Monday, May 9, 2016

«♥» บน บานฯ สาน รัก «♥» The 18th Bonding|| 09.05.2015


เรื่องราวความรักของสารินกับแนนใกล้จะปิดฉากแล้วนะคะ
หลังจากนี้จะว่าด้วยความรักของคู่หลักในภาคที่แล้วรวมถึง 3P ล้วน ๆ
ใครยังไม่ได้กรีดร้องกับความหมีขาวและความแนนก็รีบ ๆ ทำนะคะ
เพราะคงจะไม่ได้เจอสองหนุ่มในฐานะศิลปินหลักไปอีกนานเลย ^^
(คิดแล้วก็ใจหาย สงสารสกลที่จะไม่มีบท โดนพี่ฌานมองแรงใส่ ฮ่า ฮ่า ฮ่า)

ติดตามข่าวสารการลงนิยายได้ที่เพจ
รักชอบประการใด ฝากความเห็นไว้ให้เราอ่านหน่อยโนะ ^^



«»------------------------------------------------------------------------------------«»



The 18th Bonding
 โกหกทำไม? ปดไปอาจเศร้าเหงาทรวง...




“ใกล้ถึงบ้านแล้วครับม่า...
.
.
...รินขอโทษจริง ๆ ครับที่ต้องพาน้องกลับมาดึกขนาดนี้ พอดีน้องเพิ่งทำงานเสร็จ รินกลัวอาทิตย์หน้าน้องจะไม่ได้พักผ่อนอีก รินเลยไม่เร่งน้องน่ะครับ...
.
.
...คืนนี้น้องนอนกับรินครับ พรุ่งนี้พอน้องกินข้าวเช้าเสร็จรินจะพาน้องไปส่งที่บ้านนะครับ...
...ครับม่า รินจะเคลียร์ทุก ๆ เรื่องกับน้องให้จบภายในพรุ่งนี้ครับ...
...รินสัญญาครับม่า...
.
.
...ห๊ะ?! ป๊ากับม้าอยากให้รินอยู่กินข้าวที่บ้านด้วยกันเหรอครับ?...
...ครับ ๆ ได้ครับม่า รินจะพยายามอธิบายทุก ๆ เรื่องกับน้องให้ได้ข้อสรุปที่ม่าต้องการอย่างแน่นอนครับ...
...ราตรีสวัสดิ์ครับม่า”

บทสนทนากับอาม่าใหญ่ที่เพิ่งจบไปทำให้ร่างหนาหลังพวงมาลัยถอนหายใจหนัก ๆ อยู่หลายครั้งขณะค่อย ๆ ชะลอความเร็วของรถ พลางกดรีโมทเปิดรั้วหน้าบ้านและถอดบลูทูธออกจากใบหู ก่อนจะเลื่อนฝ่ามือไปลูบไล้พวงแก้มเด็กน้อยซึ่งคู้ตัวหลับอยู่ตรงเบาะข้าง ๆ อย่างนุ่มนวล


“แนนครับ ถึงแล้วครับ”

“...ฮื่อออ...” เจ้าของชื่อปรือตาพร้อมกับส่งเสียงครางเบา ๆ แล้วจึงคว้ามือของสารินมาซุกแนบใบหน้าแล้วหลับตาลงอีกหนอย่างไม่สนใจใคร ว่าที่นายสัตวแพทย์จึงยืดเวลาให้เด็กน้อยได้ฝันหวานต่ออีกนิดหน่อยด้วยการถอยรถเข้าจอด ดับเครื่อง ขนกระเป๋าและข้าวของลงจากรถเพื่อเอาเข้าไปเก็บในบ้าน จากนั้นจึงเดินอ้อมไปเปิดประตูหน้ารถอีกฝั่งแล้วเขย่าตัวปลุกตุ๊กตาหน้ารถให้หลุดจากนิทราอย่างเป็นกิจลักษณะ

“ตื่นก่อนครับแนน ขึ้นไปนอนต่อที่ห้องพี่นะครับ” เด็กปีสามรั้งต้นแขนน้องให้เปลี่ยนอิริยาบทจากนอนเป็นนั่งอย่างไม่มีทางเลือก

“ถึงบ้านพี่รินแล้วเหรอ?” คนโดนปลุกอ้าปากหาวหวอด พลางเลื่อนแว่นขึ้นขยี้ตาแบบไม่ปรานีปราศรัยจนคนเป็นพี่ร้อนใจถึงขั้นคว้ามือเด็กน้อยไปกุมไว้เพื่อห้ามปราม

“ครับ ไปครับ... ฝืนใจลืมตาแป๊บนึงนะครับ” แค่ได้ยินเด็กน้อยงึมงำรับไม่เป็นคำ สารินก็ประคองร่างก๋องแก๋งให้ออกเดินเข้าสู้ด้านในตัวบ้านทันที  




“โธ่แนน... ทำไมต้องโหมทำการบ้านหามรุ่งหามค่ำแบบนี้ด้วยล่ะลูก?!” มุ่ยฟ้าที่รอท่าเจอหน้าทั้งสองหนุ่มอยู่หลังบานประตูเหล็กดัดบ่นคนงัวเงียด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงระคนอ่อนใจ

สัมผัสของฝ่ามืออบอุ่นที่ลูบแผ่นหลังของตนครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้เด็กเต็กรีบเช็ดคราบน้ำตาแล้วยกมือไหว้พร้อมเอ่ยทักทายย่าของว่าที่หมอหมาอย่างรีบร้อน “สวัสดีครับม่า”

หญิงชราจับมือที่กระพุ่มไหว้หล่อนเอาไว้แล้วบีบเบา ๆ ก่อนจะหันไปสั่งความหลานชายตัวเองด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “ตาริน ของอะไรที่ไม่จำเป็นก็ทิ้งไว้นี่แหละ พรุ่งนี้ค่อยลงมาขน รีบพาน้องขึ้นไปนอนก่อน ม่าทำความสะอาดห้อง เปลี่ยนผ้าปูที่นอนไว้ให้แล้ว ดูซิ... น้องตาจะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่อยู่แล้วเนี่ย”

“ขอบคุณครับม่า” อาการเห่อหลานชายคนใหม่ของอาม่าที่ชักจะหนักข้อขึ้นทุกวันทำสารินอมยิ้ม... นี่ถ้าเขาพาน้องมาที่บ้านบ่อย ๆ อีกหน่อยเขาคงจะตกอันดับกลายเป็นแค่คนขับรถไป กลับให้น้องเสียล่ะมั้ง

“ไปลูก ไปนอนกันก่อนเถอะ พรุ่งนี้เช้าค่อยคุยกัน”

“ครับม่า” คุณย่ารุนหลังหนุ่มแว่นที่ยังคงยกมือไหว้ขอบคุณหล่อนค้างมาตั้งแต่แรกพบให้ก้าวขึ้นบันไดพลางบุ้ยใบ้ให้หลานชายรับช่วงต่อ




“พี่ริน แนนยืมผ้าเช็ดตัวกับชุดนอนหน่อยสิ” สกลเอ่ยขึ้นทันทีที่ขาทั้งสองก้าวเข้าสู่ห้องนอนชั้นสามของหลานชายเจ้าของบ้าน  สารินแปลกใจกับคำขอของน้องไม่น้อย เพราะโดยปกติ หากอีกฝ่ายง่วงจนตาใกล้ปิด เจ้าตัวมักจะงอแงต่อรองขอแค่ซักแห้งกับแปรงฟันก่อนปีนขึ้นเตียงเท่านั้น  

“หืม?! จะอาบน้ำเหรอครับ?”

“ครับ”

“นึกยังไงถึงจะอาบน้ำล่ะครับ? ไม่สบายตัวเหรอ?” ชายหนุ่มเลิกคิ้วขณะรอฟังเหตุผลของอีกคนอย่างตั้งอกตั้งใจ

“เปล่า แนนไม่อยากให้ที่นอนพี่รินเปื้อน ม่าอุตส่าห์ลำบากเตรียมไว้ให้” ได้ยินดังนั้น สารินจึงไม่คิดขัดศรัทธา ชายหนุ่มปลีกตัวไปหยิบข้าวของที่น้องต้องการแล้วเดินกลับมาประเมินความพร้อมของคู่สนทนาอีกคำรบ

“แนนไม่ง่วงแล้วหรือครับ?”

“ง่วง... แต่ก็จะอาบ” คนเห็นผีถูหน้าไล่ความง่วงงุนพลางฉวยกองผ้าในอ้อมกอดของคนเป็นพี่แล้วหมุนตัวจากไป สารินอมยิ้มระหว่างเลื่อนสายตามองตามเรือนร่างของเด็กน้อยหัวไข่ค่อย ๆ เดินหายลับเข้าห้องน้ำ... เพราะน้องเป็นอย่างนี้กับทุกคนที่ใส่ใจ มิน่าล่ะ... ทั้งย่าเล็กย่าใหญ่ถึงได้ทั้งรักทั้งหลงเด็กน้อยของเขากันหัวปักหัวปำ




“ทำไมยังไม่นอนอีกครับ? แปลกที่เหรอ?” หมีขาวซึ่งเพิ่งอาบน้ำเสร็จเอ่ยถามเด็กน้อยที่ยังคงนั่งมองตามเขาตาแป๋วจากปลายเตียงไม่ผิดจากเมื่อไม่กี่นาทีก่อนที่เขาจะเข้าไปชำระร่างกาย  

“เปล่า แนนรอพี่อยู่” ว่าแล้วก็ตบที่ว่างข้าง ๆ ตนเบา ๆ แล้วกวักมือเรียกพี่ปีสามให้เข้ามาหา “พี่รินมานั่งนี่มา!

แม้จะสงสัย แต่สารินก็ยอมทำตามคำขอของอีกฝ่ายแต่โดยดี หลานอาม่าใหญ่คว้าผ้าขนหนูในมือรุ่นพี่มาถือเอาไว้ ขณะเดียวกันก็ยืดตัวขึ้นนั่งบนเข่าแล้วเริ่มลงมือเช็ดไรผมเปียกชื้นตรงต้นคอให้พ่อหมีขาวอย่างคล่องแคล่วทั้งที่ไม่เคยปรนนิบัตรใครเช่นนี้มาก่อน


“ขอโทษนะที่แนนเอาแต่หลับเลยไม่ได้นั่งเป็นเพื่อนพี่ขับรถกลับมานี่” เด็กเต็กพูดด้วยความรู้สึกผิดท่วมท้น  

“ไม่เป็นไรครับ พี่เข้าใจ ถ้าต้องทำงานส่งอาจารย์ดึก ๆ ดื่น ๆ ติด ๆ กันทุก ๆ คืน ร่างกายก็ต้องเหนื่อยสะสมเป็นธรรมดา” ว่าที่หมอหมาตอบไปก็ยิ้มไปเพราะไม่คาดฝันว่าอีกฝ่ายจะตั้งใจนั่งรอเขาเพื่อทำอะไรแบบนี้ให้... เด็กน้อยของเขาช่างน่ารักเสียจริง!

“แต่ยังมีคนที่เหนื่อยกว่าแนนเยอะเลยนะ... ดีไม่ดี อาจจะเหนื่อยกว่าแนนเป็นสิบ ๆ เท่าเลยแหละ!

“หืม?!” ชายหนุ่มรุ่นพี่เหลียวมองคนพูดพลางคาดคั้นด้วยสายตาเคืองขุ่นว่ากำลังเอ่ยถึงใคร... ยังมีใครหน้าไหนในโลกนี้ที่ทุ่มเทมากมายจนได้ใจน้องขนาดต้องเก็บมาเล่าให้เขาฟังฉอด ๆ ได้อีก?!

“นี่ไง... คนนี้ไง” สกลเฉลยด้วยรอยยิ้มกว้างพลางใช้ปลายนิ้วจิ้มอกสารินจึ๊ก ๆ ก่อนจะยู่หน้าทำท่าดุใส่หมีโพลาร์ในเสี้ยววินาทีให้หลัง “คิดว่าตัวเองเป็นยอดมนุษย์หรือไง ดึกแค่ไหนก็ไม่ยอมหลับยอมนอน!... แนนบอกกี่ทีแล้วว่าถ้าคืนไหนดึก ก็ไม่ต้องมานั่งถ่างตารอกู้ซากแนนกลับไปนอนที่ห้องด้วยหรอก ปล่อยแนนนอนอืดตามซอกตามหลืบห้องพี่ฌานนั่นแหละ คนอื่น ๆ เขาก็นอนกันถมเถ ไม่เห็นจะเป็นไร... ดื้อ! พี่รินนี่ดื้อจริง ๆ แนนพูดไม่เคยฟัง!

“เราคุยกันเข้าใจแล้วไม่ใช่เหรอครับว่ายังไงพี่ก็จะรอ” หากวิถีบทสนทนาเกิดเอี่ยวหัวข้อว่าด้วยการทำงานหามรุ่งหามค่ำจากเย็นย่ำยันฟ้าสางของน้องเข้าเมื่อไร สารินมักจะทำหน้ามึนเลือกความสบายใจเหนือเหตุผลร้อยแปดที่อีกฝ่ายยกขึ้นมาหว่านล้อมตนทันควัน และเหมือนทุกทีที่ถกเถียงกัน หลานอาม่าใหญ่ก็มักจะทำได้แค่ทอดถอนใจกับความเอาแต่ใจของรุ่นพี่ตัวโตซ้ำแล้วซ้ำเล่า  

“พี่ริน... พี่รินฝืนตัวเองเกินไปหรือเปล่า? พี่รินไม่เหนื่อยบ้างเลยหรือไง? อาทิตย์ที่ผ่านมาพี่รินได้นอนน้อยกว่าแนนอีกนะ” เมื่อเห็นว่าเส้นผมของสารินเริ่มพลิ้วไหว เด็กเต็กหัวไข่ก็วางมือจากภารกิจในมือ หนุ่มแว่นลดตัวลงนั่งจ้องเสี้ยวหน้าได้รูปของรุ่นพี่ด้วยความเป็นห่วง

“พี่รู้ขีดจำกัดของตัวเองดีครับ... ถ้าเหนื่อย พี่จะไม่ฝืน ตกลงนะครับ” เด็กสัตว์แพทย์รวบรัดอย่างหนักแน่น  
“แต่นาน ๆ มันจะไม่ดีกั...”
“พี่นอนไม่หลับหรอกครับถ้าแนนไม่นอนด้วย!” สารินไม่รอให้น้องพูดจบ ชายหนุ่มยุติความกังวลของเด็กน้อยด้วยการเผยความรู้สึกอันรุนแรงที่เริ่มจะคุกคามความสามารถในการเข้านอนเพียงลำพังของตนให้ถดถอยลงทุกวัน ๆ ... ทั้งที่เมื่อก่อนเขาเคยคิดว่า การนอนเป็นเรื่องง่ายแท้ ๆ

“หึ! สงสัยพรุ่งนี้คนแถวนี้จะไม่ได้นอน” สกลประชดพลางแสยะยิ้มใส่อีกฝ่ายค่าที่หมั่นไส้คำตอบของสารินเสียเต็มประดา... จะบ้าเหรอ? ทีเขายังนอนได้นอนดีนอนได้ทุกที่ทุกเวลา หมีขาวนี่เอะอะเว่อร์ตลอด ๆ !

“ถ้างั้น พรุ่งนี้... ขอพี่ตามไปนอนกับแนนที่บ้านด้วยคนได้ไหมล่ะครับ?” ถ้าเป็นคนอื่นคงดีดดิ้นเดือดร้อนเพราะถ้อยคำคนรัก แต่สารินกลับทึกทักเอาว่าอีกฝ่ายเปิดโอกาสให้ตนเต๊าะต่อได้ จึงไม่แปลกหากเด็กเต็กหัวไข่แทบจะโก่งคอพ่นไฟใส่ว่าที่นายสัตวแพทย์อยู่รอมร่อ  

“อีกแล้ว เรื่องนี้อีกแล้ว! ถามจริง... นี่พี่รินไม่กลัวป๊าแนนคว้าลูกซองมายิงเป่าสมองสักนิดเลยหรือไง?”

นอกจากเรื่องที่ต้องอดตาหลับขับตานอนเป็นเพื่อนตนแล้ว การเปิดตัวกับครอบครัวพงษ์พินิจรุ่งโรจน์ก็ไม่ใช่หัวข้อสนทนาแปลกใหม่ที่สารินมักจะหาช่องพูดคุยกับหนุ่มแว่นอยู่เกือบตลอด ไม่สิ... อันที่จริงต้องบอกว่า หลังจากหนุ่มรุ่นน้องได้พบปะกับคุณย่าและหมีพ่อโดยพร้อมเพรียงไปเมื่อวันเสาร์ที่แล้ว หมีลูกก็ตั้งหน้าตั้งตาหาฤกษ์เข้าพบบุพพการีของสกลรัว ๆ ทั้งที่เด็กเต็กย้ำนักย้ำหนาว่า ครอบครัวเขาอาจจะรับความจริงข้อนี้ไม่ได้


“ถึงพี่จะเกรงใจป๊าแนน แต่จะเร็วจะช้ายังไง สุดท้ายพี่ก็ต้องไปกราบท่านอยู่ดีไม่ใช่เหรอครับ?” สารินพยายามต้อนน้องให้จนมุม แต่อีกฝ่ายก็ยืนกรานกระต่ายขาเดียวไม่ต่างไปจากทุกทีที่ทั้งสองคุยเรื่องนี้กัน

“ก็จริง... แต่ยังไงก็ต้องไม่ใช่พรุ่งนี้!” สีหน้าเศร้าหมองของว่าที่หมอหมาทำเอาคนเป็นน้องต้องรีบอธิบายตัวเองให้จ้าละหวั่น “ฮื่อออพี่ริน ก็แนนบอกพี่รินหลายครั้งแล้วไงว่าแนนขอเวลาทำใจอีกนิด! แนนไม่รู้จริงๆ ว่าแนนจะเริ่มพูดเรื่องนี้กับที่บ้านยังไง แนนกลัวว่าพอบอกไปแล้วทุกคนจะรับเรื่องของเราสองคนไม่ได้ ขนาดกับม่าที่แนนเล่าให้ฟังได้ทุกเรื่อง แนนยังไม่กล้าเสี่ยงคุยเรื่องพี่รินด้วยเลย”

“ทำไมล่ะครับ? ม่าแนนอาจจะโอเคเหมือนม่าพี่ก็ได้นะ” ต่อให้อยากบอกเล่าทุก ๆ เรื่องราวเบื้องหลังให้น้องฟังใจจะขาด แต่หากเด็กน้อยยังไม่แสดงจุดยืนด้านความสัมพันธ์ระหว่างเขาทั้งคู่อย่างชัดเจน สารินก็เลือกที่จะเก็บงำความลับดังกล่าวเอาไว้กับตัวจนกว่าจะได้ยินสิ่งที่ต้องการ

“โห่... ไม่เอาหรอกพี่ริน! เกิดม่าสั่งให้แนนเลิกกับพี่ แนนต้องเฮิร์ทตายแหง ๆ เลยอ้ะ” หนุ่มแว่นบ่นกระปอดกระแปดเมื่อยิ่งนึกภาพตาม ก็ยิ่งทำให้ใจหัวเขาฝ่อไปกันใหญ่

“แต่ถ้าเราไม่บอกพวกท่าน จะไม่เท่ากับว่าเราสองคนกำลังหลบเลี่ยงปัญหาอยู่เหรอครับ?”

“หึ! ไม่หรอก” คนเห็นผีส่ายหัวดิกพร้อมกับพูดอธิบายแนวทางของตัวเองอย่างแน่วแน่ “แนนตั้งใจว่ากลับบ้านไปคราวนี้ แนนจะลองแย็บ ๆ ถามดูท่าทีทุก ๆ คนก่อนน่ะ ถ้าแววดี... แนนจะพาพี่รินไปแกรนด์โอเพนนิ่งกับป๊าม้า อาม่า พี่เม่ย และปีเตอร์ให้ไวเลย”
“แล้วถ้าเกิดแววไม่ดีล่ะครับ?”
“...ง่าาาา... ไม่ดราม่าได้ไหมอ่ะ แนนเครียดนะ... ไม่ใช่ไม่เครียด” เด็กเต็กชักสีหน้า จิกตา และทำปากบึนใส่ หวังให้คนโตกว่ายอมรามือแต่โดยดี แต่สารินกลับดื้อกว่าที่คิด

“พี่ว่าพรุ่งนี้แนนพาพี่ไปแนะนำตัวกับทุก ๆ คนในบ้านเลยดีกว่าครับ เดี๋ยวพี่จะออกหน้าเจรจากับป๊าและอาม่าของแนนเอง  รับรองว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย”

สารินไม่มีทางเลือกมากนักหลังจากอาม่าใหญ่ยื่นคำขาดกับเขาเมื่อไม่ถึงชั่วโมงก่อน เด็กสัตว์แพทย์ปีสามจึงหวังใช้สถานการณ์คับขันเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาของเด็กน้อยให้ยอมรับความสัมพันธ์ของพวกเขาอย่างเป็นทางการเสียที  พรุ่งนี้... น้องจะต้องพาเขาเข้าบ้านในฐานะแฟนเท่านั้น!  

แม้จะรู้สึกติดใจสงสัยขึ้นมาตงิด ๆ  แต่เมื่อคนเห็นผีสัมผัสได้ถึงความขึงขังในน้ำเสียงและแววตาของหมีขาว หนุ่มแว่นก็กระชากอารมณ์ปรับเปลี่ยนคำพูดคำจาให้อ่อนหวานชวนหวั่นไหวแทนจะไฝว้กันซึ่ง ๆ หน้า “ฮื่อออ พี่ริน พี่รินอย่าใจร้อนซี่... นะ ขอแนนลองทำตามวิธีที่แนนคิดก่อนนะ นะครับ”

“แต่พี่ไม่สบายใจเลยนะครับถ้าแนนต้องปิดบังเรื่องของเรากับที่บ้านแบบนี้ พี่รู้สึกเหมือนพี่เป็นตัวปัญหามากกว่...”

“...ฮ้าววว!... แนนง่วงแล้ว ไว้คุยต่อพรุ่งนี้ได้ไหมครับ?” ชายหนุ่มรุ่นน้องเอ่ยแทรกโดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบก่อนจะปิดท้ายด้วยการช้อนตามองออดอ้อนตลบหลัง... เชื่อเถอะว่าเขายังทำได้มากกว่านี้  

“แต่แนนครับ พี่ยังมีอีกหลายเรื่องเลยนะที่ต้องคุยกับแนนให้รู้เรื่องก่อนแนนกลับถึงบ้านพรุ่งนี้น่ะ” หมีขาวเริ่มออกอาการลุกลี้ลุกลน แต่คนที่เดินเกมเหนือกว่า ยังคงเป็นหลานอาม่าใหญ่

“น่า นะ นะ... ค่อยคุยพรุ่งนี้ทีเดียวแล้วกันนะพี่ริน คืนนี้น้องง่วงแล้ว” เจ้าของเสียงเสนาะแสร้งหาวยืดยาวพลางทอดตัวลงนอนหนุนตักแน่น ก่อนหลับตาพริ้มจนมุมปากของสารินยกขึ้นยิ้มตามอย่างช่วยไม่ได้  

“ครับ ๆ นอนก็นอนครับ”


«»------------------------------------------------------------------------------------«»


“พี่จูหวัดดีครับ... แนนครับ นี่พี่จูครับ... พี่จูช่วยม่าพี่ดูแลบ้าน ดูแลพี่มาตั้งแต่พี่ยังเป็นเด็ก ๆ น่ะครับ” สารินแนะนำเด็กน้อยให้ทำความรู้จักกับสมาชิกเก่าแก่อีกหนึ่งคนของบ้าน คนเห็นผีในสภาพสดใสหลังจากได้พักผ่อนจนเต็มตาก็ตั้งหน้าตั้งตาแสดงความเคารพอีกฝ่ายอย่างเต็มอกเต็มใจ  

“สวัสดีครับพี่จู ผมชื่อแนนครับ”

“สวัสดีค่ะน้องแนน” คนพูดยิ้มหวานพร้อมรับไหว้ชายหนุ่มก่อนจะหันกลับไปเฝ้าหม้อใบใหญ่เหนือเตาแก๊สข้าง ๆ หล่อน

“อาม่าล่ะครับพี่จู?” สารินตั้งคำถามหลังจากไร้เงาของผู้เป็นย่าทั้งที่เวลาก็จวนจะสิบโมงเต็มที

“อ๋อ อาม่าออกไปทำธุระกับเพื่อนที่ชมรมไทเก็กเมื่อกี๊เองค่ะ... น้องริน น้องแนนไปนั่งรอที่โต๊ะเลยค่ะ เดี๋ยวพี่อุ่นน้ำแกงเสร็จแล้วจะยกไปให้” จูให้คำตอบพร้อมเชื้อเชิญเสร็จสรรพ เจ้าของบ้านจึงฉุดข้อมือน้องให้เดินตามกันไปที่โต๊ะ

ว้า! อย่างนี้แนนก็ไม่ได้กินข้าวเช้ากับม่าเลยสิ... ม่าอุตส่าห์ชวนแนนเสียดิบดีตั้งแต่เมื่อต้นอาทิตย์แท้ ๆ เสียดายอ่ะ” หนุ่มแว่นกระซิบกระซาบบ่นกับสารินด้วยความเสียดาย ว่าที่นายสัตวแพทย์จึงรีบมัดมือชกอีกฝ่ายโดยพลัน

“ไว้วันหลังก็ได้ครับ ยังไงพี่ก็จะพาแนนกลับมากินข้าวกับม่าบ่อย ๆ อยู่แล้วล่ะ”

“ก็ได้” เด็กเต็กรับคำง่าย ๆ โดยไม่ทันรู้ตัวเลยว่า โลกใบเล็ก ๆ ที่เคยหมุนรอบบรรดาสหายและหมู่หมาในวิทยาเขตของตนกำลังจะเปลี่ยนวงโคจรไปทีละนิดเสียแล้ว

“แนนนั่งรอพี่แป๊บนะ เดี๋ยวพี่ไปหยิบน้ำมาให้”

“โอ้โห! ปกติอาม่าทำกับข้าวเยอะขนาดนี้ตลอดเลยเหรอครับ? กินกันกี่วันจะหมดเนี่ย?” สกลทำตาโตพลางส่งเสียงอย่างตกอกตกใจเมื่อเห็นสำรับกับข้าวที่จูค่อย ๆ ทยอยนำมาวางเรียงตรงหน้าจนแทบมองไม่เห็นโต๊ะ

“เพราะวันนี้คนพิเศษมากินข้าวที่บ้านยังไงล่ะครับ ม่าเลยทำอาหารเยอะกว่าปกติ” เจ้าบ้านตะโกนตอบอย่างอารมณ์ดี  ส่วนคนฟังที่อยู่ ๆ ก็มีริ้วเลือดฝาดวิ่งปรู๊ดขึ้นไปกองอยู่บนใบหน้ากลับทำได้แค่นั่งอ้าปากพะงาบ ๆ ตอบรับความเปิดเผยของคนเกิดก่อนอย่างไม่มีทางต่อสู้  รู้ดังนั้น สารินจึงรีบเดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมกับน้ำเย็นและแก้วสองใบก่อนจะไพล่ไปพูดเรื่องอื่นกลบเกลื่อน  

“กินเยอะ ๆ นะครับ ไม่งั้นม่า ป๊า กับพี่จูคงต้องทนกินกับข้าวพวกนี้ไปตลอดอาทิตย์หน้าแน่ ๆ ”

“โห... แต่มันเยอะมากเลยนะพี่ริน กินหมดนี่ก็ไม่ต้องเลี้ยงกันแล้ว!” เด็กเต็กกวาดตามองอาหารบนโต๊ะอย่างหวาด ๆ

“หึ หึ ต่อให้แนนกินหมดเรียบ พี่ก็ยังยืนยันว่าพี่เลี้ยงแนนไหวนะครับ” หมีขาวยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างพึงพอใจ ในขณะที่อีกฝ่ายกลับรุ่มร้อนคล้ายโดนน้ำมันก๊าดราดแล้วจุดไฟเผาร่าง
พี่จูยืนอยู่ตรงนี้เอง พูดมาได้... ไม่อายบ้างหรือไง?!” สกลลดเสียงแผ่วแล้วชะโงกหน้าเข้ากรรโชกใส่เจ้าบ้านที่นั่งตาใสไม่รู้ไม่ชี้อย่างเกรี้ยวกราด แต่มีหรือที่สารินจะถือสา
“พี่พูดความจริง พี่จะอายทำไมล่ะครับ?”
จิ๊! พี่รินไม่อาย แต่แนนอายนี่!

“อาม่าบอกว่าให้น้องรินกับน้องแนนช่วยกันเหมาน้ำแกงให้หมด เพราะหม้อนี้อาม่าตั้งใจเคี่ยวให้กินโดยเฉพาะ... ถ้ามีอะไรเรียกพี่ได้นะคะ... พี่รีดผ้าอยู่ชั้นลอยนี่เองค่ะ” จูผู้โผล่เข้ามาห้ามศึกสั่งความพลางพยายามทำหน้านิ่งเหมือนไม่รู้ แต่แววตาของหล่อนกลับดูแวววาววิบวับเมื่อมองหน้าสารินสลับกับสกลไปมา

“ขอบคุณครับพี่จู” ว่าที่นายสัตวแพทย์หนุ่มถึงกับหลุดหัวเราะเสียงดังกับท่าทางของมือขวาอาม่า และหัวเราะร่าเมื่อเห็นน้องมองค้อนตัวเองจนตาแทบจะหลุด  แต่แล้วถ้วยต้มจืดขนาดน้อง ๆ อ่างล้างหน้าก็สามารถเบรคอารมณ์ประหม่าของเด็กเต็กได้ชะงัดนัก

“พี่ริน เราจะกินน้ำแกงหมดได้ไงอ่ะ? ถ้วยตั้งเบ้อเริ่ม!

“แนนลองชิมดูก่อนสิครับ รับรอง กินเดี๋ยวเดียวก็หมด” เพราะเห็นคนเป็นพี่ชี้ชวนด้วยสีหน้าภูมิใจ สกลจึงตัดสินใจลิ้มลองเมนูที่ว่าอย่างไม่อิดออด

“หือออ! อร่อยมากกก! อร่อยพอ ๆ กับที่ม่าแนนทำให้กินเลยอ่ะพี่ริน!” คนเห็นผีทำหน้าทำตาสอดรับกับวาจาได้อย่างเหมาะเหม็ง

“ถ้าอร่อยก็กินเยอะ ๆ ครับ ม่าจะได้ดีใจ” สารินยิ้มพลางจัดแจงบริการตักอาหารอย่างละนิดละหน่อยให้น้องทันที อีกฝ่ายก็ไม่คิดจะเอาเปรียบหนุ่มรุ่นพี่แต่อย่างใด

“ปลานี่ก็อร่อย... พี่รินกินสิ” สกลตักเนื้อปลาชิ้นโตแล้วบรรจงวางลงในจานของคนเป็นพี่อย่างตั้งใจ

“ขอบคุณครับ”

เมื่ออาหารรสชาติถูกปาก มาพร้อมกับบรรยากาศสงบ ๆ เป็นส่วนตัว เด็กน้อยจึงเริ่มรู้สึกผ่อนคลายจนกล้าเอาอกเอาใจสารินอย่างออกนอกหน้าผิดกับเวลาที่อยู่ท่ามกลางเพื่อนฝูง หรือมีบุคคลอื่น ๆ แวดล้อม ว่าที่นายสัตวแพทย์เลยอาศัยจังหวะดังกล่าว หยิบเอาประเด็นร้อนที่ยังไม่ได้ข้อสรุปขึ้นมาพูดคุยอีกครั้ง


“แนนครับ เดี๋ยวตอนพี่ไปส่งแนนที่บ้าน ขอพี่ตามแนนเข้าบ้านไปด้วยนะครับ”

“จะดีเหรอพี่ริน?”

“ครับ”

“งั้นแนนจะแนะนำพี่รินว่าเป็นรุ่นพี่ที่มอไปก่อนแล้วกัน” หนุ่มแว่นสรุปชัด ก่อนจะจัดการสารินด้วยเสียงตะล่อมฟังอ่อนหวาน “นะ... ถือว่าดูลาดเลาก็แล้วกันเนอะ ป๊ากับอาม่าจะได้ไม่ช็อกตาตั้งไปก่อนเวลาอันควรยังไงล่ะพี่ริน” ไม่พูดเปล่า สกลยังเลื่อนมือไปลูบต้นแขนคนฟังเบา ๆ คล้าย ๆ ประจบ

“พี่ว่าเรียนพวกท่านไปตามตรงจะดีกว่าครับ” คนเป็นพี่สวนกลับทันกันจนอีกฝ่ายประกาศกร้าวอย่างเอาแต่ใจ
ไม่! ถ้าพี่รินไม่ยอมตามนี้ แนนก็ไม่ตกลงเหมือนกัน!
“แนนเชื่อใจพี่สักหนได้ไหมครับ? ปล่อยให้พี่จัดการเรื่องของเราเองเถอะนะครับ ตกลงตามนี้นะ” เพราะเข้าใกล้เส้นตายเข้าไปทุกที สารินจึงใช้วิธีตีขลุมเอาดื้อ ๆ “เอาล่ะ ทีนี้ก็มาถึงเรื่องสำคัญอีกเรื่องที่พี่อยากจะบอกแนนตั้งแต่หลายวันก่อนแล้วล่ะครับ”

เดี๋ยวสิพี่ริน! เรายังคุยเรื่องไปบ้านแนนไม่จบ! แนนว่าอย่าเพิ่...” เสียงเรียกเข้าของมือถือเครื่องข้าง ๆ เด็กปีสองที่ดังแผดขึ้นขัดจังหวะทำให้หลานอาม่าใหญ่ลืมเรื่องการเอาชนะสารินไปในพริบตา “ม่าโทรมา เดี๋ยวแนนรับสายม่าก่อนนะพี่ริน”

“ครับม่า!” โดยไม่รู้ตัว ใบหน้าที่ติดบึ้งนิด ๆ ของหนุ่มแว่นกลับเปลี่ยนเป็นคลี่ยิ้มหวานทันทีที่รับสายผู้เป็นย่า... ว่าที่นายสัตวแพทย์ก็เพิ่งเห็นกับตาวันนี้นี่แหละว่า ไม่ใช่แค่เพียงผู้อาวุโสที่ดีใจเมื่อได้คุยกับหลานชายสุดที่รัก หากแต่น้องเองก็มีความสุขทุกครั้งที่ได้ยินเสียงของคุณย่าใหญ่เช่นกัน

((โซ๊ยตี๋ ลื้ออยู่หนาย? มื่อหล่ายลื้อจะกับถึงบั้ง?!)) เด็กเต็กชำเลืองมองสารินเลิ่กลั่ก ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบคำถามอาม่าตามตรงเพราะไม่อยากโกหกทั้งต่อหน้าและลับหลังรุ่นพี่ปีสาม

“แนนกินข้าวเช้าอยู่ที่บ้านรุ่นพี่ครับม่า เดี๋ยวพอกินข้าวเสร็จ แนนก็จะกลับบ้านแล้วล่ะครับ ม่าไม่ต้องเป็นห่วงนะ”

((ลื้อกับกุงเทบตั้งกะมื่อไหล่? มื่อเช้านี้หลอ?)) เสียงของคนปลายสายฟังคาดคั้นและไม่สบอารมณ์จนสกลใจแป้ว  

“เปล่าครับม่า พอดีเมื่อคืนแนนติดรถรุ่นพี่กลับมา” หนุ่มแว่นละล่ำละลัก... ไม่โกหก แต่ขอกั๊กข้อมูลบางส่วนก็ไม่น่าจะผิดกติกาหรอกมั้ง

((อ้าว! แล้วทำไมลื้อไม่ทอสับบกม่า ม่าจะได้ให้อาชาวไปลับกับบั้ง... ห๊า! ทำไมลื้อไม่กับบั้งตั้งกะมื่อคืนล่ะอาโซ๊ยตี๋?!)) ยิ่งไม่พอใจ อาม่าใหญ่ก็ยิ่งโหวกเหวกโวยวายเสียงดังจนคนฟังต้องยกโทรศัพท์ออกห่างตัว

“คือตอนที่แนนมาถึงมันดึกแล้วไงม่า แนนเลยไม่อยากกวนม่า ไม่อยากกวนพี่เชาว์ อีกอย่าง... ม่าบอกแนนเองไม่ใช่เหรอครับว่าไม่อยากให้แนนนั่งแท็กซี่คนเดียวดึก ๆ ดื่น ๆ พอรุ่นพี่ชวนแนนนอนค้างที่บ้านด้วย แนนก็เลยโอเค ดีกว่าเสี่ยงดวงบนแท็กซี่เยอะเลย เนอะม่าเนอะ” สกลชักแม่น้ำทั้งห้ามาหว่านล้อมอาม่าให้ใจเย็นลง

((แล้วอาลุ่งพี่คงนี้อีเป็งคาย? ลื้อหม่ายด่ายกวนอีช่ายหลือป่าว?)) เห็นได้ชัดว่าแผนการของเด็กเต็กหัวไข่ประสบผล เพราะแทนที่จะสวดหลานชายอีกยกใหญ่ หญิงชรากลับหันเหความสนใจไปที่รุ่นพี่ซึ่งหนุ่มแว่นอ้างถึงในทันใด สกลจึงอดลำพองใจไม่ได้

“โอ๊ยยย! ไม่กวนเลยม่า แนนนะสนิทกับรุ่นพี่คนนี้ม้ากมาก... นี่ ๆ เดี๋ยวพอกินข้าวเสร็จ พี่เขายังจะขับรถไปส่งแนนถึงที่บ้านด้วยน้า” คนเห็นผีโอ้อวดสรรพคุณและความใกล้ชิดสนิทสนมเพื่อทำให้ย่าของตนคลายใจไม่ถามซอกแซก แต่ที่ไหนได้...  

((ลี ลี งั้งลื้อก็ชวงอีอยู่กิงเข้ากังวังพ้อมกังเลยสิ อาป๊ากับอาม้าลื้อก็อยู่... อั๊วจะได้ขอบคุงอีที่ช่วยดูแลลื้อทีเลียวเลย))

ห๊ะ?!! เอางั้นเหรอม่า?! ไม่ดีม้าง พี่เขาอาจจะไม่ว่างก็ได้นะม่า แนนเกรงใจเขาอ่ะ” เด็กปีสองแทบหลุดปากกรีดร้องอย่างเสียสติเมื่อได้ฟังคำสั่งล่าสุดของอาม่าผู้เป็นใหญ่ในบ้าน...

ไม่เอา! เขาไม่อยากเลิกกับพี่ริน!
ไม่ได้! จะให้หมีขาวไปเจออาม่าไม่ได้เด็ดขาด!


((ลื้อก็ชวงอีไว ๆ ซี่ ลีบชวงก่องอีจาติกทู้ล้าสิ))
“แต่ม่าคร...”
((เอาน่า...อั้วอยากเจออาลุ่งพี่คงนี้ของลื้อจิง ๆ ))
“กะ.. ก็ได้ครับ”
((ลี ลี... ลีมั่ก! กิงเข้าเช้าเส็กก็อย่าโอ้เอ้ล่ะอาโซ๊ยตี๋ ลีบกับไปลออั๊วที่บั้ง เดี๋ยวอั๊วทำทู้ล้าเส็กเลี้ยวอั๊วจะลีบกับไป))
“อ้าว! นี่ม่าอยู่ข้างนอกเหรอครับ? ม่าอยู่ไหนอ่ะ?” ทันทีที่ตีโต้จนหลานรักแตกพ่ายและได้ผลสรุปดั่งใจ อาม่าใหญ่ก็ชิงตัดสายใส่หลานรักอย่างไม่นึกปรานี “ม่า! ม่า! เดี๋ยวดิม่า!”  

พี่ริน?!” หนุ่มแว่นเลื่อนสายตาสับสนมาจับจ้องใบหน้าของว่าที่หมอหมาเพื่อหาทางออกกับปัญหาเร่งด่วนล่าสุด

“พี่ได้ยินแล้วครับ” ฝ่ายสารินที่รับรู้บทสนทนาทั้งหมดไปพร้อม ๆ กันก็รับคำทื่อ ๆ พลางคิดใคร่ครวญถึงเหตุผลเบื้องหลังการกระทำของผู้อาวุโสอย่างขมักเขม้น

“ทำไงดี?... ม่าจะให้พี่อยู่กินข้าวกลางวันที่บ้านด้วย!” สีหน้าของเด็กมืดมนราวกับคนแบกโลกเอาไว้ทั้งใบ

ที่สุดแล้วรุ่นพี่ก็เข้าใจ... อาม่าคงจะรู้แน่ว่า เขาจะยอมอ่อนข้อลงให้น้องจนแผนการล้มเหลวไม่เป็นท่า ไม่อย่างนั้นท่านคงไม่ทำแบบนี้  สารินจึงปลอบใจน้องให้คลายกังวล “มันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่แนนคิดก็ได้นะ”

“น้อยไปสิพี่ริน!  ถ้าม่าเห็นเรา ม่าต้องดูออกแน่ ๆ ว่าพี่รินกับแนนมีซัมติงรองกันมากกว่ารุ่นพี่รุ่นน้อง ... ซวยแล้ว! ความแตกแหง ๆ ! เรดาร์จับพิรุธของม่ายิ่งแม่น ๆ อยู่ด้วย!” สกลกัดปลายนิ้วหัวแม่มือพลางนั่งเขย่าขาอย่างปริวิตก

“แนน... ใจเย็นก่อนครับ ตอนนี้เราคงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้วล่ะ พี่ว่า... เรามากินข้าวให้เสร็จก่อนดีไหม แล้วค่อย ๆ คิดกันอีกทีว่าจะเอายังไงกับมื้อกลางวัน” คนเป็นพี่ดึงมือน้องออกจากปากแล้วกุมเอาไว้พร้อม ๆ กับลูบขาเด็กน้อยไม่ให้แกว่งแข่งกับความคิดวุ่นวายในหัว

“ทำให้เสร็จไปทีละอย่างใช่ไหมพี่ริน?” เจ้าของประโยคถามด้วยสายตาเลื่อนลอยด้วยยังพะวงกับอนาคตอันใกล้ไม่หาย สารินจึงพูดให้สติอีกฝ่ายซ้ำ ๆ

“ครับ ทำให้เสร็จไปทีละอย่าง” เห็นเด็กน้อยถอนหายใจยาว คนเป็นพี่จึงพูดดักคอล่วงหน้า “แต่ต้องทำแต่ละอย่างอย่างเต็มที่ด้วยนะครับ”

“ก็ได้... เห็นแก่กระดูกหมูกับเห็ดหอมตุ๋นสุดยอดความอร่อยหรอกนะ!” สกลสลัดเรื่องที่ยังมาไม่ถึงทิ้งไป ก่อนจะเริ่มลงมือกินอาหารเช้าอันโอชะอย่างตั้งอกตั้งใจอีกครั้ง

“หึ หึ งั้นก็กินเยอะ ๆ ครับ”


«»------------------------------------------------------------------------------------«»


“สรุปเราจะเอาไงกันดีล่ะพี่ริน?” ตุ๊กตาหน้าแว่นถามขึ้นทันทีที่คนขับเคลื่อนรถพ้นรั้วบ้าน

“เอาตามที่พี่บอกนั่นแหละครับ ดีที่สุดแล้ว”

“แต่มันจะดีเหรอพี่ริน? แนนใส ๆ นะ แนนไม่ชอบดราม่า” สกลออกตัวแรงเมื่อหางตาปรายไปเห็นเวลาตรงคอนโซลหน้ารถ... ใกล้เที่ยงเต็มที พวกเขาจะหนีความจริงไปได้อีกสักกี่น้ำ?!

“ตราบใดที่เราสองคนยังคบกัน วันดีคืนดี เราก็หนีการคุยกับที่บ้านไม่พ้นหรอกครับ” คนฟังทำหน้ายุ่งจนสารินต้องโยนหินถามทางอย่างเสียไม่ได้ “หรือแนนไม่อยากบอกเรื่องพี่กับที่บ้าน?”

“ไม่ใช่แบบนั้นเสียหน่อยพี่ริน! แนนอยากบอก แนนอยากอวดพี่รินกับทุกคนในบ้านจะตาย” หลานอาม่าใหญ่โวยวายอย่างหลุดฟอร์มทันทีที่คำถามทำนองตัดพ้อหลุดจากปากคนรักที่มักจะมองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ  

“ถ้างั้นก็ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้วล่ะครับ พี่จะรับผิดชอบทุกอย่างเอง” ได้ยินดังนั้น คนขับจึงรวบตึงสรุปทุกอย่างตามที่ตนต้องการอย่างหนักแน่นจนอีกฝ่ายคล้อยตาม

“โอเค! เป็นไงก็เป็นกัน!... ถ้าม่าหรือป๊าห้ามเราคบกัน พี่รินต้องไม่ยอมนะ ตกลงไหม?” เด็กเต็กหัวไข่จับมือข้างซ้ายของสารินเอาไว้มั่นพลางตั้งใจว่าจะไม่ปล่อยมือคนเป็นพี่ง่าย ๆ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม

“พี่ไม่มีวันเลิกกับแนนแน่นอนครับ แนนสบายใจได้” ว่าที่นายสัตวแพทย์สำทับอีกครั้งเพื่อตอกย้ำให้น้องยิ่งมั่นใจ

“แนนก็ไม่มีวันเลิกกับพี่ ต่อให้โดนป๊าม้ากีดกัน แนนก็จะสู้!... เดี๋ยว! นี่มันแถวบ้านแนนนิ! บ้านพี่รินอยู่ใกล้บ้านแนนขนาดนี้เลยเหรอ?!” อึดใจที่สังเกตเห็นว่าสภาพแวดล้อมสองข้างทางเริ่มจะดูคุ้นหูคุ้นตา กับท่าทางนิ่ง ๆ ของสารินทำให้เด็กสถาปัตย์เริ่มลนลาน

“ครับ”

จังหวะที่รุ่นพี่รับคำ พาหนะที่ทั้งสองนั่งโดยสารก็มาถึงยังหน้าบ้านตึกหลังใหญ่อันเป็นนิวาสถานของหนุ่มแว่นมาตลอดยี่สิบปี แต่แปลกที่วันนี้รั้วกว้างหน้าบ้านถูกเปิดอ้าซ่าเอาไว้คล้ายกำลังรอรับแขก สกลเบิกตาโพลงเมื่อเห็นสารินค่อย ๆ ถอยรถเข้าจอดตรงซองที่เหมือนกับเจ้าของบ้านจงใจเว้นว่างเอาไว้โดยเฉพาะด้วยท่าทางชำนิชำนาญ  


เฮ่ยเดี๋ยว! นี่มันอะไรกัน?! ทำไมพี่รินถึงรู้ว่าบ้านแนนอยู่ไหน? พี่รินรู้ได้ยังไง?!!

“ก็นี่แหละครับคือเรื่องสำคัญที่พี่อยากจะบอกกับแนนมาตั้งนานแล้ว” คนขับดับเครื่องแล้วเบี่ยงตัวนั่งจ้องหน้าน้องอยู่นานสองนานจนสมองเด็กเต็กด้านงานมโนถูกปลุกเร้าให้ลุกขึ้นมาทำงานอย่างขยันขันแข็ง

เรื่องอะไร?! พี่รินจะบอกอะไรแนน?!” ความกลัวค่อย ๆ คืบคลานเข้ากัดกินใจหลานอาม่าใหญ่มากขึ้นขณะ ใบหน้าตี๋ ๆ ที่ดูหล่อเหลาเริ่มจะหลอกหลอนเขาให้ยิ่งรู้สึกหวาดหวั่น
.
.
.
.
.
“...คือพ...”

“น้องแนน” ยังไม่ทันที่สารินจะได้เอ่ยคำใด พี่เลี้ยงร่างท้วมของเด็กเต็กหัวไข่ก็เคาะกระจกเรียกความสนใจของทั้งคู่เข้าเสียก่อน “น้องแนนมีของอะไรให้พี่ช่วยขนขึ้นห้องหรือเปล่าคะ?”  

สกลหันไปมองพี่เม่ย สลับกับมองหน้าคนขับ แล้วกลั้นใจออกคำสั่งกับสารินอย่างขึงขัง “พี่รินตามแนนขึ้นห้องเดี๋ยวนี้เลย!




“แนนครับ แนนฟังพี่ก่อนนะ พี่มีคำอธิบายเกี่ยวกับทุกเรื่อง ขอแค่แนนยอมเปิดใจรับฟังพี่ให้จบ... ตกลงนะครับ” ว่าที่นายสัตวแพทย์อ้อนวอนคนรักทันทีที่ทั้งสองอยู่ในห้องหับมิดชิด ฝ่ายคนฟังก็ยืนหลับตาพลางสูด และผ่อนลมหายใจหนัก ๆ เพื่อตั้งสติ

“ก็ได้ แนนจะให้โอกาสพี่รินอธิบาย” หลานอาม่าใหญ่กลั้นใจตอบขณะยืนกอดอกมองสารินหัวจรดเท้าอย่างระแวดระวังอยู่ห่าง ๆ อย่างรักษาระยะ

“ขอบคุณครั...”
พี่รินรู้จักแนนมานานหรือยัง?
“ก็หลายป...”
พี่รินรู้จักทุกคนในบ้านแนนด้วยใช่ไหม?
“ค..”
เพราะอะไร? ทำไมพี่รินถึงได้ทำแบบนี้?! ชอบแนนมานานแล้วทำไมไม่บอกกันดี ๆ ล่ะ?
“พี่คือ... หืม?!” หมีโพลาร์ถึงกับผงะเมื่อได้ยินประโยคล่าสุดของเด็กน้อย
สรุปนี่พี่รินเป็นสตอล์คเกอร์จริง ๆ ใช่ไหม? เด็กเต็กหยีตามองคู่สนทนาอย่างจับผิด... การถูกตามสอดส่อง ถูกจับจ้องไม่วางตา ถูกรักถูกบูชาอยู่ฝ่ายเดียวมันให้ความรู้สึกน่าสะพรึงระคนสุขสันต์แบบนี้นี่เอง 
ห๊ะ?! เมื่...”
พี่รินเป็นสตอล์คเกอร์ใช่ไหม? ยอมรับกับแนนมาตรง ๆ เถอะ!
เดี๋ยวครับ! พี่ว่าแน...”
“พี่รินเป็... อุ๊บ!

ก่อนสกลจะเพ้อคลั่งยิ่งไปกว่านี้ หนุ่มรุ่นพี่ก็รุดเข้ารวบตัวเด็กน้อยแล้วปิดริมฝีปากที่พูดจ้อย ๆ ไม่คอยคำตอบให้เงียบลง  “แนนครับ พี่ไม่ได้เป็นสตอล์คเกอร์ครับ พี่คือพี่รินของแนนเมื่อเก้าปีก่อนไง”

หนุ่มแว่นหัวไข่สะบัดหน้าไปมาจนริมฝีปากสามารถเปล่งวาจาสื่อสารได้อีกครั้ง “พี่ริน?! พี่คือพี่รินจริง ๆ น่ะเหรอ?” สีหน้าของสกลในยามนี้ดูจะตื่นตะลึงยิ่งกว่าไม่กี่นาทีก่อนหน้าอยู่มากโข

“ครับ”

จริงอ่ะ?” หลานอาม่าใหญ่ใช้สองมือประคองใบหน้าของสารินบิดไปมาพลางตั้งใจมองอย่างมุ่งมั่นคล้ายกำลังพยายามขุดค้นความทรงจำเก่า ๆ เกี่ยวกับสารินในอดีตให้ย้อนคืน

“จริงสิครับ” คนโตกว่าทำหน้าไม่ถูกเมื่อเห็นน้องสำรวจตรวจสอบตนเองอย่างละเอียดละออทุกซอกทุกมุม

“งั้นบอกมาสิว่าเมื่อก่อนแนนสะสมอะไร?” คนเห็นผีเชิดหน้าพลางจิกตามองสารินอย่างไม่ไว้ใจ

“การ์ดโปเกมอน ถุงเท้ามีนิ้ว แล้วก็แบงค์ใหม่เลขสามตัวท้ายเรียงกันครับ” ว่าที่นายสัตวแพทย์ใช้เวลาไม่นานในการระลึกถึงตัวตนและความชอบของน้องในอดีต

“ไหนพี่รินลองยิ้มซิ... ขมวดคิ้ว... ทีนี้ก็หันซ้าย... หันขวา” พ่อหมีขาวให้ความร่วมมือกับชุดคำสั่งดังกล่าวอย่างเต็มที่ ซึ่งเมื่อตั้งใจใคร่ครวญ ภาพสีหน้าแบบต่าง ๆ ของชายหนุ่มรูปหล่อหมดจดตรงหน้าก็ซ้อนทับภาพของเด็กชายหน้าตี๋ที่ดูทั่ว ๆ ไปในความทรงจำเมื่อเก้าปีก่อนของสกลได้อย่างพอดิบพอดีในท้ายที่สุด “อืมมม ใช่พี่รินจริง ๆ ด้วย”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“เอาล่ะ พี่รินมีอะไรอยากจะพูดก็พูดมา” ความเงียบถูกทำลายลงในพริบตาด้วยน้ำเสียงราบเรียบเฉียบขาดของหนุ่มแว่นหลังจากเจ้าตัวนิ่งไปนาน ฝ่ายสารินก็รู้ได้โดยพลันว่าเด็กน้อยของเขากำลังสะกดกลั้นอารมณ์ไม่ให้ปะทุอย่างเต็มความสามารถ ชายหนุ่มจึงกระชับความให้สั้นและเข้าใจง่าย  

“สาเหตุที่พี่รู้จักบ้านแนนเป็นอย่างดีเพราะช่วงหลัง ๆ อาม่าพี่กับอาม่าแนนไปมาหาสู่กันประจำ พี่เลยขออาม่าเป็นคนคอยดูแลสุขภาพให้เจ้าปีเตอร์ไปด้วยเลยน่ะครับ”

“ไอ้ที่อยากจะบอกแนนน่ะหมดหรือยัง?”

“ครับ หมดแล้วครับ”

“ดี งั้นพี่รินตอบแนนมาสิว่าทำไมเมื่อเก้าปีก่อนพี่รินต้องโกหกแนนเรื่องเบอร์นาร์ดด้วย?” เด็กสถาปัตย์ปรายตามองคนโตกว่าด้วยสายตาเชือดเฉือน

“ตอนนั้นพี่ให้สัญญากับอาม่าเอาไว้ว่า พี่จะไม่บอกแนนเรื่องเบอร์นาร์ดน่ะครับ พี่ขอโทษที่ต้องโกหกแนนนะ... แต่พี่ทนเห็นแนนเสียใจไม่ได้จริง ๆ ” สารินสารภาพความผิดอย่างหมดเปลือก

“โอเค เรื่องเบอร์นาร์ดน่ะช่างมันเถอะ... แนนทำใจได้นานแล้วล่ะ” ประโยคตอบรับของหลานอาม่าใหญ่ทำให้คนฟังใจชื้นได้เพียงชั่วครู่ชั่วยาม เพราะคำถามถัดมากลับอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกกดดันระคนผิดหวังจนชายหนุ่มรุ่นพี่สัมผัสได้ “แต่ตอนนี้ แนนชักอยากฟังเหตุผลที่ทำให้พี่กล้าโกหกแนนว่าไม่รู้จักกันมาก่อนเสียแล้วสิ... ทำไมพี่ ทำไมต้องหลอกแนนด้วย?”

“แนนจำวันที่พี่มาตรวจร่างกายเจ้าปีเตอร์เมื่อหลายอาทิตย์ก่อนได้ไหมครับ?”

“อืม”

“วันนั้นเป็นวันแรกที่พี่เองก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าหลานอาม่าใหญ่ กับหนุ่มแว่นในตำนานคือคน ๆ เดียวกัน”

“แล้วมันเกี่ยวกับการที่พี่รินฟอร์มว่าไม่รู้จักครอบครัวแนนตรงไหน?!” เด็กเต็กแหวใส่ด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว

“เพราะมันทำให้พี่รู้ว่าอาม่าคิดจะจับคู่เราสองคนยังไงล่ะครับ”

หา?!” เพราะเห็นน้องออกอาการเหวออย่างแรง หมีโพลาร์จึงรีบอธิบายเสริมแข่งกับเวลา

“ที่อาม่าขอให้แนนอยู่กินข้าวกลางวันกับพี่ เป็นเพราะอาม่าอยากให้พี่กับแนนเจอกัน... กับพี่ ท่านบอกแค่ว่าอยากให้พี่มาลองชิมกระเพาะปลาสูตรใหม่ที่บ้านเฉย ๆ ไม่มีอะไรพิเศษ”

“แล้ว?”

“พอพี่รู้ว่าแนนคือรุ่นน้องต่างคณะที่คอยพาหมาทั้งมอมาหาหมอที่โรงบาลสัตว์จนทุกคนในคณะพี่รู้จัก พี่ก็รู้ตัวเดี๋ยวนั้นเลยว่าพี่ชอบแนน... พี่ชอบแนนมากขนาดคิดจะจีบเป็นแฟนให้เป็นเรื่องเป็นราว แต่พอพี่ลองคิด ๆ ดู เกิดแนนทำความรู้จักพี่ผ่านความช่วยเหลือของอาม่า น่ากลัวว่าเรื่องระหว่างเราอาจจะไม่ลงเอยอย่างทุกวันนี้ก็ได้” สารินพรั่งพรูความลับความหลังอย่างไม่หมกเม็ด   

“...”

“พี่อยากให้แนนรู้จักตัวตนของพี่ อยากให้แนนเปิดใจรับพี่ อยากให้แนนมองเห็นพี่ในฐานะคน ๆ หนึ่งที่รักและอยากดูแลแนนแบบคนพิเศษ ไม่ใช่แค่เพื่อนเล่นวัยเด็ก... ไม่ใช่หลานชายเพื่อนสนิทอาม่าน่ะครับ แนนเข้าใจพี่ใช่ไหม?”

“...”

แม้จะไม่ได้โต้ตอบ หากแต่แววตาภายใต้กรอบแว่นหนาที่เคยแข็งกร้าวเมื่อไม่กี่อึดใจก่อน กลับค่อย ๆ อ่อนลงอย่างช้า ๆ ... สารินแน่ใจว่าน้องกำลังตั้งใจฟังทุก ๆ คำของเขา ชายหนุ่มจึงยืนยันความเชื่อของตัวเองอีกครั้งอย่างหนักแน่น “พี่คิดว่า ความรู้สึกของพี่ที่มีให้แนน สำคัญกว่าการที่เราเคย หรือไม่เคยรู้จักกันมาก่อนน่ะครับ”

“แต่พี่รินบอกแนนเองไม่ใช่เหรอว่าเราจะไม่โกหกกัน ตอนเด็ก ๆ พี่รินก็รับปากแนนเองนี่นาว่ะพี่รินจะไม่โกหกแนน แล้วทำไมพี่รินถึงยังกล้าโกหกแนนอยู่อีก?” หลานอาม่าใหญ่ขึ้นเสียงเมื่อเหตุผลของอีกฝ่ายไม่ได้ทำให้ประเด็นหลักกระจ่างเลยสักนิด

คนผิดยอมรับโทษโดยดุษณี ก่อนจะเอื้อนเอ่ยถ้อยคำที่คู่ควรกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างจริงใจที่สุด“พี่ขอโทษแนนจริง ๆ นะครับที่พี่โกหก” สารินประสานสายตากับคู่สนทนานิ่งนานเพื่ออ้อนวอนขอโอกาส ค้อนวงใหญ่ที่ตบท้ายด้วยแววกระเง้ากระงอดของลูกแก้วใสยุแยงให้ว่าที่นายสัตวแพทย์ทำใจกล้าอีกครั้ง “แนนครับ... พี่ถามแนนตรง ๆ ได้ไหมครับว่า ถ้าแนนรู้ว่าแนนโดนอาม่าจับคู่ให้ทำความรู้จักกับพี่ แนนจะไม่งอแง ไม่ตั้งแง่ใส่พี่ และเปิดโอกาสให้พี่เข้าใกล้ดี ๆ อย่างนั้นใช่ไหมครับ?”

ใช่สิ! เห็นแนนเป็นแบบนี้ แต่แนนก็คนมีเหตุมีผล แยกแยะผิดถูกได้อยู่นะ

แม้จะโดนเด็กน้อยแดกดัน แต่ว่าที่หมอหมาก็ยังกำลังใจเต็มเปี่ยม เพราะอย่างน้อย ๆ น้องก็ยังคงยืนนิ่งยอมให้เขากอดอยู่เหมือนเดิม “ฮื่อ ตอบพี่ตามตรงสิครับ อย่าโกหกเพราะอยากเอาชนะพี่”
.
.
.
“...อือ... แนนก็คงเหม็นหน้าพี่อยู่มากเหมือนกันแหละ”
“ทำไมล่ะครับ?”
“...ไม่รู้ดิ...” ถึงปากจะบอกไม่ แต่หลานอาม่าใหญ่กลับยังครุ่นคิดหาคำตอบให้กับคำถามของรุ่นพี่อย่างเอาเป็นเอาตาย  “คงเพราะโตจนหมาเลียก้นไม่ถึง ถ้าจะรักจะชอบใครก็น่าจะหัดจีบเองได้แล้ว ไม่น่าจะต้องพึ่งม่า... อะไรอย่างนั้นล่ะมั้ง” สกลพูดไม่เต็มเสียงเนื่องจากเพิ่งตระหนักว่า หมีโพลาร์อ่านเกมขาดมาตั้งแต่แรกจริง ๆ

“นั่นแหละครับ อีกสาเหตุที่ทำให้พี่ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะยังไม่บอกแนนเรื่องที่พี่รู้จักกับม่า... จนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม” เด็กสัตว์แพทย์ปีสามเปิดเผยความลับสูงสุดแก่คู่กรณี จนคนเห็นผีเริ่มจะหงุดหงิดกับความช่างคิด ช่างวางแผนของอีกฝ่าย

“แล้วไง?! ถ้าอาม่าไม่ชวนพี่รินมากินข้าวด้วยกัน พี่รินก็จะโกหกแนนไปเรื่อย ๆ อย่างนั้นใช่ไหม?” หนุ่มแว่นตีรวนด้วยสีหน้ายียวนชวนทะเลาะ แต่สารินกลับยิ้มกว้างส่งให้แล้วจึงอธิบายอย่างนุ่มนวล  

“พี่รอจนแน่ใจว่าแนนพร้อมจะบอกเรื่องที่เราคบกันต่อหน้าทุก ๆ คนแล้วต่างหากล่ะครับ ซึ่งถ้าแนนยังจำได้ พี่พยายามขอตามแนนกลับบ้านทุกครั้งที่มีโอกาส ถูกไหมครับ?”

!!!

และแล้ว เด็กเต็กก็ถึงบางอ้อ...
การที่สารินเฝ้าจู้จี้จุกจิก กดดันสลับหว่านล้อมกล่อมให้เขาตัดสินใจกลับบ้านพร้อมกันตั้งแต่หลังเจออาม่ากับป๊าเมื่ออาทิตย์ก่อน แถมยังคอยตอด คอยเต๊าะขอตามเขาเข้าบ้านด้วยจนน่ารำคาญ... ทั้งหมดมันมีที่มาที่ไปแบบนี้เองเหรอ?!


“พี่รู้ดีครับว่าการเริ่มต้นของพี่ไม่โปร่งใส แต่พี่รับรองได้เลยว่า ทุก ๆ คำพูด ทุก ๆ สิ่งที่แนนรู้เกี่ยวกับพี่หลังจากวันที่เราเจอกันตรงหลังบ้านเป็นความจริงทุกประการ และนับจากวันนั้นมา พี่ไม่เคยโกหกแนนอีกเลยครับ” สารินรับรองความจริงใจของตนเสียงดังฟังชัดจนอีกคนเริ่มคิดทบทวน

“แนนจะโกรธ... จะลงโทษพี่นานเท่าไรก็ได้ แต่พี่จะไม่มีวันเลิกกับแนนเป็นอันขาด พี่ขอแค่นี้... แนนให้พี่เถอะนะครับ”

ท่อนแขนทั้งซ้ายและขวาที่ถูกเจ้าของเกี่ยวกระหวัดจนรัดสองกายให้ยิ่งแนบแน่นช่วยตอกย้ำคำพูดดังกล่าวให้ซึมลึกเข้าถึงก้นบึ้งของจิตใจคนฟัง ทั้งคู่ยืนอิงแอบนิ่งนานพลางปล่อยให้อีกฝ่ายได้ตรึกตรองอย่างเต็มที่
.
.
.
.
.
.
.
“พี่ริน”

“ครับ?” ว่าที่นายสัตวแพทย์รอฟังคำพิพากษาด้วยใจระทึก

“แนนจะไม่โกรธ ไม่ลงโทษ ไม่ทำอะไรพี่ทั้งนั้น ถ้าพี่รับปากกับแนนว่า ต่อจากนี้ไป พี่จะไม่โกหกแนนอีก พี่รินทำได้ใช่ไหม?” หลังจากเลือกเปิดใจรับฟังคำพูดของคนรักดังคำสอนสั่งทั้งหลายของอาม่าและหมีพ่อ หลานอาม่าใหญ่ก็จ้องลึกเข้าไปในแววตาของสาริน... เขามองหาความจริงใจที่ซุกซ่อนอยู่ในทุก ๆ ถ้อยคำที่กำลังจะได้ยิน

“ครับ”

“ระหว่างเรา จะมีแต่ความจริงเท่านั้น ไม่ว่ามันจะดีหรือร้ายก็ตาม”

“พี่รับปากแนนครับ... พี่รับปากแนนด้วยใจ และด้วยทุกสิ่งที่พี่มีครับ” คนโตกว่าให้คำมั่นจากความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ภายใน ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว คำขอของสารินก็เป็นผล

“แนนเชื่อพี่นะ”

“ขอบคุณครับ ขอบคุณมากครับแนน” คนโตกว่ายิ้มร่าพลางกอดน้องเอาไว้ทั้งตัวราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะระเหยหาย ฝั่งหลานอาม่าใหญ่ก็พ่นลมยาวผ่านจมูกพลางทิ้งน้ำหนักตัวใส่พ่อหมีอย่างคนหมดแรง สองหนุ่มกอดกันแน่นอีกคราวราวกับนั่นคือครั้งแรกที่ทั้งคู่ได้โอบกอดตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่ายเอาไว้

“เฮ่อ! ค่อยยังชั่วหน่อยที่พี่รินรู้เป็นหลานโปรดม่า แนนจะได้หมดห่วงเรื่องแนะนำตัวพี่รินกับที่บ้านเสียที!” หนุ่มแว่นปรารภอย่างโล่งอกหากแต่ฟังอู้อี้ค่าที่เจ้าตัวยังไม่ยอมผละจากแผ่นอกอุ่น ๆ ของอีกฝ่าย

“ก็ไม่เชิงเสียทีเดียวหรอกครับ เพราะพี่ไม่เคยเปรยเรื่องจีบแนนกับป๊าม้าเลยสักครั้ง” สารินอดแย้งไม่ได้... ลองได้คิดเรื่องนี้ขึ้นมาเมื่อไร ความรู้สึกประหม่าเป็นต้องทำให้เขาขนลุกซู่ไปเสียทุกทีสิน่า ทว่าน้องกลับไม่ได้ตระหนกเลยสักนิด  

“ถ้าม่าโอเค ที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้วล่ะพี่ริน” สกลตบแผ่นหลังกว้างของว่าที่หมอหมาเบา ๆ เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ

“เหรอครับ?”

“ก็ใช่น่ะสิ แค่ม่าไฟเขียว คนอื่น ๆ ในบ้านก็ไม่กล้าหือแล้วล่ะ” หลานอาม่าใหญ่รับรองแข็งขัน และความปลอดโปร่งโล่งใจนี่เอง ที่ทำให้เจ้าตัวหลุดปากเอ่ยถึงสิ่งที่ไม่ควรออกมาจนได้ “แต่พูดก็พูดเถอะ... ตอนพี่รินยังไม่บอกความจริงกับแนน แนนเครียดแทบตายแน่ะ เกิดม่าหรือป๊าบังคับให้แนนเลือก แนนคงจะเสียใจจนเป็นบ้าแหง ๆ ... ทางนึงก็ครอบครัว อีกทางนึงก็แฟนทั้งคน”


แฟนเหรอ?!...
เมื่อกี๊น้องพูดว่าแฟนงั้นเหรอ?!!


“แฟนกับครอบครัว... อืมมม เลือกยากจริง ๆ นั่นแหละครับ” สายตาเจ้าชู้ของคนแก่กว่าทำเอาเด็กน้อยรู้สึกประหม่าจนหน้าแดงแป๊ด และรอบนี้ สารินไม่ปล่อยโอกาสดี ๆ ให้หลุดมือโดยง่าย “เนอะแฟนเนอะ!

พอเลย! ไม่ต้องมาล้อเลย! ลงไปข้างล่างได้แล้ว!” สกลผลักอกหมีใหญ่ให้ถอยห่าง ก่อนจะหมุนตัวเดินกระแทกเท้าออกจากห้องไปโดยแสร้งไม่สนใจเสียงหัวเราะของอีกฝ่ายที่ดังไล่หลังมาติด ๆ




 «»------------------------------------ TBC ------------------------------------ «»




No comments:

Post a Comment