Monday, May 16, 2016

«♥» บน บานฯ สาน รัก «♥» The 19th Bonding|| 16.05.2015



ตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายที่สารินและสกลจะออกโรงในฐานะคู่หลักแล้วนะคะ
เรามาอำลาสองหนุ่มไปพร้อม ๆ กับเหล่าสมุนเลวและคี่รักปีสามกันเถอะค่ะ
แล้วมาลุ้นกันอีกทีเนาะว่าช่วงต่อไปของภาค จะเกิดอะไรขึ้นกับคู่ไหน... ยังไง

ขอให้อ่านอย่างมีความสุขนะคะ
รักชอบประการใด... ฝากข้อความแทนใจเอาไว้ได้เลยค่ะ ^^





«»------------------------------------------------------------------------------------«»



The 19th Bonding
มีเพียงสองเรา...
กับเหล่าชายฉกรรจ์อีกหลายคน




“ยังไงพวกมึง? เรียกพวกกูลงมาหาพระแสงอะไร? นี่วันอาทิตย์... วันครอบครัวของพวกกูนะครับ” เต๋อเปิดฉากฉะผ่านวาจาและสายตาทันทีที่เห็นหน้าเหล่าสมุนเลวพร้อมตัวแถมนั่งหน้าสลอนกันอยู่เต็มห้องพักของรุ่นน้องฝาแฝด

“ถ้าพี่เต๋ออยากรู้สาเหตุ ก็ถามแนนซี่กับฮยองดูสิครับ” อดีตเดือนบริหารลอยหน้าพลางปรายหางตามองหนุ่มแว่นเพื่อส่งสัญญาณบอกใบ้แก่รุ่นพี่ร่างหมีโดยไม่รอให้ใครยุยงส่งเสริม

“อ๋อออ! มึงเองหรอกเหรอที่เป็นตัวการ?! ยังไง? มึงมีเรื่องเดือดร้อนอะไรอีกล่ะคราวนี้?”

ก่อนตรินจะได้รับฟังคำตอบของรุ่นน้องร่วมคณะ อริยะตรัยผู้พี่ก็ชิงผสมโรงอย่างมีอินเนอร์ “ใช่! เดือดร้อนฉิบหาย! เห็นไหมเนี่ย ลำบากพวกกูต้องลากสังขารลงบันไดมาตั้งหลายขั้น... สามัญสำนึกน่ะเคยมีบ้างไหม... ห๊ะไอ้แนน?”

“แหม... ก็เจ๊า ๆ กันไปป่ะครับตั่วเฮีย ทีตอนพวกผมแห่แหนกันขึ้นไปช่วยทำโน่นทำนี่ให้ตั่วเฮียกับพระสวามีซ้ายขวา พวกผมยังไม่บ่นบ้าเป็นมนุษย์ป้าวัยทองอย่างตั่วเฮียเลยนะครับ”

หากไม่ใช่เพราะความหลังที่สั่งสมมาเนิ่นนานและปริมาณความหมั่นไส้ที่ทวีคูณไปเสียทุกครั้งที่พบหน้า หนุ่มบริหารคงไม่กล้าเสี่ยงตายปะทะฝีปากกับกรกฏอย่างไม่ลดลาวาศอกเช่นนี้แน่  และดูเหมือนเด็กวิศวะปีสามเองก็น่าจะยังคั่งแค้นอดีตแฟนน้องชายอยู่ติดหมัดไม่แพ้กัน


ไอ้สัดอิ๊ก มึงนี่วอนเหลือเกินนะ!

“โอ๊ย พอเถอะครับ! ถ้าจะทะเลาะกันก็รอให้จบช่วงตั้งโต๊ะแถลงข่าวของผมไปก่อนจะได้ไหมครับ? เห็นแก่หน้าหล่อ ๆ ของเจ้าภาพอย่างพวกผมบ้างไรบ้าง!” สกลยกสองมือขึ้นห้ามปรามพลางผุดลุกขึ้นยืนระงับศึกอย่างสง่าผ่าเผยผิดไปจากฟอร์มที่เห็นชินตาในพักหลัง ๆ จนพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยยังอดแปลกใจไม่ได้

“เพ้ออะไรของมึงอีกล่ะไอ้แนน?! ขัดจังหวะเบิ๊ดกะโหลกไอ้อิ๊กของกูตลอดน่ะมึงเนี่ย!” กังฟูชะงักมะเหงกค้างกลางอากาศหลังปริปากบ่นอย่างไม่จริงจังนัก ได้ยินดังนั้น หลานอาม่าใหญ่จึงเชิดหน้ากดตามองต่ำแล้วยกยิ้มมุมปากอย่างเหนือ ๆ ใส่รุ่นพี่ร่างเล็กก่อนจะพล่ามเร็วรัว

“ก็ไอ้ที่เฮียย้ำนักย้ำหนาว่าผมต้องรีบทำทันทีที่ทุกอย่างเรียบร้อยยังไงล่ะครับ”

“หืม? อะไรเหรอแว่น?” ฌานถามแทรกขึ้นพร้อมกับเลิกคิ้วรอฟังเพื่อนสนิทด้วยความสงสัย

สีหน้าสนใจใคร่รู้ของทุกคนทำให้สกลยิ่งรู้สึกพึงพอใจ คนเห็นผีทรุดตัวลงนั่งตรงที่ว่างข้าง ๆ สารินอย่างเชื่องช้าคล้ายกับซื้อเวลา แล้วจึงยืดอดวางท่าหยิ่งผยองพองขน “อะแฮ่ม! คืออย่างนี้ครับทุกคน ตั้งใจฟังให้ดี ๆ นะครับ” หนุ่มแว่นกวาดตามองเพื่อน ๆ และรุ่นพี่อย่างสุขสมระหว่างหยุดเว้นวรรคเรียกเรตติ้งจนพอใจ “ที่บ้านผม กับที่บ้านพี่ริน รับรู้เรื่องที่เราคบกันแล้วน่ะครับ”

ชายหนุ่มทั้งวงออกอาการตื่นเต้นเมื่อได้รับแจ้งข่าวล่ามาแรงของบุคคลต้นเรื่องกับคนรัก ผู้ฟังเกือบทั้งหมดส่งเสียงซักไซ้สารินและสกลกันดังลั่นห้อง “เฮ่ยยย! จริงดิ?!!

“ครับ!” คนเห็นผียักคิ้วใส่สหายและรุ่นพี่พลางเอ่ยยืนยันเสียงดังฟังชัด ฝ่ายสารินก็อมยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับพยักหน้ารับด้วยความสุภาพ

“แล้วได้ความว่าไง?” แฝดพี่เริ่มยิงคำถามสัมภาษณ์เพื่อนหัวไข่อย่างฉับไว

“ก็ต้องรับได้น่ะสิครับพี่ฌาน... มือชั้นนี้แล้ว” สกลยิ้มมุมปากพลางยักไหล่โอ่อย่างไม่ยี่หระ ท่าทางโชว์เหนือของรุ่นน้องหัวเกรียนช่างดูขัดสายตากังฟูเสียนี่กระไร

พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยเลิกคิ้ว แล้วหรี่ตาหยั่งเชิงชายหนุ่มรุ่นน้องอยู่นนานสองนาน ก่อนจะตั้งใจวางกับดักหวังให้อีกฝ่ายหวาดระแวงจนกระอักเลือด “ที่บ้านมึงรับได้จริง ๆ น่ะเหรอไอ้แนน? ครอบครัวมึงอาจจะแกล้งทำให้พวกมึงตายใจก็ได้นะ”

“แหม่... ได้สิครับเฮียฟู บ้านผมนี่รับพี่รินได้ทู๊กกกกคนตั้งแต่ม่ายันหมาเลยล่ะครับ” อริยะตรัยผู้พี่เกือบต้องหน้าหงายเมื่อได้ยินคำอธิบายผ่านน้ำเสียงมั่นใจไร้กังวลของสกลรุ่นอัพเกรดด้านความมั่นใจ  

“ป๊ากับม้านายยอมง่าย ๆ เลยเหรอ?” กลายเป็นบ๊วยที่ออกอาการสงสัยแทนชายหนุ่มที่เหลือ เพราะเท่าที่เขารู้จักกับครอบครัวนี้มาหลายสิบปี คนเห็นผีถูกบิดาและมารดาฟูมฟักรักใคร่ไม่ต่างอะไรกับไข่ในหิน การยินยอมเปิดโอกาสให้คนอื่นเข้ามารับช่วงดูแลเลือดในอกก้อนนี้ จึงน่าจะเป็นเรื่องยากพอสมควร

“ก็ใช่น่ะสิ... นอกจากไม่มีปัญหาแล้ว ป๊ากับม้ายังอวยพรให้เรากับพี่รินอยู่ด้วยกันนาน ๆ มีลูกเต็มบ้าน มีหลานเต็มเมืองอีกด้วยนะ”

อาการฮือฮาตาลุกโพลงของเหล่าผู้ฟังหลังจากเด็กน้อยอวดอ้างสรรพคุณเกินพอดี ทำให้เด็กสัตว์แพทย์ปีสามจำต้องออกโรงเล่าความจริงให้ทั้งหมดได้เข้าใจ  “ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ พวกท่านแค่ยอมรับแล้วก็เลี้ยงข้าวเราสองคนเฉย ๆ ... แต่จริง ๆ พี่ว่าตอนแรกที่รู้ ป๊าน่าจะช็อคอยู่เหมือนกันแหละครับ แต่โชคดีที่อาม่าของแนนท่านช่วยพูดให้ ป๊าเลยเบาใจเรื่องของเราไปได้เยอะน่ะครับ”

“แสดงว่าป๊าหนูแนนไม่มายด์ที่หนูแนนมันริอ่านคบผู้ชาย... อย่างนั้นน่ะเหรอ?” เก็กถามขึ้นลอย ๆ คล้ายกำลังปรารภกับคนรักและแฝดน้อง สารินจึงเป็นธุระไขข้อข้องใจดังกล่าวให้รุ่นน้องรูปงามทันที

“ครับ ท่านดูไม่ได้ตกใจที่รู้ว่าเป็นพี่เลยครับ ท่านแค่กังวลที่เราคบกันทั้ง ๆ ยังเรียนอยู่ทั้งคู่มากกว่าน่ะครับ” ว่าที่นายสัตวแพทย์สรุปปฏิกิริยา และข้อกังวลของบิดาคนรักที่ได้ประสบพบเห็นด้วยตัวเองไปเมื่อเย็นวานอย่างสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงน่าฟัง

แต่แทนที่อดีตเดือนมหาลัยปีสองจะเอื้อนเอ่ยวาจา กลับกลายเป็นร่างทรงหนุ่มที่โพล่งความในใจออกมาอย่างกลัดกลุ้มเสียเอง “เออแฮะ แปลก... มันแปลกเกินไปแล้ว”

“แปลกยังไงครับพี่ฌาน? แค่ป๊าผมรับพี่รินได้แค่เนี้ยะ!” หลานอาม่าใหญ่ขึ้นเสียงคาดคั้นเพื่อนรักอย่างไม่ไว้หน้า

“พี่ฌานนึกว่าป๊าแว่นจะเป็นบิ๊กบอสด่านสุดท้ายที่รอขัดขวางความสุขของพี่รินอยู่เสียอีก... รู้งี้ตอนพี่รินมาขอให้ช่วย พี่ฌานไม่ยอมร่วมมือด้วยเสียก็ดี พี่รินจะได้พิสูจน์ตัวเองกับพวกเรานาน ๆ หน่อย” ที่สุด ฌานก็ยอมเผยไต๋จนหมดเปลือก อาการแพ้หมดรูปของพี่ชายฝาแฝดทำให้คนเป็นน้องสรุปด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

“หึ หึ งานนี้ป๊าแพ้ม่าหมดรูปครับพี่ชาย”

“อ้าว! งั้นวันไหนที่ม่าไม่อยู่ ไอ้หนูแนนมันจะไม่ตกที่นั่งลำบากเอาหรอกเหรอ?” ธันวายังคงสงสัยกับตรรกะที่เพิ่งได้ยินไปไม่หาย

อคิราผู้เติบโตมาพร้อมหนังและละครน้ำเน่าเคล้าซีรีย์เกาหลีนับร้อย ๆ เรื่องจึงอาสาเบิกเนตรให้แฟนเก่าด้วยทักษะมโนแจ่มขั้นสูงของตน “ถึงตอนนั้นจริง ๆ ป๊าแนนซี่คงว่าอะไรไม่ได้อีกแล้วล่ะ”

“ทำไมวะไอ้อิ๊ก?” กังฟูสอดขึ้นค่าที่คิดตามไม่ทันจนโดนเด็กบริหารถอนหายใจใส่อย่างไม่เห็นแก่อาวุโส

“แหม่ ตั่วเฮียล่ะก็...หึ หึ... อย่าให้ผมต้องพูดเลย ของแบบนี้เราก็รู้ ๆ กันอยู่แหละเนอะ” ว่าแล้วอคิราก็ทำหน้ากรุ้มกริ่ม พลางสื่อความนัยใต้สะดือผ่านสายตาวิบวับที่มองทั้งเต๋อและด้วงตั้งแต่หัวจรดเท้าสลับกันไปมาก่อนจะหันไปจ้องหน้าผู้ร่วมอุดมการณ์อวดผัวอย่างกรกฏพร้อมเอ่ยกระเซ้าด้วยน้ำเสียงระริกระรี้ “หรือตั่วเฮียว่าไม่จริง?”

ท่าทีกึ่งลามกกึ่งเจ้าเล่ห์ของอิ๊ก กับดวงหน้าซับสีแดงระเรื่อแบบฉับพลันทันตาของอริยะตรัยคนพี่ ทำให้ทั้งหมดระเบิดหัวเราะอย่างสุขเกษมเปรมปรีดิ์กันถ้วนหน้า จากนั้นวิญญูจึงอาศัยจังหวะที่ยังไม่มีใครพูดอะไร ตั้งคำถามข้อใหม่โดยพลัน


“บ้านรินก็ไม่มีปัญหากับแนนเลยเหรอครับ?” จริง ๆ ใจด้วงอยากจะซักไซ้สารินด้วยประเด็นปากไม่มีหูรูดของหนุ่มแว่นมากกว่า แต่เพื่อความราบรื่นของวงสนทนา คิวท์บอยวิศวะจึงลดดีกรีความรุนแรงของคำถามลงหลายช็อต  

“ครับ ป๊ากับม่าโอเคครับ ยิ่งอาม่ายิ่งรักยิ่งหลงน้องหนักกว่าผมอีกครับ” ว่าที่หมอหมาแย้มยิ้มอย่างเปิดเผยจนวิญญูต้องยอมใจ  

“ยินดีด้วยนะครับ”

“ขอบคุณมากครับ”

“แล้วพวกมึงไปตกลงคบกันตอนไหนวะ? ทำไมพวกกูถึงเพิ่งรู้เอาวันนี้?” กังฟูกลบเกลื่อนอาการผิดปกติของตัวเองด้วยการคุกคามเด็กเต็กหัวไข่ รุ่นพี่ชี้หน้าหนุ่มสี่ตาก่อนจะแหวใส่ตบท้าย  “กูเคยบอกไม่ใช่เหรอว่าคบกันเมื่อไร มึงต้องบอกพวกกูทันที!!

“แหม่ จริง ๆ มันก็ไม่ได้โจ่งแจ้งแบ่งเป็นฉาก ๆ อะไรขนาดนั้นหรอกครับเฮียฟู...
.
.
...แค่พอดีเมื่อวานครอบครัวผมอยู่พร้อมหน้า แล้วอยู่  ๆ อาม่าก็พูดเรื่องของผมกับพี่รินขึ้นมากลางวง ผมกับพี่รินเลยต้องสานต่อเจตนารมย์ของม่าจนจบ... เราทั้งคู่เลยได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขนับแต่นั้นเป็นต้นมา” คนเห็นผีวาดแขนข้างหนึ่งกว้างสุดวงสวิงพลางเหม่อมองนิ่ง ๆ ไปไกลแสนไกล จากนั้นจึงเอ่ยตอบด้วยสีหน้าระรื่นเหมือนยืนชมทิวทัศน์แถมอัดอ็อกซิเจนเข้าปอดอยู่บนยอดจุงเฟรา

“หูยยยย! ออกตัวแรงอะไรเบอร์นี้ครับคู๊ณณณ?! ทีเมื่อก่อนทำมาเป็นเหนียม... กระแดะจริงจริ๊งงงอีหนูของพี่หมี!” ธันวาอดแซะท่าทางเบิกบานเป็นนางเอกการ์ตูนตาหวานตอนอวสานของหลานอาม่าใหญ่ไม่ได้ แน่นอน... การแกรนด์โอเพนนิ่งอย่างมั่นหน้าของสกลในหนนี้ก่อกระแสแอนตี้ได้รุนแรงกว่าอวยหรือติ่งเป็นล้นพ้น

“หึ! เออว่ะ! อย่างกับคนละคน” ฌอนกระแนะกระแหนอย่างเหลืออด ก่อนจะหรี่ตามองหน้าคู่รักหมาด ๆ สลับกับอดีตเดือนมหาลัยอย่างมีเลศนัย “หรือว่า?!

“กูว่าใช่” ธันวารับลูกเพื่อนสนิทต่างคณะด้วยความไวแสงพร้อมกับทำหน้าชั่วชื่นหื่นกระหาย... หนูแนนมันต้องโดนพี่หมอจับแก้อีมี่อัพเวอร์ชันแล้วแหง ๆ  
.
.
.
.
.
.
“แต่กูว่ายัง... คงจะอีกสักพักใหญ่ ๆ โน่นแหละว่ะ”

“ก็ได้! กูเชื่อมึง... แบ็คมึงแน่นอย่างกะอะไรดี!” อริยะตรัยผู้น้องเลือกจะไม่เถียงบทสรุปของเพื่อนรัก เพราะลองว่าฌอนนั่งนิ่งคล้ายเงี่ยหูตั้งใจฟังอะไรบางอย่างเมื่อกี๊ ก็แสดงว่า อีกฝ่ายคงจะเช็คข้อมูลกับกุมารทองคู่กายมาเป็นที่เรียบร้อย  

ว่าที่นายสัตวแพทย์ทำเป็นมองไม่เห็นเด็กปีสองผู้รั้งตำแหน่งน้องคนเล็กของทั้งกังฟูและฌานที่พยายามกลั้นหัวเราะกันจนหน้าดำหน้าแดง ชายหนุ่มกล่าวเชื้อเชิญทุกคนด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ “ที่พวกผมขอให้ทุกคนมารวมกันในวันนี้ ก็เพราะพวกผมอยากจะเลี้ยงขอบคุณทุก ๆ คนที่คอยช่วยเหลือ แนะนำ และให้โอกาสผมจนจีบน้องสำเร็จน่ะครับ หวังว่าทุกคนจะยังไม่เบื่อพิซซ่ากันนะครับ”

“เฮอะ! ไอ้พวกนี้น่ะเหรอจะเบื่อ ขอแค่แดกฟรี พวกมันก็พร้อมจะสนองให้เต็มที่อยู่แล้วล่ะ” เพราะเห็นกลุ่มเด็กปีสองมานาน ตรินจึงรู้จักนิสัยเกือบทุกคนเป็นอย่างดี เด็กเต็กปีสามจึงแสร้งแขวะกลุ่มรุ่นน้องเพื่อให้เจ้ามือสบายใจ

“พี่ริน เดี๋ยวแนนมานะ ขอแนนกลับไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึง” สกลฉวยโอกาสที่สารินพยักหน้าขอบคุณเต๋อโน้มตัวเข้ากระซิบข้างหูคนรักพลางล้วงกุญแจห้องในกระเป๋าแจ็กเก็ตที่อีกฝ่ายใส่อยู่ไปพร้อม ๆ กัน  

“ปวดหนักเหรอครับ?” ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนนั่งไม่ติดของหลานอาม่าใหญ่ทำให้รุ่นพี่สัตว์แพทย์เผลอเข้าใจไปอีกอย่าง  แต่แทนที่จะแก้ไขความเข้าใจของอีกฝ่ายเสียใหม่ หนุ่มแว่นกลับรับสมอ้างโดยไม่รอรี  

“ครับ เดี๋ยวแนนกลับมา”








“สวัสดีครับคุณน้า” ประตูหน้าห้องของสารินยังไม่ทันจะงับปิดลง หนุ่มแว่นก็เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นเสียแล้ว หากใช้สายตาคนปกติทั่ว ๆ ไปสอดส่อง บรรยากาศโดยรวมเบื้องหน้าหลานอาม่าใหญ่คงเป็นเพียงโถงกว้างของห้องดูเพล็กซ์ตกแต่งครบครันห้องหนึ่งเท่านั้น แต่ในคลองจักษุหลังแว่นทรงม้อดเลนส์เว้ากรอบหนากลับปรากฏร่างโปร่งแสงของหญิงสาววัยสามสิบต้น ๆ ยืนประจันหน้าพลางส่งยิ้มและสายตาเอ็นดูมาให้

สวัสดีจ๊ะแนน หลังจากสารินเปิดเผยประวัติกับตนไปเมื่อวาน วิญญาณหญิงสาวตรงหน้าก็ดูยิ่งคุ้นตาไปกันใหญ่ หล่อนกล่าวทักทายชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงหวานหูทว่าชวนให้ขนลุกซู่เป็นระยะ ๆ กระนั้น สุ้มเสียงดังกล่าวกลับไม่มีผลใด ๆ ต่อขวัญและกำลังใจของผู้คร่ำหวอดในวงการคนเห็นผีมานานกว่ายี่สิบปีเลยสักนิด  

“แนนสงสัยอยู่นานเลยว่าแนนตาฝาด หรือว่าแนนเห็นคุณน้าจริง ๆ” เด็กเต็กรำพึงเบา ๆ คล้ายกำลังคุยกับตัวเองเสียมากกว่า... อันที่จริง หลังจากตัดสินใจย้ายห้อง เขามักจะเห็นอีกฝ่ายหายตัววูบผ่านหางตาอยู่ประปราย แต่เพราะไม่เคยเจอกันจะ ๆ เหมือนเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้า หลานอาม่าใหญ่จึงไม่ติดใจจนต้องเก็บเอาเรื่องดังกล่าวมาใคร่ครวญให้หนักสมอง

เรียกน้าว่าหม่าม้าเถอะจ๊ะ เจ้าของประโยคท้วงติงพร้อมคลี่ยิ้มละไม

“ครับ” สกลไม่รู้ว่าระหว่างรอยยิ้มของคู่สนทนาที่ทำให้เผลอนึกถึงใบหน้าหล่อเหลาของสาริน กับการยอมรับกลาย ๆ ผ่านสรรพนามที่ยกระดับความสนิทสนมขึ้นทันตา... อะไรที่ทำให้เขารู้สึกเห่อร้อนไปทั่วหน้าอยู่แบบนี้ คนเห็นผีจึงไพล่ไปถามถึงสาเหตุที่ทำให้วิญญาณสาวจงใจเผยกายละเอียด“ทำไมอยู่ ๆ วันนี้หม่าม้าถึงยอมโผล่มาให้แนนเห็นล่ะครับ?”

ม้าว่าถึงเวลาแล้วล่ะที่ม้าควรจะออกมาเจอแนนอดีตมนุษย์แม่ของหมีโพลาร์ตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริง ฝ่ายคนฟังกลับนิ่วหน้าพลางทบทวนถึงภาพความทรงจำในวัยเยาว์เมื่อแรกคบหากับเพื่อนเล่นคนใหม่

“แต่เมื่อก่อนแนนเจอหม่าม้าอยู่กับพี่รินตลอดเวลาเลยนี่ครับ... แล้วทำไมเดี๋ยวนี้หม่าม้าถึงมา ๆ หาย ๆ ?” ถ้าสกลจำไม่ผิด  ทุกครั้งที่สารินมาเล่นที่บ้าน เขามักจะเห็นหม่าม้ายืนเฝ้ารอบุตรชายอยู่ข้าง ๆ เสาไฟฟ้าต้นตรงข้ามรั้วอยู่เสมอ ๆ กระทั่งวันสุดท้ายที่ทั้งสองตัดสินใจขี่จักรยานออกตามหาเจ้าเบอร์นาร์ด ก็มีหล่อนคอยติดตามพวกเขาไปยังที่ต่าง ๆ ประหนึ่งเงา ผิดกับทุกวันนี้

ตอนนั้นม้ายังตัดสินใจไม่ได้ว่า ม้าควรทำอย่างไรถึงจะคอยอยู่ดูแลตารินได้ตลอดอย่างที่ม้าให้สัญญากับเขาเอาไว้... แต่โชคดีที่สุดท้ายม้าก็ได้ไอเดียจากเรื่องไม่คาดฝันน่ะจ๊ะ

“หืม?!” คำตอบของอีกฝ่ายทำให้ชายหนุ่มยิ่งนึกสงสัย “อะไร?... ยังไงเหรอครับ?”

คืองี้จ๊ะ... ตารินไม่ได้เห็นม้าแบบเดียวกับที่แนนเห็นม้าหรอกนะจ๊ะ...
...ม้าต้องขอบใจเจ้าเบอร์นาร์ดจริง ๆ ถ้าไม่เกิดเรื่องสูญเสียวันนั้น ม้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเริ่มติดต่อกับตารินยังไง...
.
...แต่เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะจ๊ะ วันนี้ม้ามีเรื่องอื่นที่อยากจะคุยกับแนนมากกว่า ชายหนุ่มนับถือความหัวใสของวิญญาณสาวที่เข้าใจพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสอย่างแท้จริง... มิน่าล่ะ ตอนยอมรับกับสารินว่ามองเห็นผี หมีขาวก็ดูจะไม่อินังขังขอบอะไร ที่แท้ตลอดเก้าปีที่ผ่านมา ฝั่งนั้นก็เห็นวิญญาณด้วยเหมือนกัน... ถึงจะเห็นแค่แม่ตัวเองในร่างหมาอยู่ตลอดเวลาก็เถอะ

“เรื่องอะไรเหรอครับ? หม่าม้าอยากให้แนนช่วยทำอะไรให้หรือเปล่าครับ

ม้าแค่อยากมาขอบคุณและคุยกับแนนนิด ๆ หน่อย ๆ น่ะจ๊ะ

“ขอบคุณ? หม่าม้าจะขอบคุณแนนไปทำไมล่ะครับ? แนนยังไม่ได้ทำอะไรให้หม่าม้าเลยนะครับ” สกลอดแปลกใจไม่ได้ วิญญาณสาวจึงอธิบายเจตนาของหล่อนทันที

แนน... แนนรู้ไหมว่าสารินรอคอยวันที่จะได้อยู่กับแนนมานานแล้วนะจ๊ะ

“เหรอครับ?” เด็กเต็กเลิกคิ้วพลางมองหน้า อดีตมนุษย์แม่ของหมีโพลาร์ด้วยแววตางุนงง

จ๊ะ... ลึก ๆ แล้ว ตารินน่ะสนใจแนนมาตลอดเลยนะ แต่มีพักหลัง ๆ นี่แหละที่พอเจอแนนที่ไหนก็มักจะมองตามแนนจนลับตา ถ้าเมื่อก่อนแนนเคยสังเกต... แนนจะรู้เลยล่ะจ๊ะว่าตารินน่ะมักจะโผล่ไปตามที่ต่าง ๆ ที่แนนไปเสมอเลยนะจ๊ะวิญญาณสาวเลือกอธิบายเฉพาะใจความที่เห็นควรด้วยไม่อยากให้หนุ่มแว่นล่วงรู้ว่า ตั้งแต่จับความรู้สึกผิดปกติของสารินที่มีต่อหลานอาม่าใหญ่ได้ หล่อนเองนั่นแหละที่ตั้งตนเป็นแม่สื่อแม่ชักคอยส่งสัญญาณบอกใบ้กิจวัตร กับความเป็นไปในรั้วมหาวิทยาลัยของว่าที่สะใภ้ให้แก่ลูกชายตามไปสอดส่อง หรือยื่นมือเข้าช่วยเหลืออยู่เนือง ๆ

“จริงเหรอครับ?” ความรู้ใหม่เกี่ยวกับสารินที่หลานอาม่าใหญ่ทึกทักเอาภายหลังว่า เกิดจากความหลงใหลคลั่งไคล้ในเสน่ห์อันล้นเหลือของตนทำให้ชายหนุ่มหัวไข่รู้สึกอุ่นวาบไปทั้งอก ยิ่งเมื่ออดีตมนุษย์แม่ช่วยตอกย้ำความเข้าใจดังกล่าวซ้ำอีกระลอก... สกลก็รู้สึกตัวลอยคล้ายจะบินเสียให้ได้

ใช่จ๊ะผิงอมยิ้มเอ็นดูความช่างมโนของแฟนลูกชายที่แทบไม่ต่างจากหล่อนตอนที่ตกอยู่ในห้วงรักหวานชื่นกับศรันย์เสียจริง ๆ แนนทำให้ตารินมีความสุขมากเลยนะจ๊ะ นี่ยังไงล่ะเหตุผลที่ม้าอยากขอบคุณแนน

“พี่รินก็ทำให้แนนมีความสุขมากเหมือนกันแหละครับหม่าม้า เพราะฉะนั้นหม่าม้าไม่ต้องขอบคุณแนนก็ได้นะครับ” นอกจากจะไม่ยอมแพ้แล้ว สกลยังไม่ยอมรับความดีความชอบง่าย ๆ เสียอีก

วิญญาณสาวส่ายหัวแล้วยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะยกธงขาวแต่โดยดี ก็ได้จ๊ะ ถ้างั้นม้าเปลี่ยนเป็นขออะไรแนนแทนได้ไหมจ๊ะ?

“ได้สิครับหม่าม้า หม่าม้าอยากได้อะไร ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง แนนทำให้หม่าม้าได้ทั้งนั้นแหละครับ” ?” หนุ่มแว่นขันอาสาเพราะเข้าใจว่า ลึก ๆ แล้ว การปรากฏกายของคู่สนทนาอาจเกิดจากความขัดสนแต้มบุญ หรือมีเรื่องคั่งค้างทางใจเหมือนกับวิญญาณทั่ว ๆ ไป

อย่าบอกตารินได้ไหมจ๊ะว่าม้ายังไม่ไปไหน แล้วก็... รักตารินให้มาก ๆ เหมือนกับม้าที่รักป๊าของตารินน่ะลูก หลังจากฝากฝังบุตรชายพร้อมกำชับว่าที่สะใภ้ให้ช่วยรักษาความลับสุดยอดเกี่ยวกับตัวตนของหล่อน วิญญาณมารดาของสารินก็นึกบางอย่างขึ้นได้ทันท่วงที อ้อ! เกือบลืมแน่ะ... ม้าอยากจะบอกว่า ตารินไม่เคยพาผู้หญิงที่ไหนเข้าห้องเลยนะจ๊ะ ที่แนนเห็นคืนวันนั้น... คือ ม้าเองแหละจ๊ะ

“อ่อ... ครับ” ยิ่งฟังคำของคู่สนทนา เด็กเต็กหน้าแว่นก็ยิ่งรู้สึกผิดกับว่าที่นายสัตวแพทย์ไปกันใหญ่ แต่อย่างไรเสีย ความสงสัย และเป็นกังวลเมื่อได้ยินคำร้องขอของอีกฝ่ายกลับทำให้ชายหนุ่มกลั้นใจซักไซ้ไต่ถาม “ว่าแต่หม่าม้าต้องวนเวียนอยู่แบบนี้ไปอีกนานเท่าไรเหรอครับกว่าจะได้ไปเกิดอีกครั้ง?”

ม้าก็ไม่รู้เหมือนกันจ๊ะ แต่ช่างเถอะ... อยู่แบบนี้ก็ดีนะ ม้าได้ทำอะไรสนุก ๆ ที่ไม่เคยทำตั้งเยอะแยะเลยจ๊ะวิญญาณสาวตอบสบาย ๆ จนคนฟังรู้สึกว่า การไม่ได้ไปผุดไปเกิด คือความสุขของหล่อนจริง ๆ

“เหรอครับ?” สกลถามอีกฝ่ายทิ้งทวนด้วยความไม่แน่ใจ... แปลก เจอผีมานักต่อนัก ก็เพิ่งมีวิญญาณหม่าม้าพี่รินนี่แหละที่ไม่ยักเดือดร้อนเรื่องที่ยังไม่ได้ไปต่อยังภพภูมิหน้า  

จ๊ะ! ม้าว่าม้าไปก่อนดีกว่า ทางโน้นน่าจะเสร็จแล้วล่ะ ไว้คุยกันนะจ๊ะลูกสะใภ้!หลังร่ำลาพอเป็นพิธี เจ้าหล่อนก็หายวับไปไม่ต่างจากเงายามต้องแสง

“อะไรของหม่าม้าเนี่ยะ? บทจะไปก็ไป บทจะมาก็มา! แล้วทางโน้นคืออะไร?! พี่ไม่เข้าใจ... พี่งง!” หลานอาม่าใหญ่บ่นขรมกับความมีลับลมคมใน และความไม่แน่ไม่นอนของอดีตมนุษย์แม่ผู้แสนจะร่าเริงลั้นลาเกินกว่าผีทุกตัวที่เขาเคยประสบพบหน้ามาก่อน  








|| ขณะเดียวกันนั้นเอง ||


“ริน... พวกผมดีใจด้วยนะ ในที่สุดคุณก็ทำสำเร็จ” เต๋อแสดงความยินดีกับเพื่อนใหม่ต่างคณะอีกครั้งหลังจากคนรักหน้าหยกชิงพูดตัดหน้าไปก่อน

“ขอบคุณครับ ขอบคุณพวกคุณมาก ๆ นะครับ” สารินยิ้มรับพร้อมโต้ตอบด้วยความสุภาพเหมือนเคย ก่อนจะหันไปเอ่ยกับกรกฏเป็นกรณีพิเศษ “โดยเฉพาะคุณ... คุณกังฟู ถ้าไม่ได้คุณช่วยกระตุ้นน้อง ผมคงแย่แน่ ๆ ครับ”

“ไม่เป็นไร คนกันเองน่า” กังฟูไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ รู้ดังนั้น ว่าที่หมอหมาจึงรีบยืนกรานความรู้สึกของตนเป็นพัลวัน

“ถ้าไม่ได้คุณกังฟูช่วยเอาไว้ ผมกับน้องคงไม่ได้ลงเอยกันเร็วขนาดนี้หรอกครับ”

แม้เดิมที อริยะตรัยผู้พี่ตั้งใจจะแกล้งรุ่นน้องหัวไข่ให้ต้องอับอายขายหน้าประชาชีสมกับความดีความชอบที่เจ้าตัวเคยทำไว้ แต่พอโดนสายตากับสีหน้าซาบซึ้งถึงที่สุดของสารินเข้าเล่นงาน พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยก็เกิดรู้สึกหน้าม้านขึ้นมาเสียอย่างนั้น “เฮ่ย! เรื่องเล็ก... อย่าคิดมากดิ!  

“เอ่อ ขอโทษนะครับ” ร่างทรงหนุ่มเหลือบมองรุ่นพี่คล้ายกับขออนุญาตพูดแทรก จนเมื่อเห็นตรินผงกหัวให้แล้วนั่นแหละ เด็กปีสองตัวบอสจึงว่าต่อ “พี่รินครับ... พี่รินลืมเรื่องที่เราคุยกันเมื่อวันก่อนไปหรือยังครับ?”

ว่าที่นายสัตวแพทย์ดูจะหนักใจหลังจ้องมองใบหน้าคาดหวังของรุ่นน้อง “พี่ไม่ลืมหรอกครับฌาน จริง ๆ พี่ตั้งใจว่าวันนี้จะลองปรึกษาทุกคนดูน่ะครับว่าควรทำยังไงดี”

“จะทำอะไรกันล่ะ? อยากให้พวกผมช่วยอีกไหม?” กังฟูเผลอตัวถูมืออย่างหมายมั่น... ไม่ต้องให้ใครบอกก็รู้ว่า เจ้าตัวจะยังสนุกกับการกลั่นแกล้งหนุ่มแว่นไม่หาย

“ครับ! คงต้องรบกวนพวกคุณทั้งสามและน้อง ๆ ทุกคนอีกแล้วล่ะครับ” เด็กสัตว์แพทย์รับคำพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยก่อนจะหันไปสบตากับชายหนุ่มที่เหลือในวง “...คือ... ผมอยากจะขอน้องเป็นแฟนอย่างเป็นทางการน่ะครับ”

“อู๊ยยยย! ฮยอง... ซารางเฮโย!” แม่ยกกัปตันยูชีจินอย่างอคิราถึงกับกรีดร้องโหยหวน พลางชูนิ้วบอกรักเจ้าของประโยคเมื่อสักครู่ด้วยความถูกอกถูกใจ ก่อนจะโดนแฝดน้องกระชากเอวให้กลับมานั่งตักเพื่อที่จะใช้ฝ่ามือประกบปิดริมฝีปากบางได้อย่างถนัดถนี่

“แล้วจะรออะไรอยู่อีกล่ะครับ เดี๋ยวพอหนูแนนกลับมาพี่รินก็ขอเลยสิครับ!” ธันวารับลูกต่อจากแฝดพี่ทันที... งานนี้ ถ้าหนุ่มแว่นไม่อับอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนี เห็นทีเหล่าสมุนเลวคงนอนตายตาไม่หลับกันถ้วนหน้า

“จะดีเหรอครับ? พี่ไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาเลยนะครับ” สารินออกอาการลังเลเมื่อตระหนักได้ว่า กำหนดการของแผนเซอร์ไพรส์น้องถูกเร่งขึ้นจนแทบไม่มีเวลาทำใจ

“ก็ต้องดีสิครับ ของแบบนี้ชักช้าได้ที่ไหน... ขืนรอฤกษ์งามยามดี แว่นอาจจะเข้าใจผิดว่าพี่รินไม่รักมันจริงก็ได้นะครับ” ตัวบอสออกโรงกล่อมเหยื่อด้วยเหตุด้วยผลจนคนเป็นพี่เริ่มไขว้เขว ก่อนจะตบท้ายด้วยแผนกเสริมที่เข้ามาปิดการขายได้อย่างรวดเร็วไร้ตะเข็บ

“ใช่ครับ... ตีเหล็ก ต้องตีตอนร้อน ๆ ” ฌอนเอ่ยหน้านิ่ง  

“แล้วพี่ต้องทำยังไงบ้างเหรอครับน้องถึงจะถูกใจ?” เมื่อโดนสามเสียงหว่านล้อมเป็นคอมโบ คนโตกว่าจึงตกหลุมพรางของทั้งหมดโดยง่าย

“ก็ไม่เห็นต้องทำอะไรเป็นพิเศษเลยนี่หว่า  รินคิดอะไรรินก็บอกไอ้สกลมันไปแบบนั้นแหละ ชัดเจน ไม่วุ่นวาย ได้ใจความ” ตรินให้คำแนะนำอย่างจริงจังจริงใจตามประสา เดือดร้อนอคิราต้องรีบพูดแทรกเพื่อทำให้ความคิดของรุ่นพี่ร่างหมีตกไปโดยเร็ว

“โหยยย! ไม่ได้หรอกครับพี่เต๋อ ไหน ๆ ฮยองก็จะขอแนนซี่เป็นแฟนทั้งที ฮยองก็ต้องมีเซอร์ไพรส์ หรือไฮไลท์เพื่อสร้างความประทับใจไม่รู้ลืมให้แนนซี่บ้างสิครับ”

“แหม มึงนี่พูดอย่างกับมีเวลาเตรียมการเป็นชาติเลยนะ การ์ตูนดิสนีย์ยังไม่ขายฝันเลื่อนลอยเท่ามึงเลยไอ้อิ๊ก!” ไม่รู้เป็นอะไร พอเห็นอดีตแฟนน้องชายลอยหน้าลอยตาพูดจ้อย ๆ กรกฏเป็นต้องพลอยรู้สึกหมั่นไส้จนอยากถวายแหวนใส่ใบหน้าสวยหวานเกินผู้หญิงของอีกฝ่ายไปเสียทุกที

“ถ้าตั่วเฮียพูดจาสร้างสรรค์ไม่ได้ ก็ช่วยไปนั่งอมขี้ฟันไกล ๆ อย่ามาเที่ยวบ่อนทำลายความบันเทิงของส่วนรวมจะดีกว่าครับ” ไม่ทันขาดคำ ทั้งด้วงและฌอนต่างก็รวบกอดร่างกระทัดรัดของแฟนตัวเองเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ต่างพุ่งเข้าใส่กันจนไม่เป็นอันช่วยเหลือสาริน

“แหวน! พี่รินมีแหวนไหมครับ?” พ่อรูปงามประจำวิศวะเบี่ยงเบนความสนใจของทุกคนจากสงครามย่อย ๆ ด้วยคำถามผ่านน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน

“ต้องถึงขั้นใช้แหวนเลยเหรอครับ?” ว่าที่หมอหมาผงะไปเล็กน้อยเมื่อรับรู้แนวทางคร่าว ๆ ของหนุ่มรุ่นน้อง

“ถ้าไม่มีแหวน พี่รินจะทำยังไงให้แนนประทับใจล่ะครับ?” เก็กถามกลับพลางลูบไล้ฝ่ามือโดยเฉพาะเครื่องประดับสีเงินเงาวับที่โอบกระชับรอบโคนนิ้วนางข้างซ้ายของแฟนตัวน้อยผู้ไม่มีปากเสียงใด ๆ ในอ้อมอกเพื่อตอกย้ำความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอีกฝ่ายอย่างเป็นรูปธรรม  

“แค่คุกเข่าขอน้องเป็นแฟน พี่ว่าก็น่าจะพอแล้วนะครับ... อีกอย่าง พี่ว่าแค่นี้น้องก็น่าจะเขินมากแล้วล่ะ อย่าทำอะไรให้มันเอิกเริกไปกว่านี้เลยครับ” แม้จะเข้าใจสิ่งที่รุ่นน้องวิศวะต้องการสื่อ แต่สารินกลับยังตั้งมั่นไม่หวั่นไหว... ตัวเขาน่ะจะยังไงก็ได้ ความสุข ความสบายใจของเด็กน้อยต่างหากล่ะที่เขาต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรก

“อย่างนั้นยิ่งต้องมีแหวนเลยครับฮยอง รับรอง... ถ้าได้แหวน แนนซี่ต้องฟินสุด ๆ ฉุดไม่อยู่เลยล่ะครับ ขนาดผมยังอยากได้เลยครับฮยอง!” ถึงปากจะเอื้อนเอ่ยเปรยตอบรุ่นพี่ต่างคณเป็นฉาก ๆ  แต่อคิรากลับปรายหางตามองคนรักหัวจุกอย่างคาดหวัง

“แต่พี่ไม่รู้ไซส์แหวนของน้องหรอกครับ”

ก่อนที่เหล่าสมุนเลวจะได้ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินคำตอบรับกลาย ๆ ของสาริน เสียงขลุกขลักจากด้านนอกประตูก็ทำให้ทั้งหมดมองหน้ากันไปมาอย่างเลิ่กลั่ก สุดท้ายก็เป็นแฝดพี่ที่ช่วยสรุปบทบาท หน้าที่ให้แก่ตัวละครหลักและตัวประกอบอย่างรวบรัด  


“ไม่ต้องห่วงครับพี่ริน แค่พี่รินขอแว่นเป็นแฟนแบบที่พี่รินตั้งใจมาตั้งแต่แรกนั่นแหละครับ แต่ถ้าเพื่อนผมไม่ตกลง พี่รินต้องห้ามลุกขึ้นเป็นอันขาดนะครับ... ส่วนเรื่องแหวนกับอย่างอื่นที่เหลือ พวกผมจะช่วยเนรมิตรให้พี่รินกับแว่นเอง” ฌานรับรองหนักแน่นจนคนฟังใจชื้น  

“เอ่อ... ครับ ๆ ได้ครับ”

“ทุกโคนนน ทำอะไรกันอยู่? อ้าว! แล้วทำไมทำหน้าแปลก ๆ แบบนั้นกันล่ะ?” หลานอาม่าใหญ่ที่เพิ่งกึ่งวิ่งกึ่งกระโดดหยองแหยงกลับเข้ามาสมทบกับกลุ่มตั้งข้อสังเกตจากท่าทางประดักประเดิดดูชอบกลของคนรักและผองเพื่อน ก่อนจะฉุกใจคิดอะไรได้ “พี่ริน... เมื่อกี๊จับกลุ่มนินทาแนนกันอยู่เหรอ?”

“เปล่าครับ” ว่าที่นายสัตวแพทย์เสหลบสายตาคาดคั้นของเด็กน้อยพลางลอบมองชายหนุ่มที่เหลือเพื่อขอตัวช่วย

“แล้วเมื่อกี๊ทำอะไรกันอยู่ล่ะ?... ทำไมอ้ำอึ้ง? บอกแนนมาเดี๋ยวนี้เลย อย่าลีลา!” หนุ่มแว่นต้อนคนรักอย่างดุดันจนสารินออกอาการประหม่าอย่างเห็นได้ชัด

“คือ... เอ่อ... คือ”

“อะไร? เอ่อคือ... เอ่อคืออะไร?! หรือว่าพี่รินกับพวกนี้รวมหัวกันหาจังหวะแกล้งแนน? พี่ริน... ไหนพี่รินบอกว่าจะไม่โกหกแนนไง?!!” เด็กเต็กหัวไข่ไล่บี้ทุกคำพูดของแฟนหนุ่มโดยไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้พักหายใจหายคอ

“เปล่าครับ” ผู้ต้องหาหลักมองหน้าทุก ๆ คนในวงพลางรวบรวมความกล้า ก่อนจะเปลี่ยนอิริยาบทจากนั่งบนโซฟาเป็นคุกเข่าลงกับพื้นตรงหน้าคนรัก “แนนครับ... พี่มีอะไรจะบอกแนนครับ” สารินว่าพลางดึงมือข้างหนึ่งของน้องมากุมไว้

“อะไร? พี่รินจะบอกอะไร?!” แม้จะตกใจจนลนลาน แต่หลานอาม่าใหญ่ก็ยังมีสติพอจะออกแรงทั้งฉุดทั้งดึงมือคนโตกว่าให้ปรับเปลี่ยนท่วงท่าอย่างเอาเป็นเอาตาย “แล้วทำไมพี่รินต้องนั่งกับพื้นด้วยยย? ขึ้นมานั่งข้างบนด้วยกันดี ๆ ซี่!

“แนนครับ” สารินขืนตัวพลางเรียกความสนใจของอีกฝ่ายที่กำลังงงระคนตระหนกอย่างที่สุด... จุด ๆ นี้ ต่อให้ว่าที่นายสัตวแพทย์กระซิบข้างหูเพียงแผ่วเบา เด็กเต็กหัวไข่ก็พร้อมจะสะดุ้งสุดตัวได้ตลอดเวลา

พี่รินทำอะไรของพี่รินเนี่ย? ลุกขึ้น! ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้เลยนะ!” คนเห็นผียังไม่ละความพยายามที่จะยื้อยุดฉุดกระชากคนรักให้กลับมานั่งข้าง ๆ กันเหมือนปกติ แต่ที่น่าโมโหคือการที่อีกฝ่ายกลับตีหน้ามึนทำตาใสไม่รู้ไม่ชี้นี่แหละ
.
.
.
.
.
“เป็นแฟนกับพี่นะครับ”

พี่ริน! ลุก! พี่รินไม่อายคนอื่นหรือไง?” ดีใจจนหูอื้อตาลายอยู่ได้ไม่กี่วินาที ที่สุดแล้วหนุ่มแว่นก็สำเหนียกได้ว่า ณ ที่แห่งนี้ มิได้มีแค่ตนกับสารินเพียงแค่สองคน... สายตาทุกคู่ที่จับจ้องมายังพวกเขาแบบไม่ละวาง ทำให้สกลเริ่มรู้สึกอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

“เป็นแฟนกับพี่เถอะนะครับแนน” สารินยังดื้อแพ่งไม่แบ่งใครจนใบหน้าของเด็กน้อยร้อนฉ่าจวนมอดไหม้เข้าไปทุกที

ลุกได้แล้ว!” เด็กเต็กเริ่มเหนื่อยหอบเมื่อการงัดข้อประลองกำลังยืดเยื้อกว่าที่คิด

“ยังครับ... แนนยังไม่บอกว่าจะยอมเป็นแฟนพี่เลยครับ”

“ลุกเถอะน่า... นะ! แนนขอร้อง” หลานอาม่าใหญ่เปลี่ยนกลยุทธเป็นอ้อนวอนอีกฝ่ายอย่างน่าสงสาร แต่คำมั่นที่ให้ไว้กับฌานทำให้สารินยังปักหลักไม่หวั่นไหว ส่วนผู้ชมรอบข้างต่างก็เอาใจช่วยเด็กสัตว์แพทย์ปีสามพลางลุ้นกันตัวโก่ง

“ไม่ครับ! จนกว่าแนนจะยอมรับว่าเราเป็นแฟนกัน”

“ยังไงแนนก็ต้องพูดจริง ๆ ใช่ไหม?”

“ครับ!

“ก็ได้!” สกลตัดบทห้วน ๆ โดยทำเป็นไม่สนใจเพื่อนผองน้องพี่ที่อยู่รายล้อม หนุ่มแว่นหลับตาอย่างช้า ๆ พลางสูดลมหายใจลึก ๆ อยู่กว่าค่อนนาที จากนั้นจึงเผยความรู้สึกภายใน “จริง ๆ พี่ไม่ต้องขอแนนเป็นแฟนก็ได้”

“?!?” ว่าที่นายสัตวแพทย์ทำหน้าแปลกใจกับถ้อยคำที่เพิ่งลอยเข้าหู... หรือว่าเขากำลังเข้าใจอะไรผิด?!

“เพราะเราเป็นแฟนกันตั้งนานแล้ว เมื่อวานแนนก็หลุดปากพูดให้พี่ฟังไปแล้วนิ... เกิดจะความจำสั้นขึ้นมาหรือไงพี่ริน?!

“จริงเหรอครับ?”

“ฮื่อ... ก็จริงน่ะสิ! แนนโกหกพี่รินได้ที่ไหนล่ะ”

[size=18pt]เฮ่!!! กองเชียร์ส่งเสียงเฮทันทีที่ได้ฟังคำยืนยันออกจากปากหนุ่มแว่นหัวไข่ที่น้อยครั้งจะเปิดเผยความรู้สึกที่มีต่อพ่อหมีขาวให้ใคร ๆ ได้ร่วมรับฟัง ฝ่ายสารินที่ดีใจสุดพลังก็ดีดตัวกลับขึ้นไปนั่งเบียดกับคนรักรวดเร็วทันตา

“เป็นแฟนกันเรียบร้อยแล้วก็มาถึงพิธีแลกแหวน... เอ้า ขอแหวนให้บ่าวสาวหน่อยยยย!” ธันวาตะโกนแซวทั้งคู่เสียงดังจนคนเห็นผีถลึงตาพลางแหวใส่

พี่หมี! เดี๋ยวเหอะ!

“แหน่ะ! เขินเหรอจ๊ะหนูแนน? ใส่แหวนก่อนนะ ผู้ชายคนอื่นจะได้สบายใจที่จะหมดภัยคุกคามไปอีกคน” อดีตเดือนมหาลัยยังเพลิดเพลินกับการต่อปากต่อคำ แม้คนถูกแซวจะหน้าง้ำเป็นจวักก็ไม่คิดปรานี

ไอ้พี่หมี! ตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้เลยนะ!” หนุ่มแว่นแผดเสียงกรรโชกใส่คู่กรณีที่ทำหน้าเยาะเย้ยใส่แบบไม่มีสลด 

“แหวนครับฮยอง” อดีตเดือนบริหารเอาจานรองแก้วใบเล็ก ๆ มาวางลงตรงหน้าสาริน ภายในมีสิ่งของสองอย่างซึ่งดูห่างไกลจากเครื่องประดับที่ว่าไปไกลโพ้นถูกจัดวางแยกกันเอาไว้เป็นกลุ่มก้อน “...คือ... พวกเราไม่แน่ใจว่ารุ่นไหนจะใช้ได้ พวกเราเลยเตรียมแหวนเอาไว้ให้ฮยองถึงสองแบบด้วยกันครับ”

สารินชำเลืองมองยางมัดผมสีสดใสที่เดาว่าน่าจะเป็นแฝดน้องสงเคราะห์มอบให้ กับฝาปิดขวดน้ำดื่มอย่างละสองในจานอีกครั้งก่อนจะขอความเห็นจากคนนั่งข้าง ๆ “แนนชอบอันไหนครับ?”

“ต้องชอบด้วยเหรอพี่ริน? ถามจริง?!!” สกลทำหน้าเหมือนผู้เข้าประกวดนางงามรอบสุดท้ายที่ตื่นเต้นจนไม่เข้าใจคำถามอย่างไรอย่างนั้น... คือ เอ่อ... ไม่ได้จะว่านะ แต่มันเป็นแค่ฝาน้ำกับยางรัดจุกเองไม่ใช่เหรอ?!

“ครับ... ไม่อยากให้พี่แสดงความเป็นเจ้าของแนนเหรอครับ?”

“งั้นลองอันนี้ก่อนก็ได้ ถ้าใส่ไม่ได้แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นยางสีชมพูเนอะ” เป็นเพราะสีหน้าจริงจังจริงใจ กับแววตาซื่อใสของอีกฝ่ายแท้ ๆ ที่ทำให้หลานอาม่าใหญ่ยอมไหลไปตามน้ำด้วยความยินดี

“ครับ” สิ้นคำ ว่าที่นายสัตวแพทย์ก็คว้าฝาปิดขวดน้ำขึ้นเพื่อเตรียมความพร้อม...

แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่า โดนเพื่อน ๆ ของน้องหลอกต้มจนสุก อีกทั้งพิธีกรรมที่เกิดขึ้นในขณะนี้เป็นเพียงการละเล่นสนุกสนานที่คนอื่น ๆ สรรหามาแกล้งเด็กน้อยของเขา แต่ลึก ๆ ชายหนุ่มกลับปฏิเสธไม่ได้ว่า เขาเองก็รู้สึกประหม่ากับการสวมแหวนตีตราจองน้องอยู่ไม่น้อย


“เอาล่ะครับ เจ้าบ่าวค่อย ๆ บรรจงสวมแหวนให้กับเจ้าสาวของเราอย่างช้า ๆ ท่าทางจะตื่นเต้นมากนะครับ เมื่อกี๊ผมเห็นมือเจ้าบ่าวสั่นระริกเลย” เก็กรับหน้าที่พิธีกรหลักซึ่งย่อมจะขาดลูกคู่รับส่งอย่างแฝดน้องไปเสียไม่ได้

“ว่าที่เจ้าบ่าวสั่นเพราะตื่นเต้นหรือเพราะกลัวเจ้าสาวกันแน่ครับคุณธันวา?”

ฌอนศรี! เดี๋ยวหลังแหวนเลยนิ!” ท่าชูมะเหงกกับใบหน้างอหงิกของสกลเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้เป็นอย่างดี... นี่ขนาดสวมแหวนได้ไม่ถึงนาที หนุ่มแว่นก็จ้องจะอวดแหวนหมั้นน้ำเปล่าให้โลกได้ชื่นชมเสียแล้วหรือ?

“เจ้าบ่าวต้องระวังนะครับ เจ้าสาวดูมีแววกดขี่และชอบใช้กำลังแก้ปัญหารุนแรงอยู่นะครับ” อดีตเดือนมหาลัยยังสุมไฟไม่หยุดหย่อน

“ปากเสียด้วย” ฌอนผสมโรงอย่างเข้าขา

“ปากเสียแก้ง่าย... พูดไม่เพราะ ไม่เข้าหูเมื่อไรก็ให้คว้ามาจูบบ่อย ๆ เดี๋ยวก็หาย เชื่อกู!” ตรินนึกครึ้มจึงส่งเสียงบ้าง ก่อนจะหันไปยักคิ้วหลิ่วตาให้คนรักทั้งสองของตน... ซึ่งหนึ่งในนั้นแสร้งหันไปมองนกมองฟ้าเพื่อกลบเกลื่อนอาการเขินเฉียบพลัน

“ฮิ้วววว! ผู้มีประสบการณ์ตรงเขาถ่ายทอดเคล็ดวิชากันเว้ยยย!!” ไหน ๆ โอกาสงาม ๆ เช่นนี้ก็ไม่ได้มีบ่อย ๆ เก็กจึงแซวครอบครัวพี่ชายออกหน้าไมค์อย่างไม่อาจปล่อยผ่านได้

[size=18pt]ไอ้สัดเก็ก!” กังฟูตวัดใบหน้ากลับมาจับจ้องน้องชายตัวเองอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ  

“ชะอุ่ย!” หนุ่มวิศวะรูปงามแสร้งฝังหน้าเข้าซอกคอหอม ๆ ของลูกแม่บัวเพื่อหลบพี่ชาย ก่อนจะแอบขโมยประทับรอยจูบบนเนื้ออ่อนไปหลายครั้ง

“เราอย่าไปสนใจคู่พี่น้องสุดอีเดียตเลยครับ หันมาดูเจ้าสาวสวมแหวนให้เจ้าบ่าวกันมั่งดีกว่า” อคิรารับช่วงต่อจากแฟนเก่าอย่างไม่มีสะดุด แต่นั่นกลับทำให้กรกฏฟาดงวงฟาดงาด้วยความพิโรธขึ้นมาอีกคำรบ

[size=18pt]ไอ้เหี้ยอิ๊ก!

“พี่รักแนนนะครับ” สารินกระซิบเบา ๆ ข้างหูคนรักระหว่างที่แหวนยางรัดผมค่อย ๆ ถูกอีกฝ่ายสวมลงบนนิ้วนางของตน “แนนรักพี่ไหมครับ?”

“...” หลานอาม่าใหญ่ที่โดนคำว่ารักจู่โจมจนหัวสมองไม่แล่นทำได้แค่ชะงักค้างราวกับวิญญาณหลุดออกนอกร่างชั่วคราว  ว่าที่หมอหมาจึงเสนอแนวทางที่จะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น

“ถ้าแนนรักพี่... พยักหน้าให้พี่ได้ไหมครับ?”

“...” สารินถึงกับยิ้มไม่หุบเมื่อเห็นเด็กน้อยกดคางชิดอกซ้ำ ๆ เมื่อได้ยินคำขอผ่านเสียงกระซิบของตน ดูเหมือนว่าแผนการร้ายของทุก ๆ คนจะให้ผลลัพธ์ที่น่าชื่นใจมากกว่าที่คิด

เอ้า! สวมแหวนเสร็จก็ส่งตัวเข้าหอเลย!” ธันวากลับมาทำหน้าที่โฆษกอีกครั้งหลังจากแอบชาร์จพลังไปพักใหญ่ ๆ แต่ดูเหมือนข้อเสนอแนะดังกล่าวจะถูกตรินผู้ชื่นชอบการล้อมวงกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันปัดตกอย่างไร้เยื่อใย

“เฮ่ย! รีบร้อนอะไรเล่า อยู่กินข้าวกินปลากันก่อนก็ได้”

“พี่เต๋อห่วงหรือพี่เต๋อกลัวต้องจ่ายค่าพิซซ่าวันนี้กันแน่ครับ?” อดีตเดือนบริหารยื่นปากเข้ามาสอดอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม

“ฮอบบิท อย่าท้าทายความป๋าของผัวเฮีย... เดี๋ยวผัวเฮียโมโห ผัวเฮียเปย์เละเทะนะเว่ยเฮ่ย!” เก็กชิงปาดหน้าเค้กแซวพี่ชายและครอบครัวออกสื่ออีกครั้งอย่างคึกคะนอง หนุ่มรูปงามจึงกลายเป็นเป้าหมายใหม่ของกรกฏผู้เดือดดาลไปในบัดดล

[size=18pt]ไอ้สัดเก็ก คืนนี้มึงนอนนอกห้อง!” กังฟูประกาศลั่นด้วยอำนาจสูงสุดเหนือหนุ่มร่างหมีลูกชายเจ้าของตึก

“โห่ ไม่เอางั้นดิเฮีย เก็กแค่ล้อเฮียเล่นนิด ๆ หน่อย ๆ เอง... ขอเก็กนอนห้องเฮียนะ ไม่งั้นบูบู้จะนอนกับใครล่ะ? เฮียไม่สงสารบูบู้เหรอ? บูบู้จะเหงาเอานา” เมื่อรู้ตัวว่าล้ำเส้นตบหัวคนเป็นพี่ อริยะตรัยผู้น้องจึงลูบหลังประจบประแจงอีกฝ่าย ก่อนจะใช้แฟนตัวน้อยตาใส ๆ มาเป็นข้ออ้างในการละเว้นโทษ

เมื่อหางตาปรายไปเห็นสีหน้าเอ๋อ ๆ ของชายกลางที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือต่อรองหย่าศึกระหว่างสายเลือด กังฟูก็ไม่อาจสะกดกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ได้อีกต่อไป เด็กวิศวะปีสามร่างเล็กจึงอดกระเซ้าน้องชายไม่ได้ “อ้าว! นี่ไอ้บูบู้มันมาด้วยหรอกเหรอ ตั้งแต่กูเข้าห้องมา กูยังไม่ได้ยินมันพูดอะไรสักคำ!

“ก็เก็กหวงนี่เฮีย... ไม่อยากให้ใครได้ยินเสียงหวาน ๆ ของบูบู้ เก็กอยากเก็บเอาไว้ฟังคนเดียว” คนเป็นน้องบ่นกระปอดกระแปดพลางกอดรัดฟัดเหวี่ยงคนรักตัวน้อยอย่างหวงแหนประหนึ่งงูเหลือมรัดเหยื่อ

โห่! ไอ้ควายเผือกเอ๊ยยย! มึงนี่ไม่น่ามาเกิดเป็นน้องกูเลยจริงจริ๊งงง!” สิ้นเสียงของกรกฏ ทั้งหมดต่างก็ระเบิดหัวเราะกันอีกครั้งอย่างมีความสุข




«»------------------------------------ TBC ------------------------------------ «»



บนเตียง | ก่อนนอนคืนนั้น

สกล: ทำไมพี่รินถึงขอแนนเป็นแฟนแบบนั้นล่ะ? พี่รินไม่อายหน่อยเหรอ?  
สาริน: ฌานบอกพี่ว่าถ้าจะมีแฟน น้องอยากให้แฟนขอความรักเหมือนฝรั่งขอแต่งงานน่ะครับ
สกล: อ๋อออ! อย่างนี้นี่เอง... หึ หึ แนนเข้าใจแล้วล่ะ
สาริน: พี่ขอโทษนะครับ พี่น่าจะรู้ดีแท้ ๆ ว่าแนนไม่ชอบแบบนี้
สกล: จริง ๆ ตอนแรกแนนก็ไม่ค่อยชอบเท่าไรหรอก แต่พอเห็นว่าพี่รินตั้งใจออกเสียขนาดนั้น... ไป ๆ มา ๆ แนนก็ว่ามันดีเหมือนกันที่เราได้ประกาศออกมาตรง ๆ ทีนี้ก็จะไม่มีใครกล้าล้อแนนกับพี่อีกแล้ว *หัวเราะในลำคอต่อด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยม*
สาริน: ตอนใส่แหวนให้แนนพี่ตื่นเต้นมากเลยนะครับ
สกล: แนนนี่หัวโล่งคิดอะไรไม่ออกไปตั้งแต่พวกนั้นโห่เสียงดังแล้วล่ะ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่พิซซ่ามาส่งแล้วนั่นแหละ
สาริน: หืม? แนนเขินพี่นานขนาดนั้นเลยเหรอครับ? *กดคางลงมองตากับคนที่ตัวเองนอนกอดอย่างสนอกสนใจ*
สกล: ก็คนมันไม่เคยนิ
สาริน: หึ หึ... พี่ก็ไม่เคยเหมือนกันครับ
สกล: แต่พี่รินเขินน้อยกว่าแนน แนนรู้
สาริน: ใครบอกครับ... ใจพี่เต้นดังตู้ม ๆ ตลอดเลยนะ
สกล: *หัวเราะร่วนเสียงสดใส* ตู้ม ๆ มันใช่เสียงหัวใจเสียที่ไหนล่ะพี่ริน... เดี๋ยวนี้หัดเว่อร์เหรอ ฮึ?!
สาริน: หึ หึ...หัดเว่อร์ที่ไหนกันล่ะครับ *นิ่งไปเหมือนนึกอะไรได้* เออ... แนนครับ พี่ถามอะไรแนนอย่างสิ
สกล: อะไรเหรอพี่ริน? *เงยหน้าไร้แว่นขึ้นจ้องตากับสาริน*
สาริน: ตลอดเวลาที่ผ่านมา แนนจำพี่ไม่ได้จริง ๆ น่ะเหรอครับ?
สกล: อย่าเรียกว่าลืมเลย ต้องบอกว่าจงใจไม่คิดถึงจะดีกว่า
สาริน: ยังไงครับ?
สกล: ก็วันนั้น หลังกลับจากตามหาเบอร์นาร์ด คุณปู่ตี่จู่เอี๊ยะก็มาเข้าฝันบอกแนนว่า เกิดอะไรขึ้น ยังไง แล้วใครทำอะไรบ้าง พอรู้แบบนั้นแนนเลยโกรธพี่มาก ๆ โกรธที่กล้าโกหกแนน... ทั้ง ๆ ที่แนนเชื่อพี่ทุก ๆ อย่างแท้ ๆ
สาริน: พี่ขอโทษนะ พี่ไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ ครับ
สกล: ก็นั่นแหละ พอแนนโกรธพี่ แนนก็งอน ไม่อยากเจอพี่อีก พองอนพี่นาน ๆ เข้าแนนเลยบอกตัวเองว่าจะเลิกคิดเรื่องพี่ หลังจากนั้นพอไม่ได้เจอกัน แนนก็ลืมเรื่องพี่ไปเลยอ่ะ
สาริน: โห... แฟนพี่นี่ใจร้ายจังนะครับ *จงใจแหย่ แต่กอดแน่นขึ้น กันไม่ให้น้องดิ้น*
สกล: ก็ใครใช้ให้พี่รินโกหกแนนก่อนเล่า?! *หางเสียงหงุดหงิด*
สาริน: โอ๋ ๆ พี่ไม่โกหกแนนแล้วนะครับ
สกล: อืม แนนเชื่อ
สาริน: นอนกันเถอะครับ ดึกแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้แนนต้องตื่นไปเรียนแต่เช้า
สกล: นอนแล้วเหรอ? คุยต่ออีกหน่อยไม่ได้เหรอ? *จริง ๆ แอบหวังให้สารินทำเรื่องผิดผี*
สาริน: ไม่ได้ครับ พรุ่งนี้แนนต้องตื่นไปเรียนแต่เช้า... ไหนบอกพี่ว่าอยากไปเจอเจเรมี่ก่อนไปเรียนไงครับ แนนเปลี่ยนใจแล้วเหรอ? *ถามซื่อ ๆ *
สกล: เปล่า *แอบกลอกตาพลางถอนหายใจ *
สาริน: งั้นก็นอนได้แล้วครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ พี่รักแนนนะ
สกล: ฮื่อ!แนนก็รักพี่ริน นอนเถอะ *แอบคิดในใจว่าหลังจากนี้จะไปหลอกถามงูเห่าถึงวิธีอ่อยสาริน* [/color]




แถมทิ้งท้ายโหนกระแสคานส์สักนิด (หากใครอ่านในเพจแล้วก็ข้ามไปเนอะ)


ด้วยความปลาบปลื้มกับการทำหน้าที่ของชมพู่ที่คานส์ในปีนี้เป็นที่สุด
เด็กในสังกัดของเราจึงรีบต่อสายตรงถึงช่างพ้งช่างเนาของเจ็ก
ให้ช่วยเนรมิตรลุค Queen of Cannes วันที่สองซึ่งเผ็ชร้อนยิ่งกว่าหอยลายผัดฉ่าให้พ่อคุณคัฟเวอร์บูชาองค์แม่ทันที

อนิจจา ถึงบุญจะมี... แต่ดูเหมือนหมีจะบังหล่อนแรงอยู่นะแว่น
ได้ข่าวว่าโดนเขาลากเข้าห้องตั้งกะวันศุกร์ตอนเช้าแล้วไม่ใช่เหรอ?
ป่านนี้ไหงยังไม่ออกมาให้เห็นหน้าอีกล่ะ - ใต้ความเด้งดึ๋งของสปริงฟูกนอนในห้องสาริน








No comments:

Post a Comment