#08
เขายิ้มยิ้ม เขานะชอบมาจ้องกัน
ฉันเลยอ่อนปวกเปียก อ่อนไปทั้งหัวใจ
เมื่อเขาถามถาม ว่ามารักกันหน่อยไหม
ฉันจะทำยังไง ช่วยบอกที
ฉันเลยโอเค - เพ็ญพักตร์ ศิริกุล
…………………………………………………………………………………………………………
ช่วงสาย ๆ ที่ลูกค้าค่อนข้างบางตา
คเชนทร์รีบคว้ากระเป๋าสตางค์พลางขึ้นป้าย ‘พักเบรค’ บนบานประตูกระจกหน้าร้านก่อนจะก้าวเร็ว ๆ ไปตามทางเท้าให้สมกับที่ตั้งใจจะไปอุดหนุนขนมปังตามคำเชื้อเชิญของอาม่าเมื่อวันก่อน
ระหว่างทาง กลิ่นหอมหวานของขนมอบใหม่ที่ลอยเรื่อยมาตามลมเร่งเจ้าของร้านดอกไม้ให้รีบรุดไปยังจุดหมายโดยไม่ทันรู้ตัว
แม้สภาพเก่าคร่ำอึมครึมภายนอกตัวร้านจะข่มขวัญลูกค้าใหม่อยู่ไม่น้อย
แต่ตู้ใส่ขนมเงาวับกับพื้นกระเบื้องยางที่ถูกขัดจนมัน รวมถึงชั้นวางห่อขนมแห้งและตู้ใส่ของรอบ
ๆ ร้านที่ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยดูสะอาดเอี่ยมอ่องก็เรียกความมั่นใจด้านสุขอนามัยได้ในพริบตา
เอ...
ไม่มีใครอยู่เลยเหรอ
ภายในร้านที่ว่างเปล่าไร้ผู้คนทำให้คเชนทร์อดสอดส่ายสายตามองหาหญิงชราไม่ได้
ทว่าก่อนที่เจ้าของร้านดอกไม้จะทันชะเง้อมองข้ามตู้ขนมลึกเข้าไปด้านใน ชายหนุ่มในชุดเชฟหน้าตาไม่รับแขกคนหนึ่งก็ถือถาดใส่เอแคลร์ลูกโตย่างสามขุมออกมาเสียก่อน
ชายนิรนามไม่พูดไม่จา
สายตาขวาง ๆ ละจากถาดเอแคลร์ที่เพิ่งวางลงในตู้ขนมตวัดขึ้นมองเขาอย่างไม่เป็นมิตรนัก
สีหน้าไม่รับแขกของร่างหลังเคาน์เตอร์ทำให้คเชนทร์หมดอารมณ์จะทักทายอาม่าไปโดยปริยาย
เอาอะไร สายตาหาเรื่องของคนตรงหน้าบอกเขาแบบนั้น
“เอาขนมปังไส้กรอกสองชิ้นครับ”
เพราะพยายามจะไม่ใส่ใจร่างด้านหลังตู้กระจกที่กำลังหนีบขนมปังใส่ถุงตามคำสั่งคเชนทร์จึงหันไปจดจ่อกับภูเขาเอแคลร์สีเหลืองนวลขนาดย่อมในถาด
ที่สุดแล้วกลิ่นนมเนยสุดหอมหวนของพวกมันก็ทำให้เจ้าของร้านดอกไม้อดรนทนไม่ไหว
“เดี๋ยวครับ”
คเชนทร์ร้องขึ้นก่อนที่ออเดอร์แรกจะถูกยัดลงถุงก๊อบแก๊บอย่างไม่ปรานีปราศรัย
ชายในชุดทำครัวเลิกคิ้วจ้องมองไม่วางตาคล้ายจะถามว่า ‘มีปัญหาอะไร’ เห็นดังนั้น ลูกค้ารายใหม่จึงชี้ไปที่กล่องด้านหลังอีกฝ่ายพลางเอ่ยรวดเร็ว
“เอาเอแคลร์กล่องนึงด้วยครับ”
คเชนทร์ได้รับเพียงเสียงถอนหายใจแรง
ๆ ตอบแทนก่อนที่เจ้าตัวจะเดินหน้าหงิกเลี่ยงไปยืนแบ่งกองภูเขาเอแคลร์อบใหม่ลงใส่กล่องอย่างไม่เต็มใจนัก
“ถ้าไม่แช่ตู้เย็นจะกินได้ถึงพรุ่งนี้เช้า
ถ้าแช่ เก็บได้สามวัน เกินกว่านั้น ให้ทิ้ง” น้ำเสียงห้วน ๆ ที่ไม่ใช่เสียงของเขาดังขึ้นอย่างไม่เจาะจง
ต่อเมื่ออีกฝ่ายหันกลับมาพลางชูถุงหูหิ้วใส่หน้าแล้วนั่นแหละ
อดีตนางโชว์จึงรู้ว่าประโยคเมื่อครู่หมายความอย่างไร “แค่นี้ใช่ไหม”
ทำหน้าอย่างกับไม่อยากขาย...
เป็นบ้าอะไรเนี่ย
“ครับ” คเชนทร์ยื่นแบงค์ร้อยส่งให้ด้วยความรู้สึกกรุ่นในใจนิด
ๆ ทันทีที่ได้รับเงินทอนครบถ้วน ชายหนุ่มก็หมุนตัวย่ำเท้าออกจากร้านอย่างหงุดหงิดพลางนึกตำหนิคนมารยาททรามเมื่อครู่อยู่นานสองนาน...
เฮ่อ ช่างเป็นการเริ่มต้นวันที่ไม่น่าพิสมัยเอาเสียเลย
••••••
“คุณเซียงครับ”
“คะ?!”
ผมข่มความรู้สึกผิดเมื่อเห็นคุณเซียงที่กำลังง่วนกับหน้าจอมือถือสะดุ้งสุดตัวจนเกือบหงายหลังตกจากเก้าอี้
แต่จะว่าไป การที่อีกฝ่ายตกใจจนร้องเสียงหลงก็มีข้อดี
เพราะยิ่งมีคนสนใจพวกเรามากเท่าไรผมก็ยิ่งได้ประโยชน์
“พรุ่งนี้ช่วงบ่ายคุณเซียงพอมีเวลาสักชั่วโมงไหมครับ
ผมอยากปรึกษาคุณเซียงเรื่องระบบงานที่คุณเซียงดูแลอยู่น่ะครับ” ผมคลี่ยิ้มละไมทั้ง
ๆ ที่ออกเสียงเน้นย้ำทุกถ้อยคำดังกว่าปกติอยู่หลายเบอร์ ให้มันรู้กันไปสิว่าทั้งฟลอร์จะไม่ได้ยิน
ช่วงก่อนพรีเซนต์เดโมรอบที่แล้ว
พวกผมมีเวลาไม่มาก ประเด็นไหนที่คุณเซียงเล่นแง่ไม่ยอมชี้ชัด ผมก็อาศัยอิงเนื้อหาสำคัญจากเอกสารของพี่ฟี่แก้ผ้าเอาหน้ารอดไปก่อน
แต่กับการทำงานทุก ๆ ขั้นตอนหลังจากนี้ ผลลัพธ์จะต้องถูกต้องแม่นยำตรงตามข้อตกลงในสัญญา
ผมจึงปล่อยให้คุณเซียงลอยชายบ่ายเบี่ยงอีกไม่ได้
อันที่จริง แค่ผมแทงเรื่องให้
Management ของทั้งสองฝ่ายรับทราบ
ทุกอย่างก็จะจบแบบง่าย ๆ แต่พอลองมาคิด ๆ ดู ขืนผมทำแบบนั้นไปจริง ๆ คุณเซียงจะต้องยิ่งแค้นฝังหุ่นจนเกลียดขี้หน้าผมไปกันใหญ่
เผลอ ๆ แกอาจจะกลายร่างเป็นยูสเซอร์จากนรกคอยตามล้างตามเช็ดผมไปตลอดโปรเจคเลยก็ได้
พอปักใจไปแบบนั้น ผมเลยตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยการชิงออกตัวตามจิกอีกฝ่ายเพื่อให้งานสำเร็จลุล่วง
นั่นแหละครับ คือสาเหตุที่ผมยอมเดินตัวลีบฝ่าสายตาสอดรู้สอดเห็นคู่แล้วคู่เล่าออกจากซอกหลืบเพื่อมาประเดิมเยือนคุณเซียงถึงถิ่นเป็นครั้งแรก
กว่าจะออกมานี่ ผมแอบกะเวลาให้ทุก ๆ คนในทีมยูสเซอร์อยู่กันพร้อมหน้า เพราะตอนผมจัดฉากตามงานกับคู่กรณี
ขาเผือกทั้งหลายจะได้ช่วยเป็นพยานพร้อมกับกดดันคุณเซียงไปในตัว
“เอ่อ”
คุณเซียงขยับตัวยุกยิกพลางทำท่าหลุกหลิกผิดวิสัย ผมเดาว่าถ้าไม่แปลกใจ
ก็คงกำลังรู้สึกอับอายน่าดูที่อยู่ ๆ ก็โดนคอนซัลท์โผล่มาตามงานถึงที่ “ขอเซียงเช็กตารางแป๊บนึงได้ไหมคะ”
“เต็มที่เลยครับ
เดี๋ยวผมถ่ายเอกสารเสร็จแล้วจะแวะมาฟังข่าวดีนะครับ” ผมโบกปึกกระดาษในมือพลางโปรยยิ้มการค้าแจกจ่ายแก่พนักงานทุกคนในคอกทำงานตรงหน้าอย่างพึงพอใจแล้วจึงรีบเดินหนีไปถ่ายเอกสารก่อนที่คุณเซียงจะไหวตัว
.
.
.
“เฮ่ย! ทำไมหยุดล่ะ?!” อารมณ์ดีที่เกิดขึ้นชั่ววูบหายวับไปเมื่ออยู่ ๆ
เครื่องถ่ายเอกสารก็ส่งเสียงตี๊ดยาว ๆ หลังจากผมกดปุ่มสั่งงานได้เพียงอึดใจ ไฟสีแดงกับตัวหนังสือบนหน้าจอฟ้องว่าตอนนี้มีกระดาษติดค้างอยู่ในเครื่อง
ซวยแล้ว...
ทำไมจะต้องเป็นผมด้วยวะ
แม้จะล่ก แต่ผมก็พยายามอ่านและทำความเข้าใจคำแนะนำที่ขึ้นบนหน้าจอสลับกับลองไล่เปิดบานพับข้างเครื่องในแต่ละจุดเพื่อตามหากระดาษเจ้ากรรมอย่างเงอะ
ๆ งะ ๆ ตามประสามือใหม่ตลอดกาลด้านการใช้เครื่องมือสำนักงาน โดยเฉพาะเครื่องถ่ายเอกสารที่นาน
ๆ ผมจะใช้สักครั้ง ภายหลังจากทำตามทุก ๆ ขั้นตอน เปิดฝานั่นโน่นนี่อยู่สองรอบ
ที่สุดผมก็เปลี่ยนมาหยุดยืนเท้าเอวเหม่อมองเครื่องซีร็อกซ์ที่ยังเอ๋อไม่หายอย่างใคร่ครวญ
“เอาไงดีว้า” ...หรือจะชิ่งแม่ง
จังหวะที่จิตใจด้านมืดกำลังเกลี้ยกล่อมให้ผมหนีความผิดเอาดื้อ ๆ
สุ้มเสียงคุ้นหูก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“ให้ผมช่วยไหม”
“เฮ่ย!”
“กระดาษมันติดอยู่นะคุณ”
อารามตกใจระคนประหลาดใจ ผมจึงได้แต่ยืนอ้าปากพะงาบ ๆ มองท่าน HR Director ที่ไม่รู้โผล่มาจากที่ไหนปราดเข้ามาดูอาการของเครื่องเอกสารด้วยท่าทางทะมัดทะแมง
เห็นแบบนั้น ผมเลยรีบเขยิบถอยไปยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ห่าง ๆ เพราะไม่อยากให้คนที่แอบชอบจับได้ว่ากำลังใจเต้นเป็นบ้าเหมือนโด๊ปกาแฟมาสิบกระป๋องติด
อยู่
ๆ ก็มีแต่เธอมาปรากฏตัวในหัวใจ...
ฮือ
ถ้าหัวใจวายไปใครจะรับผิดชอบ
นับตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อวันเสาร์
ภูมิต้านทานของผมที่มีต่อลุงไซด์ไลน์ก็ลดระดับลงแบบฮวบฮาบ ขนาดผมหลบจำศีลแล้วให้เวลาตัวเองสงบจิตสงบใจหนึ่งวันเต็ม
ๆ แต่พอเห็นหน้าอีกฝ่าย ได้แอบมองแผ่นหลังกว้าง ๆ ต้นแขนแน่น ๆ ใต้เสื้อเชิ้ตสีฟ้านั่นใกล้
ๆ พร้อม ๆ กับได้สูดดมกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ของเขา ผมก็รู้สึกวูบวาบ ปั่นป่วนมวนท้องคล้าย
ๆ จะเป็นไข้ในชั่วพริบตา
“ตกใจเหรอ”
“หา
อะไรนะครับ?” จู่ ๆ คนที่ยังปล้ำกับเครื่องถ่ายเอกสารก็ถามขึ้นมา ผมเลยเอียงคอมองเขางง
ๆ ... เมื่อกี้พี่หนาวพูดกับผมใช่ไหม ผมไม่ได้ตื่นเต้นจนหูฝาดไปเองจริง ๆ นะ?
“หน้าคุณซีด ๆ
” คนพูดยังคงก้ม ๆ เงย ๆ ไม่หยุด ผมเลยไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่ที่แน่ ๆ
ผมมั่นใจว่าอาการของเครื่องถ่ายเอกสารคงไม่หนักหนาเท่าไร เพราะจนถึงตอนนี้ น้ำเสียงทุ้ม
ๆ ของพี่หนาวก็ยังฟังรื่นหูไม่เปลี่ยน “กลัวโดนจับได้เหรอว่าทำเครื่องซีร็อกซ์บริษัทผมเสีย”
ฉิบหายแล้วไหมล่ะ
หรือผมจะทำเครื่องเขาเจ๊งจริง ๆ วะบุญบาป
“เปล่านะครับ ผมเปล่าทำเครื่องเสีย!” ผมโบกมือพลางส่ายหัวดิก
ไม่...
ผมจะเสียฟอร์มต่อหน้าใครก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่พี่หนาว!
คือแบบ เมื่อกี้มันอาจจะมีใครวางยาเครื่องถ่ายเอกสารทิ้งไว้ก็ได้
แล้วผมก็ซวยไงที่เสือกหลงเดินมาใช้เข้าพอดี... ไง
“หึ ๆๆ คุณนี่นะ”
แผ่นหลังตรงหน้าผมกระเพื่อมเป็นจังหวะพอดีกับเสียงหัวเราะน่าฟังของท่าน HR
Director
“ผมแซวคุณเล่นหรอก”
ฮะ! ว่าไงนะ เมื่อกี้ลุงแกล้อเล่นเหรอ
คนอย่างพี่หนาวเนี่ยนะ
บ้า... ถามจริง?
“เอาล่ะ ใช้ได้แล้ว”
ถึงจะบอกแบบนั้น แต่จนแล้วจนรอดพี่หนาวก็ยังยืนขวางทางไม่หลบไปไหน ผมเลยยืนทำหน้าเป็นหมางงทิศใส่เสียเลย
“คุณกำลังจะถ่ายเอกสารสองหน้าเหรอ” เมื่อผมเห็นเจ้าของคำถามชี้ถาดรองเอกสารด้านข้างเครื่องซีร็อกซ์ที่เปิดค้างไว้
ผมก็พยักหน้ารับแต่โดยดี
“ครับ”
“ไหนขอผมดูเอกสารหน่อย”
เพราะไม่รู้เจตนาของอีกฝ่ายผมจึงหยุดคิดนิดหนึ่ง
แต่สีหน้าจริงจังของพี่หนาวก็ทำให้ผมยอมยื่นเอกสารทั้งชุดส่งให้จนได้ “นี่ครับ”
“คุณมาดูนี่” คนพูดกวักมือไหว
ๆ
“ครับ?”
เขาไม่ตอบ แต่เขยิบเว้นที่ข้าง ๆ
แล้วพยักหน้าเรียกผมไปยืนตรงหน้าเครื่องถ่ายเอกสารด้วยกัน
“คุณกดเลือกฟังก์ชันตรงนี้
แล้ววางต้นฉบับทั้งหมดใส่ถาดข้างบน กดเลือกกระดาษ ใส่จำนวนชุดที่จะซีร็อกซ์
แล้วกดปุ่มโอเคได้เลย” พี่หนาวอธิบายพลางทำแต่ละขั้นตอนให้ผมดูอย่างช้า ๆ
แต่แทนที่จะกดปุ่มเดินหน้าเครื่องถ่ายเอกสารเมื่อจบกระบวนการทั้งหมดที่ว่ามา
เขากลับล้างคำสั่งที่เพิ่งป้อนลงไปแล้วยัดต้นฉบับคืนใส่มือผมทั้งชุด “ทีนี้ตาคุณ”
“ตาผม?” ริมฝีปากที่ดัดจนโค้งของเขาทำเอาผมประหม่าจนต้องเสหลบตาก่อนจะดันกรอบแว่นให้ยิ่งแนบใบหน้าทั้ง
ๆ ที่มันแทบไม่ได้ขยับไปไหน... โอย ยิ้มกระแทกตา โดนตีนกาแอทแทคจนม้วนใจหลบไม่ทันแล้วครับลุง
“ลองดู” เขาคะยั้นคะยอด้วยทีท่าสบาย
ๆ
“คร... ครับ” มือผมสั่นพั่บ
ๆ จนผมต้องประคองกระดาษปึกบางด้วยมือทั้งสองข้างขณะค่อย ๆ หย่อนมันลงถาดอย่างเก้ ๆ
กัง ๆ ผมไม่เคยเป็นแบบนี้เวลาอยู่กับใคร แต่พอรู้สึกตัวว่าถูกพี่หนาวจ้องไม่วางตา ผมก็ทั้งเกร็ง
ทั้งลนลานจนอยากจะทึ้งหัวตัวเองแล้ววิ่งหนีไปตั้งหลัก แต่ด้วยลูกฮึดอยากสร้างซีนล้างอาย
สุดท้ายผมก็บังคับตัวเองให้ทำทุกอย่างตามที่อีกฝ่ายสอนได้สำเร็จ
“เก่งมาก”
เหยด...
พี่หนาวชม!
ลำพังแค่โดนเซอร์ไพรส์ด้วยคำพูดหวานหู
แข้งขาผมก็อ่อนจนแทบทรุด แต่นี่อีกฝ่ายดันคลี่ยิ้มหยาดเยิ้มทิ้งท้ายให้ดูจัง ๆ
เสียอีก ผมเลยได้แต่ยืนตาลอยแบบโง่ ๆ โดยมีเสียงดูดกระดาษของเครื่องซีร็อกซ์เป็นซาวด์ประกอบขณะลอบมองตามแผ่นหลังกว้างค่อย
ๆ ห่างออกไปตามลำพังเท่านั้นสิ... เฟม เพื่อนโดนลุงไซด์ไลน์ทิ้งบอมบ์ใส่จนใจบางอีกแล้วว่ะ
••••••
“คุณเซียงส่งไอดีพี
(แผนฝึกอบรมพนักงานรายบุคคล) ฉบับล่าสุดให้ผมหรือยังนะครับ” ไม่กี่ก้าวก่อนจะถึงห้องทำงานส่วนตัว
อยู่ ๆ คิมหันต์ก็เบี่ยงวิถีการเดินไปแวะหยุดทักชลิตาสั้น ๆ
“เซียงส่งเมลไปตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว
ๆ ค่ะ”
“เหรอครับ” ทั้งที่ได้คำตอบแล้ว
แต่เจ้าของคำถามกลับยังยืนปักหลักไม่ไปไหนเหมือนกำลังรอคอยอะไรสักอย่าง ท่าทางลังเลแปลก
ๆ ของหัวหน้าทำให้ชลิตาพะวักพะวนจนขาดความมั่นใจ
“เอ๊ะ เซียงแนบไฟล์ผิดเหรอคะบอส”
คิมหันต์ยังไม่ทันตอบโต้ ลูกน้องก็ชิงลนลานไปล่วงหน้า ชลิตาไม่คิดไม่ฝันว่าเจ้านายผู้ที่ตนแอบชอบมาหลายปีจะออกมาพูดคุยซักถามตนถึงโต๊ะทำงานดังเช่นครั้งนี้
เพราะโดยมากแล้วคิมหันต์จะติดต่อหล่อนผ่านอีเมลหรือโทรศัพท์ “เดี๋ยวขอเซียงเช็กก่อนนะคะ”
ขณะที่หญิงสาวกุลีกุจอค้นอีเมลเจ้าปัญหาให้จ้าละหวั่น
ทิวัตถ์ที่เพิ่งถ่ายเอกสารเสร็จก็วกกลับมาทวงคำตอบ แต่แทนที่จะได้ตามงาน ที่ปรึกษาระบบงาน
HR กลับโดนท่านผู้อำนวยการฯ
ซักไซ้แบบไม่ทันตั้งตัว “คุณมีธุระอะไรหรือเปล่า”
“ผมมีเรื่องต้องปรึกษาคุณเซียงครับ
แต่ไม่เป็นไร ผมรอได้” ชายหนุ่มยิ้มพลางตอบแบบเจียมตัวประสาบุคคลผู้อยู่ผิดที่ผิดทางที่สุดในที่นั้น
“คุณคุยธุระคุณก่อนเถอะ”
“ขอบคุณครับ” แม้จะรู้สึกเกรงใจ
แต่เพราะไม่อยากทำให้ทุกฝ่ายเสียเวลา ทิวัตถ์จึงไม่ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว
“สรุปพรุ่งนี้คุณเซียงว่างไหมครับ”
“ว่างค่ะ”
“งั้นผมจะจองห้องประชุมตั้งแต่บ่ายสองนะครับ
เดี๋ยวผมคอนเฟิร์มรายละเอียดทางเมลอีกที”
“ได้ค่ะ”
“ขอบคุณครับ” ดูเหมือนว่าการปรากฏตัวของคิมหันต์จะช่วยให้แผนการของที่ปรึกษาระบบลุล่วงดั่งใจหวัง
ทิวัตถ์จึงอดรู้สึกยินดีระคนโล่งอกไม่ได้ ชายหนุ่มคลี่ยิ้มหวานส่งให้ชลิตาก่อนจะค้อมหัวก้มหน้าเดินผ่านท่าน
HR Director กลับห้องทำงานไปอย่างนอบน้อม
“เซียงส่งไอดีพีฉบับล่าสุดให้บอสเมื่อวันพฤหัสค่ะ”
ชลิตารีบชี้แจงเมื่ออ่านอีเมลฉบับดังกล่าวจนแน่ใจ ฝ่ายผู้เป็นนายเองก็ตอบรับเรียบ
ๆ คล้ายกับหมดความสนใจในหัวข้อดังกล่าวลงดื้อ ๆ
“อ๋อครับ
ขอบคุณนะครับ” สิ้นเสียง คิมหันต์ก็เบนเข็มกลับสู่ห้องทำงาน แต่ยังไม่ทันไร
พันเลิศกลับโฉบเข้ามาหาเสียก่อน สีหน้าเคร่งเครียดผิดวิสัยของอีกฝ่ายทำให้ HR
Director เลิกคิ้วมองหน้าหุ้นส่วนคนสนิทอย่างเคลือบแคลงใจจนอีกฝ่ายต้องพยักเพยิดให้เขารีบเดินตามหลังเข้าไปในห้อง
“มึงมีอะไรหรือเปล่า”
เจ้าของห้องถามขึ้นทันทีที่ประตูปิดสนิท
พันเลิศแสร้งทำหน้าระรื่นก่อนจะรายงานข่าวดีให้เพื่อนร่วมชื่นชมเป็นการเบิกฤกษ์
“เรื่องแรก คือ กูจะบอกว่าคุณจี๊ดเขายอมมึงแล้วนะ”
“มึงพูดอะไรของมึง”
คิมหันต์ตามไม่ทัน... อะไรคืออยู่ ๆ ก็เกริ่นถึงผู้หญิงที่ตัวเองกำลังตามจีบโดยมีเขาร่วมอยู่ในประโยคล่อแหลม
เจ้าของหุ้นรายใหญ่ถอนหายใจพลางส่งสายตาตำหนิเพื่อนสนิทแต่พอเป็นพิธิ
“ก็ไอ้ที่มึงบอกว่าอยากให้พนักงานใช้ระบบใหม่ด้วยตัวเอง งานเอกสารจะได้ไม่มากระจุกอยู่ที่ลูกน้องมึงไง”
คิมหันต์ยังไม่พูดอะไร พันเลิศจึงสาธยายถึงผลการต่อรองของตนกับหัวหน้าทีมคอนซัลท์ต่ออย่างไหลลื่น
“นอกจากระบบงานที่ทีมมึงจะได้ใช้งานแล้ว คุณจี๊ดเขาจะให้คอนซัลท์เขียนแอปพลิเคชันเสริมขึ้นมาอีกตัวนึง
ซึ่งไอ้แอปฯ ตัวนี้นี่แหละที่จะบันดาลให้มึงได้ทุกอย่างตามที่มึงปรารถนา”
“แปลว่าแอปฯ
ที่มึงบอกจะเป็นแอปฯ สำหรับให้พนักงานทุกคนใช้กรอกข้อมูลต่าง ๆ แทน HR ใช่ไหม”
“ใช่ แต่ตอนแรกกูว่าจะลองเฉพาะระบบฝึกอบรมกับ
TM ตามที่มึงขอก่อน”
“อ้าว! ไห...”
“อ๊ะ ๆ
ฟังกูก่อนเว่ยหนาว” พูดแทรกไม่พอ พันเลิศยังชูมือขึ้นขอเวลานอก “มึงอย่าลืมสิว่า
ถ้ามึงเปิดให้พนักงานใช้ระบบพร้อมกันตู้มเดียว
ลูกน้องมึงนี่แหละที่จะปวดหัวเพราะต้องคอยแก้ปัญหาให้คนทั้งบริษัท
ลำพังแค่คิดว่าต้องเทรนเด็กในไลน์ให้ใช้แอปฯ
นี้กรอกใบลาให้ถูกสักครึ่งกูยังเหนื่อยแทนลูกน้องมึงเลย หรือไม่จริง”
พูดอีกก็ถูกอีก
คิมหันต์จึงจำยอมยกธงขาวให้เพื่อนรักอย่างเสียไม่ได้ “เออ แค่ TM ก่อนก็ได้”
“เอาน่ามึง
ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไปเว่ย กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียวเสียหน่อย”
พันเลิศที่ยืนพิงขอบโต๊ะอยู่ไม่ไกลเอื้อมมือมาตบบ่าปลอบใจท่าน HR Director เบา ๆ
“อืม”
“ข่าวดีจบไป ทีนี้ก็มาถึงข่าวร้าย”
“หืม?”
สีหน้าอึดอัดของพันเลิศบอกใบ้ให้คิมหันต์รู้ว่า
ประเด็นที่เพิ่งคุยจบลงนั้น ไม่ใช่หัวข้อสำคัญ ชายหนุ่มจึงลอบสังเกตอาการกระอักกระอ่วนของเพื่อนสนิทอย่างพินิจพิเคราะห์
“คืองี้ ไอ้ปิ๊กโทรหากูเมื่อคืน มันบอกว่ามันได้ยินเด็กในไลน์ลือกันว่ามึงกับคอนซัลท์มีอะไรกันในออฟฟิศ”
“ฮะ?!”
“ถึงกูกับไอ้ปิ๊กจะไม่เชื่อ
แต่ตามระเบียบบริษัท พวกกูจำเป็นต้องคุยกับมึง มึงเข้าใจนะ” พูดจบ พันเลิศก็ประสานสายตากับผู้ถูกกล่าวหาตรง
ๆ ส่วนคิมหันต์ที่แม้จะหงุดหงิดและแปลกใจกับข่าวโคมลอย แต่การที่เพื่อนรักพูดคุยกับเขาอย่างตรงไปตรงมาก็สร้างความตื้นตันใจ
รวมถึงยังช่วยยืนยันความเชื่อมั่นของหุ้นส่วนทั้งสองที่มีต่อตัวเขาได้เป็นอย่างดี
“อืม”
คุณพ่อลูกหนึ่งพยักหน้ารับ ตามกฏของบริษัทแล้ว หากเกิดกรณีชู้สาวขึ้นในที่ทำงาน ฝ่ายบริหารจะแต่งตั้งทีมสอบสวนขึ้นดำเนินการไต่ถามพนักงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวอย่างเข้มข้น
รวดเร็วและจริงจังเพื่อป้องกันไม่ให้ข่าวลือลุกลามจนสร้างความเสียหายก่อนจะจัดการตามความเหมาะสมต่อไป
ซึ่งสำหรับเคสนี้ แน่นอนว่าเมื่อพนักงานเห็นนายใหญ่ออกโรงเอง เรื่องเหลวไหลดังกล่าวย่อมจะพ้นจากเป้าความสนใจในอีกไม่ช้า
“มึงเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนหรือเปล่า”
“หึ” คิมหันต์ส่ายหัวพลางนึกทบทวน
“สักนิดก็ไม่เคย?”
พันเลิศเอียงคอมองด้วยสีหน้าหยั่งเชิงจนคู่สนทนาขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ
“ไม่”
“แล้วมึงเคยเผลอ
‘ทำอะไรกับคุณทู’
จนพวกลูกน้องเข้าใจผิดไหม”
คิมหันต์ยกมือขึ้นกอดอกพลางชายตาเหลือบมองเพื่อนด้วยประโยคไร้เสียง
‘ถามจริง นี่มึงคิดก่อนพูดแล้วใช่ไหม’
“โธ่มึง ที่กูถามเพราะมันเป็นหน้าที่เหอะ”
พันเลิศตะล่อมอย่างหนักใจ
“ตอบมาดิวะว่ามึงเคยหน้ามืดใส่แฟนมึงตอนอยู่ที่นี่หรือเปล่า เร็ว!”
“กูร่างกฏบริษัทเองกับมือนะเซ็น”
เป็นเพราะคิมหันต์เริ่มชักสีหน้า
พันเลิศจึงรีบเปลี่ยนท่าทีเป็นโอนอ่อน “ใจเย็นมึง กูรู้หรอกว่ามึงไม่ได้ทำ แต่มึงลองนึกดูดิ๊ว่ามึงเคยมีปัญหากับใครหรือเปล่า
ทำไมอยู่ ๆ ถึงได้มีคนกุข่าวดิสเครดิตมึงแบบนี้”
“กูไม่มีศัตรู”
น้ำเสียงของคิมหันต์ฟังหนักแน่น อย่างน้อย ๆ ในบริษัทนี้ เขาก็ไม่เคยมีปัญหากับใคร
แต่แล้วอยู่ ๆ ภาพใบหน้ายียวนของปุริมที่ผุดขึ้นในห้วงคำนึงก็ทำให้ความมั่นใจของชายหนุ่มเริ่มสั่นคลอน
“เออ ๆ
งั้นเดี๋ยวกูให้ซีเนียร์ HR สอบสวนเรื่องนี้กับพวกพนักงานอีกที ส่วนมึง
ถ้าสงสัยใครก็อย่าลืมบอกกูด้วยแล้วกัน” ว่าแล้ว คนพูดก็ถอนหายใจ ฝ่ายคนฟังที่นั่งพยักหน้ารับคำด้วยท่าทีเซื่อง
ๆ กลับกำลังใคร่ครวญถึงบุคคลต้องสงสัยเพียงหนึ่งเดียวอย่างคร่ำเคร่ง
••••••
เมื่อจัดการเติมกระเพาะช่วงกลางวันจนเต็ม
คิมหันต์ก็แวะไปซื้อขนมที่คอมมูนิตี้มอลล์ใกล้ ๆ ตึกสำนักงานตามเสียงร่ำร้องของลูกสาวสุดที่รัก
ชายหนุ่มรู้จักร้านขนมแห่งนี้โดยบังเอิญเมื่อราว ๆ สองเดือนก่อน ซึ่งภายหลังจากที่ปลาวาฬได้ลองลิ้มชิมรสเมนูยอดนิยมประจำร้าน
เด็กหญิงก็มักจะรบเร้าให้เขาซื้อชีสทาร์ตเด้งดึ๋งกลับไปฝากแทบทุกอาทิตย์
คิมหันต์ใช้เวลาเลือกขนมไม่นานเพราะรู้รสนิยมของบุตรีเป็นอย่างดี
ทว่าจังหวะที่ชายหนุ่มกำลังจะเปิดประตูก้าวออกจากร้าน หางตาของเขากลับเหลือบไปเห็นวิทยา
พนักงานชายหน้าขาวปากแดงประจำแผนก FI เดินควงแขนปุริมอยู่ตรงอีกฟากของทางเดิน ท่าทีสนิทสนมเกินพอดีของทั้งคู่สะกิดใจคิมหันต์เสียจนอดนึกถึงข่าวลือล่าสุดเกี่ยวกับตัวเองไม่ได้
โดยไม่ทันรู้ตัว
ขาทั้งสองข้างก็พาร่างสูงใหญ่ของคุณพ่อลูกหนึ่งออกเดินตามหลังวิทยากับปุริมไปจนถึงห้องน้ำชั้นบนสุดของอาคารในอีกไม่กี่นาทีให้หลัง
จริงอยู่ว่าการสะกดรอยตามโดยเว้นระยะห่างทำให้ผู้ติดตามไม่ได้ยินบทสนทนาระหว่างชายหนุ่มสองคนข้างหน้า
แต่มันกลับทำให้เขาค้นพบความลับข้อหนึ่งเข้าโดยไม่ทันตั้งตัว เพราะกว่าที่ HR
Director จะเดินเลี้ยวเข้าห้องน้ำตามหลังเป้าหมายทั้งคู่เข้าสู่ด้านในห้องน้ำ
ก็เป็นจังหวะพอดีกับที่เสียงแปลก ๆ ดังเล็ดลอดออกมาจากด้านหลังบานประตูที่ปิดสนิท
หลังจากกวาดตามองไปทั่วทุกมุมห้องเพียงชั่ววินาที
เสียงการเคลื่อนไหวที่ฟังไม่รู้เรื่องในคราแรกก็ถูกเสียงครางเครืออย่างพึงพอใจดังขึ้นแทนที่
“... อ๊ะ...
ซี๊ด... อ่าห์...” แม้สองตาจะมองไม่เห็น แต่หากเป็นคนที่เคยผ่าน ‘อะไร ๆ’ มาบ้างล้วนต้องนึกออกเป็นแน่แท้ว่าภายในห้องน้ำห้องในสุดห้องนั้นกำลังเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น
••••••
“ลูกพี่! เดี๋ยวก่อน!”
เด็กหญิงร้องเสียงหลงก่อนจะวิ่งมาหยุดยืนมองแมวหน้ากากที่ผลุบหายเข้าไปในร้านดอกไม้แบบกะทันหัน
ข้าง ๆ กันคือเด็กชายเวลาที่วิ่งตามมาติด ๆ
ทั้งคู่หยุดยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตูพลางจับจ้องก้อนขนสีดำที่ย้ายเข้าไปนั่งอ้าซ่าก้มเลียขนตรงหว่างขาตรงหน้าโซฟาด้านในร้านกันตาละห้อย
ผู้สังเกตการณ์มาโดยตลอดอย่างคเชนทร์นึกขำกับสถานการณ์ตรงหน้าอยู่ในใจ
แต่เพราะอดสงสารเด็ก ๆ ทั้งสองไม่ได้ ชายหนุ่มจึงเชื้อเชิญทั้งปลาวาฬและเวลาเข้ามานั่งเล่นในร้านเสียเลย
“เข้ามาเล่นกับลูกพี่ข้างในไหมครับ”
พูดจบ
อดีตนางโชว์ก็ถอยหลบไปยืนพิงผนังร้านเพื่อเปิดทางให้โล่งที่สุดก่อนจะใช้ไม้ตายหลอกล่อ
“ไม่อยากเข้าไปดูลูกพี่นอนในกล่องกันเหรอ น่ารักมากเลยน้า อยากดูไหม” ถึงลูกพี่จะเป็นแมวหน้ามึนไปสักหน่อย
แต่ทาสแมวคนไหน ๆ ย่อมพ่ายแพ้ต่ออิทธิฤทธิ์ของแมวยามฟีทเจอริ่งกับลังกระดาษกันทั้งสิ้น
คเชนทร์จึงใช้สิ่งนี้เป็นเดิมพัน
เด็กสองคนมองหน้ากันไปมา
ก่อนที่เวลาจะกระตุกชายเสื้อปลาวาฬเบา ๆ คล้ายกับชักชวนเพื่อนสนิทให้ตอบรับข้อเสนอของเจ้าของร้านดอกไม้โดยเร็ว
ทว่าเด็กหญิงกลับส่ายหัวก่อนจะป้องปากกระซิบกระซาบข้างหูหลานอาม่าด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแบบที่ไม่ว่าเป็นใครก็ยังได้ยิน
“พวกเรากลับไปขออนุญาตอาม่าก่อนดีไหม แล้วค่อยกลับมาใหม่”
เด็กชายกาลกมลทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าพลางยกมุมปากทั้งสองข้างขึ้นจนแก้มกลมเป็นลูก
ขณะที่ในกรอบสายตาของเจ้าของความคิดกลับฉายแววเสียดายอย่างปิดไม่มิด
“ไม่เป็นไรครับ
ไว้พรุ่งนี้ค่อยมาเล่นกับลูกพี่กันใหม่นะ” คเชนทร์เอ่ยพลางกลั้นยิ้มก่อนจะแสร้งทำหน้าสลดแม้จะได้ยินทุกถ้อยคำจนหมดสิ้น
“ขอบคุณค่ะ...
ไปเวลา กลับกันเถอะ”
เด็กชายยังคงไม่พูดอะไร
หากแต่เมื่อเดินไปได้สักพัก เด็กชายก็หันกลับมาโบกมือหยอย ๆ ให้คเชนทร์จนปลาวาฬพลอยทำตามเพื่อนราวกับเป็นอุปาทานหมู่
เห็นดังนั้น เจ้าของร้านดอกไม้จึงยืนยิ้มปลื้มปริ่มพลางมองส่งเด็กทั้งสองจวบจนเจ้าตัวเล็กเดินหายเข้าร้านขนมปังเจ้าปัญหา
คเชนทร์สะบัดหัวไล่ภาพเหตุการณ์ไม่น่าประทับใจเมื่อช่วงเช้าออกจากหัวก่อนจะค่อย
ๆ ลดตัวลงนั่งยอง ๆ พลางลูบหัวแมวหน้ากากที่กำลังขดตัวอยู่ในลังกระดาษใบเล็กกว่าตัวเองหลายเท่า
“เอาเถอะ อย่างน้อย ๆ วันนี้ก็จบแบบแฮปปี้เอนดิ้งแหละเนอะ”
“เมี้ยว”
เป็นอีกครั้งที่เจ้าก้อนขนสีดำร้องแง้วรับเบา ๆ ราวกับรู้ความ
และนั่นก็ทำให้เจ้าของร้านดอกไม้คลี่ยิ้มงดงามชวนมองออกมาอีกครั้ง
••• TBC •••
สวัสดีค่ะ เรากลับมาพร้อมความชุ่มฉ่ำของวันจันทร์
หวังว่าทุก ๆ
คนที่ยังรออ่านอยู่จะสุขสบายทั้งกายใจนะคะ
ถ้าอ่านแล้วชอบ หรือไม่ชอบอย่างไร
อย่าลืมบอกกันบ้างเน้อ
เจอกันวันจันทร์หน้านะคะ! #คันหิม
#ลุงไซด์ไลน์ละมุนมาก
No comments:
Post a Comment