ตอนนี้มีเรื่องยุ่งยากที้ต้องขอความอนุเคราะห์จากคุณผู้อ่าน
ได้โปรดอ่านอย่างอดทนนะคะ
เพราะมีตัวละครเครือญาติของแต่ละบ้านโผล่หน้ามาหลายตัวเหลือเกิน
เอาไว้ว่าง ๆ เราจะทำชาร์ทชื่อและครอบครัวมาแปะแนบไว้ให้ทำความรู้จักกันอีกทีนะคะ
ส่วนตอนนี้หวังว่าอ่านแล้วจะไม่งงใช่ไหมเอ่ย?
(คลานเข่าเข้ากราบขอขมาคนอ่าน)
ช่วงนี้อากาศแปรปรวน
อย่าลืมดูแลสุขภาพดี ๆ นะคะ เราเป็นห่วงทุกคนมาก ๆ เลย ^^
รักชอบประการใด... คอมเมนท์ให้เราอ่านจนชื่นใจหน่อยโนะ
หรือถ้าอยากติดตามข่าวสารนิยาย
และการเวิ่นเว้อต่าง ๆ
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
The 20th
Bonding
ปิดเทอมใหญ่หัวใจว้าวุ่น
“บ๊วย... นี่
นี่! ทางนี้!” เงาตะคุ่ม ๆ ที่หลบมุมอยู่ในหลืบมืดส่งเสียงเรียกพลางกวักมือไหว
ๆ ดึงความสนใจของลูกแม่บัวที่กำลังเดินงุ่มง่ามราวกับตามหาอะไรบางอย่างด้วยความตั้งใจสูงสุดอยู่ห่างออกไปอีกมุม
“โธ่! แล้วนายมานั่งหลบอะไรอยู่ตรงนี้ล่ะ เราก็หลงเดินหาอยู่ตั้งนาน!” แม้แสงแดดยามสายของวันจะปรานีพวกเขาอยู่มาก แต่ระหว่างที่ปากกำลังพรั่งพรูคำตำหนิเพื่อนสนิทที่คบหามาแต่เยาว์วัย
ชายกลางก็อดกระพือสาบเสื้อเชิ้ตนักศึกษาพร้อมกับคลายปมเนคไทเพื่อคลายความอบอ้าวไม่ได้
กระนั้น อีกฝ่ายกลับไม่ได้นำพากับดินฟ้าอากาศอย่างที่พึงเป็น
“ชู่ว์!
อย่าเสียงดังสิ!” คนพูดยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากพลางใช้มือว่างอีกข้างลากแขนแฟนอดีตเดือนมหาลัยให้ตามตนเข้าไปสุดซอกตึกอย่างระแวดระวัง
“นายไม่ได้บอกแฝดใช่ไหมว่ามาหาเรา?”
“เปล่า
ไม่ได้บอก” บ๊วยเว้าซื่อ ๆ ตอบเพื่อนไปตามจริง
“แฝดไม่ได้สงสัยอะไรแน่นะ?”
หนุ่มแว่นยังคงไม่คลายใจ เจ้าตัวจึงถามไปกวาดสายตาสำรวจพื้นที่โดยรอบอย่างถี่ถ้วนไปพร้อม
ๆ กัน
“ตอนเราเดินออกมาพี่ฌานกำลังทวนรอบสุดท้ายให้ฌอนอยู่เลยไม่มีใครถามอะไรน่ะ”
ชายกลางอธิบายถึงสถานการณ์ที่ตนจากมาให้เพื่อนหัวไข่ฟังอย่างใจเย็น...
แต่พูดก็พูดเถอะ
อาการหลุกหลิกไม่อยู่นิ่งของหลานอาม่าใหญ่ทำให้บ๊วยตะขิดตะขวงใจชอบกล
เมื่อเช้าอีกฝ่ายก็ส่งไลน์มาย้ำ
แถมยังสั่งห้ามไม่ให้เขาบอกใครเรื่องนี้เองนี่นา หรือว่าสกลจะมีปัญหาอะไร?!
“เฮ่อ! ค่อยยังชั่ว!” หลานอาม่าถอนหายใจยาวเหยียดอย่างโล่งอก
“นายไม่สบายหรือเปล่า?
ปวดหัว? ตัวร้อน? อยากให้เราไปซื้อยาหรืออะไรให้ไหม? แล้วนี่อ่านหนังสือจบหรือยัง?
เมื่อคืนได้
นอนบ้...” ลูกแม่บัวรัวคำถามใส่เพื่อนรักเป็นชุดเพราะอดเป็นห่วงอีกฝ่ายไม่ได้
“ชู่ว์!
เรื่องอื่นเอาไว้ก่อน!
ตอนนี้เรามีเรื่องสำคัญที่อยากได้คำแนะนำจากนาย”
คนเห็นผีตัดบทเพื่อนกลางคันมันห้วน ๆ ด้วยทีท่าร้อนใจ
“หืม?!
นายมีปัญหาอะไรเหรอสกล?”
สีหน้าอาการผิดปกติของคู่สนทนากระตุ้นบ๊วยให้เจรจาถามไถ่อีกฝ่ายด้วยความเอาใจใส่ระดับสูงสุด
“สัญญาก่อนว่าถ้ารู้แล้วจะไม่บอกใคร!” เจ้าของท่าทางหวาดระแวงจนดูพิลึกพิลั่นกระดิกนิ้วน้อยเร่งยิก
ๆ จนบ๊วยจำใจเกี่ยวก้อยรับปากทั้งที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
“...คืองี้... เราอยากรู้ว่า...” แววลังเลฉายในดวงตาใต้กรอบแว่นหนาเพียงชั่วครู่
ก่อนเจ้าตัวจะรวบรวมความกล้าอ้าปากเอ่ยถามในสิ่งที่ค้างอยู่ในใจตนมาพักใหญ่ได้ในที่สุด
“นานไหมกว่าที่นายกับพี่หมีจะมีอะไรกันครั้งแรกอ่ะ?”
“เฮ้ยยย?!”
“ฮ่า
ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”
เนื่องจากเรื่องเซ็กส์เป็นหัวข้อที่ทั้งคู่ไม่เคยเปิดอกคุยกันอย่างตรงไปตรงมาเลยสักครั้ง
สกลจึงไม่แปลกใจเมื่อเห็นเพื่อนรักตั้งแต่สมัยอนุบาลตกใจจนเผลอร้องอุทานเสียงหลง
แน่ล่ะ... อีกฝ่ายคงไม่ได้เตรียมใจรับมือกับคำถามล้วงลูกเช่นนี้มาล่วงหน้า
แต่กับเสียงหัวเราะอีกสองเสียงที่ดังประสานกึกก้องไปทั่วนี่สิ...
อย่าบอกนะ?!!
“พี่ฌาน!
ฌอน! มาได้ไง?!... ที่แท้นายขายเรากับแฝดเหรอบ๊วย?
ทำไมนายต้องหลอกเราด้วย?!!” ทันทีที่เห็นบุคคลที่สามและสี่โผล่มายืนยิ้มกริ่มอยู่ด้านหลัง ความอับอายขายหน้าเนื่องจากไม่อาจปิดบังความลับสุดยอดจากฝาแฝดได้
บันดาลให้หลานอาม่าใหญ่ไพล่ไปขึ้นเสียงใส่เพื่อนสนิทวัยเด็กผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ใด
ๆ เสียอย่างนั้น
“เฮ่ย!
เราเปล่า!!” ชายกลางโบกมือโบกไม้พลางปฏิเสธข้อกล่าวหาเป็นพัลวัน
“ฮื่อออ แว่น!
ใจเย็น
พี่ฌานกับน้องชายเดินตามบ๊วยมาเองแหละ” ร่างทรงหนุ่มอธิบายพลางแทรกเข้าไปยืนกั้นกลางระหว่างเพื่อนตัวเล็กผู้อารีกับหนุ่มแว่นที่คลุ้มคลั่งจนไม่คิดจะฟังใคร
แต่แทนที่สถานการณ์ตึงเครียดตรงหน้าจะคลี่คลาย แฝดน้องกลับกระเซ้าสหายหัวไข่ให้ยิ่งเสียจริตติดลมบน
“มาถึงก็ทันฟังของดีเสียด้วยสิ
หึ หึ” ฌอนหลิ่วตายั่วเย้าตบท้าย กลับกัน... คนโดนล้อดันทำได้เพียงตีอกชกหัวตัวเองซ้ำ
ๆ แล้วร้องร่ำระบายความคั่งแค้นเจียนบ้ากับลมกับฟ้าไปพลาง ๆ
“โว้ยยยย!
ทำไม ทำไม
ทำไม ทำไม๊?!!!”
“ถ้าแว่นไม่อยากให้พี่ฌานอยู่ฟังด้วยขนาดนั้น
พี่ฌานไปก็ได้... แต่อย่าคุยกันเพลินจนลืมดูเวลาล่ะ อีกครึ่งชั่วโมงเริ่มสอบนะ
ไม่ลืมใช่ไหม?” ฌานรวบตึงอย่างฉับไวโดยไม่ลืมเตือนสติเพื่อนทั้งสองสั้น ๆ ระหว่างนั้นสองหน่วยตาคมเข้มเปี่ยมด้วยพลังอำนาจก็จับจ้องวัดใจกับหลานอาม่าใหญ่ไม่วาง
ทว่าเมื่อเห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของคนเห็นผี
แฝดพี่จึงหันไปพยักหน้าให้สัญญาณแก่ผู้เป็นน้องเพื่อถอยทัพกลับไปทบทวนเนื้อหาวิชาก่อนโค้งสุดท้ายของการสอบในเทอมนี้จะมาถึง
“เราไปกันเถอะน้องชาย!”
หลังจากชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีกับข้อเสียอยู่นานสองนาน
ที่สุดหนุ่มแว่นก็ตัดสินใจได้ “เดี๋ยวครับ! พี่ฌานกับฌอนจะอยู่ก็ได้ครับ! ยังไงสี่หัวก็ดีกว่าสองหัวอยู่แล้ว...
นายโอเคใช่ไหมบ๊วย?”
.
.
.
.
.
.
“อืม... ก็ โอเค”
ชายกลางเอ่ยอ้อมแอ้ม
“ดี! ถ้างั้นก็เข้าเรื่องเลยแล้วกัน... แต่พี่ฌานบอกไว้ก่อนว่ารอบนี้ห้ามคุยเล่นนะ
ถ้าจะออกความเห็น ก็ต้องเป็นประโยชน์ และห้ามยึกยักโยกโย้ จะได้ไม่เสียเวลาเตรียมตัวเข้าสอบ...
โอเคไหม?” หลังจากสกลเปลี่ยนทีท่า
ฌานจึงรับหน้าที่ควบคุมทิศทางของบทสนทนาให้เหมาะสมกับเวลาซึ่งงวดเข้าไปทุกที
“ครับ” สมุนทั้งสามรับคำหัวหน้าใหญ่โดยพร้อมเพรียง
“ไหน ๆ
แว่นก็คาใจเรื่องครั้งแรกกับแฟน... เอาเรื่องนี้ให้จบก่อนก็แล้วกัน” ร่างทรงหนุ่มเปิดประเด็นขึ้นอีกครั้งด้วยการสาดไฟสป็อตไลท์พร้อมยื่นไมค์ใส่หน้าคนรักอดีตเดือนมหาลัยโดยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายตั้งตัวติด
“ว่าไงบ๊วย... เก็กปล่อยให้รอนานไหม?”
“เอ่อ...
.
.
.
.
.
.
.
.
...ของผมไม่ต้องรอครับ”
ชายกลางตอบอย่างกระมิดกระเมี้ยนหลังตระหนักได้ว่า
การจะตีหน้าเซ่อทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ต่อหน้าฌานเวอร์ชันเอาจริงเอาจัง ทั้ง ๆ
ที่เพิ่งตกลงปลงใจร่วมหัวจมท้ายกับคำขอของเพื่อนซี้หัวไข่ไปหมาด ๆ จัดว่าเป็นทางออกที่ไม่ฉลาดสักเท่าไร
ฝ่ายแฝดน้องซึ่งสนิทสนมกลมเกลียวกับอริยะตรัยผู้น้องยิ่งกว่าใคร ๆ ก็ถึงกับหลุดหัวเราะร่วนเมื่อได้ยินวีรกรรมความหื่นขึ้นตาของเกลอรักต่างคณะจากปากบ๊วยเป็นครั้งแรก
“อืม ส่วนของน้องชายแว่นคงไม่ต้องถาม”
เรื่องของฌอนกับอิ๊กถูกปัดตกอย่างไร้เยื่อใยด้วยแฝดพี่แน่ใจว่า
ช่วงย้ายเข้าอพาร์ทเมนท์ใหม่ ๆ หลานอาม่าใหญ่น่าจะรู้เห็นอะไรมาไม่น้อย ดังนั้นความสนใจของฌานจึงพุ่งเป้าไปที่สาเหตุซึ่งทำให้เพื่อนหน้าแว่นทำตัวลับ
ๆ ล่อ ๆ มีลับลมคมในกับพวกเขาทั้งหมดด้วยความไวแสง “แล้วจริง ๆ ปัญหามันคืออะไร?”
“พี่ฌานจำได้ใช่ไหมครับว่าผมกับพี่รินน่ะตกลงคบกันมาตั้งแต่ต้นเทอม”
สกลเกริ่นด้วยสีหน้าอมทุกข์
“อือฮึ
แล้วมันยังไง?”
“จนป่านนี้แล้ว...
เอ่อ... จนป่านนี้แล้ว...” หนุ่มแว่นชำเลืองมองเสี้ยวหน้าแฝดน้องตาละห้อยพร้อมกับถองสีข้างอีกฝ่ายเพื่อให้ช่วยอธิบายสิ่งที่ตนอับอายเกินจะยอมรับออกมาตรง
ๆ
ฌอนถอนหายใจและส่ายหัวอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะพูดแทรกแบบขอไปที
“พี่รินกับแนนซี่ยังไม่ไปถึงไหน ๆ กันเลยน่ะครับพี่ชาย”
ฝั่งแฝดพี่ที่เห็นอากัปกิริยาผิดปกติของเพื่อนหัวไข่
กอปรกับได้ฟังคำอธิบายทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ ก็เริ่มจะเข้าใจเรื่องราวได้มากขึ้น
“นี่กำลังสงสัยว่าตัวเองไม่มีเสน่ห์ หรือพี่รินไม่ต้องการใช่ไหม?”
สกลพยักหน้าเร็วรัวอย่างกระตือรือล้นอยู่เพียงไม่นาน
ก่อนที่สีหน้าหมาจ๋อยจะกลายเป็นค่ามาตรฐานของการแสดงอารมณ์ประจำวันอีกครั้ง “ผมลองมาทุกอย่างแล้วครับพี่ฌาน...
แต่ไม่ได้ผลเลย”
แทนที่จะกลัดกลุ้มรุ่มร้อนตามเกลอหัวไข่ไปติด
ๆ ร่างทรงหนุ่มกลับอมยิ้มชอบใจเนื่องจากพอจะเดาเหตุผลของรุ่นพี่ปีสามได้เลา ๆ เพราะตลอดมา
สารินหมั่นซักไซ้ตนถึงวันหยุดยาว ๆ ที่ไม่มีงานต้องเร่งส่งของพวกเขาอยู่ไม่ได้ขาด
คล้ายวางแผนจะลักพาตัวเพื่อนหน้าแว่นไปซ่อน หรือล่อลวงไปทำอะไรสักอย่าง แต่เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด
ชายหนุ่มจึงยิงคำถามสุดท้ายใส่หลานอาม่าใหญ่เพื่อปิดการขายโดยไม่รอช้า “พี่รินสอบตัวสุดท้ายเสร็จเมื่อไรแว่น?”
“วันนี้เหมือนกันครับ...
ว่าแต่พี่ฌานจะอยากรู้ไปทำไมเหรอครับ?” แฟนหมีโพลาร์เปลี่ยนสีหน้าเป็นหมางงจัดบัดเดี๋ยวนั้น
ฝ่ายฌานก็แทบจะตบเข่าฉาดเมื่อทุกอย่างเข้าเค้าที่เขาคาดการณ์เอาไว้อย่างเหมาะเจาะ
“เข้าใจล่ะ!... โอเคแว่น ตั้งใจฟังพี่ฌานให้ดี ๆ นะ” แฝดพี่ก้าวฉับ
ๆ ไปหยุดยืนประจันหน้ากับเจ้าของชื่อ จากนั้นจึงเอื้อมมือทั้งสองกระชับหัวไหล่พร้อมกับตรึงสายตาอีกฝ่ายให้สบกันอย่างสงบนิ่ง
ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พี่ฌานอยากให้แว่นลืมเรื่องผนึกร่างกับพี่รินไปให้หมด
เพราะตอนนี้พวกเราควรจะไปเตรียมตัวสอบแพลนท์กันได้แล้ว”
“แต่!” หลานอาม่าใหญ่สวนกลับทันควัน แต่ฌานกลับไม่เปิดโอกาสให้เพื่อนหัวไข้ได้ต่อรอง
“สอบก่อนหลับนอนทีหลัง...
ตกลงนะแว่น!”
“ครับ
ก็ได้ครับ”
สิ้นเสียงตอบรับแผ่ว
ๆ ของสกล แฝดพี่ก็หมุนตัวเดินลิ่วมุ่งหน้ากลับโต๊ะตรงแคนทีนใต้ตึกคณะโดยไม่ร่ำไร ด้วยถือว่าตัวเองได้บอกใบ้อนาคตอันใกล้ที่กำลังจะเกิดกับอีกฝ่ายไปเป็นที่เรียบร้อย
หน้าที่ปลอบประโลมกับปลุกอารมณ์พร้อมเข้าสอบให้แก่เพื่อนซี้หัวไข่จึงตกเป็นภาระของแฝดน้องกับชายกลางอย่างไม่ต้องสงสัย
“ไม่เอาน่า...
อย่าทำหน้าแบบนี้ดิ!”
ทั้งบ๊วยและฌอนต่างช่วยกันลากแขนหนุ่มแว่นคนละข้าง ก่อนที่ทั้งสามจะค่อย ๆ เยื้องย่างไปยังห้องสอบวิชาสุดท้ายของภาคปลายปีสองอย่างเชื่องช้า
|| บ่ายแก่
ๆ หลังการสอบวิชาสุดท้ายของเทอม ||
“พี่ริน... พี่รินไปแวะซื้อของมาเหรอครับ?”
สกลอดแปลกใจไม่ได้ที่เห็นอีกฝ่ายหิ้วถุงพลาสติกประทับตราซุปเปอร์แห่งเดียวในย่านใกล้กับมหาวิทยาลัยมาเต็มสองไม้สองมือ...
ที่บอกว่าหลังสอบเสร็จ ให้เขาติดรถแฝดพี่กลับมารอที่ห้องก่อนก็เพราะแอบไปซื้อของมาอย่างนั้นน่ะเหรอ?
แล้วข้อสอบล่ะ... ได้ทำหรือเปล่า?
ทำไมถึงกลับมาเร็วแบบนี้?!
“ครับ
พอดีพี่สอบเสร็จก่อนเวลาเลยแวะไปซื้อของสดมานิดหน่อยน่ะครับ” ว่าที่นายสัตวแพทย์อธิบายด้วยรอยยิ้มพลางค่อย
ๆ ทยอยบรรจุข้าวของที่ซื้อมาใส่ตู้เย็นอย่างเป็นระเบียบ
“ทำไมพี่รินถึงต้องซื้อของเข้าห้องอีกล่ะครับ?
พรุ่งนี้เราจะยังไม่กลับกรุงเทพกันหรอกเหรอ?” ยิ่งเห็นปริมาณอาหารสด ผัก
และผลไม้ที่เยอะจนตาลาย หลานอาม่าใหญ่ก็ยิ่งจับต้นชนปลายเดาใจหมีขาวไม่ถูก
“ครับ” คนโตกว่ารับคำพร้อมโปรยยิ้มละไม
ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคล้ายจงใจปกปิดเหตุผลของการอยู่เที่ยวเล่นเถลไถลทั้งที่ผิดวิสัยแท้
ๆ “แนนหิวไหมครับ?”
“เอ่อ...
ยังไม่หิวครับ พี่รินล่ะ หิวหรือเปล่า?” แม้จะสงสัย แต่ปากท้องของหมีโพลาร์ก็สำคัญกว่าการซักฟอกให้รู้ความมากนัก
“ครับ หิวมากเลยครับ
หิวจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้วครับ” รุ่นพี่ตอบพลางจัดผักสดถุงสุดท้ายยัดลงลิ้นชัก
“ถ้างั้นพี่รินจะกินอะไรล่ะ?
อยากสั่งกับข้าวข้างล่าง หรือจะกินมาม่า? บอกมาเลย... เดี๋ยวแนนจัดให้!” หลานอาม่าใหญ่ขันอาสาพลางก้มหน้าก้มตาพับถุงชอปปิ้งและจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบตามแบบที่เจ้าของห้องเคยสอน
“งั้นพี่ไม่เกรงใจแล้วนะครับ”
“เฮ่ย!
พี่ริน?!” อ้อมกอดแนบแน่นจากด้านหลังทำให้หนุ่มแว่นเผลออุทานด้วยความตกใจ
เพราะมัวแต่วุ่นวายอยู่กับงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ตรงหน้า สกลจึงไม่ทันรู้ว่า ออร่ารอบตัวสารินที่เคยอบอุ่นสว่างไสว
ได้ผันเปลี่ยนเป็นเปลวไฟเร่าร้อนไปเสียแล้ว
“พี่หิวแนน...
ขอกินตอนนี้เลยได้ไหมครับ?” หางเสียงแห้งผากคล้ายคนขาดน้ำหากแต่ทุกถ้อยทุกคำถูกเน้นย้ำแนบชิดติดใบหูทำเอาหัวใจคนฟังเต้นระรัว
ด้วยรู้แก่ใจว่า สัมผัสเช่นนี้... ผิดไปจากทุกทีที่เคยประสบพบพาน... ถึงเวลาแล้วสินะ
“หึ!” สกลส่ายหัวโดยแสร้งทำไม่สนใจสายตาคมที่จับจ้องตนคล้ายอยากจะกลืนร่างของเขาลงท้องไปเสียเดี๋ยวนั้น
ก่อนจะตอบรับอย่างโอนอ่อน “กินตอนนี้ไม่อร่อยหรอก อาบน้ำก่อนนะ... แนนตัวเหนียว”
“อาบพร้อมกันเลยดีกว่าครับ
จะได้ไม่เสียเวลา... นะครับ” คู่สนทนาเลือกที่จะไม่โต้ตอบ หากแต่พยักหน้าน้อย ๆ
แล้วเดินนำหน้าว่าที่นายสัตวแพทย์เข้าห้องนอนโดยพลัน
ร่างเปลือยเปล่าหมดจดของเด็กน้อยที่เคลื่อนผ่านหางตาก่อนจะหายลับเข้าห้องน้ำไปเมื่ออึดใจก่อนเร่งเร้าให้ว่าที่นายสัตวแพทย์ปลดเปลื้องเปลือกนอกออกอย่างรวดเร็ว
เรือนกายสูงใหญ่ เต็มไปด้วยมัดกล้ามและความงดงามกล้าแกร่งเฉกเช่นเอกบุรุษสืบเท้าเข้าสู่ใจกลางความชื่นฉ่ำอย่างเชื่องช้าทว่ามั่นคงดั่งพญาราชสีห์หมายตาเหยื่ออันโอชะ
ใต้สายน้ำอุ่นที่โรยรินลงจากฝัก
สองร่างถาโถมเข้าหากันโดยไม่รอช้า
พวกเขาบดเบียด
กอดรัด ผสานทุกส่วนสัดหลอมรวมเป็นหนึ่ง
สารินหักใจผละจาก
ไล้ลากริมฝีปาก ป่ายปัดสองมือเคล้นคลึงเรือนร่างเด็กน้อยจนถ้วนทั่ว... แทบไม่มีสักจุดที่ถูกละเลย
หลานอาม่าใหญ่เองก็ไม่ได้อยู่เฉย
ทั้งเสนอ ทั้งสนอง
ทั้งสื่อความต้องการผ่านเสียงครางต่ำ
สลับกับพร่ำเพรียกเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
เมื่อการเล้าโลมลูบล่วงผลิดอกออกผลจนสุกงอมหอมกรุ่น
ไฟแห่งราคะก็พร่าผลาญความอดทนอดกลั้นของทั้งสองให้ระเหยหายไปพร้อมไอน้ำ
ความขัดเคืองขุ่นข้องในเบื้องต้นได้รับการผ่อนผัน ปรนเปรอด้วยน้ำมือของกันและกันอย่างอ่อนโยนละม่อมละมุน
อดกลั้นพรั่นใจเพียงชั่วครู่ให้หลัง...
สารินก็รับรู้ได้ถึงการโอบอุ้มตัวตนโดยสมบูรณ์ด้วยความยินยอมพร้อมใจของอีกฝ่าย
ในขณะที่สกลก็ได้ลิ้มรสความรู้สึกเต็มตื้นรสหวานชื่นปนขื่นขมที่เฝ้าข่มใจตั้งตารอมาเนิ่นนาน
สัญชาตญาณนำทางพวกเขาพุ่งทะยานสู่จุดหมายอย่างเร่าร้อนรุนแรง
ท่อนขาแกร่งที่เคยรองรับน้ำหนักของทั้งคู่จนถึงวาระสุดท้ายเริ่มสั่นไหวเพราะความหฤหรรษ์ช่วงท้ายที่ชวนให้ตาพร่า
และแล้ว ความสุขสมก็ไม่ปล่อยให้พวกเขาต้องคอยนาน...
ทั้งสองครางประสานก้องดังราวกับต้องการสรรเสริญบทรักที่เพิ่งพ้นผ่านให้อีกฝ่ายได้รับฟัง
หลังจากค่ำคืนอันยาวนานผ่านพ้น
คนเป็นพี่ก็รู้สึกตัวขึ้นอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงแจ้งเตือนของข้อความใหม่ช่วงฟ้าใกล้สาง
สารินหยัดลำตัวขึ้นนั่งมองใบหน้าเกลี้ยงเกลาของเด็กน้อยที่นอนหลับตาพริ้มอยู่ข้าง
ๆ อยู่นานสองนาน ก่อนจะเอี้ยวตัวยืดสุดแขนไปคว้ามือถือขึ้นมากดถ่ายรูปคนรักยามหมดสภาพเสียหลายช็อต
จากนั้นจึงก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความอยู่พักหนึ่งก่อนจะโยนอุปกรณ์สื่อสารทิ้งแล้วรวบลำตัวเปล่าเปลือยของน้องมากอด
“ฮื่อ...
ไว้กินแนนต่อพรุ่งนี้นะพี่ริน แนนง่วง”
เสียงประท้วงงึมงำทั้งที่ยังไม่ลืมตาของหลานอาม่าใหญ่เรียกรอยยิ้มกว้างของว่าที่นายสัตวแพทย์ได้ทันตา
สารินประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากเนียนของน้องก่อนเอ่ยคำรักข้าง ๆ หูคนขี้เซา แล้วปล่อยตัวเองให้กลับเข้าสู่โลกแห่งความฝันหลังม่านสายตาอีกครั้งอย่างมีความสุข
“หึ!” ฌานเป็นคนแรกที่หลุดยิ้มเมื่อได้อ่านข้อความพร้อมรูปภาพลับเฉพาะซึ่งรุ่นพี่ต่างคณะอุตส่าห์สละเวลาส่งมาให้
แน่นอนว่าช่วงสาย ๆ ของวัน ศรันย์ สิงหราช
และตริน จะเป็นอีกสามคนที่ได้ร่วมยินดีกับฐานะสะใภ้เต็มตัวของสกลที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งหมาด
ๆ แบบจัดหนักไปเมื่อคืน
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
|| ช่วงสาย
ๆ ของวันรุ่งขึ้น ||
“ทำไมเมื่อเช้าถึงห้ามไม่ให้อิ๊กไปเคาะเรียกแนนซี่ที่ห้องฮยองล่ะ?
ฌอนไม่อยากเจอแนนซี่อีกรอบก่อนปิดเทอมเหรอ? กว่าจะได้เจอกันก็อีกตั้งนานเลยนะ” ตุ๊กตาหน้ารถเจ้าของตำแหน่งอดีตเดือนบริหารหันไปตั้งคำถามคนขับหลังจากล้อหมุนมุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯได้สักพัก
“เคาะไปก็ไม่มีใครออกมาหรอกอิ๊ก”
แฝดพี่ซึ่งวันนี้ย้ายมานั่งเบาะหลังเป็นคนไขข้อข้องใจให้แก่แฟนน้องชายด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มแบบแปลก
ๆ
“อ้าว!
ทำไมล่ะครับพี่ฌาน?
หรือว่าฮยองกลับบ้านไปตั้งแต่เมื่อคืน? ถึงว่าสิ
ห้องแนนซี่ถึงเงียบเป็นป่าช้าเลย... ฮยองนี่ขยันขับรถดีแฮะ
เมื่อวานเพิ่งสอบเสร็จแท้ ๆ ”
ฌานปล่อยให้อคิราคิดเองเออเองเสร็จสรรพด้วยกำลังภาวนาให้เพื่อนซี้หัวไข่ไม่จับไข้จนล้มหมอนนอนเสื่อไปก่อนจะสาสมใจกับรสรักของหนุ่มรุ่นพี่
จวบจนเมื่อรถแล่นมาถึงเขตชานเมืองกรุงเทพฯ แฝดพี่ก็หันไปถามคนขับถึงแผนการของอีกฝ่ายโดยไม่คิดเท้าความ
“แล้วนี่น้องชายจะเอาไง?”
“เดี๋ยวฌอนพี่ส่งพี่ชายที่บ้านก่อนแล้วคงไปนอนเป็นเพื่อนอิ๊กน่ะครับ”
ฌอนตอบทันควันจนอิ๊กเหลือบมองทั้งสองสลับกันไปมาด้วยสายตาสุดทึ่งไม่ต่างจากทุกที...
มันต้องเป็นพลังวิเศษของฝาแฝดคู่นี้แน่ ๆ ที่ทำให้ต่างเข้าใจกันได้โดยไม่ต้องพูดอะไรมาก...
โหย! เท่สุด ๆ !!
“อ้าว!
คืนนี้ไม่นอนบ้านเหรอ?”
ฌานอดแปลกใจกับคำตอบของน้องไม่ได้ อดีตเดือนบริหารจึงสลัดความคิดฟุ้งซ่านของตนทิ้งไปแล้วรีบให้เหตุผลกับอีกฝ่ายทันควัน
“พอดีคืนนี้ที่บ้านอิ๊กไม่มีใครอยู่น่ะครับพี่ฌาน”
“อืม
ยังไงก็โทรมาบอกพี่ฌานอีกทีนะว่าพรุ่งนี้จะกลับกี่โมง” ร่างทรงหนุ่มจ้องตาฝาแฝดของตนพลางกำชับเสียงเข้ม
“ครับพี่ชาย”
|| สามชั่วโมงให้หลัง
||
“เฮ่อ!
ถึงเสียที! ฌอนหิวยัง?” อคิราบ่นอุบขณะยืดเส้นยืดสายบิดไล่ความเมื่อยขบ
หลังทั้งสองต้องเผชิญกับมวลมหาประชาพาหนะปริมาณมหาศาลระหว่างทางจากเรือนไทยของฝาแฝดกลับมายังบ้านเดี่ยวสุดร่มรื่นของอิ๊กนานร่วมสองชั่วโมง
“ไม่ค่อยนะ
อิ๊กล่ะ?” เด็กเต็กเปิดท้ายรถเพื่อตรวจดูกระเป๋า และของฝากที่ต้องขนเข้าบ้านคนรักอีกครั้งอย่างละเอียดละออ
“เดี๋ยวเอาของเข้าไปเก็บแล้วนั่งพักสักแป๊บนึงก็ได้
บ่าย ๆ ค่อยเดินออกไปกินที่ฟู้ดแลนด์” อิ๊กสรุปหลังกวาดตามองถุงใส่ขนมใบใหญ่ กับตะกร้าผลไม้ขนาดมหึมาที่แฝดผู้พี่บัญชาให้น้องชายหิ้วติดมือมารอไหว้พ่อกับแม่ของตนในวันพรุ่งนี้
“อืม
เอางั้นก็ได้” ฌอนรับคำง่าย ๆ เพราะแค่ได้ใช้เวลาด้วยกันกับอีกฝ่าย เขาก็พอใจมากแล้ว
แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะแบ่งสมบัติเพื่อแบกเข้าด้านใน
อยู่ ๆ กุมารทองคู่กายก็ปรากฏตัวขึ้นด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน กระนั้น ยังไม่ทันที่แฝดน้องจะได้ซักไซ้พี่พลายให้รู้ความ
เจ้าของบ้านรุ่นใหญ่ทั้งสองก็เดินออกมาพอดี “อ้าวอิ๊ก ฌอน! กลับมากันแล้วเหรอลูก?”
“อ้าวแม่!? ป๊า!?” หนุ่มหน้าหวานยกมือไหว้ผู้ให้กำเนิดทั้งสองด้วยสีหน้าแปลกใจ
แฝดน้องจึงรีบละมือจากข้าวของท้ายรถเพื่อแสดงความเคารพผู้ใหญ่ฝ่ายสะใภ้ทันที
“สวัสดีครับคุณแม่
คุณพ่อ”
“หึ!
กองไว้ตรงนั้นเฮอะ!” ไม่ว่าเมื่อไรที่พบหน้า อรรณพก็พร้อมจะทดสอบความอดทนของลูกเขยใหญ่ด้วยความเต็มใจบวกหมั่นไส้เต็มอัตราไปเสียทุกที
“คุณนี่!
เดี๋ยวเถอะ!” อรจิราถลึงตาดุสามีแทบจะเดี๋ยวนั้น
เพื่อป้องกันไม่ให้บุพการีมีเรื่องผิดใจกัน
บุตรชายคนโตของบ้านจึงเบี่ยงเบนความสนใจของผู้อาวุโสทั้งสองมันเดี๋ยวนั้น “นี่แม่กับป๊ายังไม่ออกอีกเหรอครับ?
บอกยายไว้ว่าจะไปหากี่โมงเนี่ย?”
“ก็กำลังจะออกอยู่นี่แหละ”
ผู้เป็นแม่ตอบลูกชายคนโตทว่ากลับไม่ละสายตาจากเด็กสถาปัตย์หน้าคมสักนาที “ฌอน
แม่ฝากดูอิ๊กกับเอ้กด้วยนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เย็น ๆ แม่กับพ่อก็กลับแล้วล่ะจ๊ะ”
“อ้าว!
เอ้กอยู่บ้านเหรอแม่?”
อารามตกใจเมื่อได้ยินมารดากล่าวอ้างถึงน้องชายที่คลานตามหลังห่างกันหนึ่งขวบปี
อดีตเดือนบริหารก็แทบไม่อาจประคองอารมณ์ให้เริงรื่นได้อย่างที่ควรจะเป็น
ส่วนแฝดน้องที่ยืนอยู่ข้าง
ๆ กันก็ถึงกับหน้าถอดสี เมื่อรู้ว่าสิ่งที่เด็กวิเศษต้องการจะบอกกับตน คือ
สมาชิกอีกคนของบ้านอิ๊กนี่อย่างไร... คนบ้าอะไร กระทั่งชื่อเล่นยังทรงอานุภาพร้ายกาจต่อความรู้สึกได้ถึงเพียงนี้!
“ก็เพิ่งจะเปลี่ยนใจตอนที่รู้ว่าฌอนจะมานอนค้างเป็นเพื่อนอิ๊กนี่แหละ...
โน่นไง น้องมาโน่นแล้ว” อรจิราพยักเพยิดพลางส่งยิ้มให้ผู้มาใหม่ที่เพิ่งวิ่งดุ๊กดิ๊กออกมาจากตัวบ้าน
ลำพังแค่ได้ยินชื่อของบุคคลที่สาม
ขนอ่อนตามร่างของคู่รักปีสองก็ลุกเกรียวกราวราวเจอผี...
แต่นี่กลับต้องมาอยู่ใต้ชายคาเดียวกันเกินยี่สิบสี่ชั่วโมง
คืนนี้คงล้งเล้งไม่เป็นอันหลับนอนกันแน่ ๆ
“พี่ฌอนขา!!!
ทำไมเพิ่งกลับมาล่ะคะ?
เอ้กแต่งหน้า อัพขนตา ทาปากรอพี่อยู่ที่ท่าน้ำตั้งแต่หัวค่ำเมื่อวานแล้วนะคะ”
เจ้าของน้ำเสียงแหบห้าวโหยหวนดังกล่าว คือ ชายหนุ่มร่างเล็กผมหยักศกย้อมสีโค้กยาวประบ่าผู้มาพร้อมกับใบหน้าสวยหวานที่โบกเครื่องสำอางจนฉ่ำได้ที่...
สาวสนั่นเบอร์นี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ได้ทันทีว่า อาการหนักกว่าผู้เป็นพี่ไปหลายป้าย
ยังไม่ทันไร
เด็กปีหนึ่งต่างมหาลัยก็ท้าทายอำนาจมืดของผู้เป็นพี่ด้วยการปรี่เข้าทิ้งตัวใส่ฌอนอย่างระรี้ระริก
อรรณพจึงรีบเบรคเกมเสิร์ฟของบุตรคนเล็กจนอีกฝ่ายหน้าง้ำ “ให้มันน้อย ๆ หน่อยไอ้เอ้ก!
ไว้หน้าพ่อมึงบ้าง!”
“โห่! ป๊าอ้ะ! ไหนป๊าบอกว่าป๊ารับได้ที่หนูเป็นตุ๊ดไง?!” ดาวเทียมต่างสถาบันกอดแขนแฝดน้องไม่ปล่อยขณะเถียงพ่อจ้อย
ๆ ไม่หยุดปาก
“มึงก็ช่วยเป็นตุ๊ดเรียบร้อย
ๆ แบบน้องปอยไม่ได้หรือไงวะ? แล้วนั่นน่ะแฟนมึงที่ไหน... แฟนไอ้อิ๊กมัน! มึงอย่าเที่ยวไปให้ท่ามันนักสิวะ
แค่นี้มันก็หยามป๊าเต็มทีแล้ว!” ฌอนอดนับถือพ่อของคนรักไม่ได้... ขนาดเขายืนสยองน้องเมียอยู่เงียบ ๆ
อีกฝ่ายยังไม่วายหาทางแขวะเขาจนได้ในท้ายที่สุด
“โอ้ยป๊า!
ป๊าจะเขม่นฌอนไปถึงเมื่อไร?
หรือป๊าอยากให้อิ๊กคบฌอนแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ ลับหลังป๊า ป๊าจะได้สบายใจไม่ต้องรู้เห็น?”
อคิราโพล่งอย่างสุดทน เพราะแม้บิดาจะยอมรับตัวตนของเขาและน้องชายได้สนิทใจ แต่อยู่
ๆ ก็เกิดทำใจไม่ได้ขึ้นมาเสียอย่างนั้นทันทีที่เห็นหน้าฌอน... แฟนคนแรกที่เขาพาเข้าบ้านมาแนะนำตัว
“โว้ะ!
ลูกกูแต่ละคน
แรดได้ใครนักหนาวะ?!” ยิ่งเห็นเลือดเนื้อเชื้อไขทั้งสองล้อมหน้าล้อมหลังฌอนเป็นภมรกับดอกไม้
อรรณพก็ยิ่งฟาดงวงฟาดงานประหนึ่งกำลังจะเสียลูกสาวให้ไอ้หนุ่มต่างอำเภออย่างไรอย่างนั้น
“ป๊าอ้ะ
พูดอย่างนี้อิ๊กน้อยใจนะ!”
“ช่างมึง!
คุณ...
ผมไปสตาร์ทรถรอนะ” ผู้เป็นพ่อแสร้งมองผ่านบุตรชายที่เริ่มจะนิ่วหน้าไม่พอใจกับความไร้เหตุผลของตน...
ก็เขาหวงลูกนี่หว่า แค่ยอมให้ไอ้เด็กหน้าแขกก้าวข้ามรั้วเข้าบ้านมาโดยไม่ยิงลูกซองไล่ก็บุญเท่าไรแล้ว!
“ป๊า! ไม่เอาแบบนี้ดิ มากอดกันก่อน!” อคิรารั้งบิดาก่อนอีกฝ่ายจะบ่ายหน้าไปยังรถเอสยูวีคันใหญ่ดังที่ลั่นวาจา
ประมุขใหญ่ของบ้านจึงชะงักท่ายืนค้าง ก่อนจะเบือนเสี้ยวหน้ากลับมาผงกหัวให้ลูกชายอย่างลวก
ๆ
“เออ ๆ มา ๆ !” สิ้นคำ อดีตเดือนบริหารก็ถลาเข้าไปกอดร่างท้วมของป๊าอย่างเต็มรัก
“อิ๊กรักป๊านะครับ”
“เออ ๆ
ป๊าก็รักอิ๊ก!
ป๊าไปนะ เดี๋ยวถึงแล้วจะโทรบอกอีกที” ผู้อาวุโสเลื่อนสายตาไปจ้องหน้าแฝดน้องอย่างขึงขัง
“ดูบ้านให้กูด้วยล่ะ แล้วก็อย่าสะเออะมายุ่งกับตุ๊ดคนเล็กของกูนะโว้ย!”
“ไม่ครับ
ไม่แน่นอนครับ!”
แฝดน้องตอบพลางกลั้นหัวเราะ เพราะไม่มีวันที่ความกลัวของบิดาคนรักจะเป็นจริงได้...
ทั้งรักทั้งเกลียดเห็นจะเป็นนิยามที่เหมาะสมกับความสัมพันธ์ระหว่างพ่อตากับลูกเขยบ้านนี้
ส่วนสมบัติผลัดกันชมคงจะเป็นค่านิยมที่น้องชายอดีตเดือนบริหารยึดถือ
เพราะทันทีที่ได้ยินป๊าห้ามปรามคุณพี่เขย กะเทยตัวจ้อยผู้ถูกพาดพิงก็กรีดร้องอื้ออึงเหมือนโดนใครดึงขนจมูก
อรจิราส่งสายตากำราบบุตรคนเล็กจนเด็กเฟรชชี่ให้หมดอายุหุบปากฉับลงชั่วพริบตา
จากนั้นหล่อนจึงหันมาสั่งความกับคู่รักปีสองอย่างเป็นการเป็นงาน “แม่ทำกับข้าวเอาไว้ให้แล้วนะ
ถ้าจะกินก็ตักแบ่งออกมาอุ่นเอา ถ้าไม่พอ... แม่มีของสดอยู่ในตู้ ทำกินกันเองนะ”
“ครับ”
“อ้อ... เกือบลืมแน่ะ!
ตอนเย็น ๆ ถ้าไม่ได้ออกไปไหน
แม่ฝากรดน้ำต้นไม้ให้ด้วยนะจ๊ะ” รอบนี้แฝดน้องรับรู้ได้ว่า
แม่ยายกำลังไหว้วานเขามากกว่าจะหวังพึ่งเหล่าลูก ๆ สุดขี้เซาของตัวเอง
ชายหนุ่มจึงรับคำหล่อนโดยไม่อิดออด
“ครับแม่”
“ขอบใจมากจ๊ะ...
เอ้า! สาว ๆ
มาให้แม่กอดหน่อยซิ!”
ไม่ทันขาดคำ บุตรสาวในร่างชายทั้งสองหน่อของอรจิราต่างก็พากันวิ่งเฮโลเข้าไปกอดหล่อนเสียแน่น
“แม่รักเอ้ก
รักอิ๊กนะจ๊ะ... ทำตัวดี ๆ นะ อย่าสร้างปัญหาให้ฌอนต้องปวดหัวล่ะ... ลูกเขยหล่อ ๆ ดี
ๆ น่ะหายากรู้ไหม?” คนพูดเอ่ยพลางขยิบตา พร้อมยกยิ้มมุมปากให้ฌอน... ถ้าไม่ใช่เพราะหล่อน
แฝดน้องคงโดนคุณพ่อตาคอยหาเรื่องค่อนขอดจนวางตัวไม่ถูกแน่
ๆ
“แม่ไม่ต้องห่วงอิ๊กหรอก
ไอ้เอ้กนี่แหละตัวแสบเลย!” ได้ที พี่คนโตก็รีบแฉความร้ายกาจของน้องชายให้มารดาได้ประจักษ์ ฝ่ายตุ๊ดคนเล็กก็พลิกบทเป็นลูกรักผู้อ่อนแอเพื่อลวงให้แม่ถือหางตน
“ฮือออ แม่!
อิ๊กว่าเอ้ก
แม่ต้องช่วยเอ้กนะ!”
อนาวิลกอดออเซาะผู้มีอำนาจชี้เป็นชี้ตายพร้อม ๆ กับจิกตาท้าทายคนเป็นพี่อย่างมีนัยยะ
“พอกันทั้งคู่!... แม่ว่าแม่รีบไปดีกว่า เดี๋ยวป๊ารอนาน พรุ่งนี้อยากกินอะไรก็โทรมาบอกแม่นะ เดี๋ยวแม่กับป๊าแวะซื้อเข้ามาให้”
อรจิราใช้มะเหงกช่วยตัดบทพิพาทระหว่างสองศรีพี่น้อง
“ครับ
รักแม่ครับ”
“เอ้กรักแม่นะ”
“ไปค่ะพี่ฌอน
เข้าบ้านกัน ข้างนอกร้อน ร้อน!” คล้อยหลังผู้อาวุโสทั้งสองได้ไม่ทันไร น้องคนเล็กของบ้านก็ออกอาการเลื้อยตาใส
จับมือ คล้องแขน ลูบไล้โน่นนี่นั่นของแฟนพี่ทันที แต่ก่อนที่สัมผัสล่วงล้ำจะเลื่อนลงต่ำอคิราก็ปัดฝ่ามือน้องชายออกจากลำตัวคนรักอย่างไม่ปรานีปราศรัย
“ไปหาเอาข้างหน้าดีกว่าครับคุณอนาวิล
นี่แฟนพี่... มีสัมมาคารวะหน่อย” เจ้าตัวพูดพลางฉุดแขนอีกข้างให้ฌอนกระเถิบเข้าใกล้
“แฟนพี่ก็เหมือนแฟนน้องนั่นแหละน่า
อย่ามาทำเป็นหวงนักเลย!”
เมื่อศึกฟาดฝีปากทำท่าจะสูสี สองหนุ่มพี่น้องจึงเปลี่ยนสนามประลองมาเป็นร่างกายของแฝดคนเล็กเสียอย่างนั้น
ซึ่งเมื่อเห็นทั้งอิ๊กและเอ้กออกแรงยื้อต้นแขนตนกันคนละข้าง
เด็กสถาปัตย์ผู้เป็นคนกลางจึงต้องหาทางเอาตัวรอดอย่างเสียไม่ได้ “เอ่อ อิ๊ก...
เก็บของก่อนดีไหม?”
“มะ! เดี๋ยวเอ้กช่วยนะคะ เอ้กสตรองงง!” ผู้อ่อนอาวุโสที่สุดขันอาสาด้วยความร่าเริงสดใสจนคนเป็นพี่อดกลอกตาเป็นเลขแปดไทยรัว
ๆ ไม่ได้
“งั้นเอ้กเอาตะกร้านี่ไปแล้วกันครับ
ไม่หนักมาก... เดี๋ยวที่เหลือพี่จัดการเอง” แฝดน้องยื่นตะกร้าของฝากประมุขของบ้านให้น้องเมียตามคำขอ
“วุ้ย!
พี่ฌอนเป็นห่วงเค้าดั้วะ!
น่าร้อกอ้ะ!”
“จะยืนบิดอีกนานไหม?
เดี๋ยวนี้ไม่กลัวผิวเสียแล้วเหรอ?” อคิราอาศัยแดดร้อน ๆ ช่วงก่อนบ่ายของเมืองไทยเป็นเครื่องมือกำจัดน้องชายที่ยืนแอ๊บอายส่ายเอวไปมาจนดูน่ารำคาญ
และดูเหมือนนั่นจะได้ผลเป็นอย่างดี
“อุ๊ย!
เอ้กไปรอพี่ฌอนข้างในบ้านนะคะ
อย่าช้าน้า... เอ้กคิดถึง!!” สั่งเสียเสร็จ อนาวิลก็พาตะกร้าใบเขื่องวิ่งตื๋อไปหยุดตรงหน้าบ้านเพื่อส่งจูบให้ฌอนเป็นเวลาสั้น
ๆ ก่อนจะหายลับเข้าข้างใน
.
.
.
.
.
.
.
“ฌอนคิดเหมือนที่อิ๊กคิดไหม?”
อดีตเดือนบริหารส่งสายตามีลับลมคมในไปให้คนรัก น่าประหลาดที่อีกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันโดยไม่ต้องพิรี้พิไรให้ยืดยาว
“คืนนี้ไปนอนบ้านฌอนนะ”
“อือ! ไว้รอให้พ่อกับแม่กลับมาก่อนแล้วค่อยกลับทีเดียวแล้วกัน”
อคิราตอบรับทันควัน ก่อนจะพุ่งตัวไปเปิดประตูฝั่งข้างคนขับอย่างเร็วรี่
“แล้วเอ้กล่ะ?”
แฝดน้องอดเป็นห่วงตุ๊ดคนเล็กที่พ่อตาฝากฝังไม่ได้ ในขณะที่อิ๊กก็ไม่ใช่พวกใจไม้ไส้ระกำมีความสุขอยู่กับแฟนโดยปล่อยให้น้องชายต้องแกร่วเฝ้าบ้านเพียงลำพังเช่นกัน
“เดี๋ยวอิ๊กโทรไปบอกให้ไอ้วิวมาอยู่เป็นเพื่อน”
“งั้นไปกันเถอะครับ!” ทันทีที่ได้ยินชื่อบุคคลที่สี่ผู้ส่อเค้าว่าอยากจะมีซัมติงรองกับน้องเมียใจจะขาด
ฌอนก็สอดตัวลงนั่งหลังพวงมาลัยและออกรถพรวดพราดได้โดยไม่รู้สึกติดค้างในใจใด ๆ
ทั้งสิ้น
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
|| ตัดภาพไปยังคฤหาสน์ประจำตระกูลเพิ่มพูนอัครไพศาล (บ้านด้วง)
||
“สวัสดีครับคุณณวัฒน์
คุณจรรยา” ผู้ก่อตั้งและหัวหน้าบอร์ดบริหารกลุ่มคุณะประสิทฒ์กล่าวกับประมุขชายหญิงแห่งบ้านหลังมหึมาที่ยืนต้อนรับเขาและภรรยาอยู่ตรงโถงรับแขกชั้นล่าง
ถือเป็นครั้งแรกที่ยักษ์ใหญ่ทั้งสองของวงการก่อสร้างพบปะกันเป็นการส่วนตัวถึงนิวาสถานของอีกฝ่าย
“สวัสดีครับคุณตระการ
คุณรสริน” ณวัฒน์ เพิ่มพูนอัครไพศาลทักทายคู่สามีภรรยาตรงหน้าด้วยความยินดีเปิดเผย...
ไม่นึกไม่ฝันเลยว่า ครอบครัวของเขาจะมีโอกาสเกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกันกับตระกูลเก่าแก่อย่างคุณะประสิทฒ์ในท้ายที่สุด
“ไม่ทราบคุณณวัฒน์รู้เรื่องหรือยังครับ?”
ชายวัยกลางคนเจ้าของมาดภูมิฐานผู้มีศักดิ์เป็นพ่อของตรินยิงคำถามถึงหัวข้อสำคัญประจำวันทันทีด้วยอยากแน่ใจว่า
อีกฝ่ายตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุตรชายทั้งสองบ้าน กับอีกหนึ่งหนุ่มน้อยดังเช่นที่ตนกับภรรยาเข้าใจ
“เรียกวัฒน์ดีกว่าครับ
ไหน ๆ ก็จะดองกันอยู่แล้ว” ท่าทางถ่อมตัวเข้าถึงได้ซึ่งผิดไปจากทุกทีที่พบปะอีกฝ่ายตามงานเปิดตัวเมกะโปรเจคต่าง
ๆ กอปรกับสีหน้าผ่อนคลายประดับด้วยรอยยิ้มกว้างของนายใหญ่แห่งซีเอ็นพีกรุ๊ปส่งเสริมให้คำตอบเรียบง่ายกินความหมายเกินตัวไปมาก
ตระการ
คุณะประสิทฒ์จึงรับลูกด้วยความยินดีและมิตรไมตรีเต็มเปี่ยม “ถ้าอย่างนั้นคุณวัฒน์ก็ต้องเรียกผมว่าโต้งแล้วล่ะครับ”
“ได้เลยครับคุณโต้ง”
“คุณคะ
เดี๋ยวฉันพาคุณแหม่มไปดูกล้วยไม้หลังบ้านเรานะคะ” จรรยาผู้เป็นภรรยาของเจ้าบ้านเอ่ยแทรกขึ้นก่อนที่คุณพ่อทั้งสองจะเริ่มบทสนทนาประสาผู้ชาย
“นี่คุณไปสนิทกับคุณรสรินตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย
ทำไมผมถึงไม่รู้เลยล่ะ?” ณวัฒน์อดสงสัยไม่ได้
“ความลับของผู้หญิงค่ะ”
บรรดาแม่ ๆ ต่างมองหน้ากันก่อนจะหัวเราะเบา ๆ อย่างรู้กัน ณวัฒน์จึงไม่เซ้าซี้เพราะต้องการทำความรู้จักกับตระการให้มากกว่านี้โดยเร็ว
“เอ้า!
เชิญ ๆ เดี๋ยวพอลูกมาแล้วผมจะให้เด็กไปตามแล้วกัน”
แต่ก่อนที่ทั้งหมดจะแยกย้าย
เด็กในบ้านที่เพิ่งรีบรุดเข้าด้านในก็ชิงรายงานทันที “คุณท่านคะ
คุณพดด้วงกลับมาแล้วค่ะ”
“มาได้เวลาพอดี! งั้นพวกเราย้ายไปนั่งรอเด็ก ๆ
กันที่โต๊ะอาหารจะดีกว่าครับ เชิญครับคุณรสริน” เจ้าบ้านอย่างณวัฒน์สรุปก่อนจะผายมือเชิญอาคันตุกะหญิงออกเดินไปพร้อมกับตนและตระการผู้เป็นสามี
ส่วนจรรยาก็หันไปสั่งแม่บ้านคนเก่าแก่ให้ช่วยรอรับบุตรชายแทนตน
“แม่ปลั่ง บอกคุณพดด้วงให้พาเพื่อน
ๆ ตามไปที่ห้องอาหารนะ”
“ค่ะคุณผู้หญิง”
“พ่อครับ
แม่ครับ สวัสดีครับ” วิญญูจูงมือกรกฏให้ก้าวตามไปทักทายบุพพการีของตนพร้อม ๆ กัน
ทางด้านตรินก็เดินอ้อมโต๊ะอาหารไปอีกฝั่งเพื่อกราบพ่อกับแม่ของตัวเองถึงหน้าตัก
“คุณพ่อ
คุณแม่... สวัสดีครับ” อริยะตรัยผู้พี่กระพุ่มมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองที่ตนคุ้นหน้าเป็นอย่างดี
โดยเฉพาะฝ่ายหญิงที่นอกจากจะเป็นมารดาของเพื่อนและคนรักอย่างด้วงแล้ว
หล่อนยังเป็นสหายสนิทของหม่าม้าของเขาอีกด้วย
“น้องฟู
คุณแม่ไม่เจอน้องฟูนานเลยลูก น้องฟูเป็นยังไงบ้างคะ?” จรรยาคว้าตัวกังฟูมากอดให้หายคิดถึง
เพราะตั้งแต่งานศพครั้งนั้น หล่อนก็ไม่ได้เห็นหน้าเลือดเนื้อเชื้อไขของเพื่อนรักผู้ล่วงลับอีกเลย
“ฟูสบายดีครับคุณแม่”
ความประหม่าทำให้กังฟูระมัดระวังคำพูดคำจาและท่าทางเป็นอย่างยิ่ง เห็นดังนั้น ประมุขหญิงของบ้านจึงอดสงสารเด็กหนุ่มไม่ได้
“น้องฟูมาลูก
มานั่งข้าง ๆ คุณแม่นี่” จรรยาจัดแจงที่นั่งให้พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยเสร็จสรรพ ฝ่ายด้วงที่ตกอยู่ในฐานะคนกลางกับเจ้าบ้าน
ก็เริ่มการแนะนำตัวคนรักอีกคนให้พ่อแม่ของตนทำความรู้จักทันที
“เอ่อ คุณพ่อคุณแม่ครับ...
นั่น... แฟนผมอีกคนครับ” วิญญูบุ้ยใบ้ให้สัญญาณคนรักหน้าคม หนุ่มร่างหมีก็รู้งานน่าชื่นชมดีเหลือเกิน
เพราะเจ้าตัวได้ย้ายมานั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่ตรงหน้าพ่อแม่ของคิวท์บอยในไม่กี่อึดใจให้หลัง
“สวัสดีครับ
คุณพ่อ คุณแม่ ผมเต๋อครับ ผมขอฝากเนื้อฝากตัวเป็นลูกคุณพ่อคุณแม่ด้วยอีกคนนะครับ” มารยาทอันดีที่สะท้อนออกมาจากการกราบแสดงความเคารพอย่างงดงามของตรินทำให้ทั้งณวัฒน์และจรรยายิ่งประทับใจในตัวลูกชายคนใหม่ผู้สมบูรณ์พร้อมทั้งรูปลักษณ์
และทรัพย์สมบัติ
“ไหว้พระเถอะลูก”
เจ้าบ้านชายรับไหว้อีกฝ่ายอย่างเต็มใจไม่ต่างจากคู่ชีวิตที่ตื้นตันจนแทบจะเก็บอาการไว้ไม่อยู่
“คุณแม่ยินดีมากค่ะ”
จรรยาว่าพลางบีบมือเต๋อเบา ๆ
“นี่ดีใจจนน้ำตาซึมเลยเหรอคุณ?”
“ก็ฉันอยากมีลูกหลาย
ๆ คนมาตั้งนานแล้วนี่คะ... เพิ่งจะสมใจก็วันนี้เอง” เจ้าหล่อนเอ่ยเสียงเครือ
“โธ่คุณ!
คุณทำผมตกอกตกใจแทบแย่...
รู้ไหมเนี่ย?” ณวัฒน์รับทิชชูจากลูกชายมายื่นให้ภรรยาก่อนที่ทำนบน้ำตาของหล่อนจะแตก
“คุณจิ๋วอย่าร้องสิคะ
เดี๋ยวแหม่มก็ร้องไห้ตามกันพอดี”
เมื่อเหลือบไปเห็นรสรินผู้เป็นภรรยาปลอบเพื่อนตัวเองพร้อม
ๆ กับซับหางตามือเป็นระวิง ตระการก็อดตกใจไม่ได้ “อ้าวแหม่ม! นี่แหม่มก็จะเอาด้วยอีกคนเรอะ?!”
“ก็มันซึ้งนี่คะโต้ง!”
“เอ่อ...
ผมว่าเรากินข้าวกันก่อนดีกว่าไหมครับ พอดีพวกผมยังไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้าน่ะครับ”
วิญญูฉวยโอกาสที่ยังไม่มีใครเปิดประเด็นใหม่ใด ๆ เปลี่ยนเรื่องก่อนที่พวกเขาทั้งสามจะจะจมน้ำตาแห่งความปลื้มปีติของเหล่าแม่
ๆ ไปเสียก่อน
ดูเหมือนวิธีของคิวท์บอยคนล่าสุดจะแนบเนียนเกินไป
เพราะผู้เป็นมารดาตวัดหางตามองตำหนิบุตรชายหัวแก้วหัวแหวน เมื่อได้ยินอีกฝ่ายหลุดปากพูดไม่เข้าหู
“โอ้ยตายลูกชายคุณแม่!
ปล่อยให้ตัวเองหิวน่ะไม่เท่าไร ทำไมต้องให้น้องฟูกับน้องเต๋อหิ้วท้องด้วยล่ะลูก?”
“จริง ๆ
พวกเราก็กินอะไรรองท้องมาบ้างแล้วล่ะครับคุณแม่ แต่นี่ก็ได้เวลาอาหารกลางวันแล้ว
พวกเราก็เลยเริ่มจะหิวกันน่ะ
ครับ” สุดท้ายก็เป็นลูกชายคนใหม่อย่างเต๋อที่เข้ามากู้สถานการณ์เอาไว้ได้อย่างหวุดหวิด
จากนั้น ชายหนุ่มทั้งสองก็ได้ณวัฒน์ช่วยพูดปิดประเด็นร้อนให้อีกทอดหนึ่ง
“เอา ๆ !
งั้นแม่ปลั่งก็ตั้งสำรับเลยสิ!”
“แล้วนี่ปิดเทอมนี้จะเอายังไง?
จะยังฝึกงานอยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า?” ประมุขของบ้านเอ่ยถามลูกชายหลังมื้ออาหารเริ่มไปได้สักระยะ
“ครับ
ผมกับฟูจะไปฝึกงานที่บริษัทครับ”
“ตั้งใจให้มาก
ๆ ล่ะ จะได้เรียนรู้งานทุก ๆ ระบบตั้งแต่เนิ่น ๆ ”
“ครับ” ด้วงรับคำด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเพราะรู้ดีว่า
บิดาตั้งความหวังกับเขาไว้มาก อีกทั้งความลำบากในฐานะเด็กฝึกงานในวันนี้
จะทำให้เขาเข้าใจระบบการทำงาน และองค์กรได้ดีขึ้นเมื่อนั่งเก้าอี้ผู้บริหารแทนผู้เป็นพ่อ
“น้องฟูไม่ต้องเครียดนะ
พวกพี่ ๆ เขาจะเคี่ยวเข็ญตาพดด้วงให้อ่วมแค่คนเดียวนี่แหละ
เพราะตาพดด้วงต้องมาช่วยพ่อทำงานทันทีที่เรียนจบ” คราวนี้ณวัฒน์หันไปคุยกับอริยะตรัยผู้พี่ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนน่าฟัง
เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายปริวิตกจนเกินเหตุ...
จริงอยู่ แม้ณวัฒน์จะเคยหัวใจสลายเมื่อรู้ว่าบุตรชายหลงรักเด็กหนุ่มตรงหน้า
แต่ด้วยความมีเหตุผลและเที่ยงธรรม การกล่าวโทษบุคคลที่สามเพื่อให้ท้ายลูกชายจึงไม่ใช่สิ่งที่เขาเลือกปฏิบัติ
ดังนั้น... ความรู้สึกพิศวาสที่มีต่อพี่น้องอริยะตรัยประสาเพื่อนสนิทฝั่งมารดาจึงไม่เคยเลือนหายนับตั้งแต่วันแรกที่อีกฝ่ายลืมตาดูโลก
“จริง ๆ
ให้ฟูทำทุกอย่างเหมือนด้วงก็ได้นะครับคุณพ่อ ฟูอยากทำประโยชน์ให้กับบริษัทคุณพ่อบ้าง”
กรกฏตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังตามความรู้สึกที่อยู่ข้างในจนคนฟังไม่คิดทัดทาน
“เอา ๆ ได้ ๆ
เดี๋ยวพ่อจะสั่งเลขาให้อีกทีนะ”
“ขอบคุณครับ”
“แล้วเต๋อล่ะ
ปิดเทอมนี้มีแพลนจะทำอะไร?” คราวนี้ณวัฒน์เปลี่ยนมาซักไซ้ลูกชายคนใหม่ อีกฝ่ายสบตากับพ่อและแม่ที่นั่งกินอาหารอยู่ข้าง
ๆ ก่อนจะยิ้มบาง ๆ แล้วตอบความอย่างฉะฉาน
“ผมคงเข้าบริษัทกับคุณพ่อน่ะครับ
เผื่อจะช่วยอะไรท่านได้บ้าง”
“ไม่อยากลองมาฝึกงานที่บริษัทพ่อบ้างเหรอ?”
พ่อด้วงโยนหินถามทางด้วยหวังจะทำความรู้จักกับสมาชิกผู้ชายทุกคนของบ้านคุณะประสิทฒ์ไปพร้อม
ๆ กัน
“ก็อยากนะครับ
แต่พอดีปีนี้ผมติดเรียนรู้โปรเจคใหม่ของคุณพ่ออยู่พอดี” เมื่อเห็นตระการพยักหน้าน้อย
ๆ แทนการรับรู้ ตรินก็พูดต่อโดยไม่รอช้า“ถ้าไม่เป็นการรบกวนคุณพ่อจนเกินไป...
ไว้วันไหนว่าง ๆ ผมจะขอไปเรียนรู้งานที่บริษัทคุณพ่อด้วยแล้วกันนะครับ”
“เอาเลย
ๆ แล้วพ่อจะรอนะ” คำตอบอย่างสุภาพของหนุ่มร่างหมีสร้างความประทับใจให้กับทั้งเจ้าของคำถาม
และคนฟังทั้งหมด
“ครับ
ขอบคุณครับ”
“แล้วนี่ปิดเทอมจะอยู่กันยังไงจ๊ะ
เห็นตาพดด้วงบอกคุณแม่ว่าน้องเก็กไปฝึกงานที่ไร่ปากช่องไม่ใช่เหรอ?
น้องฟูมาอยู่ที่บ้านกับคุณแม่ไหมลูก?” จรรยาอดสงสัยกับแผนการของหนุ่ม ๆ ไม่ได้ ครั้นจะปล่อยให้ทั้งสามตัดสินใจกันเอง
ก็อาจจะเปิดช่องให้ทั้งหมดไม่กลับบ้านกลับช่องมาให้หล่อนเห็นหน้าเลยก็เป็นได้
“คือพวกเราตกลงกันแล้วว่าเราจะสลับกันพักบ้านนี้กับบ้านเต๋อรอบละอาทิตย์น่ะครับ...
ฟูก็จะอยู่กับพวกเราทั้งสองที่เลยครับคุณแม่” ด้วงรับหน้าที่อธิบายข้อสรุปที่พวกเขาตกลงกันอยู่นานก่อนจะกลับบ้านคราวนี้
“ขอโทษนะคะคุณจิ๋ว
ขอแหม่มแทรกนิ้ดดดนึง!”
รสรินใช้สิทธิเพื่อนสนิทร่วมวงสังคมภริยานักธุรกิจใหญ่ของจรรยามาช้านานในการเอ่ยแทรกบทสนทนาของอีกฝ่ายอย่างแนบเนียน
“เชิญค่ะคุณแหม่ม”
“พวกหนูเปลี่ยนเป็นอยู่บ้านแม่ทั้งเดือนไม่ได้เหรอลูก?
ไหน ๆ ก็ปิดเทอมสองเดือนกว่า ๆ ก็อยู่บ้านละเดือน รอบละยาว ๆ เลยดีกว่าไหม แม่อยากทำความรู้จักกับพวกหนู
ๆ ให้มากกว่านี้น่ะจ๊ะ” แม่ตรินทั้งต่อรองทั้งหว่านล้อมลูก ๆ
ทั้งสามของหล่อนอย่างแคล่วคล่องว่องไวตามสไตล์ที่ปรึกษาแผนกเซลล์ของกลุ่มบริษัทที่ยอดขายดีที่สุดเจ้าหนึ่งของวงการ
“จะดีเหรอคะคุณแหม่ม?
อย่างนี้จิ๋วก็คิดถึงลูก ๆ แย่เลยสิคะ” จรรยาโอด... แม้อยากจะทำตามใจ แต่หล่อนกลับไม่อาจหักหาญน้ำใจอีกฝ่ายด้วยเพราะเกรงใจนายหญิงแห่งกลุ่มคุณะประสิทฒ์อยู่เป็นทุน
“อยู่เป็นเดือนดีกว่าค่ะคุณจิ๋ว
แหม่มว่าปะติดปะต่อดี”
“แต่...” รสรินไม่เปิดโอกาสให้คุณแม่อีกบ้านได้เอ่ยแย้ง
เพราะไม่ว่าสิ่งใดที่หล่อนต้องการ... หล่อนพร้อมจะเจรจา หรือยื่นข้อเสนอแลกเปลี่ยนบางอย่างเพื่อให้ได้มาทั้งสิ้น
“เอาอย่างนี้ดีไหมคะ
ระหว่างเดือนเราก็สลับกันเปิดบ้านจัดบรั้นช์ ปาร์ตี้น้ำชา ไม่ก็ดินเนอร์พร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้ทุก
ๆ อาทิตย์เลยสิคะ เราจะได้ทั้งเจอพวกลูก ๆ ได้ทั้งอัพเดทเรื่องนั้นเรื่องนี้ตามประสาผู้หญิง
ๆ กันอีกด้วย ส่วนคุณผู้ชายก็จะได้คุยเรื่องเงินเรื่องทองของพวกเขาไป” ทางออกของรสรินจัดว่าน่าสนใจ
เพราะจรรยาดูจะโอนอ่อนลงกว่าเดิมมาก
“คุณโอเคไหมคะ?”
ที่สุดแล้ว คุณแม่ยังสาวของวิญญูก็หันไปหารือกับผู้เป็นสามีด้วยหล่อนไม่อยากจะตบปากรับคำอีกฝ่ายโดยพลการ
แน่นอน... ณวัฒน์ย่อมจะไม่มีปัญหาเพราะไอเดียดังกล่าวเข้าทางที่ตนหวังเอาไว้พอดิบพอดี
“ก็ดีเหมือนกันนะ... คุณโต้งล่ะครับ โอเคไหม?”
“แหม่มว่าไง
ผมก็ว่างั้นแหละครับ... ก็เขาน่ะควาญช้างทั้งคนเลยนะครับ” ทั้งหมดหัวเราะชอบใจกับคำตอบติดตลกของตระการ
“งั้นเดือนนี้เด็ก
ๆ ก็อยู่กับแม่จิ๋วที่นี่ก่อนแล้วกันนะจ๊ะ ส่วนอาทิตย์หน้า... เป็นปาร์ตี้น้ำชายามบ่าย
ตบท้ายด้วยดินเนอร์ที่บ้านแม่แหม่ม โอเคไหม?” รสรินอาศัยบรรยากาศชื่นมื่นปิดการขายอย่างสวยงามพร้อมกับปรับเปลี่ยนสรรพนามของตนและจรรยาเสียใหม่อย่างแนบเนียน...
เอาเถอะ แม้จะต้องตั้งตารอเด็ก ๆ อีกร่วมเดือน แต่ระหว่างนี้หล่อนจะหลอกล่อให้บุตรชายพาแฟนทั้งสองไปเล่นที่บ้านให้ได้บ่อย
ๆ เลยคอยดู
“ครับ” สามหนุ่มรับคำอย่างว่าง่ายเป็นเสียงเดียว
“พ่อมึงไม่เห็นจะน่ากลัวเหมือนที่มึงเคยเล่าให้กูฟังเลยนี่หว่า”
เต๋อเปิดประเด็นขึ้นทันทีที่กรกฏปลีกตัวไปอาบน้ำหลังจากมหกรรมอาหารกลางวัน
ของว่างตอนบ่าย และดินเนอร์มื้อใหญ่พร้อมหน้าพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายสิ้นสุดลงไปหมาด ๆ
“พ่อกูเปลี่ยนไปเยอะตั้งแต่ท่านยอมรับกูเรื่องฟูได้นั่นแหละ
จริง ๆ ท่านดีขึ้นมากตอนที่รู้ว่ากูเลิกแต่งหญิงแบบถาวรแล้วน่ะ... ยิ่งพอมารู้ว่าได้เกี่ยวดองกับบ้านมึง
พ่อกูนี่แทบปิดบริษัทฉลองเลยนะเว่ย” วิญญูเผยความลับสุดยอดที่ทำให้บิดายอมรับความสัมพันธ์ของพวกเขาสามคนได้ในพริบตาให้คู่สนทนาฟังอย่างหมดเปลือก...
ด้วงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า
ความรักมั่นต่ออริยะตรัยผู้พี่ช่วยให้การเจรจากับพ่อเรื่องแฟนหนุ่มคนที่สองง่ายขึ้น
แต่ชื่อเสียงและความมั่งคั่งของอีกตระกูล กับผลประโยชน์มหาศาลร่วมกันในภายภาคหน้าสนับสนุนให้นายใหญ่แห่งซีเอ็นพีผู้มีเลือดแห่งนักธุรกิจข้นคลั่กเปิดไฟเขียวให้เขาผูกสมัครรักใคร่ร่วมหัวจมท้ายกับตรินได้โดยไม่มีข้อโต้แย้ง
“งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้สาย
ๆ ไปกราบคุณพ่อกับคุณแม่กูพร้อมกัน กูว่าแม่กูน่าจะอยากสัมภาษณ์มึงกับฟูเต็มจะแย่แล้วว่ะ”
ถ้อยคำกำชับของมารดาก่อนจาก ช่วยให้หนุ่มร่างหมีวางแผนการของวันถัดไปได้ไม่ยากเย็นนัก
แต่นั่นกลับไม่ใช่สิ่งที่วิญญูสนใจเลยสักนิด
“แล้วคืนนี้ล่ะ...
เอาไง?” ด้วงเลิกคิ้วรอฟังอีกฝ่ายด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
“หึ! มึงมีกุญแจห้องน้ำไหมวะ?” เด็กสถาปัตย์ยิ้มร้ายพลางชายตามองประตูห้องน้ำอย่างย่ามใจ
“หึ หึ... มือชั้นนี่แล้ว!” เจ้าของห้องชูพวงกุญแจขึ้นตรงหน้าแล้วเขย่าไปมาแทนคำตอบ
“ห้องน้ำบ้านมึงเก็บเสียงป่ะ?”
“มึงนี่มันชั่วจริง
ๆ !”
สายตาแวววาวกับใบหน้ากรุ้มกริ่มของคนพูดทำให้ประโยคดังกล่าวฟังคล้ายคำชมเชยมากกว่าการบริภาษในความรู้สึกเต๋อ
“สรุปว่าเก็บหรือไม่เก็บเล่า?” ตรินตวัดหางเสียงอย่างขัดใจค่าที่อีกฝ่ายจงใจถ่วงเวลา
“หึ หึ...
ใครช้าก็ชักรอไปแล้วกัน!”
สิ้นคำ คนเล่นลิ้นก็ออกตัวนำดิ่งไปไขประตูห้องน้ำด้วยความไวแสง
“ไอ้สัดด้วง
รอกูด้วย!!” กว่าจะสำเหนียกว่าเสียรู้วิญญู เต๋อก็เกือบจะโดนประตูห้องน้ำฟาดหน้าหงาย...
วันพระไม่ได้มีหนเดียวฉันใด แก้แค้นอีกฝ่ายวันหลังคงไม่สายหรอกมั้ง
«♥»------------------------------------ TBC ------------------------------------ «♥»
No comments:
Post a Comment