาวตลอดหกเดือน ไม่ว่าดูยังไงผมก็ว่ามันคุ้มอยู่ดี
“โอเค ถ้าคุณว่าอย่างนั้น ผมก็เชื่อคุณ”
“ขอบคุณครับ”
ขณะที่ผมถอนหายใจพลางลูบอกตัวเองเบา ๆ คนข้าง
ๆ กลับยังคงถอนหายใจอย่างต่อเนื่องจนผมแอบกวาดตามองหารถความหวังหมู่บ้านคันที่ทำให้ท่าน
HR Director หัวร้อนจนขับพริอุสอย่างเกรี้ยวกราดผิดวิสัยมาตลอดทาง
แต่เอ๊ะ พี่หนาวขับเลยตรงที่เคยจอดให้ผมลงมาแล้วนี่หว่า สรุปว่าวันนี้ผมโดนลุงแกเรียกมาดุจนพอใจแล้วถ้าจะเฉดหัวส่งเมื่อไรค่อยตัดสินใจกันอีกที
คอนเซปต์ของเย็นนี้เป็นแบบนั้นใช่ไหมวะ?
แม้จะรู้จุดประสงค์ของอีกฝ่ายแล้วก็ตาม
แต่จนแล้วจนรอด ผมกลับห้ามตัวเองไม่ให้แอบมองคนขับแทบไม่ได้เลย แรก ๆ ที่เจอกัน ผมโคตรกลัวพี่หนาวโหมดจริงจังจนไม่กล้าเข้าใกล้
แต่นาน ๆ ไป ผมกลับชอบใบหน้าทุก ๆ แบบของลุงแก จะเว้นก็แต่สีหน้าผิดหวัง อ่อนล้าที่เพิ่งเห็นไป
แต่เดี๋ยวนะ ไอ้สายตาเข้ม ๆ
เหมือนกำลังจะสำเร็จโทษผมที่กำลังเป็นอยู่นี่ ผมก็ไม่ชอบเท่าไรหรอกนะ
“ถึงผมจะเชื่อที่คุณพูด แต่ผมไม่ได้จ้างคุณมาพิสูจน์ใคร
เพราะฉะนั้น สิ่งที่คุณทำอยู่จึงไม่ถูกต้องในแง่ของการทำงานแบบมืออาชีพ” ผมได้แต่อมลิ้นพลางมองหน้าเขาด้วยความรู้สึกผิดอันแน่นเต็มอก
“ไม่ว่าเหตุจูงใจจะเป็นอะไร แต่ในเมื่อสุดท้ายมันส่งผลกระทบงานที่ทีมคุณร่วมกันรับผิดชอบ
ตัวคุณที่เป็นถึงที่ปรึกษาก็ควรจัดการกับเรื่องนี้อย่างตรงจุด ไม่ใช่ช่วยปิดบังความผิดแล้วเลี้ยงไข้คนทำผิดต่อไปเรื่อย
ๆ ”
“สมมติว่าถ้าวันนี้ผมไม่ได้เข้าประชุม
คุณคิดว่าคุณจะต้องแก้ Flowchart
นี่อีกสักกี่ครั้ง”
“ผม... ผมไม่รู้ครับ”
“เห็นไหมว่านอกจากมันจะทำให้ลูกน้องผมหลงระเริงกับการทำผิดแล้ว
คุณเองก็ยังไม่สามารถ deliver
งานให้ผมแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยอีกด้วย”
“ครับ” พี่หนาวพูดถูกทุกอย่าง
ถึงคุณเซียงจะอคติจนส่งผลกับงาน
แต่ผมเองก็ผิดที่ยอมอ่อนข้อให้เพราะมัวแต่คิดถึงความสุขของตัวเอง ผมเม้มปาก ก้มมองฝ่ามือชื้นเหงื่อที่วางแหมะอยู่บนต้นขาหลังโดนความรู้สึกละอายใจจู่โจมจนไม่กล้าสู้สายตาใคร
“ถ้าคุณลำบากใจที่ต้องปรับความเข้าใจกับลูกน้องผมตรง
ๆ คุณก็ยังมีคุณจี๊ด แล้วก็มีผมอีกทั้งคนที่จะคอยช่วยแก้ปัญหานี้ให้
คุณลืมแล้วหรือไง”
“ขอโทษครับ ผมเข้าใจว่าผมน่าจะแก้ปัญหานี้ได้ด้วยตัวเอง
ผมเลยยังไม่กล้าปรึกษาใคร”
สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีแดงก่อนที่พี่หนาวจะขับถึงแยก
นั่นจึงทำให้ผมพลอยได้ยินเสียงถอนหายใจของอีกฝ่ายชัดเจนกว่าปกติ
คนขับเคาะปลายนิ้วกับพวงมาลัยก่อนจะเอนหลังนั่งกอดอกมองผมด้วยความกลัดกลุ้ม “วันนี้ผมเรียกเซียงมาตักเตือนแล้ว
แต่คุณนี่สิ ผมควรทำยังไงกับคุณดีนะ”
“ผมขอโทษจริง ๆ ครับ
ผมสัญญาว่าผมจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว” ถึงจะรู้ว่าคำพูดช่วยลบล้างความผิดที่เกิดขึ้นแล้วไม่ได้
แต่เวลานี้ ผมไม่อยากพูดคำไหนนอกจากคำว่า ‘ขอโทษ’
คนฟังผ่อนลมหายใจยืดยาวพลางขยี้ผมตัวเองจนเสียทรงก่อนจะเปรยด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย
“ผมขอโทษนะที่ไม่ได้สังเกตให้เร็วกว่านี้”
จากเดิมที่ที่รู้สึกผิดมากอยู่แล้ว คำขอโทษของพี่หนาวก็ฉุดอารมณ์ของผมให้ยิ่งดำดิ่งลึกลงในห้วงความละอายใจไร้ก้นบึ้ง
ผมพยายามกะพริบตาถี่ ๆ เพื่อต่อสู้กับความรู้สึกชาวาบไปทั้งหน้าจนขอบตาร้อนผ่าว
และทันทีที่รู้ตัวว่าใกล้จะไม่ไหว
ผมก็บังคับเปลือกตาให้ปิดลงชั่วคราวพลางควบคุมเสียงพูดให้สั่นเครือน้อยที่สุด
“คุณไม่ต้องขอโทษผมหรอกครับ ผมต่างหากล่ะที่ทำตัวไม่สมกับเป็นมืออาชีพเอง”
“เฮ่อ ถ้าหลังจากนี้เขายังไม่ให้ความร่วมมือ
คุณรู้ใช่ไหมว่าต้องทำยังไง”
“ครับ” วันนี้ผมโดนพี่หนาวถอนหายใจใส่ไปกี่ครั้งแล้วนะ
“ก่อนหน้านี้ลูกน้องผมทำคุณลำบากใจมากเลยใช่ไหม”
น้ำเสียงอ่อนใจที่ดังมาจากเบาะข้าง ๆ ทำให้ผมรู้สึกสงสารพี่หนาวอย่างไรบอกไม่ถูก
ลำพังรบกับงานแต่ละวันก็เหนื่อยจะแย่ ลุงแกยังต้องปวดหัวเพราะผมกับลูกน้องหลังเลิกงานเสียอีก
“ผมนี่เป็นหัวหน้าที่ใช้ไม่ได้เลยจริง ๆ ”
“ผมต่างหากล่ะครับที่ใช้ไม่ได้ รู้ทั้งรู้ว่าควรทำยังไงแต่ก็ยังปล่อยให้เรื่องมันยืดเยื้อมาจนป่านนี้”
ทั้งที่ควรจะทำตัวให้สมกับเป็นมืออาชีพแท้ ๆ แต่ดันมาตกม้าตายเพราะเรื่องผู้ชาย
ถ้าโดนยาแรงเบอร์นี้แล้วยังไม่สำนึก ผมก็ควรพิจารณาตัวเองเสียที
ขณะที่ตัวเลขวินาทีสีแดงที่ค่อย ๆ
ลดลงพร้อม ๆ กับเสียงเร่งเครื่องยนต์ดังอื้อึงจากฝูงรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่รอบ ๆ
พี่หนาวก็ดึงความสนใจทั้งหมดของผมให้กลับไปหาเขาแบบเบ็ดเสร็จด้วยคำพูดแค่ไม่กี่คำ
“ต่อไปมีอะไรคุณคุยกับผมได้นะ”
จบประโยคนั้น เราสองคนก็ประสานสายตากันพอดี แต่คงมีผมคนเดียวที่ใจเต้นเป็นบ้าเป็นหลังกับเนื้อความและน้ำเสียงหนักแน่นของเขา
“คิดเสียว่าผมเป็นเพื่อน เป็นพี่คุณคนนึงก็ได้”
“ครับ ขอบคุณครับ”
ผมแสร้งเบือนหน้ากลับไปมองถนนเพราะอยู่ ๆ ก็ดันเขินจนทำหน้าไม่ถูก “เอ่อ
ไม่ต้องไปส่งผมที่บ้านก็ได้ครับ ซอยบ้านผมรถมันชอบติดตอนหัวค่ำ”
“งั้นผมส่งคุณตรงป้ายรถเมล์ตรงข้ามโลตัสแล้วกัน
ผมจะได้วนรถขึ้นทางด่วนได้เลย” พี่หนาวตอบพลางกดปุ่มปลุกเครื่องเสียงภายในรถให้ทำงาน
“ไม่ลำบากใช่ไหมครับ” ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่า
แต่ผมอดรู้สึกไม่ได้ว่าตั้งแต่เลี้ยวรถพ้นแยกเมื่อกี้มาได้ ดอม โทเรตโตก็กลายร่างกลับไปเป็นคุณลุงใจดีที่ขับรถได้นุ่มนวลน่านั่งเหมือนเดิมแล้ว
“ผมน่ะไม่ลำบากหรอก คุณสิ... ต้องต่อรถเข้าซอยอีกตั้งไกล”
“ผมไม่ลำบากเลยครับ” อันที่จริงผมออกจะแฮปปี้มากเสียด้วยซ้ำ
ขนาดเมื่อกี้เพิ่งโดนพี่หนาวสวดไปหนึ่งยกแท้ ๆ แต่พอบรรยากาศมาคุคลี่คลาย
ผมก็รู้สึกสบายใจจนเริ่มมองโลกเป็นสีชมพูได้เหมือนเดิม
ท่วงทำนองของเพลงสตริงสมัยก่อนที่ผมเคยได้ยินจากสเตอริโอที่พ่อชอบเปิดฟังตอนเช้า
ๆ ทำให้ภายในรถไม่เงียบเหงาจนเกินไป จริงอยู่ว่าการนั่งมองวิวสองข้างทาง
(สลับกับแอบมองหน้าคนขับบ่อย ๆ ) จะไม่ทำให้ผมอึดอัด แต่ผมกลับไม่อยากปล่อยให้เวลาไหลผ่านเราไปโดยปล่าประโยชน์
ไหน ๆ ผมกับเขาก็ถูกล็อคอยู่ในห้อง (โดยสาร) ปิดตายตามลำพังแล้ว ผมจะต้องหาทางหลอกถามเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขาให้คุ้มเสียหน่อย
ว่าแต่จะชวนคุยเรื่องอะไรดีวะ
“คุณกินทาร์ตแล้วหรือยัง” ผมเลิกคิ้วมองคนขับด้วยความแปลกใจเพราะนึกไม่ถึงว่าจะเป็นเขาที่ถามผม
แต่ช่างเถอะ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่เปิดบทสนทนาก่อน สุดท้ายเราก็ได้คุยกันมากกว่าเดิมอยู่ดี
“อ๋อ กินแล้วครับ”
“เป็นไง ชอบไหม” พี่หนาวกัดปากพลางอมยิ้ม
ดวงตาของเขาสุกใสสะท้อนแสงไฟจนยิ่งดูแวววาวน่ามองกว่าปกติ
ทำหน้าแบบนี้สงสัยคงจะกำลังลุ้นคำตอบของผมอยู่ล่ะมั้ง
ฮึ่ย ทำไมน่ารักจังวะลุ้งงง!
“อร่อยมากครับ
อร่อยจนผมเหมาหมดคนเดียวเลย”
คนฟังเบิกตากว้างก่อนจะหัวเราะเสียยกใหญ่
“คุณกินหมดคนเดียวทั้งสี่ชิ้นเลยเหรอ”
“ครับ น้องผมบ่นแทบตายเพราะมันอดกิน” ผมเองก็หลุดหัวเราะเมื่อนึกถึงภาพไอ้สามเหวอจนหน้าเสียทรงตอนที่เห็นผมสวาปามทาร์ตชิ้นสุดท้ายต่อหน้าต่อตา
“ท่าทางคุณจะชอบมากเลยนะ” พูดจบคนขับก็หัวเราะอย่างเอร็ดอร่อยต่ออีกรอบ
พี่หนาวจะรู้ไหมว่าผมชอบเขาเวอร์ชันผ่อนคลายแบบนี้มากเหลือเกิน จริงอยู่ที่ผมมักจะเขินไปเสียทุกครั้งที่เห็นเขายิ้ม
แต่พอเขาหัวเราะเท่านั้นแหละ โลกทั้งใบของผมก็สว่างพรายเหมือนดอกไม้ไฟที่ค่อย ๆ
เบ่งบานกลางท้องฟ้าสีดำสนิท เสียงหัวเราะสูง ๆ ต่ำ ๆ ชวนฟังทำให้เขาดูเข้าถึงง่ายมากกว่าทุกที
แถมยังเป็นมิตรเสียจนผมนึกอยากปาหัวใจใส่ให้รู้แล้วรู้รอด
“ครับ
นี่ถ้าไม่กลัวว่ากล้ามจะรวมกันเป็นก้อนไปก่อน ผมคงได้แวะไปอุดหนุนทาร์ตร้านนั้นทุกวันแน่
ๆ ”
สาบานเลยว่าถ้าเมื่อวันก่อนไอ้สามไม่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
ผมไม่มีทางกลับไปซื้อทาร์ตร้านนั้นอีกแน่ ๆ ทาร์ตบ้าอะไรไม่รู้
อร่อยเหมือนใส่กัญชา กินแป๊บ ๆ หายปุ๊บรวดเดียวสี่ชิ้น
“คุณนี่เหมือนปลาวาฬเลย ขนาดวันก่อนเพิ่งกินหมดไปแท้
ๆ แต่ก็ยังร้องจะกินอีกท่าเดียว”
“ผมเข้าใจปลาวาฬนะครับ เพราะเวลาที่ผมได้กินของอร่อย
ผมก็อยากกินอีกเรื่อย ๆ ไม่รู้จักจบจักสิ้น” ไม่ทันไร ภาพสีหน้ามีความสุขของปลาวาฬตอนกินไอติมสตรอเบอร์รี่ก็ลอยขึ้นมาในหัว
จะว่าไปผมก็คิดถึงเจ้าตัวเล็กเหมือนกันแฮะ “แต่ชีสทาร์ตน่ะกินบ่อย ๆ คงไม่ดี ไว้คราวหน้าผมจะซื้อผลไม้ตรงเต๊นท์ข้างล่างตึกแล้วฝากไปให้ปลาวาฬบ้างนะครับ”
“ไม่เห็นต้องฝากเลย”
“หืม?” ผมเอียงคอมองหน้าพ่อปลาวาฬแบบงง
ๆ ตกลงเมื่อกี้ลุงแกพูดอะไร
ดูเหมือนพี่หนาวจะรู้ทันว่าผมจะทำหน้ายังไง
มุมปากทั้งสองข้างของเจ้าตัวจึงกดลึกเสียจนลักยิ้มเผยตัวออกมาอวดโฉมอีกแล้ว
“คุณก็ซื้อแล้วเอาไปให้ปลาวาฬเองเลยสิ”
จะดี... “เหรอครับ”
ทำไงดี อยู่ ๆ ผู้ชายก็ชวนผมไปหาลูก
“ใช่ ลูกผมบ่นหาคุณทุกวัน
แกคงดีใจถ้าได้เจอคุณอีก”
โอ๊ย! อาทูก็คิดถึงปลาวาฬเหมือนกันครับ
“ถ้างั้นรบกวนบอกผมด้วยนะครับว่าคุณสะดวกเมื่อไร”
“วันพรุ่งนี้เป็นไง... ปลาวาฬมีเรียนว่ายน้ำตอนเย็น
คงจะดีถ้าแกได้กินผลไม้อร่อย ๆ หลังว่ายน้ำมาเหนื่อย ๆ ” ผมยังไม่ทันพูดอะไร
อีกฝ่ายก็ตัดบทด้วยการสรุปแผนการให้เรียบร้อย “เอาเป็นว่าพรุ่งนี้หลังเลิกงาน
คุณไปรับปลาวาฬกับผมนะ”
เจ้าประคุณเอ๊ย
ขออย่าให้พี่หนาวดูออกเลยว่ากายละเอียดของผมกำลังกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจเป็นอีผีบ้าอยู่
ในที่สุดพี่หนาวก็ชวนผมไปเดท (กับลูกสาวเขา) แล้วโว้ย!
“ครับ” ไม่รู้จะยกเครดิตให้ใครดี เพราะในที่สุดผมก็สำเร็จวิชากลั้นยิ้มยังไงไม่ให้โป๊ะเอาตอนที่ตอบคำถามพี่หนาวนั่นเอง
••••••
“ทำไมลุงเชนถึงเรียกลูกพี่ว่าลูกพี่ล่ะคะ”
อยู่ ๆ
เด็กหญิงที่นั่งเกาพุงแมวในลังกระดาษก็ถามเจ้าของร้านดอกไม้ขึ้นโดยไม่อารัมภบท
“ตอนแรกลุงก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะตั้งชื่อให้มันว่าอะไรดี
แต่พอนั่งจ้องตากับมันนาน ๆ ลุงก็นึกถึงพวกนักเลงในละครขึ้นมาเลยล่ะครับ” ว่าแล้วคเชนทร์ก็ประคองก้อนหน้ากลม
ๆ ของผู้ถูกพาดพิงให้ปรือตามองเด็กทั้งสองช้า ๆ อย่างทั่วถึง
“หน้าตาหงุดหงิดตลอดเวลาแบบนี้จะเป็นแมวลูกสมุนหางแถวได้ยังไงล่ะเนอะ
อย่างนี้ต้องเป็นจ่าฝูงสถานเดียว จริงไหมครับ”
คำตอบของชายหนุ่มเรียกเสียงหัวเราะจากเด็กหญิงได้ชะงัด
ส่วนเด็กชายก็นั่งอมยิ้มเอียงคอมองแมวสลับกับคุณลุงใจดีเป็นพัก ๆ “ลูกพี่... ทำไมลูกพี่ถึงน่ารักจังเล้ยยยย”
สิ้นเสียงของปลาวาฬ เด็ก ๆ ก็ช่วยกันขยำแมวที่นอนเป็นเป้านิ่งให้อย่างดีก่อนที่เวลาจะกระซิบข้างหูเพื่อนสนิทเพื่อให้อีกฝ่ายช่วยสื่อสารกับคเชนทร์แทนตน
“เวลาบอกว่า ถ้าเวลาเลี้ยงแมว
เวลาจะตั้งชื่อว่าลูกน้อง มันจะได้มีลูกพี่คอยดูแลค่ะ”
“อย่างนั้นเหรอครับ” เวลาไม่ตอบหากแต่พยักหน้าให้
ชายหนุ่มคลี่ยิ้มอย่างพึงพอใจกับพัฒนาการด้านการสื่อสารของเด็กชายที่มีต่อตัวเขา “ลุงชักอยากเห็นหน้าลูกน้องของเวลาเสียแล้วสิ
อยากรู้ว่าหน้าตามันจะเป็นยังไง”
ปลาวาฬส่งเสียงทันทีโดยไม่ต้องรอให้เพื่อนบอกบท
“เวลาเลี้ยงแมวไม่ได้หรอกค่ะ ป่าป๊าเวลาไม่อนุญาต”
“ทำไมล่ะครับ” ทั้ง ๆ ที่ยังไม่แน่ใจ
แต่เมื่อได้ยินคำว่า ‘ป่าป๊าเวลา’
คเชนทร์ก็อดนึกถึงใบหน้าไม่เป็นมิตรของคนไร้มารยาทที่เจอในร้านขนมปังเมื่อหลายวันก่อนไม่ได้...
ขออย่าให้ตานั่นเกี่ยวดองกับเวลาเลย สงสารเด็ก
“ป่าป๊าเวลาบอกว่าที่บ้านเวลาเป็นร้านอาหาร
ร้านอาหารต้องสะอาดเลยห้ามเลี้ยงสัตว์ค่ะ”
“ว้า เสียดายจัง ลุงเลยอดเจอลูกน้องของเวลาเลย”
เจ้าของร้านดอกไม้พยายามปัดข้อสงสัยเกี่ยวกับบิดาของเด็กชายให้ตกไปด้วยไม่อยากอารมณ์เสียเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง
เวลากระซิบข้างหูปลาวาฬอีกครั้งก่อนที่เด็กหญิงจะทำหน้าที่ล่ามส่วนตัวอย่างเต็มความสามารถ
“เวลาบอกว่าไม่เป็นไรค่ะ เพราะตอนนี้เวลามีลูกพี่แล้ว”
“ใช่แล้วครับ เวลามีลูกพี่แล้วนะ” ว่าแล้วชายหนุ่มก็หันไปสบตากับเด็กหญิงพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ปลาวาฬก็เหมือนกันนะครับ
ถ้าปลาวาฬกับเวลาอยากมาเล่นกับลูกพี่เมื่อไรก็มาได้เลยนะครับ ลุงยินดีต้อนรับเสมอ”
“ขอบคุณค่ะ
แต่พรุ่งนี้ปลาวาฬมาไม่ได้นะคะ”
“ทำไมล่ะครับ”
“พรุ่งนี้ปลาวาฬมีเรียนว่ายน้ำค่ะ” เด็กหญิงอธิบายเสียงเจื้อยแจ้ว
“ปลาวาฬมีเรียนว่ายน้ำทุก ๆ วันพุธค่ะ”
“ไม่เป็นไร ไว้วันพฤหัสค่อยมาเล่นลูกพี่แล้วกันเนอะ”
“โอเคค่ะ”
“เวลา ปลาวาฬ กลับบ้านได้แล้ว”
วันนี้เสียงตะโกนเรียกชื่อเด็ก ๆ ดังขึ้นพร้อม
ๆ กับเสียงเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ คเชนทร์รู้สึกแปลกใจที่เห็นว่าคนที่มารับเด็ก ๆ ไม่ใช่อาม่าเหมือนทุกที
หนำซ้ำรายนั้นยังดูโตกว่าปลาวาฬและเวลาไม่น่าเกินสิบปี... เด็กที่ไหนอีกล่ะเนี่ย
“พี่ไอซ์!” จากที่ไม่ไว้ใจ เมื่อเห็นปลาวาฬกับเวลายิ้มร่าพร้อมกับทำท่าจะโผเข้าไปหาคนมาใหม่
คเชนทร์ก็แอบจดจำชื่อเด็กหนุ่มบนเวสป้าเอาไว้ในใจ เผื่อวันใดวันหนึ่งข้างหน้าจะได้ทักทายกัน
“ไป! อาม่าให้พี่มาตามไปกินข้าว” ไอซ์ผงกหัวให้คเชนทร์คล้ายจะทักทายกลาย ๆ
ก่อนออกปากเร่งเด็ก ๆ ที่จนป่านนี้ก็ยังร่ำลาแมวหน้ากากไม่เสร็จ “เร็ว ๆ พี่อยากกลับบ้านแล้ว”
“กลับก่อนนะคะลุงเชน”
“ครับ”
“สวัสดีค่ะ” พูดจบ พวกเด็ก ๆ ก็พร้อมใจยกมือไหว้ผู้อาวุโสสูงสุดในร้านอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยก่อนจะวิ่งกรูกันไปกระโจนเกาะหน้าเกาะหลังไอซ์ประหนึ่งลูกลิงเจอแม่
แม้ระยะทางระหว่างร้านดอกไม้กับร้านขนมปังจะไม่ไกลกันเท่าไร แต่ภาพของเด็ก ๆ ขณะซ้อนมอเตอร์ไซค์ซิ่งกลับบ้านก็ทำให้คเชนทร์รู้สึกเป็นห่วงจนหายใจไม่ทั่วท้อง
••• TBC •••
เย่ ในที่สุดเราก็กลับเข้าสู่วันจันทร์หรรษาอีกแล้วนะคะ
ถ้าอ่านแล้วชอบ
แล้วถูกใจ อย่าลืมเม้นท์แล้วติด #ลุงไซด์ไลน์ละมุนมาก กับ #คันหิมนะคะ
เราจะตามไปส่อง อิอิ
ไว้เจอกันวันจันทร์หน้าค่ะ รักนะคะ จุ๊บ ๆ !!
No comments:
Post a Comment