เรื่องราวความรักของสารินกับแนนใกล้จะปิดฉากแล้วนะคะ
หลังจากนี้จะว่าด้วยความรักของคู่หลักในภาคที่แล้วรวมถึง
3P ล้วน ๆ
ใครยังไม่ได้กรีดร้องกับความหมีขาวและความแนนก็รีบ
ๆ ทำนะคะ
เพราะคงจะไม่ได้เจอสองหนุ่มในฐานะศิลปินหลักไปอีกนานเลย
^^
(คิดแล้วก็ใจหาย
สงสารสกลที่จะไม่มีบท – โดนพี่ฌานมองแรงใส่
ฮ่า ฮ่า ฮ่า)
ติดตามข่าวสารการลงนิยายได้ที่เพจ
รักชอบประการใด
ฝากความเห็นไว้ให้เราอ่านหน่อยโนะ ^^
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
The 18th
Bonding
โกหกทำไม? ปดไปอาจเศร้าเหงาทรวง...
“ใกล้ถึงบ้านแล้วครับม่า...
.
.
...รินขอโทษจริง
ๆ ครับที่ต้องพาน้องกลับมาดึกขนาดนี้ พอดีน้องเพิ่งทำงานเสร็จ รินกลัวอาทิตย์หน้าน้องจะไม่ได้พักผ่อนอีก
รินเลยไม่เร่งน้องน่ะครับ...
.
.
...คืนนี้น้องนอนกับรินครับ
พรุ่งนี้พอน้องกินข้าวเช้าเสร็จรินจะพาน้องไปส่งที่บ้านนะครับ...
...ครับม่า รินจะเคลียร์ทุก
ๆ เรื่องกับน้องให้จบภายในพรุ่งนี้ครับ...
...รินสัญญาครับม่า...
.
.
...ห๊ะ?!
ป๊ากับม้าอยากให้รินอยู่กินข้าวที่บ้านด้วยกันเหรอครับ?...
...ครับ ๆ
ได้ครับม่า รินจะพยายามอธิบายทุก ๆ เรื่องกับน้องให้ได้ข้อสรุปที่ม่าต้องการอย่างแน่นอนครับ...
...ราตรีสวัสดิ์ครับม่า”
บทสนทนากับอาม่าใหญ่ที่เพิ่งจบไปทำให้ร่างหนาหลังพวงมาลัยถอนหายใจหนัก
ๆ อยู่หลายครั้งขณะค่อย ๆ ชะลอความเร็วของรถ พลางกดรีโมทเปิดรั้วหน้าบ้านและถอดบลูทูธออกจากใบหู
ก่อนจะเลื่อนฝ่ามือไปลูบไล้พวงแก้มเด็กน้อยซึ่งคู้ตัวหลับอยู่ตรงเบาะข้าง ๆ อย่างนุ่มนวล
“แนนครับ
ถึงแล้วครับ”
“...ฮื่อออ...”
เจ้าของชื่อปรือตาพร้อมกับส่งเสียงครางเบา ๆ แล้วจึงคว้ามือของสารินมาซุกแนบใบหน้าแล้วหลับตาลงอีกหนอย่างไม่สนใจใคร
ว่าที่นายสัตวแพทย์จึงยืดเวลาให้เด็กน้อยได้ฝันหวานต่ออีกนิดหน่อยด้วยการถอยรถเข้าจอด
ดับเครื่อง ขนกระเป๋าและข้าวของลงจากรถเพื่อเอาเข้าไปเก็บในบ้าน จากนั้นจึงเดินอ้อมไปเปิดประตูหน้ารถอีกฝั่งแล้วเขย่าตัวปลุกตุ๊กตาหน้ารถให้หลุดจากนิทราอย่างเป็นกิจลักษณะ
“ตื่นก่อนครับแนน
ขึ้นไปนอนต่อที่ห้องพี่นะครับ” เด็กปีสามรั้งต้นแขนน้องให้เปลี่ยนอิริยาบทจากนอนเป็นนั่งอย่างไม่มีทางเลือก
“ถึงบ้านพี่รินแล้วเหรอ?”
คนโดนปลุกอ้าปากหาวหวอด พลางเลื่อนแว่นขึ้นขยี้ตาแบบไม่ปรานีปราศรัยจนคนเป็นพี่ร้อนใจถึงขั้นคว้ามือเด็กน้อยไปกุมไว้เพื่อห้ามปราม
“ครับ ไปครับ...
ฝืนใจลืมตาแป๊บนึงนะครับ” แค่ได้ยินเด็กน้อยงึมงำรับไม่เป็นคำ สารินก็ประคองร่างก๋องแก๋งให้ออกเดินเข้าสู้ด้านในตัวบ้านทันที
“โธ่แนน...
ทำไมต้องโหมทำการบ้านหามรุ่งหามค่ำแบบนี้ด้วยล่ะลูก?!” มุ่ยฟ้าที่รอท่าเจอหน้าทั้งสองหนุ่มอยู่หลังบานประตูเหล็กดัดบ่นคนงัวเงียด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงระคนอ่อนใจ
สัมผัสของฝ่ามืออบอุ่นที่ลูบแผ่นหลังของตนครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้เด็กเต็กรีบเช็ดคราบน้ำตาแล้วยกมือไหว้พร้อมเอ่ยทักทายย่าของว่าที่หมอหมาอย่างรีบร้อน
“สวัสดีครับม่า”
หญิงชราจับมือที่กระพุ่มไหว้หล่อนเอาไว้แล้วบีบเบา
ๆ ก่อนจะหันไปสั่งความหลานชายตัวเองด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “ตาริน
ของอะไรที่ไม่จำเป็นก็ทิ้งไว้นี่แหละ พรุ่งนี้ค่อยลงมาขน รีบพาน้องขึ้นไปนอนก่อน
ม่าทำความสะอาดห้อง เปลี่ยนผ้าปูที่นอนไว้ให้แล้ว ดูซิ... น้องตาจะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่อยู่แล้วเนี่ย”
“ขอบคุณครับม่า”
อาการเห่อหลานชายคนใหม่ของอาม่าที่ชักจะหนักข้อขึ้นทุกวันทำสารินอมยิ้ม... นี่ถ้าเขาพาน้องมาที่บ้านบ่อย
ๆ อีกหน่อยเขาคงจะตกอันดับกลายเป็นแค่คนขับรถไป – กลับให้น้องเสียล่ะมั้ง
“ไปลูก ไปนอนกันก่อนเถอะ
พรุ่งนี้เช้าค่อยคุยกัน”
“ครับม่า” คุณย่ารุนหลังหนุ่มแว่นที่ยังคงยกมือไหว้ขอบคุณหล่อนค้างมาตั้งแต่แรกพบให้ก้าวขึ้นบันไดพลางบุ้ยใบ้ให้หลานชายรับช่วงต่อ
“พี่ริน แนนยืมผ้าเช็ดตัวกับชุดนอนหน่อยสิ”
สกลเอ่ยขึ้นทันทีที่ขาทั้งสองก้าวเข้าสู่ห้องนอนชั้นสามของหลานชายเจ้าของบ้าน สารินแปลกใจกับคำขอของน้องไม่น้อย เพราะโดยปกติ
หากอีกฝ่ายง่วงจนตาใกล้ปิด เจ้าตัวมักจะงอแงต่อรองขอแค่ซักแห้งกับแปรงฟันก่อนปีนขึ้นเตียงเท่านั้น
“หืม?!
จะอาบน้ำเหรอครับ?”
“ครับ”
“นึกยังไงถึงจะอาบน้ำล่ะครับ?
ไม่สบายตัวเหรอ?” ชายหนุ่มเลิกคิ้วขณะรอฟังเหตุผลของอีกคนอย่างตั้งอกตั้งใจ
“เปล่า
แนนไม่อยากให้ที่นอนพี่รินเปื้อน ม่าอุตส่าห์ลำบากเตรียมไว้ให้” ได้ยินดังนั้น
สารินจึงไม่คิดขัดศรัทธา
ชายหนุ่มปลีกตัวไปหยิบข้าวของที่น้องต้องการแล้วเดินกลับมาประเมินความพร้อมของคู่สนทนาอีกคำรบ
“แนนไม่ง่วงแล้วหรือครับ?”
“ง่วง... แต่ก็จะอาบ”
คนเห็นผีถูหน้าไล่ความง่วงงุนพลางฉวยกองผ้าในอ้อมกอดของคนเป็นพี่แล้วหมุนตัวจากไป สารินอมยิ้มระหว่างเลื่อนสายตามองตามเรือนร่างของเด็กน้อยหัวไข่ค่อย
ๆ เดินหายลับเข้าห้องน้ำ... เพราะน้องเป็นอย่างนี้กับทุกคนที่ใส่ใจ มิน่าล่ะ...
ทั้งย่าเล็กย่าใหญ่ถึงได้ทั้งรักทั้งหลงเด็กน้อยของเขากันหัวปักหัวปำ
“ทำไมยังไม่นอนอีกครับ?
แปลกที่เหรอ?” หมีขาวซึ่งเพิ่งอาบน้ำเสร็จเอ่ยถามเด็กน้อยที่ยังคงนั่งมองตามเขาตาแป๋วจากปลายเตียงไม่ผิดจากเมื่อไม่กี่นาทีก่อนที่เขาจะเข้าไปชำระร่างกาย
“เปล่า แนนรอพี่อยู่”
ว่าแล้วก็ตบที่ว่างข้าง ๆ ตนเบา ๆ แล้วกวักมือเรียกพี่ปีสามให้เข้ามาหา “พี่รินมานั่งนี่มา!”
แม้จะสงสัย
แต่สารินก็ยอมทำตามคำขอของอีกฝ่ายแต่โดยดี หลานอาม่าใหญ่คว้าผ้าขนหนูในมือรุ่นพี่มาถือเอาไว้
ขณะเดียวกันก็ยืดตัวขึ้นนั่งบนเข่าแล้วเริ่มลงมือเช็ดไรผมเปียกชื้นตรงต้นคอให้พ่อหมีขาวอย่างคล่องแคล่วทั้งที่ไม่เคยปรนนิบัตรใครเช่นนี้มาก่อน
“ขอโทษนะที่แนนเอาแต่หลับเลยไม่ได้นั่งเป็นเพื่อนพี่ขับรถกลับมานี่”
เด็กเต็กพูดด้วยความรู้สึกผิดท่วมท้น
“ไม่เป็นไรครับ
พี่เข้าใจ ถ้าต้องทำงานส่งอาจารย์ดึก ๆ ดื่น ๆ ติด ๆ กันทุก ๆ คืน ร่างกายก็ต้องเหนื่อยสะสมเป็นธรรมดา”
ว่าที่หมอหมาตอบไปก็ยิ้มไปเพราะไม่คาดฝันว่าอีกฝ่ายจะตั้งใจนั่งรอเขาเพื่อทำอะไรแบบนี้ให้...
เด็กน้อยของเขาช่างน่ารักเสียจริง!
“แต่ยังมีคนที่เหนื่อยกว่าแนนเยอะเลยนะ...
ดีไม่ดี อาจจะเหนื่อยกว่าแนนเป็นสิบ ๆ เท่าเลยแหละ!”
“หืม?!” ชายหนุ่มรุ่นพี่เหลียวมองคนพูดพลางคาดคั้นด้วยสายตาเคืองขุ่นว่ากำลังเอ่ยถึงใคร...
ยังมีใครหน้าไหนในโลกนี้ที่ทุ่มเทมากมายจนได้ใจน้องขนาดต้องเก็บมาเล่าให้เขาฟังฉอด
ๆ ได้อีก?!
“นี่ไง...
คนนี้ไง” สกลเฉลยด้วยรอยยิ้มกว้างพลางใช้ปลายนิ้วจิ้มอกสารินจึ๊ก ๆ ก่อนจะยู่หน้าทำท่าดุใส่หมีโพลาร์ในเสี้ยววินาทีให้หลัง
“คิดว่าตัวเองเป็นยอดมนุษย์หรือไง ดึกแค่ไหนก็ไม่ยอมหลับยอมนอน!... แนนบอกกี่ทีแล้วว่าถ้าคืนไหนดึก ก็ไม่ต้องมานั่งถ่างตารอกู้ซากแนนกลับไปนอนที่ห้องด้วยหรอก
ปล่อยแนนนอนอืดตามซอกตามหลืบห้องพี่ฌานนั่นแหละ คนอื่น ๆ เขาก็นอนกันถมเถ
ไม่เห็นจะเป็นไร... ดื้อ! พี่รินนี่ดื้อจริง ๆ แนนพูดไม่เคยฟัง!”
“เราคุยกันเข้าใจแล้วไม่ใช่เหรอครับว่ายังไงพี่ก็จะรอ”
หากวิถีบทสนทนาเกิดเอี่ยวหัวข้อว่าด้วยการทำงานหามรุ่งหามค่ำจากเย็นย่ำยันฟ้าสางของน้องเข้าเมื่อไร
สารินมักจะทำหน้ามึนเลือกความสบายใจเหนือเหตุผลร้อยแปดที่อีกฝ่ายยกขึ้นมาหว่านล้อมตนทันควัน
และเหมือนทุกทีที่ถกเถียงกัน หลานอาม่าใหญ่ก็มักจะทำได้แค่ทอดถอนใจกับความเอาแต่ใจของรุ่นพี่ตัวโตซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“พี่ริน... พี่รินฝืนตัวเองเกินไปหรือเปล่า?
พี่รินไม่เหนื่อยบ้างเลยหรือไง? อาทิตย์ที่ผ่านมาพี่รินได้นอนน้อยกว่าแนนอีกนะ” เมื่อเห็นว่าเส้นผมของสารินเริ่มพลิ้วไหว
เด็กเต็กหัวไข่ก็วางมือจากภารกิจในมือ หนุ่มแว่นลดตัวลงนั่งจ้องเสี้ยวหน้าได้รูปของรุ่นพี่ด้วยความเป็นห่วง
“พี่รู้ขีดจำกัดของตัวเองดีครับ...
ถ้าเหนื่อย พี่จะไม่ฝืน ตกลงนะครับ” เด็กสัตว์แพทย์รวบรัดอย่างหนักแน่น
“แต่นาน ๆ
มันจะไม่ดีกั...”
“พี่นอนไม่หลับหรอกครับถ้าแนนไม่นอนด้วย!” สารินไม่รอให้น้องพูดจบ ชายหนุ่มยุติความกังวลของเด็กน้อยด้วยการเผยความรู้สึกอันรุนแรงที่เริ่มจะคุกคามความสามารถในการเข้านอนเพียงลำพังของตนให้ถดถอยลงทุกวัน
ๆ ... ทั้งที่เมื่อก่อนเขาเคยคิดว่า การนอนเป็นเรื่องง่ายแท้ ๆ
“หึ! สงสัยพรุ่งนี้คนแถวนี้จะไม่ได้นอน” สกลประชดพลางแสยะยิ้มใส่อีกฝ่ายค่าที่หมั่นไส้คำตอบของสารินเสียเต็มประดา...
จะบ้าเหรอ? ทีเขายังนอนได้นอนดีนอนได้ทุกที่ทุกเวลา หมีขาวนี่เอะอะเว่อร์ตลอด ๆ !
“ถ้างั้น พรุ่งนี้...
ขอพี่ตามไปนอนกับแนนที่บ้านด้วยคนได้ไหมล่ะครับ?” ถ้าเป็นคนอื่นคงดีดดิ้นเดือดร้อนเพราะถ้อยคำคนรัก
แต่สารินกลับทึกทักเอาว่าอีกฝ่ายเปิดโอกาสให้ตนเต๊าะต่อได้ จึงไม่แปลกหากเด็กเต็กหัวไข่แทบจะโก่งคอพ่นไฟใส่ว่าที่นายสัตวแพทย์อยู่รอมร่อ
“อีกแล้ว
เรื่องนี้อีกแล้ว! ถามจริง... นี่พี่รินไม่กลัวป๊าแนนคว้าลูกซองมายิงเป่าสมองสักนิดเลยหรือไง?”
นอกจากเรื่องที่ต้องอดตาหลับขับตานอนเป็นเพื่อนตนแล้ว
การเปิดตัวกับครอบครัวพงษ์พินิจรุ่งโรจน์ก็ไม่ใช่หัวข้อสนทนาแปลกใหม่ที่สารินมักจะหาช่องพูดคุยกับหนุ่มแว่นอยู่เกือบตลอด
ไม่สิ... อันที่จริงต้องบอกว่า หลังจากหนุ่มรุ่นน้องได้พบปะกับคุณย่าและหมีพ่อโดยพร้อมเพรียงไปเมื่อวันเสาร์ที่แล้ว
หมีลูกก็ตั้งหน้าตั้งตาหาฤกษ์เข้าพบบุพพการีของสกลรัว ๆ ทั้งที่เด็กเต็กย้ำนักย้ำหนาว่า
ครอบครัวเขาอาจจะรับความจริงข้อนี้ไม่ได้
“ถึงพี่จะเกรงใจป๊าแนน
แต่จะเร็วจะช้ายังไง สุดท้ายพี่ก็ต้องไปกราบท่านอยู่ดีไม่ใช่เหรอครับ?” สารินพยายามต้อนน้องให้จนมุม
แต่อีกฝ่ายก็ยืนกรานกระต่ายขาเดียวไม่ต่างไปจากทุกทีที่ทั้งสองคุยเรื่องนี้กัน
“ก็จริง... แต่ยังไงก็ต้องไม่ใช่พรุ่งนี้!” สีหน้าเศร้าหมองของว่าที่หมอหมาทำเอาคนเป็นน้องต้องรีบอธิบายตัวเองให้จ้าละหวั่น
“ฮื่อออพี่ริน ก็แนนบอกพี่รินหลายครั้งแล้วไงว่าแนนขอเวลาทำใจอีกนิด! แนนไม่รู้จริงๆ ว่าแนนจะเริ่มพูดเรื่องนี้กับที่บ้านยังไง
แนนกลัวว่าพอบอกไปแล้วทุกคนจะรับเรื่องของเราสองคนไม่ได้ ขนาดกับม่าที่แนนเล่าให้ฟังได้ทุกเรื่อง
แนนยังไม่กล้าเสี่ยงคุยเรื่องพี่รินด้วยเลย”
“ทำไมล่ะครับ?
ม่าแนนอาจจะโอเคเหมือนม่าพี่ก็ได้นะ” ต่อให้อยากบอกเล่าทุก ๆ เรื่องราวเบื้องหลังให้น้องฟังใจจะขาด
แต่หากเด็กน้อยยังไม่แสดงจุดยืนด้านความสัมพันธ์ระหว่างเขาทั้งคู่อย่างชัดเจน
สารินก็เลือกที่จะเก็บงำความลับดังกล่าวเอาไว้กับตัวจนกว่าจะได้ยินสิ่งที่ต้องการ
“โห่...
ไม่เอาหรอกพี่ริน! เกิดม่าสั่งให้แนนเลิกกับพี่
แนนต้องเฮิร์ทตายแหง ๆ เลยอ้ะ” หนุ่มแว่นบ่นกระปอดกระแปดเมื่อยิ่งนึกภาพตาม ก็ยิ่งทำให้ใจหัวเขาฝ่อไปกันใหญ่
“แต่ถ้าเราไม่บอกพวกท่าน
จะไม่เท่ากับว่าเราสองคนกำลังหลบเลี่ยงปัญหาอยู่เหรอครับ?”
“หึ! ไม่หรอก” คนเห็นผีส่ายหัวดิกพร้อมกับพูดอธิบายแนวทางของตัวเองอย่างแน่วแน่
“แนนตั้งใจว่ากลับบ้านไปคราวนี้ แนนจะลองแย็บ ๆ ถามดูท่าทีทุก ๆ คนก่อนน่ะ ถ้าแววดี...
แนนจะพาพี่รินไปแกรนด์โอเพนนิ่งกับป๊าม้า อาม่า พี่เม่ย และปีเตอร์ให้ไวเลย”
“แล้วถ้าเกิดแววไม่ดีล่ะครับ?”
“...ง่าาาา...
ไม่ดราม่าได้ไหมอ่ะ แนนเครียดนะ... ไม่ใช่ไม่เครียด” เด็กเต็กชักสีหน้า จิกตา และทำปากบึนใส่
หวังให้คนโตกว่ายอมรามือแต่โดยดี แต่สารินกลับดื้อกว่าที่คิด
“พี่ว่าพรุ่งนี้แนนพาพี่ไปแนะนำตัวกับทุก
ๆ คนในบ้านเลยดีกว่าครับ เดี๋ยวพี่จะออกหน้าเจรจากับป๊าและอาม่าของแนนเอง รับรองว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย”
สารินไม่มีทางเลือกมากนักหลังจากอาม่าใหญ่ยื่นคำขาดกับเขาเมื่อไม่ถึงชั่วโมงก่อน
เด็กสัตว์แพทย์ปีสามจึงหวังใช้สถานการณ์คับขันเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาของเด็กน้อยให้ยอมรับความสัมพันธ์ของพวกเขาอย่างเป็นทางการเสียที
พรุ่งนี้... น้องจะต้องพาเขาเข้าบ้านในฐานะแฟนเท่านั้น!
แม้จะรู้สึกติดใจสงสัยขึ้นมาตงิด
ๆ แต่เมื่อคนเห็นผีสัมผัสได้ถึงความขึงขังในน้ำเสียงและแววตาของหมีขาว
หนุ่มแว่นก็กระชากอารมณ์ปรับเปลี่ยนคำพูดคำจาให้อ่อนหวานชวนหวั่นไหวแทนจะไฝว้กันซึ่ง
ๆ หน้า “ฮื่อออ พี่ริน พี่รินอย่าใจร้อนซี่... นะ ขอแนนลองทำตามวิธีที่แนนคิดก่อนนะ
นะครับ”
“แต่พี่ไม่สบายใจเลยนะครับถ้าแนนต้องปิดบังเรื่องของเรากับที่บ้านแบบนี้
พี่รู้สึกเหมือนพี่เป็นตัวปัญหามากกว่...”
“...ฮ้าววว!... แนนง่วงแล้ว ไว้คุยต่อพรุ่งนี้ได้ไหมครับ?” ชายหนุ่มรุ่นน้องเอ่ยแทรกโดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบก่อนจะปิดท้ายด้วยการช้อนตามองออดอ้อนตลบหลัง...
เชื่อเถอะว่าเขายังทำได้มากกว่านี้
“แต่แนนครับ
พี่ยังมีอีกหลายเรื่องเลยนะที่ต้องคุยกับแนนให้รู้เรื่องก่อนแนนกลับถึงบ้านพรุ่งนี้น่ะ”
หมีขาวเริ่มออกอาการลุกลี้ลุกลน แต่คนที่เดินเกมเหนือกว่า ยังคงเป็นหลานอาม่าใหญ่
“น่า นะ นะ...
ค่อยคุยพรุ่งนี้ทีเดียวแล้วกันนะพี่ริน คืนนี้น้องง่วงแล้ว” เจ้าของเสียงเสนาะแสร้งหาวยืดยาวพลางทอดตัวลงนอนหนุนตักแน่น
ก่อนหลับตาพริ้มจนมุมปากของสารินยกขึ้นยิ้มตามอย่างช่วยไม่ได้
“ครับ ๆ นอนก็นอนครับ”
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
“พี่จูหวัดดีครับ...
แนนครับ นี่พี่จูครับ... พี่จูช่วยม่าพี่ดูแลบ้าน ดูแลพี่มาตั้งแต่พี่ยังเป็นเด็ก
ๆ น่ะครับ” สารินแนะนำเด็กน้อยให้ทำความรู้จักกับสมาชิกเก่าแก่อีกหนึ่งคนของบ้าน
คนเห็นผีในสภาพสดใสหลังจากได้พักผ่อนจนเต็มตาก็ตั้งหน้าตั้งตาแสดงความเคารพอีกฝ่ายอย่างเต็มอกเต็มใจ
“สวัสดีครับพี่จู
ผมชื่อแนนครับ”
“สวัสดีค่ะน้องแนน”
คนพูดยิ้มหวานพร้อมรับไหว้ชายหนุ่มก่อนจะหันกลับไปเฝ้าหม้อใบใหญ่เหนือเตาแก๊สข้าง
ๆ หล่อน
“อาม่าล่ะครับพี่จู?”
สารินตั้งคำถามหลังจากไร้เงาของผู้เป็นย่าทั้งที่เวลาก็จวนจะสิบโมงเต็มที
“อ๋อ อาม่าออกไปทำธุระกับเพื่อนที่ชมรมไทเก็กเมื่อกี๊เองค่ะ...
น้องริน น้องแนนไปนั่งรอที่โต๊ะเลยค่ะ เดี๋ยวพี่อุ่นน้ำแกงเสร็จแล้วจะยกไปให้” จูให้คำตอบพร้อมเชื้อเชิญเสร็จสรรพ
เจ้าของบ้านจึงฉุดข้อมือน้องให้เดินตามกันไปที่โต๊ะ
“ว้า! อย่างนี้แนนก็ไม่ได้กินข้าวเช้ากับม่าเลยสิ...
ม่าอุตส่าห์ชวนแนนเสียดิบดีตั้งแต่เมื่อต้นอาทิตย์แท้ ๆ เสียดายอ่ะ” หนุ่มแว่นกระซิบกระซาบบ่นกับสารินด้วยความเสียดาย
ว่าที่นายสัตวแพทย์จึงรีบมัดมือชกอีกฝ่ายโดยพลัน
“ไว้วันหลังก็ได้ครับ
ยังไงพี่ก็จะพาแนนกลับมากินข้าวกับม่าบ่อย ๆ อยู่แล้วล่ะ”
“ก็ได้” เด็กเต็กรับคำง่าย
ๆ โดยไม่ทันรู้ตัวเลยว่า โลกใบเล็ก ๆ ที่เคยหมุนรอบบรรดาสหายและหมู่หมาในวิทยาเขตของตนกำลังจะเปลี่ยนวงโคจรไปทีละนิดเสียแล้ว
“แนนนั่งรอพี่แป๊บนะ
เดี๋ยวพี่ไปหยิบน้ำมาให้”
“โอ้โห! ปกติอาม่าทำกับข้าวเยอะขนาดนี้ตลอดเลยเหรอครับ?
กินกันกี่วันจะหมดเนี่ย?” สกลทำตาโตพลางส่งเสียงอย่างตกอกตกใจเมื่อเห็นสำรับกับข้าวที่จูค่อย
ๆ ทยอยนำมาวางเรียงตรงหน้าจนแทบมองไม่เห็นโต๊ะ
“เพราะวันนี้คนพิเศษมากินข้าวที่บ้านยังไงล่ะครับ
ม่าเลยทำอาหารเยอะกว่าปกติ” เจ้าบ้านตะโกนตอบอย่างอารมณ์ดี ส่วนคนฟังที่อยู่ ๆ
ก็มีริ้วเลือดฝาดวิ่งปรู๊ดขึ้นไปกองอยู่บนใบหน้ากลับทำได้แค่นั่งอ้าปากพะงาบ ๆ
ตอบรับความเปิดเผยของคนเกิดก่อนอย่างไม่มีทางต่อสู้ รู้ดังนั้น สารินจึงรีบเดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมกับน้ำเย็นและแก้วสองใบก่อนจะไพล่ไปพูดเรื่องอื่นกลบเกลื่อน
“กินเยอะ ๆ
นะครับ ไม่งั้นม่า ป๊า กับพี่จูคงต้องทนกินกับข้าวพวกนี้ไปตลอดอาทิตย์หน้าแน่ ๆ ”
“โห...
แต่มันเยอะมากเลยนะพี่ริน กินหมดนี่ก็ไม่ต้องเลี้ยงกันแล้ว!” เด็กเต็กกวาดตามองอาหารบนโต๊ะอย่างหวาด ๆ
“หึ หึ ต่อให้แนนกินหมดเรียบ
พี่ก็ยังยืนยันว่าพี่เลี้ยงแนนไหวนะครับ” หมีขาวยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างพึงพอใจ
ในขณะที่อีกฝ่ายกลับรุ่มร้อนคล้ายโดนน้ำมันก๊าดราดแล้วจุดไฟเผาร่าง
“พี่จูยืนอยู่ตรงนี้เอง
พูดมาได้... ไม่อายบ้างหรือไง?!” สกลลดเสียงแผ่วแล้วชะโงกหน้าเข้ากรรโชกใส่เจ้าบ้านที่นั่งตาใสไม่รู้ไม่ชี้อย่างเกรี้ยวกราด
แต่มีหรือที่สารินจะถือสา
“พี่พูดความจริง
พี่จะอายทำไมล่ะครับ?”
“จิ๊! พี่รินไม่อาย แต่แนนอายนี่!”
“อาม่าบอกว่าให้น้องรินกับน้องแนนช่วยกันเหมาน้ำแกงให้หมด
เพราะหม้อนี้อาม่าตั้งใจเคี่ยวให้กินโดยเฉพาะ... ถ้ามีอะไรเรียกพี่ได้นะคะ...
พี่รีดผ้าอยู่ชั้นลอยนี่เองค่ะ” จูผู้โผล่เข้ามาห้ามศึกสั่งความพลางพยายามทำหน้านิ่งเหมือนไม่รู้
แต่แววตาของหล่อนกลับดูแวววาววิบวับเมื่อมองหน้าสารินสลับกับสกลไปมา
“ขอบคุณครับพี่จู”
ว่าที่นายสัตวแพทย์หนุ่มถึงกับหลุดหัวเราะเสียงดังกับท่าทางของมือขวาอาม่า
และหัวเราะร่าเมื่อเห็นน้องมองค้อนตัวเองจนตาแทบจะหลุด แต่แล้วถ้วยต้มจืดขนาดน้อง ๆ อ่างล้างหน้าก็สามารถเบรคอารมณ์ประหม่าของเด็กเต็กได้ชะงัดนัก
“พี่ริน
เราจะกินน้ำแกงหมดได้ไงอ่ะ? ถ้วยตั้งเบ้อเริ่ม!”
“แนนลองชิมดูก่อนสิครับ
รับรอง กินเดี๋ยวเดียวก็หมด” เพราะเห็นคนเป็นพี่ชี้ชวนด้วยสีหน้าภูมิใจ สกลจึงตัดสินใจลิ้มลองเมนูที่ว่าอย่างไม่อิดออด
“หือออ!
อร่อยมากกก!
อร่อยพอ ๆ
กับที่ม่าแนนทำให้กินเลยอ่ะพี่ริน!” คนเห็นผีทำหน้าทำตาสอดรับกับวาจาได้อย่างเหมาะเหม็ง
“ถ้าอร่อยก็กินเยอะ
ๆ ครับ ม่าจะได้ดีใจ” สารินยิ้มพลางจัดแจงบริการตักอาหารอย่างละนิดละหน่อยให้น้องทันที
อีกฝ่ายก็ไม่คิดจะเอาเปรียบหนุ่มรุ่นพี่แต่อย่างใด
“ปลานี่ก็อร่อย...
พี่รินกินสิ” สกลตักเนื้อปลาชิ้นโตแล้วบรรจงวางลงในจานของคนเป็นพี่อย่างตั้งใจ
“ขอบคุณครับ”
เมื่ออาหารรสชาติถูกปาก
มาพร้อมกับบรรยากาศสงบ ๆ เป็นส่วนตัว เด็กน้อยจึงเริ่มรู้สึกผ่อนคลายจนกล้าเอาอกเอาใจสารินอย่างออกนอกหน้าผิดกับเวลาที่อยู่ท่ามกลางเพื่อนฝูง
หรือมีบุคคลอื่น ๆ แวดล้อม ว่าที่นายสัตวแพทย์เลยอาศัยจังหวะดังกล่าว หยิบเอาประเด็นร้อนที่ยังไม่ได้ข้อสรุปขึ้นมาพูดคุยอีกครั้ง
“แนนครับ เดี๋ยวตอนพี่ไปส่งแนนที่บ้าน
ขอพี่ตามแนนเข้าบ้านไปด้วยนะครับ”
“จะดีเหรอพี่ริน?”
“ครับ”
“งั้นแนนจะแนะนำพี่รินว่าเป็นรุ่นพี่ที่มอไปก่อนแล้วกัน”
หนุ่มแว่นสรุปชัด ก่อนจะจัดการสารินด้วยเสียงตะล่อมฟังอ่อนหวาน “นะ... ถือว่าดูลาดเลาก็แล้วกันเนอะ
ป๊ากับอาม่าจะได้ไม่ช็อกตาตั้งไปก่อนเวลาอันควรยังไงล่ะพี่ริน” ไม่พูดเปล่า สกลยังเลื่อนมือไปลูบต้นแขนคนฟังเบา
ๆ คล้าย ๆ ประจบ
“พี่ว่าเรียนพวกท่านไปตามตรงจะดีกว่าครับ”
คนเป็นพี่สวนกลับทันกันจนอีกฝ่ายประกาศกร้าวอย่างเอาแต่ใจ
“ไม่!
ถ้าพี่รินไม่ยอมตามนี้
แนนก็ไม่ตกลงเหมือนกัน!”
“แนนเชื่อใจพี่สักหนได้ไหมครับ?
ปล่อยให้พี่จัดการเรื่องของเราเองเถอะนะครับ ตกลงตามนี้นะ” เพราะเข้าใกล้เส้นตายเข้าไปทุกที
สารินจึงใช้วิธีตีขลุมเอาดื้อ ๆ “เอาล่ะ ทีนี้ก็มาถึงเรื่องสำคัญอีกเรื่องที่พี่อยากจะบอกแนนตั้งแต่หลายวันก่อนแล้วล่ะครับ”
“เดี๋ยวสิพี่ริน! เรายังคุยเรื่องไปบ้านแนนไม่จบ! แนนว่าอย่าเพิ่...” เสียงเรียกเข้าของมือถือเครื่องข้าง ๆ เด็กปีสองที่ดังแผดขึ้นขัดจังหวะทำให้หลานอาม่าใหญ่ลืมเรื่องการเอาชนะสารินไปในพริบตา
“ม่าโทรมา เดี๋ยวแนนรับสายม่าก่อนนะพี่ริน”
“ครับม่า!” โดยไม่รู้ตัว ใบหน้าที่ติดบึ้งนิด ๆ
ของหนุ่มแว่นกลับเปลี่ยนเป็นคลี่ยิ้มหวานทันทีที่รับสายผู้เป็นย่า...
ว่าที่นายสัตวแพทย์ก็เพิ่งเห็นกับตาวันนี้นี่แหละว่า ไม่ใช่แค่เพียงผู้อาวุโสที่ดีใจเมื่อได้คุยกับหลานชายสุดที่รัก
หากแต่น้องเองก็มีความสุขทุกครั้งที่ได้ยินเสียงของคุณย่าใหญ่เช่นกัน
((โซ๊ยตี๋ ลื้ออยู่หนาย?
มื่อหล่ายลื้อจะกับถึงบั้ง?!)) เด็กเต็กชำเลืองมองสารินเลิ่กลั่ก ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบคำถามอาม่าตามตรงเพราะไม่อยากโกหกทั้งต่อหน้าและลับหลังรุ่นพี่ปีสาม
“แนนกินข้าวเช้าอยู่ที่บ้านรุ่นพี่ครับม่า
เดี๋ยวพอกินข้าวเสร็จ แนนก็จะกลับบ้านแล้วล่ะครับ ม่าไม่ต้องเป็นห่วงนะ”
((ลื้อกับกุงเทบตั้งกะมื่อไหล่?
มื่อเช้านี้หลอ?)) เสียงของคนปลายสายฟังคาดคั้นและไม่สบอารมณ์จนสกลใจแป้ว
“เปล่าครับม่า
พอดีเมื่อคืนแนนติดรถรุ่นพี่กลับมา” หนุ่มแว่นละล่ำละลัก... ไม่โกหก แต่ขอกั๊กข้อมูลบางส่วนก็ไม่น่าจะผิดกติกาหรอกมั้ง
((อ้าว!
แล้วทำไมลื้อไม่ทอสับบกม่า
ม่าจะได้ให้อาชาวไปลับกับบั้ง... ห๊า! ทำไมลื้อไม่กับบั้งตั้งกะมื่อคืนล่ะอาโซ๊ยตี๋?!)) ยิ่งไม่พอใจ อาม่าใหญ่ก็ยิ่งโหวกเหวกโวยวายเสียงดังจนคนฟังต้องยกโทรศัพท์ออกห่างตัว
“คือตอนที่แนนมาถึงมันดึกแล้วไงม่า
แนนเลยไม่อยากกวนม่า ไม่อยากกวนพี่เชาว์ อีกอย่าง... ม่าบอกแนนเองไม่ใช่เหรอครับว่าไม่อยากให้แนนนั่งแท็กซี่คนเดียวดึก
ๆ ดื่น ๆ พอรุ่นพี่ชวนแนนนอนค้างที่บ้านด้วย แนนก็เลยโอเค ดีกว่าเสี่ยงดวงบนแท็กซี่เยอะเลย
เนอะม่าเนอะ” สกลชักแม่น้ำทั้งห้ามาหว่านล้อมอาม่าให้ใจเย็นลง
((แล้วอาลุ่งพี่คงนี้อีเป็งคาย?
ลื้อหม่ายด่ายกวนอีช่ายหลือป่าว?)) เห็นได้ชัดว่าแผนการของเด็กเต็กหัวไข่ประสบผล
เพราะแทนที่จะสวดหลานชายอีกยกใหญ่ หญิงชรากลับหันเหความสนใจไปที่รุ่นพี่ซึ่งหนุ่มแว่นอ้างถึงในทันใด
สกลจึงอดลำพองใจไม่ได้
“โอ๊ยยย!
ไม่กวนเลยม่า แนนนะสนิทกับรุ่นพี่คนนี้ม้ากมาก...
นี่ ๆ เดี๋ยวพอกินข้าวเสร็จ พี่เขายังจะขับรถไปส่งแนนถึงที่บ้านด้วยน้า”
คนเห็นผีโอ้อวดสรรพคุณและความใกล้ชิดสนิทสนมเพื่อทำให้ย่าของตนคลายใจไม่ถามซอกแซก
แต่ที่ไหนได้...
((ลี ลี งั้งลื้อก็ชวงอีอยู่กิงเข้ากังวังพ้อมกังเลยสิ
อาป๊ากับอาม้าลื้อก็อยู่... อั๊วจะได้ขอบคุงอีที่ช่วยดูแลลื้อทีเลียวเลย))
“ห๊ะ?!!
เอางั้นเหรอม่า?! ไม่ดีม้าง พี่เขาอาจจะไม่ว่างก็ได้นะม่า
แนนเกรงใจเขาอ่ะ” เด็กปีสองแทบหลุดปากกรีดร้องอย่างเสียสติเมื่อได้ฟังคำสั่งล่าสุดของอาม่าผู้เป็นใหญ่ในบ้าน...
ไม่เอา!
เขาไม่อยากเลิกกับพี่ริน!
ไม่ได้! จะให้หมีขาวไปเจออาม่าไม่ได้เด็ดขาด!
((ลื้อก็ชวงอีไว
ๆ ซี่ ลีบชวงก่องอีจาติกทู้ล้าสิ))
“แต่ม่าคร...”
((เอาน่า...อั้วอยากเจออาลุ่งพี่คงนี้ของลื้อจิง
ๆ ))
“กะ.. ก็ได้ครับ”
((ลี ลี...
ลีมั่ก! กิงเข้าเช้าเส็กก็อย่าโอ้เอ้ล่ะอาโซ๊ยตี๋
ลีบกับไปลออั๊วที่บั้ง เดี๋ยวอั๊วทำทู้ล้าเส็กเลี้ยวอั๊วจะลีบกับไป))
“อ้าว!
นี่ม่าอยู่ข้างนอกเหรอครับ?
ม่าอยู่ไหนอ่ะ?” ทันทีที่ตีโต้จนหลานรักแตกพ่ายและได้ผลสรุปดั่งใจ อาม่าใหญ่ก็ชิงตัดสายใส่หลานรักอย่างไม่นึกปรานี
“ม่า!
ม่า!
เดี๋ยวดิม่า!”
“พี่ริน?!” หนุ่มแว่นเลื่อนสายตาสับสนมาจับจ้องใบหน้าของว่าที่หมอหมาเพื่อหาทางออกกับปัญหาเร่งด่วนล่าสุด
“พี่ได้ยินแล้วครับ”
ฝ่ายสารินที่รับรู้บทสนทนาทั้งหมดไปพร้อม ๆ กันก็รับคำทื่อ ๆ
พลางคิดใคร่ครวญถึงเหตุผลเบื้องหลังการกระทำของผู้อาวุโสอย่างขมักเขม้น
“ทำไงดี?... ม่าจะให้พี่อยู่กินข้าวกลางวันที่บ้านด้วย!” สีหน้าของเด็กมืดมนราวกับคนแบกโลกเอาไว้ทั้งใบ
ที่สุดแล้วรุ่นพี่ก็เข้าใจ...
อาม่าคงจะรู้แน่ว่า เขาจะยอมอ่อนข้อลงให้น้องจนแผนการล้มเหลวไม่เป็นท่า
ไม่อย่างนั้นท่านคงไม่ทำแบบนี้ สารินจึงปลอบใจน้องให้คลายกังวล
“มันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่แนนคิดก็ได้นะ”
“น้อยไปสิพี่ริน!
ถ้าม่าเห็นเรา ม่าต้องดูออกแน่ ๆ ว่าพี่รินกับแนนมีซัมติงรองกันมากกว่ารุ่นพี่รุ่นน้อง
... ซวยแล้ว! ความแตกแหง
ๆ ! เรดาร์จับพิรุธของม่ายิ่งแม่น
ๆ อยู่ด้วย!”
สกลกัดปลายนิ้วหัวแม่มือพลางนั่งเขย่าขาอย่างปริวิตก
“แนน... ใจเย็นก่อนครับ
ตอนนี้เราคงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้วล่ะ พี่ว่า... เรามากินข้าวให้เสร็จก่อนดีไหม
แล้วค่อย ๆ คิดกันอีกทีว่าจะเอายังไงกับมื้อกลางวัน” คนเป็นพี่ดึงมือน้องออกจากปากแล้วกุมเอาไว้พร้อม
ๆ กับลูบขาเด็กน้อยไม่ให้แกว่งแข่งกับความคิดวุ่นวายในหัว
“ทำให้เสร็จไปทีละอย่างใช่ไหมพี่ริน?”
เจ้าของประโยคถามด้วยสายตาเลื่อนลอยด้วยยังพะวงกับอนาคตอันใกล้ไม่หาย สารินจึงพูดให้สติอีกฝ่ายซ้ำ
ๆ
“ครับ
ทำให้เสร็จไปทีละอย่าง” เห็นเด็กน้อยถอนหายใจยาว คนเป็นพี่จึงพูดดักคอล่วงหน้า
“แต่ต้องทำแต่ละอย่างอย่างเต็มที่ด้วยนะครับ”
“ก็ได้...
เห็นแก่กระดูกหมูกับเห็ดหอมตุ๋นสุดยอดความอร่อยหรอกนะ!” สกลสลัดเรื่องที่ยังมาไม่ถึงทิ้งไป ก่อนจะเริ่มลงมือกินอาหารเช้าอันโอชะอย่างตั้งอกตั้งใจอีกครั้ง
“หึ หึ
งั้นก็กินเยอะ ๆ ครับ”
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
“สรุปเราจะเอาไงกันดีล่ะพี่ริน?”
ตุ๊กตาหน้าแว่นถามขึ้นทันทีที่คนขับเคลื่อนรถพ้นรั้วบ้าน
“เอาตามที่พี่บอกนั่นแหละครับ
ดีที่สุดแล้ว”
“แต่มันจะดีเหรอพี่ริน?
แนนใส ๆ นะ แนนไม่ชอบดราม่า” สกลออกตัวแรงเมื่อหางตาปรายไปเห็นเวลาตรงคอนโซลหน้ารถ...
ใกล้เที่ยงเต็มที พวกเขาจะหนีความจริงไปได้อีกสักกี่น้ำ?!
“ตราบใดที่เราสองคนยังคบกัน
วันดีคืนดี เราก็หนีการคุยกับที่บ้านไม่พ้นหรอกครับ” คนฟังทำหน้ายุ่งจนสารินต้องโยนหินถามทางอย่างเสียไม่ได้
“หรือแนนไม่อยากบอกเรื่องพี่กับที่บ้าน?”
“ไม่ใช่แบบนั้นเสียหน่อยพี่ริน! แนนอยากบอก
แนนอยากอวดพี่รินกับทุกคนในบ้านจะตาย” หลานอาม่าใหญ่โวยวายอย่างหลุดฟอร์มทันทีที่คำถามทำนองตัดพ้อหลุดจากปากคนรักที่มักจะมองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ
“ถ้างั้นก็ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้วล่ะครับ
พี่จะรับผิดชอบทุกอย่างเอง” ได้ยินดังนั้น คนขับจึงรวบตึงสรุปทุกอย่างตามที่ตนต้องการอย่างหนักแน่นจนอีกฝ่ายคล้อยตาม
“โอเค! เป็นไงก็เป็นกัน!... ถ้าม่าหรือป๊าห้ามเราคบกัน พี่รินต้องไม่ยอมนะ
ตกลงไหม?” เด็กเต็กหัวไข่จับมือข้างซ้ายของสารินเอาไว้มั่นพลางตั้งใจว่าจะไม่ปล่อยมือคนเป็นพี่ง่าย
ๆ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม
“พี่ไม่มีวันเลิกกับแนนแน่นอนครับ
แนนสบายใจได้” ว่าที่นายสัตวแพทย์สำทับอีกครั้งเพื่อตอกย้ำให้น้องยิ่งมั่นใจ
“แนนก็ไม่มีวันเลิกกับพี่
ต่อให้โดนป๊าม้ากีดกัน แนนก็จะสู้!... เดี๋ยว! นี่มันแถวบ้านแนนนิ! บ้านพี่รินอยู่ใกล้บ้านแนนขนาดนี้เลยเหรอ?!” อึดใจที่สังเกตเห็นว่าสภาพแวดล้อมสองข้างทางเริ่มจะดูคุ้นหูคุ้นตา
กับท่าทางนิ่ง ๆ ของสารินทำให้เด็กสถาปัตย์เริ่มลนลาน
“ครับ”
จังหวะที่รุ่นพี่รับคำ
พาหนะที่ทั้งสองนั่งโดยสารก็มาถึงยังหน้าบ้านตึกหลังใหญ่อันเป็นนิวาสถานของหนุ่มแว่นมาตลอดยี่สิบปี
แต่แปลกที่วันนี้รั้วกว้างหน้าบ้านถูกเปิดอ้าซ่าเอาไว้คล้ายกำลังรอรับแขก สกลเบิกตาโพลงเมื่อเห็นสารินค่อย
ๆ ถอยรถเข้าจอดตรงซองที่เหมือนกับเจ้าของบ้านจงใจเว้นว่างเอาไว้โดยเฉพาะด้วยท่าทางชำนิชำนาญ
“เฮ่ยเดี๋ยว! นี่มันอะไรกัน?! ทำไมพี่รินถึงรู้ว่าบ้านแนนอยู่ไหน?
พี่รินรู้ได้ยังไง?!!”
“ก็นี่แหละครับคือเรื่องสำคัญที่พี่อยากจะบอกกับแนนมาตั้งนานแล้ว”
คนขับดับเครื่องแล้วเบี่ยงตัวนั่งจ้องหน้าน้องอยู่นานสองนานจนสมองเด็กเต็กด้านงานมโนถูกปลุกเร้าให้ลุกขึ้นมาทำงานอย่างขยันขันแข็ง
“เรื่องอะไร?! พี่รินจะบอกอะไรแนน?!” ความกลัวค่อย ๆ คืบคลานเข้ากัดกินใจหลานอาม่าใหญ่มากขึ้นขณะ
ใบหน้าตี๋ ๆ ที่ดูหล่อเหลาเริ่มจะหลอกหลอนเขาให้ยิ่งรู้สึกหวาดหวั่น
.
.
.
.
.
“...คือพ...”
“น้องแนน” ยังไม่ทันที่สารินจะได้เอ่ยคำใด
พี่เลี้ยงร่างท้วมของเด็กเต็กหัวไข่ก็เคาะกระจกเรียกความสนใจของทั้งคู่เข้าเสียก่อน
“น้องแนนมีของอะไรให้พี่ช่วยขนขึ้นห้องหรือเปล่าคะ?”
สกลหันไปมองพี่เม่ย
สลับกับมองหน้าคนขับ แล้วกลั้นใจออกคำสั่งกับสารินอย่างขึงขัง “พี่รินตามแนนขึ้นห้องเดี๋ยวนี้เลย!”
“แนนครับ
แนนฟังพี่ก่อนนะ พี่มีคำอธิบายเกี่ยวกับทุกเรื่อง ขอแค่แนนยอมเปิดใจรับฟังพี่ให้จบ...
ตกลงนะครับ” ว่าที่นายสัตวแพทย์อ้อนวอนคนรักทันทีที่ทั้งสองอยู่ในห้องหับมิดชิด ฝ่ายคนฟังก็ยืนหลับตาพลางสูด
และผ่อนลมหายใจหนัก ๆ เพื่อตั้งสติ
“ก็ได้ แนนจะให้โอกาสพี่รินอธิบาย”
หลานอาม่าใหญ่กลั้นใจตอบขณะยืนกอดอกมองสารินหัวจรดเท้าอย่างระแวดระวังอยู่ห่าง ๆ อย่างรักษาระยะ
“ขอบคุณครั...”
“พี่รินรู้จักแนนมานานหรือยัง?”
“ก็หลายป...”
“พี่รินรู้จักทุกคนในบ้านแนนด้วยใช่ไหม?”
“ค..”
“เพราะอะไร?
ทำไมพี่รินถึงได้ทำแบบนี้?! ชอบแนนมานานแล้วทำไมไม่บอกกันดี ๆ ล่ะ?”
“พี่คือ... หืม?!” หมีโพลาร์ถึงกับผงะเมื่อได้ยินประโยคล่าสุดของเด็กน้อย
“สรุปนี่พี่รินเป็นสตอล์คเกอร์จริง
ๆ ใช่ไหม?” เด็กเต็กหยีตามองคู่สนทนาอย่างจับผิด... การถูกตามสอดส่อง
ถูกจับจ้องไม่วางตา ถูกรักถูกบูชาอยู่ฝ่ายเดียวมันให้ความรู้สึกน่าสะพรึงระคนสุขสันต์แบบนี้นี่เอง
“ห๊ะ?! เมื่...”
“พี่รินเป็นสตอล์คเกอร์ใช่ไหม?
ยอมรับกับแนนมาตรง ๆ เถอะ!”
“เดี๋ยวครับ! พี่ว่าแน...”
“พี่รินเป็...
อุ๊บ!”
ก่อนสกลจะเพ้อคลั่งยิ่งไปกว่านี้
หนุ่มรุ่นพี่ก็รุดเข้ารวบตัวเด็กน้อยแล้วปิดริมฝีปากที่พูดจ้อย ๆ
ไม่คอยคำตอบให้เงียบลง “แนนครับ
พี่ไม่ได้เป็นสตอล์คเกอร์ครับ พี่คือพี่รินของแนนเมื่อเก้าปีก่อนไง”
หนุ่มแว่นหัวไข่สะบัดหน้าไปมาจนริมฝีปากสามารถเปล่งวาจาสื่อสารได้อีกครั้ง
“พี่ริน?! พี่คือพี่รินจริง ๆ น่ะเหรอ?” สีหน้าของสกลในยามนี้ดูจะตื่นตะลึงยิ่งกว่าไม่กี่นาทีก่อนหน้าอยู่มากโข
“ครับ”
“จริงอ่ะ?”
หลานอาม่าใหญ่ใช้สองมือประคองใบหน้าของสารินบิดไปมาพลางตั้งใจมองอย่างมุ่งมั่นคล้ายกำลังพยายามขุดค้นความทรงจำเก่า
ๆ เกี่ยวกับสารินในอดีตให้ย้อนคืน
“จริงสิครับ” คนโตกว่าทำหน้าไม่ถูกเมื่อเห็นน้องสำรวจตรวจสอบตนเองอย่างละเอียดละออทุกซอกทุกมุม
“งั้นบอกมาสิว่าเมื่อก่อนแนนสะสมอะไร?”
คนเห็นผีเชิดหน้าพลางจิกตามองสารินอย่างไม่ไว้ใจ
“การ์ดโปเกมอน
ถุงเท้ามีนิ้ว แล้วก็แบงค์ใหม่เลขสามตัวท้ายเรียงกันครับ” ว่าที่นายสัตวแพทย์ใช้เวลาไม่นานในการระลึกถึงตัวตนและความชอบของน้องในอดีต
“ไหนพี่รินลองยิ้มซิ...
ขมวดคิ้ว... ทีนี้ก็หันซ้าย... หันขวา” พ่อหมีขาวให้ความร่วมมือกับชุดคำสั่งดังกล่าวอย่างเต็มที่
ซึ่งเมื่อตั้งใจใคร่ครวญ ภาพสีหน้าแบบต่าง ๆ ของชายหนุ่มรูปหล่อหมดจดตรงหน้าก็ซ้อนทับภาพของเด็กชายหน้าตี๋ที่ดูทั่ว
ๆ ไปในความทรงจำเมื่อเก้าปีก่อนของสกลได้อย่างพอดิบพอดีในท้ายที่สุด “อืมมม ใช่พี่รินจริง
ๆ ด้วย”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“เอาล่ะ พี่รินมีอะไรอยากจะพูดก็พูดมา”
ความเงียบถูกทำลายลงในพริบตาด้วยน้ำเสียงราบเรียบเฉียบขาดของหนุ่มแว่นหลังจากเจ้าตัวนิ่งไปนาน
ฝ่ายสารินก็รู้ได้โดยพลันว่าเด็กน้อยของเขากำลังสะกดกลั้นอารมณ์ไม่ให้ปะทุอย่างเต็มความสามารถ
ชายหนุ่มจึงกระชับความให้สั้นและเข้าใจง่าย
“สาเหตุที่พี่รู้จักบ้านแนนเป็นอย่างดีเพราะช่วงหลัง
ๆ อาม่าพี่กับอาม่าแนนไปมาหาสู่กันประจำ พี่เลยขออาม่าเป็นคนคอยดูแลสุขภาพให้เจ้าปีเตอร์ไปด้วยเลยน่ะครับ”
“ไอ้ที่อยากจะบอกแนนน่ะหมดหรือยัง?”
“ครับ
หมดแล้วครับ”
“ดี
งั้นพี่รินตอบแนนมาสิว่าทำไมเมื่อเก้าปีก่อนพี่รินต้องโกหกแนนเรื่องเบอร์นาร์ดด้วย?”
เด็กสถาปัตย์ปรายตามองคนโตกว่าด้วยสายตาเชือดเฉือน
“ตอนนั้นพี่ให้สัญญากับอาม่าเอาไว้ว่า
พี่จะไม่บอกแนนเรื่องเบอร์นาร์ดน่ะครับ พี่ขอโทษที่ต้องโกหกแนนนะ...
แต่พี่ทนเห็นแนนเสียใจไม่ได้จริง ๆ ” สารินสารภาพความผิดอย่างหมดเปลือก
“โอเค เรื่องเบอร์นาร์ดน่ะช่างมันเถอะ...
แนนทำใจได้นานแล้วล่ะ” ประโยคตอบรับของหลานอาม่าใหญ่ทำให้คนฟังใจชื้นได้เพียงชั่วครู่ชั่วยาม
เพราะคำถามถัดมากลับอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกกดดันระคนผิดหวังจนชายหนุ่มรุ่นพี่สัมผัสได้
“แต่ตอนนี้ แนนชักอยากฟังเหตุผลที่ทำให้พี่กล้าโกหกแนนว่าไม่รู้จักกันมาก่อนเสียแล้วสิ...
ทำไมพี่ ทำไมต้องหลอกแนนด้วย?”
“แนนจำวันที่พี่มาตรวจร่างกายเจ้าปีเตอร์เมื่อหลายอาทิตย์ก่อนได้ไหมครับ?”
“อืม”
“วันนั้นเป็นวันแรกที่พี่เองก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าหลานอาม่าใหญ่
กับหนุ่มแว่นในตำนานคือคน ๆ เดียวกัน”
“แล้วมันเกี่ยวกับการที่พี่รินฟอร์มว่าไม่รู้จักครอบครัวแนนตรงไหน?!” เด็กเต็กแหวใส่ด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว
“เพราะมันทำให้พี่รู้ว่าอาม่าคิดจะจับคู่เราสองคนยังไงล่ะครับ”
“หา?!” เพราะเห็นน้องออกอาการเหวออย่างแรง
หมีโพลาร์จึงรีบอธิบายเสริมแข่งกับเวลา
“ที่อาม่าขอให้แนนอยู่กินข้าวกลางวันกับพี่
เป็นเพราะอาม่าอยากให้พี่กับแนนเจอกัน... กับพี่ ท่านบอกแค่ว่าอยากให้พี่มาลองชิมกระเพาะปลาสูตรใหม่ที่บ้านเฉย
ๆ ไม่มีอะไรพิเศษ”
“แล้ว?”
“พอพี่รู้ว่าแนนคือรุ่นน้องต่างคณะที่คอยพาหมาทั้งมอมาหาหมอที่โรงบาลสัตว์จนทุกคนในคณะพี่รู้จัก
พี่ก็รู้ตัวเดี๋ยวนั้นเลยว่าพี่ชอบแนน... พี่ชอบแนนมากขนาดคิดจะจีบเป็นแฟนให้เป็นเรื่องเป็นราว
แต่พอพี่ลองคิด ๆ ดู เกิดแนนทำความรู้จักพี่ผ่านความช่วยเหลือของอาม่า น่ากลัวว่าเรื่องระหว่างเราอาจจะไม่ลงเอยอย่างทุกวันนี้ก็ได้”
สารินพรั่งพรูความลับความหลังอย่างไม่หมกเม็ด
“...”
“พี่อยากให้แนนรู้จักตัวตนของพี่
อยากให้แนนเปิดใจรับพี่ อยากให้แนนมองเห็นพี่ในฐานะคน ๆ
หนึ่งที่รักและอยากดูแลแนนแบบคนพิเศษ ไม่ใช่แค่เพื่อนเล่นวัยเด็ก... ไม่ใช่หลานชายเพื่อนสนิทอาม่าน่ะครับ
แนนเข้าใจพี่ใช่ไหม?”
“...”
แม้จะไม่ได้โต้ตอบ
หากแต่แววตาภายใต้กรอบแว่นหนาที่เคยแข็งกร้าวเมื่อไม่กี่อึดใจก่อน กลับค่อย ๆ อ่อนลงอย่างช้า
ๆ ... สารินแน่ใจว่าน้องกำลังตั้งใจฟังทุก ๆ คำของเขา ชายหนุ่มจึงยืนยันความเชื่อของตัวเองอีกครั้งอย่างหนักแน่น
“พี่คิดว่า ความรู้สึกของพี่ที่มีให้แนน สำคัญกว่าการที่เราเคย
หรือไม่เคยรู้จักกันมาก่อนน่ะครับ”
“แต่พี่รินบอกแนนเองไม่ใช่เหรอว่าเราจะไม่โกหกกัน
ตอนเด็ก ๆ พี่รินก็รับปากแนนเองนี่นาว่ะพี่รินจะไม่โกหกแนน แล้วทำไมพี่รินถึงยังกล้าโกหกแนนอยู่อีก?”
หลานอาม่าใหญ่ขึ้นเสียงเมื่อเหตุผลของอีกฝ่ายไม่ได้ทำให้ประเด็นหลักกระจ่างเลยสักนิด
คนผิดยอมรับโทษโดยดุษณี
ก่อนจะเอื้อนเอ่ยถ้อยคำที่คู่ควรกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างจริงใจที่สุด“พี่ขอโทษแนนจริง
ๆ นะครับที่พี่โกหก” สารินประสานสายตากับคู่สนทนานิ่งนานเพื่ออ้อนวอนขอโอกาส
ค้อนวงใหญ่ที่ตบท้ายด้วยแววกระเง้ากระงอดของลูกแก้วใสยุแยงให้ว่าที่นายสัตวแพทย์ทำใจกล้าอีกครั้ง
“แนนครับ... พี่ถามแนนตรง ๆ ได้ไหมครับว่า ถ้าแนนรู้ว่าแนนโดนอาม่าจับคู่ให้ทำความรู้จักกับพี่
แนนจะไม่งอแง ไม่ตั้งแง่ใส่พี่ และเปิดโอกาสให้พี่เข้าใกล้ดี ๆ อย่างนั้นใช่ไหมครับ?”
“ใช่สิ! เห็นแนนเป็นแบบนี้ แต่แนนก็คนมีเหตุมีผล แยกแยะผิดถูกได้อยู่นะ”
แม้จะโดนเด็กน้อยแดกดัน
แต่ว่าที่หมอหมาก็ยังกำลังใจเต็มเปี่ยม เพราะอย่างน้อย ๆ น้องก็ยังคงยืนนิ่งยอมให้เขากอดอยู่เหมือนเดิม
“ฮื่อ ตอบพี่ตามตรงสิครับ อย่าโกหกเพราะอยากเอาชนะพี่”
.
.
.
“...อือ... แนนก็คงเหม็นหน้าพี่อยู่มากเหมือนกันแหละ”
“ทำไมล่ะครับ?”
“...ไม่รู้ดิ...”
ถึงปากจะบอกไม่ แต่หลานอาม่าใหญ่กลับยังครุ่นคิดหาคำตอบให้กับคำถามของรุ่นพี่อย่างเอาเป็นเอาตาย “คงเพราะโตจนหมาเลียก้นไม่ถึง ถ้าจะรักจะชอบใครก็น่าจะหัดจีบเองได้แล้ว
ไม่น่าจะต้องพึ่งม่า... อะไรอย่างนั้นล่ะมั้ง” สกลพูดไม่เต็มเสียงเนื่องจากเพิ่งตระหนักว่า
หมีโพลาร์อ่านเกมขาดมาตั้งแต่แรกจริง ๆ
“นั่นแหละครับ
อีกสาเหตุที่ทำให้พี่ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะยังไม่บอกแนนเรื่องที่พี่รู้จักกับม่า...
จนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม” เด็กสัตว์แพทย์ปีสามเปิดเผยความลับสูงสุดแก่คู่กรณี
จนคนเห็นผีเริ่มจะหงุดหงิดกับความช่างคิด ช่างวางแผนของอีกฝ่าย
“แล้วไง?! ถ้าอาม่าไม่ชวนพี่รินมากินข้าวด้วยกัน
พี่รินก็จะโกหกแนนไปเรื่อย ๆ อย่างนั้นใช่ไหม?” หนุ่มแว่นตีรวนด้วยสีหน้ายียวนชวนทะเลาะ
แต่สารินกลับยิ้มกว้างส่งให้แล้วจึงอธิบายอย่างนุ่มนวล
“พี่รอจนแน่ใจว่าแนนพร้อมจะบอกเรื่องที่เราคบกันต่อหน้าทุก
ๆ คนแล้วต่างหากล่ะครับ ซึ่งถ้าแนนยังจำได้ พี่พยายามขอตามแนนกลับบ้านทุกครั้งที่มีโอกาส
ถูกไหมครับ?”
“!!!”
และแล้ว
เด็กเต็กก็ถึงบางอ้อ...
การที่สารินเฝ้าจู้จี้จุกจิก
กดดันสลับหว่านล้อมกล่อมให้เขาตัดสินใจกลับบ้านพร้อมกันตั้งแต่หลังเจออาม่ากับป๊าเมื่ออาทิตย์ก่อน
แถมยังคอยตอด คอยเต๊าะขอตามเขาเข้าบ้านด้วยจนน่ารำคาญ... ทั้งหมดมันมีที่มาที่ไปแบบนี้เองเหรอ?!
“พี่รู้ดีครับว่าการเริ่มต้นของพี่ไม่โปร่งใส
แต่พี่รับรองได้เลยว่า ทุก ๆ คำพูด ทุก ๆ สิ่งที่แนนรู้เกี่ยวกับพี่หลังจากวันที่เราเจอกันตรงหลังบ้านเป็นความจริงทุกประการ
และนับจากวันนั้นมา พี่ไม่เคยโกหกแนนอีกเลยครับ” สารินรับรองความจริงใจของตนเสียงดังฟังชัดจนอีกคนเริ่มคิดทบทวน
“แนนจะโกรธ...
จะลงโทษพี่นานเท่าไรก็ได้ แต่พี่จะไม่มีวันเลิกกับแนนเป็นอันขาด พี่ขอแค่นี้...
แนนให้พี่เถอะนะครับ”
ท่อนแขนทั้งซ้ายและขวาที่ถูกเจ้าของเกี่ยวกระหวัดจนรัดสองกายให้ยิ่งแนบแน่นช่วยตอกย้ำคำพูดดังกล่าวให้ซึมลึกเข้าถึงก้นบึ้งของจิตใจคนฟัง
ทั้งคู่ยืนอิงแอบนิ่งนานพลางปล่อยให้อีกฝ่ายได้ตรึกตรองอย่างเต็มที่
.
.
.
.
.
.
.
“พี่ริน”
“ครับ?” ว่าที่นายสัตวแพทย์รอฟังคำพิพากษาด้วยใจระทึก
“แนนจะไม่โกรธ
ไม่ลงโทษ ไม่ทำอะไรพี่ทั้งนั้น ถ้าพี่รับปากกับแนนว่า ต่อจากนี้ไป
พี่จะไม่โกหกแนนอีก พี่รินทำได้ใช่ไหม?” หลังจากเลือกเปิดใจรับฟังคำพูดของคนรักดังคำสอนสั่งทั้งหลายของอาม่าและหมีพ่อ
หลานอาม่าใหญ่ก็จ้องลึกเข้าไปในแววตาของสาริน... เขามองหาความจริงใจที่ซุกซ่อนอยู่ในทุก
ๆ ถ้อยคำที่กำลังจะได้ยิน
“ครับ”
“ระหว่างเรา
จะมีแต่ความจริงเท่านั้น ไม่ว่ามันจะดีหรือร้ายก็ตาม”
“พี่รับปากแนนครับ...
พี่รับปากแนนด้วยใจ และด้วยทุกสิ่งที่พี่มีครับ” คนโตกว่าให้คำมั่นจากความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ภายใน
ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว คำขอของสารินก็เป็นผล
“แนนเชื่อพี่นะ”
“ขอบคุณครับ
ขอบคุณมากครับแนน” คนโตกว่ายิ้มร่าพลางกอดน้องเอาไว้ทั้งตัวราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะระเหยหาย
ฝั่งหลานอาม่าใหญ่ก็พ่นลมยาวผ่านจมูกพลางทิ้งน้ำหนักตัวใส่พ่อหมีอย่างคนหมดแรง สองหนุ่มกอดกันแน่นอีกคราวราวกับนั่นคือครั้งแรกที่ทั้งคู่ได้โอบกอดตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่ายเอาไว้
“เฮ่อ!
ค่อยยังชั่วหน่อยที่พี่รินรู้เป็นหลานโปรดม่า
แนนจะได้หมดห่วงเรื่องแนะนำตัวพี่รินกับที่บ้านเสียที!” หนุ่มแว่นปรารภอย่างโล่งอกหากแต่ฟังอู้อี้ค่าที่เจ้าตัวยังไม่ยอมผละจากแผ่นอกอุ่น
ๆ ของอีกฝ่าย
“ก็ไม่เชิงเสียทีเดียวหรอกครับ
เพราะพี่ไม่เคยเปรยเรื่องจีบแนนกับป๊าม้าเลยสักครั้ง” สารินอดแย้งไม่ได้... ลองได้คิดเรื่องนี้ขึ้นมาเมื่อไร
ความรู้สึกประหม่าเป็นต้องทำให้เขาขนลุกซู่ไปเสียทุกทีสิน่า ทว่าน้องกลับไม่ได้ตระหนกเลยสักนิด
“ถ้าม่าโอเค
ที่เหลือก็ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้วล่ะพี่ริน” สกลตบแผ่นหลังกว้างของว่าที่หมอหมาเบา
ๆ เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ
“เหรอครับ?”
“ก็ใช่น่ะสิ
แค่ม่าไฟเขียว คนอื่น ๆ ในบ้านก็ไม่กล้าหือแล้วล่ะ” หลานอาม่าใหญ่รับรองแข็งขัน
และความปลอดโปร่งโล่งใจนี่เอง ที่ทำให้เจ้าตัวหลุดปากเอ่ยถึงสิ่งที่ไม่ควรออกมาจนได้
“แต่พูดก็พูดเถอะ... ตอนพี่รินยังไม่บอกความจริงกับแนน แนนเครียดแทบตายแน่ะ เกิดม่าหรือป๊าบังคับให้แนนเลือก
แนนคงจะเสียใจจนเป็นบ้าแหง ๆ ... ทางนึงก็ครอบครัว อีกทางนึงก็แฟนทั้งคน”
แฟนเหรอ?!...
เมื่อกี๊น้องพูดว่าแฟนงั้นเหรอ?!!
“แฟนกับครอบครัว...
อืมมม เลือกยากจริง ๆ นั่นแหละครับ” สายตาเจ้าชู้ของคนแก่กว่าทำเอาเด็กน้อยรู้สึกประหม่าจนหน้าแดงแป๊ด
และรอบนี้ สารินไม่ปล่อยโอกาสดี ๆ ให้หลุดมือโดยง่าย “เนอะแฟนเนอะ!”
“พอเลย! ไม่ต้องมาล้อเลย! ลงไปข้างล่างได้แล้ว!” สกลผลักอกหมีใหญ่ให้ถอยห่าง ก่อนจะหมุนตัวเดินกระแทกเท้าออกจากห้องไปโดยแสร้งไม่สนใจเสียงหัวเราะของอีกฝ่ายที่ดังไล่หลังมาติด
ๆ
«♥»------------------------------------ TBC ------------------------------------ «♥»
No comments:
Post a Comment