ขอต้อนรับเข้าสู่ช่วงกลางเรื่องของภาคใหม่อย่างเป็นทางการ
และต้องขออภัยหากเนื้อเรื่องช่วงนี้จะเอื่อยเป็นพิเศษนะคะ
รับรองเลยว่าพอผ่านมรสุมรักของเก็กบ๊วยไปได้
สามพีและคู่ที่เหลือจะโผล่มาให้ยลอย่างว่องไวเลยค่ะ ^^
ช่วงนี้หากเราหายหน้าบ่อย
ก็อย่าเพิ่งหมางเมินกันนะคะ
ไม่รู้ทำไมงานราษฎร์
งานหลวง งานทวงเงินทวงหนี้พุ่งเข้าชนพี่ตลอด ๆ
รักชอบประการใด...
ฝากเพจไว้ในอ้อมใจสักหน่อยเน้อ (ฮ่า ฮ่า ฮ่า จะฮาร์ดเซลล์อะไรเบอร์นี้?!)
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
The 22nd
Bonding
เทอมใหม่...
ใจเดิม ที่เพิ่มเติมคือตัวปัญหา
“คุณครับ...
คุณ! คุณ!”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“คุณ! คุณครับ!”
ลำพังเสียงเรียกกับเสียงซอยฝีเท้าที่ดังแว่วจากเบื้องหลังไม่อาจทำให้เหนือสมุทรหลุดออกจากห้วงความคิดได้แต่อย่างใด
ทว่ากลับเป็นแรงสะกิดตรงหัวไหล่แค่เพียงแผ่วเบาต่างหากล่ะที่รั้งให้เขาจำต้องชะงักฝ่าเท้า
แล้วเบนความสนใจเหลียวกลับไปวางสายตาชำเลืองดูใบหน้าเจ้าของสัมผัสดังกล่าวโดยไม่รอรี
“หือ?” หัวคิ้วเข้มหนาบนใบหน้าหล่อเหลาเลิกสูง
ดวงตาคมหรี่มองใบหน้าชื้นเหงื่อจนขึ้นเงาของคนแปลกหน้าผู้ที่ตัวเขาไม่คิดจะวิสาสะด้วยอย่างพินิจพิเคราะห์
พลางครุ่นคิด... ไอ้นี่คือใคร?! จำไม่ยักได้ว่าเคยคั่วพวกหน้าตาธรรมดา ๆ
ไม่น่าจดจำมาก่อน
“เมื่อกี๊คุณทำบัตรตกน่ะครับ”
คำอธิบายกับบัตรนักศึกษาพร้อมรูปถ่ายคุ้นตาที่คนตัวเล็กกว่ายื่นให้
ทำลายความมั่นหน้าไม่เป็นสองรองใครของหนุ่มบริหารลงย่อยยับ ดีว่าตามปกติแล้ว
เหนือสมุทรมักจะตีหน้านิ่ง ไม่เผยอารมณ์ใด ๆ ให้คนอื่นจับสังเกตความคิดได้เท่าไร
ไม่อย่างนั้นพลเมืองดีแปลกหน้าคงได้เห็นสุดหล่อหน้าแหกเป็นบุญตาไปเป็นที่เรียบร้อย
“ขอบใจ”ชายหนุ่มฉายาแบดบอยตัวพ่อจุดยิ้มมุมปากพลางยักคิ้วอย่างเท่แทนรางวัลสมนาคุณเพื่อนร่วมสถาบันผู้มีจิตอาสา
กระนั้น... ปฏิกิริยาของอีกฝ่ายกลับทำให้เขาอดประหลาดใจไม่ได้
“ไม่เป็นไรครับ”
คนพูดคลี่ยิ้มจนตาปิดอย่างไม่คิดอะไร จากนั้นจึงเอ่ยคำร่ำลาสั้น ๆ คล้ายไม่สะทกสะท้านกับรูปโฉมโนมพันธุ์ที่ทำให้ใครต่อใครลุ่มหลงไหวหวั่นมานักต่อนักเลยสักนิด
“ผมขอตัวก่อนนะครับ”
ความผิดหวังระคนติดใจทำให้สายตาเหนือสมุทรเคลื่อนตามแผ่นหลังจ๋อง
ๆ ของอีกฝ่ายไม่วาง ร่างผอมกระหร่องที่เดินเงอะงะงุ่มง่ามมุ่งหน้าไต่บันไดขึ้นตึกหอพัก
ฉับพลันกลับเปลี่ยนเป็นขยับอย่างแคล่วคล่องว่องไว เมื่อเจ้าตัวเหลือบไปเห็นแม่บ้านประจำตึกกำลังปลุกปล้ำกับรถเข็นบรรทุกแกลลอนน้ำดื่มเพียงลำพัง
โควต้าทำความดีในแต่ละวันของคน
ๆ นี้ไม่มีวันสิ้นสุดหรือไงนะ?
นั่น... วิ่งเข้าไปช่วยยกรถเข็นข้ามธรณีประตูอีกแล้วนั่น
ตัวก็ผอมแห้งออกปานนั้น ยังจะไปยกของหนักเกินกำลังอีก...
เดี๋ยวเถอะ
เดี๋ยวก็ได้กระดูกหักทิ่มปอดกันพอดี
อย่างไรก็ดี...
ทันทีที่ตระหนักได้ถึงสาเหตุที่ทำให้ตนต้องรีบกระหืดกระหอบกลับหอมาตั้งแต่หัววัน
เหนือสมุทรก็ปัดข้อสงสัยต่าง ๆ นา ๆ เกี่ยวกับคนดีนิรนามจนตกไปโดยพลัน
“มาติดต่อเรื่องห้องครับ”
แบดบอยแห่งบริหารเอ่ยพลางยื่นบัตรนักศึกษาให้เจ้าหน้าที่หลังเคาน์เตอร์ซึ่งดูจะอารมณ์บ่จอยเป็นพิเศษ
“เทอมที่แล้วทำเรื่องขอย้ายห้องใช่ไหม?”
สิ้นคำ เจ้าหล่อนก็ละสายตาขึ้นจากหน้าจอแล้วปรายหางตามองหน้าเหนือสมุทรหน่าย ๆ ก่อนจะถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย
เพราะหลังจากตรวจสอบประวัติแล้ว นักศึกษาผู้นี้ ขอย้ายห้องถี่เป็นติดอันดับต้น ๆ
ของวิทยาเขตก็ว่าได้
ชายหนุ่มเผลอตัวขมวดคิ้วฉับหลังได้รับสายตาประเมินจากผู้มีอาวุโสสูงกว่า
แต่พอนึกได้ว่าตนต้องพึ่งพาความช่วยเหลือของอีกฝ่าย เด็กบริหารจึงจำใจสั่งตัวเองให้อดกลั้น
ก่อนจะตอบรับอย่างพยายามสุภาพ “ครับ”
“งั้นรอแป๊บนึงนะ”
เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวสั่งความลูกน้องด้านใน ก่อนจะหันไปเอ่ยทักทายนักศึกษาที่ยืนอยู่เคาน์เตอร์ติดกับเหนือสมุทรอย่างเป็นกันเองจนคนโดนสั่งให้รออดหมั่นไส้ไม่ได้
“ไงเรา... เป็นยังไงบ้าง? พักหลัง ๆ พี่ไม่เห็นหน้าเลย... ไม่อยู่ห้องเดิมแล้วเหรอ?”
เฮอะ! ดีแต่เจ๊าะแจ๊ะ แถมยังเลือกปฏิบัติ...
ก็เป็นกันเสียแบบนี้แหละว้า
ระบบราชการไทยถึงไม่ไปไหนเสียที!
อคติทำให้เด็กบริหารมองเหยียดเจ้าหน้าที่ตรงหน้า รวมทั้งคู่สนทนาของหล่อนไปโดยปริยาย แต่แล้วรอยยิ้มที่เพิ่งเห็นผ่านตาไปเมื่อไม่กี่อึดใจก่อนของคนยืนข้าง ๆ ก็ทำให้ความรู้สึกขุ่นข้องในใจเหนือสมุทรลดลงอย่างน่าอัศจรรย์
แปลก... ทั้ง
ๆ ที่หน้าตาก็บ้าน ๆ แท้ ๆ แต่ทำไมเวลายิ้มถึงได้ดูน่ามองขนาดนี้นะ?
อาจเป็นเพราะรอยยิ้ม
หรือ
เพราะออร่าบางอย่างของพลเมืองดีไร้ชื่อก็ได้ที่ทำให้เหนือสมุทรลอบสังเกตสีหน้า
อากัปกิริยา
รวมถึงแอบฟังบทสนทนาของชายหนุ่มคนดังกล่าวกับมนุษย์ป้าหลังเคาน์เตอร์อย่างตั้งอกตั้งใจโดยไม่ทันรู้ตัว
“สวัสดีครับพี่”
เด็กเต็กผู้อารียกมือไหว้เจ้าหน้าที่หญิงร่างท้วมด้านในโดยแทบไม่หุบยิ้ม
“ผมย้ายไปอยู่กับเพื่อนน่ะครับ”
“ว้า! งั้นเหรอ? ต่อไปพี่จะไม่ได้เจอเราบ่อย ๆ แล้วสิ...
แย่จัง! แล้ววันนี้มาทำอะไรล่ะ?”
เจ้าหน้าที่สาวออกอาการเสียดายอย่างเด่นชัด เพราะต่อไปคงไม่มีกระหรี่ปั๊บกล่องโต
หรือของขวัญ ของกำนัลตามเทศกาลอันเป็นผลจากความเอื้อเฟื้อของเด็กหนุ่มจัดส่งมาถึงมือหล่อนอีกแล้ว
“ผมมารับจดหมายกับพัสดุให้พี่ห้องน่ะครับ”
แฟนอดีตเดือนมหาลัยตอบอย่างนอบน้อม
“อ้อ! ใช่ ๆ ! เรียนจบกันไปหมดแล้วสินะ” ผู้พูดหลังเคาน์เตอร์ทรุดตัวลงนั่งหลังลูกน้องเดินมาหาที่โต๊ะ
“ครับ”
“เรานี่เป็นเด็กดีเสมอต้นเสมอปลายจริง
ๆ เลยน้า” เจ้าหล่อนเอ่ยชมบ๊วยเสียงอ่อนเสียงหวานพลางก็ตรวจสอบพวงกุญแจห้องใหม่ของเหนือสมุทรไปพร้อม
ๆ กัน จากนั้นจึงเลื่อนกรอบสายตามาปิดบัญชีกับหนุ่มบริหารอย่างเป็นการเป็นงานอีกครั้ง
“อ่ะนี่ กุญแจห้อง ถ้าทำหายหรือชำรุดจะต้องจ่ายค่าปรับตอนคืนกุญแจนะ เซ็นรับกุญแจตรงนี้ด้วย”
“ครับ” เหนือสมุทรก้มหน้าก้มตาเซ็นรับกุญแจด้วยความเซ็งสุดขีดเมื่อเจออิทธิฤทธิ์ของมนุษย์ป้าเข้าไปจะ
ๆ ... ถ้าจะเม้าท์กันจนงานการไม่เดิน ทำไมไม่ปิดเคาน์เตอร์แล้วชวนกันไปตั้งโต๊ะเสวนาให้รู้แล้วรู้รอดเสียเลยล่ะวะ
แม่งเอ๊ย!
เสียงเคาะประตูปึงปังอยู่พักใหญ่
ๆ ทำให้เจ้าของร่างสูงใหญ่บนเตียงเดี่ยวหลังเดียวในห้องรำคาญจนต้องยกหมอนขึ้นอุดหู
แต่แล้วเสียงไขกุญแจ เสียงลูกบิด ตามด้วยเสียงบานพับประตูห้องดังเอี๊ยดอ๊าดหลังจากนั้นไม่กี่อึดใจก็ทำให้เหนือสมุทรยอมปรือตา
แล้วยันลำตัวขึ้นมองจ้องคนที่เพิ่งเดินย่องเข้ามาในห้องด้วยความหงุดหงิด
“ขอโทษครับ!
ผมนึกว่าไม่มีคนอยู่ในห้อง! ขอโทษจริง ๆ ครับ!” ผู้บุกรุกละล่ำละลักเมื่อตระหนักได้ว่าการมาของตนปลุกอีกคนให้ต้องตื่นจากนิทรา
แทนที่แบดบอยแห่งบริหารจะออกอาการฉุนเฉียวเหมือนกับทุกครั้งที่โดนขัดใจ
ชายหนุ่มกลับไล่สายตามองอีกฝ่ายจากหัวจรดเท้าอย่างใจเย็น
“ไม่เป็นไร” สายตาคมยังคงมองสำรวจคนตรงหน้าอย่างสนอกสนใจ “อยู่ห้องนี้เหรอ?”
“อ๋อ ผมเคยอยู่ห้องนี้น่ะครับแต่ตอนนี้ย้ายไปอยู่อีกตึกนึง
พอดีพี่ห้องฝากผมให้มาช่วยเก็บของ... ขอผมเข้าไปเอาของหลังห้องได้ไหมครับ?” แสงแดดช่วงโพล้เพล้บดบังสายตาซุกซนระคนซอกแซกของคนบนเตียงได้มิดชิดจนบ๊วยไม่ทันได้ระวังตัว
“อือ” เหนือสมุทรรับคำง่าย
ๆ พลางชายตามองตามคนดีไม่มีชื่อที่เดินดุ่ม ๆ เข้าไปเอาของตรงระเบียงหลังห้องอย่างกระฉับกระเฉง
แต่ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะวกกลับออกมา เจ้าตัวก็ส่งเสียงบ่นพึมพำกับตัวเองอยู่นานสองนานก่อนจะถือลังใบย่อมติดมือแล้วเลือกไปหยุดยืนประจันหน้าไม่ห่างจากร่างสูงใหญ่บนเตียง
“คุณครับ...
ลูกบิดหลังห้องยังเสียอยู่ ถ้าคุณไม่อยู่ในห้อง ก็ใช้กลอนล็อกประตูด้านหลังไปก่อนนะครับ
ผมแจ้งขอเปลี่ยนไปตั้งแต่ตอนคืนกุญแจเทอมที่แล้ว
เข้าใจว่าเดี๋ยวช่างของตึกคงจะเข้ามาจัดการให้....... “
ถ้าจะด่าเขาว่าไม่มีมารยาทที่เอาแต่มองสำรวจชายหนุ่มร่างผอมหัวกระเซอะกระเซิงตรงหน้าอย่างถี่ถ้วน
แล้วปล่อยให้อีกฝ่ายพล่ามเรื่องหลอดไฟ เรื่องรายละเอียดโน่นนี่ปลีกย่อยเกี่ยวกับห้องใหม่ของเขาเป็นฉาก
ๆ เขาก็พร้อมจะน้อมรับคำด่านั้นด้วยความเต็มใจ
คนอะไร... ทำไมถึงได้เที่ยวเป็นห่วงเป็นใยคนอื่นอย่างออกนอกหน้าไปทั่ว
ตัวแค่นี้แต่บ่นเก่งบ่นรัวยิ่งกว่าแม่กว่าแม่นมของเขารวมกันเสียอีก...
แล้วนี่จะนิสัยดีไปไหน?
เดี๋ยวก็ได้โดนคนอื่นหลอกใช้ โดนเอาเปรียบกันพอดี
“เดี๋ยวผมจะย้ำกับพี่แดงให้ช่วยเร่งช่างให้อีกที...
.
.
...เอ่อ...
พี่แดงคือพี่เจ้าหน้าที่ที่ดูแลหอคนข้างล่างน่ะครับ...
...ผมไปก่อนนะครับ
ขอโทษอีกครั้งที่รบกวนคุณจนไม่เป็นอันพักผ่อน”
ตั้งแต่วันที่แม่ไม่อยู่...
นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่มีใครใส่ใจความเป็นอยู่ของเขาได้มากมายเท่าคนแปลกหน้าคนนี้
รู้ตัวอีกที เหนือสมุทรก็ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำกับใครไปเสียแล้ว
“เดี๋ยว!”
“ครับ?”
“มีเบอร์ไหม?”
เด็กบริหารอดตกใจไม่ได้หลังได้ยินตัวเองโพล่งคำถามที่ไม่เคยเอ่ยกับใครมาก่อนโดยไม่เสียเวลาคิด...
นาน ๆ จะลงทุนขอเบอร์ใครสักที ทำไมต้องมาขอเป็นคนท่าทางเด๋อด๋า หน้าตาก็งั้น ๆ แบบนี้ด้วยวะ?!
“?!”
“ก็ถ้าห้องมันมีปัญหาอะไรอีก
จะได้โทรไปเรียกนายให้มาช่วยคุยกับพี่แดงยังไงล่ะ” สายตางุนงงของคนฟังทำให้เหนือสมุทรพรั่งพรูคำปดอีกระลอกอย่างรวดเร็วลื่นไหล
“ฉันคุยกับพวกผู้ใหญ่ไม่ค่อยเก่งน่ะ” ชายหนุ่มอดขอบคุณตัวเองไม่ได้ที่แม้จะเอาแต่จ้องอีกฝ่ายไม่วางตา
ทว่าโสตประสาทของเขากลับยังสามารถจับใจความและเก็บรายละเอียดของบทสนทนาก่อนหน้าได้เป็นอย่างดี
“อ๋อ! ได้สิครับ” ลูกแม่บัวรับคำว่องไวด้วยรู้สึกผิดไม่หายที่อะไรต่อมิอะไรภายในห้องยังอยู่ในสภาพชำรุด
“อ่ะ! เม็มเบอร์นายสิ” เหนือสมุทรรวบรัดพลางยื่นโทรศัพท์ของตนให้เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเปลี่ยนใจกะทันหัน
“ครับ” เด็กเต็กตั้งหน้าตั้งตากดด้วยความเต็มใจจนคนมองอดอมยิ้มไม่ได้
“นี่ครับ”
“ชื่...”
ยังไม่ทันที่แบดบอยแห่งบริหารจะได้เอ่ยคำใด
เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์พกพาของอีกฝ่ายก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน จากที่กำลังอารมณ์ดี
เหนือสมุทรก็เริ่มจะชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ และชายหนุ่มก็ยิ่งหงุดหงิดไปกันใหญ่
เมื่ออยู่ ๆ คนตรงหน้าก็คลี่ยิ้มหวานให้หน้าจอ
ก่อนจะกดรับสายด้วยความไวแสงโดยไม่คิดถึงใจคู่สนทนาที่ถูกทิ้งให้ต้องรอเก้อเลยสักนิด
“พี่หมีประชุมเสร็จแล้วเหรอครับ?...
...หา?!
มารออยู่ข้างล่างแล้วเหรอ?!...
...ไม่ต้องขึ้นมาหรอกครับ
มีของนิดเดียวเอง...
...ครับ ๆ
เดี๋ยวเค้าลงไปนะ”
“ขอโทษนะครับที่เสียมารยาท...
ยังไงวันนี้ ผมขอตัวก่อนนะครับ
ถ้าคุณต้องการให้ผมช่วยเมื่อไรก็โทรเรียกผมได้เลยนะครับ” ว่าแล้ว คนที่เหนือสมุทรอยากจะคุยด้วยก็หอบกล่องเดินยิ้มหน้าผ่องออกไปโดยไม่คิดจะรับผิดชอบความรู้สึกใด
ๆ ที่เกิดขึ้นในใจเขาทั้งสิ้น
ตลอดมา เด็กบริหารไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า
แท้จริงแล้ว ความสุขสงบเป็นเช่นไร แต่พอได้มาอยู่ใกล้ ๆ อีกฝ่ายที่ใจดี หัวอ่อน
พูดง่าย แถมยังดูไม่มีพิษมีภัย แม้จะเป็นระยะเวลาเพียงไม่นาน แต่กลับทำให้ชายหนุ่มผู้ไม่เคยสนใจใครรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจจนเริ่มไม่เป็นตัวของตัวเองได้อย่างไม่มีคำอธิบาย
“บ๊วยงั้นเหรอ?”
ร่างสูงใหญ่รำพึงกับตัวเองระหว่างสืบเท้าอย่างใจลอยออกนอกห้อง แล้วจึงหยุดยืนสอดส่ายสายตามองหาเจ้าของชื่อจากระเบียงหน้าห้อง
ก่อนจะหลุดปากสบถอย่างขุ่นข้องเมื่อเห็นคนใจดีกับชายหนุ่มอีกคน...
ที่ดูอย่างไรก็ไม่น่าจะใช่เพื่อนกัน
“แม่งเอ๊ย!” ภาพบ๊วยขณะวิ่งกระหืดกระหอบลงไปหาใครคนหนึ่งที่คุ้นหน้าเป็นอย่างดีทำเอาเหนือสมุทรรู้สึกคลื่นเหียนอย่างไม่มีสาเหตุ
ทั้ง ๆ ที่อยากจะทำความรู้จักกับคนตัวเล็กแบบจริง ๆ จัง ๆ เหมือนคนอื่น ๆ
ที่หัดมีความรักบ้างแท้ ๆ
หึ! แต่ก็ใช่ว่าคนมาทีหลังจะผิดหวังเสมอไป...
ไอ้สัดเก็ก...
แล้วเราจะได้เห็นดีกัน!
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
“พี่รินมารับกี่โมง?”
ชายกลางถามเพื่อนรักที่นั่งเหม่ออยู่ตรงม้านั่งตัวตรงข้าม
“เนี่ย อีกเดี๋ยวก็ถึงแล้ว...
ปีนี้เริ่มเข้าคลินิก ตารางเวลาเลยยังไม่แน่นอนเท่าไร แล้วเดี๋ยวนายจะทำอะไร?
จะไปกินข้าวเย็นด้วยกันระหว่างรอพี่หมีเข้าเชียร์หรือเปล่า?” เจ้าของน้ำเสียงเจื้อยแจ้วเอื้อนเอ่ยโดยใม่ละสายตาที่ชะเง้อหาพาหนะคู่ใจของคนรักสักวินาที
“ไม่ดีกว่า เดี๋ยวพอพี่รินมารับนายแล้ว
เราว่าเราจะขึ้นไปดูงานออกแบบเก่า ๆ หาแรงบันดาลใจเตรียมไว้เผื่อโปรเจคป๋าอดุลย์ที่ห้องสมุดแต่เนิ่น
ๆ น่ะ” ท่าทางติดแฟนเอาเรื่องที่หลานอาม่าใหญ่แสดงออกพลอยทำให้บ๊วยไม่นึกอยากเป็นก้างขวางคอเพื่อนสนิทไปในทันที
“เอางั้นเหรอ?
แต่เราว่าให้พี่รินขับไปส่งนายที่ห้องก่อนดีไหม นายจะได้ไม่ต้องแกร่วรอพี่หมีอยู่ที่คณะคนเดียว?”
หนุ่มแว่นยังไม่หยุดคะยั้นคะยอเกลอรักด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไร ๆ
... เห็นพี่หมีบอกว่า เข้าเชียร์วันนี้น่าจะเสร็จก่อนสองทุ่มน่ะ
อีกแค่ชั่วโมงเดียวเอง อ่านหนังสือแป๊บ ๆ ก็หมดเวลาแล้ว”
“ตามใจ... ว่าแต่
พวกนั้นยังรังควาญนายอยู่อีกหรือเปล่า?” สายตาคาดคั้นของสกลทำเอาคนถูกจ้องรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นติดหมัด
“ไม่มีแล้ว
พวกเขาคงเข้าใจเรื่องของเรากับพี่หมีกันหมดแล้วแหละ” บ๊วยจำใจโกหกก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายขุดคุ้ยจนรู้ความจริงไปเสียก่อน
“ที่สำคัญ ตอนนี้คนที่นายน่าจะเป็นห่วงมากกว่าเราน่าจะเป็นแฝดน้องนะ ว่าไหม?”
“หึ! เราว่าดีเสียอีกที่พี่ฌานไปสมัครเป็นพี่เนียน ฌอนศรีจะได้ลิ้มรสการต้องใช้ชีวิตอย่างกล้า
ๆ กลัว ๆ ผู้คนรอบ ๆ ตัวดูบ้าง!” คนเห็นผีแสยะยิ้มอย่างสาสมใจเมื่อเอ่ยถึงสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่ฝาแฝดคนเล็กกำลังประสบอยู่
แต่ดูเหมือนบ๊วยจะลืมไปว่า บางทีสกลก็ต้องการลูกคู่มากกว่าการรับรู้ข้อเท็จจริง
“ที่ฌอนแอบหลบน้องปีหนึ่งไปอยู่กับอิ๊กที่คณะชั่วคราวมันกล้า
ๆ กลัว ๆ ตรงไหนเหรอสกล?”
แฟนว่าที่หมอหมาถึงกับถลึงตาใส่ชายกลางพลางยิงคำถามสวนกลับด้วยความคั่งแค้น
“จิ๊! ถามจริง?! นี่นายเป็นเพื่อนสนิทเราหรือศัตรูเก่าปลอมตัวมา?
ฮึ?!”
“เราแค่สงสัยเฉย
ๆ เอง ไม่ได้จะพูดขัดนายเสียหน่อย”
“มีอย่างที่ไหน
แทนที่จะเออออห่อหมก เสียแรงที่หลวมตัวคบหามาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย!” คนพูดสะบัดหางเสียงพร้อมปรายตามองคู่สนทนาอย่างอ่อนใจ
แต่ก่อนที่ช่วงเวลาแห่งการกระเซ้าเย้าแหย่ฉันท์มิตรแท้จะดำเนินต่อไป เสียงแจ้งเตือนการโทรเข้าของมือถือบ๊วยก็ดังแทรกขึ้นเสียก่อน
“ฮัลโหล?!
ไม่ทราบว่าจะพูดกับใครครับ?”
ตัวเลขสิบหลักบนหน้าจอชวนให้ลูกแม่บัวฉงนใจไม่น้อย กระนั้น น้ำเสียงแปลกหูกับคำถามของคนปลายสายกลับยิ่งสร้างความงุนงงสงกาหนักกว่าเดิม
(นั่นไม่ใช่เบอร์บ๊วยเหรอ?)
“ครับ?! ...เอ่อ... ใช่ครับ ผมบ๊วยพูดสายครับ”
(ตอนนี้อยู่ที่คณะหรือเปล่า?
... จะไปหา)
“ครับ” สกลขมวดคิ้วแน่นพลางตั้งคำถามผ่านสายตาด้วยอยากรู้ว่าเพื่อนสนิทของตนกำลังสนทนากับผู้ใด
ในขณะที่บ๊วยกลับทำได้แค่ยักไหล่พลางส่ายหน้าป้อย ๆ เนื่องจากจนปัญญาพอกัน
ถึงอย่างนั้น การถือเรื่องคนอื่นเสมือนเป็นเรื่องของตัวเองก็เอาชนะทุกสิ่ง...
หนุ่มแว่นส่งสายตากดดันเพื่อนรักจนอีกฝ่ายต้องออกปากซักคนปลายสายอย่างเสียไม่ได้ในท้ายที่สุด
“เอ่อ เดี๋ยวครับ! ขอโทษนะครับ
ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครเหรอครับ? พอดีผมไม่ได้เม็มเบอร์คุณไว้ในเครื่อง”
(เหนือ...
คนที่อยู่ห้องต่อจากคุณ)
“อ๋อ! คุณนั่นเอง! มีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ?”
(เดี๋ยวไว้ค่อยคุยกันนะ)
สิ้นคำ เสียงสัญญาณระหว่างสองเลขหมายก็ถูกตัดขาดลงทันที
“...เอ่อ...”
“ใครเหรอบ๊วย?”
หลานอาม่าใหญ่ยิงคำถามสำคัญใส่สหายสนิทเมื่อเห็นอีกฝ่ายลดฝ่ามือที่ประคองโทรศัพท์ลงด้วยสีหน้าหลงทิศเป็นแมวไม่ติดหนวด
“คนที่มาอยู่ห้องเก่าเราน่ะ”
“แล้วเขาโทรมาทำไม?”
“เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาโทรมาทำไม...
พอดีเมื่อกี๊เขาตัดสายไปก่อนน่ะ” อย่าว่าแต่สกลที่ไม่เข้าใจเจตนาของผู้ชายคนเมื่อกี๊เลย
กระทั่งตัวเขาก็ยังตอบตัวเองไม่ได้เช่นกัน
ได้ยินดังนั้น
สัญชาตญาณก็สั่งให้คนเห็นผีสวมบทคินดะอิจิและจิบิคุโด้ ชินอิจิตั้งโต๊ะสอบสวนชายกลางอย่างเอาจริงเอาจัง
“พวกนายมีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า?”
“ไม่มีนะ”
“ไม่มีอะไรแล้วทำไมนายถึงทำหน้าเป็นหมาสงสัยแบบนี้ล่ะ?”
“ก็ก่อนวาง เขาบอกจะมาหาเราที่คณะน่ะ...
แต่ตอนที่เจอกัน เราไม่ได้บอกเขาสักหน่อยว่าเราเรียนคณะอะไร แล้วเขาจะมาหาเราถูกได้ยังไง
นายว่าไหมสกล?”
ระหว่างคุยกับสหายหน้าแว่น
บ๊วยก็พยายามคิดหาเหตุผลร้อยแปดมาอธิบายความต้องการของชายหนุ่มเจ้าปัญหาผู้ที่เขาแทบไม่รู้จักความเป็นมาเลยสักนิด
ผิดกับสกลที่เริ่มจะรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลของคนแปลกหน้าผู้นี้ได้ตงิด ๆ
เสียแล้ว “เดี๋ยวนะ! ไหนนายลองเล่ารายละเอียดของตอนที่เจอกันให้เราฟังซิ
เราว่ามันชักจะแปลก ๆ ยังไงก็ไม่รู้”
“แปลกยังไง?”
คนเห็นผียกฝ่ามือขึ้นห้ามปรามเกลอรักทันควัน
“อย่าเพิ่งถามน่า! เล่ามาก่อนที่ต่อมเผือกกับเรดาร์ดักจับความหายนะของเราจะพัง!”... จะอย่างไร วันนี้เขาต้องรู้ให้ได้ว่าผู้มาเยือน
ต้องการอะไรจากเพื่อนเขากันแน่
อนิจจา
ชะรอยว่าชาติที่แล้วบุคคลที่สามจะเคยทำบุญด้วยการถวายนาฬิกา เพราะแทนที่แฟนหมีโพลาร์จะได้รับคำอธิบายในเรื่องคาใจ
เด็กบริหารกลับปรากฏกายขึ้นทันตาราวกับมาซุ่มดักรอพวกเขาอยู่ก่อนหน้าเป็นวัน
ๆ
“บ๊วย”
“เอ่อ... คุณ”
เจ้าของชื่ออึกอักเพราะไม่รู้จะทักทายอีกฝ่ายอย่างไร และดูเหมือนว่าเหนือสมุทรจะจับสังเกตได้
ชายหนุ่มจึงไขข้อข้องใจของบ๊วยจนมลายสิ้น ในขณะที่เพื่อนหัวไข่ของชายกลางกลับอ้าปากค้างเนื่องจากเคยได้ยินกิตติศัพท์ของเด็กต่างคณะผู้โด่งดังคนตรงหน้ามานับครั้งไม่ถ้วน
“เหนือ...
เรียกผมว่าเหนือเถอะ”
“ครับ”
“อ่ะแฮ่ม!” สกลชิงกระแอมดึงความสนใจของทั้งเพื่อนสนิทและคนที่มาใหม่ก่อนจะไม่มีโอกาสแทรกแซง
“สวัสดีครับ ผมชื่อสกลครับ เป็นเพื่อนสนิทบ๊วย... ไม่ทราบว่าคุณเหนือมีธุระอะไรกับเพื่อนผมเหรอครับ?”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับสกล
พอดีผมมีเรื่องจะปรึกษากับบ๊วยเรื่องห้องน่ะครับ” แม้สายตาขวาง ๆ
หลังแว่นหนาของเด็กเต็กหัวไข่จะตะโกนขับไล่เขาอยู่กลาย ๆ แต่แบดบอยแห่งบริหารก็แสร้งทำไม่สนใจก่อนจะหว่านยิ้มการค้าทักทายอีกฝ่ายเพื่อแสดงจุดยืนของตน
...
หึ! คนอย่างเขาหรือจะเกรงใจใคร
ลองว่าอยากได้อะไร...
เขาก็ต้องได้ครอบครองทุกสิ่งโดยไม่มีข้อยกเว้น
“เหรอครับ?
เรื่องอะไรเอ่ย? คุยกันตรงนี้เลยก็ได้นะครับ
พอดีผมกับบ๊วยไม่มีเรื่องปิดบังกันอยู่แล้ว” วินาทีนี้ บอกได้เลยว่า
ทางเดียวที่เหนือสมุทรจะได้พูดคุยกับเพื่อนรักของเขาสองต่อสอง อีกฝ่ายจะต้องข้ามศพหลานอาม่าใหญ่ไปก่อนเท่านั้น
“ได้ครับ
งั้นผมไม่เกรงใจนะครับ” เหนือสมุทรยกยิ้มมุมปากตบท้ายถ้อยคำโอภาปราศรัยผ่านทีท่านอบน้อม...
ไม่มีวันที่นักล่าจะยอมให้สัตว์กินพืชสี่ตากลายมาเป็นอุปสรรคในการล่อลวงเหยื่อที่เขาหมายตาไปได้
และดูเหมือนทุก ๆ สิ่งจะเป็นใจ เพราะจู่ ๆ โทรศัพท์ของหลานชายหัวไข่ของอาม่าซิ้วงิ้งก็แผดร้องเสียงดังขึ้นเสียก่อน
อารามดีใจเมื่อเห็นชื่อคนรักโชว์หราอยู่หน้าจอ
สกลจึงกดรับสายอย่างกระตือรือล้น ก่อนจะตัดสายด้วยความสุขระคนหงุดหงิดหลังการพูดคุยต่อรองสั้น
ๆ เพียงชั่วอึดใจ “บ๊วย เราไปก่อนนะ พอดีพี่รินจอดรถนานไม่ได้ เดี๋ยวพวกสตาฟรับน้องจะกินหัวเอา”
“อือ ๆ นายหรีบไปเถอะพี่รินจะได้ไม่ต้องรอนาน”
ค่าที่เข้าใจว่า สีหน้าไม่รับแขกกับท่าทางลุกลี้ลุกลนของคนกันเองเป็นเพราะสกลโดนคนรักเร่งให้รุดไปหา
ชายกลางจึงรับคำเพื่อนโดยง่าย ๆ แถมไม่ลืมโบกมือบ๊ายบายหนุ่มแว่นเสียเสร็จสรรพ หารู้ไม่ว่า
แฟนหมีโพลาร์ที่เพิ่งเดินกระแทกเท้าคล้อยหลังไปกำลังกลัดกลุ้มรุ่มร้อนด้วยไม่อาจนอนใจปล่อยบ๊วยให้อยู่กับหมาป่าในคราบลูกแกะเพียงลำพังต่างหาก
“ขอโทษแทนเพื่อนผมด้วยนะครับ”
เด็กเต็กออกตัวในนามสหายสนิท ก่อนจะวกเข้าสู่ใจความสำคัญของการพบกันในครั้งนี้หลังจากเห็นว่าอีกฝ่ายส่ายหัวพลางส่งยิ้มให้อย่างไม่ถือสาหาความ
“ตกลงว่าเหนืออยากให้ผมช่วยอะไรเหรอครับ?”
“เหนืออยากมาขอให้บ๊วยช่วยไปคุยกับพี่เจ้าหน้าที่หอให้หน่อยได้หรือเปล่าครับ
ป่านนี้ยังไม่มีช่างมาแก้อะไรให้สักอย่าง... เหนือไม่รู้จะเริ่มคุยกับพี่เขายังไงดี”
ผู้รับช่วงอาศัยห้องต่อจากบ๊วยพรั่งพรูข้อกังวลของตนอย่างปริวิตก
“...เอ่อ...” แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าตนเป็นฝ่ายเสนอตัวพร้อมให้ความช่วยเหลือดังกล่าวแก่เด็กต่างคณะก่อน
ทว่าคลื่นความกดดันแกมเร่งรัดที่แฝงมากับคำอ้อนวอนเมื่อสักครู่ก็ทำให้แฟนอดีตเดือนมหาลัยรู้สึกอึดอัดขึ้นมาถนัดใจ
และดูเหมือนเหนือสมุทรจะจับสังเกตความผิดปกตินี้ได้เช่นกัน
“จริง ๆ ถ้าจะลองเปลี่ยนลูกบิดประตูหลังห้อง
หรือแผงหลอดไฟเองก็คงจะพอทำได้อยู่หรอก แต่เหนือดันไม่มั่นใจว่าจะซ่อมทุกอย่างคนเดียวสำเร็จไหม
เพื่อนหรือรุ่นพี่วิศวะก็ไม่มีให้ปรึกษากับเขาสักคน” เดือนมฤตยูแห่งคณะบริหารเสริมความเร็วรี่ด้วยท่าทีสิ้นไร้ไม้ตอก
“...” ชายกลางรับฟังนิ่ง
ๆ พลางชั่งใจด้วยความลังเล... ใจหนึ่งเขาก็อยากจะตกปากรับคำทำตามที่เหนือสมุทรร้องขอ
แต่อีกใจกลับแย้งว่า คนตรงหน้าอันตรายเกินกว่าจะมองข้ามได้ เห็นดังนั้น เด็กบริหารจึงเดินเกมใหม่อย่างไม่ผลีผลาม
“เอาอย่างนี้แล้วกัน
เพื่อไม่ให้บ๊วยลำบากใจ... บ๊วยแค่ช่วยแนะนำเหนือก็ได้ว่าเหนือควรพูดกับแกยังไง
แกถึงจะช่วยเร่งขั้นตอนให้” คนพูดเว้นวรรคพลางแสร้งขมวดคิ้วนิ่วหน้าเหมือนคนมีปัญหาหนักอก
“พอดีอาทิตย์ที่แล้วเหนือเพิ่งซื้อคอมฯ ใหม่ เวลาจะไปไหน... พอนึกได้ว่าต้องทิ้งคอมฯ
ไว้ในห้องทั้ง ๆ ที่มีแค่กลอนเล็ก ๆ ขัดประตูเอาไว้ เหนือก็ไม่ค่อยสบายใจเท่าไรน่ะครับ”
เพิ่งซื้อคอมฯ
ใหม่น่ะไม่เถียง แต่ถ้าวันดีคืนดีคอมฯ เกิดหายขึ้นมา เขาก็แค่รูดบัตรป๋าซื้อเครื่องใหม่เท่านั้น
ไม่เห็นจะยากตรงไหน อีกอย่าง... ถึงห้องจะซ่อมไม่เสร็จก็ไม่เป็นไร
เพราะเขาไม่ได้อยากเจออีกฝ่ายแค่ครั้งเดียวแล้วแยกย้าย นั่นล่ะประเด็น
“ก็ได้ครับ” ที่สุดแล้ว
นิสัยชอบช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ก็ทำให้ลูกแม่บัวตอบรับคำขอของเพื่อนร่วมสถาบันจนได้
เหนือสมุทรเก็บซ่อนความยินดีปรีดาเอาไว้อย่างมิดชิดภายใต้รอยยิ้มอันอ่อนโยน
ก่อนจะเอ่ยปากชวนอีกฝ่ายให้เปลี่ยนสถานที่สนทนาซึ่งน่าจะช่วยกระชับความสัมพันธ์ของเขากับเด็กสถาปัตย์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
“มีร้านกาแฟเพิ่งเปิดใหม่ตรงคลองหลอด... เราไปนั่งคุยกันที่นั่นดีไหมครับ?”
ถึงอย่างนั้น บ๊วยก็ยังคงยึดธันวาเป็นที่ตั้งอยู่ร่ำไป
“คุยกันที่นี่เถอะครับ คือ...แฟนผมจะมารับตอนสองทุ่มน่ะครับ ผมไม่อยากให้เขาต้องรอนาน”
“เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ” ถึงจะหน้าม้านที่โดนบอกปัดอย่างไร้เยื่อใย
หนุ่มบริหารก็ยังอดรนทนยิ้มแย้มอยู่ได้โดยไม่หลุดฟอร์ม “เราม...”
“พี่บ๊วย!” เสียงตะโกนโหวกเหวกของสาวน้อยร่างเล็กที่โผล่พรวดพราดเข้ามานั่งคั่นกลางระหว่างสองหนุ่มแบบฉับพลันทันตาทำให้เหนือสมุทรต้องอ้าปากค้างอย่างเสียอาการ...
มันจะอะไรกันนักหนา เดี๋ยวคนโน้นไป คนนี้มาขัดจังหวะเขาอยู่ได้!!
“มี่มีไร
ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ พูด พี่อยู่นี่... พี่ไม่ได้จะรีบไปไหน” แฟนอดีตเดือนมหาลัยเอ่ยด้วยความเป็นห่วงเป็นใยในสวัสดิภาพของรุ่นน้องร่วมคณะจากใจจริง
“พี่บ๊วยรู้หรือยังว่าไอ้ปาล์มมันเพิ่งมาลาออกเมื่อเช้า?”
ประธานรุ่นชั้นปีที่สองคนปัจจุบันซักไซ้รุ่นพี่ปีสามโดยแทบไม่หยุดเว้นช่องไฟ
“หือ?!
ปาล์มไหน?” บ๊วยเลิกคิ้วมองหน้าน้องปีสองผู้กว้างขวางด้วยความสงสัยพร้อมกับรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไรบอกไม่ถูก
“ก็ไอ้ปาล์ม กระป๋ามฉโลกน้องรหัสหัวโปกของพี่ไงคะ
รุ่นหนูจะมีใครเอาแต่ใจได้เท่ามันอีกล่ะพี่!
ป่านนี้มันคงไปขึ้นเครื่องรอบินไปเรียนต่อฟิล์มที่นิวหยวกแล้วมั้งคะ”
“เฮ่ย?!”
“นั่นแค่น้ำจิ้มนะพี่บ๊วย”
เด็กมี่ตบโต๊ะดังฉาดอย่างไม่สบอารมณ์
จากนั้นจึงถล่มพี่ปีสามด้วยข้อมูลเบื้องหลังที่ทำให้หล่อนต้องมานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ตรงนี้
“คืองี้ค่ะ... ก่อนไป ไอ้ปาล์มมันดันจับฉลากเลือกทายาทอสูรเอาไว้เรียบร้อย
มี่เลยจะมาบอกให้พี่บ๊วยช่วยสงเคราะห์เลี้ยงดูน้องรหัสไอ้ปาล์มมันหน่อยได้ไหมคะ?”
“เอางี้พี่บ๊วย...
พี่ไม่ต้องทำดีกับน้องปีหนึ่งเหมือนที่พี่เคยเทคปาล์มมันก็ได้
แค่ส่งความห่วงใยแทนไอ้ปาล์มมันบ้าง น้องมันจะได้ไม่เคว้งคว้างจนเกินไปน่ะค่ะ” เมื่อเห็นว่ารุ่นพี่ออกอาการตกใจกับข่าวการลาออกของน้องรหัสจนกลายเป็นใบ้ไปชั่วคราว
หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวจึงเสริมคำอธิบายให้กับคำขอของหล่อนทันที
“อือ... ได้ ๆ
มี่จะให้พี่ทำอะไรก็บอกนะ พี่ยินดี” เมื่อตั้งสติได้ ชายกลางก็กลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง
“โอ๊ยยย!
พี่บ๊วย...ขอบคุณมาก
ๆ เลยค่ะ!! นี่ถ้าพวกเราไม่เริ่มให้น้องตามหาสายรหัสไปตั้งแต่เมื่ออาทิตย์ก่อน
มี่คงจะยัดเยียดน้องไอ้ปาล์มให้คนอื่นเลี้ยงแทนไปแล้ว” เด็กมี่แทบจะประนมมือ วันทา
อภิวาทรุ่นพี่ผู้อารีเพื่อแสดงความขอบคุณที่อีกฝ่ายให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีไม่ผิดไปจากที่หล่อนคิดเอาไว้
“ไม่เป็นไร ๆ
หลานรหัสคนเดียว พี่เทคแคร์ได้” ในเมื่อเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้
ชายกลางจึงเลือกที่จะดูแลเด็กปีหนึ่งแทนน้องรหัสซึ่งตัดสินใจเปลี่ยนสถานที่เรียนกะทันหัน
“งั้นเดี๋ยวพี่รอมี่แป๊บนึงได้ไหมคะ
ขอมี่วิ่งไปเอาประวัติน้องปีหนึ่งสายพี่บ๊วยแป๊บนึง”
“ได้ ๆ
ขอบใจมากนะมี่”
“โหย! มี่ต่างหากล่ะคะที่ต้องขอบคุณพี่ ดีเท่าไรแล้วที่เป็นไอ้ปาล์มลาออก...
ขืนเป็นไอ้โด้น้องพี่ฌาน มี่ต้องเข่าอ่อนนอนแผ่เพราะพ่ายแพ้ต่อความน่าสักการะของพี่แกก่อนจะคุยกันรู้เรื่องแน่
ๆ เดี๋ยวมี่มานะคะ!”
“มี่ค่อย ๆ
มี่ไม่ต้องรีบ... พี่จะนั่งรออยู่ตรงนี้จนกว่ามี่จะกลับมานั่นแหละ”
เหนือสมุทรจับจ้องอากัปกิริยาอันหลากหลายของบ๊วยด้วยความสนอกสนใจพลางสรุปย้ำกับตัวเองอีกครั้งว่า
จะไม่ปล่อยให้คนนิสัยดีอย่างเด็กสถาปัตย์หลุดมือไปเป็นอันขาด“ใครได้เป็นสายรหัสเดียวกับบ๊วยนี่โชคดีมาก
ๆ เลยนะครับ” แบดบอยแห่งบริหารโพล่งขึ้นทันทีที่เด็กสาวร่างเล็กห้อลับตาไป
“หืม?
ยังไงเหรอครับ?”
“ก็บ๊วยดูเป็นคนใจดี
เป็นห่วงเป็นใย ใส่ใจทุก ๆ คนยังไงล่ะครับ ขนาดกับคนแปลกหน้าอย่างเหนือ บ๊วยยังให้ความช่วยเหลือทั้ง
ๆ ที่ไม่จำเป็นด้วยซ้ำ... น่าเสียดายที่เราไม่ได้เป็นรูมเมทกัน”... ชายหนุ่มไม่ได้พูดจาเพ้อเจ้อแต่อย่างใด เพราะหากเป็นไปได้...
เหนือสมุทรก็หวังให้ตนกับอีกฝ่ายได้เป็นเพื่อนร่วมห้องกันจริง ๆ กระนั้นคนฟังกลับไม่ได้นำพา
“เออ
นั่นสิ... แล้วเมทเหนือล่ะ? ได้เจอกันหรือยัง?” บ๊วยอดสงสัยไม่ได้
เพราะตั้งแต่เริ่มคุยกัน ไม่มีสักครั้งที่เหนือสมุทรจะพาดพิงถึงผู้ร่วมประสบภัยลูกบิดประตูกับไฟโต๊ะอ่านหนังสือชำรุดคนอื่น
ๆ ให้ได้ยิน
“เหนือยังไม่เจอใครเลยครับ
จนตอนนี้ก็ยังไม่มีใครย้ายเข้าเลยสักคน ไม่รู้ว่าเหนือต้องอยู่คนเดียวไปอีกนานเท่าไร”
คนพูดทำหน้าหมองรับรองวาจาตัวเองให้ยิ่งมีน้ำหนัก
“จริง ๆ
ส่วนใหญ่ช่วงที่ผมอยู่ห้องนั้น ผมก็แทบจะอยู่คนเดียวตลอดเวลาเหมือนกัน...
สงสัยห้องนั้นจะมีอาถรรพ์รูมเมทไม่ชอบกลับห้องเสียล่ะมั้งครับ” บ๊วยยกประสบการณ์ตรงของตนขึ้นมาปลอบใจด้วยหวังให้อีกฝ่ายคลายกังวล
ซึ่งวิธีดังกล่าวดูจะได้ผลเป็นอย่างดี... ดีเกินไปเสียด้วยซ้ำ
“หึ หึ...
เหรอครับ ถ้างั้น วันไหนที่บ๊วยว่าง ๆ อย่าลืมแวะมานั่งเล่นที่ห้องเหนือบ้างนะครับ
เหนือจะได้มีเพื่อนคุย” เหนือสมุทรรุกคืบต่ออย่างแนบเนียน แต่คนได้รับเทียบเชิญกลับทำหน้ากระอักกระอ่วนชอบกล
“ขอบคุณที่ชวนครับ
แต่ผมไม่มั่นใจว่...” ประโยคแบ่งรับแบ่งสู้ของบ๊วยยังไม่ทันจบดี ประธานรุ่นชั้นปีที่สองก็ส่งเสียงเรียกดังโหยหวนมาแต่ไกล
นั่นจึงเป็นสัญญาณให้เหนือสมุทรถอยทัพไปหาวิธีตะล่อมเด็กสถาปัตย์ให้รัดกุมขึ้นกว่านี้
“พี่บ๊วย!”
“เหนือว่าวันนี้เหนือกลับก่อนดีกว่า
ท่าทางน้องคงมีเรื่องอยากจะคุยกับบ๊วยเยอะทีเดียว”
“อ้าว!
แต่...”
แฟนอดีตเดือนมหาลัยอดแปลกใจไม่ได้ ไหนอีกฝ่ายยืนกรานว่าอยากแก้ปัญหาห้องชำรุดให้เร็วที่สุดอยู่หยก
ๆ ... แปลว่าจะต้องเจอกันอีกอย่างนั้นเหรอ?!
“ไว้เราไลน์คุยกันก็ได้ครับ
บ๊วยสะดวกไหม?” เหนือสมุทรยังคงไม่ทิ้งลายสุดหล่อผู้เอาแต่ใจ
เพราะแม้จะไม่ได้ออกคำสั่งอย่างเป็นรูปธรรม คำถามล่าสุดก็ไม่เปิดโอกาสให้คนดีขี้เกรงใจปฏิเสธได้ลงคออยู่ดี
“ถ้าผมว่างผมจะพยายามตอบนะครับ”
เด็กเต็กเอ่ยไม่เต็มเสียง กระนั้น... นั่นกลับช่วยยืนยันว่า แผนการของหนุ่มบริหารเริ่มจะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นบ้างแล้ว
“แค่นั้นเหนือก็ดีใจแล้วครับ...
ไว้ค่อยคุยกันนะครับ” เหนือสมุทรเดินผิวปากสวนทางกับเด็กมี่ด้วยทีท่าสบายอกสบายใจ
เอาเถอะ...
ถึงแผนวันนี้จะไม่เป็นไปตามที่ตั้งเป้าเอาไว้ร้อยเปอร์เซนต์ แต่อย่างน้อย สิทธิในการติดต่อกับคนใจดีก็ตกเป็นของเขาด้วยความสมัครใจของเจ้าตัว
ทีนี้ล่ะ... เขาจะออดอ้อนเด็กสถาปัตย์ให้ยิ่งสงสารและเป็นห่วงเขาจนหักใจไม่ได้เลย!
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
“เต๋อ... นี่งานมึงยังไม่เสร็จอีกเหรอ?”
คิวท์บอยในสภาพใส่แต่กางเกงนอนขายาวถามพลางยกแก้วน้ำขึ้นดื่มขณะยืนค้ำหัวอีกฝ่ายที่นั่งตวัดปลายดินสออยู่ตรงโต๊ะเขียนแบบ
“เออ! แต่คืนนี้กูว่าจะพอแล้วว่ะ ไว้ต่อพรุ่งนี้ก็น่าจะทัน”
ตรินละมือจากแบบตรงหน้า นวดหัวคิ้วเบา ๆ ก่อนจะลากสายตาไปเหลือบดูเวลาตรงผนัง “ฟูอ่ะ?”
.
.
.
.
.
.
“ฟูหลับแล้ว”
น้ำเสียงอ้อมแอ้มของเด็กวิศวะบอกหนุ่มร่างหมีให้รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายแอบทำอะไรลับหลังตน
“ไอ้สัดด้วง! ทำตัวนิสัยเสียอีกแล้วนะมึง! ฟูตัวแค่นั้นมึงยังจะเอาแต่ใจอีกเหรอ?” คนพูดลุกพรวดขึ้นแล้วปรายตาลงมองกดดันคนรักหน้าหยกค่าที่ทำผิดข้อตกลงระหว่างกัน
“โห่มึงก็รู้
ทุกทีกูไม่เคยอิ่มเลยนะ” แม้วิญญูจะตอบโต้ด้วยการตัดพ้อเสียงอ่อน ทว่าในใจกลับค่อนแคะอีกฝ่ายไม่เลิกรา...
ถ้าไม่อยากให้ทำตัวเอาแต่ใจ ก็อย่าปล่อยเขาอยู่กับกังฟูสองต่อสองบ่อย ๆ สิ
เต๋อถอนหายใจยาวพลางกล่าวอย่างจริงจัง
“จะยังไงมึงก็ต้องรู้จักพอ ฟูยังปรับตัวไม่ได้... แค่ยอมให้พวกเราทุกวันนี้ ก็สร้างภาระให้กับร่างกายเขามากพอแล้วนะด้วง!”
“มึงก็ต้องเข้าใจกูเหมือนกัน...
กูรักของกูมานาน มึงจะให้กูควบคุมความต้องการภายในวันสองวัน กูจะทำให้มึงได้ยังไง?!”
“ถ้าต้องการจนทนไม่ไหว
มึงก็ชักว่าวแก้ขัดไปดิวะ... หรือมึงอยากให้ฟูนอนซม ไข้แดกไปสามสี่วันเพราะความหื่นไม่บันยะบันยังของมึง?”
คนพูดกอดอกยืนจ้องหน้าแฟนหนุ่มอย่างเอาเรื่อง
“กูก็ไม่ได้อยากให้มันเป็นอย่างนั้นเสียหน่อย
มึงก็พูดเกิ... จิ๊!”
แรงสั่นสะเทือนของโทรศัพท์ในมืออีกข้างทำให้ด้วงต้องละสายตาจากคู่สนทนา ก่อนจะเผลอคว่ำปากพร้อมชักสีหน้าไม่พอใจ
ท่าทางผิดปกติดังกล่าวทำให้เด็กเต็กนึกเอะใจ
“ใครโทรมา?”
“ไม่รู้เวล่ำเวลาแบบนี้จะมีใคร”
คนพูดถอนหายใจพรูอย่างเบื่อหน่ายเพราะไม่รู้จะจัดการกับเจ้าของเบอร์ที่โทรมาอย่างไรดี
“เอามานี่
เดี๋ยวกูคุยเอง” ว่าแล้ว ตรินก็ฉวยมือถือของคนรักไปกดรับสายทันควัน “สวัสดีครับ ผมยังไม่ได้บอกคุณใช่ไหมว่าผมเป็นแฟนด้วง
และผมไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับคนของผม กรุณาเลิกโทรมารบกวนเวลาอันมีค่าของเราเสียทีเถอะครับ...
อ้อ! แล้วก็ช่วยจำด้วยว่า
ต่อให้คุณตามตื๊อแฟนผมให้ตาย เขาก็ไม่มีวันรักใครนอกจากผมคนเดียว สวัสดีครับ”
.
.
.
.
.
“วางไปแล้ว?” คิวท์บอยโพล่งขึ้นทันทีที่หนุ่มร่างหมียกหู
อีกฝ่ายพยักหน้ารับแต่กลับไม่วายมองดุจนชายหนุ่มต้องอุทธรณ์อย่างร้อนรน “เต๋อ...
มึงอย่ามองกูแบบนั้นดิ มึงก็รู้ว่าตอนฝึกงานกูวางตัวยังไง ยิ่งหลังวันที่มึงไปประกาศตัวที่บริษัทพ่อกูว่าเราเป็นอะไรกัน
กูก็ปฏิเสธเขาแบบชัดเจนมาตลอด ที่ผ่านมา กูไม่เคยสนใจ ไม่เคยรับสายเขาเลยนะเว่ย”
“ไม่สนใจ... แล้วมึงจะเอามือถือออกมาทำไม?”
ตรินถามเสียงเข้มจนคนฟังลุกลี้ลุกลน
“ก็มันสั่นไม่หยุด
กูกลัวฟูตื่น!”
“งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้กูพาไปเปลี่ยนเบอร์ใหม่”
เด็กสถาปัตย์เอ่ยรวบรัดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“อือ” ด้วงพยักหน้าหงึกหงักด้วยความเต็มใจ...
ลองว่าเต๋อบัญชามาแบบนี้ มีหรือที่ผู้ตามที่ดีอย่างวิญญูจะแย้งได้ แต่การเห็นดีเห็นงามดังกล่าว
กลับไม่ได้ทำให้ใบหน้าคมเข้มผ่อนคลายลงได้อย่างที่เจ้าตัวเผลอเข้าใจ
“ด้วง...
อย่าให้มีเรื่องแบบนี้อีก กูไม่ชอบ” สิ้นคำ
ตรินก็ก้าวฉับ ๆ ผ่านหน้าเด็กวิศวะเข้าห้องนอนไปคล้ายคนไม่สบอารมณ์
“มาทำไม?” เจ้าของเรือนร่างสูงหนาเปลือยเปล่าใต้สายน้ำถามขึ้นเมื่อเห็นคนรักหน้าหยกเข้ามาหยุดยืนมองเขาอยู่ตรงอ่างล้างหน้า
“กูจะมาขอโทษมึง”
วิญญูตอบด้วยสีหน้าสลด ก่อนจะเสตาหลบประกายความดุดันในแววตาอีกฝ่าย
“เรื่อง?”
“พี่โอ๊ต”
“กูไม่ได้โกรธมึงเพราะเรื่องไร้สาระพรรค์นั้น”
ตรินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบพลางขัดถูตัวอย่างช้า ๆ
โดยไม่ละสายตาจากใบหน้าสำนึกผิดของแฟนหนุ่ม
“แต่ยังไงกูก็อยากขอโทษมึงนะเต๋อ”
ท่าทางไม่แยแสของเต๋อทำเอาคิวท์บอยอยู่ไม่สุข ชายหนุ่มรีบรุดมาหยุดยืนไม่ห่างจากร่างใต้ฝักบัวสักเท่าไร
“มึงจะขอโทษทำไมในเมื่อมึงยังไม่รู้เลยว่ามึงทำอะไรให้กูโกรธ”
“กูขอโทษที่เก็บเรื่องนี้เอาไว้คนเดียว...
กูคิดว่ากูชัดเจนพอและกูน่าจะจัดการได้” ด้วงพยายามอธิบายเหตุผลของตัวเองเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างถ่องแท้
แต่หนุ่มร่างหมีกลับไม่ซาบซึ้ง
“กับคนชอบความท้าทาย
รักการเอาชนะ และสักแต่ทำตามความพอใจของตัวเองเป็นหลักอย่างพี่คนนั้น... ต่อให้มึงทำตัวชัดเจนให้ตาย
ก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอกว่ะ”
“แต่กูไม่อยากให้ทั้งฟู
ทั้งมึงต้องวุ่นวายใจเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องนี่หว่า!” ความน้อยเนื้อต่ำใจทำให้วิญญูโพล่งอย่างเหลืออด...
จะต้องให้เขาคุกเข่าอ้อนวอนขอความเห็นใจก่อนหรืออย่างไร อีกฝ่ายจึงจะยอมรับฟังจุดยืนของเขาเกี่ยวกับการแก้ปัญหาดังกล่าวเสียที?!
“นั่นแหละสาเหตุที่กูโกรธมึง...
ด้วง” ตรินละจากสายน้ำอุ่นเพื่อเดินมาคุยกับคนรักอย่างเป็นกิจลักษณะ
“หืม?!”
“มึงไม่ได้ตัวคนเดียวอีกแล้วนะด้วง
อย่าเก็บปัญหาเอาไว้แล้วพยายามแก้ไขคนเดียวเหมือนที่ผ่านมาดิวะ มึงมีฟู
มีกูอยู่อีกตั้งสองคนนะเว่ย!”
มือหนาเปียกปอนเคลื่อนมาประคองหัวไหล่ทั้งสองของเด็กวิศวะหน้าหยกเอาไว้
ก่อนที่แรงบีบเบา ๆ จะทำให้เขาได้ตระหนัก “เต๋อ กูขอโทษ”
“ไม่เอา
ไม่ขอโทษแล้ว” เจ้าของประโยคส่งยิ้มปลอบใจให้คนรัก จากนั้นจึงใช้ปลายนิ้วเขี่ยแก้มของอีกฝ่ายเบา
ๆ คล้ายหยอกเย้าพลางเอ่ย “ถ้าไม่อยากให้กูโกรธ ก็ปรับปรุงตัวเสียใหม่... กูขอแค่นี้
ทำให้กูได้ไหม?”
.
.
.
.
.
.
“...อือ...
กูจะพยายาม” วิญญูกล่อมตัวเองให้เชื่อว่า ความรู้สึกโล่งใจหลังจากคืนดีกับเต๋อได้
คือต้นเหตุที่ทำให้ใบหน้าของเขาเห่อร้อน หาใช่อย่างอื่น... แต่ดูเหมือนชายหนุ่มจะออกตัวช้าเกินไป เพราะกว่าจะรู้สึกตัว
สติสตังของเขาก็โดนไอ้หมียักษ์เล่นงานเข้าอย่างจัง
“ดี! งั้นก็ออกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว หัวหูเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำแล้วมึงน่ะ”
“...”
“อ้าว! ยัง! ยังจะยืนอยู่อีก!... หรือมึงอยากดูกูขัดจรวดใกล้ ๆ ?”
วาจา สีหน้า
สายตา และทุก ๆ อย่างที่เป็นเต๋อค่อย ๆ แปรเปลี่ยนภาพเคลื่อนไหวเชื่องช้า...
อย่างน้อย ๆ
ก็อืดอาดยืดยาดยิ่งกว่าคำพูดล่าสุดที่เพิ่งหลุดจากปากด้วงก็แล้วกัน
“...ให้กูช่วยไหม?...”
“!!!”
สีหน้าตกใจของเต๋อทำให้วิญญูอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี
ช่วงเวลากระอักกระอ่วนแบบนี้ คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการหลบฉากอย่างรวดเร็วอีกแล้ว “เอ่อ
กูว่ากูออกไปก่อนดีกว่า!”
กระนั้น แทนที่เมื่อหมุนตัวตั้งท่าจะออกเดินให้พ้น
ๆ กรอบสายตาอีกฝ่าย ช่วงเอวด้วงกลับถูกวงแขนฉ่ำแฉะกางกั้นเอาไว้จนเบี่ยงตัวไปไหนไม่ได้อีก
ลมหายใจร้อนระอุของคนตัวเปล่าพ่นรวยรินราดรดลงกระทบผิวอ่อนตรงต้นคอเรียกความรู้สึกตะครั่นตะครอให้พลุ่งพล่านได้เป็นอย่างดี
ไหนจะสัมผัสเปียกชื้นระคนอุ่นซ่านจากการประกบแผ่นหลังกับร่างเปียกปอนไร้อาภรณ์ขวางกั้นนั่นอีกล่ะ
ทว่าทั้งหลายที่ว่ามานั้นกลับเทียบไม่ได้กับถ้อยจำนรรจาที่ต่อให้ไม่ได้ประสานสายตา
วิญญูก็รู้ได้ทันทีว่า ความปรารถนาอันแรงกล้าด้วยฤทธิ์ของตัณหากำลังลุกโชนในแววตาของอีกฝ่ายมากมายเพียงใด
“ก็เอาสิ
แต่ถ้ามึงทำไม่ดี... กูไม่มีวันปล่อยมึงออกจากห้องน้ำไปง่าย ๆ แน่ ๆ ด้วง” ไม่รอให้ขาดคำ
ตรินก็บังคับให้หนุ่มหน้าหยกเริ่มลงมือ ‘ทำ’ ในสิ่งที่เจ้าตัวได้ยื่นข้อเสนอไว้โดยพลัน
“กูรู้แล้วล่ะว่าถ้าครั้งหน้าที่ไอ้เหี้ยพี่โอ๊ตนั่นโทรมา
กูจะบอกมันยังไง รับรอง... แม่งต้องม้วนเสื่อกลับบ้านแทบไม่ทัน”
เต๋อเอ่ยอย่างอารมณ์ดีระหว่างที่เขาและคนรักต่างกำลังเช็ดตัวให้แห้งอยู่ตรงอ่างล้างหน้า
แน่นอนว่าคำพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจของอีกฝ่ายย่อมดึงดูดความสนใจของด้วงได้เป็นอย่างดี
“หืม?!
มึงจะบอกอะไรเขาวะ?” คิวท์บอยถึงกับหยุดเช็ดผมเพื่อจ้องหน้าเด็กเต็กอย่างตั้งใจ ก่อนจะแทบล้มหน้าหงายเมื่อได้ฟังคำเฉลยกลั้วรอยยิ้มของพ่อหมีใหญ่ในอึดใจให้หลัง
“หึ! กูจะบอกแม่งว่า เมียกูไม่เล่นเบี้ยน”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้เรียนเสร็จกูจะไปเปลี่ยนเบอร์!” ได้ยินดังนั้น ด้วงจึงเอ่ยสวนทันควันอย่างลืมตัว
“ดีมากเมียรัก!” ว่าแล้ว หนุ่มร่างหมีก็คว้าไหล่ด้วงมาใกล้
ก่อนจะกดจูบข้างขมับอีกฝ่ายแรง ๆ คล้ายกับให้รางวัล ส่วนคนที่ไม่ทันระวังกลับทำได้แค่ผลักอกตรินออกห่างก่อนจะมองตาขวางทั้งที่หน้าแดงจัด
“เมียเหี้ยอะไร?
ลามปามใหญ่แล้วนะมึง!” วิญญูชี้หน้าคู่สนทนาอย่างเหลืออด...
มันจะมากเกินไปแล้วนะ แค่หลวมตัวใช้มือให้ครั้งเดียว อย่ามาเที่ยวเปลี่ยนสถานะคนอื่นตามใจชอบแบบนี้สิ!!!
“หราาาา”
เต๋อลอยหน้าลอยตาพลางจงใจลากเสียงเอ่ยล้อเลียนแฟนหนุ่มโดยไม่คิดยี่หระ
ก่อนจะระเบิดหัวเราะปิดท้ายพลางเดินตัวเบาออกจากห้องน้ำไปอย่างผู้มีชัยเหนือกว่า
«♥»------------------------------------ TBC ------------------------------------ «♥»
No comments:
Post a Comment