ตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายที่สารินและสกลจะออกโรงในฐานะคู่หลักแล้วนะคะ
เรามาอำลาสองหนุ่มไปพร้อม
ๆ กับเหล่าสมุนเลวและคี่รักปีสามกันเถอะค่ะ
แล้วมาลุ้นกันอีกทีเนาะว่าช่วงต่อไปของภาค
จะเกิดอะไรขึ้นกับคู่ไหน... ยังไง
ขอให้อ่านอย่างมีความสุขนะคะ
รักชอบประการใด...
ฝากข้อความแทนใจเอาไว้ได้เลยค่ะ ^^
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
The 19th
Bonding
มีเพียงสองเรา...
กับเหล่าชายฉกรรจ์อีกหลายคน
“ยังไงพวกมึง?
เรียกพวกกูลงมาหาพระแสงอะไร? นี่วันอาทิตย์... วันครอบครัวของพวกกูนะครับ”
เต๋อเปิดฉากฉะผ่านวาจาและสายตาทันทีที่เห็นหน้าเหล่าสมุนเลวพร้อมตัวแถมนั่งหน้าสลอนกันอยู่เต็มห้องพักของรุ่นน้องฝาแฝด
“ถ้าพี่เต๋ออยากรู้สาเหตุ
ก็ถามแนนซี่กับฮยองดูสิครับ” อดีตเดือนบริหารลอยหน้าพลางปรายหางตามองหนุ่มแว่นเพื่อส่งสัญญาณบอกใบ้แก่รุ่นพี่ร่างหมีโดยไม่รอให้ใครยุยงส่งเสริม
“อ๋อออ!
มึงเองหรอกเหรอที่เป็นตัวการ?!
ยังไง? มึงมีเรื่องเดือดร้อนอะไรอีกล่ะคราวนี้?”
ก่อนตรินจะได้รับฟังคำตอบของรุ่นน้องร่วมคณะ
อริยะตรัยผู้พี่ก็ชิงผสมโรงอย่างมีอินเนอร์ “ใช่! เดือดร้อนฉิบหาย! เห็นไหมเนี่ย ลำบากพวกกูต้องลากสังขารลงบันไดมาตั้งหลายขั้น...
สามัญสำนึกน่ะเคยมีบ้างไหม... ห๊ะไอ้แนน?”
“แหม... ก็เจ๊า
ๆ กันไปป่ะครับตั่วเฮีย ทีตอนพวกผมแห่แหนกันขึ้นไปช่วยทำโน่นทำนี่ให้ตั่วเฮียกับพระสวามีซ้ายขวา
พวกผมยังไม่บ่นบ้าเป็นมนุษย์ป้าวัยทองอย่างตั่วเฮียเลยนะครับ”
หากไม่ใช่เพราะความหลังที่สั่งสมมาเนิ่นนานและปริมาณความหมั่นไส้ที่ทวีคูณไปเสียทุกครั้งที่พบหน้า
หนุ่มบริหารคงไม่กล้าเสี่ยงตายปะทะฝีปากกับกรกฏอย่างไม่ลดลาวาศอกเช่นนี้แน่ และดูเหมือนเด็กวิศวะปีสามเองก็น่าจะยังคั่งแค้นอดีตแฟนน้องชายอยู่ติดหมัดไม่แพ้กัน
“ไอ้สัดอิ๊ก
มึงนี่วอนเหลือเกินนะ!”
“โอ๊ย พอเถอะครับ!
ถ้าจะทะเลาะกันก็รอให้จบช่วงตั้งโต๊ะแถลงข่าวของผมไปก่อนจะได้ไหมครับ?
เห็นแก่หน้าหล่อ ๆ ของเจ้าภาพอย่างพวกผมบ้างไรบ้าง!” สกลยกสองมือขึ้นห้ามปรามพลางผุดลุกขึ้นยืนระงับศึกอย่างสง่าผ่าเผยผิดไปจากฟอร์มที่เห็นชินตาในพักหลัง
ๆ จนพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยยังอดแปลกใจไม่ได้
“เพ้ออะไรของมึงอีกล่ะไอ้แนน?! ขัดจังหวะเบิ๊ดกะโหลกไอ้อิ๊กของกูตลอดน่ะมึงเนี่ย!” กังฟูชะงักมะเหงกค้างกลางอากาศหลังปริปากบ่นอย่างไม่จริงจังนัก
ได้ยินดังนั้น หลานอาม่าใหญ่จึงเชิดหน้ากดตามองต่ำแล้วยกยิ้มมุมปากอย่างเหนือ ๆ
ใส่รุ่นพี่ร่างเล็กก่อนจะพล่ามเร็วรัว
“ก็ไอ้ที่เฮียย้ำนักย้ำหนาว่าผมต้องรีบทำทันทีที่ทุกอย่างเรียบร้อยยังไงล่ะครับ”
“หืม?
อะไรเหรอแว่น?” ฌานถามแทรกขึ้นพร้อมกับเลิกคิ้วรอฟังเพื่อนสนิทด้วยความสงสัย
สีหน้าสนใจใคร่รู้ของทุกคนทำให้สกลยิ่งรู้สึกพึงพอใจ
คนเห็นผีทรุดตัวลงนั่งตรงที่ว่างข้าง ๆ สารินอย่างเชื่องช้าคล้ายกับซื้อเวลา
แล้วจึงยืดอดวางท่าหยิ่งผยองพองขน “อะแฮ่ม! คืออย่างนี้ครับทุกคน ตั้งใจฟังให้ดี ๆ นะครับ” หนุ่มแว่นกวาดตามองเพื่อน
ๆ และรุ่นพี่อย่างสุขสมระหว่างหยุดเว้นวรรคเรียกเรตติ้งจนพอใจ “ที่บ้านผม
กับที่บ้านพี่ริน รับรู้เรื่องที่เราคบกันแล้วน่ะครับ”
ชายหนุ่มทั้งวงออกอาการตื่นเต้นเมื่อได้รับแจ้งข่าวล่ามาแรงของบุคคลต้นเรื่องกับคนรัก
ผู้ฟังเกือบทั้งหมดส่งเสียงซักไซ้สารินและสกลกันดังลั่นห้อง “เฮ่ยยย!
จริงดิ?!!”
“ครับ!” คนเห็นผียักคิ้วใส่สหายและรุ่นพี่พลางเอ่ยยืนยันเสียงดังฟังชัด
ฝ่ายสารินก็อมยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับพยักหน้ารับด้วยความสุภาพ
“แล้วได้ความว่าไง?”
แฝดพี่เริ่มยิงคำถามสัมภาษณ์เพื่อนหัวไข่อย่างฉับไว
“ก็ต้องรับได้น่ะสิครับพี่ฌาน...
มือชั้นนี้แล้ว” สกลยิ้มมุมปากพลางยักไหล่โอ่อย่างไม่ยี่หระ ท่าทางโชว์เหนือของรุ่นน้องหัวเกรียนช่างดูขัดสายตากังฟูเสียนี่กระไร
พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยเลิกคิ้ว
แล้วหรี่ตาหยั่งเชิงชายหนุ่มรุ่นน้องอยู่นนานสองนาน
ก่อนจะตั้งใจวางกับดักหวังให้อีกฝ่ายหวาดระแวงจนกระอักเลือด “ที่บ้านมึงรับได้จริง
ๆ น่ะเหรอไอ้แนน? ครอบครัวมึงอาจจะแกล้งทำให้พวกมึงตายใจก็ได้นะ”
“แหม่...
ได้สิครับเฮียฟู บ้านผมนี่รับพี่รินได้ทู๊กกกกคนตั้งแต่ม่ายันหมาเลยล่ะครับ” อริยะตรัยผู้พี่เกือบต้องหน้าหงายเมื่อได้ยินคำอธิบายผ่านน้ำเสียงมั่นใจไร้กังวลของสกลรุ่นอัพเกรดด้านความมั่นใจ
“ป๊ากับม้านายยอมง่าย
ๆ เลยเหรอ?” กลายเป็นบ๊วยที่ออกอาการสงสัยแทนชายหนุ่มที่เหลือ เพราะเท่าที่เขารู้จักกับครอบครัวนี้มาหลายสิบปี
คนเห็นผีถูกบิดาและมารดาฟูมฟักรักใคร่ไม่ต่างอะไรกับไข่ในหิน การยินยอมเปิดโอกาสให้คนอื่นเข้ามารับช่วงดูแลเลือดในอกก้อนนี้
จึงน่าจะเป็นเรื่องยากพอสมควร
“ก็ใช่น่ะสิ...
นอกจากไม่มีปัญหาแล้ว ป๊ากับม้ายังอวยพรให้เรากับพี่รินอยู่ด้วยกันนาน ๆ มีลูกเต็มบ้าน
มีหลานเต็มเมืองอีกด้วยนะ”
อาการฮือฮาตาลุกโพลงของเหล่าผู้ฟังหลังจากเด็กน้อยอวดอ้างสรรพคุณเกินพอดี
ทำให้เด็กสัตว์แพทย์ปีสามจำต้องออกโรงเล่าความจริงให้ทั้งหมดได้เข้าใจ “ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ
พวกท่านแค่ยอมรับแล้วก็เลี้ยงข้าวเราสองคนเฉย ๆ ... แต่จริง ๆ พี่ว่าตอนแรกที่รู้ ป๊าน่าจะช็อคอยู่เหมือนกันแหละครับ
แต่โชคดีที่อาม่าของแนนท่านช่วยพูดให้ ป๊าเลยเบาใจเรื่องของเราไปได้เยอะน่ะครับ”
“แสดงว่าป๊าหนูแนนไม่มายด์ที่หนูแนนมันริอ่านคบผู้ชาย...
อย่างนั้นน่ะเหรอ?” เก็กถามขึ้นลอย ๆ คล้ายกำลังปรารภกับคนรักและแฝดน้อง
สารินจึงเป็นธุระไขข้อข้องใจดังกล่าวให้รุ่นน้องรูปงามทันที
“ครับ
ท่านดูไม่ได้ตกใจที่รู้ว่าเป็นพี่เลยครับ ท่านแค่กังวลที่เราคบกันทั้ง ๆ
ยังเรียนอยู่ทั้งคู่มากกว่าน่ะครับ” ว่าที่นายสัตวแพทย์สรุปปฏิกิริยา และข้อกังวลของบิดาคนรักที่ได้ประสบพบเห็นด้วยตัวเองไปเมื่อเย็นวานอย่างสั้น
ๆ ด้วยน้ำเสียงน่าฟัง
แต่แทนที่อดีตเดือนมหาลัยปีสองจะเอื้อนเอ่ยวาจา
กลับกลายเป็นร่างทรงหนุ่มที่โพล่งความในใจออกมาอย่างกลัดกลุ้มเสียเอง “เออแฮะ แปลก...
มันแปลกเกินไปแล้ว”
“แปลกยังไงครับพี่ฌาน?
แค่ป๊าผมรับพี่รินได้แค่เนี้ยะ!” หลานอาม่าใหญ่ขึ้นเสียงคาดคั้นเพื่อนรักอย่างไม่ไว้หน้า
“พี่ฌานนึกว่าป๊าแว่นจะเป็นบิ๊กบอสด่านสุดท้ายที่รอขัดขวางความสุขของพี่รินอยู่เสียอีก...
รู้งี้ตอนพี่รินมาขอให้ช่วย พี่ฌานไม่ยอมร่วมมือด้วยเสียก็ดี
พี่รินจะได้พิสูจน์ตัวเองกับพวกเรานาน ๆ หน่อย” ที่สุด ฌานก็ยอมเผยไต๋จนหมดเปลือก อาการแพ้หมดรูปของพี่ชายฝาแฝดทำให้คนเป็นน้องสรุปด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“หึ หึ งานนี้ป๊าแพ้ม่าหมดรูปครับพี่ชาย”
“อ้าว! งั้นวันไหนที่ม่าไม่อยู่ ไอ้หนูแนนมันจะไม่ตกที่นั่งลำบากเอาหรอกเหรอ?”
ธันวายังคงสงสัยกับตรรกะที่เพิ่งได้ยินไปไม่หาย
อคิราผู้เติบโตมาพร้อมหนังและละครน้ำเน่าเคล้าซีรีย์เกาหลีนับร้อย
ๆ เรื่องจึงอาสาเบิกเนตรให้แฟนเก่าด้วยทักษะมโนแจ่มขั้นสูงของตน “ถึงตอนนั้นจริง ๆ
ป๊าแนนซี่คงว่าอะไรไม่ได้อีกแล้วล่ะ”
“ทำไมวะไอ้อิ๊ก?”
กังฟูสอดขึ้นค่าที่คิดตามไม่ทันจนโดนเด็กบริหารถอนหายใจใส่อย่างไม่เห็นแก่อาวุโส
“แหม่
ตั่วเฮียล่ะก็...หึ หึ... อย่าให้ผมต้องพูดเลย ของแบบนี้เราก็รู้ ๆ กันอยู่แหละเนอะ”
ว่าแล้วอคิราก็ทำหน้ากรุ้มกริ่ม พลางสื่อความนัยใต้สะดือผ่านสายตาวิบวับที่มองทั้งเต๋อและด้วงตั้งแต่หัวจรดเท้าสลับกันไปมาก่อนจะหันไปจ้องหน้าผู้ร่วมอุดมการณ์อวดผัวอย่างกรกฏพร้อมเอ่ยกระเซ้าด้วยน้ำเสียงระริกระรี้
“หรือตั่วเฮียว่าไม่จริง?”
ท่าทีกึ่งลามกกึ่งเจ้าเล่ห์ของอิ๊ก
กับดวงหน้าซับสีแดงระเรื่อแบบฉับพลันทันตาของอริยะตรัยคนพี่ ทำให้ทั้งหมดระเบิดหัวเราะอย่างสุขเกษมเปรมปรีดิ์กันถ้วนหน้า
จากนั้นวิญญูจึงอาศัยจังหวะที่ยังไม่มีใครพูดอะไร ตั้งคำถามข้อใหม่โดยพลัน
“บ้านรินก็ไม่มีปัญหากับแนนเลยเหรอครับ?”
จริง ๆ ใจด้วงอยากจะซักไซ้สารินด้วยประเด็นปากไม่มีหูรูดของหนุ่มแว่นมากกว่า
แต่เพื่อความราบรื่นของวงสนทนา คิวท์บอยวิศวะจึงลดดีกรีความรุนแรงของคำถามลงหลายช็อต
“ครับ
ป๊ากับม่าโอเคครับ ยิ่งอาม่ายิ่งรักยิ่งหลงน้องหนักกว่าผมอีกครับ” ว่าที่หมอหมาแย้มยิ้มอย่างเปิดเผยจนวิญญูต้องยอมใจ
“ยินดีด้วยนะครับ”
“ขอบคุณมากครับ”
“แล้วพวกมึงไปตกลงคบกันตอนไหนวะ?
ทำไมพวกกูถึงเพิ่งรู้เอาวันนี้?” กังฟูกลบเกลื่อนอาการผิดปกติของตัวเองด้วยการคุกคามเด็กเต็กหัวไข่
รุ่นพี่ชี้หน้าหนุ่มสี่ตาก่อนจะแหวใส่ตบท้าย “กูเคยบอกไม่ใช่เหรอว่าคบกันเมื่อไร
มึงต้องบอกพวกกูทันที!!”
“แหม่ จริง ๆ มันก็ไม่ได้โจ่งแจ้งแบ่งเป็นฉาก
ๆ อะไรขนาดนั้นหรอกครับเฮียฟู...
.
.
...แค่พอดีเมื่อวานครอบครัวผมอยู่พร้อมหน้า
แล้วอยู่ ๆ อาม่าก็พูดเรื่องของผมกับพี่รินขึ้นมากลางวง
ผมกับพี่รินเลยต้องสานต่อเจตนารมย์ของม่าจนจบ... เราทั้งคู่เลยได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขนับแต่นั้นเป็นต้นมา”
คนเห็นผีวาดแขนข้างหนึ่งกว้างสุดวงสวิงพลางเหม่อมองนิ่ง ๆ ไปไกลแสนไกล จากนั้นจึงเอ่ยตอบด้วยสีหน้าระรื่นเหมือนยืนชมทิวทัศน์แถมอัดอ็อกซิเจนเข้าปอดอยู่บนยอดจุงเฟรา
“หูยยยย!
ออกตัวแรงอะไรเบอร์นี้ครับคู๊ณณณ?! ทีเมื่อก่อนทำมาเป็นเหนียม... กระแดะจริงจริ๊งงงอีหนูของพี่หมี!” ธันวาอดแซะท่าทางเบิกบานเป็นนางเอกการ์ตูนตาหวานตอนอวสานของหลานอาม่าใหญ่ไม่ได้
แน่นอน... การแกรนด์โอเพนนิ่งอย่างมั่นหน้าของสกลในหนนี้ก่อกระแสแอนตี้ได้รุนแรงกว่าอวยหรือติ่งเป็นล้นพ้น
“หึ! เออว่ะ! อย่างกับคนละคน” ฌอนกระแนะกระแหนอย่างเหลืออด
ก่อนจะหรี่ตามองหน้าคู่รักหมาด ๆ สลับกับอดีตเดือนมหาลัยอย่างมีเลศนัย “หรือว่า?!”
“กูว่าใช่” ธันวารับลูกเพื่อนสนิทต่างคณะด้วยความไวแสงพร้อมกับทำหน้าชั่วชื่นหื่นกระหาย...
หนูแนนมันต้องโดนพี่หมอจับแก้อีมี่อัพเวอร์ชันแล้วแหง ๆ
.
.
.
.
.
.
“แต่กูว่ายัง...
คงจะอีกสักพักใหญ่ ๆ โน่นแหละว่ะ”
“ก็ได้!
กูเชื่อมึง...
แบ็คมึงแน่นอย่างกะอะไรดี!” อริยะตรัยผู้น้องเลือกจะไม่เถียงบทสรุปของเพื่อนรัก
เพราะลองว่าฌอนนั่งนิ่งคล้ายเงี่ยหูตั้งใจฟังอะไรบางอย่างเมื่อกี๊ ก็แสดงว่า อีกฝ่ายคงจะเช็คข้อมูลกับกุมารทองคู่กายมาเป็นที่เรียบร้อย
ว่าที่นายสัตวแพทย์ทำเป็นมองไม่เห็นเด็กปีสองผู้รั้งตำแหน่งน้องคนเล็กของทั้งกังฟูและฌานที่พยายามกลั้นหัวเราะกันจนหน้าดำหน้าแดง
ชายหนุ่มกล่าวเชื้อเชิญทุกคนด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ “ที่พวกผมขอให้ทุกคนมารวมกันในวันนี้
ก็เพราะพวกผมอยากจะเลี้ยงขอบคุณทุก ๆ คนที่คอยช่วยเหลือ แนะนำ
และให้โอกาสผมจนจีบน้องสำเร็จน่ะครับ หวังว่าทุกคนจะยังไม่เบื่อพิซซ่ากันนะครับ”
“เฮอะ!
ไอ้พวกนี้น่ะเหรอจะเบื่อ
ขอแค่แดกฟรี พวกมันก็พร้อมจะสนองให้เต็มที่อยู่แล้วล่ะ” เพราะเห็นกลุ่มเด็กปีสองมานาน
ตรินจึงรู้จักนิสัยเกือบทุกคนเป็นอย่างดี เด็กเต็กปีสามจึงแสร้งแขวะกลุ่มรุ่นน้องเพื่อให้เจ้ามือสบายใจ
“พี่ริน
เดี๋ยวแนนมานะ ขอแนนกลับไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึง” สกลฉวยโอกาสที่สารินพยักหน้าขอบคุณเต๋อโน้มตัวเข้ากระซิบข้างหูคนรักพลางล้วงกุญแจห้องในกระเป๋าแจ็กเก็ตที่อีกฝ่ายใส่อยู่ไปพร้อม
ๆ กัน
“ปวดหนักเหรอครับ?”
ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนนั่งไม่ติดของหลานอาม่าใหญ่ทำให้รุ่นพี่สัตว์แพทย์เผลอเข้าใจไปอีกอย่าง
แต่แทนที่จะแก้ไขความเข้าใจของอีกฝ่ายเสียใหม่ หนุ่มแว่นกลับรับสมอ้างโดยไม่รอรี
“ครับ เดี๋ยวแนนกลับมา”
“สวัสดีครับคุณน้า” ประตูหน้าห้องของสารินยังไม่ทันจะงับปิดลง
หนุ่มแว่นก็เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นเสียแล้ว หากใช้สายตาคนปกติทั่ว ๆ ไปสอดส่อง
บรรยากาศโดยรวมเบื้องหน้าหลานอาม่าใหญ่คงเป็นเพียงโถงกว้างของห้องดูเพล็กซ์ตกแต่งครบครันห้องหนึ่งเท่านั้น
แต่ในคลองจักษุหลังแว่นทรงม้อดเลนส์เว้ากรอบหนากลับปรากฏร่างโปร่งแสงของหญิงสาววัยสามสิบต้น
ๆ ยืนประจันหน้าพลางส่งยิ้มและสายตาเอ็นดูมาให้
‘สวัสดีจ๊ะแนน’ หลังจากสารินเปิดเผยประวัติกับตนไปเมื่อวาน วิญญาณหญิงสาวตรงหน้าก็ดูยิ่งคุ้นตาไปกันใหญ่ หล่อนกล่าวทักทายชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงหวานหูทว่าชวนให้ขนลุกซู่เป็นระยะ
ๆ กระนั้น สุ้มเสียงดังกล่าวกลับไม่มีผลใด ๆ ต่อขวัญและกำลังใจของผู้คร่ำหวอดในวงการคนเห็นผีมานานกว่ายี่สิบปีเลยสักนิด
“แนนสงสัยอยู่นานเลยว่าแนนตาฝาด
หรือว่าแนนเห็นคุณน้าจริง ๆ” เด็กเต็กรำพึงเบา ๆ คล้ายกำลังคุยกับตัวเองเสียมากกว่า...
อันที่จริง หลังจากตัดสินใจย้ายห้อง เขามักจะเห็นอีกฝ่ายหายตัววูบผ่านหางตาอยู่ประปราย
แต่เพราะไม่เคยเจอกันจะ ๆ เหมือนเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้า หลานอาม่าใหญ่จึงไม่ติดใจจนต้องเก็บเอาเรื่องดังกล่าวมาใคร่ครวญให้หนักสมอง
‘เรียกน้าว่าหม่าม้าเถอะจ๊ะ’
เจ้าของประโยคท้วงติงพร้อมคลี่ยิ้มละไม
“ครับ” สกลไม่รู้ว่าระหว่างรอยยิ้มของคู่สนทนาที่ทำให้เผลอนึกถึงใบหน้าหล่อเหลาของสาริน
กับการยอมรับกลาย ๆ ผ่านสรรพนามที่ยกระดับความสนิทสนมขึ้นทันตา... อะไรที่ทำให้เขารู้สึกเห่อร้อนไปทั่วหน้าอยู่แบบนี้
คนเห็นผีจึงไพล่ไปถามถึงสาเหตุที่ทำให้วิญญาณสาวจงใจเผยกายละเอียด“ทำไมอยู่ ๆ
วันนี้หม่าม้าถึงยอมโผล่มาให้แนนเห็นล่ะครับ?”
‘ม้าว่าถึงเวลาแล้วล่ะที่ม้าควรจะออกมาเจอแนน’
อดีตมนุษย์แม่ของหมีโพลาร์ตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริง
ฝ่ายคนฟังกลับนิ่วหน้าพลางทบทวนถึงภาพความทรงจำในวัยเยาว์เมื่อแรกคบหากับเพื่อนเล่นคนใหม่
“แต่เมื่อก่อนแนนเจอหม่าม้าอยู่กับพี่รินตลอดเวลาเลยนี่ครับ...
แล้วทำไมเดี๋ยวนี้หม่าม้าถึงมา ๆ หาย ๆ ?” ถ้าสกลจำไม่ผิด ทุกครั้งที่สารินมาเล่นที่บ้าน
เขามักจะเห็นหม่าม้ายืนเฝ้ารอบุตรชายอยู่ข้าง ๆ เสาไฟฟ้าต้นตรงข้ามรั้วอยู่เสมอ ๆ
กระทั่งวันสุดท้ายที่ทั้งสองตัดสินใจขี่จักรยานออกตามหาเจ้าเบอร์นาร์ด
ก็มีหล่อนคอยติดตามพวกเขาไปยังที่ต่าง ๆ ประหนึ่งเงา ผิดกับทุกวันนี้
‘ตอนนั้นม้ายังตัดสินใจไม่ได้ว่า
ม้าควรทำอย่างไรถึงจะคอยอยู่ดูแลตารินได้ตลอดอย่างที่ม้าให้สัญญากับเขาเอาไว้...
แต่โชคดีที่สุดท้ายม้าก็ได้ไอเดียจากเรื่องไม่คาดฝันน่ะจ๊ะ’
“หืม?!” คำตอบของอีกฝ่ายทำให้ชายหนุ่มยิ่งนึกสงสัย “อะไร?...
ยังไงเหรอครับ?”
‘คืองี้จ๊ะ...
ตารินไม่ได้เห็นม้าแบบเดียวกับที่แนนเห็นม้าหรอกนะจ๊ะ...
...ม้าต้องขอบใจเจ้าเบอร์นาร์ดจริง
ๆ ถ้าไม่เกิดเรื่องสูญเสียวันนั้น ม้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเริ่มติดต่อกับตารินยังไง...
.
...แต่เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะจ๊ะ
วันนี้ม้ามีเรื่องอื่นที่อยากจะคุยกับแนนมากกว่า’ ชายหนุ่มนับถือความหัวใสของวิญญาณสาวที่เข้าใจพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสอย่างแท้จริง...
มิน่าล่ะ ตอนยอมรับกับสารินว่ามองเห็นผี หมีขาวก็ดูจะไม่อินังขังขอบอะไร ที่แท้ตลอดเก้าปีที่ผ่านมา
ฝั่งนั้นก็เห็นวิญญาณด้วยเหมือนกัน... ถึงจะเห็นแค่แม่ตัวเองในร่างหมาอยู่ตลอดเวลาก็เถอะ
“เรื่องอะไรเหรอครับ?
หม่าม้าอยากให้แนนช่วยทำอะไรให้หรือเปล่าครับ
‘ม้าแค่อยากมาขอบคุณและคุยกับแนนนิด
ๆ หน่อย ๆ น่ะจ๊ะ’
“ขอบคุณ? หม่าม้าจะขอบคุณแนนไปทำไมล่ะครับ?
แนนยังไม่ได้ทำอะไรให้หม่าม้าเลยนะครับ” สกลอดแปลกใจไม่ได้ วิญญาณสาวจึงอธิบายเจตนาของหล่อนทันที
‘แนน...
แนนรู้ไหมว่าสารินรอคอยวันที่จะได้อยู่กับแนนมานานแล้วนะจ๊ะ’
“เหรอครับ?” เด็กเต็กเลิกคิ้วพลางมองหน้า
อดีตมนุษย์แม่ของหมีโพลาร์ด้วยแววตางุนงง
‘จ๊ะ...
ลึก ๆ แล้ว ตารินน่ะสนใจแนนมาตลอดเลยนะ แต่มีพักหลัง ๆ นี่แหละที่พอเจอแนนที่ไหนก็มักจะมองตามแนนจนลับตา
ถ้าเมื่อก่อนแนนเคยสังเกต... แนนจะรู้เลยล่ะจ๊ะว่าตารินน่ะมักจะโผล่ไปตามที่ต่าง ๆ
ที่แนนไปเสมอเลยนะจ๊ะ’ วิญญาณสาวเลือกอธิบายเฉพาะใจความที่เห็นควรด้วยไม่อยากให้หนุ่มแว่นล่วงรู้ว่า
ตั้งแต่จับความรู้สึกผิดปกติของสารินที่มีต่อหลานอาม่าใหญ่ได้ หล่อนเองนั่นแหละที่ตั้งตนเป็นแม่สื่อแม่ชักคอยส่งสัญญาณบอกใบ้กิจวัตร
กับความเป็นไปในรั้วมหาวิทยาลัยของว่าที่สะใภ้ให้แก่ลูกชายตามไปสอดส่อง
หรือยื่นมือเข้าช่วยเหลืออยู่เนือง ๆ
“จริงเหรอครับ?”
ความรู้ใหม่เกี่ยวกับสารินที่หลานอาม่าใหญ่ทึกทักเอาภายหลังว่า เกิดจากความหลงใหลคลั่งไคล้ในเสน่ห์อันล้นเหลือของตนทำให้ชายหนุ่มหัวไข่รู้สึกอุ่นวาบไปทั้งอก
ยิ่งเมื่ออดีตมนุษย์แม่ช่วยตอกย้ำความเข้าใจดังกล่าวซ้ำอีกระลอก... สกลก็รู้สึกตัวลอยคล้ายจะบินเสียให้ได้
‘ใช่จ๊ะ’
ผิงอมยิ้มเอ็นดูความช่างมโนของแฟนลูกชายที่แทบไม่ต่างจากหล่อนตอนที่ตกอยู่ในห้วงรักหวานชื่นกับศรันย์เสียจริง
ๆ ‘แนนทำให้ตารินมีความสุขมากเลยนะจ๊ะ นี่ยังไงล่ะเหตุผลที่ม้าอยากขอบคุณแนน’
“พี่รินก็ทำให้แนนมีความสุขมากเหมือนกันแหละครับหม่าม้า
เพราะฉะนั้นหม่าม้าไม่ต้องขอบคุณแนนก็ได้นะครับ” นอกจากจะไม่ยอมแพ้แล้ว สกลยังไม่ยอมรับความดีความชอบง่าย
ๆ เสียอีก
วิญญาณสาวส่ายหัวแล้วยิ้มน้อย
ๆ ก่อนจะยกธงขาวแต่โดยดี ‘ก็ได้จ๊ะ
ถ้างั้นม้าเปลี่ยนเป็นขออะไรแนนแทนได้ไหมจ๊ะ?’
“ได้สิครับหม่าม้า
หม่าม้าอยากได้อะไร ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง แนนทำให้หม่าม้าได้ทั้งนั้นแหละครับ” ?”
หนุ่มแว่นขันอาสาเพราะเข้าใจว่า ลึก ๆ แล้ว การปรากฏกายของคู่สนทนาอาจเกิดจากความขัดสนแต้มบุญ
หรือมีเรื่องคั่งค้างทางใจเหมือนกับวิญญาณทั่ว ๆ ไป
‘อย่าบอกตารินได้ไหมจ๊ะว่าม้ายังไม่ไปไหน
แล้วก็... รักตารินให้มาก ๆ เหมือนกับม้าที่รักป๊าของตารินน่ะลูก’ หลังจากฝากฝังบุตรชายพร้อมกำชับว่าที่สะใภ้ให้ช่วยรักษาความลับสุดยอดเกี่ยวกับตัวตนของหล่อน
วิญญาณมารดาของสารินก็นึกบางอย่างขึ้นได้ทันท่วงที ‘อ้อ! เกือบลืมแน่ะ... ม้าอยากจะบอกว่า ตารินไม่เคยพาผู้หญิงที่ไหนเข้าห้องเลยนะจ๊ะ
ที่แนนเห็นคืนวันนั้น... คือ ม้าเองแหละจ๊ะ’
“อ่อ... ครับ”
ยิ่งฟังคำของคู่สนทนา เด็กเต็กหน้าแว่นก็ยิ่งรู้สึกผิดกับว่าที่นายสัตวแพทย์ไปกันใหญ่
แต่อย่างไรเสีย ความสงสัย และเป็นกังวลเมื่อได้ยินคำร้องขอของอีกฝ่ายกลับทำให้ชายหนุ่มกลั้นใจซักไซ้ไต่ถาม
“ว่าแต่หม่าม้าต้องวนเวียนอยู่แบบนี้ไปอีกนานเท่าไรเหรอครับกว่าจะได้ไปเกิดอีกครั้ง?”
‘ม้าก็ไม่รู้เหมือนกันจ๊ะ
แต่ช่างเถอะ... อยู่แบบนี้ก็ดีนะ ม้าได้ทำอะไรสนุก ๆ ที่ไม่เคยทำตั้งเยอะแยะเลยจ๊ะ’
วิญญาณสาวตอบสบาย
ๆ จนคนฟังรู้สึกว่า การไม่ได้ไปผุดไปเกิด คือความสุขของหล่อนจริง ๆ
“เหรอครับ?”
สกลถามอีกฝ่ายทิ้งทวนด้วยความไม่แน่ใจ... แปลก เจอผีมานักต่อนัก ก็เพิ่งมีวิญญาณหม่าม้าพี่รินนี่แหละที่ไม่ยักเดือดร้อนเรื่องที่ยังไม่ได้ไปต่อยังภพภูมิหน้า
‘จ๊ะ!
ม้าว่าม้าไปก่อนดีกว่า
ทางโน้นน่าจะเสร็จแล้วล่ะ ไว้คุยกันนะจ๊ะลูกสะใภ้!’ หลังร่ำลาพอเป็นพิธี เจ้าหล่อนก็หายวับไปไม่ต่างจากเงายามต้องแสง
“อะไรของหม่าม้าเนี่ยะ?
บทจะไปก็ไป บทจะมาก็มา!
แล้วทางโน้นคืออะไร?! พี่ไม่เข้าใจ...
พี่งง!”
หลานอาม่าใหญ่บ่นขรมกับความมีลับลมคมใน และความไม่แน่ไม่นอนของอดีตมนุษย์แม่ผู้แสนจะร่าเริงลั้นลาเกินกว่าผีทุกตัวที่เขาเคยประสบพบหน้ามาก่อน
|| ขณะเดียวกันนั้นเอง
||
“ริน... พวกผมดีใจด้วยนะ
ในที่สุดคุณก็ทำสำเร็จ” เต๋อแสดงความยินดีกับเพื่อนใหม่ต่างคณะอีกครั้งหลังจากคนรักหน้าหยกชิงพูดตัดหน้าไปก่อน
“ขอบคุณครับ
ขอบคุณพวกคุณมาก ๆ นะครับ” สารินยิ้มรับพร้อมโต้ตอบด้วยความสุภาพเหมือนเคย
ก่อนจะหันไปเอ่ยกับกรกฏเป็นกรณีพิเศษ “โดยเฉพาะคุณ... คุณกังฟู
ถ้าไม่ได้คุณช่วยกระตุ้นน้อง ผมคงแย่แน่ ๆ ครับ”
“ไม่เป็นไร
คนกันเองน่า” กังฟูไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ รู้ดังนั้น ว่าที่หมอหมาจึงรีบยืนกรานความรู้สึกของตนเป็นพัลวัน
“ถ้าไม่ได้คุณกังฟูช่วยเอาไว้
ผมกับน้องคงไม่ได้ลงเอยกันเร็วขนาดนี้หรอกครับ”
แม้เดิมที อริยะตรัยผู้พี่ตั้งใจจะแกล้งรุ่นน้องหัวไข่ให้ต้องอับอายขายหน้าประชาชีสมกับความดีความชอบที่เจ้าตัวเคยทำไว้
แต่พอโดนสายตากับสีหน้าซาบซึ้งถึงที่สุดของสารินเข้าเล่นงาน
พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยก็เกิดรู้สึกหน้าม้านขึ้นมาเสียอย่างนั้น “เฮ่ย! เรื่องเล็ก... อย่าคิดมากดิ!”
“เอ่อ
ขอโทษนะครับ” ร่างทรงหนุ่มเหลือบมองรุ่นพี่คล้ายกับขออนุญาตพูดแทรก
จนเมื่อเห็นตรินผงกหัวให้แล้วนั่นแหละ เด็กปีสองตัวบอสจึงว่าต่อ “พี่รินครับ... พี่รินลืมเรื่องที่เราคุยกันเมื่อวันก่อนไปหรือยังครับ?”
ว่าที่นายสัตวแพทย์ดูจะหนักใจหลังจ้องมองใบหน้าคาดหวังของรุ่นน้อง
“พี่ไม่ลืมหรอกครับฌาน จริง ๆ พี่ตั้งใจว่าวันนี้จะลองปรึกษาทุกคนดูน่ะครับว่าควรทำยังไงดี”
“จะทำอะไรกันล่ะ?
อยากให้พวกผมช่วยอีกไหม?” กังฟูเผลอตัวถูมืออย่างหมายมั่น...
ไม่ต้องให้ใครบอกก็รู้ว่า เจ้าตัวจะยังสนุกกับการกลั่นแกล้งหนุ่มแว่นไม่หาย
“ครับ!
คงต้องรบกวนพวกคุณทั้งสามและน้อง
ๆ ทุกคนอีกแล้วล่ะครับ” เด็กสัตว์แพทย์รับคำพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยก่อนจะหันไปสบตากับชายหนุ่มที่เหลือในวง
“...คือ... ผมอยากจะขอน้องเป็นแฟนอย่างเป็นทางการน่ะครับ”
“อู๊ยยยย!
ฮยอง... ซารางเฮโย!” แม่ยกกัปตันยูชีจินอย่างอคิราถึงกับกรีดร้องโหยหวน
พลางชูนิ้วบอกรักเจ้าของประโยคเมื่อสักครู่ด้วยความถูกอกถูกใจ ก่อนจะโดนแฝดน้องกระชากเอวให้กลับมานั่งตักเพื่อที่จะใช้ฝ่ามือประกบปิดริมฝีปากบางได้อย่างถนัดถนี่
“แล้วจะรออะไรอยู่อีกล่ะครับ
เดี๋ยวพอหนูแนนกลับมาพี่รินก็ขอเลยสิครับ!” ธันวารับลูกต่อจากแฝดพี่ทันที... งานนี้
ถ้าหนุ่มแว่นไม่อับอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนี เห็นทีเหล่าสมุนเลวคงนอนตายตาไม่หลับกันถ้วนหน้า
“จะดีเหรอครับ?
พี่ไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาเลยนะครับ” สารินออกอาการลังเลเมื่อตระหนักได้ว่า กำหนดการของแผนเซอร์ไพรส์น้องถูกเร่งขึ้นจนแทบไม่มีเวลาทำใจ
“ก็ต้องดีสิครับ
ของแบบนี้ชักช้าได้ที่ไหน... ขืนรอฤกษ์งามยามดี แว่นอาจจะเข้าใจผิดว่าพี่รินไม่รักมันจริงก็ได้นะครับ”
ตัวบอสออกโรงกล่อมเหยื่อด้วยเหตุด้วยผลจนคนเป็นพี่เริ่มไขว้เขว ก่อนจะตบท้ายด้วยแผนกเสริมที่เข้ามาปิดการขายได้อย่างรวดเร็วไร้ตะเข็บ
“ใช่ครับ...
ตีเหล็ก ต้องตีตอนร้อน ๆ ” ฌอนเอ่ยหน้านิ่ง
“แล้วพี่ต้องทำยังไงบ้างเหรอครับน้องถึงจะถูกใจ?”
เมื่อโดนสามเสียงหว่านล้อมเป็นคอมโบ คนโตกว่าจึงตกหลุมพรางของทั้งหมดโดยง่าย
“ก็ไม่เห็นต้องทำอะไรเป็นพิเศษเลยนี่หว่า
รินคิดอะไรรินก็บอกไอ้สกลมันไปแบบนั้นแหละ
ชัดเจน ไม่วุ่นวาย ได้ใจความ” ตรินให้คำแนะนำอย่างจริงจังจริงใจตามประสา
เดือดร้อนอคิราต้องรีบพูดแทรกเพื่อทำให้ความคิดของรุ่นพี่ร่างหมีตกไปโดยเร็ว
“โหยยย! ไม่ได้หรอกครับพี่เต๋อ ไหน ๆ
ฮยองก็จะขอแนนซี่เป็นแฟนทั้งที ฮยองก็ต้องมีเซอร์ไพรส์ หรือไฮไลท์เพื่อสร้างความประทับใจไม่รู้ลืมให้แนนซี่บ้างสิครับ”
“แหม
มึงนี่พูดอย่างกับมีเวลาเตรียมการเป็นชาติเลยนะ การ์ตูนดิสนีย์ยังไม่ขายฝันเลื่อนลอยเท่ามึงเลยไอ้อิ๊ก!” ไม่รู้เป็นอะไร พอเห็นอดีตแฟนน้องชายลอยหน้าลอยตาพูดจ้อย
ๆ กรกฏเป็นต้องพลอยรู้สึกหมั่นไส้จนอยากถวายแหวนใส่ใบหน้าสวยหวานเกินผู้หญิงของอีกฝ่ายไปเสียทุกที
“ถ้าตั่วเฮียพูดจาสร้างสรรค์ไม่ได้
ก็ช่วยไปนั่งอมขี้ฟันไกล ๆ อย่ามาเที่ยวบ่อนทำลายความบันเทิงของส่วนรวมจะดีกว่าครับ”
ไม่ทันขาดคำ ทั้งด้วงและฌอนต่างก็รวบกอดร่างกระทัดรัดของแฟนตัวเองเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ต่างพุ่งเข้าใส่กันจนไม่เป็นอันช่วยเหลือสาริน
“แหวน!
พี่รินมีแหวนไหมครับ?”
พ่อรูปงามประจำวิศวะเบี่ยงเบนความสนใจของทุกคนจากสงครามย่อย ๆ
ด้วยคำถามผ่านน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน
“ต้องถึงขั้นใช้แหวนเลยเหรอครับ?”
ว่าที่หมอหมาผงะไปเล็กน้อยเมื่อรับรู้แนวทางคร่าว ๆ ของหนุ่มรุ่นน้อง
“ถ้าไม่มีแหวน
พี่รินจะทำยังไงให้แนนประทับใจล่ะครับ?” เก็กถามกลับพลางลูบไล้ฝ่ามือโดยเฉพาะเครื่องประดับสีเงินเงาวับที่โอบกระชับรอบโคนนิ้วนางข้างซ้ายของแฟนตัวน้อยผู้ไม่มีปากเสียงใด
ๆ ในอ้อมอกเพื่อตอกย้ำความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอีกฝ่ายอย่างเป็นรูปธรรม
“แค่คุกเข่าขอน้องเป็นแฟน
พี่ว่าก็น่าจะพอแล้วนะครับ... อีกอย่าง พี่ว่าแค่นี้น้องก็น่าจะเขินมากแล้วล่ะ
อย่าทำอะไรให้มันเอิกเริกไปกว่านี้เลยครับ” แม้จะเข้าใจสิ่งที่รุ่นน้องวิศวะต้องการสื่อ
แต่สารินกลับยังตั้งมั่นไม่หวั่นไหว... ตัวเขาน่ะจะยังไงก็ได้ ความสุข ความสบายใจของเด็กน้อยต่างหากล่ะที่เขาต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรก
“อย่างนั้นยิ่งต้องมีแหวนเลยครับฮยอง
รับรอง... ถ้าได้แหวน แนนซี่ต้องฟินสุด ๆ ฉุดไม่อยู่เลยล่ะครับ ขนาดผมยังอยากได้เลยครับฮยอง!” ถึงปากจะเอื้อนเอ่ยเปรยตอบรุ่นพี่ต่างคณเป็นฉาก
ๆ แต่อคิรากลับปรายหางตามองคนรักหัวจุกอย่างคาดหวัง
“แต่พี่ไม่รู้ไซส์แหวนของน้องหรอกครับ”
ก่อนที่เหล่าสมุนเลวจะได้ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินคำตอบรับกลาย
ๆ ของสาริน เสียงขลุกขลักจากด้านนอกประตูก็ทำให้ทั้งหมดมองหน้ากันไปมาอย่างเลิ่กลั่ก
สุดท้ายก็เป็นแฝดพี่ที่ช่วยสรุปบทบาท
หน้าที่ให้แก่ตัวละครหลักและตัวประกอบอย่างรวบรัด
“ไม่ต้องห่วงครับพี่ริน
แค่พี่รินขอแว่นเป็นแฟนแบบที่พี่รินตั้งใจมาตั้งแต่แรกนั่นแหละครับ แต่ถ้าเพื่อนผมไม่ตกลง
พี่รินต้องห้ามลุกขึ้นเป็นอันขาดนะครับ... ส่วนเรื่องแหวนกับอย่างอื่นที่เหลือ พวกผมจะช่วยเนรมิตรให้พี่รินกับแว่นเอง”
ฌานรับรองหนักแน่นจนคนฟังใจชื้น
“เอ่อ... ครับ
ๆ ได้ครับ”
“ทุกโคนนน
ทำอะไรกันอยู่? อ้าว! แล้วทำไมทำหน้าแปลก
ๆ แบบนั้นกันล่ะ?” หลานอาม่าใหญ่ที่เพิ่งกึ่งวิ่งกึ่งกระโดดหยองแหยงกลับเข้ามาสมทบกับกลุ่มตั้งข้อสังเกตจากท่าทางประดักประเดิดดูชอบกลของคนรักและผองเพื่อน
ก่อนจะฉุกใจคิดอะไรได้ “พี่ริน... เมื่อกี๊จับกลุ่มนินทาแนนกันอยู่เหรอ?”
“เปล่าครับ” ว่าที่นายสัตวแพทย์เสหลบสายตาคาดคั้นของเด็กน้อยพลางลอบมองชายหนุ่มที่เหลือเพื่อขอตัวช่วย
“แล้วเมื่อกี๊ทำอะไรกันอยู่ล่ะ?...
ทำไมอ้ำอึ้ง? บอกแนนมาเดี๋ยวนี้เลย อย่าลีลา!” หนุ่มแว่นต้อนคนรักอย่างดุดันจนสารินออกอาการประหม่าอย่างเห็นได้ชัด
“คือ...
เอ่อ... คือ”
“อะไร?
เอ่อคือ... เอ่อคืออะไร?! หรือว่าพี่รินกับพวกนี้รวมหัวกันหาจังหวะแกล้งแนน? พี่ริน...
ไหนพี่รินบอกว่าจะไม่โกหกแนนไง?!!” เด็กเต็กหัวไข่ไล่บี้ทุกคำพูดของแฟนหนุ่มโดยไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้พักหายใจหายคอ
“เปล่าครับ” ผู้ต้องหาหลักมองหน้าทุก
ๆ คนในวงพลางรวบรวมความกล้า ก่อนจะเปลี่ยนอิริยาบทจากนั่งบนโซฟาเป็นคุกเข่าลงกับพื้นตรงหน้าคนรัก
“แนนครับ... พี่มีอะไรจะบอกแนนครับ” สารินว่าพลางดึงมือข้างหนึ่งของน้องมากุมไว้
“อะไร?
พี่รินจะบอกอะไร?!”
แม้จะตกใจจนลนลาน แต่หลานอาม่าใหญ่ก็ยังมีสติพอจะออกแรงทั้งฉุดทั้งดึงมือคนโตกว่าให้ปรับเปลี่ยนท่วงท่าอย่างเอาเป็นเอาตาย
“แล้วทำไมพี่รินต้องนั่งกับพื้นด้วยยย? ขึ้นมานั่งข้างบนด้วยกันดี ๆ ซี่!”
“แนนครับ”
สารินขืนตัวพลางเรียกความสนใจของอีกฝ่ายที่กำลังงงระคนตระหนกอย่างที่สุด... จุด ๆ นี้
ต่อให้ว่าที่นายสัตวแพทย์กระซิบข้างหูเพียงแผ่วเบา เด็กเต็กหัวไข่ก็พร้อมจะสะดุ้งสุดตัวได้ตลอดเวลา
“พี่รินทำอะไรของพี่รินเนี่ย?
ลุกขึ้น! ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้เลยนะ!” คนเห็นผียังไม่ละความพยายามที่จะยื้อยุดฉุดกระชากคนรักให้กลับมานั่งข้าง
ๆ กันเหมือนปกติ แต่ที่น่าโมโหคือการที่อีกฝ่ายกลับตีหน้ามึนทำตาใสไม่รู้ไม่ชี้นี่แหละ
.
.
.
.
.
“เป็นแฟนกับพี่นะครับ”
“พี่ริน!
ลุก! พี่รินไม่อายคนอื่นหรือไง?” ดีใจจนหูอื้อตาลายอยู่ได้ไม่กี่วินาที
ที่สุดแล้วหนุ่มแว่นก็สำเหนียกได้ว่า ณ ที่แห่งนี้ มิได้มีแค่ตนกับสารินเพียงแค่สองคน...
สายตาทุกคู่ที่จับจ้องมายังพวกเขาแบบไม่ละวาง ทำให้สกลเริ่มรู้สึกอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
“เป็นแฟนกับพี่เถอะนะครับแนน”
สารินยังดื้อแพ่งไม่แบ่งใครจนใบหน้าของเด็กน้อยร้อนฉ่าจวนมอดไหม้เข้าไปทุกที
“ลุกได้แล้ว!” เด็กเต็กเริ่มเหนื่อยหอบเมื่อการงัดข้อประลองกำลังยืดเยื้อกว่าที่คิด
“ยังครับ... แนนยังไม่บอกว่าจะยอมเป็นแฟนพี่เลยครับ”
“ลุกเถอะน่า...
นะ! แนนขอร้อง” หลานอาม่าใหญ่เปลี่ยนกลยุทธเป็นอ้อนวอนอีกฝ่ายอย่างน่าสงสาร
แต่คำมั่นที่ให้ไว้กับฌานทำให้สารินยังปักหลักไม่หวั่นไหว ส่วนผู้ชมรอบข้างต่างก็เอาใจช่วยเด็กสัตว์แพทย์ปีสามพลางลุ้นกันตัวโก่ง
“ไม่ครับ!
จนกว่าแนนจะยอมรับว่าเราเป็นแฟนกัน”
“ยังไงแนนก็ต้องพูดจริง
ๆ ใช่ไหม?”
“ครับ!”
“ก็ได้!” สกลตัดบทห้วน ๆ โดยทำเป็นไม่สนใจเพื่อนผองน้องพี่ที่อยู่รายล้อม
หนุ่มแว่นหลับตาอย่างช้า ๆ พลางสูดลมหายใจลึก ๆ อยู่กว่าค่อนนาที จากนั้นจึงเผยความรู้สึกภายใน
“จริง ๆ พี่ไม่ต้องขอแนนเป็นแฟนก็ได้”
“?!?” ว่าที่นายสัตวแพทย์ทำหน้าแปลกใจกับถ้อยคำที่เพิ่งลอยเข้าหู...
หรือว่าเขากำลังเข้าใจอะไรผิด?!
“เพราะเราเป็นแฟนกันตั้งนานแล้ว
เมื่อวานแนนก็หลุดปากพูดให้พี่ฟังไปแล้วนิ... เกิดจะความจำสั้นขึ้นมาหรือไงพี่ริน?!”
“จริงเหรอครับ?”
“ฮื่อ...
ก็จริงน่ะสิ!
แนนโกหกพี่รินได้ที่ไหนล่ะ”
“[size=18pt]เฮ่!!!” กองเชียร์ส่งเสียงเฮทันทีที่ได้ฟังคำยืนยันออกจากปากหนุ่มแว่นหัวไข่ที่น้อยครั้งจะเปิดเผยความรู้สึกที่มีต่อพ่อหมีขาวให้ใคร
ๆ ได้ร่วมรับฟัง ฝ่ายสารินที่ดีใจสุดพลังก็ดีดตัวกลับขึ้นไปนั่งเบียดกับคนรักรวดเร็วทันตา
“เป็นแฟนกันเรียบร้อยแล้วก็มาถึงพิธีแลกแหวน...
เอ้า ขอแหวนให้บ่าวสาวหน่อยยยย!” ธันวาตะโกนแซวทั้งคู่เสียงดังจนคนเห็นผีถลึงตาพลางแหวใส่
“พี่หมี! เดี๋ยวเหอะ!”
“แหน่ะ!
เขินเหรอจ๊ะหนูแนน?
ใส่แหวนก่อนนะ ผู้ชายคนอื่นจะได้สบายใจที่จะหมดภัยคุกคามไปอีกคน”
อดีตเดือนมหาลัยยังเพลิดเพลินกับการต่อปากต่อคำ
แม้คนถูกแซวจะหน้าง้ำเป็นจวักก็ไม่คิดปรานี
“ไอ้พี่หมี!
ตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้เลยนะ!” หนุ่มแว่นแผดเสียงกรรโชกใส่คู่กรณีที่ทำหน้าเยาะเย้ยใส่แบบไม่มีสลด
“แหวนครับฮยอง”
อดีตเดือนบริหารเอาจานรองแก้วใบเล็ก ๆ มาวางลงตรงหน้าสาริน ภายในมีสิ่งของสองอย่างซึ่งดูห่างไกลจากเครื่องประดับที่ว่าไปไกลโพ้นถูกจัดวางแยกกันเอาไว้เป็นกลุ่มก้อน
“...คือ... พวกเราไม่แน่ใจว่ารุ่นไหนจะใช้ได้ พวกเราเลยเตรียมแหวนเอาไว้ให้ฮยองถึงสองแบบด้วยกันครับ”
สารินชำเลืองมองยางมัดผมสีสดใสที่เดาว่าน่าจะเป็นแฝดน้องสงเคราะห์มอบให้
กับฝาปิดขวดน้ำดื่มอย่างละสองในจานอีกครั้งก่อนจะขอความเห็นจากคนนั่งข้าง ๆ “แนนชอบอันไหนครับ?”
“ต้องชอบด้วยเหรอพี่ริน?
ถามจริง?!!” สกลทำหน้าเหมือนผู้เข้าประกวดนางงามรอบสุดท้ายที่ตื่นเต้นจนไม่เข้าใจคำถามอย่างไรอย่างนั้น...
คือ เอ่อ... ไม่ได้จะว่านะ แต่มันเป็นแค่ฝาน้ำกับยางรัดจุกเองไม่ใช่เหรอ?!
“ครับ...
ไม่อยากให้พี่แสดงความเป็นเจ้าของแนนเหรอครับ?”
“งั้นลองอันนี้ก่อนก็ได้
ถ้าใส่ไม่ได้แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นยางสีชมพูเนอะ” เป็นเพราะสีหน้าจริงจังจริงใจ กับแววตาซื่อใสของอีกฝ่ายแท้
ๆ ที่ทำให้หลานอาม่าใหญ่ยอมไหลไปตามน้ำด้วยความยินดี
“ครับ” สิ้นคำ
ว่าที่นายสัตวแพทย์ก็คว้าฝาปิดขวดน้ำขึ้นเพื่อเตรียมความพร้อม...
แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่า
โดนเพื่อน ๆ ของน้องหลอกต้มจนสุก อีกทั้งพิธีกรรมที่เกิดขึ้นในขณะนี้เป็นเพียงการละเล่นสนุกสนานที่คนอื่น
ๆ สรรหามาแกล้งเด็กน้อยของเขา แต่ลึก ๆ ชายหนุ่มกลับปฏิเสธไม่ได้ว่า เขาเองก็รู้สึกประหม่ากับการสวมแหวนตีตราจองน้องอยู่ไม่น้อย
“เอาล่ะครับ
เจ้าบ่าวค่อย ๆ บรรจงสวมแหวนให้กับเจ้าสาวของเราอย่างช้า ๆ ท่าทางจะตื่นเต้นมากนะครับ
เมื่อกี๊ผมเห็นมือเจ้าบ่าวสั่นระริกเลย” เก็กรับหน้าที่พิธีกรหลักซึ่งย่อมจะขาดลูกคู่รับส่งอย่างแฝดน้องไปเสียไม่ได้
“ว่าที่เจ้าบ่าวสั่นเพราะตื่นเต้นหรือเพราะกลัวเจ้าสาวกันแน่ครับคุณธันวา?”
“ฌอนศรี!
เดี๋ยวหลังแหวนเลยนิ!” ท่าชูมะเหงกกับใบหน้างอหงิกของสกลเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้เป็นอย่างดี...
นี่ขนาดสวมแหวนได้ไม่ถึงนาที หนุ่มแว่นก็จ้องจะอวดแหวนหมั้นน้ำเปล่าให้โลกได้ชื่นชมเสียแล้วหรือ?
“เจ้าบ่าวต้องระวังนะครับ
เจ้าสาวดูมีแววกดขี่และชอบใช้กำลังแก้ปัญหารุนแรงอยู่นะครับ”
อดีตเดือนมหาลัยยังสุมไฟไม่หยุดหย่อน
“ปากเสียด้วย”
ฌอนผสมโรงอย่างเข้าขา
“ปากเสียแก้ง่าย...
พูดไม่เพราะ ไม่เข้าหูเมื่อไรก็ให้คว้ามาจูบบ่อย ๆ เดี๋ยวก็หาย เชื่อกู!” ตรินนึกครึ้มจึงส่งเสียงบ้าง ก่อนจะหันไปยักคิ้วหลิ่วตาให้คนรักทั้งสองของตน...
ซึ่งหนึ่งในนั้นแสร้งหันไปมองนกมองฟ้าเพื่อกลบเกลื่อนอาการเขินเฉียบพลัน
“ฮิ้วววว!
ผู้มีประสบการณ์ตรงเขาถ่ายทอดเคล็ดวิชากันเว้ยยย!!” ไหน ๆ โอกาสงาม ๆ เช่นนี้ก็ไม่ได้มีบ่อย ๆ เก็กจึงแซวครอบครัวพี่ชายออกหน้าไมค์อย่างไม่อาจปล่อยผ่านได้
“[size=18pt]ไอ้สัดเก็ก!” กังฟูตวัดใบหน้ากลับมาจับจ้องน้องชายตัวเองอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“ชะอุ่ย!” หนุ่มวิศวะรูปงามแสร้งฝังหน้าเข้าซอกคอหอม ๆ
ของลูกแม่บัวเพื่อหลบพี่ชาย ก่อนจะแอบขโมยประทับรอยจูบบนเนื้ออ่อนไปหลายครั้ง
“เราอย่าไปสนใจคู่พี่น้องสุดอีเดียตเลยครับ
หันมาดูเจ้าสาวสวมแหวนให้เจ้าบ่าวกันมั่งดีกว่า” อคิรารับช่วงต่อจากแฟนเก่าอย่างไม่มีสะดุด
แต่นั่นกลับทำให้กรกฏฟาดงวงฟาดงาด้วยความพิโรธขึ้นมาอีกคำรบ
“[size=18pt]ไอ้เหี้ยอิ๊ก!”
“พี่รักแนนนะครับ”
สารินกระซิบเบา ๆ ข้างหูคนรักระหว่างที่แหวนยางรัดผมค่อย ๆ ถูกอีกฝ่ายสวมลงบนนิ้วนางของตน
“แนนรักพี่ไหมครับ?”
“...” หลานอาม่าใหญ่ที่โดนคำว่ารักจู่โจมจนหัวสมองไม่แล่นทำได้แค่ชะงักค้างราวกับวิญญาณหลุดออกนอกร่างชั่วคราว
ว่าที่หมอหมาจึงเสนอแนวทางที่จะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น
“ถ้าแนนรักพี่...
พยักหน้าให้พี่ได้ไหมครับ?”
“...” สารินถึงกับยิ้มไม่หุบเมื่อเห็นเด็กน้อยกดคางชิดอกซ้ำ
ๆ เมื่อได้ยินคำขอผ่านเสียงกระซิบของตน ดูเหมือนว่าแผนการร้ายของทุก ๆ คนจะให้ผลลัพธ์ที่น่าชื่นใจมากกว่าที่คิด
“เอ้า!
สวมแหวนเสร็จก็ส่งตัวเข้าหอเลย!” ธันวากลับมาทำหน้าที่โฆษกอีกครั้งหลังจากแอบชาร์จพลังไปพักใหญ่
ๆ แต่ดูเหมือนข้อเสนอแนะดังกล่าวจะถูกตรินผู้ชื่นชอบการล้อมวงกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันปัดตกอย่างไร้เยื่อใย
“เฮ่ย! รีบร้อนอะไรเล่า อยู่กินข้าวกินปลากันก่อนก็ได้”
“พี่เต๋อห่วงหรือพี่เต๋อกลัวต้องจ่ายค่าพิซซ่าวันนี้กันแน่ครับ?”
อดีตเดือนบริหารยื่นปากเข้ามาสอดอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม
“ฮอบบิท อย่าท้าทายความป๋าของผัวเฮีย...
เดี๋ยวผัวเฮียโมโห ผัวเฮียเปย์เละเทะนะเว่ยเฮ่ย!” เก็กชิงปาดหน้าเค้กแซวพี่ชายและครอบครัวออกสื่ออีกครั้งอย่างคึกคะนอง
หนุ่มรูปงามจึงกลายเป็นเป้าหมายใหม่ของกรกฏผู้เดือดดาลไปในบัดดล
“[size=18pt]ไอ้สัดเก็ก คืนนี้มึงนอนนอกห้อง!” กังฟูประกาศลั่นด้วยอำนาจสูงสุดเหนือหนุ่มร่างหมีลูกชายเจ้าของตึก
“โห่ ไม่เอางั้นดิเฮีย
เก็กแค่ล้อเฮียเล่นนิด ๆ หน่อย ๆ เอง... ขอเก็กนอนห้องเฮียนะ
ไม่งั้นบูบู้จะนอนกับใครล่ะ? เฮียไม่สงสารบูบู้เหรอ? บูบู้จะเหงาเอานา” เมื่อรู้ตัวว่าล้ำเส้นตบหัวคนเป็นพี่
อริยะตรัยผู้น้องจึงลูบหลังประจบประแจงอีกฝ่าย ก่อนจะใช้แฟนตัวน้อยตาใส ๆ มาเป็นข้ออ้างในการละเว้นโทษ
เมื่อหางตาปรายไปเห็นสีหน้าเอ๋อ
ๆ ของชายกลางที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือต่อรองหย่าศึกระหว่างสายเลือด กังฟูก็ไม่อาจสะกดกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ได้อีกต่อไป
เด็กวิศวะปีสามร่างเล็กจึงอดกระเซ้าน้องชายไม่ได้ “อ้าว! นี่ไอ้บูบู้มันมาด้วยหรอกเหรอ ตั้งแต่กูเข้าห้องมา
กูยังไม่ได้ยินมันพูดอะไรสักคำ!”
“ก็เก็กหวงนี่เฮีย...
ไม่อยากให้ใครได้ยินเสียงหวาน ๆ ของบูบู้ เก็กอยากเก็บเอาไว้ฟังคนเดียว” คนเป็นน้องบ่นกระปอดกระแปดพลางกอดรัดฟัดเหวี่ยงคนรักตัวน้อยอย่างหวงแหนประหนึ่งงูเหลือมรัดเหยื่อ
“โห่!
ไอ้ควายเผือกเอ๊ยยย!
มึงนี่ไม่น่ามาเกิดเป็นน้องกูเลยจริงจริ๊งงง!” สิ้นเสียงของกรกฏ
ทั้งหมดต่างก็ระเบิดหัวเราะกันอีกครั้งอย่างมีความสุข
«♥»------------------------------------ TBC ------------------------------------ «♥»
บนเตียง | ก่อนนอนคืนนั้น
สกล: ทำไมพี่รินถึงขอแนนเป็นแฟนแบบนั้นล่ะ?
พี่รินไม่อายหน่อยเหรอ?
สาริน:
ฌานบอกพี่ว่าถ้าจะมีแฟน
น้องอยากให้แฟนขอความรักเหมือนฝรั่งขอแต่งงานน่ะครับ
สกล: อ๋อออ!
อย่างนี้นี่เอง... หึ หึ แนนเข้าใจแล้วล่ะ
สาริน: พี่ขอโทษนะครับ
พี่น่าจะรู้ดีแท้ ๆ ว่าแนนไม่ชอบแบบนี้
สกล: จริง ๆ
ตอนแรกแนนก็ไม่ค่อยชอบเท่าไรหรอก แต่พอเห็นว่าพี่รินตั้งใจออกเสียขนาดนั้น... ไป ๆ
มา ๆ แนนก็ว่ามันดีเหมือนกันที่เราได้ประกาศออกมาตรง ๆ
ทีนี้ก็จะไม่มีใครกล้าล้อแนนกับพี่อีกแล้ว *หัวเราะในลำคอต่อด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยม*
สาริน: ตอนใส่แหวนให้แนนพี่ตื่นเต้นมากเลยนะครับ
สกล:
แนนนี่หัวโล่งคิดอะไรไม่ออกไปตั้งแต่พวกนั้นโห่เสียงดังแล้วล่ะ
รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่พิซซ่ามาส่งแล้วนั่นแหละ
สาริน: หืม? แนนเขินพี่นานขนาดนั้นเลยเหรอครับ?
*กดคางลงมองตากับคนที่ตัวเองนอนกอดอย่างสนอกสนใจ*
สกล: ก็คนมันไม่เคยนิ
สาริน: หึ หึ...
พี่ก็ไม่เคยเหมือนกันครับ
สกล:
แต่พี่รินเขินน้อยกว่าแนน แนนรู้
สาริน: ใครบอกครับ...
ใจพี่เต้นดังตู้ม ๆ ตลอดเลยนะ
สกล: *หัวเราะร่วนเสียงสดใส* ตู้ม ๆ มันใช่เสียงหัวใจเสียที่ไหนล่ะพี่ริน...
เดี๋ยวนี้หัดเว่อร์เหรอ ฮึ?!
สาริน: หึ หึ...หัดเว่อร์ที่ไหนกันล่ะครับ *นิ่งไปเหมือนนึกอะไรได้* เออ... แนนครับ
พี่ถามอะไรแนนอย่างสิ
สกล: อะไรเหรอพี่ริน? *เงยหน้าไร้แว่นขึ้นจ้องตากับสาริน*
สาริน: ตลอดเวลาที่ผ่านมา แนนจำพี่ไม่ได้จริง
ๆ น่ะเหรอครับ?
สกล: อย่าเรียกว่าลืมเลย
ต้องบอกว่าจงใจไม่คิดถึงจะดีกว่า
สาริน: ยังไงครับ?
สกล: ก็วันนั้น หลังกลับจากตามหาเบอร์นาร์ด
คุณปู่ตี่จู่เอี๊ยะก็มาเข้าฝันบอกแนนว่า เกิดอะไรขึ้น ยังไง แล้วใครทำอะไรบ้าง พอรู้แบบนั้นแนนเลยโกรธพี่มาก
ๆ โกรธที่กล้าโกหกแนน... ทั้ง ๆ ที่แนนเชื่อพี่ทุก ๆ อย่างแท้ ๆ
สาริน: พี่ขอโทษนะ พี่ไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ
ครับ
สกล: ก็นั่นแหละ
พอแนนโกรธพี่ แนนก็งอน ไม่อยากเจอพี่อีก พองอนพี่นาน ๆ เข้าแนนเลยบอกตัวเองว่าจะเลิกคิดเรื่องพี่
หลังจากนั้นพอไม่ได้เจอกัน แนนก็ลืมเรื่องพี่ไปเลยอ่ะ
สาริน: โห... แฟนพี่นี่ใจร้ายจังนะครับ *จงใจแหย่ แต่กอดแน่นขึ้น กันไม่ให้น้องดิ้น*
สกล: ก็ใครใช้ให้พี่รินโกหกแนนก่อนเล่า?!
*หางเสียงหงุดหงิด*
สาริน: โอ๋ ๆ พี่ไม่โกหกแนนแล้วนะครับ
สกล: อืม แนนเชื่อ
สาริน: นอนกันเถอะครับ ดึกแล้ว
เดี๋ยวพรุ่งนี้แนนต้องตื่นไปเรียนแต่เช้า
สกล: นอนแล้วเหรอ?
คุยต่ออีกหน่อยไม่ได้เหรอ? *จริง ๆ แอบหวังให้สารินทำเรื่องผิดผี*
สาริน: ไม่ได้ครับ พรุ่งนี้แนนต้องตื่นไปเรียนแต่เช้า...
ไหนบอกพี่ว่าอยากไปเจอเจเรมี่ก่อนไปเรียนไงครับ แนนเปลี่ยนใจแล้วเหรอ? *ถามซื่อ ๆ *
สกล: เปล่า *แอบกลอกตาพลางถอนหายใจ *
สาริน: งั้นก็นอนได้แล้วครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ
พี่รักแนนนะ
สกล: ฮื่อ!แนนก็รักพี่ริน นอนเถอะ *แอบคิดในใจว่าหลังจากนี้จะไปหลอกถามงูเห่าถึงวิธีอ่อยสาริน* [/color]
แถมทิ้งท้ายโหนกระแสคานส์สักนิด
(หากใครอ่านในเพจแล้วก็ข้ามไปเนอะ)
ด้วยความปลาบปลื้มกับการทำหน้าที่ของชมพู่ที่คานส์ในปีนี้เป็นที่สุด
เด็กในสังกัดของเราจึงรีบต่อสายตรงถึงช่างพ้งช่างเนาของเจ็ก
ให้ช่วยเนรมิตรลุค Queen of Cannes วันที่สองซึ่งเผ็ชร้อนยิ่งกว่าหอยลายผัดฉ่าให้พ่อคุณคัฟเวอร์บูชาองค์แม่ทันที
อนิจจา ถึงบุญจะมี...
แต่ดูเหมือนหมีจะบังหล่อนแรงอยู่นะแว่น
ได้ข่าวว่าโดนเขาลากเข้าห้องตั้งกะวันศุกร์ตอนเช้าแล้วไม่ใช่เหรอ?
ป่านนี้ไหงยังไม่ออกมาให้เห็นหน้าอีกล่ะ
- ใต้ความเด้งดึ๋งของสปริงฟูกนอนในห้องสาริน
No comments:
Post a Comment