The 12th Glance
“คุณครับ”
ผู้กองหนุ่มละล่ำละลักขณะพยายามสูดลมหายใจสะกดอาการเหนื่อยหอบพลางกวาดสายตามองไปรอบ
ๆ โถงรับรองของโรงแรมอย่างเอาเป็นเอาตาย
“คะ?”
“น้องผมได้ฝากข้อความอะไรไว้บ้างไหมครับ”
หลังจากแน่ใจว่าอังคารไม่ได้แอบหลบอยู่ตรงซอกมุมไหนของห้องพัก
สัตยาที่ร้อนใจจนไม่อาจทนรอลิฟท์ได้ก็วิ่งหน้าตื่นลงบันไดจากชั้นสี่เพื่อมาสอบถามกลุ่มคนที่น่าจะรู้เห็นความเป็นไปของแขกทั้งหมดดียิ่งกว่าใคร
ๆ ...
ขอให้พนักงานต้อนรับของโรงแรมรู้เห็นอะไรที่เป็นประโยชน์กับเขาบ้างเถอะ
เพราะสิ่งสุดท้ายที่สัตยาต้องการ คือ การวิ่งเต้นเร่งเอกสารกว่าครึ่งค่อนวันเพื่อแลกกับการขอตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดของโรงแรมเพียงไม่กี่วินาที
“น้องคุณ?” สีหน้าเคร่งเครียดเหมือนคนแบกโลกของชายหนุ่มตรงหน้าทำให้พนักงานต้อนรับวางมือจากแป้นพิมพ์ด้านหลังเคาน์เตอร์เพื่อทบทวนเหตุการณ์ต่าง
ๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าของวันอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะคลี่ยิ้มการค้าพลางตอบคำถามของสัตยาอย่างสุภาพ
“นอกจากกุญแจ น้องคุณก็ไม่ได้ฝากอะไรไว้ค่ะ”
หรือว่าจะแค่ออกไปซื้อของกินแถว
ๆ นี้
“แล้วน้องผมออกไปตอนกี่โมงครับ?”
“เอ่อ น้องคุณลงมาฝากกุญแจตอนประมาณสิบโมงครึ่งค่ะ”
ครึ่งชั่วโมง...
น่าจะยังไปไหนได้ไม่ไกล
.
.
... เว้นเสียแต่ว่า...
“แล้วพอจำได้ไหมครับว่า
ตอนที่น้องผมเอากุญแจห้องมาฝาก มีใครลงมากับเขาหรือเปล่าครับ” แม้จะแอบหวังให้คำตอบ
คือ อังคารหนีออกไปเที่ยวเล่นตามลำพัง แต่ลึก ๆ แล้ว สัตยากลับสังหรณ์ใจว่า ทุกอย่างจะไม่เป็นเช่นนั้น
“พอดีดิฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ
แต่ถ้าจำไม่ผิด ดูเหมือนว่าหลังจากฝากกุญแจแล้ว น้องคุณจะออกไปข้างนอกพร้อมกับผู้ชายคนนึงนะคะ”
นอกจากเขา เพียรยังจะออกไปไหนกับใครได้อีก...
หรือว่า?!!...
“คุณพอจะบอกได้ไหมครับว่าคนที่ออกไปกับน้องผมรูปร่างหน้าตาเป็นยังไง?”
ทั้งที่พยายามหักห้ามใจไม่ให้ทึกทักไปเองล่วงหน้า
แต่เมื่อได้ยินคำตอบเมื่อครู่ของพนักงานโรงแรม อยู่ดี ๆ ชื่อของคน ๆ
หนึ่งที่เขาและอังคารเพิ่งพาดพิงถึงในบทสนทนาเมื่อคืนไปหมาด ๆ กลับผุดขึ้นในห้วงสำนึกของสัตยาอย่างไม่อาจหักห้าม
‘เพื่อนคุณที่ชื่อท็อปเขาเป็นคนยังไงเหรอ’
‘ไอ้ท็อปมันนิสัยดี ไว้ใจได้
แถมยังเป็นตำรวจที่เก่งมาก ไม่งั้นฉันคงไม่ฝากให้มันช่วยตามหาขลุ่ยอีกแรงหรอก’
‘...เหรอ... แต่เขาดูแปลก ๆ...’
“อืม ดิฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะเพราะเห็นแค่แว้บเดียว รู้แต่ว่าน้องคุณออกไปกับผู้ชายใส่หมวกแก๊ป
ผิวขาว แล้วก็ตัวสูงใหญ่ประมาณคุณนี่แหละค่ะ” สิ้นคำ เจ้าหล่อนก็หันไปขอความเห็นเพิ่มเติมจากเพื่อนร่วมกะ
ฝ่ายสัตยาเองก็ไม่ปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์ ชายหนุ่มรีบค้นรูปถ่ายของผู้ต้องสงสัยหนึ่งเดียวในมือถือแล้วยื่นให้พนักงานโรงแรมเพื่อประกอบการตัดสินใจทันที
“ใช่ผู้ชายคนนี้หรือเปล่าครับ?”
แน่นอนว่าเมื่อมีหลักฐานให้เปรียบเทียบกับภาพในความทรงจำ
มีหรือที่พนักงานโรงแรมทั้งสองจะหลงลืมคนที่เพิ่งเห็นผ่านตาไปเมื่อราว ๆ หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้า
“ผู้ชายคนนี้แหละค่ะที่ออกไปกับน้องคุณ”
ไม่ใช่แค่พนักงานหญิงตรงหน้าเท่านั้นที่ช่วยยืนยันความเข้าใจของนายตำรวจ
หากแต่เจ้าหน้าที่ต้อนรับชายอีกคนก็พยักหน้าหงึกหงักพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย
รู้ดังนั้น สัตยาจึงต่อสายหาลูกน้องของธีทัตเพื่อตรวจเช็กข้อมูลวงในเพื่อความแน่ใจอีกคำรบ
จวบจนเมื่อคนปลายสายยืนยันแน่ชัดแล้วว่า
ตั้งแต่เวลาเริ่มงานเป็นต้นมา ยังไม่มีผู้ใดเจอธีทัตเลยสักคน ยิ่งไปกว่านั้น กำหนดการของเจ้านายในวันนี้ยังผิดไปจากที่เพื่อนร่วมรุ่นของเขาเอ่ยอ้างแบบลิบลับ
สัตยาก็วิ่งพรวดพราดออกไปกระโดดขึ้นรถที่จอดขวางประตูทางเข้าด้านหน้าโรงแรมทันที
แต่แม้ชายหนุ่มจะรู้แล้วว่าอังคารหายไปกับใคร
คำถามเร่งด่วนที่นายตำรวจยังต้องหาคำตอบให้ได้ก็คือ เขาจะไปตามหาไอ้ตัวแสบกับธีทัตได้ที่ไหนกัน?
***********
“หึ!” ภาพสะท้อนจากกระจกมองหลังทำให้คนขับรถหลุดหัวเราะอย่างพึงพอใจ
อยู่ดีไม่ว่าดี
เสือกสะเออะโผล่มาให้คู่กรณีอย่างเขาเจอตัวถึงที่ แถมยังมีหน้ารวมหัวกับตัวปัญหาอย่างสัตยาด้วยเสียอีก...
โธ่ คงจะหลงเข้าใจผิดว่ามีตำรวจคอยคุ้มกะลาหัวอยู่ใกล้ ๆ สินะ ถึงได้คิดว่าตัวเองเก่งกล้าสามารถ
ริจะหนีเอาตัวรอด แต่ขอโทษเถอะไอ้หนู เขาน่ะทำเรื่องแบบนี้มาเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว
มีหรือจะพลาดปล่อยให้เหยื่อที่หมายตาหลุดมือไปง่าย ๆ
เมื่อบังคับรถเลี้ยวเข้าจอดได้ดั่งใจ
ธีทัตก็ละสายตาจากร่างผอมแกร็นที่นอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่บนเบาะหลังเพื่อนั่งอ้อยอิ่งหวนระลึกถึงเหตุการณ์ที่เป็นต้นตอของสารพันเรื่องวุ่นวายที่กำลังจะปิดฉากลงในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้โดยเฉพาะ
เย็นวันหนึ่ง
จู่ ๆ หมายเลขโทรศัพท์ที่ขึ้นต้นด้วยเลขศูนย์สามสองก็ทำให้ธีทัตซึ่งจวนจะกลับถึงบ้าน
เบนเข็มเปลี่ยนทิศทางบังคับพวงมาลัยมุ่งหน้าลงใต้โดยแทบไม่เสียเวลาใคร่ครวญ และก็นับว่าตัวเองคิดถูกจริง
ๆ ที่ยอมขับรถฝ่าความมืดถ่อมาไกลถึงเพชรบุรีภายในคืนนั้น
เพราะหากไม่ได้เขาเข้ามาสะสางปัญหาให้
ชยินคงถูกนายลงโทษขั้นเด็ดขาดจนเสียผู้เสียคนยิ่งไปกว่านี้
”ไอ้วิน! มึงทำเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย?!” น่าแปลกที่จนถึงตอนนี้
ธีทัตยังคงจดจำความรู้สึกโกรธเกรี้ยวเมื่อแรกเห็นชยินกอดศพร้องไห้ราวกับคนเสียสติได้ไม่ลืม
เด็กเวรนั่นประคองซากไร้ชีวิตเอาไว้ด้วยสัมผัสทะนุถนอมราวกับถูกหล่อหลอมขึ้นมาจากแก้วเนื้อดี
แต่ครั้นเมื่อมันตระหนักได้ว่า สิ่งที่อยู่ในอ้อมกอดไม่ตอบสนอง มันก็เขย่าร่างนั้นอย่างไม่ปรานีปราศรัยประหนึ่งเครื่องระบายอารมณ์ก็ไม่ปาน
“...ขลุ่ย
พี่ขอโทษ ขลุ่ยฟื้นขึ้นมาคุยกับพี่ก่อนสิครับ... ขลุ่ย ขลุ่ย!”
“มึงฆ่าคนทั้งที่ไม่มีใบสั่งได้ยังไง?
มึงฝ่าฝืนคำสั่งของนายได้ยังไง? มึงทำแบบนี้ได้ยังไง มึงทำได้ยังไง... ฮะไอ้วิน?!”
“...ขลุ่ย
พี่รักขลุ่ยนะครับ... ขลุ่ย ตื่นเถอะนะ พี่ขอร้อง...”
“กูบอกมึงแล้วใช่ไหมว่าถ้าฆ่าแล้วไม่ได้อะไร
ห้ามฆ่าคนตามใจเด็ดขาด!...
ปล่อยศพนั่นเดี๋ยวนี้เลยนะมึง! เดี๋ยวกูจะเอาไปทิ้งให้เอง”
“ขลุ่ย!
อยู่กับพี่นะขลุ่ย!” นอกจากจะไม่ยินดียินร้ายกับคำสั่งของธีทัตแล้ว
ชยินยังขัดขวางไม่ให้นายตำรวจแตะต้องศพด้วยการออกแรงรัดร่างไร้วิญญาญเสียแน่นแถมยังนั่งเอาตัวบังไว้เสียอีก
“ปล่อยสิวะไอ้วิน... มึงอยากให้คนอื่นเอาเรื่องนี้ไปฟ้องนายหรือไง?!
ปล่อย! กูจะเอาศพไปทิ้ง!”
“ขลุ่ย!
ขลุ่ย!
ขลุ่ย!” ถ้าไม่เสียใจจนเป็นบ้า
ชยินคงไม่กล้างัดข้อยื้อยุดศพกับธีทัตทั้งที่โดนขึ้นเสียงใส่ไม่ขาดปากแน่ ๆ
แต่ขืนนายตำรวจยอมโอนอ่อน ปล่อยให้เด็กเวรกอดก่ายร่ำอาลัยศพตามอำเภอใจ สุดท้าย เขาเองนี่แหละที่ต้องก้มหน้ารับโทษทัณฑ์ทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว
ดังนั้น การกำจัดซากนั่นไปให้พ้น ๆ เสียตั้งแต่เรื่องยังไม่แดงถึงหูนาย จึงเป็นทางออกที่ธีทัตเลือกโดยไม่ลังเล
“กูบอกให้ปล่อยไงวะไอ้เหี้ย!” สิ้นคำ ธีทัตที่โกรธจนเลือดขึ้นหน้าก็ประเคนฝ่าเท้ายันเข้ากลางอกของชยินจนอีกฝ่ายเสียหลักยอมปล่อยมือจากร่างไร้วิญญาณทั้งที่ไม่ตั้งใจ
และนั่นก็ทำให้ผู้กองหนุ่มได้เห็นสภาพศพเต็ม ๆ ตาเป็นครั้งแรก “เฮ่ย! แม่งเอ๊ย! มึงนี่ขยันหาเรื่องให้กูจังเลยนะไอ้วิน
นี่มึงไม่รู้ใช่ไหมว่าไอ้เด็กนี่มันเป็นใคร?!”
“...ขลุ่ย ขลุ่ย...
ขลุ่ย...”
“โธ่โว้ยไอ้วิน!
กูล่ะอยากจะฆ่ามึงให้ตาย
ๆ ไปเสียจริง ๆ !”
“ขลุ่ย!
เอาขลุ่ยคืนมานะ! ขลุ่ย! ขลุ่... โอ๊ย!” ยิ่งเมื่อตระหนักถึงความสำคัญของคนตาย
ธีทัตก็ยิ่งควบคุมอารมณ์ได้ยากขึ้นทุกขณะจิต ชายหนุ่มเตะชยินที่พยายามยื้อแย่งร่างของเพียงอออีกครั้งจนอีกฝ่ายล้มกลิ้งไม่เป็นท่าก่อนจะกระทืบซ้ำเสียเต็มรัก
“ถ้ามึงไม่อยากช้ำในตาย
ก็นั่งเฉย ๆ อย่าออกไปเดินเพ่นพ่านที่ไหน เข้าใจไหมไอ้วิน”
“...”
“กูถามว่าเข้าใจไหม?”
“...ครับเฮีย...”
หลังจากได้ยินคนเป็นรับปากเป็นมั่นเหมาะ
ธีทัตก็หันมาสนใจคนตายที่ถูกตนอุ้มขึ้นพาดบ่าต่อทันที “เฮ่อ! ไม่รู้เก็บกระจกตาตอนนี้จะยังทันอยู่ไหม... เอาวะ
เดี๋ยวไปขอให้อาหมอช่วยดูให้อีกทีแล้วกัน”
จริงอยู่ว่าแม้การตัดสินใจในครั้งนั้นจะทำให้ธีทัตรู้สึกโล่งอกที่ช่วยปกปิดความผิดของชยินได้ทันการ
หนำซ้ำพวกเขายังทำเงินจากตาข้างหนึ่งของศพได้อีกต่างหาก ทว่าทุกครั้งที่ผู้กองหนุ่มเผลอนึกถึงเหยื่อซึ่งถูกชยินพลั้งมือฆ่า
เขาก็อดหนักใจไม่ได้...
หากรู้สักนิดว่าคนที่ทำให้ชยินพร่ำเพ้อละเมอหาอยู่เป็นแรมเดือน
จนต้องพากันมาพลอดรักถึงที่บ้านเพชรบุรี คือ น้องบุญธรรมของเพื่อนร่วมรุ่นที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
ธีทัตคงห้ามปราม หรือไม่ก็ออกหน้ากีดกันความรักครั้งนี้ของชยินจนถึงที่สุด
“...อือ...”
เสียงครางที่ดังมาจากตอนหลังของรถเรียกสติของชายหนุ่มให้กลับคืนสู่ปัจจุบันขณะอีกครั้ง
เมื่อแน่ใจแล้วว่าญาติรับสมอ้างของสัตยายังไม่ฟื้น ร่างสูงใหญ่หลังพวงมาลัยก็ค่อย
ๆ ก้าวขาลงจากรถเพื่อเริ่มลงมือกำจัดขวากหนามสุดท้ายตามแผนการที่ตั้งใจไว้โดยไม่รอช้า
***********
ขณะรอฟังผลการตรวจเช็กภาพจากกล้องวงจรปิดที่ติดตามเสาไฟฟ้าในละแวกโรงแรมจากตำรวจจราจรในพื้นที่ตามคำแนะนำของรุ่นพี่ที่ตนเบี้ยวนัดเอาดื้อ
ๆ สัตยาก็ขับรถวนไปรอบ ๆ ตัวเมืองเพื่อมองหาพาหนะซึ่งดูคลับคล้ายคลับคลากับรถคันที่ธีทัตขับมาจอดตรงหน้าคลินิกเมื่อวาน
ทว่าภายหลังจากปล่อยให้เวลาล่วงเลยผ่านไปกว่าค่อนชั่วโมง เขาก็เริ่มรู้สึกเป็นกังวลกับสวัสดิภาพของอังคารจนสมาธิในการขับขี่หดหาย
รู้ดังนั้น ผู้กองหนุ่มจึงเบี่ยงรถแล้วจอดเทียบข้างทางเพื่อนั่งหลับตาตั้งสติทันที
“พี่เสือ”
หืม?
เสียงที่ได้ยินแผ่ว ๆ
ทำให้สัตยาเบิกตากว้างพลางหันมองไปรอบ ๆ ตัวอย่างเลิ่กลั่ก
ทว่าเมื่อพบเพียงความว่างเปล่าภายในห้องโดยสาร ชายหนุ่มก็โขกหัวลงกับพวงมาลัยซ้ำ ๆ
ด้วยหวังว่าความรวดร้าวทางกายจะช่วยลดทอนความคิดฟุ้งซ่านในหัวสมองลงได้บ้าง
“พี่เสือ” โชคดีที่อาการเจ็บบริเวณหน้าผากทำให้สัตยาแน่ใจล้านเปอร์เซนต์ว่า
เสียงเพรียกที่เพิ่งผ่านเข้าโสตประสาท หาใช่ผลพวงจากความว้าวุ่นใจอย่างที่เผลอทึกทัก
ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์จึงตั้งใจกวาดตามองหาที่มาของเสียงปริศนาอย่างเอาจริงเอาจังอีกครั้ง
“ขลุ่ย!” แม้จะตกใจกับภาพแผ่นหลังของน้องชายต่างสายเลือดที่เพิ่งลอยหายเข้าไปในส่วนท้ายของรถตู้แช่คันที่เพิ่งวิ่งผ่านหน้า
แต่จิตใต้สำนึกที่พะวงถึงความปลอดภัยของอังคารยิ่งกว่าอะไรก็สั่งให้ร่างกายของสัตยาตอบสนองต่อคำใบ้ของเพียงอออย่างทันท่วงที...
เอาเถอะ ถึงแม้จะหวังพึ่งพาเพื่อนร่วมอาชีพในท้องที่ไม่ได้ แต่สุดท้ายผีสางก็ยังไม่ทอดทิ้งเขาให้กลัดกลุ้มอยู่คนเดียวอีกแล้ว
***********
“เพียร
ตื่นเถอะ”
นี่คงเป็นความฝัน
เพราะตั้งแต่จำความได้ น้อยครั้งนัก ที่จะมีใครสักคนปลุกเขาให้ตื่นจากนิทราด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลชวนฟังขนาดนี้
ทว่าครั้นจะลืมตาเพื่อกลับมาเผชิญโลกอีกครั้ง
เด็กหนุ่มก็ยังอดเสียดายช่วงเวลาที่จะได้พักผ่อนยาว ๆ โดยไม่ถูกฝันร้ายรบกวนไม่ได้
ดังนั้นในเมื่ออีกฝ่ายไม่ส่งเสียงทักท้วงใด ๆ อังคารก็ถือวิสาสะขดตัวพลางเปลี่ยนท่านอนให้สบายยิ่งขึ้น
กระนั้นแค่เด็กหนุ่มขยับปรับเปลี่ยนองศาของร่างกายเพียงองคุลี
ความรู้สึกเจ็บแปลบอันเป็นผลจากการที่ทั้งแขนและขาถูกรวบมัดไพล่ไปด้านหลังเป็นระยะเวลานานก็ทำให้อังคารสะดุ้งตื่นทั้งที่ไม่เต็มใจ
“เฮ่ย!” แทนที่สารรูปน่าสมเพชของตัวเองในเวลานี้จะทำให้เด็กหนุ่มตระหนกถึงขีดสุด
ทว่ากลับกลายเป็นบรรยากาศรอบ ๆ
ตัวเขาต่างหากที่สร้างความประหลาดใจแก่อังคารจนยากจะพรรณนา
ถ้าเสียงเรียกหวานหูเมื่อกี๊คือส่วนหนึ่งของความฝัน...
หมายความว่าความมืดมนอนธการที่ห้อมล้อมตัวเขาจนมองอะไรไม่เห็น
คือ โลกแห่งความเป็นจริงอย่างนั้นน่ะเหรอ?
แล้วไอ้ตำรวจชั่วคนนั้นมันหายหัวไปไหน?
มันไม่ได้จับเขามาเพื่อฆ่าทิ้งหรืออย่างไร?
อังคารพลิกตัวนอนตะแคงเพื่อถ่ายเทน้ำหนักจากแขนและขาที่ถูกกดทับอย่างผิดท่าก่อนจะเพ่งตามองไปรอบ
ๆ ตัวช้า ๆ เพื่อเก็บรายละเอียดและหาทางหนีทีไล่ไปพร้อม ๆ กัน
ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิด
สถานที่ ๆ ไอ้ตำรวจเก๊มันจับเขามาขัง น่าจะเป็นพื้นที่โล่ง ๆ ไม่มีแม้กระทั่งหน้าต่างหรือประตูเลยสักบาน
ไม่อย่างนั้นมันคงจะไม่มืดสนิทเหมือนโดนตัดไฟแบบนี้แน่ ๆ ...
เดี๋ยวนะ! ถ้าไอ้ห้องเส็งเคร็งนี่ไม่มีหน้าต่างหรือประตู
แล้วเขาเข้ามาอยู่ในนี้ได้ยังไง?
หรือว่าไอ้ตำรวจนั่นมันจงใจจับเขามาทรมานอย่างช้า
ๆ จนกว่าจะขาดใจตาย?
เอาไงล่ะทีนี้
มึงจะหนีไปจากที่นี่ได้ยังไงวะไอ้เพียร?
“....กลับ...
หาพี่...ครับ รอ...”
เสียงทุ้มต่ำฟังไม่ได้ศัพท์ที่ดังแผ่ว ๆ มาจากที่ไหนสักแห่งทำให้ความคิดฟุ้งซ่านที่ตีกันในหัวมีอันชะงักค้าง
อังคารนอนตัวแข็งพลางกลั้นหายใจคล้ายกับกลัวว่าถ้าเผลอสูดลมหายใจรุนแรงเกินไปแล้วจะโดนคนร้ายจับตัวได้อย่างไรอย่างนั้น
ใครวะ?
ใช่เสียงไอ้ตำรวจเก๊นั่นไหม?
“...มา...พี่...ไหม...”
รอบนี้ เสียงพึมพำนั้นมาพร้อมกับแสงสว่าง เหตุที่อังคารรู้ว่าคนข้างนอกเปิดไฟ
นั่นก็เพราะปลายทางของลำแสงนั้นลอดผ่านช่องเล็ก ๆ สาดเข้ามาถึงด้านในห้องจนเด็กหนุ่มเริ่มมองเห็นกรอบประตูเข้า
– ออกได้อย่างชัดเจน
ฉิบหายแล้วไอ้เพียร! มึงนี่มันซวยไม่เลิกจริง ๆ !!!
และก็เป็นภาพกรอบประตูซึ่งมีแสงสาดส่องลอดตามช่องเพียงวอมแวมนี่เองที่ช่วยย้ำเตือนความจำจนอังคารนึกเรื่องสำคัญบางประการได้ทันที...
ไม่ผิดแล้ว ที่นี่ คือ สถานที่แห่งเดียวที่เขามักจะหวนกลับมาเสมอทุกครั้งที่ตกอยู่ในห้วงฝันร้าย
และที่แย่ยิ่งไปกว่านั้น นั่นคือมันยังเป็นลานประหารของเพียงอออีกด้วย
“เฮ่ย!” ทันทีที่อังคารกระหวัดนึกถึงบุคคลผู้ล่วงลับ
ดวงวิญญาณที่เฝ้ารังควานเขามาตลอดสองเดือนก็ปรากฏกายขึ้นตรงหน้า และก่อนที่คนเป็นจะถูกความหวาดกลัวจู่โจมจนเสียสติ
เพียงออก็สั่งให้เศษเสี้ยวของเลือดเนื้อที่ยังคงมีชีวิตอยู่ภายในร่างกายของอังคารฉายภาพที่เจ้าตัวสมควรได้เห็นเป็นที่สุดในวินาทีนั้นเอง
หลังจากสบสายตากับเพียงออเพียงอึดใจ
จู่ ๆ กรอบสายตาของอังคารที่เคยเห็นห้องมืด ๆ เมื่ออึดใจก่อนหน้า ก็เปลี่ยนมาจดจ้องมองดูใบมีดและเครื่องมือผ่าตัดครบชุดอย่างช้า
ๆ ราวกับเจ้าของคลองจักษุมีเวลาชั่วกาลปวสานให้ผลาญเล่น
ทว่าระหว่างที่รับชมการถ่ายทอดสดภาคบังคับอยู่นั้นเอง เด็กหนุ่มกลับพบว่า แทนที่รอบนี้เขาจะต้องทนดูหนังเงียบที่มีเนื้อหาไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองเหมือนทุกที
คราวนี้อังคารกลับได้ยินเสียงพูดพึมพำดังแผ่ว ๆ ประกอบาภาพเคลื่อนไหวเป็นระยะ
ๆ
“...ขลุ่ย...
หา... แล้ว... ครับ... คิดถึง...นะ...” แม้คุณภาพเสียงจะไม่คมชัด แต่เชื่อเถอะว่า
หากต้องทนฟังเสียงดังกล่าวในความฝันเป็นประจำทุก ๆ ค่ำคืน แถมถ้ายิ่งเพิ่งได้ยินเสียงนั่นไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนด้วยแล้ว
ต่อให้อยากลืมแค่ไหน จิตใต้สำนึกของเขาก็ยังจำมันได้ฝังใจอยู่ดี
นี่มันเสียงของไอ้ฆาตกรที่ฆ่าขลุ่ยนี่หว่า!!
จังหวะที่อังคารมัวแต่ครุ่นคิดจนจิตใจวุ่นวายอยู่นั้น
กรอบสายตาของเขาก็เบนไปจับจ้องหลอดแก้วขนาดเหมาะมือซึ่งมีลูกนัยน์ตาข้างหนึ่งลอยคว้างอยู่ท่ามกลางของเหลวสีคล้ายน้ำชาชงอ่อน
ๆ “พี่คิด... ขลุ่ย... นะครับ”
เฮ่ย!!
สิ่งที่ทำให้อังคารตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
ไม่ใช่ชิ้นส่วนร่างกายมนุษย์ในขวดโหลที่จ่ออยู่ตรงหน้า ไม่ใช่แม้กระทั่งประโยคขาด
ๆ หาย ๆ ที่เด็กหนุ่มพอจะเดาใจความได้ หากแต่เป็นเงาสะท้อนใบหน้าของผู้ชายคนหนึ่ง และผู้ชายคนนั้น
คือ คนสุดท้ายบนโลกที่เพียงออมองเห็น
***********
“อีกเดี๋ยวเดียวขลุ่ยก็จะได้ตาอีกข้างคืนมาแล้วนะ”
ชยินทิ้งท้ายกับชิ้นส่วนร่างกายของเพียงออที่เขารักมากที่สุด ชายหนุ่มวางโหลแก้วกลับลงบนชั้นอย่างเบามือ
จากนั้นจึงบ่ายหน้ามุ่งไปยังประตูบานหนึ่งที่คล้องกุญแจแน่นหนาจากภายนอกด้วยย่างก้าวที่กระฉับกระเฉง
และร่าเริงผิดจากปกติวิสัยโดยสิ้นเชิง
ทว่าเมื่อปลดล็อกแม่กุญแจ
ไขประตู และหมุนลูกบิดเปิดบานไม้ออกกว้าง เขากลับพบว่า
แทนที่เจ้าของร่างซึ่งฟูมฟักดวงตาอีกข้างของอดีตคนรักจะสลบไสลไม่รู้เรื่อง กลับกำลังนั่งคุกเข่ารอท่าราวกับตั้งตารอพบหน้ากันมาเนิ่นนาน
ทว่าเรื่องน่าประหลาดใจยิ่งไปกว่านั้น
เห็นจะหนีไม่พ้นการที่เหยื่อซึ่งถูกจับมัดให้นอนรอความตายอยู่ในห้องมืดผู้นี้ กลับทอดสายตาห่วงหาอาวรณ์จ้องมองดูเขาอย่างจงใจ
ก่อนจะคลี่ยิ้มละมุนละไมพลางเอื้อนเอ่ยประโยคที่ชยินอยากได้ยินมาตลอดสองเดือนออกมาในท้ายที่สุด
“ขลุ่ยกลับมาหาพี่วินแล้วนะครับ”
*****|| TBC ||*****
เมื่อตอนที่แล้วมีคนอ่านกรุณาแจ้งว่า
อ่านเรื่องนี้โดยเข้าด้วย
Internet
Explorer
แล้วมีปัญหา
ดังนั้น เราแนะนำ ให้ทุกคนใช้
Chrome
เป็น Web Browser นะคะ
เพราะเนื้อหาจะครบถถ้วน
สมบูรณ์ ไม่ตกหล่นอย่างแน่นอน
หากผู้อ่านท่านไหนประสบปัญหาอื่น
ๆ ในการอ่านนิยายเรื่องนี้
ได้โปรดชี้แนะเราด้วยนะคะ
เพราะหากอะไรที่เราพอปรับปรุงได้ เราก็ยินดีทำค่ะ
ขอให้อ่านอย่างมึความสุขค่ะ
^^
No comments:
Post a Comment