Monday, May 7, 2018

• รักหลอก ๆ ต้องบอกลุง •||#08|| 07.05.2018


#08

เขายิ้มยิ้ม เขานะชอบมาจ้องกัน
ฉันเลยอ่อนปวกเปียก อ่อนไปทั้งหัวใจ
เมื่อเขาถามถาม ว่ามารักกันหน่อยไหม
ฉันจะทำยังไง ช่วยบอกที
ฉันเลยโอเค - เพ็ญพักตร์ ศิริกุล

…………………………………………………………………………………………………………


ช่วงสาย ๆ ที่ลูกค้าค่อนข้างบางตา คเชนทร์รีบคว้ากระเป๋าสตางค์พลางขึ้นป้าย พักเบรคบนบานประตูกระจกหน้าร้านก่อนจะก้าวเร็ว ๆ ไปตามทางเท้าให้สมกับที่ตั้งใจจะไปอุดหนุนขนมปังตามคำเชื้อเชิญของอาม่าเมื่อวันก่อน ระหว่างทาง กลิ่นหอมหวานของขนมอบใหม่ที่ลอยเรื่อยมาตามลมเร่งเจ้าของร้านดอกไม้ให้รีบรุดไปยังจุดหมายโดยไม่ทันรู้ตัว

แม้สภาพเก่าคร่ำอึมครึมภายนอกตัวร้านจะข่มขวัญลูกค้าใหม่อยู่ไม่น้อย แต่ตู้ใส่ขนมเงาวับกับพื้นกระเบื้องยางที่ถูกขัดจนมัน รวมถึงชั้นวางห่อขนมแห้งและตู้ใส่ของรอบ ๆ ร้านที่ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยดูสะอาดเอี่ยมอ่องก็เรียกความมั่นใจด้านสุขอนามัยได้ในพริบตา

เอ... ไม่มีใครอยู่เลยเหรอ

ภายในร้านที่ว่างเปล่าไร้ผู้คนทำให้คเชนทร์อดสอดส่ายสายตามองหาหญิงชราไม่ได้ ทว่าก่อนที่เจ้าของร้านดอกไม้จะทันชะเง้อมองข้ามตู้ขนมลึกเข้าไปด้านใน ชายหนุ่มในชุดเชฟหน้าตาไม่รับแขกคนหนึ่งก็ถือถาดใส่เอแคลร์ลูกโตย่างสามขุมออกมาเสียก่อน

ชายนิรนามไม่พูดไม่จา สายตาขวาง ๆ ละจากถาดเอแคลร์ที่เพิ่งวางลงในตู้ขนมตวัดขึ้นมองเขาอย่างไม่เป็นมิตรนัก สีหน้าไม่รับแขกของร่างหลังเคาน์เตอร์ทำให้คเชนทร์หมดอารมณ์จะทักทายอาม่าไปโดยปริยาย

เอาอะไร สายตาหาเรื่องของคนตรงหน้าบอกเขาแบบนั้น

“เอาขนมปังไส้กรอกสองชิ้นครับ” เพราะพยายามจะไม่ใส่ใจร่างด้านหลังตู้กระจกที่กำลังหนีบขนมปังใส่ถุงตามคำสั่งคเชนทร์จึงหันไปจดจ่อกับภูเขาเอแคลร์สีเหลืองนวลขนาดย่อมในถาด ที่สุดแล้วกลิ่นนมเนยสุดหอมหวนของพวกมันก็ทำให้เจ้าของร้านดอกไม้อดรนทนไม่ไหว

“เดี๋ยวครับ” คเชนทร์ร้องขึ้นก่อนที่ออเดอร์แรกจะถูกยัดลงถุงก๊อบแก๊บอย่างไม่ปรานีปราศรัย ชายในชุดทำครัวเลิกคิ้วจ้องมองไม่วางตาคล้ายจะถามว่า มีปัญหาอะไร เห็นดังนั้น ลูกค้ารายใหม่จึงชี้ไปที่กล่องด้านหลังอีกฝ่ายพลางเอ่ยรวดเร็ว “เอาเอแคลร์กล่องนึงด้วยครับ”

คเชนทร์ได้รับเพียงเสียงถอนหายใจแรง ๆ ตอบแทนก่อนที่เจ้าตัวจะเดินหน้าหงิกเลี่ยงไปยืนแบ่งกองภูเขาเอแคลร์อบใหม่ลงใส่กล่องอย่างไม่เต็มใจนัก

“ถ้าไม่แช่ตู้เย็นจะกินได้ถึงพรุ่งนี้เช้า ถ้าแช่ เก็บได้สามวัน เกินกว่านั้น ให้ทิ้ง” น้ำเสียงห้วน ๆ ที่ไม่ใช่เสียงของเขาดังขึ้นอย่างไม่เจาะจง ต่อเมื่ออีกฝ่ายหันกลับมาพลางชูถุงหูหิ้วใส่หน้าแล้วนั่นแหละ อดีตนางโชว์จึงรู้ว่าประโยคเมื่อครู่หมายความอย่างไร “แค่นี้ใช่ไหม”

ทำหน้าอย่างกับไม่อยากขาย... เป็นบ้าอะไรเนี่ย

“ครับ” คเชนทร์ยื่นแบงค์ร้อยส่งให้ด้วยความรู้สึกกรุ่นในใจนิด ๆ ทันทีที่ได้รับเงินทอนครบถ้วน ชายหนุ่มก็หมุนตัวย่ำเท้าออกจากร้านอย่างหงุดหงิดพลางนึกตำหนิคนมารยาททรามเมื่อครู่อยู่นานสองนาน... เฮ่อ ช่างเป็นการเริ่มต้นวันที่ไม่น่าพิสมัยเอาเสียเลย

••••••

“คุณเซียงครับ”
“คะ?!

ผมข่มความรู้สึกผิดเมื่อเห็นคุณเซียงที่กำลังง่วนกับหน้าจอมือถือสะดุ้งสุดตัวจนเกือบหงายหลังตกจากเก้าอี้ แต่จะว่าไป การที่อีกฝ่ายตกใจจนร้องเสียงหลงก็มีข้อดี เพราะยิ่งมีคนสนใจพวกเรามากเท่าไรผมก็ยิ่งได้ประโยชน์

“พรุ่งนี้ช่วงบ่ายคุณเซียงพอมีเวลาสักชั่วโมงไหมครับ ผมอยากปรึกษาคุณเซียงเรื่องระบบงานที่คุณเซียงดูแลอยู่น่ะครับ” ผมคลี่ยิ้มละไมทั้ง ๆ ที่ออกเสียงเน้นย้ำทุกถ้อยคำดังกว่าปกติอยู่หลายเบอร์ ให้มันรู้กันไปสิว่าทั้งฟลอร์จะไม่ได้ยิน

ช่วงก่อนพรีเซนต์เดโมรอบที่แล้ว พวกผมมีเวลาไม่มาก ประเด็นไหนที่คุณเซียงเล่นแง่ไม่ยอมชี้ชัด ผมก็อาศัยอิงเนื้อหาสำคัญจากเอกสารของพี่ฟี่แก้ผ้าเอาหน้ารอดไปก่อน แต่กับการทำงานทุก ๆ ขั้นตอนหลังจากนี้ ผลลัพธ์จะต้องถูกต้องแม่นยำตรงตามข้อตกลงในสัญญา ผมจึงปล่อยให้คุณเซียงลอยชายบ่ายเบี่ยงอีกไม่ได้

อันที่จริง แค่ผมแทงเรื่องให้ Management ของทั้งสองฝ่ายรับทราบ ทุกอย่างก็จะจบแบบง่าย ๆ แต่พอลองมาคิด ๆ ดู ขืนผมทำแบบนั้นไปจริง ๆ คุณเซียงจะต้องยิ่งแค้นฝังหุ่นจนเกลียดขี้หน้าผมไปกันใหญ่ เผลอ ๆ แกอาจจะกลายร่างเป็นยูสเซอร์จากนรกคอยตามล้างตามเช็ดผมไปตลอดโปรเจคเลยก็ได้ พอปักใจไปแบบนั้น ผมเลยตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยการชิงออกตัวตามจิกอีกฝ่ายเพื่อให้งานสำเร็จลุล่วง

นั่นแหละครับ คือสาเหตุที่ผมยอมเดินตัวลีบฝ่าสายตาสอดรู้สอดเห็นคู่แล้วคู่เล่าออกจากซอกหลืบเพื่อมาประเดิมเยือนคุณเซียงถึงถิ่นเป็นครั้งแรก กว่าจะออกมานี่ ผมแอบกะเวลาให้ทุก ๆ คนในทีมยูสเซอร์อยู่กันพร้อมหน้า เพราะตอนผมจัดฉากตามงานกับคู่กรณี ขาเผือกทั้งหลายจะได้ช่วยเป็นพยานพร้อมกับกดดันคุณเซียงไปในตัว

“เอ่อ” คุณเซียงขยับตัวยุกยิกพลางทำท่าหลุกหลิกผิดวิสัย ผมเดาว่าถ้าไม่แปลกใจ ก็คงกำลังรู้สึกอับอายน่าดูที่อยู่ ๆ ก็โดนคอนซัลท์โผล่มาตามงานถึงที่ “ขอเซียงเช็กตารางแป๊บนึงได้ไหมคะ”

“เต็มที่เลยครับ เดี๋ยวผมถ่ายเอกสารเสร็จแล้วจะแวะมาฟังข่าวดีนะครับ” ผมโบกปึกกระดาษในมือพลางโปรยยิ้มการค้าแจกจ่ายแก่พนักงานทุกคนในคอกทำงานตรงหน้าอย่างพึงพอใจแล้วจึงรีบเดินหนีไปถ่ายเอกสารก่อนที่คุณเซียงจะไหวตัว
.
.
.
“เฮ่ย! ทำไมหยุดล่ะ?!” อารมณ์ดีที่เกิดขึ้นชั่ววูบหายวับไปเมื่ออยู่ ๆ เครื่องถ่ายเอกสารก็ส่งเสียงตี๊ดยาว ๆ หลังจากผมกดปุ่มสั่งงานได้เพียงอึดใจ ไฟสีแดงกับตัวหนังสือบนหน้าจอฟ้องว่าตอนนี้มีกระดาษติดค้างอยู่ในเครื่อง

ซวยแล้ว... ทำไมจะต้องเป็นผมด้วยวะ

แม้จะล่ก แต่ผมก็พยายามอ่านและทำความเข้าใจคำแนะนำที่ขึ้นบนหน้าจอสลับกับลองไล่เปิดบานพับข้างเครื่องในแต่ละจุดเพื่อตามหากระดาษเจ้ากรรมอย่างเงอะ ๆ งะ ๆ ตามประสามือใหม่ตลอดกาลด้านการใช้เครื่องมือสำนักงาน โดยเฉพาะเครื่องถ่ายเอกสารที่นาน ๆ ผมจะใช้สักครั้ง ภายหลังจากทำตามทุก ๆ ขั้นตอน เปิดฝานั่นโน่นนี่อยู่สองรอบ ที่สุดผมก็เปลี่ยนมาหยุดยืนเท้าเอวเหม่อมองเครื่องซีร็อกซ์ที่ยังเอ๋อไม่หายอย่างใคร่ครวญ

“เอาไงดีว้า” ...หรือจะชิ่งแม่ง จังหวะที่จิตใจด้านมืดกำลังเกลี้ยกล่อมให้ผมหนีความผิดเอาดื้อ ๆ สุ้มเสียงคุ้นหูก็ดังขึ้นจากด้านหลัง

“ให้ผมช่วยไหม”

“เฮ่ย!

“กระดาษมันติดอยู่นะคุณ” อารามตกใจระคนประหลาดใจ ผมจึงได้แต่ยืนอ้าปากพะงาบ ๆ มองท่าน HR Director ที่ไม่รู้โผล่มาจากที่ไหนปราดเข้ามาดูอาการของเครื่องเอกสารด้วยท่าทางทะมัดทะแมง เห็นแบบนั้น ผมเลยรีบเขยิบถอยไปยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ห่าง ๆ เพราะไม่อยากให้คนที่แอบชอบจับได้ว่ากำลังใจเต้นเป็นบ้าเหมือนโด๊ปกาแฟมาสิบกระป๋องติด

อยู่ ๆ ก็มีแต่เธอมาปรากฏตัวในหัวใจ...
ฮือ ถ้าหัวใจวายไปใครจะรับผิดชอบ

นับตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อวันเสาร์ ภูมิต้านทานของผมที่มีต่อลุงไซด์ไลน์ก็ลดระดับลงแบบฮวบฮาบ ขนาดผมหลบจำศีลแล้วให้เวลาตัวเองสงบจิตสงบใจหนึ่งวันเต็ม ๆ แต่พอเห็นหน้าอีกฝ่าย ได้แอบมองแผ่นหลังกว้าง ๆ ต้นแขนแน่น ๆ ใต้เสื้อเชิ้ตสีฟ้านั่นใกล้ ๆ พร้อม ๆ กับได้สูดดมกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ของเขา ผมก็รู้สึกวูบวาบ ปั่นป่วนมวนท้องคล้าย ๆ จะเป็นไข้ในชั่วพริบตา

“ตกใจเหรอ”

“หา อะไรนะครับ?” จู่ ๆ คนที่ยังปล้ำกับเครื่องถ่ายเอกสารก็ถามขึ้นมา ผมเลยเอียงคอมองเขางง ๆ ... เมื่อกี้พี่หนาวพูดกับผมใช่ไหม ผมไม่ได้ตื่นเต้นจนหูฝาดไปเองจริง ๆ นะ?

“หน้าคุณซีด ๆ ” คนพูดยังคงก้ม ๆ เงย ๆ ไม่หยุด ผมเลยไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่ที่แน่ ๆ ผมมั่นใจว่าอาการของเครื่องถ่ายเอกสารคงไม่หนักหนาเท่าไร เพราะจนถึงตอนนี้ น้ำเสียงทุ้ม ๆ ของพี่หนาวก็ยังฟังรื่นหูไม่เปลี่ยน “กลัวโดนจับได้เหรอว่าทำเครื่องซีร็อกซ์บริษัทผมเสีย”

ฉิบหายแล้วไหมล่ะ หรือผมจะทำเครื่องเขาเจ๊งจริง ๆ วะบุญบาป

“เปล่านะครับ ผมเปล่าทำเครื่องเสีย!” ผมโบกมือพลางส่ายหัวดิก

ไม่... ผมจะเสียฟอร์มต่อหน้าใครก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่พี่หนาว!
คือแบบ เมื่อกี้มันอาจจะมีใครวางยาเครื่องถ่ายเอกสารทิ้งไว้ก็ได้ แล้วผมก็ซวยไงที่เสือกหลงเดินมาใช้เข้าพอดี... ไง

“หึ ๆๆ คุณนี่นะ” แผ่นหลังตรงหน้าผมกระเพื่อมเป็นจังหวะพอดีกับเสียงหัวเราะน่าฟังของท่าน HR Director “ผมแซวคุณเล่นหรอก”

ฮะ! ว่าไงนะ เมื่อกี้ลุงแกล้อเล่นเหรอ
คนอย่างพี่หนาวเนี่ยนะ บ้า... ถามจริง?

“เอาล่ะ ใช้ได้แล้ว” ถึงจะบอกแบบนั้น แต่จนแล้วจนรอดพี่หนาวก็ยังยืนขวางทางไม่หลบไปไหน ผมเลยยืนทำหน้าเป็นหมางงทิศใส่เสียเลย “คุณกำลังจะถ่ายเอกสารสองหน้าเหรอ” เมื่อผมเห็นเจ้าของคำถามชี้ถาดรองเอกสารด้านข้างเครื่องซีร็อกซ์ที่เปิดค้างไว้ ผมก็พยักหน้ารับแต่โดยดี

“ครับ”

“ไหนขอผมดูเอกสารหน่อย”

เพราะไม่รู้เจตนาของอีกฝ่ายผมจึงหยุดคิดนิดหนึ่ง แต่สีหน้าจริงจังของพี่หนาวก็ทำให้ผมยอมยื่นเอกสารทั้งชุดส่งให้จนได้ “นี่ครับ”

“คุณมาดูนี่” คนพูดกวักมือไหว ๆ

“ครับ?” เขาไม่ตอบ แต่เขยิบเว้นที่ข้าง ๆ แล้วพยักหน้าเรียกผมไปยืนตรงหน้าเครื่องถ่ายเอกสารด้วยกัน

“คุณกดเลือกฟังก์ชันตรงนี้ แล้ววางต้นฉบับทั้งหมดใส่ถาดข้างบน กดเลือกกระดาษ ใส่จำนวนชุดที่จะซีร็อกซ์ แล้วกดปุ่มโอเคได้เลย” พี่หนาวอธิบายพลางทำแต่ละขั้นตอนให้ผมดูอย่างช้า ๆ แต่แทนที่จะกดปุ่มเดินหน้าเครื่องถ่ายเอกสารเมื่อจบกระบวนการทั้งหมดที่ว่ามา เขากลับล้างคำสั่งที่เพิ่งป้อนลงไปแล้วยัดต้นฉบับคืนใส่มือผมทั้งชุด “ทีนี้ตาคุณ”

“ตาผม?” ริมฝีปากที่ดัดจนโค้งของเขาทำเอาผมประหม่าจนต้องเสหลบตาก่อนจะดันกรอบแว่นให้ยิ่งแนบใบหน้าทั้ง ๆ ที่มันแทบไม่ได้ขยับไปไหน... โอย ยิ้มกระแทกตา โดนตีนกาแอทแทคจนม้วนใจหลบไม่ทันแล้วครับลุง

“ลองดู” เขาคะยั้นคะยอด้วยทีท่าสบาย ๆ

“คร... ครับ” มือผมสั่นพั่บ ๆ จนผมต้องประคองกระดาษปึกบางด้วยมือทั้งสองข้างขณะค่อย ๆ หย่อนมันลงถาดอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ผมไม่เคยเป็นแบบนี้เวลาอยู่กับใคร แต่พอรู้สึกตัวว่าถูกพี่หนาวจ้องไม่วางตา ผมก็ทั้งเกร็ง ทั้งลนลานจนอยากจะทึ้งหัวตัวเองแล้ววิ่งหนีไปตั้งหลัก แต่ด้วยลูกฮึดอยากสร้างซีนล้างอาย สุดท้ายผมก็บังคับตัวเองให้ทำทุกอย่างตามที่อีกฝ่ายสอนได้สำเร็จ

“เก่งมาก”
เหยด... พี่หนาวชม!

ลำพังแค่โดนเซอร์ไพรส์ด้วยคำพูดหวานหู แข้งขาผมก็อ่อนจนแทบทรุด แต่นี่อีกฝ่ายดันคลี่ยิ้มหยาดเยิ้มทิ้งท้ายให้ดูจัง ๆ เสียอีก ผมเลยได้แต่ยืนตาลอยแบบโง่ ๆ โดยมีเสียงดูดกระดาษของเครื่องซีร็อกซ์เป็นซาวด์ประกอบขณะลอบมองตามแผ่นหลังกว้างค่อย ๆ ห่างออกไปตามลำพังเท่านั้นสิ... เฟม เพื่อนโดนลุงไซด์ไลน์ทิ้งบอมบ์ใส่จนใจบางอีกแล้วว่ะ

••••••

“คุณเซียงส่งไอดีพี (แผนฝึกอบรมพนักงานรายบุคคล) ฉบับล่าสุดให้ผมหรือยังนะครับ” ไม่กี่ก้าวก่อนจะถึงห้องทำงานส่วนตัว อยู่ ๆ คิมหันต์ก็เบี่ยงวิถีการเดินไปแวะหยุดทักชลิตาสั้น ๆ

“เซียงส่งเมลไปตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว ๆ ค่ะ”

“เหรอครับ” ทั้งที่ได้คำตอบแล้ว แต่เจ้าของคำถามกลับยังยืนปักหลักไม่ไปไหนเหมือนกำลังรอคอยอะไรสักอย่าง ท่าทางลังเลแปลก ๆ ของหัวหน้าทำให้ชลิตาพะวักพะวนจนขาดความมั่นใจ

“เอ๊ะ เซียงแนบไฟล์ผิดเหรอคะบอส” คิมหันต์ยังไม่ทันตอบโต้ ลูกน้องก็ชิงลนลานไปล่วงหน้า ชลิตาไม่คิดไม่ฝันว่าเจ้านายผู้ที่ตนแอบชอบมาหลายปีจะออกมาพูดคุยซักถามตนถึงโต๊ะทำงานดังเช่นครั้งนี้ เพราะโดยมากแล้วคิมหันต์จะติดต่อหล่อนผ่านอีเมลหรือโทรศัพท์ “เดี๋ยวขอเซียงเช็กก่อนนะคะ”

ขณะที่หญิงสาวกุลีกุจอค้นอีเมลเจ้าปัญหาให้จ้าละหวั่น ทิวัตถ์ที่เพิ่งถ่ายเอกสารเสร็จก็วกกลับมาทวงคำตอบ แต่แทนที่จะได้ตามงาน ที่ปรึกษาระบบงาน HR กลับโดนท่านผู้อำนวยการฯ ซักไซ้แบบไม่ทันตั้งตัว “คุณมีธุระอะไรหรือเปล่า”

“ผมมีเรื่องต้องปรึกษาคุณเซียงครับ แต่ไม่เป็นไร ผมรอได้” ชายหนุ่มยิ้มพลางตอบแบบเจียมตัวประสาบุคคลผู้อยู่ผิดที่ผิดทางที่สุดในที่นั้น

“คุณคุยธุระคุณก่อนเถอะ”

“ขอบคุณครับ” แม้จะรู้สึกเกรงใจ แต่เพราะไม่อยากทำให้ทุกฝ่ายเสียเวลา ทิวัตถ์จึงไม่ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว “สรุปพรุ่งนี้คุณเซียงว่างไหมครับ”

“ว่างค่ะ”

“งั้นผมจะจองห้องประชุมตั้งแต่บ่ายสองนะครับ เดี๋ยวผมคอนเฟิร์มรายละเอียดทางเมลอีกที”

“ได้ค่ะ”

“ขอบคุณครับ” ดูเหมือนว่าการปรากฏตัวของคิมหันต์จะช่วยให้แผนการของที่ปรึกษาระบบลุล่วงดั่งใจหวัง ทิวัตถ์จึงอดรู้สึกยินดีระคนโล่งอกไม่ได้ ชายหนุ่มคลี่ยิ้มหวานส่งให้ชลิตาก่อนจะค้อมหัวก้มหน้าเดินผ่านท่าน HR Director กลับห้องทำงานไปอย่างนอบน้อม

“เซียงส่งไอดีพีฉบับล่าสุดให้บอสเมื่อวันพฤหัสค่ะ” ชลิตารีบชี้แจงเมื่ออ่านอีเมลฉบับดังกล่าวจนแน่ใจ ฝ่ายผู้เป็นนายเองก็ตอบรับเรียบ ๆ คล้ายกับหมดความสนใจในหัวข้อดังกล่าวลงดื้อ ๆ

“อ๋อครับ ขอบคุณนะครับ” สิ้นเสียง คิมหันต์ก็เบนเข็มกลับสู่ห้องทำงาน แต่ยังไม่ทันไร พันเลิศกลับโฉบเข้ามาหาเสียก่อน สีหน้าเคร่งเครียดผิดวิสัยของอีกฝ่ายทำให้ HR Director เลิกคิ้วมองหน้าหุ้นส่วนคนสนิทอย่างเคลือบแคลงใจจนอีกฝ่ายต้องพยักเพยิดให้เขารีบเดินตามหลังเข้าไปในห้อง

“มึงมีอะไรหรือเปล่า” เจ้าของห้องถามขึ้นทันทีที่ประตูปิดสนิท

พันเลิศแสร้งทำหน้าระรื่นก่อนจะรายงานข่าวดีให้เพื่อนร่วมชื่นชมเป็นการเบิกฤกษ์ “เรื่องแรก คือ กูจะบอกว่าคุณจี๊ดเขายอมมึงแล้วนะ”

“มึงพูดอะไรของมึง” คิมหันต์ตามไม่ทัน... อะไรคืออยู่ ๆ ก็เกริ่นถึงผู้หญิงที่ตัวเองกำลังตามจีบโดยมีเขาร่วมอยู่ในประโยคล่อแหลม

เจ้าของหุ้นรายใหญ่ถอนหายใจพลางส่งสายตาตำหนิเพื่อนสนิทแต่พอเป็นพิธิ “ก็ไอ้ที่มึงบอกว่าอยากให้พนักงานใช้ระบบใหม่ด้วยตัวเอง งานเอกสารจะได้ไม่มากระจุกอยู่ที่ลูกน้องมึงไง” คิมหันต์ยังไม่พูดอะไร พันเลิศจึงสาธยายถึงผลการต่อรองของตนกับหัวหน้าทีมคอนซัลท์ต่ออย่างไหลลื่น “นอกจากระบบงานที่ทีมมึงจะได้ใช้งานแล้ว คุณจี๊ดเขาจะให้คอนซัลท์เขียนแอปพลิเคชันเสริมขึ้นมาอีกตัวนึง ซึ่งไอ้แอปฯ ตัวนี้นี่แหละที่จะบันดาลให้มึงได้ทุกอย่างตามที่มึงปรารถนา”

“แปลว่าแอปฯ ที่มึงบอกจะเป็นแอปฯ สำหรับให้พนักงานทุกคนใช้กรอกข้อมูลต่าง ๆ แทน HR ใช่ไหม”

“ใช่ แต่ตอนแรกกูว่าจะลองเฉพาะระบบฝึกอบรมกับ TM ตามที่มึงขอก่อน”
“อ้าว! ไห...”
“อ๊ะ ๆ ฟังกูก่อนเว่ยหนาว” พูดแทรกไม่พอ พันเลิศยังชูมือขึ้นขอเวลานอก “มึงอย่าลืมสิว่า ถ้ามึงเปิดให้พนักงานใช้ระบบพร้อมกันตู้มเดียว ลูกน้องมึงนี่แหละที่จะปวดหัวเพราะต้องคอยแก้ปัญหาให้คนทั้งบริษัท ลำพังแค่คิดว่าต้องเทรนเด็กในไลน์ให้ใช้แอปฯ นี้กรอกใบลาให้ถูกสักครึ่งกูยังเหนื่อยแทนลูกน้องมึงเลย หรือไม่จริง”

พูดอีกก็ถูกอีก คิมหันต์จึงจำยอมยกธงขาวให้เพื่อนรักอย่างเสียไม่ได้ “เออ แค่ TM ก่อนก็ได้”

“เอาน่ามึง ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไปเว่ย กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียวเสียหน่อย” พันเลิศที่ยืนพิงขอบโต๊ะอยู่ไม่ไกลเอื้อมมือมาตบบ่าปลอบใจท่าน HR Director เบา ๆ

“อืม”

“ข่าวดีจบไป ทีนี้ก็มาถึงข่าวร้าย”

“หืม?”

สีหน้าอึดอัดของพันเลิศบอกใบ้ให้คิมหันต์รู้ว่า ประเด็นที่เพิ่งคุยจบลงนั้น ไม่ใช่หัวข้อสำคัญ ชายหนุ่มจึงลอบสังเกตอาการกระอักกระอ่วนของเพื่อนสนิทอย่างพินิจพิเคราะห์ “คืองี้ ไอ้ปิ๊กโทรหากูเมื่อคืน มันบอกว่ามันได้ยินเด็กในไลน์ลือกันว่ามึงกับคอนซัลท์มีอะไรกันในออฟฟิศ”

“ฮะ?!

“ถึงกูกับไอ้ปิ๊กจะไม่เชื่อ แต่ตามระเบียบบริษัท พวกกูจำเป็นต้องคุยกับมึง มึงเข้าใจนะ” พูดจบ พันเลิศก็ประสานสายตากับผู้ถูกกล่าวหาตรง ๆ ส่วนคิมหันต์ที่แม้จะหงุดหงิดและแปลกใจกับข่าวโคมลอย แต่การที่เพื่อนรักพูดคุยกับเขาอย่างตรงไปตรงมาก็สร้างความตื้นตันใจ รวมถึงยังช่วยยืนยันความเชื่อมั่นของหุ้นส่วนทั้งสองที่มีต่อตัวเขาได้เป็นอย่างดี

“อืม” คุณพ่อลูกหนึ่งพยักหน้ารับ ตามกฏของบริษัทแล้ว หากเกิดกรณีชู้สาวขึ้นในที่ทำงาน ฝ่ายบริหารจะแต่งตั้งทีมสอบสวนขึ้นดำเนินการไต่ถามพนักงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวอย่างเข้มข้น รวดเร็วและจริงจังเพื่อป้องกันไม่ให้ข่าวลือลุกลามจนสร้างความเสียหายก่อนจะจัดการตามความเหมาะสมต่อไป ซึ่งสำหรับเคสนี้ แน่นอนว่าเมื่อพนักงานเห็นนายใหญ่ออกโรงเอง เรื่องเหลวไหลดังกล่าวย่อมจะพ้นจากเป้าความสนใจในอีกไม่ช้า

“มึงเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนหรือเปล่า”

“หึ” คิมหันต์ส่ายหัวพลางนึกทบทวน

“สักนิดก็ไม่เคย?” พันเลิศเอียงคอมองด้วยสีหน้าหยั่งเชิงจนคู่สนทนาขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ

“ไม่”

“แล้วมึงเคยเผลอ ทำอะไรกับคุณทูจนพวกลูกน้องเข้าใจผิดไหม”

คิมหันต์ยกมือขึ้นกอดอกพลางชายตาเหลือบมองเพื่อนด้วยประโยคไร้เสียง ถามจริง นี่มึงคิดก่อนพูดแล้วใช่ไหม

“โธ่มึง ที่กูถามเพราะมันเป็นหน้าที่เหอะ” พันเลิศตะล่อมอย่างหนักใจ “ตอบมาดิวะว่ามึงเคยหน้ามืดใส่แฟนมึงตอนอยู่ที่นี่หรือเปล่า เร็ว!

“กูร่างกฏบริษัทเองกับมือนะเซ็น”

เป็นเพราะคิมหันต์เริ่มชักสีหน้า พันเลิศจึงรีบเปลี่ยนท่าทีเป็นโอนอ่อน “ใจเย็นมึง กูรู้หรอกว่ามึงไม่ได้ทำ แต่มึงลองนึกดูดิ๊ว่ามึงเคยมีปัญหากับใครหรือเปล่า ทำไมอยู่ ๆ ถึงได้มีคนกุข่าวดิสเครดิตมึงแบบนี้”

“กูไม่มีศัตรู” น้ำเสียงของคิมหันต์ฟังหนักแน่น อย่างน้อย ๆ ในบริษัทนี้ เขาก็ไม่เคยมีปัญหากับใคร แต่แล้วอยู่ ๆ ภาพใบหน้ายียวนของปุริมที่ผุดขึ้นในห้วงคำนึงก็ทำให้ความมั่นใจของชายหนุ่มเริ่มสั่นคลอน

“เออ ๆ งั้นเดี๋ยวกูให้ซีเนียร์ HR สอบสวนเรื่องนี้กับพวกพนักงานอีกที ส่วนมึง ถ้าสงสัยใครก็อย่าลืมบอกกูด้วยแล้วกัน” ว่าแล้ว คนพูดก็ถอนหายใจ ฝ่ายคนฟังที่นั่งพยักหน้ารับคำด้วยท่าทีเซื่อง ๆ กลับกำลังใคร่ครวญถึงบุคคลต้องสงสัยเพียงหนึ่งเดียวอย่างคร่ำเคร่ง

••••••

เมื่อจัดการเติมกระเพาะช่วงกลางวันจนเต็ม คิมหันต์ก็แวะไปซื้อขนมที่คอมมูนิตี้มอลล์ใกล้ ๆ ตึกสำนักงานตามเสียงร่ำร้องของลูกสาวสุดที่รัก ชายหนุ่มรู้จักร้านขนมแห่งนี้โดยบังเอิญเมื่อราว ๆ สองเดือนก่อน ซึ่งภายหลังจากที่ปลาวาฬได้ลองลิ้มชิมรสเมนูยอดนิยมประจำร้าน เด็กหญิงก็มักจะรบเร้าให้เขาซื้อชีสทาร์ตเด้งดึ๋งกลับไปฝากแทบทุกอาทิตย์

คิมหันต์ใช้เวลาเลือกขนมไม่นานเพราะรู้รสนิยมของบุตรีเป็นอย่างดี ทว่าจังหวะที่ชายหนุ่มกำลังจะเปิดประตูก้าวออกจากร้าน หางตาของเขากลับเหลือบไปเห็นวิทยา พนักงานชายหน้าขาวปากแดงประจำแผนก FI เดินควงแขนปุริมอยู่ตรงอีกฟากของทางเดิน ท่าทีสนิทสนมเกินพอดีของทั้งคู่สะกิดใจคิมหันต์เสียจนอดนึกถึงข่าวลือล่าสุดเกี่ยวกับตัวเองไม่ได้

โดยไม่ทันรู้ตัว ขาทั้งสองข้างก็พาร่างสูงใหญ่ของคุณพ่อลูกหนึ่งออกเดินตามหลังวิทยากับปุริมไปจนถึงห้องน้ำชั้นบนสุดของอาคารในอีกไม่กี่นาทีให้หลัง

จริงอยู่ว่าการสะกดรอยตามโดยเว้นระยะห่างทำให้ผู้ติดตามไม่ได้ยินบทสนทนาระหว่างชายหนุ่มสองคนข้างหน้า แต่มันกลับทำให้เขาค้นพบความลับข้อหนึ่งเข้าโดยไม่ทันตั้งตัว เพราะกว่าที่ HR Director จะเดินเลี้ยวเข้าห้องน้ำตามหลังเป้าหมายทั้งคู่เข้าสู่ด้านในห้องน้ำ ก็เป็นจังหวะพอดีกับที่เสียงแปลก ๆ ดังเล็ดลอดออกมาจากด้านหลังบานประตูที่ปิดสนิท

หลังจากกวาดตามองไปทั่วทุกมุมห้องเพียงชั่ววินาที เสียงการเคลื่อนไหวที่ฟังไม่รู้เรื่องในคราแรกก็ถูกเสียงครางเครืออย่างพึงพอใจดังขึ้นแทนที่

“... อ๊ะ... ซี๊ด... อ่าห์...” แม้สองตาจะมองไม่เห็น แต่หากเป็นคนที่เคยผ่านอะไร ๆมาบ้างล้วนต้องนึกออกเป็นแน่แท้ว่าภายในห้องน้ำห้องในสุดห้องนั้นกำลังเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น

••••••

“ลูกพี่! เดี๋ยวก่อน!” เด็กหญิงร้องเสียงหลงก่อนจะวิ่งมาหยุดยืนมองแมวหน้ากากที่ผลุบหายเข้าไปในร้านดอกไม้แบบกะทันหัน ข้าง ๆ กันคือเด็กชายเวลาที่วิ่งตามมาติด ๆ ทั้งคู่หยุดยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตูพลางจับจ้องก้อนขนสีดำที่ย้ายเข้าไปนั่งอ้าซ่าก้มเลียขนตรงหว่างขาตรงหน้าโซฟาด้านในร้านกันตาละห้อย

ผู้สังเกตการณ์มาโดยตลอดอย่างคเชนทร์นึกขำกับสถานการณ์ตรงหน้าอยู่ในใจ แต่เพราะอดสงสารเด็ก ๆ ทั้งสองไม่ได้ ชายหนุ่มจึงเชื้อเชิญทั้งปลาวาฬและเวลาเข้ามานั่งเล่นในร้านเสียเลย “เข้ามาเล่นกับลูกพี่ข้างในไหมครับ”

พูดจบ อดีตนางโชว์ก็ถอยหลบไปยืนพิงผนังร้านเพื่อเปิดทางให้โล่งที่สุดก่อนจะใช้ไม้ตายหลอกล่อ “ไม่อยากเข้าไปดูลูกพี่นอนในกล่องกันเหรอ น่ารักมากเลยน้า อยากดูไหม” ถึงลูกพี่จะเป็นแมวหน้ามึนไปสักหน่อย แต่ทาสแมวคนไหน ๆ ย่อมพ่ายแพ้ต่ออิทธิฤทธิ์ของแมวยามฟีทเจอริ่งกับลังกระดาษกันทั้งสิ้น คเชนทร์จึงใช้สิ่งนี้เป็นเดิมพัน

เด็กสองคนมองหน้ากันไปมา ก่อนที่เวลาจะกระตุกชายเสื้อปลาวาฬเบา ๆ คล้ายกับชักชวนเพื่อนสนิทให้ตอบรับข้อเสนอของเจ้าของร้านดอกไม้โดยเร็ว ทว่าเด็กหญิงกลับส่ายหัวก่อนจะป้องปากกระซิบกระซาบข้างหูหลานอาม่าด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแบบที่ไม่ว่าเป็นใครก็ยังได้ยิน “พวกเรากลับไปขออนุญาตอาม่าก่อนดีไหม แล้วค่อยกลับมาใหม่”

เด็กชายกาลกมลทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าพลางยกมุมปากทั้งสองข้างขึ้นจนแก้มกลมเป็นลูก ขณะที่ในกรอบสายตาของเจ้าของความคิดกลับฉายแววเสียดายอย่างปิดไม่มิด

“ไม่เป็นไรครับ ไว้พรุ่งนี้ค่อยมาเล่นกับลูกพี่กันใหม่นะ” คเชนทร์เอ่ยพลางกลั้นยิ้มก่อนจะแสร้งทำหน้าสลดแม้จะได้ยินทุกถ้อยคำจนหมดสิ้น

“ขอบคุณค่ะ... ไปเวลา กลับกันเถอะ”

เด็กชายยังคงไม่พูดอะไร หากแต่เมื่อเดินไปได้สักพัก เด็กชายก็หันกลับมาโบกมือหยอย ๆ ให้คเชนทร์จนปลาวาฬพลอยทำตามเพื่อนราวกับเป็นอุปาทานหมู่ เห็นดังนั้น เจ้าของร้านดอกไม้จึงยืนยิ้มปลื้มปริ่มพลางมองส่งเด็กทั้งสองจวบจนเจ้าตัวเล็กเดินหายเข้าร้านขนมปังเจ้าปัญหา

คเชนทร์สะบัดหัวไล่ภาพเหตุการณ์ไม่น่าประทับใจเมื่อช่วงเช้าออกจากหัวก่อนจะค่อย ๆ ลดตัวลงนั่งยอง ๆ พลางลูบหัวแมวหน้ากากที่กำลังขดตัวอยู่ในลังกระดาษใบเล็กกว่าตัวเองหลายเท่า “เอาเถอะ อย่างน้อย ๆ วันนี้ก็จบแบบแฮปปี้เอนดิ้งแหละเนอะ”

“เมี้ยว” เป็นอีกครั้งที่เจ้าก้อนขนสีดำร้องแง้วรับเบา ๆ ราวกับรู้ความ และนั่นก็ทำให้เจ้าของร้านดอกไม้คลี่ยิ้มงดงามชวนมองออกมาอีกครั้ง


••• TBC ••


สวัสดีค่ะ เรากลับมาพร้อมความชุ่มฉ่ำของวันจันทร์
หวังว่าทุก ๆ คนที่ยังรออ่านอยู่จะสุขสบายทั้งกายใจนะคะ
ถ้าอ่านแล้วชอบ หรือไม่ชอบอย่างไร อย่าลืมบอกกันบ้างเน้อ
เจอกันวันจันทร์หน้านะคะ! #คันหิม #ลุงไซด์ไลน์ละมุนมาก







No comments:

Post a Comment