Wednesday, September 20, 2017

ODD EYE ตาย ตา ตื่น : 11th Glance || 13.09.17


The 11th Glance


การได้พักผ่อนเต็มที่ตลอดทั้งคืนทำให้อังคารรู้สึกตัวตื่นขึ้นพร้อมกับความกระปรี้กระเปร่า ทว่าในขณะที่เจ้าตัวนอนเกลือกกลิ้งสลัดตัวขี้เกียจทิ้งท้ายอยู่นั้น สภาพของห้องพักที่สงบนิ่ง มีเพียงเสียงครางต่ำของแอร์คอนดิชันเนอร์และเสียงจ้อกแจ้กจอแจจากภายนอกดังคลอเป็นพื้นหลังก็ทำให้เด็กหนุ่มยอมผงกหัวขึ้นแล้วกวาดตามองหาอีกหนึ่งชีวิตด้วยความสงสัย

ไปไหน? อาบน้ำเหรอ?

จริงอยู่ แม้สัตยาไม่เคยสัญญาว่าจะเอาตัวผูกติดกับเขา แต่ตลอดช่วงสั้น ๆ ที่ทั้งสองขลุกอยู่ด้วยกัน ผู้กองหนุ่มก็ไม่เคยปล่อยให้อังคารต้องชะเง้อคอยหาโดยไม่บอกกล่าว ดังนั้นเมื่อเจ้าตัวเหลือบเห็นบานประตูห้องน้ำเปิดแง้มอยู่โดยไม่มีสรรพเสียงใด ๆ เล็ดรอดออกมาจากด้านใน เด็กหนุ่มก็กระโดดแผล็วลงจากเตียงแล้วย่องเข้าไปสอดสายตาส่องหานายตำรวจที่จนป่านนี้ก็ยังไม่เห็นหน้ากัน

“ไปไหนของเขาวะ?”

ความว่างเปล่าภายในห้องน้ำเป็นเหตุให้อังคารรีบทำธุระส่วนตัว รวมถึงล้างหน้าล้างตาก่อนจะเดินออกมาหยุดยืนเกาหัวพลางหันรีหันขวางกวาดตามองไปทั่วห้องอีกครั้ง กระทั่งเจอกระดาษโน้ตใบเล็ก ๆ พร้อมด้วยธนบัตรสีเทาวางอยู่ใต้โคมไฟบนโต๊ะตัวเล็กข้างหัวนอน จิตใจที่พะวักพะวนของเขาก็เริ่มสงบ

“ฉันมีนัดกับรุ่นพี่ จะพยายามรีบคุยรีบกลับ รอฉัน อย่าออกไปไหน ถ้าหิวก็โทรสั่งข้าวขึ้นมากิน ถ้ามีอะไรด่ว...” เมื่อสายตาเลื่อนล่วงหน้าไปจรดกับตัวเลขสิบหลักในบรรทัดสุดท้ายของแผ่นกระดาษในมือ เด็กหนุ่มก็เลี้ยวไปควานหาโทรศัพท์มือถือรุ่นเก๋าในกระเป๋ากางเกงยีนส์เพื่อบันทึกหมายเลขดังกล่าวที่สัตยาจงใจทิ้งไว้ให้ “ศูนย์ แปด หนึ่ง... เก้...”

ก็อก ก็อก ก็อก จังหวะที่เด็กหนุ่มเพ่งสมาธิกับการอ่านตัวเลขสลับกับกดเบอร์ส่วนตัวของสัตยาบันทึกลงในเครื่องอยู่นั้น ประตูหน้าห้องก็ถูกเคาะหนัก ๆ จนอังคารยังเผลอสะดุ้ง... ใครวะ?

เนื่องจากบนบานประตูไม่มีช่องตาแมว อังคารจึงตัดสินใจนิ่งฟังเสียงเคาะประตูอีกครั้งด้วยเชื่อว่า หากอีกฝั่งของบานประตูเป็นสัตยา นายตำรวจหน้าเคราย่อมต้องส่งเสียงท้วงติงเขาออกมาแน่ ๆ แต่จนแล้วจนรอด กลับไม่ใช่...

ก็อก ก็อก ก็อก
.
.
... ก็อก ก็อก ก็อก ก็อก ก็อก ก็อก ก็อก ก็อก ก็อก ก็อก

บ้าเอ๊ย! ใครวะแม่ง? เสียงเคาะประตูหนัก ๆ เร็วรัวที่เร่งเร้าให้อังคารรีบร้อนกระชากลูกบิดแล้วเปิดประตูโดยไม่ทันยั้งคิดหรือสะกิดใจใด ๆ ทั้งสิ้น

“เฮ่ย?!!” ไม่มีครั้งไหนเลยที่อังคารจะรู้สึกเสียใจกับความหุนหันพลันแล่นของตัวเองเท่ากับครั้งนี้ ยิ่งเมื่อเห็นรอยยิ้มการค้าบนใบหน้ากึ่งทะเล้นกึ่งเจ้าเล่ห์ของอาคันตุกะที่ยืนกอดอกอยู่หน้าประตูเต็ม ๆ สองตาด้วยแล้ว

“น้องเพียร สวัสดีครับ”

“...”

“น้องเพียรเพิ่งตื่นเหรอ ปล่อยให้พี่เคาะประตูอยู่ตั้งนาน” อาการไปไม่เป็นของเด็กน้อยตรงหน้าเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากธีทัตได้อีกระลอก “นี่พี่มาปลุกเราหรือเปล่า?”

“เปล่าครับ” แม้จะตกประหม่ากับสถานการณ์ไม่คาดฝัน แต่อังคารกลับสวมบทน้องชายของสัตยาได้อย่างแนบเนียนไม่ติดขัด เด็กหนุ่มตอบพลางยกมือไหว้ธีทัตลวก ๆ ก่อนจะตัดบทรวดเร็ว “พี่เสือไม่อยู่ครับ พี่มีอะไรฝากไว้ได้นะครับ เดี๋ยวถ้าพี่เสือกลับมา ผมจะบอกพี่เสือให้” ว่าแล้วเจ้าตัวก็กระชับลูกบิดในมือพลางดึงบานประตูให้ยิ่งแนบเข้ากับสีข้างราวกับไม่อยากให้อีกฝ่ายสอดส่ายสายตามองลอดเข้าด้านในห้อง

“พี่รู้แล้วครับว่าไอ้เสือมันไม่อยู่ ที่มาเนี่ยก็เพราะจะมาหาน้องเพียรนี่แหละครับ” นายตำรวจผู้มาเยือนคลี่ยิ้มกว้างพลางส่ายหัวน้อย ๆ อย่างไม่ถือสาท่าทางระวังตัวแจของน้องชายเพื่อนร่วมรุ่น “ไอ้เสือมันฝากพี่ให้มารับน้องเพียรออกไปกินข้าวกลางวันด้วยกันน่ะครับ”

“แต่พี่เสือบอกผมให้รออยู่ที่นี่” เหตุที่อังคารสวนกลับทันควันส่วนหนึ่งเป็นเพราะข้อความในโน้ตของสัตยา ในขณะที่อีกส่วนเกิดจากการที่ธีทัตเข้าข่ายบุคคลน่าสงสัย ดังนั้นจึงไม่แปลกหากเด็กหนุ่มจะไม่อาจปักใจเชื่อว่า ผู้กองมนุษย์ถ้ำจะฝากฝังตนไว้กับคนไม่น่าไว้ใจหมายเลขหนึ่งตรงหน้า

“ผมว่าผมรอพี่เสืออยู่ที่นี่ดีกว่าครับ” พูดจบ เด็กหนุ่มก็ตั้งท่างับประตูปิด เห็นดังนั้น ธีทัตก็ร้องห้ามเสียงลั่น

“เฮ่ย! เดี๋ยวดิน้องเพียร! ไอ้เสือมันบอกให้พี่มารับน้องเพียรแทนมันจริง ๆ ตอนนี้มันติดประชุมอยู่ มันกลัวน้องเพียรจะหิว มันเลยใช้พี่ให้มารับเราไปรอมันที่ร้านก่อน” อังคารกวาดสายตามองหาแววพิรุธบนใบหน้าคู่สนทนาจนคนโตกว่ารีบพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองจ้าละหวั่น “ถ้าน้องเพียรไม่เชื่อพี่ ทำไมน้องเพียรถึงไม่โทรไปถามไอ้เสือมันดูล่ะ”

“...เอ่อ...” จริงอย่างที่ธีทัตว่า แต่ครั้นอังคารจะกดโทรหาสัตยาโดยอาศัยโพยที่นายตำรวจเคราเฟิ้มทิ้งไว้ก็อาจทำให้อีกฝ่ายสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองได้

“ไม่เป็นไร ๆ เดี๋ยวพี่โทรหาไอ้เสือให้เอง” สิ้นคำ ธีทัตก็จัดแจงต่อสายถึงบุคคลที่สามแถมยังเปิดลำโพงให้เด็กหนุ่มได้ยินบทสนทนาระหว่างพวกเขาไปพร้อม ๆ กัน

(ฮัลโหล มีไร)

“ห้องมึงเบอร์อะไรนะเสือ กูลืมแล้วว่ะ โทษที” ธีทัตอ้างลอย ๆ โดยไม่สนใจน้ำเสียงกระซิบกระซาบฟังลับ ๆ ล่อ ๆ ของคนปลายสายเลยสักนิด ฝ่ายอังคารที่ไม่เคยได้ยินเสียงของสัตยาทางโทรศัพท์มาก่อนก็อดแปลกใจกับเสียงแผ่ว ๆ ที่ขัดกับภาพชายหนุ่มเคราครึ้มหน้าบึ้งที่ปรากฏอยู่ตรงใจกลางจอไม่ได้ แต่แล้วคำตอบอย่างหนักแน่นและทันควันของสัตยาก็ทลายกำแพงแห่งความกังขาของเด็กหนุ่มลงในพริบตาเดียว

(สี่สองห้า แค่นี้นะมึง กูประชุมอยู่)

ติดประชุมจริง ๆ เหรอ

“เดี๋ยว! แล้วถ้ากูเคาะห้องเรียกน้องมึง น้องมึงจะไม่ด่าพ่อกูใช่ไหม” ธีทัตถามเพื่อนร่วมรุ่นพลางส่งสายตาล้อเลียนอังคารจนเด็กหนุ่มต้องหรุบตาเสมองพื้นเพื่อกลบเกลื่อนความกระดากโดยไม่ทันรู้ตัว   

(เออน่า น้องกูไม่ด่ามึงหรอก กูฝากมึงพาเพียรไปรอกูที่ร้านเลยนะ... แค่นี้นะเว่ย เดี๋ยวเจอกัน)

“ไปครับน้องเพียร พวกเราไปกันเลยเถอะ” นายตำรวจที่เพิ่งเก็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋ากางเกงหันมาชักชวนอังคารอย่างร่าเริง

“เอ่อ”

“ไปครับ ออกตอนนี้ รถไม่น่าจะเยอะ” ธีทัตกลายเป็นฝ่ายควบคุมสถานการณ์ทันทีที่เขายืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองได้สำเร็จ กระนั้นฝ่ายที่แม้จะดูโอนอ่อนลงบ้างแล้วอย่างอังคาร กลับยังคงสงวนท่าที หนำซ้ำยังแทบไม่ให้ความร่วมมือกับนายตำรวจเท่าที่ควรจะเป็น

“ทำไมต้องรีบด้วยล่ะครับ กว่าจะกินก็ตอนเที่ยงไม่ใช่เหรอ” อังคารตั้งข้อสังเกตเพื่อประวิงเวลา ลำพังแค่คิดว่าจะต้องอยู่กับธีทัตสองต่อสอง เด็กหนุ่มก็แทบต้องคอยแอบชำเลืองมองดูนาฬิกาทุก ๆ ห้านาที ขืนรีบแห่กันออกไปตั้งแต่สิบโมง เขานี่แหละที่จะขาดใจตายก่อนใครเพื่อน

“อ๋อ... ร้านที่ไอ้เสือมันอยากพาน้องเพียรไปกินอยู่แถว ๆ เขาตะเกียบน่ะครับ กว่าจะขับรถจากนี่ไปถึงโน่นก็เกือบชั่วโมง ออกตอนนี้แหละดีแล้วครับ” ธีทัตไม่เปิดโอกาสให้น้องเพื่อนปฏิเสธ ชายหนุ่มคลี่ยิ้มละไมพลางพยักเพยิด สลับกับส่งสายตากดดันเป็นระยะ ๆ จนแน่ใจว่าเด็กหนุ่มจะยอมทำตามความต้องการของเขาอย่างไม่มีข้อแม้

***********

“ดูไม่ออกหรือไงว่าตั้งใจทิ้งเบอร์ไว้ให้โทรหา” ขณะจอดรอสัญญาณไฟเขียว สัตยาก็เผลอทอดถอนใจอีกครั้งหลังพบว่า แม้เวลาจะล่วงเลยมาจนสิบโมงกว่า ทว่ากลับยังไม่มีหมายเลขแปลกตาโทรเข้าเครื่องของเขาเลยสักครั้ง กระทั่งสายอื่น ๆ ที่ขึ้นต้นด้วยรหัสโทรศัพท์ประจำจังหวัดเองก็ไม่เว้น   

หรือว่ายังไม่ตื่น?

“ใจคอจะไม่ตื่นมากินข้าวกินปลาหน่อยหรือไงไอ้ตัวแสบ” รำพึงรำพันกับตัวเองจนพอใจ ร่างหลังพวงมาลัยก็ถอนหายใจด้วยความหงุดหงิด

ก็รู้อยู่หรอกว่าป่วยการจะติติงเด็กเมื่อวานซืนด้วยเรื่องนอนกินบ้านกินเมือง แต่เพราะอ้อมกอดของเขาเองไม่ใช่หรือที่ช่วยบรรเทาอาการนอนผวาให้กับอีกฝ่ายได้ตลอดคืน... นี่เขาลุกมาตั้งเกือบชั่วโมงแล้วนะ ยังหลับคนเดียวต่อได้อีกเหรอ?

ซ้ำร้ายยิ่งเมื่อสัตยาลองคำณวนเวลานอนของอังคารในใจ ผลลัพธ์ที่นับได้เกือบสิบชั่วโมงติดกันก็ทำให้นายตำรวจยิ่งรู้สึกหงุดหงิดจนเผลอเหยียบคันเร่งพารถพุ่งทะยานทิ้งห่างเพื่อนร่วมทางแบบไม่เห็นฝุ่น “อย่างน้อย ๆ ก็น่าจะโทรมารายงานตัวเสียหน่อย คนอื่นจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”

อันที่จริง หากจะสืบสาวถึงสาเหตุที่ทำให้สัตยาร้อนรนจนพาลไปเสียทุกเรื่องคงต้องย้อนไปถึงบทสนทนาทางโทรศัพท์ซึ่งธีทัตเป็นฝ่ายโทรมาหาเขาเมื่อตอนเก้าโมงเช้าของวัน

(โทษทีว่ะมึง เมื่อคืนไม่รู้กูเผลอไปกดปิดเครื่องตอนไหน)

“ไม่เป็นไรมึง มีไร”

(มึงคุยได้ไหมวะเนี่ย เสียงมึงเหมือนยังไม่ตื่นเลยว่ะ) อารามดีใจที่ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลสำคัญกับเจ้าของคดี สัตยาจึงมองข้ามน้ำเสียงอ้อมแอ้มคล้ายไม่พร้อมจะพูดคุยของธีทัตไปโดยปริยาย

“เออ ๆ คุยได้” หลังจากจัดท่าทางให้เด็กขี้เซานอนต่อได้สำเร็จ สัตยาก็พยายามสะบัดหัวไล่ความง่วงแล้วลุกขึ้นไปหลบมุมคุยกับเพื่อนร่วมรุ่นในห้องน้ำ “เมื่อคืนกูจะโทรไปบอกมึงเรื่องขลุ่ย คือก...”
(เสือ อีกเดี๋ยวนายจะมาแล้ว ขอกูพูดก่อนแล้วกันนะ) แทนที่จะได้เป็นฝ่ายควบคุมบทสนทนา ธีทัตกลับแทรกขึ้นทันควัน  

“...” ฝั่งสัตยาที่กำลังคิดหาเรื่องชวนเชื่อมาประกอบคำอธิบายเกี่ยวกับฆาตกรให้เพื่อนร่วมอาชีพฟังจึงได้แต่ปล่อยให้คนปลายสายพรั่งพรูข้อมูลที่ต้องการอยู่ฝ่ายเดียว

(กูจะบอกมึงว่า ก่อนกูไปหาหมอเมื่อวาน กูทิ้งสำเนาล่าสุดของแฟ้มคดีขลุ่ยไว้ที่พี่เดียร์ชุดนึง ถ้าเช้านี้มึงว่าง ๆ มึงลองแวะไปคุยกับแกดูดิ ตอนนี้แกน่าจะพอบอกอะไรได้บ้างแล้วมั้ง)

“พี่เดียร์... พี่เดียร์ไหนวะ?” แม้ชื่อคุ้นหูของบุคคลที่สามจะกระตุ้นให้สัตยานึกถึงรุ่นพี่ร่วมสถาบันคนหนึ่ง ทว่าชายหนุ่มกลับอดถามขึ้นไม่ได้  ได้ยินดังนั้น ธีทัตจึงช่วยยืนยันความเข้าใจในบัดดล  

(ก็พี่เดียร์รุ่นหกสามไงมึง แกเพิ่งขอย้ายมาประจำที่เพชรเมื่อต้นปีนี้เองว่ะ นายคงเห็นกูงมเรื่องขลุ่ยอยู่นาน นายเลยแนะนำให้กูลองมาคุยกับแกเรื่องแนวทางการสืบคดีคนหาย เพราะแกเองก็ทำเคสทำนองนี้อยู่เหมือนกัน)

“เมื่อคืนกูแค่อยากจะบอกมึงว่ากูรู้แล้วนะว่าฆาตก...” สัตยาพยายามแย้งเพื่อดึงความสนใจของคู่สนทนาให้กลับเข้าสู่ประเด็นสำคัญที่สุด แต่เป็นอีกครั้งที่ธีทัตแทรกกลางปล้องโดยไม่อดทนรอฟังความจนจบ
(โทษทีมึง) เสียงเรียกหาธีทัตที่ดังลอดเข้าลำโพงยังช่วยสนับสนุนคำพูดของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี สัตยาจึงจำต้องทำหน้าที่ผู้ฟังที่ดีจนจบอย่างไม่มีทางเลือก (ยังไงมึงลองไปคุยกับแกดู เดี๋ยวไว้เที่ยง ๆ กูค่อยโทรหามึงอีกที โอเคนะ)

ก่อนหน้าจะเป็นตำรวจเต็มตัว สัตยาเคยตั้งปณิธานไว้ว่าจะไม่ก้าวก่ายการทำงานของใครด้วยไม่อยากให้คนอื่นล้ำเส้นงานของตัวเองเช่นกัน ที่ผ่านมา เขาจึงรอฟังข่าวคราวของเพียงออจากปากเพื่อนร่วมรุ่นตามแต่อีกฝ่ายจะเห็นสมควร แต่เมื่อเจ้าของคดีเปิดโอกาสให้เขาร่วมสังฆกรรมทั้งที มีหรือที่ผู้กองหนุ่มจะทำเอาหูไปนา เอาตาไปไร่แล้วปล่อยให้ไอ้ฆาตกรลอยนวล

อย่างไรก็ดี ภายหลังจากทิ้งอังคารให้นอนหลับอุตุอยู่ในห้องเพียงลำพังเพื่อออกรถมุ่งหน้าไปหารุ่นพี่ร่วมสถาบันได้เพียงไม่นาน ความรู้สึกกระตือรือล้นก็เริ่มจะเหือดหายเมื่อเด็กเลี้ยงแกะไม่ติดต่อมา และนั่นทำให้สัตยาอดนึกถึงถ้อยคำที่เพียงออหมั่นย้ำกับเขาทุกครั้งหลังอังคารเป็นลมชักไม่ได้... อย่าลืมนะครับพี่เสือ ห้ามทิ้งเพียรให้อยู่คนเดียวเด็ดขาด

“ไม่เป็นไร แค่เดี๋ยวเดียวก็น่าจะเสร็จ” ร่างหลังพวงมาลัยปลุกปลอบตัวเองพร้อมกับโยนความคิดไม่เข้าท่าทั้งหลายทิ้งไป ทว่าขณะที่ชายหนุ่มตั้งท่าจะหักเลี้ยวเข้าสถานีตำรวจประจำตัวเมืองเพชร โทรศัพท์ก็แผดเสียงเรียกเข้าที่เขาเพิ่งได้ยินไปเมื่อสองวันก่อน... เสียงเรียกเข้าที่เขาตั้งให้หมายเลขของเพียงออคนเดียวเท่านั้น

“ขลุ่ย?!!” เป็นเพราะปักใจเชื่อสิ่งที่อังคารบอกเล่าไปแล้วจนหมดใจ เสียงเพลงที่ได้ยินจึงไม่ต่างอะไรกับสัญญาณเตือนให้สัตยารู้ว่า เพียงออกำลังต้องการสื่อสารอะไรบางอย่าง...

พี่เสือห้ามทิ้งเพียรให้อยู่คนเดียวเด็ดขาดนะครับ

แรกที่เริ่มสงสัยว่าเพียงออถึงแก่ความตายไปแล้วนั้น สัตยาเคยฟุ้งซ่านถึงขั้นจินตนาการสถานการณ์อันโหดร้ายที่คร่าชีวิตน้องชายบุญธรรมเอาไว้หลากหลายรูปแบบ แต่ทันทีที่สมองลองสับเปลี่ยนตัวละครจากเพียงออเป็นอังคาร ความหวาดกลัวเหลือประมาณก็ถาโถมเข้าปกคลุมทุกอณูของจิตใจจนนายตำรวจออกอาการกระวนกระวาย “เพียร!!

จากที่ตั้งใจว่าจะเข้าพบนายตำรวจรุ่นพี่ที่รั้งตำแหน่งหัวหน้าชุดสืบสวนประจำจังหวัดตามที่ธีทัตแนะนำ ภาพไอ้ตัวแสบถูกจับตัวไปทำทารุณกรรมก็ทำให้สัตยาเปลี่ยนใจ หมุนพวงมาลัยกลับไปยังทิศทางที่จากมาพร้อมกับต่อสายตรงเข้าห้องพักที่โรงแรมทันที “รับสิเพียร... ตื่นมารับสายฉันสิเพียร!!


***********

“น้องเพียรชอบฟังเพลงไหมครับ”

“ฟังได้ครับ”

“งั้นพี่เปิดเพลงนะ”

“ครับ”

“ร้อนหรือเปล่าครับ”

“ไม่ครับ”

“ถ้าร้อนบอกพี่นะครับ พี่จะได้ปรับแอร์ให้”

“ครับ”

“น้องเพียรเคยไปเขาตะเกียบไหมครับ”

“ไม่เคยครับ” คนขับอมยิ้มน้อย ๆ คล้ายชอบใจกับคำตอบของน้องชายเพื่อนเป็นพิเศษ

“ไม่เคยก็ไม่เป็นไร เดี๋ยววันนี้ก็ได้ไปแล้วนะ” พูดจบ ธีทัตก็เลี้ยวซ้ายออกจากทางหลวงหลักแล้วบังคับรถให้วิ่งไปตามถนนเลนเดียวของย่านที่อยู่อาศัย ฝ่ายนักท่องเที่ยวมือใหม่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ตั้งหน้าตั้งตาอ่านป้ายโฆษณาข้างทางเพื่อหาข้ออ้างที่จะไม่ต้องสนทนากับเจ้าของรถให้ยิ่งลำบากใจ  

“ครับ” หลังจากเริ่มใช้ชีวิตตามลำพัง อังคารก็หลงลืมความรู้สึกอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออกไปจนหมดสิ้น ไม่นึกเลยว่า เพียงแค่ได้นั่งรถที่ธีทัตขับไม่กี่นาที เด็กหนุ่มจะรู้สึกอยากแกล้งหลับเพื่อหลีกหนีการพูดคุยกับอีกฝ่ายเสียให้รู้แล้วรู้รอด

แม้อังคารจะยังไม่รู้ถึงที่มาที่ไปของอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกยามอยู่ใกล้ ๆ กับธีทัตอย่างแน่ชัด แต่ลึก ๆ แล้ว เด็กหนุ่มกลับรู้สึกว่า เพื่อนร่วมงานของสัตยาเป็นบุคคลอันตรายผิดกับสีหน้าท่าทางเป็นมิตรที่เจ้าตัวพยายามแสดงออก อย่างไรก็ดี ขออย่าให้เป็นเขาเลยที่จับไต๋อีกฝ่ายได้จัง ๆ เพราะหากอีกฝ่ายเผยตัวตนที่แท้จริงเอาตอนนี้ อังคารก็ไม่รู้ว่าจะเอาตัวรอดจากรถที่กำลังวิ่งร้อยยี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงด้วยวิธีใด

“น้องเพียรเป็นญาติฝั่งไหนของไอ้เสือเหรอครับ”

“พ่อผมเป็นน้องของพ่อพี่เสือครับ” ต่อให้ตกอยู่ในสถานการณ์คับขันสักเพียงใด อังคารก็ยังไม่ทิ้งลายเด็กเลี้ยงแกะให้ใครต้องผิดหวัง... เชื่อเถอะว่าหากสัตยามาได้ยินประโยคเมื่อครู่กับหู  ผู้กองมนุษย์ถ้ำจะต้องภูมิใจกับความสามารถในการปั้นน้ำเป็นตัวของเขาเอามาก ๆ

“เหรอ... อายุเท่าไรแล้วเนี่ย”

“ยี่สิบครับ”

“โห ถ้าน้องเพียรไม่บอก พี่ก็ไม่เชื่อนะครับเนี่ย น้องเพียรดูเด็กกว่าอายุจริงมาก ๆ เลย”

“ครับ” หากเป็นคนอื่นคงโดนอังคารกระแทกเสียงใส่โทษฐานที่พูดจาจี้จุดอ่อน แต่เพราะอีกฝ่ายไม่น่าไว้ใจ เด็กหนุ่มจึงพยายามไม่แสดงอารมณ์โจ่งแจ้งจนเผยถึงเจตนาที่แท้จริงของตัวเอง

“น้องเพียรไม่ค่อยสบายเหรอครับ”

“ครับ?”

“มีแต่คนป่วยเท่านั้นแหละครับที่ไปหาหมอ” คนพูดยิ้มพลางส่งสายตาเย้าแหย่คล้ายกับต้องการตีสนิทด้วย เห็นดังนั้น อังคารก็แอบเบะปากในใจทว่ากลับไม่ลืมที่จะตอบคำด้วยความสุภาพ

“อ๋อ ครับ”

“น้องเพียรป่วยเป็นอะไรเหรอครับ”

ผีเจาะปากมาพูดหรือไง ทำไมไม่ขับรถเงียบ ๆ ไปเสียทีวะ?!

“ผมเพลีย ๆ น่ะครับ พี่เสือเลยพาไปหาหมอ” แม้จะยังคงรักษามารยาทและระยะห่างได้อย่างดีเยี่ยม แต่ด้วยความที่เริ่มจะรู้สึกรำคาญเพื่อนร่วมงานของสัตยาเสียจนไม่อยากต่อบทสนทนาด้วยอีกต่อไป เด็กหนุ่มจึงนั่งเบี่ยงตัวหันมองข้างทางอย่างเต็มรูปแบบ กระนั้น เสียงเครื่องยนต์ที่ค่อย ๆ ผ่อนลงพร้อม ๆ กับความเร็วก็ทำให้อังคารเริ่มตื่นตระหนก

“แล้วกระจกตาที่เพิ่งเปลี่ยนใหม่ใช้งานได้ดีไหมครับน้องเพียร”

“ฮะ?!” คำถามของธีทัตไม่ได้ทำให้อังคารตกใจได้มากเท่ากับผืนผ้าที่คนขับโปะลงบนจมูก เมื่อรู้แน่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เด็กหนุ่มก็พยายามฝืนกลั้นลมหายใจพร้อม ๆ กับแสร้งสวมรอยหมดสติ เคราะห์ดี ก่อนที่อังคารจะเริ่มทุรนทุรายเพราะขาดอากาศหายใจจนหลวมตัวสูดกลิ่นยาสลบเข้าจริง ๆ อีกฝ่ายก็รามือแล้วลงจากรถที่เพิ่งเปิดสัญญาณไฟจอดฉุกเฉินไปเสียแล้ว

แม้จะเห็นช่องทางในการหลบหนีอยู่ตรงหน้า แต่เด็กหนุ่มกลับนอนนิ่งพลางเงี่ยหูรอฟังความเคลื่อนไหวของธีทัตเพื่อความแน่ใจอยู่พักใหญ่ จนเมื่อได้ยินเสียงเปิดท้ายรถพร้อม ๆ กับแรงสั่นสะเทือนของฝากระโปรงหลัง อังคารก็เปิดประตูฝั่งคนนั่งแล้วผลุนผลันลงจากรถด้วยความไวแสง

“โอ๊ยยยย!!” ทว่ายังไม่ทันที่สองขาจะพาร่างผอมแกร็นพุ่งทะยานไปถึงไหนต่อไหน ฝ่ามือหยาบกร้านของชายหนุ่มอีกคนก็กระชากคอเสื้อเขาเอาไว้ ก่อนที่กำปั้นลุ่น ๆ จะเสยกระแทกเข้าที่ปลายคางจนเด็กหนุ่มตาค้าง จากนั้นจึงหมดสติในไม่กี่อึดใจให้หลัง

*****|| TBC ||*****


ตอนใหม่มาแล้วน้า ตามไปอ่านกันได้เล้ยยย!!
รักชอบประการใด ฝากข้อความแทนใจไว้ให้เราอ่านบ้างน้าคนดีย์!! ^^



No comments:

Post a Comment