Friday, May 11, 2018

• รักหลอก ๆ ต้องบอกลุง •||#09|| 11.05.2018


#09

ไม่เคยจะเป็นอะไรอย่างนี้ อย่างที่มีกับเธอในใจ
อยากพบอยากคุยกับเธอกว่าใคร
อยากใกล้เธอให้นานเท่านาน
เกิดความดีใจ เมื่อเห็นเธอยิ้มให้กัน
แหละในบางวัน ต้องซึมเมื่อเธอไม่มา
คิดถึงเธอ - แร็พเตอร์

…………………………………………………………………………………………………………


“อย่างที่ได้เรียนไปก่อนหน้านี้นะครับ สำหรับประเด็นที่คุณคิมหันต์ทักท้วงเกี่ยวกับการที่ยูสเซอร์ต้องคีย์ข้อมูลการฝึกอบรม รวมถึงการคีย์ใบลาในระบบ TM แทนพนักงาน ทางผู้บริหารของทั้งสองฝ่ายได้ประชุมหารือและมีข้อตกลงร่วมกันว่า ทีมคอนซัลท์จะพัฒนาระบบเพิ่มเติมเพื่อรองรับความต้องการในส่วนนี้ พร้อมทั้งจะทำโปรแกรมเชื่อมโยงข้อมูลมายังระบบหลักเพื่อให้ข้อมูลรวมกันอยู่ที่ศูนย์กลางเพียงแห่งเดียว ดังนั้นยูสเซอร์ HR จะสามารถเรียกดูรายงานข้อมูลที่เป็นปัจจุบันได้อย่างครบถ้วนที่สุดครับ”

“ยังไงครับ ช่วยอธิบายคร่าว ๆ ให้ทีมผมเห็นภาพมากขึ้นหน่อยได้ไหมครับ”

อ่า นั่นไง ลุงช่างสงสัยขาประจำทำงานแล้ว

“ได้ครับ” ผมคลี่ยิ้มส่งให้เจ้าของคำถามด้วยความโล่งใจ เพราะนอกจากตั้งคำถามตามสมควรแล้ว ตลอดการพรีเซนต์เดโมฯ รอบล้างตา พี่หนาวแทบไม่แผ่ออร่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ออกมาเลยสักนิด “สิ่งที่ทีมคอนซัลท์จะทำเพิ่มเติมจากระบบที่สาธิตไปเมื่อสักครู่ คือ ออนไลน์แอปพลิเคชันที่จะถูกออกแบบเพื่อให้พนักงานทุก ๆ คนสามารถใช้กรอกข้อมูลสำคัญต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเอง เช่น ข้อมูลส่วนตัวที่อาจเปลี่ยนแปลงภายหลังจากการบรรจุเป็นพนักงานจำพวกที่อยู่ เบอร์โทรติดต่อ หรือการเปลี่ยนชื่อ นามสกุล รวมไปถึงข้อมูลอื่น ๆ เกี่ยวกับการทำงาน เช่น แบบคำร้องขอฝึกอบรม หรือใบลาตามที่คุณคิมหันต์พูดถึงเมื่อคราวก่อนครับ”

“และเนื่องจากระบบนี้เป็นระบบที่พัฒนาเพื่อรองรับความต้องการของ King’s Bev. โดยเฉพาะ ดังนั้นในทุก ๆ ขั้นตอนการออกแบบและพัฒนาแอปพลิเคชัน ทางทีมจะคอยอัพเดทรวมถึงขอคำแนะนำจากคุณคิมหันต์และยูสเซอร์เป็นระยะ ๆ เพื่อให้ระบบนี้สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครอบคลุมมากที่สุดค่ะ” พี่ฟี่สรุปทิ้งท้ายด้วยเงื่อนไขที่เอาใจลูกค้าแบบสุด ๆ ก็ให้มันรู้ไปสิว่า ถ้าพวกผมลงทุนทำให้ขนาดนี้แล้วท่าน HR Director จะไม่ยอมรับข้อเสนอ

“โอเคครับ” คำตอบของพี่หนาวราวกับเสียงสวรรค์ที่ทำให้ทีมคอนซัลท์โล่งอกในชั่วพริบตา
“ถ้าไม่มีประเด็นอื่นแล้ว จี๊ดอยากจะขอความเห็นจากทุก ๆ ท่านในที่นี้หน่อยค่ะ” พี่จี๊ดแทรกขึ้นพลางกวาดตามองเกือบทุก คนในห้องประชุม เว้นก็แต่ตาลุงเจ้าของบริษัทคนเดียวนี่แหละที่พอเจ้าตัวหันไปสบตาด้วยแล้วแกก็เสมองไปอีกทางอย่างไม่คิดจะรักษามารยาท เออแฮะ... ผมว่าวันนี้พี่จี๊ดแกดูแปลก ๆ นะ

“อย่างที่ทุก ๆ ท่านทราบ ตามกำหนดการ เราจะมีการนำเสนอ Blueprint* ในอีกประมาณสองเดือนข้างหน้า ดังนั้นระหว่างนี้ จี๊ดอยากขอเสนอให้ทีมคอนซัลท์คอยรายงานความคืบหน้าของเอกสาร Blueprint ให้กับทีมยูสเซอร์รับทราบเป็นประจำทุก ๆ อาทิตย์ เพื่อที่หากมีข้อแก้ไข หรือการเปลี่ยนแปลงใด ๆ พวกเราจะได้แก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที ไม่ทราบทุกท่านเห็นด้วยไหมคะ”(หมายเหตุ: Blueprint หรือ Business Blueprint เป็นเอกสารสำคัญที่กำหนดรายละเอียดของระบบงานตั้งแต่ต้นจนจบ โดยเปรียบเทียบง่าย ๆ ให้โปรเจคหนึ่ง ๆ คล้ายกับการสร้างบ้านที่จะมี Business Blueprint เป็นพิมพ์เขียวระบุโครงสร้าง คุณสมบัติ และเอกลักษณ์ของบ้านหลังนั้นเอาไว้อย่างชัดเจน)

ความเจ็บปวดเพราะโดนถล่มเดโมฯ รอบปฐมทัศน์เสียย่อยยับทำให้พวกผมเตรียมตัวอุดรอยรั่วต่าง ๆ มาเป็นอย่างดี ดูง่าย ๆ ได้จากการที่เราไม่ลืมอัญเชิญพี่จี๊ดมานั่งเป็นแม่ย่านางเสริมสร้างศิริมงคลให้แก่ทีมตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อผู้จัดการโปรเจคมา มีหรือที่ตาลุงคาสโนว่าจะพลาด (พี่ฟี่แอบเม้าท์กับผมว่า ถ้าท่าน HR Director ฟังพรีเซนต์แล้วเกิดไม่พอใจจนนึกอยากจะแล่เนื้อคอนซัลท์ขึ้นมาจริง ๆ พวกเราคงหนีทันเพราะกว่าพี่หนาวจะข้ามศพคุณพันเลิศมาได้ ก็น่าจะนานอยู่)

แต่จริง ๆ ผมเดาว่าเหตุผลที่บอสใหญ่ฝั่งผมเข้าร่วมฟังประชุมเดโมฯ น่าจะเป็นเพราะแกคงอยากมาเสนอเรื่องการประชุมย่อยก่อนอนุมัติ Blueprint ให้จบ ๆ เสียมากกว่า เพราะขืนพวกเราเตรียม Blueprint โดยไม่มีการประชุมอัพเดทสถานะของงานเป็นระยะ ๆ สุดท้ายยูสเซอร์อาจจะล้มโต๊ะเซอร์ไพรส์แล้วไล่พวกผมกลับบ้านเหมือนตอนเดโมฯ รอบแรกอีกก็ได้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ลำพังพี่จี๊ดคนเดียวคงแบกรับความเสียหายไม่ไหว

“ผมเห็นด้วยกับคุณจี๊ดนะครับ เพราะถ้าทั้งสองทีมนัดประชุมกันทุกวีค พวกเราก็จะได้รับทราบความคืบหน้าของโครงการแบบเรียลไทม์ ที่สำคัญ ผมว่าการประชุมซ้ำ ๆ ด้วยหัวข้อเดิม ๆ เหมือนตอนเดโม่รอบที่สองน่ะน่าเบื่อออก ว่าไหมครับ”

ฟังแล้วผมก็แอบเบ้ปากอยากจะ แหมใส่หน้าคุณพันเลิศให้สมกับความช่างเต๊าะของแก สงสารก็แต่หัวหน้าผมนี่แหละที่ทำได้แค่ยกมุมปากนิด ๆ ก่อนจะเอาตัวรอดด้วยการหันไปคุยกับพี่หนาวแบบดื้อ ๆ “ก่อนหน้านี้ จี๊ดให้ทีมเกริ่นกับยูสเซอร์เรื่องประชุมมาบ้างแล้วค่ะ ดังนั้นหากคุณคิมหันต์ไม่มีปัญหา จี๊ดจะขออนุญาตให้ทีมตกลงและกำหนดตารางประชุมกับยูสเซอร์ของแต่ละระบบงานอีกทีนะคะ”

“ได้ครับ”

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราปล่อยให้คอนซัลท์กับยูสเซอร์เขาคุยกันเองดีไหมครับ” คุณพันเลิศสายเต๊าะพยักหน้าส่งซิกเรียกพี่หนาวกับพี่จี๊ดให้ลุกตามกัน แต่ก่อนกลุ่มผู้บริหารจะเดินพ้นห้องประชุม พวกผมที่ยังนั่งปักหลักอยู่ในห้องกลับได้ยินประโยคลอย ๆ ที่ชวนให้ต่อมเผือกสั่นระรัว “กลางวันนี้กินข้าวกับพี่นะครับจี๊ด”

จริงอยู่ที่แม้เจ้าของชื่อจะไม่โต้ตอบ แต่การที่พี่จี๊ดเดินก้มหน้างุด ๆ แล้วแหวกทางออกจากห้องไปโดยไม่ปฏิเสธสักคำก็ทำให้สองสาวคอนซัลท์เจ้ากรมข่าวลือหันขวับมาส่งสายตากรุ้มกริ่มให้ผมอย่างรู้ทันกัน

••••••

“เมื่อเช้าแกกลัวป่ะ” พี่ฟี่ดึงความสนใจของผมด้วยการใช้หลังมืออูม ๆ ที่กุมช้อนเป็นแม่นมั่นของแกกระแทกหลังมือผมเบา ๆ จนผมอดหันไปมองหน้ารุ่นพี่ขาเม้าท์ไม่ได้

“กลัวอะไรวะพี่”

”ก็กลัวคุณหนาวจะด่ากราดพวกเราน่ะสิ” เพื่ออรรถรสในการเล่าเรื่องขั้นสุด พี่ฟี่ถึงกับยอมวางช้อนกินข้าวแล้วลูบต้นแขนตัวเองพลางทำท่าสั่นงก ๆ “ทำโปรเจคมาจะสิบปี แต่หน้าพี่แกตอนกริ้วนี่กินขาดยูสเซอร์ทุกเจ้าที่ฉันเคยเจอมาจริง ๆ บรื๋อออ!

“กลัวก็ส่วนกลัวป่ะพี่ ยังไงพรีเซนต์ก็ต้องพรีฯ ถึงจะกลัวแต่พวกเราเลือกได้เหรอ” สารภาพเลยว่าตอนแรกผมกังวลนะ ยิ่งเห็นพี่หนาวนั่งหน้านิ่งตั้งแต่ก่อนเริ่มประชุม ผมก็ยิ่งปากคอสั่น แต่พอคิดได้ว่า ระหว่างพรีเซนต์เดโมฯ สายตาของเขาจะมองแค่ผมเพียงคนเดียว หัวใจผมก็ฟูฟ่องพร้อมปล่อยของขึ้นมาเลย

“หึ” คนฟังแค่นหัวเราะพลางพยักหน้าเห็นด้วย “แต่ฉันถามจริง ๆ เถอะ นอกเวลางาน คุณหนาวแกดุแบบนี้ตลอดเวลาเลยมะ”

“ไม่นะพี่ เขาใจดีออก” คำถามของรุ่นพี่ทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา พี่หนาวเวอร์ชันลุงไซด์ไลน์ คือ เรื่องดี ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตผมช่วงนี้อ่ะ บอกเลย

“ย่ะ” จังหวะที่พี่ฟี่กำลังกลอกตามองบนใส่ผมอยู่นั้นเอง ยีนส์ที่เพิ่งวิ่งกลับมาถึงโต๊ะกินข้าวพร้อมจานผลไม้ก็ผ่ากลางบทสนทนาด้วยสีหน้าตื่นเต้นเหมือนเห็นผี

“พี่ทู แฟนพี่นั่งกินข้าวอยู่ตรงโน้นแน่ะ!

“แฟนพี่?” ผมถามงง ๆ ... ไม่ใช่ว่าน้องมันรู้นานแล้วเหรอว่าผมเลิกกับพี่บูมมาชาติเศษ ๆ ข่าวเก่าขนาดนี้ยังจะกล้ามาล้อพี่อีกเหรออีหนู

“ก็คุณคิมหันต์ไง”

ชะอุ่ย! ลืมไปเลย
ดีนะที่เมื่อกี้ผมไม่หลุดปากโพล่งไปว่า แฟนพี่นี่ใครวะไม่งั้นผมคงไม่แคล้วโดนสองสาวซักฟอกจนไม่เป็นอันกินข้าว

“อ๋อ เหรอ” ผมแค่นยิ้มก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวแบบสุดชีวิต

“ทำไมพี่ทูไม่ชวนแฟนมากินข้าวด้วยกันกับพวกเราล่ะคะ ปล่อยให้นั่งคนเดียวแบบนั้น น่าสงสารออก”

“เอ่อ อย่าเลย” ผมอึกอัก ไม่รู้จะตอบอีกฝ่ายอย่างไรดี แล้วก็เป็นพี่ฟี่ที่ก้าวเข้ามารับไม้แทนอย่างมั่นอกมั่นใจ

“แหม ถามแบบนี้แสดงว่าไม่รู้สินะว่าตอนนี้พี่แกน่ะกำลังทรมานใจแค่ไหน”

“ยังไงอ่ะคะพี่ฟี่” น้องเล็กประจำทีมนิ่วหน้าพลางจับจ้องคู่สนทนาตาเขม็ง ในขณะที่ผมเองก็ขมวดคิ้วมองพี่ฟี่ที่ยืดอกตอบคำถามเกี่ยวกับตัวผมด้วยน้ำเสียงหนักแน่นราวกับแฟนพันธุ์แท้

“อ้าว ก็ขนาดทูมันรู้จักวางตัว เว้นระยะห่างกับคุณหนาว มันยังโดนเม้าท์ว่าแอบแซ่บกันในออฟฟิศ แล้วลองคิดดูสิว่าถ้าพี่แกทำตัวติดกันกับคุณหนาวตลอดเวลา จะเกิดอะไรขึ้น”

“อ๋อ เออ จริงด้วยพี่” ว่าแล้วยีนส์ก็หันกลับมามองผมด้วยสีหน้ากึ่งเห็นอกเห็นใจกึ่งรู้สึกผิด “หนูขอโทษนะคะพี่ทู ต่อไปหนูจะไม่ถามอะไรที่ทำให้พี่ทูลำบากใจอีกแล้วค่ะ”

ที่ผมนั่งนิ่งไม่ตอบโต้เพราะยังคงอึ้งกับแรงมโนของพี่ฟี่ไม่หาย ฝ่ายจูเนียร์ที่นั่งสลดไปเมื่อครู่ อยู่ ๆ ก็เปลี่ยนเป้าหมายไปจั่วหัวเม้าท์กระจายเรื่องคนอื่นอย่างลื่นไหล “เออพี่ฟี่ ตอนประชุมพี่เห็นพี่จี๊ดกับคุณพันเลิศป่ะคะ”

“หึ ๆๆ จะเหลือเรอะ”

“สรุปว่าคุณพันเลิศจีบพี่จี๊ดติดแล้วเหรอพี่” เจ้าของคำถามชะโงกหน้าข้ามโต๊ะมารอฟังด้วยท่าทางกระตือรือล้นจนผมต้องรีบยกจานข้าวหนี

“เรื่องนี้ฉันบอกไม่ได้ มันเป็นความลับของทางราชการ ไพร่ฟ้าประชาชนอย่างแกไม่เกี่ยว”

“โห่ พี่ฟี่อ่ะ บอกน้องหน่อยเหอะน้า”

“ไม่ แกจะไม่มีวันได้ยินเรื่องนี้จากปากฉันแน่ ๆ ” จนป่านนี้ ยีนส์ก็ยังวอแวพี่ฟี่ไม่เลิก แต่ถ้าให้ผมเดาจากสีหน้าอยากเม้าท์เต็มขั้นของทั้งคู่ เชื่อผมเถอะว่าถ้าน้องมันหน้ามึนตื๊อต่ออีกสักหน่อย สองสาวคงได้สุมหัวกันฟุ้งฝอยเรื่องเจ้านายกันจนน้ำลายแตกฟองแน่ ๆ

“ผมไปแบงค์ก่อนนะพี่ จะเอาสมุดไปอัพอ่ะ” พูดจบก็รวบช้อน ก่อนจะชูสมุดบัญชีที่พกติดกระเป๋าลงมาแล้วชิ่งโดยไม่รอฟังคำอนุญาตของรุ่นพี่

คงจะดีถ้าผมได้เห็นหน้าพี่หนาวอีกสักครั้งก่อนต้องกลับขึ้นไปทำงานตอนบ่าย
.
.
.
.
คงเพราะผมไม่ได้ถามรายละเอียดจากยีนส์ก่อน ผมเลยไม่ได้เจอพี่หนาวสมใจ แต่ใครเลยจะคิดว่าเมื่อเสร็จธุระเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ แล้ว ผมจะโชคดีได้พบเขาจนได้

ไม่น่าเชื่อว่า เพอร์เฟคชันนิสต์ที่ดูบ้างานแบบพี่หนาวจะมีอารมณ์เดินเตร่ดูของหลังกินข้าวเหมือนมนุษย์เงินเดือนทั่ว ๆ ไป แต่ที่น่าตกใจยิ่งไปกว่านั้นคือ พอเราสบตากัน เขาก็เดินลิ่ว ๆ มาหาผมทันที

ถึงจะฟิน แต่เอาเข้าจริงผมกลับไม่กล้าฟันธงว่าท่าน HR Director จะตั้งใจตรงเข้ามาทักทาย เพราะเราไม่ได้สนิทกัน กระนั้นใบหน้าหล่อเหลาที่ถูกซูมจนดูใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ทำให้ผมลนลานจนเผลอหลุดปาก “คุณก็มาแบงค์เหมือนกันเหรอครับ”

เวร ผมเพิ่งจะสำนึกได้เอาตอนนี้เองว่ากำลังยืนหราอยู่หน้าแบงค์

“เปล่า ผมแวะมาซื้อขนมให้ปลาวาฬน่ะ”

นั่นปะไร คำตอบของพี่หนาวทำให้ผมดูโง่ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติแบบที่ถ้าเฟมมันยืนอยู่ตรงนี้ มันจะต้องพูดว่า... แหม เขาคงจะไปออกกำลังกายหรอกมั้งอีทู มีสมองไว้กั้นหูใช่ไหมมึง

ผมตีหน้ามึนก่อนจะต่อบทสนทนา “ขนมอะไรเหรอครับ”

“ชีสทาร์ต”

“ที่นี่มีชีสทาร์ตขายด้วยเหรอครับ” รู้ทั้งรู้ว่าวีรกรรมความโง่ครั้งที่แล้วยังทันไม่จาง แต่พอลองนึกดูดี ๆ ผมก็ฉุกคิดได้ว่า นี่อาจจะเป็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิตที่ผมจะบังเอิญเจอพี่หนาวตามลำพัง ดังนั้นผมจึงไม่ควรปล่อยเขาหลุดมือไปง่าย ๆ

“อืม ร้านนี้อร่อย ขนมโปรดปลาวาฬเขาเลย” ผมสังเกตเห็นว่า เมื่อไรก็ตามที่เจ้าตัวพูดถึงลูกสาว ใบหน้าพี่หนาวมักจะมีรอยยิ้มอยู่เสมอ และทุกครั้งที่ยิ้ม เขาจะยิ่งดูหล่อขึ้นเสียจนผมอยากหยอดเหรียญต่อช่วงเวลาละมุนละไมของแกออกไปให้นานที่สุด

“แล้วร้านอยู่ตรงไหนเหรอครับ”

“คุณจะซื้อเหรอ”

“ครับ น้องผมชอบกิน” ไอ้สามมันกินไม่เลือก เพราะฉะนั้น ผมมั่นใจว่ามันจะต้องชอบกินชีสทาร์ตแน่ ๆ

“งั้นก็ไปพร้อมกันสิ”

“ครับ” ผมดึงหน้าตึงพลางกลั้นยิ้มจนปวดแก้มก่อนจะรีบสาวเท้าเดินตีคู่ไปพร้อม ๆ อีกฝ่าย แต่เนื่องจากที่ผ่านมา ผมไม่เคยเดินข้าง ๆ ท่าน HR Director แบบไม่เร่งรีบมาก่อน ผมจึงรู้สึกตื่นเต้นจนแทบระงับความคิดฟุ้งซ่านทั้งหลายเอาไว้ไม่อยู่

ยิ่งได้อยู่ใกล้ ๆ จนไหล่แทบจะชนกัน ผมก็ยิ่งตระหนักว่าพี่หนาวตัวสูงใหญ่กว่าผมพอสมควร ไม่อยากจะคิดเลยว่าตอนที่ถูกเขาย่ำยี หัวใจผมจะยังทำงานอยู่ไหม ยิ่งพอเขาเดินนำผมขึ้นบันไดเลื่อน ผมก็แทบละสายตาจากตูดปอด ๆ ตรงหน้าไปไม่ได้ พอมองนานเข้า ๆ ก็ชักอยากจะรู้ว่า กำลังวังชาของพี่หนาวจะดีสมไทป์ สูงชะลูด ตูดปอด ยอดขุนพล จริง ๆ หรือไม่

พี่หนาวจะรู้สึกอึดอัดกับความคิดเพ้อเจ้อของผมหรือเปล่าผมไม่รู้ แต่ตอนนี้ผมมีความสุขกับมโนภาพล้ำ ๆ ในหัวเสียจนต้องหมั่นยกมือขึ้นลูบจมูกบ่อย ๆ เผื่อว่าถ้าเลือดกำเดาไหล ผมจะได้ใช้นิ้วอุดทัน

“คุณสายตาสั้นเหรอ” ท่าน HR Director ยิ่งทำให้ผมมีความสุขไปกันใหญ่เมื่ออยู่ ๆ เขาก็หันกลับมามองหน้าผมอยู่นานสองนาน

“ครับ?” ผมเอียงคอมองเขาเพราะงงที่อยู่ ๆ พี่หนาวก็ชวนผมคุยด้วยเรื่อง... สายตา จะอยากรู้ไปทำไมวะ

“คุณใส่แว่น” เขาเอ่ยพลางจรดปลายนิ้วชี้บนดั้งจมูกตัวเองคล้ายกำลังบอกใบ้ถึงกรอบแว่นที่เกาะหน้าผมอยู่ “สายตาคุณสั้นเหรอ”

“จริง ๆ ก็ไม่สั้นเท่าไรครับ แต่ถ้าต้องจ้องคอมนาน ๆ ผมชอบใส่แว่นมากกว่า”

“แต่ผมเคยเห็นคุณไม่ใส่แว่นนะ”

ผมเขินจนต้องเม้มปากเมื่อรู้ว่าที่พี่หนาวถามเพราะเขาจดจำรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับตัวผมได้ “อ๋อ ปกติถ้าไม่ต้องทำงาน ผมมักจะใส่คอนแทคครับ”

“เมื่อวันเสาร์ที่คุณไม่ใส่แว่นมา แปลว่าคุณไม่ได้ทำงานงั้นสิ” คนพูดแย้งขึ้นทันทีก่อนจะอมยิ้มพลางส่งสายตาล้อเลียน

ผมโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน ปากก็โต้เร็วรัวเพราะกลัวอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดว่าผมอู้งาน “ถึงจะใส่คอนแทค แต่ผมก็ทำงานได้นะครับ”

พี่หนาวหัวเราะชอบใจราวกับว่าการได้แหย่ผมคือเรื่องสนุกอย่างนั้นแหละ “ครับ ๆ ผมเชื่อคุณ” พูดจบ เจ้าตัวก็เปิดประตูร้านขนมแล้วบุ้ยใบ้ให้ผมเดินเข้าร้านไปก่อน ส่วนผมที่เดิมตั้งใจว่าจะมาร้านขนมเพื่ออ้อยผู้ ไป ๆ มา ๆ ผมกลับโดนกลิ่นหอม ๆ ของชีสทาร์ตในตู้ชักชวนให้เปลี่ยนใจหันไปเลือกขนมอย่างเอาเป็นเอาตายเสียอย่างนั้น

หลังจากสูดดมกลิ่นนมเนยจนเมาได้ที่ ผมก็เริ่มรู้ซึ้งถึงเหตุที่ทำให้ปลาวาฬโปรดปรานทาร์ตร้านนี้เป็นพิเศษ เพราะกว่าที่ตัวผมจะตัดสินใจเลือกทาร์ตที่ต้องการได้ คนที่มาด้วยกันก็ตั้งท่าเตรียมพร้อมจ่ายตังค์เป็นที่เรียบร้อย

“ไม่ทราบมีบัตรสะสมแต้มหรือยังคะ”

“ไม่มีครับ”

จังหวะที่แคชเชียร์กำลังจะรับเงินในถาดไปนับ พนักงานอีกคนก็เดินเข้ามาดูรายการของพี่หนาวด้วยท่าทางสนอกสนใจ “ลูกค้าท่านนี้นี่เอง เมื่อวานพี่ลืมให้บัตรสะสมแต้มลูกค้าท่านนี้น่ะ” ไม่พูดเปล่า ทว่าพนักงานคนนี้กลับแทรกเข้าไปคิดเงินแทน ก่อนจะพยักเพยิดให้น้องแคชเชียร์มาตักขนมใส่กล่องให้ผมที่ยังคงแอบฟังบทสนทนาตรงหน้าเคาน์เตอร์จ่ายเงินอย่างจดจ่อ

หรือจะมีศัตรูหัวใจโผล่มาอีกคน?!... อย่าบอกนะว่าพนักงานคนนั้นจ้องจะอ้อยพี่หนาวอยู่เหมือนกัน

“นี่ค่ะ ต้องขอโทษเรื่องบัตรด้วยนะคะ”

“ไม่เป็นไรครับ”

“ซื้อครบสามสิบได้ตราประทับหนึ่งดวง บัตรนี้ใช้สะสมแต้มได้ตลอดนะคะ ไม่มีวันหมดอายุค่ะ วันนี้กับเมื่อวานได้แต้มรวมกันสี่ดวงนะคะ”

อ๋อ ที่แท้เมื่อวานพี่หนาวก็มาซื้อทาร์ตให้ปลาวาฬนี่เอง
แต่ลองว่าซื้อทาร์ตราคาร้อยกว่าบาทสองวันติด ผมก็คิดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากพี่หนาวเปย์ลูกสาวหนักมากจริง ๆ  

หลังจากเรื่องบัตรสะสมแต้มของพี่หนาวเรียบร้อย ก็ถึงตาผมใช้เงินฟาดหัวพนักงานแล้วแลกตัวทาร์ตสี่ชิ้นมาไว้ในครอบครอง จากนั้นผมกับท่าน HR Director ก็เดินขบวนออกจากร้านขนมมาพร้อม ๆ กัน

“เอ่อ กลับเลยไหมครับ” พี่หนาวพยักหน้าแล้วยิ้มรับ ไอ้ผมก็มัวแต่ดีใจที่ได้เห็นคนหล่อยิ้มใส่หน้าแบบจะ ๆ มือไม้เลยพานหมดเรี่ยวแรงจนทำบัตรสะสมแต้มของตัวเองหลุดมือแบบโง่ ๆ แต่อีกฝ่ายกลับไม่ถือสา หนำซ้ำยังก้มลงเก็บให้ด้วยท่าทางราวกับสุภาพบุรุษ

“ขอบคุณครับ” มองบัตรสะสมแต้มในมือแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า แม้ลุงไซด์ไลน์จะตามใจลูกมาก แต่ถ้าผมเป็นปลาวาฬ ผมก็คงเป็นปลื้มที่ได้เป็นลูกสาวของพี่หนาว เด็กอะไรโชคดีชะมัดที่มีพ่อทั้งหล่อ ทั้งเท่ ทั้ง“ใจดีสุด ๆ ”

“หืม?”

“ไม่มีอะไรครับ อย่าสนใจเลย” ผมตีหน้านิ่งพลางส่ายหัวใส่พี่หนาวที่เลิกคิ้วมองหน้าผมอย่างงง ๆ ... บุญเท่าไรแล้วที่เมื่อกี้ไม่ได้เผลอพูดไอ้ที่คิดออกมาทั้งหมด ไม่งั้นผมคงต้องมุดดินหนีอาย

“พักนี้คุณได้ยินข่าวลือแปลก ๆ บ้างหรือเปล่า” ผมแอบดีใจที่คนเดินข้าง ๆ เปลี่ยนหัวข้อสนทนา แต่อดรู้สึกตงิด ๆ ไม่ได้ที่อยู่ ๆ พี่หนาวเลือกเรื่องดังกล่าวมาคุยกับผม

“ข่าวลืออะไรเหรอครับ” เพื่อความปลอดภัย ผมแกล้งมึนใส่ไปก่อนแล้วกัน

“ข่าวลือเรื่องคุณกับผมน่ะ”

เฮ่ย! หรือจะเป็นเรื่องนั้น?!... ไม่ใช่มั้ง

“เอ่อ... ก็ไม่นะครับ” ผมพยายามเก๊กนิ่งทั้งที่ใจจริงหลุกหลิกมาก ยิ่งนึกถึงข่าวลือที่ยีนส์เพิ่งเล่าให้ฟังเมื่อไม่กี่วันก่อนผมก็ยิ่งรู้สึกกระดากจนไม่กล้าเล่าให้เพื่อนร่วมชะตากรรมฟังขึ้นมาเสียเฉย ๆ อีกอย่าง หากข่าวลือที่ผมได้ยินมาเป็นคนละเรื่อง กัน ผมคงเข้าหน้าพี่หนาวไม่ติดอีกเลย ที่สำคัญ ท่าน HR Director คงดีใจอยู่หรอกหากรู้ว่าตัวเองถูกพวกลูกน้องเม้าท์แรงลับหลัง

“เหรอ”

“ครับ” ถึงจะไม่อยากเล่า แต่ผมก็อดสงสัยไม่ได้ “มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ไม่มีอะไรหรอก” สีหน้าหนักใจของคู่สนทนาทำผมลังเลใจ... เอ หรือผมควรบอกพี่หนาวไปตรง ๆ ดีวะ แต่ถ้าผมยอมบอก เขาจะเชื่อผมเหรอกกผผมผมผมผมผมz,z,ปทผมผมผ

หลังจากปล่อยให้ผมได้เดินคิดฟุ้งซ่านอยู่คนเดียวสักพัก พี่หนาวก็ถามขึ้นอีกครั้ง “แฟนเก่าคุณยังวุ่นวายกับคุณอยู่ไหม”

“เดี๋ยวนี้เขาไม่ค่อยมายุ่งกับผมแล้วครับ” ถึงจะไม่รู้เหตุผลว่าทำไมอยู่ ๆ แฟนเก่าผมจึงกลายเป็นหัวข้อสนทนาไปได้ แต่ใจนึงผมกลับสังหรณ์ว่า พี่บูมน่าจะเกี่ยวข้องกับข่าวลือที่พี่หนาวพูดถึงเมื่อครู่... ถือว่าผมตัดสินใจถูกมากที่ไม่เล่าเรื่องฉาวของผมกับเขาออกไป

“เขาหายไปเลยเหรอ”

“ครับ” ผมตอบตามจริง เพราะเมื่อทีมผมโดนพรีเซนต์เดโมฯ รอบสอง คอนซัลท์ระบบงานอื่น ๆ ก็พลอยตื่นตัวและตั้งใจทำเดโมฯ ของตัวเองกันอย่างขมักเขม้น ผมจึงได้อานิสงส์เป็นการไม่ต้องทนเสียอารมณ์กับคอนซัลท์ FI เหมือนกับช่วงอาทิตย์แรก ๆ ของโปรเจค

“อืม” พี่หนาวรับคำสั้น ๆ แต่ก็ไม่พูดอะไรต่อ พอมีเขาเดินข้าง ๆ ผมก็เริ่มรู้สึกว่าทางเดินกลับไปยังออฟฟิศนั้นสั้นเกินไป แต่ก่อนที่ผมจะรั่วแล้วหลุดปากตัดพ้อระยะทางแบบเพ้อ ๆ ออกไปอีกหน พี่หนาวก็ทำลายความเงียบระหว่างเราด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถ้าแฟนเก่ายังมายุ่งกับคุณ หรือถ้าคุณได้ยินคนอื่นพูดถึงคุณไม่ดี คุณมาบอกผมได้นะ”

“ครับ ขอบคุณครับ” ทันทีที่ได้ฟังถ้อยคำพร้อม ๆ กับรับรู้ถึงความห่วงใยในสายตาคู่นั้น ผมก็รู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งหน้าจนต้องรีบก้มหน้าหลบพลางจ้ำหนี จวบจนเมื่อเห็นขั้นบันไดหน้าตึกอยู่ห่างออกไปไม่ไกล ประโยคของพี่ฟี่กับสายตาสอดแนมของคนแปลกหน้าที่ลอบมองเราสองคนเป็นระยะ ๆ ก็เร่งผมให้ฝืนทำบางสิ่งที่ตรงข้ามกับใจ “เราแยกกันตรงนี้เถอะครับ”

“ทำไมล่ะ” ฟังแล้วเขาก็ทำหน้าสงสัย ผมเลยอธิบายต่อ

“มันคงไม่ดี ถ้าคนอื่นเห็นเราอยู่ด้วยกันน่ะครับ”

“งั้นคุณขึ้นไปก่อนเถอะ เดี๋ยวผมจะรอสักพัก”  พี่หนาวพยักหน้ารับคำโดยไม่ถามซอกแซก เท่านั้นก็ถือเป็นการตัดจบช่วงพักกลางวันแสนสุขสันต์ลงอย่างเหมาะสมก่อนที่ผมจะชิงระเบิดตัวเองเพราะเขินความเอื้ออาทรของลุงไซด์ไลน์จนทนไม่ไหว

••••••
               
“เข้ามาเล่นข้างในไหมครับ จะได้ไม่ร้อน” ช่วงเย็นวันนี้แสงแดดไม่ปรานีสิ่งมีชีวิตใด ๆ คเชนทร์จึงเชื้อเชิญแฟนคลับแมวหน้ากากทั้งสองให้เข้ามาเปลี่ยนบรรยากาศ

ฝ่ายเด็ก ๆ แม้จะไม่ตอบคำแต่กลับตอบรับข้อเสนอของเจ้าของร้านดอกไม้ด้วยการเกี่ยวก้อยกันเดินไปนั่งลงตรงพื้นข้าง ๆ อดีตลังใส่ของใบย่อมซึ่งมีก้อนขนสีดำบรรจุอยู่ภายใน

“หิวกันไหมครับ” คำถามดังกล่าวไม่ต้องการคำตอบ เพราะคเชนทร์ถือผลไม้จานใหญ่มาวางลงบนโต๊ะใกล้ ๆ กับจุดที่เด็ก ๆ นั่งอยู่ “ปลาวาฬกับเวลาช่วยกินชมพู่เป็นเพื่อนลุงหน่อยได้ไหมครับ ถ้าต้องกินคนเดียว ลุงคงกินไม่หมดแน่ ๆ เลย” ว่าแล้วชายหนุ่มก็หยิบชมพู่ชิ้นหนึ่งขึ้นกัดก่อนจะแสร้งทำเมินแล้วลอบอมยิ้มเมื่อเห็นปลาวาฬจู่โจมจานผลไม้ก่อนใครเพื่อน

“อร่อยไหมครับ”

“อร่อยค่ะ” เด็กหญิงยิ้มหวานพลางพยักหน้ารับรองแข็งขัน ในขณะที่เพื่อนสนิทยังคงไม่พูดอะไร หากแต่เคี้ยวชมพู่ไม่หยุดปาก

“ถ้าอร่อยก็กินเยอะ ๆ นะครับ” ภาพของเด็ก ๆ ที่นั่งกินนั่งเล่นอย่างผ่อนคลายทำให้เจ้าของร้านดอกไม้อารมณ์ดีจนนึกครึ้มใจกล้าตั้งคำถามสัมภาษณ์อาคันตุกะทั้งสองผิดจากทุกวัน “เวลากับปลาวาฬเป็นเพื่อนสนิทกันมานานหรือยังครับ”

“ปลาวาฬรู้จักเวลาตอนเรียนอนุบาลค่ะ” เด็กหญิงตั้งท่าจะกัดชมพู่ แต่กลับเปลี่ยนใจกลางคันเพราะอยากจะเล่าเรื่องเพื่อนสนิทมากกว่า “คุณครูฝากให้ปลาวาฬคอยดูแลเวลา เพราะเวลาเข้ามาเรียนทีหลังค่ะ”

“อย่างนี้นี่เอง” คเชนทร์ได้ฟังแล้วก็อมยิ้มชอบใจแต่ก็ไม่วายสงสัยในความสัมพันธ์อันเหนียวแน่นจนน่าอิจฉาของเด็กทั้งสอง “แล้วนอกจากเวลาแล้ว ปลาวาฬสนิทกับเพื่อนคนไหนอีกไหมครับ”

“จริง ๆ ปลาวาฬชอบเล่นกับปุนนี่ แก้มดาว เฌอแตมแล้วก็เจี๋ยนะคะ แต่ปลาวาฬสนิทกับเวลาที่สุด เลยชอบอยู่กับเวลามากกว่าเพื่อนคนอื่นค่ะ”

“ลุงก็ว่าอย่างนั้นแหละเนอะ” การที่เด็กหญิงช่างพูดช่างจาทำให้เจ้าของร้านดอกไม้ยิ่งรู้สึกเพลิดเพลินกับการสนทนาไปกันใหญ่ “เวลาอยู่ด้วยกันสองคน ปลาวาฬชวนเวลาเล่นอะไรบ้างครับ”

“ปลาวาฬกับเวลาชอบเล่นโหนบาร์ เล่นเขียนมือ เล่นวาดรูป เล่นเป่ายิ้งฉุบ เล่น charades แล้วก็เล่นอีกเยอะแยะไปหมดเลยค่ะ” ระหว่างที่เล่าเรื่อง เด็กหญิงมักจะทำมือทำไม้ออกท่าทางประกอบเสียใหญ่โตจนคเชนทร์คลี่ยิ้มตามด้วยความเอ็นดู

“หืม charades นี่เล่นยังไงเหรอครับ”

charades ก็ใบ้คำไงคะ ลุงเชนไม่เคยเล่นเหรอคะ”

“ไม่เคยครับ” เจ้าของร้านดอกไม้ส่ายหน้าอย่างจำนนหากแต่ไม่ละความพยายามที่จะเรียนรู้การละเล่นของพวกเด็ก ๆ ให้จงได้ “ไหน มันเล่นยังไงเหรอครับ ปลาวาฬสอนลุงเชนเล่นหน่อยได้หรือเปล่า”

“ได้ค่ะ” เด็กหญิงพยักหน้ารับอย่างแข็งขันจนหัวสั่นหัวคลอน “เดี๋ยวปลาวาฬกับเวลาจะเล่นให้ลุงเชนดูนะคะ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ชะโงกหน้าเข้าไปกระซิบกระซาบนัดแนะข้างหูเพื่อนรัก ไม่กี่อึดใจให้หลัง เวลาก็เปลี่ยนมานั่งหลังตรงก่อนจะชูสองนิ้วตั้งท่าใบ้คำโดยมีปลาวาฬรับหน้าที่โฆษกส่วนตัว “อันนี้มีสองคำค่ะ”

“ครับ” ท่าทางของเด็กชายทำให้คเชนทร์หวนนึกถึงเกมใบ้คำที่ตนเคยลองเล่นสมัยยังทำอาชีพนางโชว์เมื่อครั้งที่โจโจ้ปิดร้านเพื่อรับรองแขกพิเศษเป็นการณ์เฉพาะ

“คำแรก” สิ้นเสียงของปลาวาฬ เวลาที่ชูนิ้วชี้ค้างกลางอากาศก็เปลี่ยนมายู่หน้าทำปากจู๋เพื่อเริ่มใบ้คำ

“หมู”

คำตอบของชายหนุ่มทำให้เด็กหญิงยิ้มกว้างพลางตบมือด้วยรู้สึกถูกใจ “อีกคำค่ะลุงเชน”

สิ้นเสียงเพื่อนสนิท เด็กชายก็เริ่มใบ้คำที่สองด้วยการผินหน้ามองไปทางซ้ายและขวาอย่างช้า ๆ จนเจ้าของร้านดอกไม้ทายคำปริศนาถูกในที่สุด “หมูหัน!

“ถูกต้องค่ะ ลุงเชนได้หนึ่งคะแนน” เจ้าของน้ำเสียงร่าเริงปรบมือรัว ๆ ก่อนจะเอ่ยชมเจ้าของร้านดอกไม้เป็นกรณีพิเศษ “ลุงเชน Well done!

“ขอบคุณครับ” อยู่ ๆ คเชนทร์ก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ “ใครสอนปลาวาฬกับเวลาเล่น charades เหรอครับ... เพื่อน ๆ ที่โรงเรียน?”

“เปล่าค่ะ แด๊ดดี้สอนปลาวาฬกับดี ปลาวาฬเลยเอามาสอนเวลาเล่นด้วย”

“แด๊ดดี้?”

“คุณแม่เลิกกับคุณพ่อแล้วก็แต่งงานกับแด๊ดดี้ค่ะ”

“คุณแม่ กับคุณพ่อ...” ชายหนุ่มรู้สึกตกใจกับความใสซื่อบริสุทธิ์ของเด็กหญิงที่ช่างขัดแย้งกับใจความของประโยคเรียบง่ายเมื่อสักครู่

“ค่ะ คุณแม่บอกว่า คุณแม่กับคุณพ่อเหมาะจะเป็นเพื่อนกันมากกว่าเป็นแฟน เพราะถ้าคุณแม่กับคุณพ่อเป็นแฟนกัน คุณแม่กับคุณพ่อจะทะเลาะกันทุกวัน แล้วพวกเราทุกคนก็จะไม่มีความสุขค่ะ” แม้จะเป็นเรื่องน่าเศร้า แต่น่าแปลกที่รอยยิ้มบนใบหน้าเด็กหญิงกลับดูเจิดจ้า อีกทั้งแววตายังทอประกายสุกใสสะท้อนความสุขใจออกมาอย่างเต็มเปี่ยม “ถึงคุณแม่กับคุณพ่อจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่คุณพ่อกับคุณแม่ก็ยังรักปลาวาฬมาก ๆๆๆ เหมือนเดิมนะคะ แถมตอนนี้ครอบครัวปลาวาฬก็มีแด๊ดดี้ ดี แล้วก็ปลาทูเพิ่มมาด้วย”

“เหรอครับ” แม้ที่ผ่านมาคเชนทร์จะเคยพบปะผู้คนมากหน้า อีกทั้งยังเคยผ่านประสบการณ์ทั้งดีร้ายมานักต่อนัก แต่อดีตนางโชว์กลับไม่สันทัดเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัวสักเท่าไร ชายหนุ่มจึงเพียงเปิดใจและรับฟังอย่างไม่มีอคติ

“ค่ะ เมื่อวันเสาร์ ปลาวาฬก็เพิ่งไปเที่ยวกับคุณพ่อ คุณแม่ แด๊ดดี้ ดี แล้วก็ปลาทูค่ะ”

“ถึงว่าสิ เมื่อวันเสาร์ลุงยังถามเวลาอยู่เลยว่าปลาวาฬหายไปไหน ทำไมไม่มาเล่นกับลูกพี่ด้วยกัน” ชายหนุ่มหลิ่วตาให้เด็กชายที่ตอนนี้อุ้มลูกพี่ขึ้นมานอนบนตักตน

“ปลาวาฬไปอควาเรียมมาค่ะ” เด็กหญิงละมือจากชมพู่แล้วหันไปช่วยเวลาลูบหลังแมวหน้ากากอย่างขยันขันแข็ง

“ว่าแต่ ดีกับปลาทูนี่ใครเหรอครับ” ทั้งที่ตั้งใจฟังเด็กหญิงเล่าเรื่องมาพักใหญ่ ๆ แต่จนแล้วจนรอด คเชนทร์ก็ยังตามปลาวาฬไม่ทัน โดยเฉพาะชื่อ ปลาทู ที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันแน่

“ดีเป็นน้องของปลาวาฬค่ะ ส่วนปลาทูก็เป็นปลาทูค่ะ”

“หืม? ปลาทูคือปลาทูที่กินกับน้ำพริกน่ะเหรอครับ” เจ้าของร้านดอกไม้เลิกคิ้วมองเด็กหญิงอย่างไม่เข้าใจ

ปลาวาฬหัวเราะเอิ๊กอ๊ากกับท่าทีน่าขันของชายหนุ่ม “ไม่ใช่ค่ะลุงเชน ไม่ใช่เลยซักกะติ๊ด คุณแม่บอกว่าปลาทูสนิทกับคุณพ่อมากที่สุด คุณแม่ยังบอกอีกว่าต่อไปปลาวาฬจะต้องเจอปลาทูบ่อย ๆ คุณแม่เลยอยากให้ปลาวาฬรู้จักกับปลาทูเร็ว ๆ น่ะค่ะ”

“ปลาทูสนิทกับคุณพ่อเหรอครับ”

คเชนทร์ยังทันไม่ได้ฟังคำตอบเพราะอยู่ ๆ ก็มีเสียงร้องเรียกชื่อของเด็ก ๆ ดังมาจากด้านนอก “เวลา ปลาวาฬ กลับไปกินข้าวเย็นเร็ว” สิ้นเสียง หญิงชราก็มาหยุดยืนอยู่ตรงกรอบประตูหน้าร้านดอกไม้ สีหน้าของอาม่าดูโล่งใจเมื่อเห็นว่าเด็ก ๆ อยู่กันอย่างพร้อมหน้า “วันนี้ย้ายเข้ามานั่งในร้านแล้วเหรอ... ถึงว่าสิ เมื่อกี้เดินมาไม่เห็น”

“สวัสดีครับ” คเชนทร์ทักทายพลางผายมือเชื้อเชิญผู้อาวุโสเข้าด้านในร้าน

หญิงชรารับไหว้แล้วกวาดตามองเวลากับปลาวาฬด้วยรอยยิ้ม “เด็ก ๆ ไม่ได้รบกวนใช่ไหม?”

“ไม่เลยครับ” ชายหนุ่มอมยิ้ม “ผมเห็นว่าแดดข้างนอกร้อนเลยชวนเด็ก ๆ เข้ามานั่งข้างในน่ะครับ”

คนฟังพยักหน้ารับรู้ก่อนจะขมวดคิ้วมองเด็กทั้งสองด้วยสีหน้าลำบากใจ “กินชมพู่พี่เขาแล้วจะกินข้าวอาม่าไหวไหม”

“ไหวค่า”

“ถ้างั้นก็กลับไปกินข้าวกับม่านะ”

“ค่า”

“ขอบใจนะหนู” ลำพังแค่เจ้าของร้านดอกไม้ยอมให้หลานชายหล่อนเล่นกับแมวได้ตามใจ หญิงชราก็รู้สึกเกรงใจมากพอดู แต่นี่อีกฝ่ายยังมีน้ำใจจัดเตรียมของกินรองท้องให้พวกเด็ก ๆ หล่อนก็ยิ่งรู้สึกติดค้างคเชนทร์ไปกันใหญ่

คเชนทร์รับรู้ได้ถึงความรู้สึกของหญิงชรา ชายหนุ่มจึงยืนยันความตั้งใจจริงอันบริสุทธิ์ของตัวเองกับอาม่าด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ไม่ต้องขอบคุณผมหรอกครับเพราะผมก็มีความสุขที่ได้อยู่กับพวกเด็ก ๆ ”

••• TBC ••


ไม่ต้องขยี้ตาไปค่ะที่เห็นเราลงตอนล่าสุดวันนี้
พอดีเราเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าอาทิตย์หน้าเราจะต้องเดินทาง
เราเลยรีบพาพี่หนาวกับน้องทูมาฝากฝังให้ทุกคนดูแลก่อนเวลานัดตามปกติค่ะ
ถ้ายังไงอ่านแล้วมาเม้าท์บอกกันนะคะว่าชอบไหม
ส่วนตอนถัดไป เราจะกลับมาเจอกันวันจันทร์เช่นเคยค่ะ (21/05/18)



No comments:

Post a Comment