Monday, May 23, 2016

«♥» บน บานฯ สาน รัก «♥» The 20th Bonding|| 23.05.2015



ตอนนี้มีเรื่องยุ่งยากที้ต้องขอความอนุเคราะห์จากคุณผู้อ่าน
ได้โปรดอ่านอย่างอดทนนะคะ เพราะมีตัวละครเครือญาติของแต่ละบ้านโผล่หน้ามาหลายตัวเหลือเกิน
เอาไว้ว่าง ๆ เราจะทำชาร์ทชื่อและครอบครัวมาแปะแนบไว้ให้ทำความรู้จักกันอีกทีนะคะ
ส่วนตอนนี้หวังว่าอ่านแล้วจะไม่งงใช่ไหมเอ่ย? (คลานเข่าเข้ากราบขอขมาคนอ่าน)

ช่วงนี้อากาศแปรปรวน อย่าลืมดูแลสุขภาพดี ๆ นะคะ เราเป็นห่วงทุกคนมาก ๆ เลย ^^
รักชอบประการใด... คอมเมนท์ให้เราอ่านจนชื่นใจหน่อยโนะ
หรือถ้าอยากติดตามข่าวสารนิยาย และการเวิ่นเว้อต่าง ๆ





«»------------------------------------------------------------------------------------«»



The 20th Bonding
 ปิดเทอมใหญ่หัวใจว้าวุ่น




“บ๊วย... นี่ นี่! ทางนี้! เงาตะคุ่ม ๆ ที่หลบมุมอยู่ในหลืบมืดส่งเสียงเรียกพลางกวักมือไหว ๆ ดึงความสนใจของลูกแม่บัวที่กำลังเดินงุ่มง่ามราวกับตามหาอะไรบางอย่างด้วยความตั้งใจสูงสุดอยู่ห่างออกไปอีกมุม  

“โธ่! แล้วนายมานั่งหลบอะไรอยู่ตรงนี้ล่ะ เราก็หลงเดินหาอยู่ตั้งนาน!” แม้แสงแดดยามสายของวันจะปรานีพวกเขาอยู่มาก แต่ระหว่างที่ปากกำลังพรั่งพรูคำตำหนิเพื่อนสนิทที่คบหามาแต่เยาว์วัย ชายกลางก็อดกระพือสาบเสื้อเชิ้ตนักศึกษาพร้อมกับคลายปมเนคไทเพื่อคลายความอบอ้าวไม่ได้ กระนั้น อีกฝ่ายกลับไม่ได้นำพากับดินฟ้าอากาศอย่างที่พึงเป็น

“ชู่ว์! อย่าเสียงดังสิ!” คนพูดยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากพลางใช้มือว่างอีกข้างลากแขนแฟนอดีตเดือนมหาลัยให้ตามตนเข้าไปสุดซอกตึกอย่างระแวดระวัง “นายไม่ได้บอกแฝดใช่ไหมว่ามาหาเรา?”

“เปล่า ไม่ได้บอก” บ๊วยเว้าซื่อ ๆ ตอบเพื่อนไปตามจริง

“แฝดไม่ได้สงสัยอะไรแน่นะ?” หนุ่มแว่นยังคงไม่คลายใจ เจ้าตัวจึงถามไปกวาดสายตาสำรวจพื้นที่โดยรอบอย่างถี่ถ้วนไปพร้อม ๆ กัน

“ตอนเราเดินออกมาพี่ฌานกำลังทวนรอบสุดท้ายให้ฌอนอยู่เลยไม่มีใครถามอะไรน่ะ” ชายกลางอธิบายถึงสถานการณ์ที่ตนจากมาให้เพื่อนหัวไข่ฟังอย่างใจเย็น...

แต่พูดก็พูดเถอะ อาการหลุกหลิกไม่อยู่นิ่งของหลานอาม่าใหญ่ทำให้บ๊วยตะขิดตะขวงใจชอบกล
เมื่อเช้าอีกฝ่ายก็ส่งไลน์มาย้ำ แถมยังสั่งห้ามไม่ให้เขาบอกใครเรื่องนี้เองนี่นา หรือว่าสกลจะมีปัญหาอะไร?!


“เฮ่อ
! ค่อยยังชั่ว!” หลานอาม่าถอนหายใจยาวเหยียดอย่างโล่งอก

“นายไม่สบายหรือเปล่า? ปวดหัว? ตัวร้อน? อยากให้เราไปซื้อยาหรืออะไรให้ไหม? แล้วนี่อ่านหนังสือจบหรือยัง? เมื่อคืนได้
นอนบ้...” ลูกแม่บัวรัวคำถามใส่เพื่อนรักเป็นชุดเพราะอดเป็นห่วงอีกฝ่ายไม่ได้

“ชู่ว์! เรื่องอื่นเอาไว้ก่อน! ตอนนี้เรามีเรื่องสำคัญที่อยากได้คำแนะนำจากนาย” คนเห็นผีตัดบทเพื่อนกลางคันมันห้วน ๆ  ด้วยทีท่าร้อนใจ

“หืม?! นายมีปัญหาอะไรเหรอสกล?” สีหน้าอาการผิดปกติของคู่สนทนากระตุ้นบ๊วยให้เจรจาถามไถ่อีกฝ่ายด้วยความเอาใจใส่ระดับสูงสุด

“สัญญาก่อนว่าถ้ารู้แล้วจะไม่บอกใคร!” เจ้าของท่าทางหวาดระแวงจนดูพิลึกพิลั่นกระดิกนิ้วน้อยเร่งยิก ๆ จนบ๊วยจำใจเกี่ยวก้อยรับปากทั้งที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก

 “...คืองี้... เราอยากรู้ว่า...” แววลังเลฉายในดวงตาใต้กรอบแว่นหนาเพียงชั่วครู่ ก่อนเจ้าตัวจะรวบรวมความกล้าอ้าปากเอ่ยถามในสิ่งที่ค้างอยู่ในใจตนมาพักใหญ่ได้ในที่สุด “นานไหมกว่าที่นายกับพี่หมีจะมีอะไรกันครั้งแรกอ่ะ?”

เฮ้ยยย?!
ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!

เนื่องจากเรื่องเซ็กส์เป็นหัวข้อที่ทั้งคู่ไม่เคยเปิดอกคุยกันอย่างตรงไปตรงมาเลยสักครั้ง สกลจึงไม่แปลกใจเมื่อเห็นเพื่อนรักตั้งแต่สมัยอนุบาลตกใจจนเผลอร้องอุทานเสียงหลง แน่ล่ะ... อีกฝ่ายคงไม่ได้เตรียมใจรับมือกับคำถามล้วงลูกเช่นนี้มาล่วงหน้า

แต่กับเสียงหัวเราะอีกสองเสียงที่ดังประสานกึกก้องไปทั่วนี่สิ...
อย่าบอกนะ?!!


พี่ฌาน! ฌอน! มาได้ไง?!... ที่แท้นายขายเรากับแฝดเหรอบ๊วย? ทำไมนายต้องหลอกเราด้วย?!!” ทันทีที่เห็นบุคคลที่สามและสี่โผล่มายืนยิ้มกริ่มอยู่ด้านหลัง ความอับอายขายหน้าเนื่องจากไม่อาจปิดบังความลับสุดยอดจากฝาแฝดได้ บันดาลให้หลานอาม่าใหญ่ไพล่ไปขึ้นเสียงใส่เพื่อนสนิทวัยเด็กผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ใด ๆ เสียอย่างนั้น

เฮ่ย! เราเปล่า!!” ชายกลางโบกมือโบกไม้พลางปฏิเสธข้อกล่าวหาเป็นพัลวัน

“ฮื่อออ แว่น! ใจเย็น พี่ฌานกับน้องชายเดินตามบ๊วยมาเองแหละ” ร่างทรงหนุ่มอธิบายพลางแทรกเข้าไปยืนกั้นกลางระหว่างเพื่อนตัวเล็กผู้อารีกับหนุ่มแว่นที่คลุ้มคลั่งจนไม่คิดจะฟังใคร แต่แทนที่สถานการณ์ตึงเครียดตรงหน้าจะคลี่คลาย แฝดน้องกลับกระเซ้าสหายหัวไข่ให้ยิ่งเสียจริตติดลมบน

“มาถึงก็ทันฟังของดีเสียด้วยสิ หึ หึ” ฌอนหลิ่วตายั่วเย้าตบท้าย กลับกัน... คนโดนล้อดันทำได้เพียงตีอกชกหัวตัวเองซ้ำ ๆ แล้วร้องร่ำระบายความคั่งแค้นเจียนบ้ากับลมกับฟ้าไปพลาง ๆ  

โว้ยยยย! ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม๊?!!!

“ถ้าแว่นไม่อยากให้พี่ฌานอยู่ฟังด้วยขนาดนั้น พี่ฌานไปก็ได้... แต่อย่าคุยกันเพลินจนลืมดูเวลาล่ะ อีกครึ่งชั่วโมงเริ่มสอบนะ ไม่ลืมใช่ไหม?” ฌานรวบตึงอย่างฉับไวโดยไม่ลืมเตือนสติเพื่อนทั้งสองสั้น ๆ ระหว่างนั้นสองหน่วยตาคมเข้มเปี่ยมด้วยพลังอำนาจก็จับจ้องวัดใจกับหลานอาม่าใหญ่ไม่วาง

ทว่าเมื่อเห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของคนเห็นผี แฝดพี่จึงหันไปพยักหน้าให้สัญญาณแก่ผู้เป็นน้องเพื่อถอยทัพกลับไปทบทวนเนื้อหาวิชาก่อนโค้งสุดท้ายของการสอบในเทอมนี้จะมาถึง “เราไปกันเถอะน้องชาย!

หลังจากชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีกับข้อเสียอยู่นานสองนาน ที่สุดหนุ่มแว่นก็ตัดสินใจได้ “เดี๋ยวครับ! พี่ฌานกับฌอนจะอยู่ก็ได้ครับ! ยังไงสี่หัวก็ดีกว่าสองหัวอยู่แล้ว... นายโอเคใช่ไหมบ๊วย?”
.
.
.
.
.
.
“อืม... ก็ โอเค” ชายกลางเอ่ยอ้อมแอ้ม

“ดี! ถ้างั้นก็เข้าเรื่องเลยแล้วกัน... แต่พี่ฌานบอกไว้ก่อนว่ารอบนี้ห้ามคุยเล่นนะ ถ้าจะออกความเห็น ก็ต้องเป็นประโยชน์ และห้ามยึกยักโยกโย้ จะได้ไม่เสียเวลาเตรียมตัวเข้าสอบ... โอเคไหม?” หลังจากสกลเปลี่ยนทีท่า ฌานจึงรับหน้าที่ควบคุมทิศทางของบทสนทนาให้เหมาะสมกับเวลาซึ่งงวดเข้าไปทุกที

“ครับ” สมุนทั้งสามรับคำหัวหน้าใหญ่โดยพร้อมเพรียง

“ไหน ๆ แว่นก็คาใจเรื่องครั้งแรกกับแฟน... เอาเรื่องนี้ให้จบก่อนก็แล้วกัน” ร่างทรงหนุ่มเปิดประเด็นขึ้นอีกครั้งด้วยการสาดไฟสป็อตไลท์พร้อมยื่นไมค์ใส่หน้าคนรักอดีตเดือนมหาลัยโดยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายตั้งตัวติด “ว่าไงบ๊วย... เก็กปล่อยให้รอนานไหม?”

“เอ่อ...
.
.
.
.

.
.
.
.
...ของผมไม่ต้องรอครับ” ชายกลางตอบอย่างกระมิดกระเมี้ยนหลังตระหนักได้ว่า การจะตีหน้าเซ่อทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ต่อหน้าฌานเวอร์ชันเอาจริงเอาจัง ทั้ง ๆ ที่เพิ่งตกลงปลงใจร่วมหัวจมท้ายกับคำขอของเพื่อนซี้หัวไข่ไปหมาด ๆ จัดว่าเป็นทางออกที่ไม่ฉลาดสักเท่าไร ฝ่ายแฝดน้องซึ่งสนิทสนมกลมเกลียวกับอริยะตรัยผู้น้องยิ่งกว่าใคร ๆ ก็ถึงกับหลุดหัวเราะร่วนเมื่อได้ยินวีรกรรมความหื่นขึ้นตาของเกลอรักต่างคณะจากปากบ๊วยเป็นครั้งแรก   

“อืม ส่วนของน้องชายแว่นคงไม่ต้องถาม” เรื่องของฌอนกับอิ๊กถูกปัดตกอย่างไร้เยื่อใยด้วยแฝดพี่แน่ใจว่า ช่วงย้ายเข้าอพาร์ทเมนท์ใหม่ ๆ หลานอาม่าใหญ่น่าจะรู้เห็นอะไรมาไม่น้อย ดังนั้นความสนใจของฌานจึงพุ่งเป้าไปที่สาเหตุซึ่งทำให้เพื่อนหน้าแว่นทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ มีลับลมคมในกับพวกเขาทั้งหมดด้วยความไวแสง “แล้วจริง ๆ ปัญหามันคืออะไร?”

“พี่ฌานจำได้ใช่ไหมครับว่าผมกับพี่รินน่ะตกลงคบกันมาตั้งแต่ต้นเทอม” สกลเกริ่นด้วยสีหน้าอมทุกข์

“อือฮึ แล้วมันยังไง?”

“จนป่านนี้แล้ว... เอ่อ... จนป่านนี้แล้ว...” หนุ่มแว่นชำเลืองมองเสี้ยวหน้าแฝดน้องตาละห้อยพร้อมกับถองสีข้างอีกฝ่ายเพื่อให้ช่วยอธิบายสิ่งที่ตนอับอายเกินจะยอมรับออกมาตรง ๆ  

ฌอนถอนหายใจและส่ายหัวอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะพูดแทรกแบบขอไปที “พี่รินกับแนนซี่ยังไม่ไปถึงไหน ๆ กันเลยน่ะครับพี่ชาย”

ฝั่งแฝดพี่ที่เห็นอากัปกิริยาผิดปกติของเพื่อนหัวไข่ กอปรกับได้ฟังคำอธิบายทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ ก็เริ่มจะเข้าใจเรื่องราวได้มากขึ้น “นี่กำลังสงสัยว่าตัวเองไม่มีเสน่ห์ หรือพี่รินไม่ต้องการใช่ไหม?”

สกลพยักหน้าเร็วรัวอย่างกระตือรือล้นอยู่เพียงไม่นาน ก่อนที่สีหน้าหมาจ๋อยจะกลายเป็นค่ามาตรฐานของการแสดงอารมณ์ประจำวันอีกครั้ง “ผมลองมาทุกอย่างแล้วครับพี่ฌาน... แต่ไม่ได้ผลเลย”

แทนที่จะกลัดกลุ้มรุ่มร้อนตามเกลอหัวไข่ไปติด ๆ ร่างทรงหนุ่มกลับอมยิ้มชอบใจเนื่องจากพอจะเดาเหตุผลของรุ่นพี่ปีสามได้เลา ๆ เพราะตลอดมา สารินหมั่นซักไซ้ตนถึงวันหยุดยาว ๆ ที่ไม่มีงานต้องเร่งส่งของพวกเขาอยู่ไม่ได้ขาด คล้ายวางแผนจะลักพาตัวเพื่อนหน้าแว่นไปซ่อน หรือล่อลวงไปทำอะไรสักอย่าง แต่เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด ชายหนุ่มจึงยิงคำถามสุดท้ายใส่หลานอาม่าใหญ่เพื่อปิดการขายโดยไม่รอช้า “พี่รินสอบตัวสุดท้ายเสร็จเมื่อไรแว่น?”

“วันนี้เหมือนกันครับ... ว่าแต่พี่ฌานจะอยากรู้ไปทำไมเหรอครับ?” แฟนหมีโพลาร์เปลี่ยนสีหน้าเป็นหมางงจัดบัดเดี๋ยวนั้น ฝ่ายฌานก็แทบจะตบเข่าฉาดเมื่อทุกอย่างเข้าเค้าที่เขาคาดการณ์เอาไว้อย่างเหมาะเจาะ

“เข้าใจล่ะ!... โอเคแว่น ตั้งใจฟังพี่ฌานให้ดี ๆ นะ” แฝดพี่ก้าวฉับ ๆ ไปหยุดยืนประจันหน้ากับเจ้าของชื่อ จากนั้นจึงเอื้อมมือทั้งสองกระชับหัวไหล่พร้อมกับตรึงสายตาอีกฝ่ายให้สบกันอย่างสงบนิ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พี่ฌานอยากให้แว่นลืมเรื่องผนึกร่างกับพี่รินไปให้หมด เพราะตอนนี้พวกเราควรจะไปเตรียมตัวสอบแพลนท์กันได้แล้ว”

แต่!” หลานอาม่าใหญ่สวนกลับทันควัน แต่ฌานกลับไม่เปิดโอกาสให้เพื่อนหัวไข้ได้ต่อรอง  
สอบก่อนหลับนอนทีหลัง... ตกลงนะแว่น!
“ครับ ก็ได้ครับ”

สิ้นเสียงตอบรับแผ่ว ๆ ของสกล แฝดพี่ก็หมุนตัวเดินลิ่วมุ่งหน้ากลับโต๊ะตรงแคนทีนใต้ตึกคณะโดยไม่ร่ำไร ด้วยถือว่าตัวเองได้บอกใบ้อนาคตอันใกล้ที่กำลังจะเกิดกับอีกฝ่ายไปเป็นที่เรียบร้อย หน้าที่ปลอบประโลมกับปลุกอารมณ์พร้อมเข้าสอบให้แก่เพื่อนซี้หัวไข่จึงตกเป็นภาระของแฝดน้องกับชายกลางอย่างไม่ต้องสงสัย


“ไม่เอาน่า... อย่าทำหน้าแบบนี้ดิ!” ทั้งบ๊วยและฌอนต่างช่วยกันลากแขนหนุ่มแว่นคนละข้าง ก่อนที่ทั้งสามจะค่อย ๆ เยื้องย่างไปยังห้องสอบวิชาสุดท้ายของภาคปลายปีสองอย่างเชื่องช้า








|| บ่ายแก่ ๆ หลังการสอบวิชาสุดท้ายของเทอม ||


“พี่ริน... พี่รินไปแวะซื้อของมาเหรอครับ?” สกลอดแปลกใจไม่ได้ที่เห็นอีกฝ่ายหิ้วถุงพลาสติกประทับตราซุปเปอร์แห่งเดียวในย่านใกล้กับมหาวิทยาลัยมาเต็มสองไม้สองมือ... ที่บอกว่าหลังสอบเสร็จ ให้เขาติดรถแฝดพี่กลับมารอที่ห้องก่อนก็เพราะแอบไปซื้อของมาอย่างนั้นน่ะเหรอ? แล้วข้อสอบล่ะ... ได้ทำหรือเปล่า?  ทำไมถึงกลับมาเร็วแบบนี้?!

“ครับ พอดีพี่สอบเสร็จก่อนเวลาเลยแวะไปซื้อของสดมานิดหน่อยน่ะครับ” ว่าที่นายสัตวแพทย์อธิบายด้วยรอยยิ้มพลางค่อย ๆ ทยอยบรรจุข้าวของที่ซื้อมาใส่ตู้เย็นอย่างเป็นระเบียบ

“ทำไมพี่รินถึงต้องซื้อของเข้าห้องอีกล่ะครับ? พรุ่งนี้เราจะยังไม่กลับกรุงเทพกันหรอกเหรอ?” ยิ่งเห็นปริมาณอาหารสด ผัก และผลไม้ที่เยอะจนตาลาย หลานอาม่าใหญ่ก็ยิ่งจับต้นชนปลายเดาใจหมีขาวไม่ถูก

“ครับ” คนโตกว่ารับคำพร้อมโปรยยิ้มละไม ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคล้ายจงใจปกปิดเหตุผลของการอยู่เที่ยวเล่นเถลไถลทั้งที่ผิดวิสัยแท้ ๆ “แนนหิวไหมครับ?”

“เอ่อ... ยังไม่หิวครับ พี่รินล่ะ หิวหรือเปล่า?” แม้จะสงสัย แต่ปากท้องของหมีโพลาร์ก็สำคัญกว่าการซักฟอกให้รู้ความมากนัก

“ครับ หิวมากเลยครับ หิวจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้วครับ” รุ่นพี่ตอบพลางจัดผักสดถุงสุดท้ายยัดลงลิ้นชัก

“ถ้างั้นพี่รินจะกินอะไรล่ะ? อยากสั่งกับข้าวข้างล่าง หรือจะกินมาม่า? บอกมาเลย... เดี๋ยวแนนจัดให้!” หลานอาม่าใหญ่ขันอาสาพลางก้มหน้าก้มตาพับถุงชอปปิ้งและจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบตามแบบที่เจ้าของห้องเคยสอน

“งั้นพี่ไม่เกรงใจแล้วนะครับ”

เฮ่ย! พี่ริน?!” อ้อมกอดแนบแน่นจากด้านหลังทำให้หนุ่มแว่นเผลออุทานด้วยความตกใจ เพราะมัวแต่วุ่นวายอยู่กับงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ตรงหน้า สกลจึงไม่ทันรู้ว่า ออร่ารอบตัวสารินที่เคยอบอุ่นสว่างไสว ได้ผันเปลี่ยนเป็นเปลวไฟเร่าร้อนไปเสียแล้ว

“พี่หิวแนน... ขอกินตอนนี้เลยได้ไหมครับ?” หางเสียงแห้งผากคล้ายคนขาดน้ำหากแต่ทุกถ้อยทุกคำถูกเน้นย้ำแนบชิดติดใบหูทำเอาหัวใจคนฟังเต้นระรัว ด้วยรู้แก่ใจว่า สัมผัสเช่นนี้... ผิดไปจากทุกทีที่เคยประสบพบพาน... ถึงเวลาแล้วสินะ

“หึ!” สกลส่ายหัวโดยแสร้งทำไม่สนใจสายตาคมที่จับจ้องตนคล้ายอยากจะกลืนร่างของเขาลงท้องไปเสียเดี๋ยวนั้น ก่อนจะตอบรับอย่างโอนอ่อน “กินตอนนี้ไม่อร่อยหรอก อาบน้ำก่อนนะ... แนนตัวเหนียว”

“อาบพร้อมกันเลยดีกว่าครับ จะได้ไม่เสียเวลา... นะครับ” คู่สนทนาเลือกที่จะไม่โต้ตอบ หากแต่พยักหน้าน้อย ๆ แล้วเดินนำหน้าว่าที่นายสัตวแพทย์เข้าห้องนอนโดยพลัน


ร่างเปลือยเปล่าหมดจดของเด็กน้อยที่เคลื่อนผ่านหางตาก่อนจะหายลับเข้าห้องน้ำไปเมื่ออึดใจก่อนเร่งเร้าให้ว่าที่นายสัตวแพทย์ปลดเปลื้องเปลือกนอกออกอย่างรวดเร็ว เรือนกายสูงใหญ่ เต็มไปด้วยมัดกล้ามและความงดงามกล้าแกร่งเฉกเช่นเอกบุรุษสืบเท้าเข้าสู่ใจกลางความชื่นฉ่ำอย่างเชื่องช้าทว่ามั่นคงดั่งพญาราชสีห์หมายตาเหยื่ออันโอชะ   


ใต้สายน้ำอุ่นที่โรยรินลงจากฝัก สองร่างถาโถมเข้าหากันโดยไม่รอช้า  
พวกเขาบดเบียด กอดรัด ผสานทุกส่วนสัดหลอมรวมเป็นหนึ่ง
สารินหักใจผละจาก ไล้ลากริมฝีปาก ป่ายปัดสองมือเคล้นคลึงเรือนร่างเด็กน้อยจนถ้วนทั่ว... แทบไม่มีสักจุดที่ถูกละเลย
หลานอาม่าใหญ่เองก็ไม่ได้อยู่เฉย ทั้งเสนอ ทั้งสนอง
ทั้งสื่อความต้องการผ่านเสียงครางต่ำ สลับกับพร่ำเพรียกเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

เมื่อการเล้าโลมลูบล่วงผลิดอกออกผลจนสุกงอมหอมกรุ่น
ไฟแห่งราคะก็พร่าผลาญความอดทนอดกลั้นของทั้งสองให้ระเหยหายไปพร้อมไอน้ำ
ความขัดเคืองขุ่นข้องในเบื้องต้นได้รับการผ่อนผัน  ปรนเปรอด้วยน้ำมือของกันและกันอย่างอ่อนโยนละม่อมละมุน
อดกลั้นพรั่นใจเพียงชั่วครู่ให้หลัง... สารินก็รับรู้ได้ถึงการโอบอุ้มตัวตนโดยสมบูรณ์ด้วยความยินยอมพร้อมใจของอีกฝ่าย ในขณะที่สกลก็ได้ลิ้มรสความรู้สึกเต็มตื้นรสหวานชื่นปนขื่นขมที่เฝ้าข่มใจตั้งตารอมาเนิ่นนาน

สัญชาตญาณนำทางพวกเขาพุ่งทะยานสู่จุดหมายอย่างเร่าร้อนรุนแรง
ท่อนขาแกร่งที่เคยรองรับน้ำหนักของทั้งคู่จนถึงวาระสุดท้ายเริ่มสั่นไหวเพราะความหฤหรรษ์ช่วงท้ายที่ชวนให้ตาพร่า
และแล้ว ความสุขสมก็ไม่ปล่อยให้พวกเขาต้องคอยนาน... ทั้งสองครางประสานก้องดังราวกับต้องการสรรเสริญบทรักที่เพิ่งพ้นผ่านให้อีกฝ่ายได้รับฟัง








หลังจากค่ำคืนอันยาวนานผ่านพ้น คนเป็นพี่ก็รู้สึกตัวขึ้นอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงแจ้งเตือนของข้อความใหม่ช่วงฟ้าใกล้สาง สารินหยัดลำตัวขึ้นนั่งมองใบหน้าเกลี้ยงเกลาของเด็กน้อยที่นอนหลับตาพริ้มอยู่ข้าง ๆ อยู่นานสองนาน ก่อนจะเอี้ยวตัวยืดสุดแขนไปคว้ามือถือขึ้นมากดถ่ายรูปคนรักยามหมดสภาพเสียหลายช็อต จากนั้นจึงก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความอยู่พักหนึ่งก่อนจะโยนอุปกรณ์สื่อสารทิ้งแล้วรวบลำตัวเปล่าเปลือยของน้องมากอด


“ฮื่อ... ไว้กินแนนต่อพรุ่งนี้นะพี่ริน แนนง่วง”

เสียงประท้วงงึมงำทั้งที่ยังไม่ลืมตาของหลานอาม่าใหญ่เรียกรอยยิ้มกว้างของว่าที่นายสัตวแพทย์ได้ทันตา สารินประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากเนียนของน้องก่อนเอ่ยคำรักข้าง ๆ หูคนขี้เซา แล้วปล่อยตัวเองให้กลับเข้าสู่โลกแห่งความฝันหลังม่านสายตาอีกครั้งอย่างมีความสุข








“หึ!” ฌานเป็นคนแรกที่หลุดยิ้มเมื่อได้อ่านข้อความพร้อมรูปภาพลับเฉพาะซึ่งรุ่นพี่ต่างคณะอุตส่าห์สละเวลาส่งมาให้  แน่นอนว่าช่วงสาย ๆ ของวัน ศรันย์ สิงหราช และตริน จะเป็นอีกสามคนที่ได้ร่วมยินดีกับฐานะสะใภ้เต็มตัวของสกลที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งหมาด ๆ แบบจัดหนักไปเมื่อคืน

«»------------------------------------------------------------------------------------«»



|| ช่วงสาย ๆ ของวันรุ่งขึ้น ||


“ทำไมเมื่อเช้าถึงห้ามไม่ให้อิ๊กไปเคาะเรียกแนนซี่ที่ห้องฮยองล่ะ? ฌอนไม่อยากเจอแนนซี่อีกรอบก่อนปิดเทอมเหรอ? กว่าจะได้เจอกันก็อีกตั้งนานเลยนะ” ตุ๊กตาหน้ารถเจ้าของตำแหน่งอดีตเดือนบริหารหันไปตั้งคำถามคนขับหลังจากล้อหมุนมุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯได้สักพัก

“เคาะไปก็ไม่มีใครออกมาหรอกอิ๊ก” แฝดพี่ซึ่งวันนี้ย้ายมานั่งเบาะหลังเป็นคนไขข้อข้องใจให้แก่แฟนน้องชายด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มแบบแปลก ๆ   

“อ้าว! ทำไมล่ะครับพี่ฌาน? หรือว่าฮยองกลับบ้านไปตั้งแต่เมื่อคืน? ถึงว่าสิ ห้องแนนซี่ถึงเงียบเป็นป่าช้าเลย... ฮยองนี่ขยันขับรถดีแฮะ เมื่อวานเพิ่งสอบเสร็จแท้ ๆ ”  

ฌานปล่อยให้อคิราคิดเองเออเองเสร็จสรรพด้วยกำลังภาวนาให้เพื่อนซี้หัวไข่ไม่จับไข้จนล้มหมอนนอนเสื่อไปก่อนจะสาสมใจกับรสรักของหนุ่มรุ่นพี่ จวบจนเมื่อรถแล่นมาถึงเขตชานเมืองกรุงเทพฯ แฝดพี่ก็หันไปถามคนขับถึงแผนการของอีกฝ่ายโดยไม่คิดเท้าความ “แล้วนี่น้องชายจะเอาไง?”

“เดี๋ยวฌอนพี่ส่งพี่ชายที่บ้านก่อนแล้วคงไปนอนเป็นเพื่อนอิ๊กน่ะครับ” ฌอนตอบทันควันจนอิ๊กเหลือบมองทั้งสองสลับกันไปมาด้วยสายตาสุดทึ่งไม่ต่างจากทุกที... มันต้องเป็นพลังวิเศษของฝาแฝดคู่นี้แน่ ๆ ที่ทำให้ต่างเข้าใจกันได้โดยไม่ต้องพูดอะไรมาก... โหย! เท่สุด ๆ !!

“อ้าว! คืนนี้ไม่นอนบ้านเหรอ?” ฌานอดแปลกใจกับคำตอบของน้องไม่ได้ อดีตเดือนบริหารจึงสลัดความคิดฟุ้งซ่านของตนทิ้งไปแล้วรีบให้เหตุผลกับอีกฝ่ายทันควัน

“พอดีคืนนี้ที่บ้านอิ๊กไม่มีใครอยู่น่ะครับพี่ฌาน”

“อืม ยังไงก็โทรมาบอกพี่ฌานอีกทีนะว่าพรุ่งนี้จะกลับกี่โมง” ร่างทรงหนุ่มจ้องตาฝาแฝดของตนพลางกำชับเสียงเข้ม

“ครับพี่ชาย”








|| สามชั่วโมงให้หลัง ||


“เฮ่อ! ถึงเสียที! ฌอนหิวยัง?” อคิราบ่นอุบขณะยืดเส้นยืดสายบิดไล่ความเมื่อยขบ หลังทั้งสองต้องเผชิญกับมวลมหาประชาพาหนะปริมาณมหาศาลระหว่างทางจากเรือนไทยของฝาแฝดกลับมายังบ้านเดี่ยวสุดร่มรื่นของอิ๊กนานร่วมสองชั่วโมง

“ไม่ค่อยนะ อิ๊กล่ะ?” เด็กเต็กเปิดท้ายรถเพื่อตรวจดูกระเป๋า และของฝากที่ต้องขนเข้าบ้านคนรักอีกครั้งอย่างละเอียดละออ

“เดี๋ยวเอาของเข้าไปเก็บแล้วนั่งพักสักแป๊บนึงก็ได้ บ่าย ๆ ค่อยเดินออกไปกินที่ฟู้ดแลนด์” อิ๊กสรุปหลังกวาดตามองถุงใส่ขนมใบใหญ่ กับตะกร้าผลไม้ขนาดมหึมาที่แฝดผู้พี่บัญชาให้น้องชายหิ้วติดมือมารอไหว้พ่อกับแม่ของตนในวันพรุ่งนี้  

“อืม เอางั้นก็ได้” ฌอนรับคำง่าย ๆ เพราะแค่ได้ใช้เวลาด้วยกันกับอีกฝ่าย เขาก็พอใจมากแล้ว

แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะแบ่งสมบัติเพื่อแบกเข้าด้านใน อยู่ ๆ กุมารทองคู่กายก็ปรากฏตัวขึ้นด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน  กระนั้น ยังไม่ทันที่แฝดน้องจะได้ซักไซ้พี่พลายให้รู้ความ เจ้าของบ้านรุ่นใหญ่ทั้งสองก็เดินออกมาพอดี “อ้าวอิ๊ก ฌอน! กลับมากันแล้วเหรอลูก?”

“อ้าวแม่!? ป๊า!?” หนุ่มหน้าหวานยกมือไหว้ผู้ให้กำเนิดทั้งสองด้วยสีหน้าแปลกใจ แฝดน้องจึงรีบละมือจากข้าวของท้ายรถเพื่อแสดงความเคารพผู้ใหญ่ฝ่ายสะใภ้ทันที

“สวัสดีครับคุณแม่ คุณพ่อ”

หึ! กองไว้ตรงนั้นเฮอะ!” ไม่ว่าเมื่อไรที่พบหน้า อรรณพก็พร้อมจะทดสอบความอดทนของลูกเขยใหญ่ด้วยความเต็มใจบวกหมั่นไส้เต็มอัตราไปเสียทุกที

คุณนี่! เดี๋ยวเถอะ!” อรจิราถลึงตาดุสามีแทบจะเดี๋ยวนั้น

เพื่อป้องกันไม่ให้บุพการีมีเรื่องผิดใจกัน บุตรชายคนโตของบ้านจึงเบี่ยงเบนความสนใจของผู้อาวุโสทั้งสองมันเดี๋ยวนั้น “นี่แม่กับป๊ายังไม่ออกอีกเหรอครับ? บอกยายไว้ว่าจะไปหากี่โมงเนี่ย?”

“ก็กำลังจะออกอยู่นี่แหละ” ผู้เป็นแม่ตอบลูกชายคนโตทว่ากลับไม่ละสายตาจากเด็กสถาปัตย์หน้าคมสักนาที “ฌอน แม่ฝากดูอิ๊กกับเอ้กด้วยนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เย็น ๆ แม่กับพ่อก็กลับแล้วล่ะจ๊ะ”

อ้าว! เอ้กอยู่บ้านเหรอแม่?” อารามตกใจเมื่อได้ยินมารดากล่าวอ้างถึงน้องชายที่คลานตามหลังห่างกันหนึ่งขวบปี อดีตเดือนบริหารก็แทบไม่อาจประคองอารมณ์ให้เริงรื่นได้อย่างที่ควรจะเป็น  

ส่วนแฝดน้องที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กันก็ถึงกับหน้าถอดสี เมื่อรู้ว่าสิ่งที่เด็กวิเศษต้องการจะบอกกับตน คือ สมาชิกอีกคนของบ้านอิ๊กนี่อย่างไร... คนบ้าอะไร กระทั่งชื่อเล่นยังทรงอานุภาพร้ายกาจต่อความรู้สึกได้ถึงเพียงนี้!


“ก็เพิ่งจะเปลี่ยนใจตอนที่รู้ว่าฌอนจะมานอนค้างเป็นเพื่อนอิ๊กนี่แหละ... โน่นไง น้องมาโน่นแล้ว” อรจิราพยักเพยิดพลางส่งยิ้มให้ผู้มาใหม่ที่เพิ่งวิ่งดุ๊กดิ๊กออกมาจากตัวบ้าน  ลำพังแค่ได้ยินชื่อของบุคคลที่สาม ขนอ่อนตามร่างของคู่รักปีสองก็ลุกเกรียวกราวราวเจอผี... แต่นี่กลับต้องมาอยู่ใต้ชายคาเดียวกันเกินยี่สิบสี่ชั่วโมง คืนนี้คงล้งเล้งไม่เป็นอันหลับนอนกันแน่ ๆ

“พี่ฌอนขา!!! ทำไมเพิ่งกลับมาล่ะคะ? เอ้กแต่งหน้า อัพขนตา ทาปากรอพี่อยู่ที่ท่าน้ำตั้งแต่หัวค่ำเมื่อวานแล้วนะคะ” เจ้าของน้ำเสียงแหบห้าวโหยหวนดังกล่าว คือ ชายหนุ่มร่างเล็กผมหยักศกย้อมสีโค้กยาวประบ่าผู้มาพร้อมกับใบหน้าสวยหวานที่โบกเครื่องสำอางจนฉ่ำได้ที่... สาวสนั่นเบอร์นี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ได้ทันทีว่า อาการหนักกว่าผู้เป็นพี่ไปหลายป้าย

ยังไม่ทันไร เด็กปีหนึ่งต่างมหาลัยก็ท้าทายอำนาจมืดของผู้เป็นพี่ด้วยการปรี่เข้าทิ้งตัวใส่ฌอนอย่างระรี้ระริก อรรณพจึงรีบเบรคเกมเสิร์ฟของบุตรคนเล็กจนอีกฝ่ายหน้าง้ำ “ให้มันน้อย ๆ หน่อยไอ้เอ้ก! ไว้หน้าพ่อมึงบ้าง!”  

“โห่! ป๊าอ้ะ! ไหนป๊าบอกว่าป๊ารับได้ที่หนูเป็นตุ๊ดไง?!” ดาวเทียมต่างสถาบันกอดแขนแฝดน้องไม่ปล่อยขณะเถียงพ่อจ้อย ๆ ไม่หยุดปาก

“มึงก็ช่วยเป็นตุ๊ดเรียบร้อย ๆ แบบน้องปอยไม่ได้หรือไงวะ? แล้วนั่นน่ะแฟนมึงที่ไหน... แฟนไอ้อิ๊กมัน! มึงอย่าเที่ยวไปให้ท่ามันนักสิวะ แค่นี้มันก็หยามป๊าเต็มทีแล้ว!” ฌอนอดนับถือพ่อของคนรักไม่ได้... ขนาดเขายืนสยองน้องเมียอยู่เงียบ ๆ อีกฝ่ายยังไม่วายหาทางแขวะเขาจนได้ในท้ายที่สุด

“โอ้ยป๊า! ป๊าจะเขม่นฌอนไปถึงเมื่อไร? หรือป๊าอยากให้อิ๊กคบฌอนแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ ลับหลังป๊า ป๊าจะได้สบายใจไม่ต้องรู้เห็น?” อคิราโพล่งอย่างสุดทน เพราะแม้บิดาจะยอมรับตัวตนของเขาและน้องชายได้สนิทใจ แต่อยู่ ๆ ก็เกิดทำใจไม่ได้ขึ้นมาเสียอย่างนั้นทันทีที่เห็นหน้าฌอน... แฟนคนแรกที่เขาพาเข้าบ้านมาแนะนำตัว

โว้ะ! ลูกกูแต่ละคน แรดได้ใครนักหนาวะ?!” ยิ่งเห็นเลือดเนื้อเชื้อไขทั้งสองล้อมหน้าล้อมหลังฌอนเป็นภมรกับดอกไม้ อรรณพก็ยิ่งฟาดงวงฟาดงานประหนึ่งกำลังจะเสียลูกสาวให้ไอ้หนุ่มต่างอำเภออย่างไรอย่างนั้น

“ป๊าอ้ะ พูดอย่างนี้อิ๊กน้อยใจนะ!

ช่างมึง! คุณ... ผมไปสตาร์ทรถรอนะ” ผู้เป็นพ่อแสร้งมองผ่านบุตรชายที่เริ่มจะนิ่วหน้าไม่พอใจกับความไร้เหตุผลของตน... ก็เขาหวงลูกนี่หว่า แค่ยอมให้ไอ้เด็กหน้าแขกก้าวข้ามรั้วเข้าบ้านมาโดยไม่ยิงลูกซองไล่ก็บุญเท่าไรแล้ว!

“ป๊า! ไม่เอาแบบนี้ดิ มากอดกันก่อน!” อคิรารั้งบิดาก่อนอีกฝ่ายจะบ่ายหน้าไปยังรถเอสยูวีคันใหญ่ดังที่ลั่นวาจา ประมุขใหญ่ของบ้านจึงชะงักท่ายืนค้าง ก่อนจะเบือนเสี้ยวหน้ากลับมาผงกหัวให้ลูกชายอย่างลวก ๆ

“เออ ๆ มา ๆ !” สิ้นคำ อดีตเดือนบริหารก็ถลาเข้าไปกอดร่างท้วมของป๊าอย่างเต็มรัก

“อิ๊กรักป๊านะครับ”

“เออ ๆ ป๊าก็รักอิ๊ก! ป๊าไปนะ เดี๋ยวถึงแล้วจะโทรบอกอีกที” ผู้อาวุโสเลื่อนสายตาไปจ้องหน้าแฝดน้องอย่างขึงขัง “ดูบ้านให้กูด้วยล่ะ แล้วก็อย่าสะเออะมายุ่งกับตุ๊ดคนเล็กของกูนะโว้ย!

“ไม่ครับ ไม่แน่นอนครับ!” แฝดน้องตอบพลางกลั้นหัวเราะ เพราะไม่มีวันที่ความกลัวของบิดาคนรักจะเป็นจริงได้...

ทั้งรักทั้งเกลียดเห็นจะเป็นนิยามที่เหมาะสมกับความสัมพันธ์ระหว่างพ่อตากับลูกเขยบ้านนี้
ส่วนสมบัติผลัดกันชมคงจะเป็นค่านิยมที่น้องชายอดีตเดือนบริหารยึดถือ เพราะทันทีที่ได้ยินป๊าห้ามปรามคุณพี่เขย กะเทยตัวจ้อยผู้ถูกพาดพิงก็กรีดร้องอื้ออึงเหมือนโดนใครดึงขนจมูก

อรจิราส่งสายตากำราบบุตรคนเล็กจนเด็กเฟรชชี่ให้หมดอายุหุบปากฉับลงชั่วพริบตา จากนั้นหล่อนจึงหันมาสั่งความกับคู่รักปีสองอย่างเป็นการเป็นงาน  “แม่ทำกับข้าวเอาไว้ให้แล้วนะ ถ้าจะกินก็ตักแบ่งออกมาอุ่นเอา ถ้าไม่พอ... แม่มีของสดอยู่ในตู้ ทำกินกันเองนะ”

“ครับ”

“อ้อ... เกือบลืมแน่ะ! ตอนเย็น ๆ ถ้าไม่ได้ออกไปไหน แม่ฝากรดน้ำต้นไม้ให้ด้วยนะจ๊ะ” รอบนี้แฝดน้องรับรู้ได้ว่า แม่ยายกำลังไหว้วานเขามากกว่าจะหวังพึ่งเหล่าลูก ๆ สุดขี้เซาของตัวเอง ชายหนุ่มจึงรับคำหล่อนโดยไม่อิดออด

“ครับแม่”

“ขอบใจมากจ๊ะ... เอ้า! สาว ๆ มาให้แม่กอดหน่อยซิ!” ไม่ทันขาดคำ บุตรสาวในร่างชายทั้งสองหน่อของอรจิราต่างก็พากันวิ่งเฮโลเข้าไปกอดหล่อนเสียแน่น

“แม่รักเอ้ก รักอิ๊กนะจ๊ะ... ทำตัวดี ๆ นะ อย่าสร้างปัญหาให้ฌอนต้องปวดหัวล่ะ... ลูกเขยหล่อ ๆ ดี ๆ น่ะหายากรู้ไหม?” คนพูดเอ่ยพลางขยิบตา พร้อมยกยิ้มมุมปากให้ฌอน... ถ้าไม่ใช่เพราะหล่อน  แฝดน้องคงโดนคุณพ่อตาคอยหาเรื่องค่อนขอดจนวางตัวไม่ถูกแน่ ๆ  

“แม่ไม่ต้องห่วงอิ๊กหรอก ไอ้เอ้กนี่แหละตัวแสบเลย!” ได้ที พี่คนโตก็รีบแฉความร้ายกาจของน้องชายให้มารดาได้ประจักษ์ ฝ่ายตุ๊ดคนเล็กก็พลิกบทเป็นลูกรักผู้อ่อนแอเพื่อลวงให้แม่ถือหางตน

“ฮือออ แม่! อิ๊กว่าเอ้ก แม่ต้องช่วยเอ้กนะ!” อนาวิลกอดออเซาะผู้มีอำนาจชี้เป็นชี้ตายพร้อม ๆ กับจิกตาท้าทายคนเป็นพี่อย่างมีนัยยะ

“พอกันทั้งคู่!... แม่ว่าแม่รีบไปดีกว่า เดี๋ยวป๊ารอนาน  พรุ่งนี้อยากกินอะไรก็โทรมาบอกแม่นะ เดี๋ยวแม่กับป๊าแวะซื้อเข้ามาให้” อรจิราใช้มะเหงกช่วยตัดบทพิพาทระหว่างสองศรีพี่น้อง   

“ครับ รักแม่ครับ”
“เอ้กรักแม่นะ”




“ไปค่ะพี่ฌอน เข้าบ้านกัน ข้างนอกร้อน ร้อน!” คล้อยหลังผู้อาวุโสทั้งสองได้ไม่ทันไร น้องคนเล็กของบ้านก็ออกอาการเลื้อยตาใส จับมือ คล้องแขน ลูบไล้โน่นนี่นั่นของแฟนพี่ทันที แต่ก่อนที่สัมผัสล่วงล้ำจะเลื่อนลงต่ำอคิราก็ปัดฝ่ามือน้องชายออกจากลำตัวคนรักอย่างไม่ปรานีปราศรัย

“ไปหาเอาข้างหน้าดีกว่าครับคุณอนาวิล นี่แฟนพี่... มีสัมมาคารวะหน่อย” เจ้าตัวพูดพลางฉุดแขนอีกข้างให้ฌอนกระเถิบเข้าใกล้

“แฟนพี่ก็เหมือนแฟนน้องนั่นแหละน่า อย่ามาทำเป็นหวงนักเลย!” เมื่อศึกฟาดฝีปากทำท่าจะสูสี สองหนุ่มพี่น้องจึงเปลี่ยนสนามประลองมาเป็นร่างกายของแฝดคนเล็กเสียอย่างนั้น  

ซึ่งเมื่อเห็นทั้งอิ๊กและเอ้กออกแรงยื้อต้นแขนตนกันคนละข้าง เด็กสถาปัตย์ผู้เป็นคนกลางจึงต้องหาทางเอาตัวรอดอย่างเสียไม่ได้ “เอ่อ อิ๊ก... เก็บของก่อนดีไหม?”

“มะ! เดี๋ยวเอ้กช่วยนะคะ เอ้กสตรองงง!” ผู้อ่อนอาวุโสที่สุดขันอาสาด้วยความร่าเริงสดใสจนคนเป็นพี่อดกลอกตาเป็นเลขแปดไทยรัว ๆ ไม่ได้  

“งั้นเอ้กเอาตะกร้านี่ไปแล้วกันครับ ไม่หนักมาก... เดี๋ยวที่เหลือพี่จัดการเอง” แฝดน้องยื่นตะกร้าของฝากประมุขของบ้านให้น้องเมียตามคำขอ

“วุ้ย! พี่ฌอนเป็นห่วงเค้าดั้วะ! น่าร้อกอ้ะ!
“จะยืนบิดอีกนานไหม? เดี๋ยวนี้ไม่กลัวผิวเสียแล้วเหรอ?” อคิราอาศัยแดดร้อน ๆ ช่วงก่อนบ่ายของเมืองไทยเป็นเครื่องมือกำจัดน้องชายที่ยืนแอ๊บอายส่ายเอวไปมาจนดูน่ารำคาญ และดูเหมือนนั่นจะได้ผลเป็นอย่างดี

“อุ๊ย! เอ้กไปรอพี่ฌอนข้างในบ้านนะคะ อย่าช้าน้า... เอ้กคิดถึง!!” สั่งเสียเสร็จ อนาวิลก็พาตะกร้าใบเขื่องวิ่งตื๋อไปหยุดตรงหน้าบ้านเพื่อส่งจูบให้ฌอนเป็นเวลาสั้น ๆ  ก่อนจะหายลับเข้าข้างใน
.
.
.
.
.
.
.
“ฌอนคิดเหมือนที่อิ๊กคิดไหม?” อดีตเดือนบริหารส่งสายตามีลับลมคมในไปให้คนรัก น่าประหลาดที่อีกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันโดยไม่ต้องพิรี้พิไรให้ยืดยาว

“คืนนี้ไปนอนบ้านฌอนนะ”

“อือ! ไว้รอให้พ่อกับแม่กลับมาก่อนแล้วค่อยกลับทีเดียวแล้วกัน” อคิราตอบรับทันควัน ก่อนจะพุ่งตัวไปเปิดประตูฝั่งข้างคนขับอย่างเร็วรี่

“แล้วเอ้กล่ะ?” แฝดน้องอดเป็นห่วงตุ๊ดคนเล็กที่พ่อตาฝากฝังไม่ได้ ในขณะที่อิ๊กก็ไม่ใช่พวกใจไม้ไส้ระกำมีความสุขอยู่กับแฟนโดยปล่อยให้น้องชายต้องแกร่วเฝ้าบ้านเพียงลำพังเช่นกัน

“เดี๋ยวอิ๊กโทรไปบอกให้ไอ้วิวมาอยู่เป็นเพื่อน”

“งั้นไปกันเถอะครับ!” ทันทีที่ได้ยินชื่อบุคคลที่สี่ผู้ส่อเค้าว่าอยากจะมีซัมติงรองกับน้องเมียใจจะขาด ฌอนก็สอดตัวลงนั่งหลังพวงมาลัยและออกรถพรวดพราดได้โดยไม่รู้สึกติดค้างในใจใด ๆ ทั้งสิ้น


«»------------------------------------------------------------------------------------«»



|| ตัดภาพไปยังคฤหาสน์ประจำตระกูลเพิ่มพูนอัครไพศาล (บ้านด้วง) ||


“สวัสดีครับคุณณวัฒน์ คุณจรรยา” ผู้ก่อตั้งและหัวหน้าบอร์ดบริหารกลุ่มคุณะประสิทฒ์กล่าวกับประมุขชายหญิงแห่งบ้านหลังมหึมาที่ยืนต้อนรับเขาและภรรยาอยู่ตรงโถงรับแขกชั้นล่าง ถือเป็นครั้งแรกที่ยักษ์ใหญ่ทั้งสองของวงการก่อสร้างพบปะกันเป็นการส่วนตัวถึงนิวาสถานของอีกฝ่าย

“สวัสดีครับคุณตระการ คุณรสริน” ณวัฒน์ เพิ่มพูนอัครไพศาลทักทายคู่สามีภรรยาตรงหน้าด้วยความยินดีเปิดเผย... ไม่นึกไม่ฝันเลยว่า ครอบครัวของเขาจะมีโอกาสเกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกันกับตระกูลเก่าแก่อย่างคุณะประสิทฒ์ในท้ายที่สุด

“ไม่ทราบคุณณวัฒน์รู้เรื่องหรือยังครับ?” ชายวัยกลางคนเจ้าของมาดภูมิฐานผู้มีศักดิ์เป็นพ่อของตรินยิงคำถามถึงหัวข้อสำคัญประจำวันทันทีด้วยอยากแน่ใจว่า อีกฝ่ายตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุตรชายทั้งสองบ้าน กับอีกหนึ่งหนุ่มน้อยดังเช่นที่ตนกับภรรยาเข้าใจ

“เรียกวัฒน์ดีกว่าครับ ไหน ๆ ก็จะดองกันอยู่แล้ว” ท่าทางถ่อมตัวเข้าถึงได้ซึ่งผิดไปจากทุกทีที่พบปะอีกฝ่ายตามงานเปิดตัวเมกะโปรเจคต่าง ๆ  กอปรกับสีหน้าผ่อนคลายประดับด้วยรอยยิ้มกว้างของนายใหญ่แห่งซีเอ็นพีกรุ๊ปส่งเสริมให้คำตอบเรียบง่ายกินความหมายเกินตัวไปมาก

ตระการ คุณะประสิทฒ์จึงรับลูกด้วยความยินดีและมิตรไมตรีเต็มเปี่ยม “ถ้าอย่างนั้นคุณวัฒน์ก็ต้องเรียกผมว่าโต้งแล้วล่ะครับ”

“ได้เลยครับคุณโต้ง”

“คุณคะ เดี๋ยวฉันพาคุณแหม่มไปดูกล้วยไม้หลังบ้านเรานะคะ” จรรยาผู้เป็นภรรยาของเจ้าบ้านเอ่ยแทรกขึ้นก่อนที่คุณพ่อทั้งสองจะเริ่มบทสนทนาประสาผู้ชาย  

“นี่คุณไปสนิทกับคุณรสรินตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย ทำไมผมถึงไม่รู้เลยล่ะ?” ณวัฒน์อดสงสัยไม่ได้

“ความลับของผู้หญิงค่ะ” บรรดาแม่ ๆ ต่างมองหน้ากันก่อนจะหัวเราะเบา ๆ อย่างรู้กัน ณวัฒน์จึงไม่เซ้าซี้เพราะต้องการทำความรู้จักกับตระการให้มากกว่านี้โดยเร็ว  

“เอ้า! เชิญ ๆ เดี๋ยวพอลูกมาแล้วผมจะให้เด็กไปตามแล้วกัน”

แต่ก่อนที่ทั้งหมดจะแยกย้าย เด็กในบ้านที่เพิ่งรีบรุดเข้าด้านในก็ชิงรายงานทันที “คุณท่านคะ คุณพดด้วงกลับมาแล้วค่ะ”

“มาได้เวลาพอดี! งั้นพวกเราย้ายไปนั่งรอเด็ก ๆ กันที่โต๊ะอาหารจะดีกว่าครับ เชิญครับคุณรสริน” เจ้าบ้านอย่างณวัฒน์สรุปก่อนจะผายมือเชิญอาคันตุกะหญิงออกเดินไปพร้อมกับตนและตระการผู้เป็นสามี ส่วนจรรยาก็หันไปสั่งแม่บ้านคนเก่าแก่ให้ช่วยรอรับบุตรชายแทนตน  

“แม่ปลั่ง บอกคุณพดด้วงให้พาเพื่อน ๆ ตามไปที่ห้องอาหารนะ”

“ค่ะคุณผู้หญิง”




“พ่อครับ แม่ครับ สวัสดีครับ” วิญญูจูงมือกรกฏให้ก้าวตามไปทักทายบุพพการีของตนพร้อม ๆ กัน ทางด้านตรินก็เดินอ้อมโต๊ะอาหารไปอีกฝั่งเพื่อกราบพ่อกับแม่ของตัวเองถึงหน้าตัก

“คุณพ่อ คุณแม่... สวัสดีครับ” อริยะตรัยผู้พี่กระพุ่มมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองที่ตนคุ้นหน้าเป็นอย่างดี โดยเฉพาะฝ่ายหญิงที่นอกจากจะเป็นมารดาของเพื่อนและคนรักอย่างด้วงแล้ว หล่อนยังเป็นสหายสนิทของหม่าม้าของเขาอีกด้วย

“น้องฟู คุณแม่ไม่เจอน้องฟูนานเลยลูก น้องฟูเป็นยังไงบ้างคะ?” จรรยาคว้าตัวกังฟูมากอดให้หายคิดถึง เพราะตั้งแต่งานศพครั้งนั้น หล่อนก็ไม่ได้เห็นหน้าเลือดเนื้อเชื้อไขของเพื่อนรักผู้ล่วงลับอีกเลย

“ฟูสบายดีครับคุณแม่” ความประหม่าทำให้กังฟูระมัดระวังคำพูดคำจาและท่าทางเป็นอย่างยิ่ง  เห็นดังนั้น ประมุขหญิงของบ้านจึงอดสงสารเด็กหนุ่มไม่ได้

“น้องฟูมาลูก มานั่งข้าง ๆ คุณแม่นี่” จรรยาจัดแจงที่นั่งให้พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยเสร็จสรรพ ฝ่ายด้วงที่ตกอยู่ในฐานะคนกลางกับเจ้าบ้าน ก็เริ่มการแนะนำตัวคนรักอีกคนให้พ่อแม่ของตนทำความรู้จักทันที

“เอ่อ คุณพ่อคุณแม่ครับ... นั่น... แฟนผมอีกคนครับ” วิญญูบุ้ยใบ้ให้สัญญาณคนรักหน้าคม หนุ่มร่างหมีก็รู้งานน่าชื่นชมดีเหลือเกิน เพราะเจ้าตัวได้ย้ายมานั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่ตรงหน้าพ่อแม่ของคิวท์บอยในไม่กี่อึดใจให้หลัง

“สวัสดีครับ คุณพ่อ คุณแม่ ผมเต๋อครับ ผมขอฝากเนื้อฝากตัวเป็นลูกคุณพ่อคุณแม่ด้วยอีกคนนะครับ” มารยาทอันดีที่สะท้อนออกมาจากการกราบแสดงความเคารพอย่างงดงามของตรินทำให้ทั้งณวัฒน์และจรรยายิ่งประทับใจในตัวลูกชายคนใหม่ผู้สมบูรณ์พร้อมทั้งรูปลักษณ์ และทรัพย์สมบัติ

“ไหว้พระเถอะลูก” เจ้าบ้านชายรับไหว้อีกฝ่ายอย่างเต็มใจไม่ต่างจากคู่ชีวิตที่ตื้นตันจนแทบจะเก็บอาการไว้ไม่อยู่

“คุณแม่ยินดีมากค่ะ” จรรยาว่าพลางบีบมือเต๋อเบา ๆ

“นี่ดีใจจนน้ำตาซึมเลยเหรอคุณ?”

“ก็ฉันอยากมีลูกหลาย ๆ คนมาตั้งนานแล้วนี่คะ... เพิ่งจะสมใจก็วันนี้เอง” เจ้าหล่อนเอ่ยเสียงเครือ  

“โธ่คุณ! คุณทำผมตกอกตกใจแทบแย่... รู้ไหมเนี่ย?” ณวัฒน์รับทิชชูจากลูกชายมายื่นให้ภรรยาก่อนที่ทำนบน้ำตาของหล่อนจะแตก  

“คุณจิ๋วอย่าร้องสิคะ เดี๋ยวแหม่มก็ร้องไห้ตามกันพอดี”

เมื่อเหลือบไปเห็นรสรินผู้เป็นภรรยาปลอบเพื่อนตัวเองพร้อม ๆ กับซับหางตามือเป็นระวิง ตระการก็อดตกใจไม่ได้ “อ้าวแหม่ม! นี่แหม่มก็จะเอาด้วยอีกคนเรอะ?!

“ก็มันซึ้งนี่คะโต้ง!

“เอ่อ... ผมว่าเรากินข้าวกันก่อนดีกว่าไหมครับ พอดีพวกผมยังไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้าน่ะครับ” วิญญูฉวยโอกาสที่ยังไม่มีใครเปิดประเด็นใหม่ใด ๆ เปลี่ยนเรื่องก่อนที่พวกเขาทั้งสามจะจะจมน้ำตาแห่งความปลื้มปีติของเหล่าแม่ ๆ ไปเสียก่อน  

ดูเหมือนวิธีของคิวท์บอยคนล่าสุดจะแนบเนียนเกินไป เพราะผู้เป็นมารดาตวัดหางตามองตำหนิบุตรชายหัวแก้วหัวแหวน เมื่อได้ยินอีกฝ่ายหลุดปากพูดไม่เข้าหู “โอ้ยตายลูกชายคุณแม่! ปล่อยให้ตัวเองหิวน่ะไม่เท่าไร ทำไมต้องให้น้องฟูกับน้องเต๋อหิ้วท้องด้วยล่ะลูก?”

“จริง ๆ พวกเราก็กินอะไรรองท้องมาบ้างแล้วล่ะครับคุณแม่ แต่นี่ก็ได้เวลาอาหารกลางวันแล้ว พวกเราก็เลยเริ่มจะหิวกันน่ะ
ครับ” สุดท้ายก็เป็นลูกชายคนใหม่อย่างเต๋อที่เข้ามากู้สถานการณ์เอาไว้ได้อย่างหวุดหวิด จากนั้น ชายหนุ่มทั้งสองก็ได้ณวัฒน์ช่วยพูดปิดประเด็นร้อนให้อีกทอดหนึ่ง

“เอา ๆ ! งั้นแม่ปลั่งก็ตั้งสำรับเลยสิ!




“แล้วนี่ปิดเทอมนี้จะเอายังไง? จะยังฝึกงานอยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า?” ประมุขของบ้านเอ่ยถามลูกชายหลังมื้ออาหารเริ่มไปได้สักระยะ

“ครับ ผมกับฟูจะไปฝึกงานที่บริษัทครับ”

“ตั้งใจให้มาก ๆ ล่ะ จะได้เรียนรู้งานทุก ๆ ระบบตั้งแต่เนิ่น ๆ ”

“ครับ” ด้วงรับคำด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเพราะรู้ดีว่า บิดาตั้งความหวังกับเขาไว้มาก อีกทั้งความลำบากในฐานะเด็กฝึกงานในวันนี้ จะทำให้เขาเข้าใจระบบการทำงาน และองค์กรได้ดีขึ้นเมื่อนั่งเก้าอี้ผู้บริหารแทนผู้เป็นพ่อ

“น้องฟูไม่ต้องเครียดนะ พวกพี่ ๆ เขาจะเคี่ยวเข็ญตาพดด้วงให้อ่วมแค่คนเดียวนี่แหละ เพราะตาพดด้วงต้องมาช่วยพ่อทำงานทันทีที่เรียนจบ” คราวนี้ณวัฒน์หันไปคุยกับอริยะตรัยผู้พี่ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนน่าฟัง เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายปริวิตกจนเกินเหตุ...

จริงอยู่ แม้ณวัฒน์จะเคยหัวใจสลายเมื่อรู้ว่าบุตรชายหลงรักเด็กหนุ่มตรงหน้า แต่ด้วยความมีเหตุผลและเที่ยงธรรม การกล่าวโทษบุคคลที่สามเพื่อให้ท้ายลูกชายจึงไม่ใช่สิ่งที่เขาเลือกปฏิบัติ  ดังนั้น... ความรู้สึกพิศวาสที่มีต่อพี่น้องอริยะตรัยประสาเพื่อนสนิทฝั่งมารดาจึงไม่เคยเลือนหายนับตั้งแต่วันแรกที่อีกฝ่ายลืมตาดูโลก


“จริง ๆ ให้ฟูทำทุกอย่างเหมือนด้วงก็ได้นะครับคุณพ่อ ฟูอยากทำประโยชน์ให้กับบริษัทคุณพ่อบ้าง” กรกฏตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังตามความรู้สึกที่อยู่ข้างในจนคนฟังไม่คิดทัดทาน

“เอา ๆ ได้ ๆ เดี๋ยวพ่อจะสั่งเลขาให้อีกทีนะ”

“ขอบคุณครับ”

“แล้วเต๋อล่ะ ปิดเทอมนี้มีแพลนจะทำอะไร?” คราวนี้ณวัฒน์เปลี่ยนมาซักไซ้ลูกชายคนใหม่ อีกฝ่ายสบตากับพ่อและแม่ที่นั่งกินอาหารอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะยิ้มบาง ๆ  แล้วตอบความอย่างฉะฉาน

“ผมคงเข้าบริษัทกับคุณพ่อน่ะครับ เผื่อจะช่วยอะไรท่านได้บ้าง”

“ไม่อยากลองมาฝึกงานที่บริษัทพ่อบ้างเหรอ?” พ่อด้วงโยนหินถามทางด้วยหวังจะทำความรู้จักกับสมาชิกผู้ชายทุกคนของบ้านคุณะประสิทฒ์ไปพร้อม ๆ กัน

“ก็อยากนะครับ แต่พอดีปีนี้ผมติดเรียนรู้โปรเจคใหม่ของคุณพ่ออยู่พอดี” เมื่อเห็นตระการพยักหน้าน้อย ๆ แทนการรับรู้  ตรินก็พูดต่อโดยไม่รอช้า“ถ้าไม่เป็นการรบกวนคุณพ่อจนเกินไป... ไว้วันไหนว่าง ๆ ผมจะขอไปเรียนรู้งานที่บริษัทคุณพ่อด้วยแล้วกันนะครับ”

“เอาเลย ๆ  แล้วพ่อจะรอนะ” คำตอบอย่างสุภาพของหนุ่มร่างหมีสร้างความประทับใจให้กับทั้งเจ้าของคำถาม และคนฟังทั้งหมด

“ครับ ขอบคุณครับ”

“แล้วนี่ปิดเทอมจะอยู่กันยังไงจ๊ะ เห็นตาพดด้วงบอกคุณแม่ว่าน้องเก็กไปฝึกงานที่ไร่ปากช่องไม่ใช่เหรอ? น้องฟูมาอยู่ที่บ้านกับคุณแม่ไหมลูก?” จรรยาอดสงสัยกับแผนการของหนุ่ม ๆ ไม่ได้ ครั้นจะปล่อยให้ทั้งสามตัดสินใจกันเอง ก็อาจจะเปิดช่องให้ทั้งหมดไม่กลับบ้านกลับช่องมาให้หล่อนเห็นหน้าเลยก็เป็นได้

“คือพวกเราตกลงกันแล้วว่าเราจะสลับกันพักบ้านนี้กับบ้านเต๋อรอบละอาทิตย์น่ะครับ... ฟูก็จะอยู่กับพวกเราทั้งสองที่เลยครับคุณแม่” ด้วงรับหน้าที่อธิบายข้อสรุปที่พวกเขาตกลงกันอยู่นานก่อนจะกลับบ้านคราวนี้

“ขอโทษนะคะคุณจิ๋ว ขอแหม่มแทรกนิ้ดดดนึง!” รสรินใช้สิทธิเพื่อนสนิทร่วมวงสังคมภริยานักธุรกิจใหญ่ของจรรยามาช้านานในการเอ่ยแทรกบทสนทนาของอีกฝ่ายอย่างแนบเนียน

“เชิญค่ะคุณแหม่ม”

“พวกหนูเปลี่ยนเป็นอยู่บ้านแม่ทั้งเดือนไม่ได้เหรอลูก? ไหน ๆ ก็ปิดเทอมสองเดือนกว่า ๆ ก็อยู่บ้านละเดือน รอบละยาว ๆ เลยดีกว่าไหม แม่อยากทำความรู้จักกับพวกหนู ๆ ให้มากกว่านี้น่ะจ๊ะ” แม่ตรินทั้งต่อรองทั้งหว่านล้อมลูก ๆ ทั้งสามของหล่อนอย่างแคล่วคล่องว่องไวตามสไตล์ที่ปรึกษาแผนกเซลล์ของกลุ่มบริษัทที่ยอดขายดีที่สุดเจ้าหนึ่งของวงการ  

“จะดีเหรอคะคุณแหม่ม? อย่างนี้จิ๋วก็คิดถึงลูก ๆ แย่เลยสิคะ” จรรยาโอด... แม้อยากจะทำตามใจ แต่หล่อนกลับไม่อาจหักหาญน้ำใจอีกฝ่ายด้วยเพราะเกรงใจนายหญิงแห่งกลุ่มคุณะประสิทฒ์อยู่เป็นทุน

“อยู่เป็นเดือนดีกว่าค่ะคุณจิ๋ว แหม่มว่าปะติดปะต่อดี”

“แต่...” รสรินไม่เปิดโอกาสให้คุณแม่อีกบ้านได้เอ่ยแย้ง เพราะไม่ว่าสิ่งใดที่หล่อนต้องการ... หล่อนพร้อมจะเจรจา หรือยื่นข้อเสนอแลกเปลี่ยนบางอย่างเพื่อให้ได้มาทั้งสิ้น

“เอาอย่างนี้ดีไหมคะ ระหว่างเดือนเราก็สลับกันเปิดบ้านจัดบรั้นช์ ปาร์ตี้น้ำชา ไม่ก็ดินเนอร์พร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้ทุก ๆ อาทิตย์เลยสิคะ เราจะได้ทั้งเจอพวกลูก ๆ  ได้ทั้งอัพเดทเรื่องนั้นเรื่องนี้ตามประสาผู้หญิง ๆ กันอีกด้วย ส่วนคุณผู้ชายก็จะได้คุยเรื่องเงินเรื่องทองของพวกเขาไป” ทางออกของรสรินจัดว่าน่าสนใจ เพราะจรรยาดูจะโอนอ่อนลงกว่าเดิมมาก

“คุณโอเคไหมคะ?” ที่สุดแล้ว คุณแม่ยังสาวของวิญญูก็หันไปหารือกับผู้เป็นสามีด้วยหล่อนไม่อยากจะตบปากรับคำอีกฝ่ายโดยพลการ

แน่นอน... ณวัฒน์ย่อมจะไม่มีปัญหาเพราะไอเดียดังกล่าวเข้าทางที่ตนหวังเอาไว้พอดิบพอดี “ก็ดีเหมือนกันนะ... คุณโต้งล่ะครับ โอเคไหม?”  

“แหม่มว่าไง ผมก็ว่างั้นแหละครับ... ก็เขาน่ะควาญช้างทั้งคนเลยนะครับ” ทั้งหมดหัวเราะชอบใจกับคำตอบติดตลกของตระการ

“งั้นเดือนนี้เด็ก ๆ ก็อยู่กับแม่จิ๋วที่นี่ก่อนแล้วกันนะจ๊ะ ส่วนอาทิตย์หน้า... เป็นปาร์ตี้น้ำชายามบ่าย ตบท้ายด้วยดินเนอร์ที่บ้านแม่แหม่ม โอเคไหม?” รสรินอาศัยบรรยากาศชื่นมื่นปิดการขายอย่างสวยงามพร้อมกับปรับเปลี่ยนสรรพนามของตนและจรรยาเสียใหม่อย่างแนบเนียน... เอาเถอะ แม้จะต้องตั้งตารอเด็ก ๆ อีกร่วมเดือน แต่ระหว่างนี้หล่อนจะหลอกล่อให้บุตรชายพาแฟนทั้งสองไปเล่นที่บ้านให้ได้บ่อย ๆ เลยคอยดู

“ครับ” สามหนุ่มรับคำอย่างว่าง่ายเป็นเสียงเดียว








“พ่อมึงไม่เห็นจะน่ากลัวเหมือนที่มึงเคยเล่าให้กูฟังเลยนี่หว่า” เต๋อเปิดประเด็นขึ้นทันทีที่กรกฏปลีกตัวไปอาบน้ำหลังจากมหกรรมอาหารกลางวัน ของว่างตอนบ่าย และดินเนอร์มื้อใหญ่พร้อมหน้าพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายสิ้นสุดลงไปหมาด ๆ

“พ่อกูเปลี่ยนไปเยอะตั้งแต่ท่านยอมรับกูเรื่องฟูได้นั่นแหละ จริง ๆ ท่านดีขึ้นมากตอนที่รู้ว่ากูเลิกแต่งหญิงแบบถาวรแล้วน่ะ... ยิ่งพอมารู้ว่าได้เกี่ยวดองกับบ้านมึง พ่อกูนี่แทบปิดบริษัทฉลองเลยนะเว่ย” วิญญูเผยความลับสุดยอดที่ทำให้บิดายอมรับความสัมพันธ์ของพวกเขาสามคนได้ในพริบตาให้คู่สนทนาฟังอย่างหมดเปลือก...

ด้วงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ความรักมั่นต่ออริยะตรัยผู้พี่ช่วยให้การเจรจากับพ่อเรื่องแฟนหนุ่มคนที่สองง่ายขึ้น แต่ชื่อเสียงและความมั่งคั่งของอีกตระกูล กับผลประโยชน์มหาศาลร่วมกันในภายภาคหน้าสนับสนุนให้นายใหญ่แห่งซีเอ็นพีผู้มีเลือดแห่งนักธุรกิจข้นคลั่กเปิดไฟเขียวให้เขาผูกสมัครรักใคร่ร่วมหัวจมท้ายกับตรินได้โดยไม่มีข้อโต้แย้ง


“งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้สาย ๆ ไปกราบคุณพ่อกับคุณแม่กูพร้อมกัน กูว่าแม่กูน่าจะอยากสัมภาษณ์มึงกับฟูเต็มจะแย่แล้วว่ะ” ถ้อยคำกำชับของมารดาก่อนจาก ช่วยให้หนุ่มร่างหมีวางแผนการของวันถัดไปได้ไม่ยากเย็นนัก แต่นั่นกลับไม่ใช่สิ่งที่วิญญูสนใจเลยสักนิด  

“แล้วคืนนี้ล่ะ... เอาไง?” ด้วงเลิกคิ้วรอฟังอีกฝ่ายด้วยสายตาเจ้าเล่ห์

“หึ! มึงมีกุญแจห้องน้ำไหมวะ?” เด็กสถาปัตย์ยิ้มร้ายพลางชายตามองประตูห้องน้ำอย่างย่ามใจ

“หึ หึ... มือชั้นนี่แล้ว!” เจ้าของห้องชูพวงกุญแจขึ้นตรงหน้าแล้วเขย่าไปมาแทนคำตอบ

“ห้องน้ำบ้านมึงเก็บเสียงป่ะ?”

มึงนี่มันชั่วจริง ๆ !

สายตาแวววาวกับใบหน้ากรุ้มกริ่มของคนพูดทำให้ประโยคดังกล่าวฟังคล้ายคำชมเชยมากกว่าการบริภาษในความรู้สึกเต๋อ “สรุปว่าเก็บหรือไม่เก็บเล่า?” ตรินตวัดหางเสียงอย่างขัดใจค่าที่อีกฝ่ายจงใจถ่วงเวลา  

“หึ หึ... ใครช้าก็ชักรอไปแล้วกัน!” สิ้นคำ คนเล่นลิ้นก็ออกตัวนำดิ่งไปไขประตูห้องน้ำด้วยความไวแสง

ไอ้สัดด้วง รอกูด้วย!!” กว่าจะสำเหนียกว่าเสียรู้วิญญู เต๋อก็เกือบจะโดนประตูห้องน้ำฟาดหน้าหงาย... วันพระไม่ได้มีหนเดียวฉันใด แก้แค้นอีกฝ่ายวันหลังคงไม่สายหรอกมั้ง  




«»------------------------------------ TBC ------------------------------------ «»




No comments:

Post a Comment