ขอต้อนรับเข้าสู่ช่วงกลางภาคสองอย่างเป็นทางการนะคะ
^^
และแล้ว
คู่พระนายจากภาคที่แล้วก็ได้มีโอกาสแสดงแสนยานุภาพแห่งความรักกันเสียที
ประกาศ! อาทิตย์หน้าเราอาจจะมาลงนิยายไม่ได้นะคะ
พอดีเราต้องไปต่างจังหวัดกะทันหัน
และไม่น่าจะมีเวลาปั่นตอนใหม่ให้ได้อ่านกัน
แต่เราสัญญาเลยว่ากลับมาเมื่อไร
จะลงตอนต่อไปให้เร็วที่สุด ขอโทษนะคะที่ทำให้ทุก ๆ คนต้องตั้งตารอ
และเราขอติดส่วนตอบความเห็นเอาไว้ก่อนโนะ
แหะ ๆ
อ่านแล้วคิดเห็นเช่นไร...
ฝากข้อความแทนใจไว้บ้างนะคะ เราชอบอ่านเหลือเกิน
หรือถ้าอยากจะเข้าไปส่องเพจ
ก็ตามลิงค์ตรงนี้ไปได้เลยค่ะ(กดตรงนี้)
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
The 21st
Bonding
หมีหวั่นไหว
“พี่โป่ง...
เก็กอยู่ไหมครับ?” บ๊วยทักมือขวาคนเก่งของพ่อขณะที่อีกฝ่ายกำลังก้ม ๆ เงย ๆ จำแนกกล้าองุ่นล็อตใหม่ออกเป็นชุด
ๆ เพื่อเตรียมย้ายลงดินในอีกไม่ช้า
“เก็กไปล้างตัวครับ
เดี๋ยวก็มา” โป่งละมือจากงานตรงหน้า ก่อนจะยืดตัวเต็มความสูงพร้อม ๆ กับทอดสายตามองสำรวจใบหน้าขึ้นสีที่แต้มด้วยเม็ดเหงื่อของลูกเจ้านายที่มักจะโผล่มาให้เห็นทุก
ๆ วันหลังจากลูกศิษย์คนใหม่ของเขาเริ่มเข้าทำงานที่ไร่ “บ๊วยมาตามเก็กไปกินข้าวเหรอ?”
“ครับ แต่ว่าตั้งแต่บ่ายวันนี้เป็นต้นไป
เก็กคงมาเรียนงานในไร่กับพี่โป่งไม่ได้แล้วนะครับ” ลูกแม่บัวรีบออกตัวด้วยไม่อยากให้คนรักโดนโป่งตำหนิด้วยข้อหาละทิ้งการงานกะทันหันโดยไม่บอกกล่าว
“ไม่เป็นไร ๆ พ่อเขียวกับเก็กบอกพี่แล้วล่ะว่าพวกเพื่อน
ๆ บ๊วยจะมา... อาทิตย์หน้าก็เปิดเทอมแล้วใช่ไหม?” แม้เกือบสองเดือนที่ผ่านมา ธันวาจะชอบฝอยถึงวีรกรรมเรื่องนั้นเรื่องนี้
แถมยังเผาบรรดาเพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่มหาลัยให้โป่งฟังจนแทบจะล้อชื่อพ่อแม่ของใครต่อใครที่ถูกพูดถึงได้อย่างแคล่วคล่อง
กระนั้นแล้ว คนโตกว่าก็ยังอยากฟังความจากปากเจ้าของเรื่องอีกฝั่งที่ตนรักใคร่ไม่ต่างจากน้องชายร่วมสายเลือดอยู่ดี
“ครับ” เด็กเต็กยิ้มรับพลางไพล่นึกกิจกรรมต่าง
ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นตลอดทั้งสัปดาห์ที่จะถึงเมื่อเหล่าสมุนเลวและรุ่นพี่กลับมารวมตัวกันอย่างพร้อมหน้าหลังจากห่างหายกันไปพักใหญ่
ๆ
“ดี ๆ สนุกทิ้งทวนกันให้เต็มที่นะ
เดี๋ยวพอโรงเรียนเปิดจะได้ไม่เสียดายเวลา แต่อย่าเที่ยวไปเล่นพิเรนทร์ในป่าเข้าอีกล่ะ”
โป่งเตือนอีกฝ่ายด้วยความหวังดีค่าที่เคยใจหายใจคว่ำเพราะความซ่าของเด็กหนุ่มกลุ่มนี้มาเมื่อปิดเทอมที่แล้ว
“หึ หึ... ผมว่าพวกนั้นคงเข็ดเดินป่าหลังบ้านเรากันแล้วล่ะครับ” ชายกลางสันนิษฐานด้วยความมั่นใจ
เพราะจนป่านนี้ พวกเขาก็ยังได้ยินสามหนุ่มรุ่นพี่ รวมถึงอคิราปรารภถึงประสบการณ์หลงป่าด้วยสีหน้าสุดหลอนอยู่เนือง
ๆ
“บูบู้!
บูบู้มารับเค้าแล้ววว!” อดีตเดือนมหาลัยส่งเสียงร้องอย่างเริงร่ามาแต่ไกลระหว่างสับขาว่องไวพุ่งเข้าใส่ลูกชายเจ้าของไร่คล้ายลูกหมาดีใจยามเจอเจ้าของ
“พี่หมีเช็ดหน้าเช็ดตัวก่อนครับ”
บ๊วยเอ่ยปรามคนรักในสภาพเปียกปอนไปทั้งร่างด้วยความเป็นห่วงพลางล้วงมือควานหาผ้าขนหนูที่ตนมักจะจัดเตรียมเอาไว้ให้อีกฝ่ายโดยเฉพาะ
แทนที่จะให้ความร่วมมือ
หนุ่มวิศวะรูปงามกลับงัดมุกประจำขึ้นมาเล่นซ้ำไม่ผิดจากทุกที “บูบู้เช็ดให้เค้าหน่อยสิ
เค้าเนื้อยเหนื่อย” เจ้าของน้ำเสียงออดอ้อนว่าพลางกระชับพื้นที่เข้าใกล้ชายกลางมากขึ้นเรื่อย
ๆ
“ฮื่อ
พี่หมีเช็ดเองสิครับ” เด็กเต็กบอกปัดสุดหล่อด้วยสีหน้าเจื่อน ๆ เพราะแค่เลื่อนสายตาไปอีกทางก็ยังเห็นโป่งยืนอยู่ทนโท่
“เอาผ้าไปเร็วครับ”
“หึ! ไม่เอาอ่ะบูบู้ บูบู้เช็ดตัวให้เค้าหน่อยสิ
ดูดิ๊เนี่ย... แขนเปลี๊ยเปลี้ย แค่จะยก ยังยกไม่ขึ้นเลย! นะ นะ... นะครับ เช็ดให้
เค้าหน่อยนะ” อริยะตรัยผู้น้องแสร้งมองเมินผืนผ้าในมือแฟนตัวน้อยก่อนจะค่อย
ๆ เขยิบเข้าใกล้แล้วรวบเอวกันไม่ให้อีกฝ่ายหนี
“พี่ว่าพี่ไปก่อนดีกว่า...
ขืนอยู่ตรงนี้นาน ๆ จะเป็นตากุ้งยิงเปล่า ๆ ” เหตุที่โป่งขัดขึ้น ใช่เพราะไม่อยากอยู่เป็นก้างขวางความสุขใคร
หากแต่เป็นเพราะไอ้รูปหล่อไม่เคยยั้งมือตัวเองได้สักครั้งที่เห็นลูกเจ้านายโผล่เข้ามาในกรอบสายตา
จนบางวูบเขาร่ำ ๆ จะถามเก็กให้รู้แล้วรู้รอดว่า ‘มึงไปตายอดตายอยากที่ไหนมาเหรอครับน้อง?’
“พี่โป่ง! เอ่อ... พี่โป่งครับ!” เด็กสถาปัตย์ยิ่งเลิ่กลั่กหลังจากคนเก่าคนแก่ของไร่หมุนตัวเดินดุ่ม
ๆ หายลับไปโดยไม่เปิดโอกาสให้เขาได้อธิบาย
ในเมื่อแก้ไขความผิดไม่ได้
ชายหนุ่มจึงหันไปขึ้นเสียงใส่แฟนมือปลาหมึกของตนโทษฐานที่ทำตัวรุ่มร่ามจนเป็นเรื่อง
“พี่หมี! เมื่อไรพี่หมีจะทำตามที่เราตกลงกันเสียทีล่ะครับ?”
“เมื่อกี๊เราก็อยู่ในที่ลับตาคนอื่นนะบูบู้”
ธันวาเอียงหน้าแบ๊วแล้วตอบตาใส... วินาทีนี้ สิ่งที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าผิวหน้าของอริยะตรัยผู้น้องคงจะเหลือแค่หินผา
และพื้นคอนกรีตหนาเสริมใยเหล็กเสียล่ะมั้ง
“ที่ไหนกัน?!
เมื่อกี๊พี่โป่งยืนจ้องอยู่ทั้งคน!”
ไม่ใช่ครั้งแรกที่บ๊วยรู้สึกไม่ไหวจะเคลียร์เพลียจะเถียงกับอดีตเดือนมหาลัยเกี่ยวกับนิสัยแสดงความรักเรี่ยราดแบบไม่ขัดไม่เขินสายตาใคร...
ยิ่งนานวัน ธันวาก็ยิ่งมั่นหน้า กล้าแต๊ะอั๋งเขาออกสื่อหนักมือกว่าช่วงแรก ๆ
ที่คบหากันเสียอีก
หรือการบังคับให้อีกฝ่ายลงชื่อแนบท้ายสัญญาว่าจะไม่ทำตัวรุ่มร่ามกับเขาในที่สาธารณะแลกกับกิจกรรมเข้าจังหวะในห้องนอนแบบอันลิมิเต็ดเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่เสียเปล่าระหว่างวันจะใช้ไม่ได้ผล?!
“แต่พี่โป่งไม่ใช่คนอื่นนี่ครับ...
บูบู้บเคยบอกเค้าแบบนั้นไม่ใช่เหรอ?” หนุ่มรูปงามยังมีหน้าแถโดยไม่แยแสสีหน้ารับไม่ได้ของคนฟังเลยสักนิด
“พี่หมี!” ชายกลางขึ้นเสียงติติงคนรักพลางพ่นลมหายใจเข้า –
ออกอย่างช้า ๆ
เพื่อข่มใจ ผิดกับคู่กรณีที่ยังทำหน้าซื่อถือความสุขของตัวเองเป็นหลักอยู่เหมือนเดิม
“เช็ดให้เค้าหน่อยนะ
นะ... นะครับ...
.
.
.
...ถ้าบูบู้เอาใจเค้าเยอะ
ๆ รับรองว่าเค้าจะหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลยครับ...
...นะ เช็ดหน้าเช็ดตัวให้เค้าหน่อยนะครับ”
ไม่ใช่แค่ทู่ซี้ แต่สุดหล่อแห่งวิศวะยังมีดีที่สายตา สีหน้า และวาจากอปรกับน้ำเสียงออดอ้อนออเซาะเต็มพิกัดที่ละลายใจคนในอ้อมกอดจนอ่อนไหว
พ่ายแพ้ และหมดปัญญาต่อต้านหลังโดนพ่องานละเอียดหมั่นตอดหมั่นตื๊อแบบไม่ลืมหูลืมตา
“พี่หมีนะพี่หมี!”
แม้อีกฝ่ายจะบ่นฮึ่มฮั่มทำเสียงฮึดฮัดในลำคออยู่ตลอดเวลา
แต่สัมผัสของเนื้อผ้าที่ค่อย ๆ จรดลงบนใบหน้าอย่างทะนุถนอมเหมือนทุกทีก็ทำให้หัวใจผู้รับสุขล้นจนไม่อาจเก็บกักเอาไว้ได้อีกต่อไป
“เค้ารักบูบู้นะครับ” เก็กกระหยิ่มยิ้มย่องเมื่อพวงแก้มทั้งสองของอีกฝ่ายขึ้นสีแดงแข่งกับมะเขือเทศสุกภายในชั่วพริบตา...
ถ้าจะแหย่แฟนให้ยิ่งเขินไปกว่านี้ จะดีไหมนะ?!
“นี่... ใจคอบูบู้จะไม่บอกรักเค้าคืนหน่อยเหรอ?”
ธันวาถามพลางใช้ปลายนิ้วสะกิดสะโพกลูกแม่บัวเบา ๆ เพื่อเร่งรัดคำตอบอีกทาง
“...ไม่เอา...”
คนโดนซักเอ่ยอ้อมแอ้มพลางหรุบตามองต่ำเพราะโดนคำหวานเล่นงานจนตั้งตัวไม่ติด
“นะ”
“ไว้บอกคืนนี้ไม่ได้เหรอครับพี่หมี?”
บ๊วยผัดผ่อนเสียงอ่อนด้วยหวังว่าการอ้อนจะกล่อมให้ธันวายอมรับปากง่าย ๆ แต่แผนนี้กลับใช้ไม่ได้เมื่ออีกฝ่ายเป็นถึงอดีตเดือนมหาลัยผู้เอาแต่ใจ
และเอาแต่ได้ในด้านงานสัมผัสเป็นที่หนึ่ง
“ไม่ครับ!
เพราะยังไงบูบู้ก็ต้องบอกรักกับจุ๊บ
ๆ เค้าก่อนนอนทุกวันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? บอกรักเค้าคืนเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่งั้นเค้าจะจูบบูบู้ตรงนี้เลย!” อริยะตรัยผู้น้องข่มขู่พลางยื่นหน้ายู่ปากเข้าหาแฟนตัวน้อยอย่างมาดหมาย
ชายกลางจึงทำได้แค่ปัดป้องและร้องขอความเห็นใจจากอีกฝ่ายไปวัน ๆ เท่านั้น
“อย่านะพี่หมี!”
“บอกรักเค้าก่อน!” ท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือที่สื่อถึงความหื่นกระหายอย่างชัดแจ้งของคนรักทำให้บ๊วยยิ่งกระอักกระอ่วนไปกันใหญ่
.
.
.
“...พี่หมี ไม่เอา...
เดี๋ยวคนอื่นได้ยิน”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย
เค้ายังอยากป่าวประกาศให้ทุกคนในโลกรู้เลยว่า เค้ารักบูบู้ อู้ อู้ อู้ อ...” เคล็ดวิชาป้องปากฝากรักของเด็กวิศวะถูกสะกัดกั้นอย่างทันควันด้วยผ้าเช็ดหน้าและฝ่ามือลูกแม่บัว
“พี่หมี!!! พี่หมีจะบ้าเหรอ?! พี่หมีจะตะโกนทำไมครับ?!!!” สิ้นคำ ทายาทเจ้าของไร่หันรีหันขวางพลางสอดส่ายสายตาสำรวจพื้นที่โดยรอบด้วยความระแวงขั้นสูงสุด...
ขออย่าให้ใครผ่านมาตอนนี้เลย ให้ตาย!
ทว่าชั่วโมงนี้
การปรากฏกายของบุคคลที่สามยังน่ากลัวน้อยกว่าระดับความอ้อยอันล้ำหน้าของชายรูปงามที่เพิ่งจะขืนใบหน้าหลบผืนผ้า
แล้วหยอดวาจาสุดเสี่ยวได้อีกแล้ว “ถึงเค้าจะบ้า แต่เค้าก็บ้ารักนะบูบู้... แฟนใครก็ไม่รู้
น่ารักน่าเอ็นดู เนอะ ๆ !”
“ทุ๊ยยย!”
ธันวากริ้วจัดจนควันแทบออกหูเมื่อได้ยินเสียงลบหลู่ดังแทรกขึ้นแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“ไอ้สัดดด! อย่าให้รู้ว่าใครแอบฟั...” แต่เมื่อสายตาคมกวาดไปปะทะร่างสูงใหญ่ของต้นเสียงเจ้าปัญหา
ความรู้สึกขึ้งฉิวก็ปลิวหายไปกับสายลม “อ้าว! ไอ้เหี้ยแฝด! เฮ่ย! ทำไมมึงถึงเร็วจังวะ?!”
“ถนนโล่งว่ะ
สงสัยพวกนักท่องเที่ยวจะรู้ว่ามีตัวกาลกิณีอยู่แถวนี้ เลยไม่ค่อยมีใครผ่านมา” ฌอนยกมุมปากขึ้นน้อย
ๆ พลางยักคิ้วให้เพื่อนสนิทต่างคณะอย่างท้าทาย
“นั่นปากเรอะไอ้เหี้ย?!” สิ้นคำ สุดหล่อดีกรีเดือนมหาลัยก็ชูกล้วยเยินยอแฝดผู้น้องด้วยความเต็มใจไปหนึ่งดอก
“หึ! หายง่อยแล้วเหรอไงหล่อ?!” แฟนหนุ่มบริหารอดแซะเพื่อนรักไม่ได้... ดูสิ
เพราะความหื่นของไอ้เดือนถ่อนี่แท้ ๆ ที่ทำให้พวกเขาต้องเดินตากแดดแห่กันออกมาพาลูกเต้าเจ้าของบ้านไปคืนพ่อแม่
“หึ หึ หึ... กูง่อยอ้อนเมียกูหรอกโว้ย!
แล้วคนอื่นไปไหนหมดวะ?”
เก็กยืดอกพลางเชิดหน้าต่อปากต่อคำกับเพื่อนอย่างไร้ยางอาย ฝ่ายฌอนก็ปล่อยให้เสียงล้งเล้งจากด้านหลังของกังฟู
อคิรา และหลานอาม่าใหญ่ตอบข้อสงสัยของอีกฝ่ายแบบไม่ต้องเปลืองน้ำลายให้ยาก
แต่ก่อนที่ชาวคณะที่เหลือจะเยื้องย่างมาถึงยังจุดที่ทั้งสามยืนอยู่
เสียงที่สี่ซึ่งสร้างความรู้สึกยำเกรงชวนให้หมอบกราบก็ดังทำลายความเงียบขึ้นเสียก่อน
“ไง!”
“พี่ฌาน!” ลูกแม่บัวร้องเรียกร่างทรงหนุ่มด้วยน้ำเสียงกระตือรือล้น...
ตอนแฝดคนน้องโผล่มาเขาก็มัวแต่ยืนเขินก้มหน้าจนไม่ทันได้ทักทาย เกือบลืมไปแล้วสิว่า
ความรู้สึกคิดถึงระคนยินดีแรกเจอหน้าค่าตาอีกฝ่ายหลังห่างกายกันไปร่วมสองเดือนนั้นเป็นอย่างไร
“โห! นี่พี่ฌานล่ำขึ้นหรือเปล่าครับ?” เก็กถามสอดขึ้นด้วยน้ำเสียงชื่นชมอย่างปิดไม่มิด
“คงงั้นมั้ง...
พอดีพี่ฌานพอมีเวลาว่าง เลยลองเริ่มยกเวทน่ะ” พักหลัง ๆ ชายหนุ่มเริ่มจะลงตำหนักน้อยลง
เนื่องจากตั้งใจว่าจะหยุดทำหน้าที่ผู้ส่งสารของเหล่าทวยเทพทันทีหลังเรียนจบ
“พี่ฌานขับรถมาเหนื่อยไหมครับ?”
“ขับรถน่ะไม่เท่าไรหรอกบ๊วย...
ปวดหูมากกว่า” แฝดพี่เอ่ยตอบหน้านิ่วคิ้วขมวดพลางบุ้ยใบ้ไปทางต้นเสียงจ้อกแจ้กเป็นนกกระจอกแตกรังที่ป่านนี้ยังเดินมาไม่ถึงเพื่อบอกใบ้ถึงประสบการณ์อันโหดร้ายระหว่างทางมายังไร่แม่บัว
จากนั้นจึงเลื่อนสายตาไปจับจ้องใบหน้าหล่อเหลาของเขยเบอร์หนึ่งประจำกลุ่ม “เก็กล่ะเป็นไงมั่ง?
ทำไร่สนุกไหม?”
“สนุกโคตร ๆ
เลยครับพี่ฌาน ผมรู้แล้วล่ะว่าผมจะทำอะไรหลังเรียนจบ” อดีตเดือนมหาลัยตอบเสียงดังฟังชัดโดยไม่ต้องคิด
“หึ หึ...
ใจคอจะไม่ปล่อยเพื่อนพี่ฌานให้ห่างสายตาเลยเหรอ?”
“ก็ผมรักของผมมากนี่ครับพี่ฌาน
แถมงานที่นี่ยังท้าทายอีกตังหาก” ไม่พูดเปล่า หนุ่มรูปงามยังกดแผ่นหลังของแฟนตัวน้อยให้ซบแนบเข้ากับอกก่อนจะใช้แขนทั้งสองข้างและปลายคางล็อกร่างและหัวบ๊วยไม่ให้ห่างไปไหน...
น่าเสียดายที่กลืนเด็กเต็กลงท้องไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเขาคงปกป้องอีกฝ่ายให้รอดพ้นจากเงื้อมมือผู้ประสงค์ร้ายทั้งหลายได้ตลอดเวลาไปนานแล้ว
“ดี ๆ
อย่างนี้พี่ฌานก็ฝากเก็กดูแลเพื่อนพี่ฌานไปได้อีกนานเลยสิ” ฌานเปรยโดยแสร้งเพิกเฉยต่อการแสดงสุดยิ่งใหญ่รัชดาลัยเธียเตอร์ของอริยะตรัยคนสุดท้อง
รวมถึงอากัปกิริยาส่ายหน้า เบ้ปาก มองบนที่น้องชายตัวเองเป็นอยู่
“ครับ
ยังไงผมก็ไม่มีทางปล่อยเพื่อนพี่ฌานให้หลุดมือไปไหนได้หรอกครับ”
“ไอ้เชี่ยเก็ก...
ไอ้น้องเนรคุณ! พวกกูลากสังขารกันมากระชากวิญญาณมึงกลับไปแดกข้าวแล้ว” ในที่สุด แกนนำกลุ่มคนอวดผัวผู้มีช่วงลำตัวและท่อนขาสั้นก็บุกบั่นมาถึงที่หมายเข้าจนได้
แน่นอน... เพื่อให้สมศักดิ์ศรีของผู้ที่มาทีหลัง การปรากฏกายในแต่ละครั้งของกรกฏ ย่อมต้องสะกดสายตาของทุกผู้ทุกคนได้อย่างชะงัด
“โหยเฮียยย!
คิดถึงแรงงง!” เก็กโก่งคอทอดเสียงโหยหวนด้วยความยินดีอย่างสุดซึ้งเพื่อให้สมกับความรู้สึกคนึงหาอีกฝ่าย
แต่ความซาบซึ้งกลับระเหิดหายไปทันทีที่คนโตกว่าอ้าปากตอบโต้ด้วยวาจาอันเผ็ดร้อน
“คิดถึงห่าอะไร?! กูโทรมาแต่ละทีมึงก็ไม่เคยจะรับ!” ถ้าไม่ติดว่ามือทั้งสองข้างของกังฟูถูกทั้งเต๋อและด้วงกุมเอาไว้คนละข้าง
เก็กคงได้โดนพี่ชายตั๊นจนหน้าพังดั้งยุบไปแล้วแน่ ๆ
ถึงอย่างนั้น
ธันวาก็ยังเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่คนในโลกที่ต่อกรกับอีกฝ่ายได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ “โห่! เฮียโทรหาแต่บูบู้กับแม่เหอะ!”
“เถียงเหรอ?! ห่างตีนกูแค่ไม่กี่เดือนมึงกล้าเถียงกูเหรอ?” เมื่อเห็นท่าไม่ดี คนเป็นพี่จึงใช้กลยุทธพาลพาโลมาโต้คำครหาที่จริงยิ่งกว่าหมามีสี่ขา
ปลาอยู่ในน้ำเสียอีก
“ฮึ! ไหนใครบอกว่าพวกเปรตจะออกมาเห่าหอนขอส่วนบุญแค่ตอนวันพระวันโกนกันน้า?! สงสัยว่าจะไม่จริงเสียล่ะมั้ง” ขณะที่สายเลือดอริยะตรัยเถียงกันจ้อย ๆ
ก็มีเสียงเล็ก ๆ ดังผ่ากลางปล้องจนสองพี่น้องหันขวับไปมองผู้กล้าคนดังกล่าวทันที
“ไอ้เหี้ยอิ๊ก!
ปากมึงนี่นะ!!” แทนที่จะออกอาการหวาดหวั่น เจ้าของชื่อกลับทำทีเป็นแคะหู
แกะเล็บไปเรื่อยเปื่อยราวกับไม่ได้ยินเสียงใด ๆ จนเมื่ออีกฝ่ายพูดจบแล้วนั่นแหละ อดีตเดือนบริหารจึงสวนกลับอย่างไม่บันยะบันยัง
“ทำไม?!
ปากผมมันยังไง?!
ตั่วเฮียจะแลกเหรอ?!
ได้!! เข้ามาเล้ยย! วันนี้จะได้รู้กันไปว่าใครหมู่ใครจ่า!
”
“โอ๊ย!
พอเถอะครับ!
ขนาดนั่งรถคนละคันยังกัดกันตั้งแต่เช้า! กลัวคนอื่นไม่รู้หรือไงครับว่ามีเพ็ดดิกรีการันตีสายพันธุ์?!” เมื่อขั้วอำนาจทั้งสองห้ำหั่นกันจนบรรยากาศโดยรวมเริ่มมาคุ
หนุ่มแว่นผู้เป็นเจ้าของพลังอันยิ่งใหญ่จึงปรากฏกายออกจากมุมมืดเพื่อกอบกู้โลกให้กลับคืนสู่ภาวะปกติทันที
“ไอ้สัดแนน!” กรกฏเจริญพรขาเผือกเจ้าประจำที่ทำหน้าที่ทั้งชงทั้งตบเขากับอคิราผ่านโทรศัพท์รวมสายมาตลอดทางอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
“อุ๊ย!
แนนซี่พูดดี อิ๊กกี้กดไลค์!” เด็กบริหารยกนิ้วพลางส่งยิ้มหวานให้หลานอาม่าใหญ่อย่างชอบอกชอบใจไม่มีใครเกิน
จนรุ่นพี่วิศวะไม่อาจทำเมินได้
“ไอ้แนนมันด่ามึงด้วยหรอกไอ้ควายอิ๊ก!”
“อิ๊กกี้ไม่รู้
อิ๊กกี้ไม่รับ อิ๊กกี้ไม่เดือดร้อน!” พูดจบ คนรักของแฝดน้องก็เบ้ปาก ปรายตาทำหน้าเหม็นเบื่อใส่หน้าพี่ชายของธันวาอย่างไม่เห็นแก่อาวุโส
“หนอยยย!
พวกมึงนี่แม่งต้องโดนกูจัดสักที!”
“ฟู พอเถอะครับ
ไปครับ ไปกินข้าวกลางวันกันดีกว่า... ฟูบ่นหิวมาตลอดทางเลยไม่ใช่เหรอ?” วิญญูเบรกคนรักจนตัวโก่งทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังเริงรื่นกับการต่อปากต่อคำกับพวกรุ่นน้องอย่างที่สุด
เพราะขืนไม่มีใครหยุด มีหวังรอบนี้พ่อเขียวกับแม่บัวคงได้ต้องลงมาตามพวกเขาให้กลับไปกินข้าวกลางวันด้วยตัวพวกท่านเองเสียล่ะมั้ง...
ทว่ากลับยังมีคนที่สนุกไม่หาย
“ใช่! น้องจำได้ เฮียบ่นหิว ๆ ตั้งแต่ยังไม่ถึง’หระรี... น้องบอกให้แวะซื้อกระหรี่เฮียก็ไม่เอา!”
คราวนี้จึงเป็นทีของสารินที่แค่กระแอมเบา
ๆ ก่อนจะคว้าเอามือของเด็กเต็กหัวไข่ไปบีบเอาไว้ก่อนจะเอ่ยปรามเสียงนุ่ม “แนนครับ ไม่เอาครับ”
“ไป ๆ
ไปแดกข้าวกันได้แล้ว เดี๋ยวแม่บัวจะรอ!” เต๋อตัดบทปิดท้ายก่อนจะเดินนำทั้งหมดบ่ายหน้ากลับบ้านตามประสาผู้บัญชาการสูงสุดของเหล่ามนุษย์ประหลาด
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
“ว่ายังไงฟู? หนูมีอะไรอยากจะคุยกับแม่เหรอลูก?”
แม่บัวเปิดฉากถามเด็กหนุ่มร่างเล็กทันทีหลังจากอีกฝ่ายอ้อนวอนขอเวลาเป็นส่วนตัวกับทั้งหล่อนและสามีทันทีที่อาหารมื้อเย็นเสร็จสิ้น
“คืองี้ครับแม่”
กรกฏลังเลอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะค่อย ๆ ลดตัวลงนั่งกับพื้นตรงหน้าบุพพการีของรุ่นน้องที่ตนรักใคร่
“ฟูอยากจะขอขมาพ่อกับแม่ที่ฟูเคยทำตัวไม่ดีกับบ๊วย
แถมยังพูดจาไม่ดีกับพ่อและแม่น่ะครับ... ฟูขอโทษนะครับ ฟูสัญญาว่า ต่อไปนี้ ฟูจะไม่ทำให้น้องเสียใจอีก”
ไม่ทันขาดคำ เด็กวิศวะก็โน้มตัวลงต่ำแล้วกราบเท้าของผู้อาวุโสทั้งสองอย่างเต็มอกเต็มใจ
“โธ่ฟู!”
“ไอ้หนูฟู
เอ็งจำผิดหรือเปล่า? พ่อกับแม่ไม่ยักกะจำได้เลยว่ามีใครทำอะไรแบบนั้นที่บ้านพ่อ...เอ้า
ๆ ลุก ๆ ! ก้มนานเดี๋ยวก็หน้ามืดเป็นลมเป็นแล้งกันพอดี!” ประมุขใหญ่ก้มลงประคองแขนยื้อให้อีกฝ่ายกลับขึ้นนั่งดังถ้อยคำให้อภัยเมื่อสักครู่
เพราะดูเชิงแล้ว ผู้เป็นภรรยาคงจะยังนั่งซึ้งกับการขอขมาของเด็กหนุ่มไปอีกหลายนาที
“ขอบคุณครับพ่อ”
“อะไรไม่ดีที่เกิดขึ้นเมื่อวาน
เราควรปล่อยให้มันผ่านไป ไม่ใช่รั้งมันไว้เพื่อให้มันทำร้ายใจเราซ้ำ ๆ นะจ๊ะ” แม่บัวพูดสรุปด้วยรอยยิ้มละไม
ผู้เป็นสามีจึงรีบเสริมเพื่อช่วยทำให้ทั้งหมดไม่รู้สึกเขินกับพิธีกรรมย่อม ๆ ที่เพิ่งผ่านพ้นไปเท่าใดนัก
“ใช่... เรื่องปล่อยวางฟูดูแม่เป็นตัวอย่างก็ได้ลูก
วันก่อนแม่เขาก็เพิ่งจะปล่อยแว่นวางไว้บนหัว แต่ตัวเองก็เอาแต่เดินหา แล้วก็บ่นว่า
แว่นหาย ๆ ได้ทั้งวัน”
“พ่อเขียว!”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า
น่าแม่... คิดซะว่าทำเพื่อไอ้หนูมัน!” บัวลอบมองค้อนสามีเสียยกใหญ่ ก่อนที่เสียงของอริยะตรัยผู้พี่จะเรียกความสนใจของหล่อนได้อีกครั้ง
“ฟูขอบคุณพ่อกับแม่มากนะครับที่ยกโทษให้ฟู”
ตั้งแต่เริ่มบทสนทนามา ผู้ใหญ่ทั้งสองแทบจะต้องยกมือรับไหว้พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยอยู่เกือบตลอดเวลาเลยทีเดียว
“โธ่เอ๊ยฟูลูก!... เพื่อนหนูบ๊วยก็เหมือนลูกของแม่นั่นแหละจ๊ะ”
แม่บัวยิ้มพราย ก่อนจะอธิบายจุดยืนของหล่อนและสามี “ใครก็ตามที่เป็นลูกแม่กับพ่อ เราสองคนก็พร้อมจะเข้าใจและให้อภัยได้เสมอแหละจ๊ะ”
ดูเหมือนประโยคดังกล่าวจะจุดประกายให้ชายหนุ่มคิดอะไรบางอย่างได้เดี๋ยวนั้น
กังฟูจึงไม่รอช้าเอ่ยความต้องการของตนออกมาอย่างทันทีทันใดโดยไม่ต้องอาศัยเวลานึกไตร่ตรอง
“ถ้าอย่างนั้น แม่กับพ่อจะว่าอะไรไหมครับถ้าฟูจะขอเป็นลูกแม่กับพ่ออีกคน?... ฟูอยากเป็นเหมือนที่บ๊วยกับเก็กเป็นน่ะครับ”
.
.
.
.
.
.
.
“จะดีเหรอแม่บัว?
ลำพังแค่สี่ห้าคน เราก็แทบจะแบ่งสมบัติให้ทั่วถึงอยู่แล้วนะ!” และแล้วก็เป็นพ่อเขียวที่ทำลายความคาดหวังของกรกฏจนมลายสิ้น
“ฮื้อพ่อนิ! มาเล่นอะไรตอนนี้ ลูกมันตั้งตารอฟังคำตอบอยู่ไม่เห็นหรือไง?”คนเป็นภรรยาถลึงตาพร้อมดุเสียงเขียวเข้าให้
จากนั้นจึงตบมุกตามสไตล์ครอบครัวหรรษาที่หาจังหวะเล่นตลกใส่กันอยู่ตลอด “แต่แม่ว่าจะยกไร่ให้เก็กนะ
แต่งชุดชาวไร่ ใส่หมวกคาดขาวม้าแล้วดูดี๊ดูดี... แม่อยากให้มีชาวไร่หล่อ ๆ
แบบนี้เยอะ ๆ แม่ปลื้ม!”
“อะแฮ่ม!” ได้ยินดังนั้น พ่อเขียวก็ส่งเสียงกระแอมแถมเอียงหน้าหรี่ตามองปรามคู่ชีวิตตบท้าย
ก่อนที่ทั้งหมดจะหัวเราะประสานเสียงเป็นรางวัลให้แก่ความพยายามของผู้อาวุโสทั้งสอง
.
.
.
.
.
.
“ฟู... หนูแน่ใจแล้วเหรอว่าอยากมีพ่อกับแม่แบบนี้?...
คิดให้ดี ๆ นะลูก พ่อกับแม่นี่ทางตลกนะ สาระไม่ค่อยจะมี” แม่บัววกกลับเข้าสู่โหมดจริงจังอีกครั้งหลังจากหยุดขำได้อย่างเด็ดขาด
“ครับ
ฟูว่าม้ากับป๊าต้องดีใจมาก ๆ เลยครับถ้าแม่กับพ่อบยอมรับฟูเป็นลูกอีกคน” อริยะตรัยผู้พี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น...
ใช่ หลังจากได้พูดคุยกับแม่บัวไปเมื่อปิดเทอมที่แล้ว ชายหนุ่มก็เฝ้าคิดหาทางที่จะสมัครเป็นลูกอีกคนของผู้ใหญ่ทั้งสองให้จงได้
การส่งไทเก็กมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ตลอดปิดเทอมใหญ่ คือ บันไดขั้นแรกเพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จของแผนการดังกล่าว
“ในเมื่อฟูไม่เปลี่ยนใจ
แม่กับพ่อก็ยินดีจ๊ะ” แม่บัวเอ่ยกลั้วยิ้มด้วยหล่อนเองก็ดีใจที่หลังจากนี้
หล่อนจะสามารถมอบความรักแก่เด็กหนุ่มผู้ที่หล่อนถูกชะตาเป็นพิเศษแทนบุพพการีทั้งสองที่เสียไปได้
“ขอบคุณครับแม่!
ขอบคุณครับพ่อ!”
“ไม่เอา
ไม่ร้องไห้สิหนูฟูคนเก่งของแม่... มานี่มะ มาให้แม่กอดรับขวัญหน่อยซิลูก!” พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยโผเข้ากอดคุณแม่คนใหม่ด้วยความเต็มใจโดยไม่หยุดพร่ำพูดคำขอบคุณทั้งน้ำตา
“โอ๋ ๆ
ไม่ร้องนะลูก แม่กับพ่ออยู่กับฟูแล้วนะ” ยิ่งได้ยินเสียงปลอบ กับรู้สึกถึงสัมผัสอันอ่อนโยนของแม่บัว
เด็กวิศวะก็ไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้อีกต่อไป ประมุขใหญ่จึงทั้งสะกิดและขยิบตาใส่ภรรยาเพื่อให้รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาโดยพลัน
ด้วยความที่ไม่ทันได้คิดหาคำถาม ความสงสัยจึงถูกส่งผ่านริมฝีปากของหล่อนออกไปโดยไม่ได้กลั่นกรอง
“เออ! แม่ว่าจะถามอยู่เชียว... สรุปว่า
พ่อหนุ่มตัวโตสองคนนั่นเป็นอะไรกับลูกของแม่กันจ๊ะ?” จากประสบการณ์ตรงที่หล่อนลอบสังเกตจากอาการของบุตรชายกับเขยสุดหล่อ
บัวแทบจะเคาะแล้วบอกได้ทันทีว่า ลูกชายคนล่าสุดผู้นี้จะต้องมีซัมติงรองกับเด็กหนุ่มร่างหมีคนใดคนหนึ่งแน่
ๆ ... ว่าแต่คนไหนล่ะ?!
“...ฟืนนน...ฟืออออ...ฮึบบบบ
ฮึก ฮึก...” เสียงตอบของกังฟูฟังอู้อี้ค่าที่เจ้าตัวกำลังร้องไห้ในขณะที่ยังฝังใบหน้าเอาไว้ตรงไหล่แม่
“เมื่อกี๊ลูกมันพูดว่าอะไรนะพ่อ?”
“หึ! พ่อก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกันจ๊ะแม่” พ่อเขียวเกาหัวพลางยิ้มเผล่อย่างอ่อนใจค่าที่ช่วยอะไรภรรยาไม่ได้เลยสักนิด
“หนูบอกว่าสองคนนั้นเป็นอะไรกับหนูนะลูก?...
เช็ดน้ำตาแล้วบอกแม่กับพ่ออีกทีได้ไหมจ๊ะ พอดีเมื่อกี๊แม่ฟังไม่ชัด”
“...ฮึก
ฮึก... สองคนนั้นเป็นแฟนฟูเองครับ” กรกฏตอบด้วยน้ำเสียงปกติพลางเช็ดน้ำตาป้อย ๆ แต่คนฟังนี่สิ
กลับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่าสิ่งที่สงสัยจะล้ำหน้ากว่าที่คาดการณ์เอาไว้เยอะเหลือเกิน
“หือออ?!” พ่อกับแม่ถึงกับมองหน้ากันก่อนจะประสานเสียงถามโดยไม่ต้องนัดแนะ
“นี่หนูควงสองเลยเหรอลูก?!” คนฟังพยักหน้าหงึกหงักแทนคำตอบที่ทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองแทบจะตกจากเก้าอี้...
โลกสมัยนี้จะหมุนเร็วเกินไปไหม?!
“ฟูเป็นยังไงมั่งครับ?
โอเคไหม? แล้วทำไมตาแดง ๆ ... ฟูร้องไห้เหรอ?” ด้วงทักขึ้นด้วยน้ำเสียงตกอกตกใจเมื่อเห็นคราบน้ำตาตกค้างอยู่บนหน้าคนรัก
“ฟูไม่เป็นไร
ฟูแค่ซึ้งน่ะด้วง” กรกฏยิ้มอาย ๆ พลางส่ายหัวปฏิเสธเป็นพัลวัน
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้วครับ”
ตรินว่าพลางไล้ปลายนิ้วปาดหยดน้ำตรงหางตาให้พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยอย่างแผ่วเบา
พอเห็นคนรักทั้งสองอยู่กันพร้อมพรักตรงหน้าประตู อริยะตรัยผู้พี่ก็อดถามออกมาไม่ได้
“นี่เต๋อกับด้วงยืนรออยู่ตรงนี้ตลอดเลยเหรอ?
ทำไมไม่ไปนั่งดูหนังรอล่ะ?”
“พวกเรามารอรับฟูไปดูดาวตรงระเบียงด้วยกันน่ะครับ
ไม่อยากไปนั่งที่ไหน กลัวฟูออกมาแล้วไม่เจอ” เต๋อรับหน้าที่เฉลยความจนแจ้งกระจ่าง
“บ้านบูบู้ก็หลังแค่นี้
ฟูจะหาเต๋อกับด้วงไม่เจอได้ยังไง... ทีหลังไม่ยืนรอแบบนี้แล้วนะ
ฟูไม่อยากให้เมื่อย”
“ครับฟู” วิญญูผู้ให้ความร่วมมือกับคนรักร่างเล็กเป็นอย่างดีตอบทันควันเหมือนกับทุกที
ผิดจากหนุ่มร่างหมีที่ไม่เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของกรกฏแต่อย่างใด ด้วงจึงอาศัยข้อศอกช่วยกระทุ้งแล้วขยิบตาบังคับให้ตรินตกปากรับคำเพราะไม่อยากให้พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยต้องว้าวุ่นใจโดยไม่จำเป็น
“ครับ”
“ดีมาก! งั้นพวกเราไปดูดาวกันเถอะ!” สิ้นเสียงขานรับของแฟนหนุ่มต่างคณะ
อริยะตรัยคนโตก็ควงแขนสองหมีออกเดินพร้อมความเบิกบานในใจ หากแต่ยังไม่ทันถึงไหน
สามหนุ่มก็เจอคู่รักเจ้าถิ่นเข้าเสียก่อน
“อ้าวเฮีย! เฮียจะไปไหนอ่ะ?” คนถามทำหน้าสงสัยโดยไม่ปล่อยมือจากการโอบหัวไหล่ลูกแม่บัวสักวินาที
ฝ่ายคนเป็นพี่ก็รีบตีหน้าตายก่อนจะปดคำโตส่งท้ายเพราะไม่อยากให้คู่น้องชายมาขัดขวางช่วงเวลาแห่งความสุขท่ามกลางแสงดาวพร่างพรายของตนกับคนรักทั้งสอง
“เปล๊า...
พวกกูแค่ออกมาเดินย่อย ไม่ได้จะไปไหน”
“ดีเลยเฮีย!
เก็กว่าจะชวนพวกเฮียไปแอบดูไอ้แฝดกับฮอบบิทพลอดรักกันอยู่ตรงระเบียงโน่นแน่ะ
เฮียสนใจเปล่า?”
“ไอ้อิ๊กอยู่ข้างนอกเหรอ?!” จากเดิมที่คิดว่าจะแอบไปสวีทกับสองหมีให้เต็มคราบ
คำชวนของน้องชายกลับปลุกให้กรกฏโหมดดาร์คฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง...
ดาวน่ะจะดูเมื่อไรก็ได้ แต่ล้างแค้นไอ้อิ๊กปากมารมันต้องทำกันวันนี้ และเดี๋ยวนี้เท่านั้น!
“ก็ใช่น่ะสิเฮีย
เก็กเห็นไอ้แฝดงุบงิบอะไรกับฮอบบิทตั้งแต่เมื่อตอนเย็น เก็กว่าเก็กจะแอบออกไปอัดคลิปเอาคืนไอ้แฝดที่กล้าขัดความสุขเก็กเมื่อตอนเที่ยง!” ธันวาประกาศกร้าวด้วยความเอาจริงเอาจัง ฝ่ายพี่ชายผู้คั่งแค้นอคิราเป็นทุนก็รีบหนุนส่งให้จิตใฝ่อธรรมของน้องยิ่งเหิมเกริมไปกันใหญ่
“ดี! งั้นกูเอาด้วย!” อนิจจา... อารามอยากทำชั่วจนตัวสั่น พี่น้องอริยะตรัยจึงไม่ทันได้มองเห็นสีหน้าเสียดมเสียดายของหมีใหญ่ทั้งสองอย่างที่ควรจะเป็น
นอกจากคืนนี้เป็นคืนเดือนมืดแล้ว
เจ้าบ้านยังเอาใจอาคันตุกะวัยรุ่นกลุ่มใหญ่ด้วยการเลือกเปิดไฟเฉพาะบางจุดเพื่อขับให้แสงของดวงดาวยิ่งพราวพร่างสว่างสุกใสยวนตายวนใจมากยิ่งขึ้น
จริงอยู่ที่ความมืดมนอนธการเป็นประโยชน์ต่อการพรางตัว ทว่าเหล่าชายโฉดก็ต้องปวดหัว
เพราะกว่าจะหามุมถ่ายคลิปแบล็กเมล์คู่แค้นได้แม่นมั่น ทั้งห้ามีสิทธิเหยียบกันตายตั้งแต่ยังไปไม่ถึงไหนเป็นที่สุด
“ไอ้สัดเก็ก
มึงเดินเบา ๆ ดิวะ!”
กังฟูก่นด่าน้องชายที่เดินระวังหลังรั้งท้ายอยู่กับลูกแม่บัว แต่คนอย่างไทเก็กหรือจะกลัวฝีปากของคนเป็นพี่
“เก็กเดินดังที่ไหนล่ะเฮีย...
พี่ด้วงกับพี่เต๋อเหอะ แต่ละคน!” อดีตเดือนมหาลัยอดแขวะแฟนพี่ชายไม่ได้... ถ้าแผนนี้จะแตก
แฟนพี่ชายทั้งสองหน่อนี่แหละ คือ จำเลยคนแรก ๆ ที่เขาจะซัดทอดความผิด ตัวใหญ่อย่างกับหมี
ก้าวทีนี่ดังอย่างกับช้างแตกโขลง
“ลามปาม!
เดี๋ยวมึงจะโดนกูไอ้เก็ก!” ระหว่างค่อย ๆ เยื้องย่างตามหลังหมีทั้งสอง กรกฏก็สาดคำหวานใส่น้องชายอย่างไม่ลดละ
“โอ๊ย! แล้วใครเหยียบเท้ากูเนี่ย?!!” แต่แล้วความรู้สึกเจ็บจี๊ดที่แล่นตรงขึ้นจากปลายเท้าก็ทำให้เขาโวยวายหาตัวผู้ร้ายเสียยกใหญ่
“เหี้ย!!” เสียงคุ้นหูของบุคคลที่หกทำให้ทั้งหมดหยุดชะงักแล้วเหลียวมองฝ่าความมืดไปรอบ
ๆ กันจ้าละหวั่น ก่อนจะเห็นหน้าคนกันเองลอยห่างออกไปไม่ถึงสามคืบ
“อ้าวไอ้อิ๊ก!
แล้วทำไมมึงถึงมายืนหลบมุมอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ?” พอลองสังเกตให้ดี ๆ พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยก็ประจักษ์แก่ใจขว่า
ไม่ใช่แค่อิ๊กที่ยืนอัดกันอยู่ตรงนี้ หากแต่เบื้องหลังกลับมีเรือนร่างสูงใหญ่ของฝาแฝดยืนประกบเป็นแบ็คกราวด์พร้อมสรรพ
“เฮ่ย! นี่ขนกันมาหมดเลยเรอะ?!”
“ชู่ว์!!! อย่าเสียงดังสิครับตั่วเฮีย
ทางโน้นกำลังไคลแม็กซ์เลย!” อดีตเดือนบริหารกระซิบสั่ง แต่มีหรือที่คนอย่างกังฟูจะให้ความร่วมมืออย่างว่าง่าย...
ฝันไปเถอะ!
“ทางโน้นนี่มันทางไหนของมึ...”
ยังไม่ทันจะรู้ความอิ๊กก็ปิดปากคนยุ่มย่ามก่อนจะพยักเพยิดให้อีกฝ่ายมองไปยังขอบระเบียงฝั่งตรงข้ามด้วยความไวแสง
ณ จุดสุดสายตาของทั้งหมด
ปรากฏเงาตะคุ่ม ๆ ของใครสักคน... หรือสองคน ยืนอิงแอบแนบชิดจนแทบสนิทเป็นเนื้อเดียวกัน
ทันใดนั้น ธันวาก็เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดได้โดยไม่ต้องให้ใครอธิบายเพิ่มเติม “หนูแนน?!”
“เออ!” แฝดน้องรับคำหน่าย ๆ พลางกดซูมปรับเลนส์กล้องมือถือให้จับภาพได้คมชัดยิ่งกว่าเดิม
“ถ้าจะดูต่อก็หุบปากให้ไวเลยหล่อ!”
เมื่อตระหนักได้ว่ากิจกรรมตรงหน้าทำให้การหาเศษหาเลยคนรักกลายเป็นเรื่องยาก
วิญญูก็ออกปากหว่านล้อมคนรักร่างเล็กให้เปลี่ยนใจโดยไม่รอช้า “ฟู
เรากลับเข้าข้างในกันเถอะครับ”
“อยู่ก่อนไม่ได้เหรอด้วง?
ฟูอยากดูอ่ะ”
“ไปข้างในเถอะครับ
เดี๋ยวยุงกัดนะ” คิวท์บอยยังไม่ยอมรามือง่าย ๆ เพราะหากกลับถึงห้องตั้งแต่ตอนนี้
ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะพอมีเวลาสุขสำราญกับร่างกายของกันและกัน... แม้จะเป็นช่วงสั้น
ๆ ก็ยังดี แต่อริยะตรัยคนพี่กลับดื้อดึงกว่าที่คิดเอาไว้มาก
“ฮื่อออ!
ไม่เอา” ทันทีที่เห็นคนรักทั้งสองเริ่มจะออกแรงยื้อกันไปมา
บุคคลที่สามก็เริ่มจะทำวางเฉยไม่ได้อีกต่อไป
“ด้วง
มึงอย่าดึงฟูแรงดิวะ!”
ตรินรวบเอวของคนรักหน้าหยกเอาไว้เพื่อกันไม่ให้อีกฝ่ายออกแรงกับกรกฏหนักมือเกินไปนัก
ฝั่งคนมักมากก็พยายามสลัดเต๋อออกห่างทั้งที่ยังไม่ปล่อยกังฟูเป็นอิสระ เมื่อความมืด
ความงุ่นง่าน และความหื่นจนพาลมาสนธิกำลังกัน ความพังพินาศจึงมาเยือนเหล่าชายโฉดในมุมมืดทั้งปวงโดยไม่แจ้งล่วงหน้า
“กูไม่ได้ทำแรง!”
“ด้วงปล่อยยย!”
“เหวออออ!”
“เฮ่ย!!”
“โอ๊ยยยย!”
“อูยยย!”
สิ้นสรรพเสียงแห่งความวินาศสันตะโร
ชายหนุ่มทั้งแปดก็ล้มระเนระนาดลงไปนั่งกองทับกันเป็นก้อนเดียว หลัก ๆ เลยน่าจะเป็นเพราะจังหวะที่โดนคิวท์บอยฉุดกระชากลากถู
เท้าของอริยะตรัยผู้พี่ก็ดันไปเฉี่ยวตัดขาอคิราจนรุ่นน้องเซถลาเอื้อมมือไปคว้าหาหลักเกาะยึดให้วุ่นวาย
เหล่าสมุนเลวที่เหลือทั้งหลายที่ถูกอิ๊กฉุดคร่า จึงตายตกไปตามกันอย่างน่าสมเพชด้วยความกะทันหันของสถานการณ์
“มานั่งทำอะไรกันเหรอครับ?”
แทบไม่ต้องเดา
เหล่าหน่วยสอดแนมก็รู้ได้ทันทีว่าน้ำเสียงทุ้มนุ่มน่าฟังที่เพิ่งดังขึ้นนี้คือเสียงของเด็กสัตวแพทย์ปีสาม
แน่นอนว่าเมื่อหมีขาวออกตัวนำ... อีเมียแว่นก็ย่อมต้องไหลตามน้ำมาติด ๆ
“แหม่... อยากดูเราสองคนจู๋จี๋กันก็บอกตรง
ๆ สิครับ ต่อไปผมจะได้เปิดรอบขายบัตร ทุกคนจะได้เห็นกันชัด ๆ ไม่ต้องมายืนอัดกันอยู่ตามมุมมืด
ๆ แบบนี้” สกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งยั่วเย้ากึ่งอวดโอ่ชวนให้คนฟังรู้สึกโมโหขึ้นมาตงิด
ๆ
“ใครบอกว่าพวกกูมาแอบดูมึง!
พวกกูจะออกมานั่งคุยเล่นกันต่างหาก... ใช่ไหมวะ?”
ต่อให้ต้องแถจนตัวตาย
กังฟูก็ไม่มีทางยอมรับความอับอายขายหน้าให้เด็กเต็กปากหมาหน้าตี๋ได้ลำพองใจเป็นอันขาด
โชคดีที่รอบนี้มีผู้สมรู้ร่วมคิดมากมาย ชายหนุ่มที่เหลือจึงพยักหน้าสนับสนุนฉับไวคล้ายสนับสนุนทุก
ๆ คำพูดของเด็กวิศวะร่างเล็กอย่างเป็นเอกฉันท์... แต่มันคงน่าเชื่อกว่านี้ หากคนที่ออกหน้ารับตำแหน่งลูกคู่อย่างรู้งานไม่ใช่เดือนบริหารเมื่อสองปีที่แล้ว
“ใช่ ๆ พวกเราว่ากะว่าจะมานั่งคุยแล้วก็ดูดาวไปด้วยไง
โรแมนติกจะตาย เนอะตั่วเฮียเนอะ!”
“อ๋อ! อย่างนั้นเองเหรอครับ ถ้างั้นขอเราสองคนร่วมวงด้วยแล้วกันนะครับ”
ว่าที่หมอหมาเลือกที่จะไม่ถือสาหาความ ด้วยแน่ใจว่า เมื่อสักครู่ตนกับคนรักไม่ได้ทำอะไรเสียหาย
“มา มา!
นั่ง ๆๆ
นั่งล้อมวงกันตรงนี้ดีกว่า” ไหน ๆ ก็ไหน ๆ เต๋อจึงรวบรัดอย่างว่องไวด้วยเพราะชอบใช้เวลากับชายหนุ่มที่เหลืออยู่เป็นทุน
“งั้นเดี๋ยวผมไปเตรียมขนมกับน้ำให้ทุกคนแล้วกันนะครับ”
เจ้าของบ้านขันอาสาอย่างแข็งขัน เพราะการเที่ยวแอบถ้ำมองคนอื่น ไม่ใช่กิจกรรมยามว่างที่บ๊วยชื่นชมสักเท่าไร
“ให้เค้าช่วยนะครับ”
ธันวาผุดลุกขึ้นยืนประกบแผ่นหลังคนรักอย่างว่องไว ก่อนจะส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายออกเดินด้วยฝ่ามือที่แตะลงเหนือบั้นเอวของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา
ๆ
“เออไอ้หล่อ!
งั้นก่อนกลับมากูฝากหยิบกีตาร์กูให้ด้วยดิ”
ตรินตะโกนสั่งสองร่างที่ค่อย ๆ เดินห่างออกไป “มึงถือมาดี ๆ ล่ะ อย่าให้ตกนะเว่ย...
นั่นลูกรักกูเลย”
“ครับพี่เต๋อ”
“พี่หมี!” ชายกลางหลุดปากดุคนร้ายที่ขโมยหอมแก้มตนจากด้านหลัง
ดีเท่าไรแล้วที่เขาไม่บ้าจี้ ไม่อย่างนั้นคงต้องได้จัดจานขนมขบเคี้ยวกันใหม่อีกรอบเป็นแน่
“อีกแล้วนะ! เค้าไม่อยากโดนพ่อกับแม่ล้อแล้วนะ!” ต่อให้บ๊วยออกท่าฉุนหนักขนาดไหน แต่ก็ไม่วายโดนธันวากระหน่ำกดใบหน้าลงฉกฉวยดอมดมกลิ่นกายผสมแป้งเด็กซ้ำแล้วซ้ำอีก
“พี่หมีนี่...
เดี๋ยวเถอะ!” อดีตเดือนมหาลัยเลือกลงมืออย่างว่องไวและแม่นยำแทนการตอบโต้ด้วยวาจา...
เอาสิ ลองต่อว่าเขาอีกสิ พ่อจะหอมให้แก้มปริเลยคอยดู
“พี่หมี!
ทำไมพี่หมีถึงดื้ออย่างนี้ล่ะครับ?”
.
.
.
.
.
.
“...♫♪นิสัยแย่ๆ ฉันเยอะ จนเธอไม่น่าคบไว้... ♪แต่ส่วนดีๆ ก็มีนะ ไม่ควรมองข้ามไป...” เสียงกีตาร์ดังต๊องแต๊งสวนทางกับเสียงร้องอย่างเห็นได้ชัด
หากจะให้จัดอันดับฝีมือทางดนตรีของอดีตเดือนมหาลัย ระดับมือใหม่ยังดูสวยหรูเกินความเป็นจริงมากไปอยู่ดี
“พี่หมี! นั่นกีตาร์พี่เต๋อนี่ครับ?!!!” เด็กเต็กอุทานด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายถือกีตาร์โปร่งคู่บุญพี่รหัสอย่างหมิ่นเหม่
ฝ่ายเก็กก็เอาแต่พยักหน้าโปรยยิ้มทำเท่ เสมองลมมองฟ้าพลางตีคอร์ดงู ๆ ปลา ๆ ก่อนจะอ้าปากร่ายเนื้อเพลงท่อนถัดไปราวกับกำลังอยู่ในมิวสิควีดิโอก็ไม่ปาน
“...อาจจะดูเป็นคนไม่รักดี
แต่ก็มีแค่รักเดียว♫... อาจจะพูดว่ารักไม่ค่อยเพราะ แต่พูดให้ฟังเฉพาะเธอ...♪”
“พี่หมีเล่นกีต้าร์ไม่เป็นไม่ใช่เหรอครับ?”ใช่ว่าอยากขยี้ปม
หรือทับถมให้เจ็บปวดแต่อย่างใด แต่พออีกฝ่ายเปิดมินิคอนเสิร์ตใส่หน้าแบบจัง ๆ ลูกแม่บัวก็อดตั้งคำถามไม่ได้จริง
ๆ
“...♪อาจจะไม่ได้ความอะไรนัก แต่ความรักก็ให้เธอ...”
เมื่อเห็นว่าศิลปินเริ่มโยกย้ายส่ายเอวซ้ายขวาจนคอกีตาร์เกือบจะกระแทกตู้เย็น
ชายกลางก็สูดปากร้องอู้อย่างหวาดเสียวราวกับเป็นเครื่องสายในอุ้งมือของคนรักอย่างไรอย่างนั้น
“พี่หมี พี่หมีวางกีตาร์ก่อนเถอะครับ!”
นอกจากจะไม่หยุดแล้ว
เด็กวิศวะยังคงขับขานความในใจผ่านเสียงเพลงไปให้อีกคนได้รับฟังจนจบท่อน “...ถามเธอหน่อยข้อดีแค่นี้
พอกลบข้อเสียได้หรือยัง♫...”
“พี่หม...”
“บูบู้จะไม่ดีใจหน่อยเหรอ
เค้าอุตส่าห์ตั้งใจร้องเพลง เล่นกีตาร์ให้บูบู้ฟังโดยเฉพาะเลยนะ”
หนุ่มวิศวะเอ่ยขัดคนที่ทำท่าจะทัดทานในชั่วพริบตา
“ดีใจน่ะดีใจครับ
แต่เค้าว่า พี่หมีเอากีตาร์ไปให้พี่เต๋อก่อนดีกว่าไหมครับ เค้ากลัวมันจะเป็นรอยน่ะ”
ไม่ว่าเมื่อไร บ๊วยก็ไม่อาจปฏิเสธสายตาและสีหน้าเว้าวอนของคนตัวสูงตรงหน้าได้เลยสักครั้ง
แต่ถ้าถามว่ากลัวธันวาจะทำกีตาร์พี่รหัสพังไหม... ชายหนุ่มก็ตอบได้ในทันใดเลยว่า ‘มาก!!’
“ฮื่อออ...
กีตาร์ไว้ทีหลัง” อริยะตรัยคนน้องวางเครื่องดนตรีเจ้าปัญหาตั้งพิงกับฝาตู้เย็น
จากนั้นจึงปราดเข้ายืนซ้อนแผ่นหลังของคนตัวเล็กกว่าพลางคาดคั้นด้วยน้ำเสียงอ่อนละมุน
“ว่ายังไงบูบู้? ถ้าเค้าเป็นคนแบบนี้... แบบที่ชอบทำรุ่มร่ามกับบูบู้ทุกที่ทุกเวลา
แบบที่ขี้หึง ขี้หวง ไม่อยากให้บูบู้เห็นใครดีหรือสำคัญกว่า
แบบที่อยากอยู่กับบูบู้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง... ถ้าเค้าน่ารำคาญ พูดจาไม่รู้เรื่อง
บอกอะไรไม่เคยฟัง เค้ายังจะดีพอสำหรับบูบู้อยู่ไหมครับ?”
“...พี่หมี...”
“ถ้าเค้าจะทำตัวแบบนี้กับบูบู้ไปตลอด
บูบู้จะยังรักเค้าอยู่ไหมครับ?”
“...”
“หืม... ว่าไง
รักไหมครับ?”
“...ครับ... รักครับ”
แววตาไม่มั่นใจที่ฉายบนสีหน้าจริงจังของธันวา ทำให้ลูกแม่บัวกล้าเอ่ยคำว่ารักให้อีกฝ่ายรับฟังทั้ง
ๆ ที่เจ้าตัวไม่นิยมการแสดงออกทำนองนี้ในที่สาธารณะสักเท่าไร
“จริงนะ?”
“จริงสิครับพี่หมี”
“บูบู้จะไม่โกรธเค้าใช่ไหมถ้าเค้าทำตามใจแบบเมื่อเช้า?”
เพื่อให้เข้าใจตรงกันพันเปอร์เซนต์ อดีตเดือนมหาลัยจึงรุกคืบถามเน้นเพื่อขอฟังคำตอบอย่างแน่ชัดเพราะไม่อยากทำให้คนรักรู้สึกอึดอัดกับการแสดงความรักอันล้นหลามเกินห้ามใจของตน
“เค้าไม่เคยโกรธพี่หมีเลยครับ
แต่ที่ดุ เพราะไม่อยากให้คนอื่นมองพี่หมีไม่ดี” ลึก ๆ แล้ว นอกเหนือจากเป็นห่วงภาพลักษณ์ของอริยะตรัยผู้น้อง
ความรู้สึกกระดากอายเมื่อต้องแสดงความรู้สึกรักใคร่ให้คนอื่นเห็นก็เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้บ๊วยต้องบ่นต้องว่าคนรักอยู่เสมอ
“คนอื่นจะมองยังไงก็ช่าง
ขอแค่บูบู้ กับครอบครัว และเพื่อน ๆ พวกเราเข้าใจและรับเราสองคนได้
เค้าก็พอใจแล้วล่ะ” เก็กสรุปโดยยึดตัวเองเป็นหลัก เพราะชายหนุ่มแค่หวังให้คนรักยอมรับข้อเสียข้อนี้ได้เท่านั้น
“แต่กับบางที่
บางที... เค้าก็ต้องห้าม พี่หมีเข้าใจเค้านะครับ” เด็กเต็กจำใจแย้งเพื่อตัดปัญหาหน้ามืดไม่เลือกเวลาหรือสถานที่ของคนรักผู้โปรดปรานสกินชิพไม่มีใครเกิน
“เข้าใจครับ!” ธันวารับปากเจื้อยแจ้วเป็นนกแก้วนกขุนทอง
ทว่าในใจกลับท่องว่า ‘ถ้าไม่น่าเกลียดจนเกินไป
พ่อจะไซ้ให้บูบู้ละลายจนหนีไปไหนไม่ได้อีกเลย!’
“ดีมากครับ!” บ๊วยยิ้มกว้างหลังได้ฟังบทสรุปอันน่ายินดี
หนุ่มรูปงามดีกรีเดือนมหาลัยพินิจเสี้ยวหน้าเปี่ยมสุขของคนรักนิ่ง
ๆ อยู่พักใหญ่พลางสำรวจความรู้สึกทั้งหลายในใจตัวเองอีกครั้ง
ก่อนจะตั้งใจเอ่ยเรื่องสำคัญให้อีกฝ่ายรับฟังด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าครั้งไหน ๆ “เออนี่บูบู้
เค้าตัดสินใจแล้วนะ... พอเค้าเรียนจบ เค้าจะมาขอพ่อทำงานที่ไร่”
“พี่หมีไม่อยากเป็นวิศวกรแล้วเหรอครับ?”
ชายกลางละสายตาจากจานขนมตรงหน้าเพื่อหันขวับไปจ้องตากับอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจเป็นล้นพ้น
“เค้าว่าความฝันเค้าเป็นรูปร่างชัดเจนมากขึ้นตั้งแต่ได้เจอบูบู้แล้วล่ะ”
คนพูดเปรยด้วยรอยยิ้ม
“ยังไงครับ?”
“เมื่อก่อนเค้าแค่อยากเป็นเหมือนเฮีย
อยากให้เฮียยอมรับ แต่ลึก ๆ แล้วเค้ากลับไม่รู้เลยว่า จริง ๆ แล้วเค้าต้องการ
เค้าหวังอยากได้อะไร... แต่พอเราคบกัน
เค้าก็เข้าใจแล้วล่ะว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต คือ การได้ลืมตาขึ้นทุก ๆ
เช้าในที่ ๆ ทำให้เค้ามีความสุขยาว ๆ ไปจนถึงเวลาเข้านอน... บ้านที่มีบูบู้อยู่ด้วยกัน
คือ ที่เดียวในโลกที่เค้าอยากใช้ชีวิตอยู่ไปตลอดชีวิตน่ะครับ”
“...พี่หมี...”
หากให้บ๊วยสารภาพ ชายหนุ่มคงจะบอกว่าสิ่งที่เพิ่งได้ยินไปเมื่ออึดใจก่อนหน้าสร้างความตื้นตันและยินดียิ่งกว่าเมื่อครั้งที่อีกฝ่ายบอกรักก็คงจะไม่ผิดนัก...
พี่หมีอยากอยู่กับเขา พี่หมีจะยอมอยู่กับเขาที่นี่จริง ๆ ด้วย!!
อริยะตรัยผู้น้องพยักหน้าน้อย
ๆ แทนการรับคำ จากนั้นจึงเสริมความต่อทันที “เค้าอยากดูแลพ่อกับแม่
อยากทำงานที่ไร่ เค้าอยากเห็นน้ำพักน้ำแรงที่พวกเราหว่านรดลงดินไป... เติบใหญ่ให้ดอกให้ผล
แล้วใครบอกบูบู้กันครับว่างานในไร่ไม่ต้องอาศัยเทคโนโลยี ไม่ต้องมีกลไก
ไม่ต้องวางแผน ว่าง ๆ บูบู้ลองไปคุยกับพี่โป่งดูสิ...
แกมีโปรเจคจะทำโน่นทำนี่ทุ่นแรงคนงานเยอะแยะไปหมดเลยนะ”
“จริงเหรอครับ?”
“จริงสิ! ไม่งั้นเค้าจะเหนื่อยจนไม่มีแรงเช็ดหน้าเหมือนเมื่อเช้าเหรอครับ?”
ที่สุด เก็กก็วกเข้าเรื่องของตัวเองอีกจนได้
“นั่นพี่หมีแกล้งทำต่างหาก
จริง ๆ พี่หมีไม่ได้หมดแรงเสียหน่อย” ท่าทางหยิ่งผยองของคนรักทำเอาลูกแม่บัวต้องหักเบรกโดยพลัน
“รู้ด้วย?!”
“ก็รู้สิ!”
“รู้ได้ไง?
เพราะได้ยินที่เค้าคุยกับฌอนเหรอ?”
.
.
.
.
.
.
“...เปล่าครับ...”
พูดมาถึงตรงนี้ แฟนตัวน้อยของพี่หมีก็เริ่มจะอึกอักแถมชักจะหน้าแดงหนักขึ้นทุกที ธันวาจึงได้ทีเย้าต่ออย่างว่องไว
“แล้วบูบู้รู้ได้ยังไงล่ะครับ?
“...เอ่อ...” ชายกลางหน้าร้อนผ่าวจนเอาแต่อ้ำอึ้งเอ่ออ่าหรุบตามองถั่วมองงาในจานไปเรื่อยเปื่อย
“หืม...
ว่ายังไง? บูบู้รู้ได้ไงครับ?” ลองว่ามือไวขั้นเทพขนาดนี้ย่อมไม่มีทางพูดปากเปล่า ระหว่างรอคำเฉลยของคนรัก
อดีตเดือนมหาลัยปักปลายจมูกลงเคล้าคลึงผิวกายอ่อน ๆ ร้อนผะผ่าวในอ้อมกอดอย่างใจเย็น
คนโดนต้อนนี่สิที่ออกอาการจะเป็นจะตาย
เพราะลำพังแค่จะเค้นคำตอบออกจากปากให้จงได้ เขาก็วุ่นวายใจเสียจนแทบคิดอะไรไม่ออกอยู่แล้ว
“ฮื่อออ พี่หมี... ปล่อยก่อนครับ!” บ๊วยพยายามอ้อนวอนขอความเห็นใจจากหนุ่มรูปงาม แต่คนรุ่มร่าม
ก็พร้อมจะลวนลามอยู่วันยันค่ำ
“ไม่เอา เค้าไม่อยากรู้แล้วล่ะ
ตอนนี้เค้าอยากทำอย่างอื่นมากกว่า” อริยะตรัยคนสุดท้องกระซิบความต้องการข้างหูอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแหบแผ่วแฝงแววหื่น
ลูกแม่บัวจึงอดตื่นตระหนกไม่ได้... ขืนอยู่ ๆ พวกเขาหายตัวไป พวกเพื่อน ๆ คงได้สงสัยกันพอดี
วินาทีนี้ ต่อให้ต้องพูดในเรื่องน่าอายจนต้องเขินตาย
ก็ดีกว่าโดนเหล่าสมุนเลวและรุ่นพี่ซักไซ้ไปตลอดแน่ ๆ
“ปล่อยเค้าเถอะครับ...
นะ... เค้ายอมบอกแล้ว”
สีหน้ากระอักกระอ่วนจวนจะร้องไห้ของชายกลางทำให้หนุ่มรูปงามคลั่งรักยอมใจอ่อนในท้ายที่สุด
“โอเค ๆ สรุปว่าบูบู้รู้ได้ไงครับ? ไหนบอกเค้าซิ”
“ก็ตั้งแต่พวกเรามาอยู่ที่นี่
พ่อชอบบ่นว่า ผนังบ้านเราบางเกินไปน่ะครับ...
.
.
.
.
.
...ถ้าพี่หมีทำงานจนร่างกายไม่ไหวจริง
ๆ พ่อเค้าคงไม่ต้องบ่นแบบนี้ทุกเช้าหรอกครับ” สิ้นคำอธิบาย เก็กก็ระเบิดหัวเราะจะเป็นจะตาย
ฝ่ายบ๊วยก็ยืนก้มหน้าก้มตาจัดของกินเล่นอย่างตั้งอกตั้งใจเพื่อซ่อนใบหน้าเห่อร้อนขึ้นสีแดงแข่งกับมะเขือเทศสุกอีกครั้ง
«♥»------------------------------------ TBC ------------------------------------ «♥»
ขอบคุณเนื้อเพลง:
No comments:
Post a Comment