#09
ไม่เคยจะเป็นอะไรอย่างนี้ อย่างที่มีกับเธอในใจ
อยากพบอยากคุยกับเธอกว่าใคร
อยากใกล้เธอให้นานเท่านาน
เกิดความดีใจ เมื่อเห็นเธอยิ้มให้กัน
แหละในบางวัน ต้องซึมเมื่อเธอไม่มา
คิดถึงเธอ - แร็พเตอร์
…………………………………………………………………………………………………………
“อย่างที่ได้เรียนไปก่อนหน้านี้นะครับ
สำหรับประเด็นที่คุณคิมหันต์ทักท้วงเกี่ยวกับการที่ยูสเซอร์ต้องคีย์ข้อมูลการฝึกอบรม
รวมถึงการคีย์ใบลาในระบบ
TM แทนพนักงาน
ทางผู้บริหารของทั้งสองฝ่ายได้ประชุมหารือและมีข้อตกลงร่วมกันว่า ทีมคอนซัลท์จะพัฒนาระบบเพิ่มเติมเพื่อรองรับความต้องการในส่วนนี้
พร้อมทั้งจะทำโปรแกรมเชื่อมโยงข้อมูลมายังระบบหลักเพื่อให้ข้อมูลรวมกันอยู่ที่ศูนย์กลางเพียงแห่งเดียว
ดังนั้นยูสเซอร์ HR จะสามารถเรียกดูรายงานข้อมูลที่เป็นปัจจุบันได้อย่างครบถ้วนที่สุดครับ”
“ยังไงครับ
ช่วยอธิบายคร่าว ๆ ให้ทีมผมเห็นภาพมากขึ้นหน่อยได้ไหมครับ”
อ่า
นั่นไง ลุงช่างสงสัยขาประจำทำงานแล้ว
“ได้ครับ”
ผมคลี่ยิ้มส่งให้เจ้าของคำถามด้วยความโล่งใจ เพราะนอกจากตั้งคำถามตามสมควรแล้ว ตลอดการพรีเซนต์เดโมฯ
รอบล้างตา พี่หนาวแทบไม่แผ่ออร่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ออกมาเลยสักนิด “สิ่งที่ทีมคอนซัลท์จะทำเพิ่มเติมจากระบบที่สาธิตไปเมื่อสักครู่
คือ ออนไลน์แอปพลิเคชันที่จะถูกออกแบบเพื่อให้พนักงานทุก ๆ คนสามารถใช้กรอกข้อมูลสำคัญต่าง
ๆ ได้ด้วยตัวเอง เช่น ข้อมูลส่วนตัวที่อาจเปลี่ยนแปลงภายหลังจากการบรรจุเป็นพนักงานจำพวกที่อยู่
เบอร์โทรติดต่อ หรือการเปลี่ยนชื่อ – นามสกุล รวมไปถึงข้อมูลอื่น ๆ เกี่ยวกับการทำงาน เช่น แบบคำร้องขอฝึกอบรม
หรือใบลาตามที่คุณคิมหันต์พูดถึงเมื่อคราวก่อนครับ”
“และเนื่องจากระบบนี้เป็นระบบที่พัฒนาเพื่อรองรับความต้องการของ
King’s Bev. โดยเฉพาะ ดังนั้นในทุก ๆ
ขั้นตอนการออกแบบและพัฒนาแอปพลิเคชัน ทางทีมจะคอยอัพเดทรวมถึงขอคำแนะนำจากคุณคิมหันต์และยูสเซอร์เป็นระยะ
ๆ เพื่อให้ระบบนี้สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครอบคลุมมากที่สุดค่ะ” พี่ฟี่สรุปทิ้งท้ายด้วยเงื่อนไขที่เอาใจลูกค้าแบบสุด
ๆ ก็ให้มันรู้ไปสิว่า ถ้าพวกผมลงทุนทำให้ขนาดนี้แล้วท่าน HR Director จะไม่ยอมรับข้อเสนอ
“โอเคครับ”
คำตอบของพี่หนาวราวกับเสียงสวรรค์ที่ทำให้ทีมคอนซัลท์โล่งอกในชั่วพริบตา
“ถ้าไม่มีประเด็นอื่นแล้ว
จี๊ดอยากจะขอความเห็นจากทุก ๆ ท่านในที่นี้หน่อยค่ะ” พี่จี๊ดแทรกขึ้นพลางกวาดตามองเกือบทุก
คนในห้องประชุม เว้นก็แต่ตาลุงเจ้าของบริษัทคนเดียวนี่แหละที่พอเจ้าตัวหันไปสบตาด้วยแล้วแกก็เสมองไปอีกทางอย่างไม่คิดจะรักษามารยาท
เออแฮะ... ผมว่าวันนี้พี่จี๊ดแกดูแปลก ๆ นะ
“อย่างที่ทุก
ๆ ท่านทราบ ตามกำหนดการ เราจะมีการนำเสนอ Blueprint*
ในอีกประมาณสองเดือนข้างหน้า
ดังนั้นระหว่างนี้ จี๊ดอยากขอเสนอให้ทีมคอนซัลท์คอยรายงานความคืบหน้าของเอกสาร Blueprint ให้กับทีมยูสเซอร์รับทราบเป็นประจำทุก
ๆ อาทิตย์ เพื่อที่หากมีข้อแก้ไข หรือการเปลี่ยนแปลงใด ๆ พวกเราจะได้แก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที
ไม่ทราบทุกท่านเห็นด้วยไหมคะ”(หมายเหตุ: Blueprint
หรือ Business Blueprint เป็นเอกสารสำคัญที่กำหนดรายละเอียดของระบบงานตั้งแต่ต้นจนจบ
โดยเปรียบเทียบง่าย ๆ ให้โปรเจคหนึ่ง ๆ คล้ายกับการสร้างบ้านที่จะมี Business Blueprint
เป็นพิมพ์เขียวระบุโครงสร้าง คุณสมบัติ และเอกลักษณ์ของบ้านหลังนั้นเอาไว้อย่างชัดเจน)
ความเจ็บปวดเพราะโดนถล่มเดโมฯ
รอบปฐมทัศน์เสียย่อยยับทำให้พวกผมเตรียมตัวอุดรอยรั่วต่าง ๆ มาเป็นอย่างดี ดูง่าย
ๆ ได้จากการที่เราไม่ลืมอัญเชิญพี่จี๊ดมานั่งเป็นแม่ย่านางเสริมสร้างศิริมงคลให้แก่ทีมตั้งแต่ต้นจนจบ
ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อผู้จัดการโปรเจคมา มีหรือที่ตาลุงคาสโนว่าจะพลาด
(พี่ฟี่แอบเม้าท์กับผมว่า ถ้าท่าน HR
Director ฟังพรีเซนต์แล้วเกิดไม่พอใจจนนึกอยากจะแล่เนื้อคอนซัลท์ขึ้นมาจริง
ๆ พวกเราคงหนีทันเพราะกว่าพี่หนาวจะข้ามศพคุณพันเลิศมาได้ ก็น่าจะนานอยู่)
แต่จริง
ๆ ผมเดาว่าเหตุผลที่บอสใหญ่ฝั่งผมเข้าร่วมฟังประชุมเดโมฯ น่าจะเป็นเพราะแกคงอยากมาเสนอเรื่องการประชุมย่อยก่อนอนุมัติ
Blueprint ให้จบ ๆ เสียมากกว่า เพราะขืนพวกเราเตรียม
Blueprint โดยไม่มีการประชุมอัพเดทสถานะของงานเป็นระยะ
ๆ สุดท้ายยูสเซอร์อาจจะล้มโต๊ะเซอร์ไพรส์แล้วไล่พวกผมกลับบ้านเหมือนตอนเดโมฯ
รอบแรกอีกก็ได้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ลำพังพี่จี๊ดคนเดียวคงแบกรับความเสียหายไม่ไหว
“ผมเห็นด้วยกับคุณจี๊ดนะครับ
เพราะถ้าทั้งสองทีมนัดประชุมกันทุกวีค พวกเราก็จะได้รับทราบความคืบหน้าของโครงการแบบเรียลไทม์
ที่สำคัญ ผมว่าการประชุมซ้ำ ๆ ด้วยหัวข้อเดิม ๆ เหมือนตอนเดโม่รอบที่สองน่ะน่าเบื่อออก
ว่าไหมครับ”
ฟังแล้วผมก็แอบเบ้ปากอยากจะ
‘แหม’ ใส่หน้าคุณพันเลิศให้สมกับความช่างเต๊าะของแก สงสารก็แต่หัวหน้าผมนี่แหละที่ทำได้แค่ยกมุมปากนิด
ๆ ก่อนจะเอาตัวรอดด้วยการหันไปคุยกับพี่หนาวแบบดื้อ ๆ “ก่อนหน้านี้ จี๊ดให้ทีมเกริ่นกับยูสเซอร์เรื่องประชุมมาบ้างแล้วค่ะ
ดังนั้นหากคุณคิมหันต์ไม่มีปัญหา
จี๊ดจะขออนุญาตให้ทีมตกลงและกำหนดตารางประชุมกับยูสเซอร์ของแต่ละระบบงานอีกทีนะคะ”
“ได้ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราปล่อยให้คอนซัลท์กับยูสเซอร์เขาคุยกันเองดีไหมครับ”
คุณพันเลิศสายเต๊าะพยักหน้าส่งซิกเรียกพี่หนาวกับพี่จี๊ดให้ลุกตามกัน
แต่ก่อนกลุ่มผู้บริหารจะเดินพ้นห้องประชุม พวกผมที่ยังนั่งปักหลักอยู่ในห้องกลับได้ยินประโยคลอย
ๆ ที่ชวนให้ต่อมเผือกสั่นระรัว “กลางวันนี้กินข้าวกับพี่นะครับจี๊ด”
จริงอยู่ที่แม้เจ้าของชื่อจะไม่โต้ตอบ
แต่การที่พี่จี๊ดเดินก้มหน้างุด ๆ แล้วแหวกทางออกจากห้องไปโดยไม่ปฏิเสธสักคำก็ทำให้สองสาวคอนซัลท์เจ้ากรมข่าวลือหันขวับมาส่งสายตากรุ้มกริ่มให้ผมอย่างรู้ทันกัน
••••••
“เมื่อเช้าแกกลัวป่ะ”
พี่ฟี่ดึงความสนใจของผมด้วยการใช้หลังมืออูม ๆ
ที่กุมช้อนเป็นแม่นมั่นของแกกระแทกหลังมือผมเบา ๆ
จนผมอดหันไปมองหน้ารุ่นพี่ขาเม้าท์ไม่ได้
“กลัวอะไรวะพี่”
”ก็กลัวคุณหนาวจะด่ากราดพวกเราน่ะสิ”
เพื่ออรรถรสในการเล่าเรื่องขั้นสุด พี่ฟี่ถึงกับยอมวางช้อนกินข้าวแล้วลูบต้นแขนตัวเองพลางทำท่าสั่นงก
ๆ “ทำโปรเจคมาจะสิบปี แต่หน้าพี่แกตอนกริ้วนี่กินขาดยูสเซอร์ทุกเจ้าที่ฉันเคยเจอมาจริง
ๆ บรื๋อออ!”
“กลัวก็ส่วนกลัวป่ะพี่
ยังไงพรีเซนต์ก็ต้องพรีฯ ถึงจะกลัวแต่พวกเราเลือกได้เหรอ” สารภาพเลยว่าตอนแรกผมกังวลนะ
ยิ่งเห็นพี่หนาวนั่งหน้านิ่งตั้งแต่ก่อนเริ่มประชุม ผมก็ยิ่งปากคอสั่น แต่พอคิดได้ว่า
ระหว่างพรีเซนต์เดโมฯ สายตาของเขาจะมองแค่ผมเพียงคนเดียว หัวใจผมก็ฟูฟ่องพร้อมปล่อยของขึ้นมาเลย
“หึ”
คนฟังแค่นหัวเราะพลางพยักหน้าเห็นด้วย “แต่ฉันถามจริง ๆ เถอะ นอกเวลางาน คุณหนาวแกดุแบบนี้ตลอดเวลาเลยมะ”
“ไม่นะพี่
เขาใจดีออก” คำถามของรุ่นพี่ทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา
พี่หนาวเวอร์ชันลุงไซด์ไลน์ คือ เรื่องดี ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตผมช่วงนี้อ่ะ บอกเลย
“ย่ะ”
จังหวะที่พี่ฟี่กำลังกลอกตามองบนใส่ผมอยู่นั้นเอง ยีนส์ที่เพิ่งวิ่งกลับมาถึงโต๊ะกินข้าวพร้อมจานผลไม้ก็ผ่ากลางบทสนทนาด้วยสีหน้าตื่นเต้นเหมือนเห็นผี
“พี่ทู
แฟนพี่นั่งกินข้าวอยู่ตรงโน้นแน่ะ!”
“แฟนพี่?”
ผมถามงง ๆ ... ไม่ใช่ว่าน้องมันรู้นานแล้วเหรอว่าผมเลิกกับพี่บูมมาชาติเศษ ๆ
ข่าวเก่าขนาดนี้ยังจะกล้ามาล้อพี่อีกเหรออีหนู
“ก็คุณคิมหันต์ไง”
ชะอุ่ย! ลืมไปเลย
ดีนะที่เมื่อกี้ผมไม่หลุดปากโพล่งไปว่า
‘แฟนพี่นี่ใครวะ’ ไม่งั้นผมคงไม่แคล้วโดนสองสาวซักฟอกจนไม่เป็นอันกินข้าว
“อ๋อ
เหรอ” ผมแค่นยิ้มก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวแบบสุดชีวิต
“ทำไมพี่ทูไม่ชวนแฟนมากินข้าวด้วยกันกับพวกเราล่ะคะ
ปล่อยให้นั่งคนเดียวแบบนั้น น่าสงสารออก”
“เอ่อ
อย่าเลย” ผมอึกอัก ไม่รู้จะตอบอีกฝ่ายอย่างไรดี แล้วก็เป็นพี่ฟี่ที่ก้าวเข้ามารับไม้แทนอย่างมั่นอกมั่นใจ
“แหม
ถามแบบนี้แสดงว่าไม่รู้สินะว่าตอนนี้พี่แกน่ะกำลังทรมานใจแค่ไหน”
“ยังไงอ่ะคะพี่ฟี่”
น้องเล็กประจำทีมนิ่วหน้าพลางจับจ้องคู่สนทนาตาเขม็ง ในขณะที่ผมเองก็ขมวดคิ้วมองพี่ฟี่ที่ยืดอกตอบคำถามเกี่ยวกับตัวผมด้วยน้ำเสียงหนักแน่นราวกับแฟนพันธุ์แท้
“อ้าว
ก็ขนาดทูมันรู้จักวางตัว เว้นระยะห่างกับคุณหนาว มันยังโดนเม้าท์ว่าแอบแซ่บกันในออฟฟิศ
แล้วลองคิดดูสิว่าถ้าพี่แกทำตัวติดกันกับคุณหนาวตลอดเวลา จะเกิดอะไรขึ้น”
“อ๋อ
เออ จริงด้วยพี่” ว่าแล้วยีนส์ก็หันกลับมามองผมด้วยสีหน้ากึ่งเห็นอกเห็นใจกึ่งรู้สึกผิด
“หนูขอโทษนะคะพี่ทู ต่อไปหนูจะไม่ถามอะไรที่ทำให้พี่ทูลำบากใจอีกแล้วค่ะ”
ที่ผมนั่งนิ่งไม่ตอบโต้เพราะยังคงอึ้งกับแรงมโนของพี่ฟี่ไม่หาย
ฝ่ายจูเนียร์ที่นั่งสลดไปเมื่อครู่ อยู่ ๆ ก็เปลี่ยนเป้าหมายไปจั่วหัวเม้าท์กระจายเรื่องคนอื่นอย่างลื่นไหล
“เออพี่ฟี่ ตอนประชุมพี่เห็นพี่จี๊ดกับคุณพันเลิศป่ะคะ”
“หึ
ๆๆ จะเหลือเรอะ”
“สรุปว่าคุณพันเลิศจีบพี่จี๊ดติดแล้วเหรอพี่”
เจ้าของคำถามชะโงกหน้าข้ามโต๊ะมารอฟังด้วยท่าทางกระตือรือล้นจนผมต้องรีบยกจานข้าวหนี
“เรื่องนี้ฉันบอกไม่ได้
มันเป็นความลับของทางราชการ ไพร่ฟ้าประชาชนอย่างแกไม่เกี่ยว”
“โห่
พี่ฟี่อ่ะ บอกน้องหน่อยเหอะน้า”
“ไม่
แกจะไม่มีวันได้ยินเรื่องนี้จากปากฉันแน่ ๆ ” จนป่านนี้ ยีนส์ก็ยังวอแวพี่ฟี่ไม่เลิก
แต่ถ้าให้ผมเดาจากสีหน้าอยากเม้าท์เต็มขั้นของทั้งคู่ เชื่อผมเถอะว่าถ้าน้องมันหน้ามึนตื๊อต่ออีกสักหน่อย
สองสาวคงได้สุมหัวกันฟุ้งฝอยเรื่องเจ้านายกันจนน้ำลายแตกฟองแน่ ๆ
“ผมไปแบงค์ก่อนนะพี่
จะเอาสมุดไปอัพอ่ะ” พูดจบก็รวบช้อน ก่อนจะชูสมุดบัญชีที่พกติดกระเป๋าลงมาแล้วชิ่งโดยไม่รอฟังคำอนุญาตของรุ่นพี่
คงจะดีถ้าผมได้เห็นหน้าพี่หนาวอีกสักครั้งก่อนต้องกลับขึ้นไปทำงานตอนบ่าย
.
.
.
.
คงเพราะผมไม่ได้ถามรายละเอียดจากยีนส์ก่อน
ผมเลยไม่ได้เจอพี่หนาวสมใจ แต่ใครเลยจะคิดว่าเมื่อเสร็จธุระเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ แล้ว
ผมจะโชคดีได้พบเขาจนได้
ไม่น่าเชื่อว่า
เพอร์เฟคชันนิสต์ที่ดูบ้างานแบบพี่หนาวจะมีอารมณ์เดินเตร่ดูของหลังกินข้าวเหมือนมนุษย์เงินเดือนทั่ว
ๆ ไป แต่ที่น่าตกใจยิ่งไปกว่านั้นคือ พอเราสบตากัน เขาก็เดินลิ่ว ๆ มาหาผมทันที
ถึงจะฟิน
แต่เอาเข้าจริงผมกลับไม่กล้าฟันธงว่าท่าน HR Director จะตั้งใจตรงเข้ามาทักทาย เพราะเราไม่ได้สนิทกัน
กระนั้นใบหน้าหล่อเหลาที่ถูกซูมจนดูใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ทำให้ผมลนลานจนเผลอหลุดปาก
“คุณก็มาแบงค์เหมือนกันเหรอครับ”
เวร
ผมเพิ่งจะสำนึกได้เอาตอนนี้เองว่ากำลังยืนหราอยู่หน้าแบงค์
“เปล่า
ผมแวะมาซื้อขนมให้ปลาวาฬน่ะ”
นั่นปะไร
คำตอบของพี่หนาวทำให้ผมดูโง่ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติแบบที่ถ้าเฟมมันยืนอยู่ตรงนี้
มันจะต้องพูดว่า... แหม เขาคงจะไปออกกำลังกายหรอกมั้งอีทู
มีสมองไว้กั้นหูใช่ไหมมึง
ผมตีหน้ามึนก่อนจะต่อบทสนทนา
“ขนมอะไรเหรอครับ”
“ชีสทาร์ต”
“ที่นี่มีชีสทาร์ตขายด้วยเหรอครับ”
รู้ทั้งรู้ว่าวีรกรรมความโง่ครั้งที่แล้วยังทันไม่จาง แต่พอลองนึกดูดี ๆ ผมก็ฉุกคิดได้ว่า
นี่อาจจะเป็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิตที่ผมจะบังเอิญเจอพี่หนาวตามลำพัง ดังนั้นผมจึงไม่ควรปล่อยเขาหลุดมือไปง่าย
ๆ
“อืม
ร้านนี้อร่อย ขนมโปรดปลาวาฬเขาเลย” ผมสังเกตเห็นว่า เมื่อไรก็ตามที่เจ้าตัวพูดถึงลูกสาว
ใบหน้าพี่หนาวมักจะมีรอยยิ้มอยู่เสมอ และทุกครั้งที่ยิ้ม เขาจะยิ่งดูหล่อขึ้นเสียจนผมอยากหยอดเหรียญต่อช่วงเวลาละมุนละไมของแกออกไปให้นานที่สุด
“แล้วร้านอยู่ตรงไหนเหรอครับ”
“คุณจะซื้อเหรอ”
“ครับ
น้องผมชอบกิน” ไอ้สามมันกินไม่เลือก เพราะฉะนั้น ผมมั่นใจว่ามันจะต้องชอบกินชีสทาร์ตแน่
ๆ
“งั้นก็ไปพร้อมกันสิ”
“ครับ”
ผมดึงหน้าตึงพลางกลั้นยิ้มจนปวดแก้มก่อนจะรีบสาวเท้าเดินตีคู่ไปพร้อม ๆ อีกฝ่าย
แต่เนื่องจากที่ผ่านมา ผมไม่เคยเดินข้าง ๆ ท่าน HR Director แบบไม่เร่งรีบมาก่อน ผมจึงรู้สึกตื่นเต้นจนแทบระงับความคิดฟุ้งซ่านทั้งหลายเอาไว้ไม่อยู่
ยิ่งได้อยู่ใกล้
ๆ จนไหล่แทบจะชนกัน ผมก็ยิ่งตระหนักว่าพี่หนาวตัวสูงใหญ่กว่าผมพอสมควร ไม่อยากจะคิดเลยว่าตอนที่ถูกเขาย่ำยี
หัวใจผมจะยังทำงานอยู่ไหม ยิ่งพอเขาเดินนำผมขึ้นบันไดเลื่อน ผมก็แทบละสายตาจากตูดปอด
ๆ ตรงหน้าไปไม่ได้ พอมองนานเข้า ๆ ก็ชักอยากจะรู้ว่า กำลังวังชาของพี่หนาวจะดีสมไทป์
‘สูงชะลูด ตูดปอด ยอดขุนพล’ จริง ๆ หรือไม่
พี่หนาวจะรู้สึกอึดอัดกับความคิดเพ้อเจ้อของผมหรือเปล่าผมไม่รู้
แต่ตอนนี้ผมมีความสุขกับมโนภาพล้ำ ๆ ในหัวเสียจนต้องหมั่นยกมือขึ้นลูบจมูกบ่อย ๆ
เผื่อว่าถ้าเลือดกำเดาไหล ผมจะได้ใช้นิ้วอุดทัน
“คุณสายตาสั้นเหรอ”
ท่าน HR Director ยิ่งทำให้ผมมีความสุขไปกันใหญ่เมื่ออยู่
ๆ เขาก็หันกลับมามองหน้าผมอยู่นานสองนาน
“ครับ?”
ผมเอียงคอมองเขาเพราะงงที่อยู่ ๆ พี่หนาวก็ชวนผมคุยด้วยเรื่อง... สายตา
จะอยากรู้ไปทำไมวะ
“คุณใส่แว่น”
เขาเอ่ยพลางจรดปลายนิ้วชี้บนดั้งจมูกตัวเองคล้ายกำลังบอกใบ้ถึงกรอบแว่นที่เกาะหน้าผมอยู่
“สายตาคุณสั้นเหรอ”
“จริง
ๆ ก็ไม่สั้นเท่าไรครับ แต่ถ้าต้องจ้องคอมนาน ๆ ผมชอบใส่แว่นมากกว่า”
“แต่ผมเคยเห็นคุณไม่ใส่แว่นนะ”
ผมเขินจนต้องเม้มปากเมื่อรู้ว่าที่พี่หนาวถามเพราะเขาจดจำรายละเอียดเล็ก
ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับตัวผมได้ “อ๋อ ปกติถ้าไม่ต้องทำงาน ผมมักจะใส่คอนแทคครับ”
“เมื่อวันเสาร์ที่คุณไม่ใส่แว่นมา
แปลว่าคุณไม่ได้ทำงานงั้นสิ” คนพูดแย้งขึ้นทันทีก่อนจะอมยิ้มพลางส่งสายตาล้อเลียน
ผมโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน
ปากก็โต้เร็วรัวเพราะกลัวอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดว่าผมอู้งาน “ถึงจะใส่คอนแทค
แต่ผมก็ทำงานได้นะครับ”
พี่หนาวหัวเราะชอบใจราวกับว่าการได้แหย่ผมคือเรื่องสนุกอย่างนั้นแหละ
“ครับ ๆ ผมเชื่อคุณ” พูดจบ เจ้าตัวก็เปิดประตูร้านขนมแล้วบุ้ยใบ้ให้ผมเดินเข้าร้านไปก่อน
ส่วนผมที่เดิมตั้งใจว่าจะมาร้านขนมเพื่ออ้อยผู้ ไป ๆ มา ๆ ผมกลับโดนกลิ่นหอม ๆ ของชีสทาร์ตในตู้ชักชวนให้เปลี่ยนใจหันไปเลือกขนมอย่างเอาเป็นเอาตายเสียอย่างนั้น
หลังจากสูดดมกลิ่นนมเนยจนเมาได้ที่
ผมก็เริ่มรู้ซึ้งถึงเหตุที่ทำให้ปลาวาฬโปรดปรานทาร์ตร้านนี้เป็นพิเศษ เพราะกว่าที่ตัวผมจะตัดสินใจเลือกทาร์ตที่ต้องการได้
คนที่มาด้วยกันก็ตั้งท่าเตรียมพร้อมจ่ายตังค์เป็นที่เรียบร้อย
“ไม่ทราบมีบัตรสะสมแต้มหรือยังคะ”
“ไม่มีครับ”
จังหวะที่แคชเชียร์กำลังจะรับเงินในถาดไปนับ
พนักงานอีกคนก็เดินเข้ามาดูรายการของพี่หนาวด้วยท่าทางสนอกสนใจ “ลูกค้าท่านนี้นี่เอง
เมื่อวานพี่ลืมให้บัตรสะสมแต้มลูกค้าท่านนี้น่ะ” ไม่พูดเปล่า ทว่าพนักงานคนนี้กลับแทรกเข้าไปคิดเงินแทน
ก่อนจะพยักเพยิดให้น้องแคชเชียร์มาตักขนมใส่กล่องให้ผมที่ยังคงแอบฟังบทสนทนาตรงหน้าเคาน์เตอร์จ่ายเงินอย่างจดจ่อ
หรือจะมีศัตรูหัวใจโผล่มาอีกคน?!... อย่าบอกนะว่าพนักงานคนนั้นจ้องจะอ้อยพี่หนาวอยู่เหมือนกัน
“นี่ค่ะ
ต้องขอโทษเรื่องบัตรด้วยนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“ซื้อครบสามสิบได้ตราประทับหนึ่งดวง
บัตรนี้ใช้สะสมแต้มได้ตลอดนะคะ ไม่มีวันหมดอายุค่ะ
วันนี้กับเมื่อวานได้แต้มรวมกันสี่ดวงนะคะ”
อ๋อ
ที่แท้เมื่อวานพี่หนาวก็มาซื้อทาร์ตให้ปลาวาฬนี่เอง
แต่ลองว่าซื้อทาร์ตราคาร้อยกว่าบาทสองวันติด
ผมก็คิดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากพี่หนาวเปย์ลูกสาวหนักมากจริง ๆ
หลังจากเรื่องบัตรสะสมแต้มของพี่หนาวเรียบร้อย
ก็ถึงตาผมใช้เงินฟาดหัวพนักงานแล้วแลกตัวทาร์ตสี่ชิ้นมาไว้ในครอบครอง จากนั้นผมกับท่าน
HR Director ก็เดินขบวนออกจากร้านขนมมาพร้อม ๆ กัน
“เอ่อ
กลับเลยไหมครับ” พี่หนาวพยักหน้าแล้วยิ้มรับ ไอ้ผมก็มัวแต่ดีใจที่ได้เห็นคนหล่อยิ้มใส่หน้าแบบจะ
ๆ มือไม้เลยพานหมดเรี่ยวแรงจนทำบัตรสะสมแต้มของตัวเองหลุดมือแบบโง่ ๆ
แต่อีกฝ่ายกลับไม่ถือสา หนำซ้ำยังก้มลงเก็บให้ด้วยท่าทางราวกับสุภาพบุรุษ
“ขอบคุณครับ”
มองบัตรสะสมแต้มในมือแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า แม้ลุงไซด์ไลน์จะตามใจลูกมาก แต่ถ้าผมเป็นปลาวาฬ
ผมก็คงเป็นปลื้มที่ได้เป็นลูกสาวของพี่หนาว เด็กอะไรโชคดีชะมัดที่มีพ่อทั้งหล่อ
ทั้งเท่ ทั้ง“ใจดีสุด ๆ ”
“หืม?”
“ไม่มีอะไรครับ
อย่าสนใจเลย” ผมตีหน้านิ่งพลางส่ายหัวใส่พี่หนาวที่เลิกคิ้วมองหน้าผมอย่างงง ๆ ...
บุญเท่าไรแล้วที่เมื่อกี้ไม่ได้เผลอพูดไอ้ที่คิดออกมาทั้งหมด ไม่งั้นผมคงต้องมุดดินหนีอาย
“พักนี้คุณได้ยินข่าวลือแปลก
ๆ บ้างหรือเปล่า” ผมแอบดีใจที่คนเดินข้าง ๆ เปลี่ยนหัวข้อสนทนา แต่อดรู้สึกตงิด ๆ
ไม่ได้ที่อยู่ ๆ พี่หนาวเลือกเรื่องดังกล่าวมาคุยกับผม
“ข่าวลืออะไรเหรอครับ”
เพื่อความปลอดภัย ผมแกล้งมึนใส่ไปก่อนแล้วกัน
“ข่าวลือเรื่องคุณกับผมน่ะ”
เฮ่ย! หรือจะเป็นเรื่องนั้น?!... ไม่ใช่มั้ง
“เอ่อ...
ก็ไม่นะครับ” ผมพยายามเก๊กนิ่งทั้งที่ใจจริงหลุกหลิกมาก ยิ่งนึกถึงข่าวลือที่ยีนส์เพิ่งเล่าให้ฟังเมื่อไม่กี่วันก่อนผมก็ยิ่งรู้สึกกระดากจนไม่กล้าเล่าให้เพื่อนร่วมชะตากรรมฟังขึ้นมาเสียเฉย
ๆ อีกอย่าง หากข่าวลือที่ผมได้ยินมาเป็นคนละเรื่อง กัน ผมคงเข้าหน้าพี่หนาวไม่ติดอีกเลย
ที่สำคัญ ท่าน HR
Director คงดีใจอยู่หรอกหากรู้ว่าตัวเองถูกพวกลูกน้องเม้าท์แรงลับหลัง
“เหรอ”
“ครับ”
ถึงจะไม่อยากเล่า แต่ผมก็อดสงสัยไม่ได้ “มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ไม่มีอะไรหรอก”
สีหน้าหนักใจของคู่สนทนาทำผมลังเลใจ... เอ หรือผมควรบอกพี่หนาวไปตรง ๆ ดีวะ แต่ถ้าผมยอมบอก
เขาจะเชื่อผมเหรอ
หลังจากปล่อยให้ผมได้เดินคิดฟุ้งซ่านอยู่คนเดียวสักพัก
พี่หนาวก็ถามขึ้นอีกครั้ง “แฟนเก่าคุณยังวุ่นวายกับคุณอยู่ไหม”
“เดี๋ยวนี้เขาไม่ค่อยมายุ่งกับผมแล้วครับ”
ถึงจะไม่รู้เหตุผลว่าทำไมอยู่ ๆ แฟนเก่าผมจึงกลายเป็นหัวข้อสนทนาไปได้ แต่ใจนึงผมกลับสังหรณ์ว่า
พี่บูมน่าจะเกี่ยวข้องกับข่าวลือที่พี่หนาวพูดถึงเมื่อครู่... ถือว่าผมตัดสินใจถูกมากที่ไม่เล่าเรื่องฉาวของผมกับเขาออกไป
“เขาหายไปเลยเหรอ”
“ครับ”
ผมตอบตามจริง เพราะเมื่อทีมผมโดนพรีเซนต์เดโมฯ รอบสอง คอนซัลท์ระบบงานอื่น ๆ ก็พลอยตื่นตัวและตั้งใจทำเดโมฯ
ของตัวเองกันอย่างขมักเขม้น ผมจึงได้อานิสงส์เป็นการไม่ต้องทนเสียอารมณ์กับคอนซัลท์
FI เหมือนกับช่วงอาทิตย์แรก ๆ ของโปรเจค
“อืม”
พี่หนาวรับคำสั้น ๆ แต่ก็ไม่พูดอะไรต่อ พอมีเขาเดินข้าง ๆ ผมก็เริ่มรู้สึกว่าทางเดินกลับไปยังออฟฟิศนั้นสั้นเกินไป
แต่ก่อนที่ผมจะรั่วแล้วหลุดปากตัดพ้อระยะทางแบบเพ้อ ๆ ออกไปอีกหน พี่หนาวก็ทำลายความเงียบระหว่างเราด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ถ้าแฟนเก่ายังมายุ่งกับคุณ หรือถ้าคุณได้ยินคนอื่นพูดถึงคุณไม่ดี คุณมาบอกผมได้นะ”
“ครับ
ขอบคุณครับ” ทันทีที่ได้ฟังถ้อยคำพร้อม ๆ กับรับรู้ถึงความห่วงใยในสายตาคู่นั้น ผมก็รู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งหน้าจนต้องรีบก้มหน้าหลบพลางจ้ำหนี
จวบจนเมื่อเห็นขั้นบันไดหน้าตึกอยู่ห่างออกไปไม่ไกล ประโยคของพี่ฟี่กับสายตาสอดแนมของคนแปลกหน้าที่ลอบมองเราสองคนเป็นระยะ
ๆ ก็เร่งผมให้ฝืนทำบางสิ่งที่ตรงข้ามกับใจ “เราแยกกันตรงนี้เถอะครับ”
“ทำไมล่ะ”
ฟังแล้วเขาก็ทำหน้าสงสัย ผมเลยอธิบายต่อ
“มันคงไม่ดี
ถ้าคนอื่นเห็นเราอยู่ด้วยกันน่ะครับ”
“งั้นคุณขึ้นไปก่อนเถอะ
เดี๋ยวผมจะรอสักพัก” พี่หนาวพยักหน้ารับคำโดยไม่ถามซอกแซก
เท่านั้นก็ถือเป็นการตัดจบช่วงพักกลางวันแสนสุขสันต์ลงอย่างเหมาะสมก่อนที่ผมจะชิงระเบิดตัวเองเพราะเขินความเอื้ออาทรของลุงไซด์ไลน์จนทนไม่ไหว
••••••
“เข้ามาเล่นข้างในไหมครับ
จะได้ไม่ร้อน” ช่วงเย็นวันนี้แสงแดดไม่ปรานีสิ่งมีชีวิตใด ๆ
คเชนทร์จึงเชื้อเชิญแฟนคลับแมวหน้ากากทั้งสองให้เข้ามาเปลี่ยนบรรยากาศ
ฝ่ายเด็ก
ๆ แม้จะไม่ตอบคำแต่กลับตอบรับข้อเสนอของเจ้าของร้านดอกไม้ด้วยการเกี่ยวก้อยกันเดินไปนั่งลงตรงพื้นข้าง
ๆ อดีตลังใส่ของใบย่อมซึ่งมีก้อนขนสีดำบรรจุอยู่ภายใน
“หิวกันไหมครับ”
คำถามดังกล่าวไม่ต้องการคำตอบ เพราะคเชนทร์ถือผลไม้จานใหญ่มาวางลงบนโต๊ะใกล้ ๆ กับจุดที่เด็ก
ๆ นั่งอยู่ “ปลาวาฬกับเวลาช่วยกินชมพู่เป็นเพื่อนลุงหน่อยได้ไหมครับ ถ้าต้องกินคนเดียว
ลุงคงกินไม่หมดแน่ ๆ เลย” ว่าแล้วชายหนุ่มก็หยิบชมพู่ชิ้นหนึ่งขึ้นกัดก่อนจะแสร้งทำเมินแล้วลอบอมยิ้มเมื่อเห็นปลาวาฬจู่โจมจานผลไม้ก่อนใครเพื่อน
“อร่อยไหมครับ”
“อร่อยค่ะ”
เด็กหญิงยิ้มหวานพลางพยักหน้ารับรองแข็งขัน ในขณะที่เพื่อนสนิทยังคงไม่พูดอะไร
หากแต่เคี้ยวชมพู่ไม่หยุดปาก
“ถ้าอร่อยก็กินเยอะ
ๆ นะครับ” ภาพของเด็ก ๆ ที่นั่งกินนั่งเล่นอย่างผ่อนคลายทำให้เจ้าของร้านดอกไม้อารมณ์ดีจนนึกครึ้มใจกล้าตั้งคำถามสัมภาษณ์อาคันตุกะทั้งสองผิดจากทุกวัน
“เวลากับปลาวาฬเป็นเพื่อนสนิทกันมานานหรือยังครับ”
“ปลาวาฬรู้จักเวลาตอนเรียนอนุบาลค่ะ”
เด็กหญิงตั้งท่าจะกัดชมพู่ แต่กลับเปลี่ยนใจกลางคันเพราะอยากจะเล่าเรื่องเพื่อนสนิทมากกว่า
“คุณครูฝากให้ปลาวาฬคอยดูแลเวลา เพราะเวลาเข้ามาเรียนทีหลังค่ะ”
“อย่างนี้นี่เอง”
คเชนทร์ได้ฟังแล้วก็อมยิ้มชอบใจแต่ก็ไม่วายสงสัยในความสัมพันธ์อันเหนียวแน่นจนน่าอิจฉาของเด็กทั้งสอง
“แล้วนอกจากเวลาแล้ว ปลาวาฬสนิทกับเพื่อนคนไหนอีกไหมครับ”
“จริง
ๆ ปลาวาฬชอบเล่นกับปุนนี่ แก้มดาว เฌอแตมแล้วก็เจี๋ยนะคะ แต่ปลาวาฬสนิทกับเวลาที่สุด
เลยชอบอยู่กับเวลามากกว่าเพื่อนคนอื่นค่ะ”
“ลุงก็ว่าอย่างนั้นแหละเนอะ”
การที่เด็กหญิงช่างพูดช่างจาทำให้เจ้าของร้านดอกไม้ยิ่งรู้สึกเพลิดเพลินกับการสนทนาไปกันใหญ่
“เวลาอยู่ด้วยกันสองคน ปลาวาฬชวนเวลาเล่นอะไรบ้างครับ”
“ปลาวาฬกับเวลาชอบเล่นโหนบาร์
เล่นเขียนมือ เล่นวาดรูป เล่นเป่ายิ้งฉุบ เล่น charades แล้วก็เล่นอีกเยอะแยะไปหมดเลยค่ะ”
ระหว่างที่เล่าเรื่อง เด็กหญิงมักจะทำมือทำไม้ออกท่าทางประกอบเสียใหญ่โตจนคเชนทร์คลี่ยิ้มตามด้วยความเอ็นดู
“หืม
charades นี่เล่นยังไงเหรอครับ”
“charades ก็ใบ้คำไงคะ ลุงเชนไม่เคยเล่นเหรอคะ”
“ไม่เคยครับ”
เจ้าของร้านดอกไม้ส่ายหน้าอย่างจำนนหากแต่ไม่ละความพยายามที่จะเรียนรู้การละเล่นของพวกเด็ก
ๆ ให้จงได้ “ไหน มันเล่นยังไงเหรอครับ ปลาวาฬสอนลุงเชนเล่นหน่อยได้หรือเปล่า”
“ได้ค่ะ”
เด็กหญิงพยักหน้ารับอย่างแข็งขันจนหัวสั่นหัวคลอน “เดี๋ยวปลาวาฬกับเวลาจะเล่นให้ลุงเชนดูนะคะ”
ว่าแล้วเจ้าตัวก็ชะโงกหน้าเข้าไปกระซิบกระซาบนัดแนะข้างหูเพื่อนรัก ไม่กี่อึดใจให้หลัง
เวลาก็เปลี่ยนมานั่งหลังตรงก่อนจะชูสองนิ้วตั้งท่าใบ้คำโดยมีปลาวาฬรับหน้าที่โฆษกส่วนตัว
“อันนี้มีสองคำค่ะ”
“ครับ”
ท่าทางของเด็กชายทำให้คเชนทร์หวนนึกถึงเกมใบ้คำที่ตนเคยลองเล่นสมัยยังทำอาชีพนางโชว์เมื่อครั้งที่โจโจ้ปิดร้านเพื่อรับรองแขกพิเศษเป็นการณ์เฉพาะ
“คำแรก”
สิ้นเสียงของปลาวาฬ เวลาที่ชูนิ้วชี้ค้างกลางอากาศก็เปลี่ยนมายู่หน้าทำปากจู๋เพื่อเริ่มใบ้คำ
“หมู”
คำตอบของชายหนุ่มทำให้เด็กหญิงยิ้มกว้างพลางตบมือด้วยรู้สึกถูกใจ
“อีกคำค่ะลุงเชน”
สิ้นเสียงเพื่อนสนิท
เด็กชายก็เริ่มใบ้คำที่สองด้วยการผินหน้ามองไปทางซ้ายและขวาอย่างช้า ๆ
จนเจ้าของร้านดอกไม้ทายคำปริศนาถูกในที่สุด “หมูหัน!”
“ถูกต้องค่ะ
ลุงเชนได้หนึ่งคะแนน” เจ้าของน้ำเสียงร่าเริงปรบมือรัว ๆ ก่อนจะเอ่ยชมเจ้าของร้านดอกไม้เป็นกรณีพิเศษ
“ลุงเชน Well done!”
“ขอบคุณครับ”
อยู่ ๆ คเชนทร์ก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ “ใครสอนปลาวาฬกับเวลาเล่น charades เหรอครับ... เพื่อน ๆ ที่โรงเรียน?”
“เปล่าค่ะ
แด๊ดดี้สอนปลาวาฬกับดี ปลาวาฬเลยเอามาสอนเวลาเล่นด้วย”
“แด๊ดดี้?”
“คุณแม่เลิกกับคุณพ่อแล้วก็แต่งงานกับแด๊ดดี้ค่ะ”
“คุณแม่
กับคุณพ่อ...” ชายหนุ่มรู้สึกตกใจกับความใสซื่อบริสุทธิ์ของเด็กหญิงที่ช่างขัดแย้งกับใจความของประโยคเรียบง่ายเมื่อสักครู่
“ค่ะ
คุณแม่บอกว่า คุณแม่กับคุณพ่อเหมาะจะเป็นเพื่อนกันมากกว่าเป็นแฟน
เพราะถ้าคุณแม่กับคุณพ่อเป็นแฟนกัน คุณแม่กับคุณพ่อจะทะเลาะกันทุกวัน แล้วพวกเราทุกคนก็จะไม่มีความสุขค่ะ”
แม้จะเป็นเรื่องน่าเศร้า แต่น่าแปลกที่รอยยิ้มบนใบหน้าเด็กหญิงกลับดูเจิดจ้า อีกทั้งแววตายังทอประกายสุกใสสะท้อนความสุขใจออกมาอย่างเต็มเปี่ยม
“ถึงคุณแม่กับคุณพ่อจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่คุณพ่อกับคุณแม่ก็ยังรักปลาวาฬมาก ๆๆๆ เหมือนเดิมนะคะ
แถมตอนนี้ครอบครัวปลาวาฬก็มีแด๊ดดี้ ดี แล้วก็ปลาทูเพิ่มมาด้วย”
“เหรอครับ”
แม้ที่ผ่านมาคเชนทร์จะเคยพบปะผู้คนมากหน้า อีกทั้งยังเคยผ่านประสบการณ์ทั้งดีร้ายมานักต่อนัก
แต่อดีตนางโชว์กลับไม่สันทัดเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัวสักเท่าไร ชายหนุ่มจึงเพียงเปิดใจและรับฟังอย่างไม่มีอคติ
“ค่ะ
เมื่อวันเสาร์ ปลาวาฬก็เพิ่งไปเที่ยวกับคุณพ่อ คุณแม่ แด๊ดดี้ ดี แล้วก็ปลาทูค่ะ”
“ถึงว่าสิ
เมื่อวันเสาร์ลุงยังถามเวลาอยู่เลยว่าปลาวาฬหายไปไหน ทำไมไม่มาเล่นกับลูกพี่ด้วยกัน”
ชายหนุ่มหลิ่วตาให้เด็กชายที่ตอนนี้อุ้มลูกพี่ขึ้นมานอนบนตักตน
“ปลาวาฬไปอควาเรียมมาค่ะ”
เด็กหญิงละมือจากชมพู่แล้วหันไปช่วยเวลาลูบหลังแมวหน้ากากอย่างขยันขันแข็ง
“ว่าแต่
ดีกับปลาทูนี่ใครเหรอครับ” ทั้งที่ตั้งใจฟังเด็กหญิงเล่าเรื่องมาพักใหญ่ ๆ แต่จนแล้วจนรอด
คเชนทร์ก็ยังตามปลาวาฬไม่ทัน โดยเฉพาะชื่อ ‘ปลาทู’ ที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันแน่
“ดีเป็นน้องของปลาวาฬค่ะ
ส่วนปลาทูก็เป็นปลาทูค่ะ”
“หืม?
ปลาทูคือปลาทูที่กินกับน้ำพริกน่ะเหรอครับ” เจ้าของร้านดอกไม้เลิกคิ้วมองเด็กหญิงอย่างไม่เข้าใจ
ปลาวาฬหัวเราะเอิ๊กอ๊ากกับท่าทีน่าขันของชายหนุ่ม
“ไม่ใช่ค่ะลุงเชน ไม่ใช่เลยซักกะติ๊ด คุณแม่บอกว่าปลาทูสนิทกับคุณพ่อมากที่สุด คุณแม่ยังบอกอีกว่าต่อไปปลาวาฬจะต้องเจอปลาทูบ่อย
ๆ คุณแม่เลยอยากให้ปลาวาฬรู้จักกับปลาทูเร็ว ๆ น่ะค่ะ”
“ปลาทูสนิทกับคุณพ่อเหรอครับ”
คเชนทร์ยังทันไม่ได้ฟังคำตอบเพราะอยู่
ๆ ก็มีเสียงร้องเรียกชื่อของเด็ก ๆ ดังมาจากด้านนอก “เวลา ปลาวาฬ
กลับไปกินข้าวเย็นเร็ว” สิ้นเสียง หญิงชราก็มาหยุดยืนอยู่ตรงกรอบประตูหน้าร้านดอกไม้
สีหน้าของอาม่าดูโล่งใจเมื่อเห็นว่าเด็ก ๆ อยู่กันอย่างพร้อมหน้า “วันนี้ย้ายเข้ามานั่งในร้านแล้วเหรอ...
ถึงว่าสิ เมื่อกี้เดินมาไม่เห็น”
“สวัสดีครับ”
คเชนทร์ทักทายพลางผายมือเชื้อเชิญผู้อาวุโสเข้าด้านในร้าน
หญิงชรารับไหว้แล้วกวาดตามองเวลากับปลาวาฬด้วยรอยยิ้ม
“เด็ก ๆ ไม่ได้รบกวนใช่ไหม?”
“ไม่เลยครับ”
ชายหนุ่มอมยิ้ม “ผมเห็นว่าแดดข้างนอกร้อนเลยชวนเด็ก ๆ เข้ามานั่งข้างในน่ะครับ”
คนฟังพยักหน้ารับรู้ก่อนจะขมวดคิ้วมองเด็กทั้งสองด้วยสีหน้าลำบากใจ
“กินชมพู่พี่เขาแล้วจะกินข้าวอาม่าไหวไหม”
“ไหวค่า”
“ถ้างั้นก็กลับไปกินข้าวกับม่านะ”
“ค่า”
“ขอบใจนะหนู”
ลำพังแค่เจ้าของร้านดอกไม้ยอมให้หลานชายหล่อนเล่นกับแมวได้ตามใจ
หญิงชราก็รู้สึกเกรงใจมากพอดู แต่นี่อีกฝ่ายยังมีน้ำใจจัดเตรียมของกินรองท้องให้พวกเด็ก
ๆ หล่อนก็ยิ่งรู้สึกติดค้างคเชนทร์ไปกันใหญ่
คเชนทร์รับรู้ได้ถึงความรู้สึกของหญิงชรา
ชายหนุ่มจึงยืนยันความตั้งใจจริงอันบริสุทธิ์ของตัวเองกับอาม่าด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ไม่ต้องขอบคุณผมหรอกครับเพราะผมก็มีความสุขที่ได้อยู่กับพวกเด็ก ๆ ”
••• TBC •••
ไม่ต้องขยี้ตาไปค่ะที่เห็นเราลงตอนล่าสุดวันนี้
พอดีเราเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าอาทิตย์หน้าเราจะต้องเดินทาง
เราเลยรีบพาพี่หนาวกับน้องทูมาฝากฝังให้ทุกคนดูแลก่อนเวลานัดตามปกติค่ะ
ถ้ายังไงอ่านแล้วมาเม้าท์บอกกันนะคะว่าชอบไหม
ส่วนตอนถัดไป
เราจะกลับมาเจอกันวันจันทร์เช่นเคยค่ะ (21/05/18)
No comments:
Post a Comment