Monday, June 4, 2018

• รักหลอก ๆ ต้องบอกลุง •||#12|| 04.06.2018


#12

เจ้า... ยักคิ้วให้พี่ เจ้ายิ้มในทีเหมือนเจ้าจะมีรักอารมณ์
ยั่วเรียมให้เหงามิใช่เจ้าชื่นชม อกเรียมก็ตรม ตรมเพราะคมตาเจ้า
เรียมพะวักพะวง เรียมคิดทะนง แล้วเรียมก็คงหลงตายเปล่า
ดังพรานล่อเนื้อเงื้อแล้วเล็งเพ่งเอา ยั่วใจให้เมา เมาแล้วยิงนั่นแล
พรานล่อเนื้อ - สุนทราภรณ์

…………………………………………………………………………………………………………


“ฮัลโหล” แม้จะไม่ได้โทรศัพท์คุยกันบ่อยครั้ง แต่ทุกทีที่เสียงของพี่หนาวดังขึ้นข้าง ๆ หู ผมมักจะหลุดยิ้มโดยไม่รู้ตัว ยิ่งเมื่อครู่ที่หางเสียงของเขาลากยาวกว่าปกติ หัวใจผมก็เต้นตูมตามเหมือนเพิ่งแข่งวิ่งร้อยเมตรเสร็จใหม่ ๆ

“ฮัลโหล ผมอยู่ตรงล็อบบี้ข้างล่างครับ”

“เดี๋ยวผมลงไปรับ... อย่าวิ่งครับลูก!” ผมกลั้นหัวเราะเมื่อได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าวของปลาวาฬดังแว่วเข้าหูก่อนจะเงียบหายไปหลังโดนคุณพ่อปรามเสียงขรม “ผมวางก่อนนะ ตอนลงลิฟท์มันไม่มีสัญญาณ”

“ครับ” ผมรีบสำรวจสภาพของตัวเองอีกครั้งทันทีที่วางสาย ภาพขอบตาดำปี๋กับดวงตาหลังกรอบแว่นดูอ่อนล้าที่กล้องหน้ามือถือจับได้ทำให้ผมลอบถอนหายใจอย่างหนักอก

เฮ่อ แทนที่จะตื่นเต้นจนนอนไม่หลับเพราะจะได้ขึ้นคอนโดผู้ชายเป็นครั้งที่สอง ตีสามเมื่อคืนผมยังยืนขัดหม้อเช็ดครัวให้แม่อยู่เลย หวังว่าการที่ผมซุ่มฝึกซ้อมทดลองทำสปาเก็ตตี้จนดึกดื่นมาสองวันติดจะช่วยจุดประกายพรสวรรค์ด้านงานครัว (ที่ซุกซ่อนอยู่ลึกจนเกินไป) ให้โดดเด่นล้ำหน้าจนพี่หนาวกับปลาวาฬประทับใจทีเถอะ

“ปลาทู!” สิ้นเสียงเรียก ผมก็โดนเด็กหญิงตัวกระเปี๊ยกกระโดดเกาะต้นขาเหมือนลูกลิงโหนกิ่งไม้จนคนเป็นพ่อที่เดินตามหลังมาขมวดคิ้วเขม้นมอง ผมเลยยิ้มพลางส่ายหัวเพื่อบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าผมโอเคกับการทักทายของแฟนคลับรุ่นจิ๋วในทุกท่วงท่า

“สวัสดีครับ เพิ่งตื่นเหรอครับเอลซ่า”

ปลาวาฬพยักหน้าพลางยิ้มเขิน ๆ คล้าย ๆ คนทำผิดกำลังสารภาพบาป “ปลาวาฬตื่นก่อนปลาทูมาแป๊บนึงค่ะ”

“สวัสดีครับ” สองมือผมยังติดพันกับเจ้าตัวเล็ก ผมจึงค้อมหัวพลางยิ้มยิงฟันทักทายท่าน HR Director ที่วันนี้ดูแปลกตาเป็นพิเศษ

จะหาว่าผมลำเอียงก็ได้ แต่เช้านี้พี่หนาวหล่อมากแถมยังดูเด็กกว่าทุกวัน ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะลุงแกปล่อยผมเผ้าให้ปรกหน้าตามธรรมชาติแถมยังใส่แว่นสายตาจนดูเปลี่ยนเป็นคนละคน อีกส่วนคงต้องยกความดีให้เสื้อยืดกางเกงขาสามส่วนเนื้อกึ่งพลิ้วกึ่งย้วยดูลุกนั่งสบายแบบที่แม้จะดูลำลองแต่กลับมีสไตล์ ที่สำคัญคือมันช่วยเน้นกล้ามอกให้ยิ่งชัดเจนจนผมต้องแอบกลืนน้ำลายเป็นพัก ๆ

“ขึ้นข้างบนกันเถอะ” เจ้าบ้านรวบถุงที่ผมวางไว้บนโต๊ะรับแขกไปถือไว้ทั้งหมดก่อนจะจูงมือลูกสาวตั้งท่าพร้อมออกเดิน แต่เด็กหญิงกลับขืนตัวรั้งไว้ก่อนจะเอื้อมมือมาฉุดแขนผมให้ลากเท้าตามกันเป็นแผงปลาไปจนถึงห้อง

แรกที่รู้ว่าปลาวาฬทำอะไร ผมถึงกับเหวอจนพูดไม่ออก แต่พอหันไปเห็นลุงไซด์ไลน์ทำหน้านิ่ง ๆ เหมือนไม่ติดใจ ผมก็ดันรู้สึกเขินขึ้นมาเสียอย่างนั้น...

ก็โมเมนท์นี้มันโมเมนท์ครอบครัว พ่อแม่ลูกจูงมือกันเดินชัด ๆ เลยนี่นา
งือ ใจผมป่นไปหมดแล้วเนี่ย

“คุณใช้ทุกอย่างในครัวได้เลยนะ” ผมมองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินนำหน้าผมกับปลาวาฬเข้าด้านในห้องอย่างไม่ละสายตา เจ้าถิ่นวางของที่ช่วยผมถือลงบนเคาน์เตอร์ครัวก่อนจะหันมายืนกอดอกมองปลาวาฬที่เกาะแขนผมเป็นลูกโคอาล่าด้วยสีหน้าจริงจัง

“เมื่อกี้ก่อนลงไปรับอาทู ลูกบอกคุณพ่อว่ายังไงครับ”

เด็กหญิงไม่ตอบคำถามพ่อหากแต่เบือนหน้ามองผมพลางอมยิ้มเหนียม ๆ ก่อนจะเขย่งเท้าโถมตัวเข้าใส่ ผมยอบตัวลงเมื่อเห็นปลาวาฬพยายามโน้มคอผมเข้าใกล้ ทันทีที่ระดับสายตาของเราเท่ากัน เจ้าตัวเล็กก็ป้องปากกระซิบข้างหูผมอย่างตั้งอกตั้งใจ

“ปลาวาฬไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนนะคะ เดี๋ยวปลาวาฬจะออกมาช่วยค่ะ” พูดจบ เจ้าตัวเล็กก็วิ่งตื๋อหายลับไปในห้อง ๆ เดียวกันกับเมื่อวันก่อน ผมหลุดขำเพราะลูกเล่นของปลาวาฬอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะรีบหุบยิ้มเมื่อรู้สึกตัวว่าพ่อเด็กจ้องผมไม่วางตา

“ให้ผมเอาของสดออกมาเลยไหม”

“ก็ได้ครับ” ผมถูมือพลางอย่างประหม่า อา มาสเตอร์เชฟของจริงกำลังจะเริ่มแล้วสินะ

“เอ... หม้อกับกระทะอยู่ตรงไหนเหรอครับ” ผมเปรยขึ้นเบา ๆ ขณะกวาดตามองไปรอบ ๆ ห้องครัวโมเดิร์นขนาดกลางที่ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยและมิดชิดกว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของแม่ผมเป็นไหน ๆ

“เครื่องครัวอยู่ตู้นี้” เส้นขนตามตัวผมลุกเกรียวเมื่อรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของพี่หนาวใกล้ ๆ แผ่นหลัง ยิ่งจังหวะที่เจ้าตัวหิ้วถุงผักไปวางรวมไว้บนโต๊ะแล้วต้นแขนเบี่ยงมาสะกิดสีข้างกันเบา ๆ ผมถึงกับสะดุ้งจนเกือบลืมหายใจ “คุณต้องใช้หม้อต้มเส้นสปาเก็ตตี้ด้วยใช่ไหม...อืม อันนี้ก็น่าจะต้องใช้”

ผมยืนตาลอยเหม่อมองพี่หนาวหมุนตัวหยิบนั่นโน่นนี่จากมุมต่าง ๆ ของครัวอย่างคล่องแคล่ว ครัวเก๋ ๆ ที่เห็นได้บ่อย ๆ ในนิตยสารแต่งบ้านกับท่าน HR Director ในลุคสบาย ๆ คือ การฟื้นฟูร่างที่แหลกสลายหลังโหมทำครัวจนแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอนที่แท้ทรู

“อยากได้อะไรเพิ่มอีกไหม”

“เอ่อ” ผมกัดริมฝีปากล่างพลางกวาดตามองกองเครื่องครัวตรงหน้าอย่างไม่แน่ใจ ทำไมหน้าตากระทะ ตะหลิวและสารพัดเครื่องมือที่อีกฝ่ายเตรียมไว้ให้ถึงดูไฮโซผิดกับของที่ผมใช้จังวะ แล้วอันไหนมันใช้ทำอะไรบ้างล่ะเนี่ย

“คุณต้องใช้ที่ขูดชีสหรือเปล่า ผมมีแต่อันเล็กนะ คุณโอเคไหม” เจ้าของบ้านถามพลางคุ้ยหาอะไรบางอย่างในลิ้นชัก... สงสัยคงกำลังหาที่ขูดชีส

ว่าแต่ ไอ้ที่ขูดชีสนี่มันหน้าตาเป็นยังไงวะ นี่มนุษย์โลกบริโภคชีสเยอะเสียจนต้องเดือนร้อนทำที่ขูดออกมาขายหลาย ๆ ไซส์เลยเหรอ “มันมีอันใหญ่ด้วยเหรอครับ”

สิ้นเสียงผม พี่หนาวก็ชูวัตถุมีด้ามสีเงินที่ดูเผิน ๆ คล้ายกับแปรงหวีผมไร้ขนให้ดูก่อนจะชะงักแล้วมองหน้าผมเหมือนนึกอะไรได้ “ปกติคุณไม่ค่อยเข้าครัวใช่ไหม”

“...อ่า...” ผมมองหน้าลุงแกอย่างจนปัญญาก่อนจะสำเหนียกได้ว่า สิ่งที่คูลน้อยกว่าการยอมรับตรง ๆ ว่าทำกับข้าวไม่เป็น คือ การดื้อดึงทำสปาเก็ตตี้จนเสร็จแต่หาความอร่อยไม่เจอ “ครับ ขอโทษนะครับ”

แทนที่จะดุ พี่หนาวกลับหัวเราะร่วนอย่างชอบอกชอบใจ “ไม่เป็นไร ช่วย ๆ กันเดี๋ยวก็ทำได้”

“ปลาทู ปลาวาฬมาช่วยแล้วค่า!” ระหว่างที่กำลังรู้สึกแย่กับตัวเองอยู่นั้น เสียงสวรรค์ของนางฟ้าตัวน้อยก็ดังแทรกขึ้นพร้อม ๆ กับเสียงซอยเท้าวิ่งตึงตังที่ดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ประสาขาประจำผู้โดนปลาวาฬโถมตัวเข้าใส่อยู่หลายครั้ง ผมจึงเผลอตั้งท่ารอรับยัยหนูไว้ล่วงหน้า แต่ก่อนที่ผมจะโดนเจ้าวาฬน้อยจู่โจม คนเป็นพ่อก็เหยียบเบรคสั่งห้ามลูกสาวเสียเต็มข้อ

“เดี๋ยวก่อนครับลูก”

“ขา” เด็กหญิงที่เพิ่งเลี้ยวผ่านเคาน์เตอร์ในครัวมาแบบหมาด ๆ หยุดนิ่งอยู่กับที่ทันทีที่พี่หนาวปรี่เข้าไปหา

“มานี่ก่อนครับลูก” ปลาวาฬเดินโผเผเข้าไปยืนพิงต้นขาพี่หนาว ระหว่างรอคุณพ่อล้วงบางอย่างออกจากกระเป๋ากางเกง ก่อนเจ้าตัวจะลดตัวลงนั่งยอง ๆ แล้วโอบร่างเล็ก ๆ ของเด็กหญิงเอาไว้

ภาพลุงไซด์ไลน์ขณะค่อย ๆ รวบผมยาวสยายเต็มแผ่นหลังของลูกสาวแล้วเกล้าเป็นก้อนกลม ๆ อย่างทะนุถนอมทำให้ผมรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอยากได้อีกฝ่ายมาเป็นพ่อคุณทูนหัวแล้วสร้างครอบครัวร่วมกันเสียให้รู้แล้วรู้รอด... ผู้ชายแมน ๆ แต่กลับพกยางรัดผมรูปตุ๊กตาติดตัวนี่ดาเมจรุนแรงเกินต้านทานจริง ๆ

“เมื่อกี้ล้างมือล้างหน้าดีแล้วหรือยังครับ”

ปลาวาฬขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด “ล้างแล้วค่ะ”

“เดี๋ยวผูกผมเสร็จลูกไปล้างมือพร้อมพ่ออีกรอบนะครับ” เมื่อกี้พี่หนาวคงจะเห็นสีหน้าไม่แน่ใจของลูกสาวเข้าล่ะมั้งแกถึงได้ตะล่อมซ้ำอีกรอบอย่างนุ่มนวลจนปลาวาฬพยักหน้าหงึกหงัก

จากที่เคยเข้าใจว่ารสนิยมของตัวผม คือ ผู้ชายอายุมากกว่า แต่พอได้มาเห็นท่าน HR Director หลอกล่อเจ้าตัวเล็กด้วยลีลาอันเหนือชั้น ผมก็พลันตาสว่าง... ที่แท้ผมก็แพ้ Sugar Daddy แบบที่มีความเป็นพ่อท่วมท้นเหมือนพี่หนาวนี่เอง

เฟม... ที่เพื่อนเคยบอกว่าชอบคนแก่กว่าน่ะไม่ใช่แล้วนะ
จริง ๆ เนื้อคู่เพื่อนน่าจะต้องเป็นรุ่นใหญ่ที่มีความเป็นพ่อสูงแบบคนแถวนี้มากกว่า

ผมเหม่อมองสองพ่อลูกล้างมือหนุงหนิงกันจนเพลิน มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงพี่หนาวดังใกล้ ๆ หู “ทู”

“ครับ?” ผมลืมตัวยกมือขึ้นกดตรงหน้าอกเพราะไม่อยากให้ใครได้ยินเสียงหัวใจตัวเอง โดยเฉพาะเจ้าของบ้านที่เพิ่งผละจากไปทั้ง ๆ ที่กลิ่นน้ำหอมที่อีกฝ่ายชอบใช้ยังลอยวนเวียนอยู่รอบ ๆ ตัวผมนี่เอง

“พร้อมนะคุณ”

“ครับ พร้อมครับ”

“ลูกครับ อาทูยังไม่รู้จักครัวบ้านเราดีเท่าไร เพราะฉะนั้นลูกต้องคอยช่วยอาทูหยิบของด้วยนะครับ แต่ถ้าอันไหนหยิบไม่ถึงลูกบอกพ่อนะครับ”

“ค่า”

เจ้าของบ้านคลี่ยิ้มหวานพลางลูบผมลูกสาวก่อนจะหันไปหยิบหม้อก้นลึกแบบที่น่าจะต้มเส้นสปาเก็ตตี้ได้ง่ายกว่าหม้อแกงทรงกะละมังตื้น ๆ ที่แม่ผมชอบใช้ที่บ้าน “เดี๋ยวคุณกับปลาวาฬช่วยกันล้างผักนะ ผมจะต้มเส้นให้”

“อ่า... เอ่อ...ครับ” ความใกล้ชิดเมื่อครู่คงไม่ทำให้ลุงไซด์ไลน์คิดมาก แต่ผมนี่สิ ดันใจเต้นหัวหูร้อนผ่าวราวกับจะกลายร่างเป็นสาวน้อยมัธยมหัดมีความรัก... เป็นเอามากจริง ๆ ผม
.
.
.
.
ด้วยความช่วยเหลือของสองพ่อลูก เมนูอาหารกลางวันที่ทำให้ผมกลุ้มใจมาตลอดสองวันก็ผ่านไปอย่างราบรื่นและน่าจดจำ วันนี้นอกจากผมจะทำให้ปลาวาฬ (และพี่หนาว) กินทั้งมะเขือเทศสดและแปรรูปมากที่สุดในชีวิตได้แล้ว ตัวผมเองยังได้ทำความรู้จักกับท่าน HR Director ในแง่มุมอื่น ๆ เพิ่มเติมอีกด้วย

เป็นต้นว่า...

หนึ่ง ที่พี่หนาวเคยบอกผมว่าแกชอบทำงานบ้านทุกชนิดนั้นเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะคนที่แค่เห็นพื้นห้องครัวเปื้อนเป็นด่างดวงก็รีบขัดรีบเช็ดจนกระเบื้องสะอาดนิ้งเหมือนใหม่สมควรถูกจัดอยู่ในสิ่งมีชีวิตประเภทเดียวกับแม่ผมโดยด่วน ซึ่งคุณสมบัติพ่อบ้านชั้นยอดของลุงแกยังครอบคลุมไปถึงการทำอาหารอีกด้วย ทว่าตั้งแต่เริ่มโปรเจคเป็นต้นมา พี่หนาวก็ไม่ค่อยมีเวลาเข้าครัวเหมือนเคย ตอนนี้เลยเปลี่ยนมาผูกปิ่นโตกับคาเฟ่ใต้คอนโดที่แกเล่าให้ผมว่าแม้จะไม่อร่อยถูกปากเหมือนทำเอง แต่เรื่องความสะอาดนั้นหายห่วง อย่างข้าวผัดกับอาหารสองสามอย่างที่ผมได้กินเมื่อวันก่อนที่ก็เป็นฝีมือแม่ครัวร้านนี้นี่แหละ

และสอง คือพี่หนาวตามใจปลาวาฬมาก อะไรที่ลูกสาวขอและลุงแกพอจะทำได้ เชื่อเถอะว่าสุดยอดคุณพ่อคนนี้เป็นต้องจัดหามาประเคนให้ เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกหากทันทีที่กินข้าวเสร็จ ผมจะโดนลากให้ร่วมขบวนไปส่งปลาวาฬเข้าเรียนเปียโนด้วยกันทั้งที่ไม่อยู่ในแผนการ

“วันนี้คุณครูจะสอนเพลงอะไรครับปลาวา... อ้าว หลับแล้ว” ผมเกาท้ายทอยแก้เก้อเมื่อหันไปเห็นคู่สนทนาโดนน็อคนำหน้าไปก่อน

พี่หนาวเหลือบมองเงาสะท้อนของลูกสาวที่นั่งคอพับคออ่อนอยู่ตรงเบาะหลังผ่านกระจกก่อนจะหลุดหัวเราะ คนขับปรับลดความเย็นแล้วจึงเลื่อนมือไปหรี่เสียงเพลงให้เบาลงกว่าเดิม “ปล่อยให้นอนไปเถอะคุณ เมื่อคืนกว่าจะยอมนอนก็เกือบห้าทุ่ม บอกว่าตื่นเต้นเพราะวันนี้ปลาทูจะมาทำสปาเก็ตตี้ร้องว้าวให้กิน”

“อ๋อ เหรอครับ” พอเผลอนึกถึงเหตุการณ์สุดเด๋อของตัวเองเมื่อช่วงสาย ๆ ผมก็รู้สึกกระดากจนไม่รู้จะเอามือไม้ไปวางที่ไหนถึงจะไม่ดูประหลาด “ขอบคุณนะครับ”

“ขอบคุณทำไมคุณ ไม่เห็นมีอะไรต้องขอบคุณเลย”

ผมก้มหน้าพลางถูมือกับต้นขาตัวเองอย่างไม่มีจุดหมาย “ก็ถ้าเมื่อเช้าไม่ได้คุณช่วยไว้ ผมคงทำครัวคุณระเบิดก่อนได้กินข้าวกันแน่ ๆ เลยครับ”

คำสารภาพของผมทำให้คนขับขำจนตัวสั่น “ขนาดนั้นเลยเหรอคุณ”

“ก็... ครับ” ผมอดยิ้มกับตัวเองไม่ได้เมื่อเหลือบไปเห็นใบหน้าด้านข้างที่ดูมีความสุขของลุงไซด์ไลน์ในเวลานี้ “ที่บ้านผมมีแม่เป็นผู้หญิงคนเดียว ตอนเด็ก ๆ พวกผมสามคนพี่น้องซนมาก หยิบจับอะไรทีไม่พังก็แตก แม่เลยห้ามไม่ให้พวกผมเข้าไปวุ่นวายในครัว ไม่งั้นถ้วยชามบ้านเราคงไม่เหลือ นาน ๆ เข้าพวกเราเลยทำกับข้าวไม่เป็นกันสักคนน่ะครับ”

เรื่องที่แม่ผมหวงสมบัติในบ้านโดยเฉพาะห้องครัวเอามาก ๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะท่านชอบสะสมจานชามสวย ๆ มาตั้งแต่ตอนสาว ๆ แต่โชคไม่ดีที่ลูกชายทั้งสามไม่เคยให้ความร่วมมือแถมยังผลัดกันทำแตกไปกว่าครึ่ง ซึ่งกว่าที่ผมจะได้ฝึกทำสปาเก็ตตี้ตามอัธยาศัย ผมต้องล็อบบี้ให้ทุก ๆ คนในบ้านช่วยกันหว่านล้อม (และกดดัน) แม่อยู่นานกว่าที่ท่านจะยอมให้ผมใช้ครัวโดยไม่ต้องให้ใครคอยเฝ้า

“ตอนวัยรุ่นผมก็ทำไม่เป็นหรอก แต่พอสอบมหาลัยติดแล้วต้องอยู่หอ อะไรที่ไม่เคยทำตอนอยู่บ้านก็ต้องหัด ไม่อย่างนั้นผมคงหัวโตเพราะวัน ๆ เพื่อนชวนกินแต่มาม่า ผมเลยพอทำโน่นทำนี่กินกันตายได้บ้าง”

พี่หนาวอมยิ้มขณะค่อย ๆ ลดความเร็วแล้วจอดแถวต่อท้ายรถคันข้างหน้าขณะรอไฟเขียวให้เวียนกลับมาอีกครั้ง “แต่ผมเข้าใจคุณนะ เดี๋ยวนี้ของกินหาง่าย ดึกดื่นแค่ไหนก็มีขายไม่เหมือนสมัยก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะลูก บางทีผมอาจจะเลิกทำครัวไปแล้วก็ได้”

อ้อ! ผมเพิ่งรู้เพิ่มอีกอย่างเดี๋ยวนี้เองว่าพี่หนาวเป็นพวกถ่อมตัว

ถ้าฝีมือทำกับข้าวแบบพี่หนาวเรียกว่าทำกินกันตาย แล้วพุงปูดป่องราวกับตั้งท้องห้าเดือนของผม ไหนจะสปาเก็ตตี้ฝีมือแม่ที่เคยทำผมกับพี่น้องร้องว้าวมาตั้งแต่เล็กจนโตป่านนี้แต่กลับถูกรสมือของลุงไซด์ไลน์บดขยี้เสียย่อยยับล่ะจะหมายความว่าอะไร

ฟังเพลิน ๆ อยู่ดี ๆ ผมก็ลืมตัวอ้าปากหาวแบบที่หันหน้าหนีก็หลบไม่พ้นสายตาอยู่ดี พี่หนาวเลยเชิญองค์ท่าน HR Director ลงประทับแล้วทำเสียงเข้มใส่ผมเดี๋ยวนั้น “ถ้าง่วง คุณจะนอนก็ได้นะ”

ฟังแล้วผมก็โบกไม้โบกมืออย่างตกใจที่เผลอทำตัวเสียมารยาทต่อหน้าอีกฝ่าย “เปล่าครับ ผมไม่ได้ง่วง สงสัยจะกินอิ่มเกินไป”

สีหน้าเคร่งเครียดของลุงไซด์ไลน์ดูผ่อนคลายลงมาก เจ้าตัวหัวเราะเบา ๆ พลางเหลือบมองมาทางผมอย่างเกรงอกเกรงใจ “ขอโทษด้วยนะ ลำบากต้องมาทำกับข้าวให้พวกผมกินแล้วยังต้องเล่นเป็นเพื่อนปลาวาฬอีก เหนื่อยไหมคุณ”

“ไม่เหนื่อยเลยครับ อีกอย่าง ผมอยากมาเจอปลาวาฬด้วยแหละ” ผมให้เหตุผลตามจริงแต่ไม่ทั้งหมด เพราะขืนโพล่งไปว่าจริง ๆ แล้วผมอยากมาเจอพี่หนาวมากพอ ๆ กัน บรรยากาศดี ๆ ในรถคงจะกร่อยไปเสียก่อน “แต่คุณเก่งนะครับ ผมเห็นคุณทำโน่นทำนี่ไม่หยุดแต่คุณดูไม่เหนื่อยเลย”

“ผมชินแล้วล่ะเพราะผมชอบทำทุกอย่างในบ้านเอง แต่ปกติ... ” เป็นเพราะรถคันหน้าเริ่มเคลื่อนตัว คนขับจึงเว้นวรรคประโยคเอากลางคันเพื่อบังคับพวงมาลัยให้หักเลี้ยวก่อนถึงแยก ผมแสร้งมองข้างทางระหว่างเงี่ยหูรอฟังอย่างตั้งใจ “... ปกติเสาร์อาทิตย์ผมจะได้พักเพราะปลาวาฬต้องไปอยู่กับแม่เขา นี่เดี๋ยวไปถึงก็เจอป๊อบปี้ เพราะเขาต้องมารับปลาวาฬกลับไปนอนด้วย”

พี่หนาวพูดยังไม่ทันขาดคำ หน้าจอสมาร์ทโฟนที่วางตั้งอยู่ในช่องตรงแผงคอนโซลก็ขึ้นเบอร์บุคคลที่เพิ่งถูกพาดพิงไปหมาด ๆ ราวกับรู้จังหวะ... โอ้โห พี่ป๊อบปี้นี่ของแรงเกิ๊น

“ใกล้ลงทางด่วนแล้ว อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมง อืม เดี๋ยวจอดรถเสร็จผมโทรไปอีกที” หลังกรอกเสียงใส่สมอลทอล์กเพียงไม่นาน พี่หนาวก็รวบรัดตัดสายทันที... ถ้าไม่ใช่ปลาวาฬ ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะมีใครที่ทำให้ท่าน HR Director อยากคุยจิ๊จ๊ะเจ๊าะแจ๊ะด้วยนาน ๆ อีกบ้าง

ผมชักสงสัยว่าตอนที่พี่หนาวจีบพี่ป๊อบปี้ แกทำยังไง... พูดน้อยนับคำได้แถมยังไม่จ๊ะจ๋าแบบนี้ ผู้หญิงชอบเหรอวะ
หรือจริง ๆ แล้วพี่ป๊อบปี้เป็นคนจีบ... เออว่ะ น่าจะเป็นพี่ป๊อบปี้ล่ะมั้งที่เดินเกมรุกลุงแกก่อน

พอนึกถึงแม่ปลาวาฬขึ้นมา ผมก็อดเป็นกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดทั้งวันไม่ได้ “เอ่อ พี่ป๊อบปี้โอเคใช่ไหมครับ”

“โอเคสิ ทำไมเหรอ” พี่หนาวขมวดคิ้ว

“ก็วันนี้ผมทำให้พี่ป๊อบปี้ไม่ได้ใช้เวลากับปลาวาฬไงครับ”

“ไม่หรอก คืนวันธรรมดาป๊อบปี้ก็มารับปลาวาฬไปนอนด้วยอยู่บ่อย ๆ คุณอย่าคิดมากไปเลย”

“ครับ” ผมพยักหน้ารับรู้แม้จะไม่เข้าใจเบื้องหลังเสียทีเดียว

จะว่าไป ครอบครัวของลุงไซด์ไลน์ก็มีรายละเอียดยิบย่อยยุ่บยั่บเหมือนกันแฮะ แต่ถึงฝั่งผู้ใหญ่จะวุ่นวายหรือสร้างเงื่อนไขต่าง ๆ นา ๆ ในชีวิต ผมก็อดชื่นชมความพยายามและความทุ่มเทของพี่หนาวกับพี่ป๊อบปี้ไม่ได้ เพราะถ้าทั้งคู่ละเลย ปล่อยเจ้าตัวเล็กให้เป็นภาระของใครอีกคน ปลาวาฬย่อมไม่มีทางเป็นเด็กที่สุขภาพจิตดีเบอร์นี้หรอก  
.
.
.
.
“อือ ถึงแล้ว กำลังจะขึ้นไปหา” คนขับวางโทรศัพท์ก่อนจะหันไปคุยกับเด็กหญิงที่รู้สึกตัวตื่นทันทีที่พริอุสถอยเข้าซองจอด สงสัยเมื่อกี้จะคุยกับพี่ป๊อบปี้ลุงแกถึงได้รีบพูดรีบตัดสายไวเว่อร์ “คุณแม่มารอแล้วครับลูก เดี๋ยวให้คุณแม่พาไปล้างหน้านะครับ”

ปลาวาฬขยี้ตาพลางรับคำด้วยน้ำเสียงงัวเงีย “ค่ะ”

“ไปครับ” สิ้นเสียงพี่หนาว ผมก็รีบลงจากรถแล้วจ้ำอ้อมไปอีกทางเพื่อรอรับเจ้าตัวเล็กที่ยังเมาขี้ตาไม่หาย แต่ท่าน HR Director กลับไวกว่า เพราะก่อนที่ปลาวาฬจะตะกายลงจากเบาะ คนเป็นพ่อก็คว้าตัวเด็กเหญิงมาอุ้มอย่างคล่องแคล่ว “คุณช่วยผมถือของทีได้ไหม”

“ครับ” ผมหยิบกระเป๋าเอลซ่าสองใบแล้วเดินตามพ่อลูกหมีโคอาล่าเข้าไปด้านในของห้างดังแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่อีกฟากเมือง เดินไปไม่ถึงไหน ผมก็เห็นพี่ป๊อบปี้ยืนคุยโทรศัพท์พลางโบกมือส่งสัญญาณให้พวกเราเดินเข้าไปหา

พี่ป๊อบปี้ยิ้มให้ผมเร็ว ๆ ก่อนจะตรงเข้าไปหาปลาวาฬทั้งที่ยังไม่วางสาย ผมคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นแจสเปอร์เพราะเมื่อกี้ผมแอบได้ยินแกเรียกที่รัก ๆ เป็นภาษาอังกฤษก่อนจะเก็บมือถือ “ยังไม่ตื่นอีกเหรอลูก อีกเดี๋ยวต้องเข้าเรียนแล้วนะคะ ไหวใช่ไหม”

เจ้าตัวเล็กไม่ตอบหากแต่พยักหน้าหงึกหงัก สงสัยจะยังง่วงอยู่

“ถ้างั้นเดี๋ยวเข้าไปล้างหน้ากันหน่อยนะคะ”

“ค่ะ” พี่ป๊อบปี้ลูบผมปลาวาฬเบา ๆ ก่อนจะส่งสายตาให้พี่หนาวค่อย ๆ ปล่อยลูกสาวให้ยืนเอง

“พี่ป๊อบปี้สวัสดีครับ” ผมรีบยกมือไหว้แม่ปลาวาฬทันทีที่สบโอกาส

“หวัดดีจ้ะ เลี้ยงลูกพี่เหนื่อยไหมทู”

คำถามของพี่ป๊อบปี้ทำผมหลุดหัวเราะ “ไม่เหนื่อยครับ สนุกดี”

“ดีเลย ถ้างั้นวันหลังพี่ฝากปลาวาฬด้วยนะ”

“ครับ ฝากไว้นาน ๆ เลยก็ได้ครับ เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง” อาจเพราะห่างหายจากการใช้เวลากับเด็กเล็ก ๆ มาหลายปี ผมเลยบอกไม่ได้ว่าการดูแลเด็ก ๆ สมัยนี้มันสาหัสแค่ไหน หนำซ้ำปลาวาฬยังมีเหตุผลแถมว่าง่าย ไม่ใช่ลิงทะโมนเหมือนไอ้สาม ผมเลยรู้สึกยิ่งกว่ายินดีหากพี่ป๊อบปี้จะไว้ใจฝากลูกสาวไว้กับผม

“พี่กลัวอย่างเดียวน่ะสิว่าจะดีแตกจนทูทนไม่ไหว ฤทธิ์น้อยเสียที่ไหนล่ะคนนี้น่ะ”

ผมสบตากับเจ้าตัวเล็กแล้วยักคิ้วข้างเดียวให้ พออีกฝ่ายเห็นเข้าเท่านั้นแหละ เจ้าตัวก็พยายามทำเลียนแบบก่อนจะยอมแพ้ยกมือขึ้นปิดหน้าไว้ซีกหนึ่งเมื่อคิ้วทั้งสองข้างสามัคคีกันเกินไป ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูของเจ้าวาฬน้อยทำให้ผมต้องกลั้นหัวเราะเสียยกใหญ่ “ไม่หรอกครับ ปลาวาฬน่ารักมาก”

พี่ป๊อบปี้ยิ้มรับด้วยความภาคภูมิใจก่อนจะหันไปคุยกับพี่หนาว “เดี๋ยวเธอไปไหน”

“ผมจะขับไปส่งทูก่อนแล้วค่อยกลับบ้าน”

หืม? เดี๋ยวนะ... พี่หนาวจะไปส่งผมเหรอ

พี่ป๊อบปี้พยักหน้ารับก่อนจะเหลือบมองหน้าปัดนาฬิกาข้อมือ “อืม ขับรถดี ๆ เดี๋ยวฉันพาลูกไปซื้อสีก่อน”

ดูเหมือนผมจะเป็นคนเดียวที่แปลกใจกับคำตอบของลุงไซด์ไลน์ เพราะถึงจะโดนสองพ่อลูกลากมาเที่ยวไกลถึงนี่ แต่ไหน ๆ ก็ไม่ค่อยได้มาแถวนี้บ่อย ๆ ผมเลยแอบวางแผนว่า หลังส่งปลาวาฬเข้าเรียน ผมจะเดินเล่นต่อคนเดียวสักพักแล้วค่อยนั่งแท็กซี่กลับบ้าน แล้วทำไมสุดท้ายถึงหักมุมอีกแล้วล่ะ

“พี่ไปนะทู ไว้ไลน์คุยกันจ้ะ ลาอาทูสิลูก”  พี่ป๊อบปี้ลูบแขนผมเบา ๆ ก่อนจะบุ้ยใบ้ส่งสายตาให้ลูกสาวที่ยืนพิงหน้าขาแกให้ร่ำลาผม พอเห็นผมโบกมือให้ ปลาวาฬก็โผเข้าใส่แล้วกอดขาผมแน่นกว่าทุกที

“ไว้วันหลังมาเล่นกันอีกนะคะ”

“ครับ” ผมนั่งยอง ๆ พลางมองหน้าเจ้าตัวเล็กอย่างอาลัยอาวรณ์ “ไว้อาทูจะหาเวลาไปเล่นกับปลาวาฬอีกนะครับ”

Pinky swear” พูดจบ นิ้วก้อยเล็ก ๆ ก็ยื่นมาตรงหน้า ปลาวาฬกระดิกปลายนิ้วเบา ๆ เหมือนเร่งจนผมเผลออมยิ้มตามจนได้

Cross my heart, princess” พอผมเกี่ยวก้อยสัญญาด้วย ปลาวาฬก็หอมแก้มผมแล้วถอยกลับไปยืนข้างแม่แต่โดยดี พี่ป๊อบปี้สั่งความกับพี่หนาวอีกสองสามประโยคก่อนจะจูงเจ้าหญิงของผมเดินจากไป ผมรู้สึกใจหาย เล่นกันแค่ครึ่งวันผมยังติดแกหนักมาก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าถ้าได้เจอกันทุกวันเช้าค่ำเหมือนพี่หนาว ผมจะหลงแกเบอร์ไหน

“ไปคุณ เดี๋ยวผมไปส่ง”

“ครับ” บอกลาพี่ป๊อบปี้กับปลาวาฬได้ไม่ถึงนาที บุคคลไม่พึงปรารถนาที่สุดในโลกก็เดินผ่านเข้ามาในกรอบสายตาผมแบบกะทันหัน ซึ่งดูเหมือนว่าฝ่ายนั้นเองก็ยังไม่ทันเตรียมใจที่จะพบผมกับพี่หนาวเช่นกัน ไม่อย่างนั้นหน้าพี่บูมคงไม่เหวอจนเสียทรงชวนปลงสังขารแบบนี้หรอก

“เอ่อ” แม้ประสบการณ์ที่ผ่านมาจะบอกผมให้เลิกหวังพึ่งพี่หนาว แต่ทุกครั้งที่เกิดปัญหา ผมมักจะลืมตัวส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากอีกฝ่ายอยู่เสมอ ซึ่งเขาไม่เคยทำให้ผมต้องผิดหวัง เพราะจนป่านนี้ลุงแกก็ยังติดนิ่งไม่เปลี่ยน

“อุ๊ย บังเอิญจังเลยครับ ไม่นึกว่าจะเจอคุณหนาว คุณทูที่นี่” ถึงหลัง ๆ มานี่คำพูดคำจาของคุณไวท์จะไม่ค่อยน่าฟังสักเท่าไร แต่ครั้งนี้ผมกลับดีใจที่เขาเป็นฝ่ายทักขึ้นมาก่อน

“ครับ” ยิ่งพี่หนาวตอบห้วน ๆ บรรยากาศในตอนนี้จึงยิ่งชวนให้รู้สึกกระอักกระอ่วนไปกันใหญ่ แต่ยูสเซอร์ FI กลับไม่สะทกสะท้าน

“คุณหนาวกับคุณทูมาทำอะไรที่นี่เหรอครับ”

จะตอบยังไงดี... ถ้าบอกความจริง พี่หนาวจะโอเคไหม
แล้วถ้าโกหก ผมจะดูเป็นคนปลิ้นปล้อนในสายตาพี่หนาวหรือเปล่า

เพราะมัวแต่กังวลผมจึงได้แต่ยืนมองพี่หนาวสลับกับคุณไวท์... พี่หนาวจะคิดมากไหมที่ต้องมาเจอพนักงานในบริษัททั้ง ๆ ที่ยังอยู่กับผม

“พวกผมมาธุระ กำลังจะกลับ ขอตัวก่อนนะครับ”

“ครับ เชิญครับ” คำตอบแบบไม่มีเยื่อใยของพี่หนาวทำเอาคุณไวท์หน้าเสีย ส่วนไอ้พี่บูมเองก็ชักสีหน้าหนักไม่แพ้กัน เห็นแบบนั้นผมก็อดสังหรณ์ใจไม่ได้ว่าแฟนเก่าอาจจะพูดจาหมา ๆ เพื่อฉีกหน้าพวกผมเหมือนตอนเริ่มโปรเจคอีก แต่ก่อนที่ผมจะฟุ้งไปถึงไหนต่อไหน ฝ่ามือของลุงไซด์ไลน์ก็เคลื่อนเข้ามาประกบมือผมเอาไว้จนไม่มีที่ว่าง

“ไปทู กลับบ้านกันเถอะ”

ผมจำไม่ยักได้ว่าหลังจากนั้นผมตอบอะไรไปหรือเปล่า รู้แค่เพียงว่า สัมผัสอบอุ่นที่กระชับรอบมือทำให้ผมลืมเรื่องฟุ้งซ่านกังวลจนหมดสิ้น หนำซ้ำมือข้างนั้นยังล่อลวงให้ผมเดินตาลอยปล่อยให้พี่หนาวจูงกลับไปขึ้นรถโดยไม่มีปากเสียงเสียอีก

••••••

“เวลา กลับบ้านได้แล้ว” คเชนทร์รู้สึกแปลกใจที่วันนี้คนที่มารับเด็กชายไม่ใช่ไอซ์ หลายวันที่ไม่ได้เจอหญิงชราทำให้เขาอดรู้สึกยินดีที่พบหน้าหล่อนอีกครั้งไม่ได้

“สวัสดีครับอาม่า” เจ้าของร้านดอกไม้ยกมือไหว้ผู้อาวุโสที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้านอย่างนอบน้อม

“ไหว้พระเถอะจ้ะ”

“ไม่ได้เจออาม่านานเลยครับ”

“พอดีช่วงนี้ฉันเตรียมของทำบ๊ะจ่าง เลยให้อาไอซ์อีขี่รถมารับเวลาแทน” คเชนทร์รู้สึกโล่งใจเมื่อได้รู้ว่าสาเหตุที่ทำให้อาม่าหายหน้าไปไม่ใช่อุบัติเหตุร้ายแรงหรือโรคภัยไข้เจ็บอย่างที่เผลอกังวล

“เฮ่อ เล่นเพลินจนต้องเดินมาตามทุกวัน” อาม่ารำพันอย่างอ่อนใจเมื่อหันไปเห็นหลานชายลูบขนแมวหน้ากากอย่างทะนุถนอมอยู่นานสองนาน หล่อนรู้สึกสงสารเวลาที่ไม่ได้เลี้ยงสัตน์ก็ส่วนนึง แต่ความเกรงใจที่หญิงชรามีต่อเจ้าของร้านดอกไม้กลับมีมากกว่า “จะรักอะไรขนาดนี้ก็ไม่รู้ ดูสิ ลำบากหนูน่าดูเลยไหมเนี่ย”

“ไม่ลำบากเลยครับ เวลาจะมาเล่นที่นี่เมื่อไรก็ได้ครับ ผมยินดีต้อนรับเสมอ” อดีตนางโชว์ยืนยันความตั้งใจด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่ต่างจากทุกครั้งที่ทั้งสองพูดคุยเรื่องนี้กัน

เมื่อได้ฟังคำมั่นอีกครั้ง สายตาของหญิงชราที่ทอดมองใบหน้าหมดจดของคู่สนทนาจึงยิ่งเผยให้เห็นถึงความพึงพอใจ “ฝากด้วยนะหนู แถวนี้ไม่มีเด็ก หลานฉันเลยไม่มีเพื่อนเล่น แถมที่บ้านฉันก็เลี้ยงสัตว์ไม่ได้ด้วย”

“ครับ” คเชนทร์รับคำอย่างเห็นใจก่อนจะเปรยเรื่องที่อยากตกลงกับอีกฝ่ายในท้ายที่สุด “เอ่อ อาม่าครับ”

หญิงชราละสายตาจากหลานชายชั่วครู่ หล่อนเงยหน้าขึ้นสบตากับชายหนุ่มผมยาว “ว่ายังไงรึหนู”

“ต่อไปผมเดินไปส่งเวลาที่บ้านให้ก็ได้นะครับ อาม่ากับไอซ์จะได้ไม่ต้องลำบากมาตาม”

“อย่าเลย ฉันเกรงใจ ปล่อยหลานมาเล่นที่บ้านหนูยังไม่พอ ยังต้องลำบากหนูเดินไปส่งอีก ไม่เอา ๆ ” แม้พักหลัง ๆ หล่อนจะต้องไหว้วานไอซ์ให้มารับเวลาแทน แต่ก็ใช่ว่าหญิงชราจะเลอะเลือนจนลืมไปว่าชายหนุ่มเอ็นดูเวลามากแค่ไหน แต่ถ้าทางหล่อนพึ่งพาอีกฝ่ายมากเกินไป เกิดวันไหนผู้ใหญ่บาดหมางผิดใจกันขึ้นมา เด็กชายก็จะพลอยมีปัญหาไปด้วยน่ะสิ...

ว่าแต่อยู่ ๆ ทำไมตาหนูนี่ถึงต้องอาสาตัวเดินไปส่งเวลากลับบ้านแทนเจ้าไอซ์มันล่ะ

“อาม่าไม่ต้องเกรงใจผมหรอกครับ ผมเต็มใจช่วย อีกอย่าง ผมว่างด้วยครับ ได้ออกไปเดินยืดเส้นยืดสายบ้างก็ดีครับม่า” คเชนทร์เลือกที่จะไม่บอกเหตุผลจริง ๆ กับม่า แต่ดูเหมือนหญิงชราจะเดาใจเขาได้ตรงเผง

“เอา ๆ ถ้าอย่างนั้นฉันฝากหลานด้วยแล้วกัน ดี ๆ ฉันจะได้ไม่ต้องคอยห่วงว่าเจ้าไอซ์จะทำหลานฉันตกมอเตอร์ไซค์” เมื่อใคร่ครวญถึงความสุขควบคู่กับความปลอดภัยของเวลา อาม่าก็ยอมตกลงตามคำขอของคเชนทร์

“เวลามาหาม่าเร็ว” หญิงชรากวักมือเรียกเจ้าของชื่อ เห็นดังนั้นเด็กชายก็ลูบหัวลูกพี่เบา ๆ คล้ายร่ำลาก่อนจะเดินมาหยุดยืนข้างอาม่าอย่างว่านอนสอนง่าย “เวลาฟังม่านะ”

ตากลมใสของเด็กชายจับจ้องใบหน้าเปื้อนยิ้มใจดีของอาม่านิ่ง ๆ “วันไหนถ้าเวลามาเล่นที่นี่ คุณอาจะเดินไปส่งเวลาที่บ้าน อย่าดื้ออย่าซนกับคุณอาเขานะ เข้าใจไหม”

เวลาไม่ตอบ หากแต่เลื่อนสายตาไปจับจ้องใบหน้าของคเชนทร์อย่างมาดหมาย ก่อนที่มุมปากของเด็กชายจะยกขึ้นพร้อม ๆ กับการที่เจ้าตัวพยักหน้าให้เจ้าของร้านดอกไม้เบา ๆ ราวกับเอ่ยคำสัญญาอยู่ในใจ

••••••

ระหว่างทางกลับบ้าน ทั้งผมและพี่หนาวต่างคนต่างเงียบคล้ายกับมีอะไรในใจ ถึงจะรู้สึกอึดอัดอยู่นิด ๆ ผมกลับไม่กล้าอ้าปากถามลุงแกตรง ๆ แต่ทันทีที่พรีอุสจอดตรงรั้วหน้าบ้าน การอมลิ้นแล้วลงจากรถไปโดยไม่ร่ำลาก็ดูน่าเกลียดเกินไป

“วันนี้ขอบคุณนะครับ” ผมยกมือไหว้คนขับไปหนึ่งทีก่อนจะรีบปลดล็อกเข็มขัดนิรภัยแล้วสะพายกระเป๋าขึ้นบ่า

“เดี๋ยวคุณ”

“ครับ?” สีหน้าเคร่งเครียดของอีกฝ่ายทำให้ผมพลอยหนักใจตามไปด้วยอีกคน... สรุปพี่หนาวเป็นอะไร หรือลุงแกจะเสียใจที่วันนี้ดันเจอกับพวกคุณไวท์ที่ห้างจริง ๆ

“คุณโอเคใช่ไหม” คนขับเท้าข้อศอกกับพวงมาลัยแล้วชะโงกหน้ามองผมด้วยสายตาเป็นห่วง

เดี๋ยวนะ ผมชักจะงง... จุด ๆ นี้ คนที่คิ้วขมวดทำหน้าเหมือนปวดท้องน่ะคุณไงครับ ไม่ใช่ผม
เพราะฉะนั้นคุณต่างหากล่ะที่ต้องถามตัวเองว่ายังโอเคอยู่ไหม

“โอเค? โอเคเรื่องอะไรเหรอครับ”

“เรื่องแฟนเก่าคุณน่ะ” ผมยังไม่ทันตอบ อีกฝ่ายก็แทรกขึ้นก่อนอย่างร้อนอกร้อนใจ “คุณทำใจได้แล้วใช่ไหม”

“ครับ ผมไม่คิดอะไรกับเขาแล้วครับ” ระหว่างทางกลับบ้านเมื่อกี้ มีอยู่บางวูบเหมือนกันที่ผมเคยอยากบอกพี่หนาวว่า เป็นเพราะเขาผมเลยตัดใจจากไอ้พี่บูมได้เด็ดขาด แต่เพราะรู้ว่าถ้าพูดไปจะเกิดอะไรขึ้น ผมเลยเลือกที่จะเก็บมันเอาไว้แล้วก็มีความสุขกับการได้แอบมองเขาไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะจบโปรเจคจะดีกว่า

คู่สนทนาถอนหายใจยาว สีหน้าคร่ำเคร่งเมื่อครู่ดูผ่อนคลายลงมาก แต่แววตานี่สิ ทำไมยังดูขุ่น ๆ อยู่ก็ไม่รู้ “ถ้าเขามาทำอะไรคุณ คุณต้องบอกผมนะ”

“ครับ”

“อย่าลืมนะคุณ” ทั้ง ๆ ที่บรรยากาศยังมาคุไม่คลาย แต่พอเห็นสีหน้าจริงจังกึ่ง ๆ คาดหวังให้ผมรับปากเป็นมั่นเหมาะ ผมก็อดคิดไม่ได้ว่าพี่หนาวกำลังอ้อนผมให้ยอมทำตามใจแกเหมือนกับที่เจ้าวาฬน้อยทำเปี๊ยบเลย ซึ่งไอ้ท่าทางน่ารักของลุงแกนี่แหละที่ทำให้ผมหลุดปากพูดออกไปโดยไม่ทันระวัง

Cross my heart ครับ”

ผมเกือบจะไม่คิดอะไรแล้วนะถ้าอยู่ดี ๆ พี่หนาวจะไม่ยิ้มกรุ้มกริ่มและไม่ทำตาแวววาวใส่ผมเอาดื้อ ๆ “คุณทำเหมือนผมเป็นปลาวาฬเลยนะ“

บุญบาป แล้วพี่หนาวจะยื่นหน้ามายิ้มใกล้ ๆ ผมทำไมเนี่ย... 
แย่แล้ว หน้าผมแม่งโคตรร้อนเลยว่ะ ทำไงดี

“เปล่านะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณรู้สึกแบบนั้นเลยนะครับ” ผมเสมองประตูรั้วหน้าบ้านเพราะไม่อยากให้คนขับเห็นสีหน้าแปลก ๆ ของตัวเองในเวลานี้ แต่ถึงผมจะไม่หันกลับไปมอง เสียงหัวเราะของอีกฝ่ายก็ยังฟังชัดเจนมากอยู่ดี... สนุกมากไหมลุง แกล้งผมเนี่ย

“คุณเข้าบ้านเถอะ” จนถึงตอนนี้พี่หนาวก็ยังไม่หยุดหัวเราะ แถมยังมีหน้ามายิ้มกริ่มชอบใจเหมือนทุกทีที่หลอกอำจนผมป้ำ ๆ เป๋อ ๆ ได้สำเร็จไปอีก

“ครับ” ผมพยักหน้ารับพลางรีบดีดตัวลงจากรถเหมือนถูกเผาไล่ที่ และทันทีที่รู้สึกว่าตัวเองอยู่ในระยะปลอดภัย ผมก็รีบเหลียวกลับไปมองด้านหลังเพราะหวังจะแอบส่องรถอีกฝ่ายให้ชื่นใจเป็นครั้งสุดท้ายของวัน แต่แล้วผมกลับพบว่าเจ้าของพริอุสยังไม่ไปไหน หนำซ้ำเขายังส่งยิ้มมาให้ราวกับตั้งใจรอส่งผมเข้าบ้านอย่างไรอย่างนั้น

และนั่นคือครั้งแรกที่ผมเห็นพี่หนาวยิ้มกว้างแบบจะ ๆ ต่อหน้าต่อตา... ออร่าความหล่อของลุงไซด์ไลน์ทำผมฟินจนต้องรีบวิ่งขึ้นห้องไปกรี๊ดอัดหมอนอยู่นานสองนานก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า ผมควรอัพเดทเรื่องวันนี้ลงในไทม์ไลน์เพื่อที่เพื่อนสนิทจะได้ร่วมหวีด (และอิจฉา) ไปพร้อม ๆ กัน ทว่าข้อความแจ้งเตือนของโปรแกรมโซเชียลยอดนิยมกลับทำให้ผมอารมณ์เสีย

Suramet K. (สรุเมธ ก.) ส่งคำร้องขอเป็นเพื่อนกับคุณ

เฮ่อ เมื่อไรผมถึงจะหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ของคนรักเก่าเสียทีวะ

••• TBC ••


ขณะที่ลุงไซด์ไลน์เผยความละมุนออกมาเรื่อย ๆ
ทูก็พบว่าตัวเองมีความรู้รอบครัวต่ำเตี้ยเรี่ยดินจนน่าสงสาร 555
อ้อ! ถ้าใครลืมว่าสุรเมธเป็นใคร แนะนำว่าให้อ่านบทแรกใหม่นะคะ ^_^
อ่านแล้วชอบ หรือไม่ชอบอย่างไร บอกเราผ่านแท็ก
#ลุงไซด์ไลน์ละมุนมาก #คันหิม บ้างนะคะ


No comments:

Post a Comment