Monday, May 21, 2018

• รักหลอก ๆ ต้องบอกลุง •||#10|| 21.05.2018


#10

 ผิดไปแล้ว ผิดไปแล้ว
แต่ก็ยังยืนยันว่าฉันไม่ได้ตั้งใจ
ที่แล้วแล้วมา ฉันเสียใจ
ที่ไม่รู้ความจริงในใจเธอ
ผิดไปแล้ว - มาช่า วัฒนพานิช

…………………………………………………………………………………………………………

“ถ้าในส่วนนี้ไม่มีการแก้ไข ผมขออธิบาย Flowchart* ถัดไปเลยนะครับ” ผมคลิกเลื่อนสไลด์ทันทีที่เห็นคุณเซียงพยักหน้า อันที่จริง ถ้าตัดเรื่องยึกยักไม่ค่อยให้ความร่วมมือออกไป คุณเซียงจัดว่าเป็นยูสเซอร์ที่หัวไวและเข้าใจระบบได้เร็วมากคนนึง (หมายเหตุ: Flowchart คือ แผนผังที่ระบุขั้นตอนการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการ)

“ขั้นตอนกา...”
“ผมขอเข้าฟังด้วยคนนะ” มั่นใจแรงว่าไม่ใช่แค่ผมหรอกที่ตกใจเมื่อจู่ ๆ ท่าน HR Director ก็ก้าวฉับ ๆ ผ่านประตูเข้ามาในห้องประชุมก่อนจะเชิญตัวเองไปนั่งด้านหลังอย่างรู้หน้าที่ “คงไม่เป็นไรใช่ไหม”

แหม ออกตัวล้อฟรีเสียขนาดนี้ คงจะมีใครกล้าว่าท่านหรอกนะครับ

“เชิญครับ” ผมแสร้งสนใจรายละเอียดในสไลด์เพื่อจะได้ไม่ต้องมองสีหน้ายิ้ม ๆ ล้อเลียนของยีนส์ที่เข้ามาช่วยจดบันทึกการประชุม

นอกจากต้องพรีเซนต์ Flowchart อธิบายขั้นตอนการทำงานใหม่โดยเปรียบเทียบกับของเดิม รวมถึงอัพเดทแนวทางการออกแบบระบบให้ยูสเซอร์เข้าใจแล้ว ก็มีเรื่องที่พี่หนาวสุ่มเข้าฟังประชุมย่อยก่อนอนุมัติ Blueprint โดยไม่บอกกล่าวนี่แหละที่ทีมคอนซัลท์ต้องเตรียมตัวรับมือ แต่สงสัยผมจะฟาดเคราะห์ไปตั้งแต่ตอนที่เลิกกับไอ้พี่บูม เพราะท่านผู้อำนวยการโผล่ไปจ๊ะเอ๋พี่ฟี่ตอนพรีเซนต์ระบบเงินเดือนเป็นแมทช์แรก วันนี้ผมเลยชิล ๆ เพราะเผื่อใจมาพร้อมมาก

“สำหรับ Flowchart ขั้นตอนการสำรองชื่อเข้ารับการฝึกอบรมของพนักงาน ผมได้แก้ไขใหม่ตามที่คุณเซียงบอกเมื่อคราวที่แล้วดังนี้นะครับ” ผมเลื่อนเลเซอร์พ้อยเตอร์ลากจุดสีแดงวงรอบกล่องข้อความที่ยังไม่ได้ข้อสรุปแล้วเริ่มอธิบายแผนผังล่าสุดไปทีละจุดเหมือนทุกครั้งที่เข้าประชุม จะต่างกันก็แค่ หลังจากผมเปิดฉากพูดได้ไม่ถึงสามประโยค ท่านยูสเซอร์กิตติมศักดิ์ก็ชูมือหราพร้อมส่งเสียงเหมือนเช่นเคย

“เดี๋ยวนะ” พี่หนาวขมวดคิ้วพลางกวาดตามองสไลด์ด้วยสีหน้ากังวล

“ครับ?” ระหว่างเงี่ยหูรอฟัง ผมก็อดคิดดเล่น ๆ ไม่ได้ว่า ต่อไปถ้าพี่หนาวเข้าฟังประชุมแล้วไม่ร้องขัด ผมคงจับไข้หรือลิ้นไม่รู้รสจนกินอะไรก็ไม่อร่อยไปเลยล่ะมั้ง

“ผมเข้าใจว่า Flowchart นี่อธิบายขั้นตอนการทำงานของงานฝึกอบรมที่ HR ทำอยู่ในปัจจุบันใช่ไหม” ผมเริ่มไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรเลยอ่านทวนเนื้อหาที่ระบุในสไลด์เร็ว ๆ อีกครั้ง แต่ก็ยังไม่พบจุดที่ผิดปกติ

“ใช่ครับ”

“เมื่อกี้คุณบอกว่า Flowchart อันนี้คุณแก้ไขตามข้อมูลล่าสุด ถูกต้องหรือเปล่า” พี่หนาวละสายตาจากหน้าจอโน้ตบุ๊คส่วนตัวที่พกเข้ามาด้วยแล้วจ้องผมนิ่ง ๆ เหมือนกำลังจับผิด ผมจึงรีบยืนยันคำตอบตามจริง

“ครับ ผมแก้ไขตามที่คุณเซียงชี้แจงในที่ประชุมคราวที่แล้วครับ” สีหน้าพี่หนาวที่ดูเคร่งเครียดขึ้นสิบเท่าหลังจากฟังคำตอบทำให้ผมสังสัย ก่อนจะแน่ใจเมื่อเหลือบไปเห็นหน้าซีด ๆ ของคุณเซียง... บุญบาป เมื่อกี้คือผมเพิ่งจับยูสเซอร์ตัวเองเผานั่งยางแล้วไลฟ์โชว์ใช่ไหมวะ

พี่หนาวถอนหายใจยาวก่อนจะพูดตอบผม “Flowchart นั่นยังมีบางจุดที่ไม่ถูกต้องนะคุณ”

“เหรอครับ” ถึงจะแน่ใจว่าตัวเองเผลอคายความลับทางราชการไปแบบโง่ ๆ แต่จังหวะนี้ใครก็ห้ามผมช่วยชีวิตคุณเซียงไม่ได้ “เอ่อ ผมอาจจะยังไม่เข้าใจขั้นตอนการทำงานในส่วนนี้ดีเท่าไร แผนผังเลยยังผิดอยู่ ขอโทษด้วยนะครับ”

ฟังคำผมแล้วพี่ก็หนาวยกฝ่ามือขึ้นปรามพลางส่ายหน้าอย่างหนักใจ “เดี๋ยวผมอธิบายขั้นตอนส่วนนี้ที่ HR ทำตามปกติให้คุณฟังเองแล้วกัน คุณจะได้ไม่ต้องเสียเวลาแก้งาน”

“ครับ ขอบคุณครับ” แม้จะรู้สึกเฟลที่เผลอโป๊ะเรื่องคุณเซียงออกมาจนได้ แต่ลึก ๆ ผมกลับโล่งใจที่จะได้ทำงานอย่างถูกต้องตามที่ควรจะเป็นเสียที ยิ่งพอได้ยินข้อเสนอแกมบังคับของอีกฝ่าย ผมจึงยิ่งตั้งใจเก็บข้อมูลจากต้นฉบับแบบครบทุกเม็ด

“หลังจากหัวหน้างานอนุมัติใบคำร้องสำรองที่นั่งฝึกอบรมที่พนักงานส่งมาแล้ว ตามปกติ HR จะต้องกรอกข้อมูลช่วงเวลาดังกล่าวลงใน Excel Sheet เพื่อบันทึกว่าพนักงานคนนั้น ๆ จะเข้ารับการฝึกอบรม พร้อมกับเตรียมเอกสารลงทะเบียนเข้ารับการฝึกอบรมไปในตัว”

“ถ้าอย่างนั้นก็จะหมายความว่า ภายหลังจากการเริ่มใช้ระบบอย่างจริงจัง สิ่งที่ยูสเซอร์ HR จะต้องทำ คือ คีย์ใบคำร้องดังกล่าวลงในระบบ Training เพียงอย่างเดียว เพราะข้อมูลดังกล่าวจะเชื่อมโยงกับข้อมูลเวลาทำงานในระบบ TM แบบอัตโนมัตินะครับ” ผมลากพ้อยเตอร์ไปยังกล่องข้อความที่เกี่ยวข้องเพื่อขอคำยืนยันจากกูรู

“ใช่ แต่เฉพาะในเฟสแรกตามที่ตกลงกัน ส่วนเฟสที่สอง... ” ท่าน HR Director เม้มปากพลางเคาะปลายปากกาลงกับโต๊ะเบา ๆ เหมือนกับลั่นระฆังพักยกก่อนจะเน้นยำใจความสำคัญ “... พนักงานจะต้องเป็นคนคีย์ใบคำร้องผ่านแอปพลิเคชันด้วยตัวเอง โดยที่จะมี HR คอยให้คำแนะนำในกรณีที่พนักงานประสบปัญหาการใช้ระบบเท่านั้น”

“ทราบครับ” ผมตอบรับทันควันหากแต่ไม่ลืมชี้แจงประเด็นสำคัญซ้ำอีกครั้งเพื่อป้องกันยูสเซอร์เข้าใจผิด “อย่างไรก็ตาม HR จะต้องไม่ลืมว่า ภายหลังจากการฝึกอบรมสิ้นสุดลง หากเวลาเข้าฝึกอบรมไม่ตรงกับเวลาทำงาน หรือพนักงานไม่เข้าร่วมการฝึกอบรมตามที่ระบุไว้แต่แรก HR ต้องแก้ไขข้อมูลในระบบ TM อีกครั้งนะครับ ไม่อย่างนั้นระบบเงินเดือนอาจจ่ายโอทีหรือหักเงินพนักงานเพราะข้อมูลเวลาไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง”

“แน่นอน ผมรับรองว่าทีมผมจะดูแลขั้นตอนเหล่านี้เอง”

เมื่อได้ฟังคำยืนยันของผู้มีอำนาจตัดสินใจแบบชัด ๆ ผมก็เบาใจ อย่างน้อย ๆ หลังจากนี้ก็คุณเซียงคงไม่กล้าบิดเบือนขั้นตอนการทำงานหลัก ๆ ให้ผมต้องปวดหัวอีก “ถ้าอย่างนั้นผมจะแก้ไข Flowchart ของระบบงาน Training ในส่วนนี้ตามข้อมูลที่คุณคิมหันต์ชี้แนะอีกทีนะครับ”

พี่หนาวพยักหน้าเร็ว ๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงเข้ม “คุณทิวัตถ์ ผมอยากดู Flowchart ล่าสุดของทุก ๆ ระบบที่คุณดูแล รบกวนคุณช่วยส่งเมลมาให้ผมภายในวันนี้ก่อนบ่ายโมงได้ไหมครับ”

“ได้ครับ” ผมพอเดาได้ว่าท่าน HR Director จะเอาไฟล์พวกนั้นไปทำอะไร คุณเซียงเองก็คงคิดได้เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่นั่งหน้าซีดตัวสั่นหนักกว่าเดิมจนผมชักเริ่มสงสาร

แต่ถ้าผมหยั่งรู้สักนิดว่าก่อนเลิกงานวันนี้ พี่หนาวจะโทรมาหาพร้อมกับสั่งเสียงเฉียบว่าให้ติดรถกลับบ้านด้วยกัน ผมคงสำนึกได้ว่า ผมควรเป็นห่วงตัวเองก่อนใคร ๆ เพราะเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญครั้งหนึ่งในชีวิตเลยทีเดียว

••••••

“ขอโทษครับ” ผมบอกเจ้าของรถทันทีที่ทรุดตัวลงตรงเบาะข้าง ๆ กัน หย่อนก้นนั่งยังไม่ทันร้อน ผมก็นึกแปลกใจที่แอร์ในรถค่อนข้างเย็น แถมเมื่อหันไปเห็นคนขับปลดกระดุมเม็ดบนสุดลงพร้อมทั้งพับแขนเสื้อพ้นข้อศอก หนำซ้ำยังออกรถทันทีโดยไม่มีแก่ใจโต้ตอบตามมารยาท ผมก็อดเปรยด้วยความรู้สึกผิดนิด ๆ ไม่ได้ “ขอโทษที่ทำให้ต้องรอนะครับ พอดีเมื่อกี้ผมลงลิฟท์มาพร้อมกับพี่ฟี่ เลยต้องลงไปข้างล่างก่อนแล้วค่อยกลับขึ้นมาใหม่”

พี่หนาวไม่มอง ไม่แม้แต่จะพูดหรือวิจารณ์เรื่องที่ผมทุ่มเทกับการปกปิดเรื่องของเราเป็นอย่างดี เขาเพียงแต่เพ่งสายตาจับจ้องท้ายรถเก๋งคันหน้าพร้อมกับเร่งความเร็วพารถลงจากลานจอดของอาคารอย่างเงียบ ๆ เท่านั้น

ซวยแล้ว... ผมทำให้พี่หนาวหงุดหงิดงั้นเหรอ แต่ช่างเถอะ ถึงลุงแกจะโกรธจริง ๆ ผมก็แค่ต้องทนอึดอัดไม่นาน เพราะอีกเดี๋ยวเขาก็ปล่อยผมลงตรงฟุตบาธที่เดิมเหมือนเมื่อคราวโน้นนั่นแหละ

“คาดเข็มขัดสิคุณ” เมื่อพ้นออกจากตึก คนที่นั่งเงียบมาตลอดก็ยอมเปิดปาก

อ้าว ต้องคาดเข็มขัดด้วยเหรอ ไปแค่ข้างหน้านี่เองนะ พี่หนาวคงอ่านท่าทางผมขาด ไม่อย่างนั้นคงไม่ปรายหางตามองกดดันจนผมไม่กล้าขัดใจ “ครับ ๆ คาดแล้วครับ”

“คุณรู้ไหมว่าคุณกำลังทำผิดอยู่”

“หืม?” คนขับดูอารมณ์คุกรุ่นคล้ายใกล้จะพ่นไฟในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า สงสัยท่าน Director จะกลัวโดนตำรวจเรียกโทษฐานที่ผมทำผิดกฏจราจร “เพราะผมไม่คาดเข็มขัดน่ะเหรอครับ”

พี่หนาวส่ายหัวพลางถอนหายใจยาวก่อนจะบีบแตรกระตุ้นรถยนต์คันหน้าให้เคลื่อนตัว
เออเว้ย ปกติไม่เห็นขับรถดุเบอร์นี้เลยนี่หว่า หรือลุงแกจะเหวี่ยงที่ผมมาช้าจริง ๆ

“คุณกับเซียงมีปัญหาอะไรกัน”

อ่า... ท่าจะไม่ใช่เรื่องที่ผมปล่อยให้เขารอเสียแล้วล่ะ

“ครับ?” ผมแสร้งตีหน้าซื่อพลางจ้องมองพี่หนาวตาใสทั้งที่ใจแอบภาวนาขอคุณพระคุณเจ้าช่วยคุ้มครองให้ผมปลอดภัยแคล้วคลาด

“เมื่อตอนบ่าย ผมเรียกเซียงเข้าไปคุย” ชัดเลย ลุงแกเล่นระบุชื่อคู่กรณีเสียชัดเจนจนผมคิดเป็นอื่นไปไม่ได้อีกแล้ว... ปั่ดโธ่ แทนที่จะฟินเพราะได้กลับบ้านพร้อมกัน ที่ไหนได้ตอนจบดันหักมุมเฉยเลย

“ทีนี้คุณจะบอกผมได้หรือยังว่าคุณสองคนมีเรื่องอะไรกันอยู่”

“แล้วคุณเซียงบอกคุณว่าไงล่ะครับ”
“ผมถามคุณอยู่นะทู!” เขาหันมาทำเสียงเข้มใส่จนผมเผลอบึนปาก ผมแค่อยากรู้เองว่าทางนั้นเขาพูดอะไร ผมจะได้พูดให้ตรงกัน อยากรู้อะไรทำไมพี่หนาวไม่คุยกับน้องทูดี ๆ ทำไมถึงดุเก่งจังเลยล่ะครับ

“ว่ายังไง พวกคุณมีปัญหาอะไรกัน” พูดจบพี่หนาวก็บีบแตรเร่งรถคันหน้าอีกครั้ง ผมเดาว่าที่วันนี้ลุงแกสวมวิญญาณดอม โทเรตโตทั้งที่ปกติขับรถใจเย็นสมวัยคงเพราะแกโมโหผมพอ ๆ กับรถคันหน้าที่ออกตัวช้าจนโดนชาวบ้านปาดแย่งเลนเป็นว่าเล่น

“...เอ่อ...” ผมตวัดสายตาจากเสี้ยวหน้าด้านข้างของร่างหลังพวงมาลัยก่อนจะเสไปมองตัวเลขตรงหน้าปัดแอร์บนคอนโซลขณะครุ่นคิดหาคำอธิบายอย่างลังเลใจ ทว่าเมื่อได้ยินประโยคที่อีกฝ่ายสำทับตามมา ผมก็หมดแรงจะแถ

“ถ้าคุณไม่บอกความจริงกับผม ผมคงต้องคุยเรื่องนี้กับคุณจี๊ดตามข้อมูลที่ผมได้รับจากคนของผมเพียงฝ่ายเดียว คุณรู้ใช่ไหมว่าผมกำลังพูดเรื่องอะไร”

“บอกแล้วครับ ผมยอมบอกแล้วครับ” เพื่อแลกกับการไม่ลากคุณอาทิมา เจ้านายผู้ขึ้นชื่อเรื่องความเป๊ะโปรฯ เป็นที่หนึ่งเข้ามาเกี่ยวด้วย ต่อให้พี่หนาวจะสั่งให้ผมไปบุกน้ำลุยไฟที่ไหน ผมก็ยินดีสนองให้โดยไม่ปริปากบ่น

“ผมรอฟังอยู่”

“เท่าที่เข้าใจ ผมคิดว่าที่คุณเซียงทำแบบนั้นเพราะเธอน่าจะไม่พอใจเรื่องที่คุณคบกับผมน่ะครับ” แค่ประโยคแรก ผมก็โดนคนขับถอนหายใจใส่เสียเต็มแรง ใจเย็นครับท่าน... ขอผมแก้ต่างให้กับตัวเองหน่อย “แต่นอกเหนือจากเรื่องนี้ คุณเซียงก็ไม่เคยทำอะไรไม่ดีกับผมเลยแม้แต่ครั้งเดียวนะครับ ผมรับรองได้”

“การที่ต้นทางจงใจให้ข้อมูลผิด ๆ เพื่อที่คนรับงานต่อต้องแก้งานบ่อย ๆ ไม่ใช่เรื่องดีในความคิดผมนะคุณ”

“คุณเซียงคงไม่ได้ตั้งใจหรอกครับ”

เอาจริง ๆ เลยนะ เมื่อกี้ผมตอแหล... แหม ผู้ประสงค์ดีที่ไหนจะวางยากันตั้งแต่เริ่มโปรเจค แถมส่งเมลถามเรื่องงานไปทีไร ถ้าผมไม่คอยทวงก็แทบไม่ตอบ ที่เด็ดสุดคือคอยหลบหน้าจนต้องเดินไปตามถึงที่ แต่ก็นั่นแหละ ดูยังไงคดีนี้ครึ่งนึงก็ความผิดผมเต็ม ๆ ในเมื่อลงเรือลำเดียวกันแล้ว ผมก็ต้องตีขาพาคุณเซียงลอยคอรอดไปถึงฝั่งด้วยกันให้ได้

“ผมอ่าน Flowchart กับมินิทครบทุกฉบับแล้วนะคุณ อยากให้ผมไฮไลท์ให้คุณฟังไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง” พี่หนาวที่สวนกลับมานิ่ง ๆ แบบเน้น ๆ ขณะบีบแตรใส่มอเตอร์ไซค์ที่ขับสวนเลนผ่านมา ทำให้ผมสำนึกได้เดี๋ยวนั้นเลยว่า ขืนผมยังโกหกไม่เลิก แกจะต้องดริฟท์รถแหกโค้งข้างหน้าแล้วถีบผมลงตรงนั้นแน่ ๆ

 “เอ่อ... ไม่ต้องครับ” หลังจากจำใจสารภาพบาป ผมก็แทบไม่กล้าหันไปมองพี่หนาวแบบเต็ม ๆ ตาอีกเลย แต่เท่าที่คุยกันมาจนถึงตอนนี้ ผมก็พอรู้แหละว่าถึงจะโกรธแต่เขากลับควบคุมอารมณ์ได้ดี ลองเป็นผมสิ ถ้ายีนส์แอบงุบงิบทำแบบนี้ลับหลังแล้วโดนจับได้ ผมคงโวยวายจนน้องร้องไห้ไปแล้ว

“คุณเคยคุยเปิดอกกับเซียงเรื่องนี้ไหม”

ผมเกาะสายเข็มขัดนิรภัยไม่ปล่อยพลางส่ายหัวป้อย ๆ ให้กับบานประตูข้าง ๆ ตัวอย่างจนใจ “ก็อย่างที่บอกไปตั้งแต่แรกว่าทั้งหมด คือ ผมคาดเดาอยู่คนเดียว ผมเลยไม่กล้าถามคุณเซียงเรื่องนี้น่ะครับ”

“แล้วทำไมคุณไม่บอกผม” จนถึงตอนนี้ พี่หนาวก็ยังคงบีบแตรเป็นระยะจนผมลืมตัวเบือนหน้ากลับไปมอง ก่อนจะพบว่าสายตาคมกริบคู่นั้นจับจ้องรอจังหวะจะประสานสายตาด้วยอยู่สักพักแล้ว

ผมเห็นความผิดหวัง เห็นคำตำหนิ และเห็นความเสียใจอัดแน่นอยู่ในนั้น ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกแย่กับตัวเองเอามาก ๆ

“...คือ...” เสียงพูดของผมติดขัดและแผ่วเบาสวนทางกับความรู้สึกหนักอึ้งในใจ “ถ้าผมบอกคุณหรือบอกใครทั้ง ๆ ที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าต้นเหตุของปัญหาคืออะไร นอกจากจะไม่แฟร์กับคุณเซียงแล้ว ผมกลัวว่าระหว่างผมกับคุณเซียง เราจะเข้าหน้ากันไม่ติดน่ะครับ”

“คุณคิดแบบนั้นจริง ๆ เหรอ”

“ครับ” ผมพยักหน้ารับแม้มันจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวของเรื่องจริงเท่านั้น ส่วนเหตุผลที่เหลือ ให้ตายผมก็ไม่กล้าพูดหรอก... เรื่องอะไรผมจะบอกลุงแกว่าที่ผมไม่กล้าปรึกษาเรื่องคุณเซียงกับใคร เป็นเพราะผมดันอินกับการคำโกหกของเราเสียจนไม่อยากให้คนอื่นจับได้ว่าเราสองคนไม่ได้คบกันจริง ๆ

ถึงจะโดนยูสเซอร์บูลลี่ทุกวัน แต่การเป็นแฟนปลอม ๆ ของพี่หนาวตลอดหกเดือน ไม่ว่าดูยังไงผมก็ว่ามันคุ้มอยู่ดี

“โอเค ถ้าคุณว่าอย่างนั้น ผมก็เชื่อคุณ”

“ขอบคุณครับ”

ขณะที่ผมถอนหายใจพลางลูบอกตัวเองเบา ๆ คนข้าง ๆ กลับยังคงถอนหายใจอย่างต่อเนื่องจนผมแอบกวาดตามองหารถความหวังหมู่บ้านคันที่ทำให้ท่าน HR Director หัวร้อนจนขับพริอุสอย่างเกรี้ยวกราดผิดวิสัยมาตลอดทาง แต่เอ๊ะ พี่หนาวขับเลยตรงที่เคยจอดให้ผมลงมาแล้วนี่หว่า สรุปว่าวันนี้ผมโดนลุงแกเรียกมาดุจนพอใจแล้วถ้าจะเฉดหัวส่งเมื่อไรค่อยตัดสินใจกันอีกที คอนเซปต์ของเย็นนี้เป็นแบบนั้นใช่ไหมวะ?

แม้จะรู้จุดประสงค์ของอีกฝ่ายแล้วก็ตาม แต่จนแล้วจนรอด ผมกลับห้ามตัวเองไม่ให้แอบมองคนขับแทบไม่ได้เลย แรก ๆ ที่เจอกัน ผมโคตรกลัวพี่หนาวโหมดจริงจังจนไม่กล้าเข้าใกล้ แต่นาน ๆ ไป ผมกลับชอบใบหน้าทุก ๆ แบบของลุงแก จะเว้นก็แต่สีหน้าผิดหวัง อ่อนล้าที่เพิ่งเห็นไป

แต่เดี๋ยวนะ ไอ้สายตาเข้ม ๆ เหมือนกำลังจะสำเร็จโทษผมที่กำลังเป็นอยู่นี่ ผมก็ไม่ชอบเท่าไรหรอกนะ

“ถึงผมจะเชื่อที่คุณพูด แต่ผมไม่ได้จ้างคุณมาพิสูจน์ใคร เพราะฉะนั้น สิ่งที่คุณทำอยู่จึงไม่ถูกต้องในแง่ของการทำงานแบบมืออาชีพ” ผมได้แต่อมลิ้นพลางมองหน้าเขาด้วยความรู้สึกผิดอันแน่นเต็มอก “ไม่ว่าเหตุจูงใจจะเป็นอะไร แต่ในเมื่อสุดท้ายมันส่งผลกระทบงานที่ทีมคุณร่วมกันรับผิดชอบ ตัวคุณที่เป็นถึงที่ปรึกษาก็ควรจัดการกับเรื่องนี้อย่างตรงจุด ไม่ใช่ช่วยปิดบังความผิดแล้วเลี้ยงไข้คนทำผิดต่อไปเรื่อย ๆ ”

“สมมติว่าถ้าวันนี้ผมไม่ได้เข้าประชุม คุณคิดว่าคุณจะต้องแก้ Flowchart นี่อีกสักกี่ครั้ง”

“ผม... ผมไม่รู้ครับ”

“เห็นไหมว่านอกจากมันจะทำให้ลูกน้องผมหลงระเริงกับการทำผิดแล้ว คุณเองก็ยังไม่สามารถ deliver งานให้ผมแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยอีกด้วย”

“ครับ” พี่หนาวพูดถูกทุกอย่าง ถึงคุณเซียงจะอคติจนส่งผลกับงาน แต่ผมเองก็ผิดที่ยอมอ่อนข้อให้เพราะมัวแต่คิดถึงความสุขของตัวเอง ผมเม้มปาก ก้มมองฝ่ามือชื้นเหงื่อที่วางแหมะอยู่บนต้นขาหลังโดนความรู้สึกละอายใจจู่โจมจนไม่กล้าสู้สายตาใคร

“ถ้าคุณลำบากใจที่ต้องปรับความเข้าใจกับลูกน้องผมตรง ๆ คุณก็ยังมีคุณจี๊ด แล้วก็มีผมอีกทั้งคนที่จะคอยช่วยแก้ปัญหานี้ให้ คุณลืมแล้วหรือไง”

“ขอโทษครับ ผมเข้าใจว่าผมน่าจะแก้ปัญหานี้ได้ด้วยตัวเอง ผมเลยยังไม่กล้าปรึกษาใคร”

สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีแดงก่อนที่พี่หนาวจะขับถึงแยก นั่นจึงทำให้ผมพลอยได้ยินเสียงถอนหายใจของอีกฝ่ายชัดเจนกว่าปกติ คนขับเคาะปลายนิ้วกับพวงมาลัยก่อนจะเอนหลังนั่งกอดอกมองผมด้วยความกลัดกลุ้ม “วันนี้ผมเรียกเซียงมาตักเตือนแล้ว แต่คุณนี่สิ ผมควรทำยังไงกับคุณดีนะ”

“ผมขอโทษจริง ๆ ครับ ผมสัญญาว่าผมจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว” ถึงจะรู้ว่าคำพูดช่วยลบล้างความผิดที่เกิดขึ้นแล้วไม่ได้ แต่เวลานี้ ผมไม่อยากพูดคำไหนนอกจากคำว่าขอโทษ

คนฟังผ่อนลมหายใจยืดยาวพลางขยี้ผมตัวเองจนเสียทรงก่อนจะเปรยด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย “ผมขอโทษนะที่ไม่ได้สังเกตให้เร็วกว่านี้”

จากเดิมที่ที่รู้สึกผิดมากอยู่แล้ว คำขอโทษของพี่หนาวก็ฉุดอารมณ์ของผมให้ยิ่งดำดิ่งลึกลงในห้วงความละอายใจไร้ก้นบึ้ง ผมพยายามกะพริบตาถี่ ๆ เพื่อต่อสู้กับความรู้สึกชาวาบไปทั้งหน้าจนขอบตาร้อนผ่าว และทันทีที่รู้ตัวว่าใกล้จะไม่ไหว ผมก็บังคับเปลือกตาให้ปิดลงชั่วคราวพลางควบคุมเสียงพูดให้สั่นเครือน้อยที่สุด “คุณไม่ต้องขอโทษผมหรอกครับ ผมต่างหากล่ะที่ทำตัวไม่สมกับเป็นมืออาชีพเอง”

“เฮ่อ ถ้าหลังจากนี้เขายังไม่ให้ความร่วมมือ คุณรู้ใช่ไหมว่าต้องทำยังไง”

“ครับ” วันนี้ผมโดนพี่หนาวถอนหายใจใส่ไปกี่ครั้งแล้วนะ

“ก่อนหน้านี้ลูกน้องผมทำคุณลำบากใจมากเลยใช่ไหม” น้ำเสียงอ่อนใจที่ดังมาจากเบาะข้าง ๆ ทำให้ผมรู้สึกสงสารพี่หนาวอย่างไรบอกไม่ถูก ลำพังรบกับงานแต่ละวันก็เหนื่อยจะแย่ ลุงแกยังต้องปวดหัวเพราะผมกับลูกน้องหลังเลิกงานเสียอีก “ผมนี่เป็นหัวหน้าที่ใช้ไม่ได้เลยจริง ๆ ”

“ผมต่างหากล่ะครับที่ใช้ไม่ได้ รู้ทั้งรู้ว่าควรทำยังไงแต่ก็ยังปล่อยให้เรื่องมันยืดเยื้อมาจนป่านนี้” ทั้งที่ควรจะทำตัวให้สมกับเป็นมืออาชีพแท้ ๆ แต่ดันมาตกม้าตายเพราะเรื่องผู้ชาย ถ้าโดนยาแรงเบอร์นี้แล้วยังไม่สำนึก ผมก็ควรพิจารณาตัวเองเสียที

ขณะที่ตัวเลขวินาทีสีแดงที่ค่อย ๆ ลดลงพร้อม ๆ กับเสียงเร่งเครื่องยนต์ดังอื้อึงจากฝูงรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่รอบ ๆ พี่หนาวก็ดึงความสนใจทั้งหมดของผมให้กลับไปหาเขาแบบเบ็ดเสร็จด้วยคำพูดแค่ไม่กี่คำ

“ต่อไปมีอะไรคุณคุยกับผมได้นะ” จบประโยคนั้น เราสองคนก็ประสานสายตากันพอดี แต่คงมีผมคนเดียวที่ใจเต้นเป็นบ้าเป็นหลังกับเนื้อความและน้ำเสียงหนักแน่นของเขา “คิดเสียว่าผมเป็นเพื่อน เป็นพี่คุณคนนึงก็ได้”

“ครับ ขอบคุณครับ” ผมแสร้งเบือนหน้ากลับไปมองถนนเพราะอยู่ ๆ ก็ดันเขินจนทำหน้าไม่ถูก “เอ่อ ไม่ต้องไปส่งผมที่บ้านก็ได้ครับ ซอยบ้านผมรถมันชอบติดตอนหัวค่ำ”

“งั้นผมส่งคุณตรงป้ายรถเมล์ตรงข้ามโลตัสแล้วกัน ผมจะได้วนรถขึ้นทางด่วนได้เลย” พี่หนาวตอบพลางกดปุ่มปลุกเครื่องเสียงภายในรถให้ทำงาน

“ไม่ลำบากใช่ไหมครับ” ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่ผมอดรู้สึกไม่ได้ว่าตั้งแต่เลี้ยวรถพ้นแยกเมื่อกี้มาได้ ดอม โทเรตโตก็กลายร่างกลับไปเป็นคุณลุงใจดีที่ขับรถได้นุ่มนวลน่านั่งเหมือนเดิมแล้ว

“ผมน่ะไม่ลำบากหรอก คุณสิ... ต้องต่อรถเข้าซอยอีกตั้งไกล”

“ผมไม่ลำบากเลยครับ” อันที่จริงผมออกจะแฮปปี้มากเสียด้วยซ้ำ ขนาดเมื่อกี้เพิ่งโดนพี่หนาวสวดไปหนึ่งยกแท้ ๆ แต่พอบรรยากาศมาคุคลี่คลาย ผมก็รู้สึกสบายใจจนเริ่มมองโลกเป็นสีชมพูได้เหมือนเดิม

ท่วงทำนองของเพลงสตริงสมัยก่อนที่ผมเคยได้ยินจากสเตอริโอที่พ่อชอบเปิดฟังตอนเช้า ๆ ทำให้ภายในรถไม่เงียบเหงาจนเกินไป จริงอยู่ว่าการนั่งมองวิวสองข้างทาง (สลับกับแอบมองหน้าคนขับบ่อย ๆ ) จะไม่ทำให้ผมอึดอัด แต่ผมกลับไม่อยากปล่อยให้เวลาไหลผ่านเราไปโดยปล่าประโยชน์ ไหน ๆ ผมกับเขาก็ถูกล็อคอยู่ในห้อง (โดยสาร) ปิดตายตามลำพังแล้ว ผมจะต้องหาทางหลอกถามเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขาให้คุ้มเสียหน่อย

ว่าแต่จะชวนคุยเรื่องอะไรดีวะ

“คุณกินทาร์ตแล้วหรือยัง” ผมเลิกคิ้วมองคนขับด้วยความแปลกใจเพราะนึกไม่ถึงว่าจะเป็นเขาที่ถามผม แต่ช่างเถอะ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่เปิดบทสนทนาก่อน สุดท้ายเราก็ได้คุยกันมากกว่าเดิมอยู่ดี

“อ๋อ กินแล้วครับ”

“เป็นไง ชอบไหม” พี่หนาวกัดปากพลางอมยิ้ม ดวงตาของเขาสุกใสสะท้อนแสงไฟจนยิ่งดูแวววาวน่ามองกว่าปกติ

ทำหน้าแบบนี้สงสัยคงจะกำลังลุ้นคำตอบของผมอยู่ล่ะมั้ง
ฮึ่ย ทำไมน่ารักจังวะลุ้งงง!

“อร่อยมากครับ อร่อยจนผมเหมาหมดคนเดียวเลย”

คนฟังเบิกตากว้างก่อนจะหัวเราะเสียยกใหญ่ “คุณกินหมดคนเดียวทั้งสี่ชิ้นเลยเหรอ”

“ครับ น้องผมบ่นแทบตายเพราะมันอดกิน” ผมเองก็หลุดหัวเราะเมื่อนึกถึงภาพไอ้สามเหวอจนหน้าเสียทรงตอนที่เห็นผมสวาปามทาร์ตชิ้นสุดท้ายต่อหน้าต่อตา

“ท่าทางคุณจะชอบมากเลยนะ” พูดจบคนขับก็หัวเราะอย่างเอร็ดอร่อยต่ออีกรอบ พี่หนาวจะรู้ไหมว่าผมชอบเขาเวอร์ชันผ่อนคลายแบบนี้มากเหลือเกิน จริงอยู่ที่ผมมักจะเขินไปเสียทุกครั้งที่เห็นเขายิ้ม แต่พอเขาหัวเราะเท่านั้นแหละ โลกทั้งใบของผมก็สว่างพรายเหมือนดอกไม้ไฟที่ค่อย ๆ เบ่งบานกลางท้องฟ้าสีดำสนิท เสียงหัวเราะสูง ๆ ต่ำ ๆ ชวนฟังทำให้เขาดูเข้าถึงง่ายมากกว่าทุกที แถมยังเป็นมิตรเสียจนผมนึกอยากปาหัวใจใส่ให้รู้แล้วรู้รอด

“ครับ นี่ถ้าไม่กลัวว่ากล้ามจะรวมกันเป็นก้อนไปก่อน ผมคงได้แวะไปอุดหนุนทาร์ตร้านนั้นทุกวันแน่ ๆ ”

สาบานเลยว่าถ้าเมื่อวันก่อนไอ้สามไม่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ผมไม่มีทางกลับไปซื้อทาร์ตร้านนั้นอีกแน่ ๆ ทาร์ตบ้าอะไรไม่รู้ อร่อยเหมือนใส่กัญชา กินแป๊บ ๆ หายปุ๊บรวดเดียวสี่ชิ้น

“คุณนี่เหมือนปลาวาฬเลย ขนาดวันก่อนเพิ่งกินหมดไปแท้ ๆ แต่ก็ยังร้องจะกินอีกท่าเดียว”

“ผมเข้าใจปลาวาฬนะครับ เพราะเวลาที่ผมได้กินของอร่อย ผมก็อยากกินอีกเรื่อย ๆ ไม่รู้จักจบจักสิ้น” ไม่ทันไร ภาพสีหน้ามีความสุขของปลาวาฬตอนกินไอติมสตรอเบอร์รี่ก็ลอยขึ้นมาในหัว จะว่าไปผมก็คิดถึงเจ้าตัวเล็กเหมือนกันแฮะ  “แต่ชีสทาร์ตน่ะกินบ่อย ๆ คงไม่ดี ไว้คราวหน้าผมจะซื้อผลไม้ตรงเต๊นท์ข้างล่างตึกแล้วฝากไปให้ปลาวาฬบ้างนะครับ”

“ไม่เห็นต้องฝากเลย”

“หืม?” ผมเอียงคอมองหน้าพ่อปลาวาฬแบบงง ๆ ตกลงเมื่อกี้ลุงแกพูดอะไร

ดูเหมือนพี่หนาวจะรู้ทันว่าผมจะทำหน้ายังไง มุมปากทั้งสองข้างของเจ้าตัวจึงกดลึกเสียจนลักยิ้มเผยตัวออกมาอวดโฉมอีกแล้ว “คุณก็ซื้อแล้วเอาไปให้ปลาวาฬเองเลยสิ”

จะดี... “เหรอครับ”

ทำไงดี อยู่ ๆ ผู้ชายก็ชวนผมไปหาลูก

“ใช่ ลูกผมบ่นหาคุณทุกวัน แกคงดีใจถ้าได้เจอคุณอีก”

โอ๊ย! อาทูก็คิดถึงปลาวาฬเหมือนกันครับ

“ถ้างั้นรบกวนบอกผมด้วยนะครับว่าคุณสะดวกเมื่อไร”

“วันพรุ่งนี้เป็นไง... ปลาวาฬมีเรียนว่ายน้ำตอนเย็น คงจะดีถ้าแกได้กินผลไม้อร่อย ๆ หลังว่ายน้ำมาเหนื่อย ๆ ” ผมยังไม่ทันพูดอะไร อีกฝ่ายก็ตัดบทด้วยการสรุปแผนการให้เรียบร้อย “เอาเป็นว่าพรุ่งนี้หลังเลิกงาน คุณไปรับปลาวาฬกับผมนะ”

เจ้าประคุณเอ๊ย ขออย่าให้พี่หนาวดูออกเลยว่ากายละเอียดของผมกำลังกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจเป็นอีผีบ้าอยู่
ในที่สุดพี่หนาวก็ชวนผมไปเดท (กับลูกสาวเขา) แล้วโว้ย!

“ครับ” ไม่รู้จะยกเครดิตให้ใครดี เพราะในที่สุดผมก็สำเร็จวิชากลั้นยิ้มยังไงไม่ให้โป๊ะเอาตอนที่ตอบคำถามพี่หนาวนั่นเอง

••••••

“ทำไมลุงเชนถึงเรียกลูกพี่ว่าลูกพี่ล่ะคะ” อยู่ ๆ เด็กหญิงที่นั่งเกาพุงแมวในลังกระดาษก็ถามเจ้าของร้านดอกไม้ขึ้นโดยไม่อารัมภบท

“ตอนแรกลุงก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะตั้งชื่อให้มันว่าอะไรดี แต่พอนั่งจ้องตากับมันนาน ๆ ลุงก็นึกถึงพวกนักเลงในละครขึ้นมาเลยล่ะครับ” ว่าแล้วคเชนทร์ก็ประคองก้อนหน้ากลม ๆ ของผู้ถูกพาดพิงให้ปรือตามองเด็กทั้งสองช้า ๆ อย่างทั่วถึง “หน้าตาหงุดหงิดตลอดเวลาแบบนี้จะเป็นแมวลูกสมุนหางแถวได้ยังไงล่ะเนอะ อย่างนี้ต้องเป็นจ่าฝูงสถานเดียว จริงไหมครับ”

คำตอบของชายหนุ่มเรียกเสียงหัวเราะจากเด็กหญิงได้ชะงัด ส่วนเด็กชายก็นั่งอมยิ้มเอียงคอมองแมวสลับกับคุณลุงใจดีเป็นพัก ๆ “ลูกพี่... ทำไมลูกพี่ถึงน่ารักจังเล้ยยยย” สิ้นเสียงของปลาวาฬ เด็ก ๆ ก็ช่วยกันขยำแมวที่นอนเป็นเป้านิ่งให้อย่างดีก่อนที่เวลาจะกระซิบข้างหูเพื่อนสนิทเพื่อให้อีกฝ่ายช่วยสื่อสารกับคเชนทร์แทนตน

“เวลาบอกว่า ถ้าเวลาเลี้ยงแมว เวลาจะตั้งชื่อว่าลูกน้อง มันจะได้มีลูกพี่คอยดูแลค่ะ”

“อย่างนั้นเหรอครับ” เวลาไม่ตอบหากแต่พยักหน้าให้ ชายหนุ่มคลี่ยิ้มอย่างพึงพอใจกับพัฒนาการด้านการสื่อสารของเด็กชายที่มีต่อตัวเขา “ลุงชักอยากเห็นหน้าลูกน้องของเวลาเสียแล้วสิ อยากรู้ว่าหน้าตามันจะเป็นยังไง”

ปลาวาฬส่งเสียงทันทีโดยไม่ต้องรอให้เพื่อนบอกบท “เวลาเลี้ยงแมวไม่ได้หรอกค่ะ ป่าป๊าเวลาไม่อนุญาต”

“ทำไมล่ะครับ” ทั้ง ๆ ที่ยังไม่แน่ใจ แต่เมื่อได้ยินคำว่า ป่าป๊าเวลา คเชนทร์ก็อดนึกถึงใบหน้าไม่เป็นมิตรของคนไร้มารยาทที่เจอในร้านขนมปังเมื่อหลายวันก่อนไม่ได้... ขออย่าให้ตานั่นเกี่ยวดองกับเวลาเลย สงสารเด็ก

“ป่าป๊าเวลาบอกว่าที่บ้านเวลาเป็นร้านอาหาร ร้านอาหารต้องสะอาดเลยห้ามเลี้ยงสัตว์ค่ะ”

“ว้า เสียดายจัง ลุงเลยอดเจอลูกน้องของเวลาเลย” เจ้าของร้านดอกไม้พยายามปัดข้อสงสัยเกี่ยวกับบิดาของเด็กชายให้ตกไปด้วยไม่อยากอารมณ์เสียเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง

เวลากระซิบข้างหูปลาวาฬอีกครั้งก่อนที่เด็กหญิงจะทำหน้าที่ล่ามส่วนตัวอย่างเต็มความสามารถ “เวลาบอกว่าไม่เป็นไรค่ะ เพราะตอนนี้เวลามีลูกพี่แล้ว”

“ใช่แล้วครับ เวลามีลูกพี่แล้วนะ” ว่าแล้วชายหนุ่มก็หันไปสบตากับเด็กหญิงพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ปลาวาฬก็เหมือนกันนะครับ ถ้าปลาวาฬกับเวลาอยากมาเล่นกับลูกพี่เมื่อไรก็มาได้เลยนะครับ ลุงยินดีต้อนรับเสมอ”

“ขอบคุณค่ะ แต่พรุ่งนี้ปลาวาฬมาไม่ได้นะคะ”

“ทำไมล่ะครับ”

“พรุ่งนี้ปลาวาฬมีเรียนว่ายน้ำค่ะ” เด็กหญิงอธิบายเสียงเจื้อยแจ้ว “ปลาวาฬมีเรียนว่ายน้ำทุก ๆ วันพุธค่ะ”

“ไม่เป็นไร ไว้วันพฤหัสค่อยมาเล่นลูกพี่แล้วกันเนอะ”

“โอเคค่ะ”

“เวลา ปลาวาฬ กลับบ้านได้แล้ว” วันนี้เสียงตะโกนเรียกชื่อเด็ก ๆ  ดังขึ้นพร้อม ๆ กับเสียงเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ คเชนทร์รู้สึกแปลกใจที่เห็นว่าคนที่มารับเด็ก ๆ ไม่ใช่อาม่าเหมือนทุกที หนำซ้ำรายนั้นยังดูโตกว่าปลาวาฬและเวลาไม่น่าเกินสิบปี... เด็กที่ไหนอีกล่ะเนี่ย

“พี่ไอซ์!” จากที่ไม่ไว้ใจ เมื่อเห็นปลาวาฬกับเวลายิ้มร่าพร้อมกับทำท่าจะโผเข้าไปหาคนมาใหม่ คเชนทร์ก็แอบจดจำชื่อเด็กหนุ่มบนเวสป้าเอาไว้ในใจ เผื่อวันใดวันหนึ่งข้างหน้าจะได้ทักทายกัน

“ไป! อาม่าให้พี่มาตามไปกินข้าว” ไอซ์ผงกหัวให้คเชนทร์คล้ายจะทักทายกลาย ๆ ก่อนออกปากเร่งเด็ก ๆ ที่จนป่านนี้ก็ยังร่ำลาแมวหน้ากากไม่เสร็จ “เร็ว ๆ พี่อยากกลับบ้านแล้ว”

“กลับก่อนนะคะลุงเชน”

“ครับ”

“สวัสดีค่ะ” พูดจบ พวกเด็ก ๆ ก็พร้อมใจยกมือไหว้ผู้อาวุโสสูงสุดในร้านอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยก่อนจะวิ่งกรูกันไปกระโจนเกาะหน้าเกาะหลังไอซ์ประหนึ่งลูกลิงเจอแม่ แม้ระยะทางระหว่างร้านดอกไม้กับร้านขนมปังจะไม่ไกลกันเท่าไร แต่ภาพของเด็ก ๆ ขณะซ้อนมอเตอร์ไซค์ซิ่งกลับบ้านก็ทำให้คเชนทร์รู้สึกเป็นห่วงจนหายใจไม่ทั่วท้อง


••• TBC ••


เย่ ในที่สุดเราก็กลับเข้าสู่วันจันทร์หรรษาอีกแล้วนะคะ
ถ้าอ่านแล้วชอบ แล้วถูกใจ อย่าลืมเม้นท์แล้วติด #ลุงไซด์ไลน์ละมุนมาก กับ #คันหิมนะคะ
เราจะตามไปส่อง อิอิ ไว้เจอกันวันจันทร์หน้าค่ะ รักนะคะ จุ๊บ ๆ !!



No comments:

Post a Comment