ตึ่ง!
เรากลับมาแว้ว!!!
ในที่สุดก็ปั่นตอนนี้สำเร็จจนได้
วะฮ่า ฮ่า...
ตอนนี้ไม่มีอะไรมากค่ะ
เป็นตอนที่ว่าด้วยความฝันของชายหนุ่มสามคน...ด้วยเนื้อเรื่องที่สอดคล้องกัน
จะเป็นใครบ้างนั้น...ขอเชิญท่านไปตามอ่านและเดากันได้เลยค่ะ
เราจะตามเข้ามาไล่หาคำผิดอีกทีวันพรุ่งนี้นะคะ...ช่วงนี้เผางานเขียนเหลือเกิน
ขออภัยเป็นอย่างสูงล่วงหน้าค่ะ
& รักคนอ่านทุกท่านอย่างแรงเลยค่ะ
◘------------------------------------------------------------------------------------◘
#10
อนุสติอันน้อยนิดทำให้ร่างผอมกะหร่องจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกของเด็กหนุ่มซึ่งนอนแบ็บอยู่บนเตียง
ฝันละเมอถึงภาพความทรงจำท้ายๆ
ก่อนที่คำว่าอิสระจะหลุดลอยไป
คืนหนึ่งคืนนั้น...
เขาแอบปีนเข้าไปในบ้านหลังเก่าเพื่อหวังจะขโมยของมีค่าเล็กๆน้อยๆไปขายแลกเศษเงิน
จังหวะที่กำลังสะเดาะล็อคลูกบิดหน้าบ้าน
เจ้าเด็กตัวเล็กที่ร้องห้ามเขาเสียหนักหนาก็ปีนตามเข้ามาอีกคน...
แววตาของอีกฝ่ายที่ส่งมา
ฟ้องชัดถึงความรู้สึกมากมายที่หลายหลายและปนเปจนเขาเกือบจะเขวยอมทำตามใจ
แต่เสียงกริ๊กของลูกบิดประตูที่คลายออก
กลับบอกให้เขาก้าวเข้าไปในบ้านหลังนั้นโดยไม่ต้องคิดหน้าคิดหลังอีกแล้ว
ชั้นล่างว่างเปล่า...
ไม่มีข้าวของเครื่องใช้อะไรสักอย่าง
ถึงอย่างนั้น...สภาพภายในบ้านที่สะอาดเรี่ยมไม่มีฝุ่น
ทั้งที่ถูกทิ้งร้างไร้ผู้อยู่อาศัย...ทำให้หนุ่มลูกครึ่งไม่คิดถอดใจง่ายๆ
สองขายาวก้าวขึ้นบันไดมุ่งไปชั้นสองอันเป็นแหล่งรวมของทรัพย์สินมีค่าทั้งหลายอย่างมั่นคง...
และแน่นอนว่า เจ้าของแผ่นเท้าเล็กๆ
กับขาสั้นๆซึ่งยังหวั่นวิตกไม่หาย ก็เดินตามหลังเขาขึ้นไปด้วยอีกคน
ผู้บุกรุกยังไม่ทันได้รื้อค้นมุมใด
เสียงเครื่องยนต์กับแสงไฟจากชั้นล่างบอกให้ชายหนุ่มทั้งสองรู้ว่า
เจ้าของบ้านตัวจริงกลับมาเยี่ยมเยือนบ้านหลังนี้เสียแล้ว!!
เด็กหนุ่มลูกครึ่งจึงลากข้อมือของผู้เป็นน้องให้วิ่งตามเข้าไปหลบในห้องนอนห้องใหญ่ซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด
ตู้เสื้อผ้าไม้ที่อยู่ตรงมุมห้อง...กลายเป็นจุดหมายเพื่อให้ทั้งสองได้หลบซ่อนระหว่างคนเป็นพี่กำลังขบคิดหาทางออก
เสียงหัวเราะคิกคักของผู้ชายสองคน
กับเสียงฝีเท้าที่ดังเข้าใกล้ยังที่ซ่อนของเขาในยามคับขัน
บอกให้หนุ่มผู้เป็นพี่ได้รู้ถึงความผิดพลาดมหันต์ที่ตัดสินใจแอบปีนเข้ามาในบ้านหลังนี้
เมื่อเขาเหลือบไปมองหน้าเจ้าตัวเล็กที่ยืนแอบอยู่ข้างๆ
ก็อดรู้สึกสงสารขึ้นมาไม่ได้...
ทั้งๆที่ตั้งใจว่าจะไม่ทำให้น้องชายต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย
หรือน่าหวาดกลัวแท้ๆ
แต่เขากลับเป็นคนทำให้เจ้าตัวเล็กหน้าซีดและตัวสั่นจนเขาต้องลูบหัว
ลูบหลังอีกฝ่ายให้ค่อยๆสงบ
เพียงชั่วอึดใจ...
เจ้าของเสียงที่ดังก้องอยู่ด้านนอกก็เข้ามาในห้อง...
โชคดีที่เขาไม่ลืมแง้มฝาบานเลื่อนตู้ให้งับปิดหมด...ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่มีโอกาสได้สอดส่องความเป็นไปของโลกภายนอก
แม้จะเสียใจในภายหลังที่ภาพหนังสดตรงหน้า...ไม่ได้ชวนมองอย่างที่คาดหวังเอาไว้
ผู้ชายตัวใหญ่ที่น่าจะเป็นฝ่ายกระทำคลุกวงในอีกฝ่ายที่ดูตุ้งติ้งอย่างถึงอกถึงใจ
รุนให้ร่างบางกว่าถอยร่นมานอนแผ่หราอยู่บนเตียงเพื่อจะบรรเลงเพลงรักต่อกันโดยไม่ขาดช่วง
ทว่าจากมุมที่เขาแอบส่องนั้น
ทำให้เห็นเพียงแผ่นหลังของคนตัวใหญ่เท่านั้น
ผิดกับอีกฝ่าย...ที่เห็นไปถึงไหนต่อไหน
ยอมรับก็ได้ว่าถึงจะไม่อยากดู...แต่เขาก็อยากรู้อยู่ดีว่าทั้งสองฝ่ายมีหน้าตาอย่างไร
หลังจากเฝ้ามอง
สลับกับพักสายตาเมื่อหาความตื่นเต้นในหนังสดตรงหน้าไม่ได้อยู่หลายรอบ
สุดท้าย...
จังหวะที่ชายผู้นั้นปรับเปลี่ยนท่วงท่าในการสมสู่กับคู่นอนเป็นท่าที่พิสดารยิ่งขึ้น
เด็กหนุ่มลูกครึ่งก็ได้มีโอกาสเห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนๆนั้นแบบเต็มๆตาในที่สุด
ทว่าอยู่ๆ ภวังค์ของภาพในวันวาน
กลับสั่นสะเทือนจนภาพในหัวล้มหายไม่เป็นท่า
ด้วยสัมผัสที่ถึงเนื้อถึงตัวในเวลานี้
บอกกับเขาว่า ‘มัน’
กลับมาหา
กลับมาตักตวงความสุขจากร่างกายของเด็กหนุ่มอีกครั้ง
ซึ่งภายหลังจากการกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและซาบซ่านอันยาวนานไม่มีที่สิ้นสุด
เขาจะได้รับของขวัญปลอบใจให้สมกับการทำตัวเป็นเด็กดีรับใช้
‘มัน’ ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องไปอีกคืน
◘------------------------------------------------------------------------------------◘
“จ้าครับ...
กินข้าวต้มเถอะ เขี่ยจนเย็นแล้วมั้งน่ะ” รักษ์ท้วงแทนข้าวต้มที่ไม่ได้รับความสนใจจากเด็กหนุ่มในชุดนิสิต
เช้านี้เจ้าของตาโศกขอให้เขาจอดรถเพื่อแวะกินข้าวต้มข้างทางแทนที่จะแวะไปกินที่โรงอาหารใต้คณะอย่างทุกที
สีหน้าไม่สู้ดี และท่าทางเหม่อลอยของรุ่งรวีทำให้คนช่างสังเกตอย่างเขาอดเป็นห่วงไม่ได้
“ครับ...ได้ครับ”
ถึงจะรับคำ ทว่ารุ่งรวีกลับไม่ได้แตะต้องข้าวในชามอย่างที่อีกฝ่ายหวังไว้
ตำรวจหนุ่มจึงชวนคุยด้วยหัวข้อที่ทำให้เขาร้อนใจได้ทั้งคืน
“จ้าครับ
เสาร์อาทิตย์นี้จ้าว่างไหม? พี่โอ๊ตอยากเจอจ้านะ... เห็นบอกว่าคิดถึงจ้ามากเลยน่ะ”
หลังจากได้ปรับทุกข์และเล่าอาการล่าสุดของเด็กหนุ่มหลังจากได้ฟังเพลงฝรั่งเมื่อวาน
รักษ์ก็เริ่มดำเนินแผนการพาจ้าไปหาหมอโอ๊ตทันทีโดยเปิดประเด็นตามบทสนทนาที่เพื่อนรักเป็นคนคิดให้
ด้วยเพราะทั้งสองหนุ่มรุ่นพี่แน่ใจว่า หากอีกฝ่ายรู้เจตนาที่แท้จริงของทั้งคู่ รุ่งรวีต้องบ่ายเบี่ยงเลี่ยงหลบเป็นแน่
“เอ่อ...จ้าไม่แน่ใจน่ะครับว่าจะว่างไปเจอพี่โอ๊ตไหม
พอดีเสาร์อาทิตย์จ้าก็ต้องทำงาน” เด็กหนุ่มปฏิเสธอย่างสุภาพ ถ้าเลือกได้ เขาคงจะบอกอีกฝ่ายว่าไม่อยากไป...ซึ่งใกล้เคียงกับความรู้สึกในใจยามนี้เป็นที่สุด
“จ้าไม่ต้องเป็นห่วงนะ
เสาร์อาทิตย์นี้ พี่กับพี่โอ๊ตว่างทั้งวัน...
...พอจ้าเลิกงานเมื่อไร
พี่ไปรับได้เลย...
.
...นะจ้านะ
เห็นแก่ไอ้โอ๊ตมันเถอะนะครับ” ผู้กองหนุ่มออดอ้อนอย่างน่ามองเพราะใช่ว่ารักษ์จะเป็นคนขี้ริ้วเสียเมื่อไร
“อืม...จ้ายังไม่รับปากได้ไหมครับ...
.
...เอาเป็นว่า
ถ้าจ้าทำงานเสร็จเร็ว และยังพอมีเวลา...
...จ้าค่อยโทรหาพี่รักษ์อีกทีดีไหมครับ?”
เด็กหนุ่มพยายามต่อรอง ซึ่งนั่นทำให้อีกฝ่ายสบายใจ เพราะคำตอบที่ได้...ดีกว่าการบอกว่า
‘ไม่’ มากทีเดียว
“ได้ครับ...งั้นพี่จะตั้งตารอโทรศัพท์จ้าทั้งวันเลยดีไหม?”
รักษ์ส่งสายตาหวานเชื่อมเป็นประกายให้นิสิตชายที่นั่งฝั่งตรงข้าม
“กินข้าวกันเถอะครับ
เดี๋ยวจ้าจะเข้าเรียนไม่ทันเอานะครับ” เจ้าของนัยน์ตาโศกรีบตัดบทเพราะไม่รู้จะวางตัว
และแสดงสีหน้าอย่างไรหลังจากอีกฝ่ายออดอ้อนเขาด้วยท่าทางแบบเมื่อครู่... ซึ่งดูไม่แตกต่างจากอาจารย์กัลป์
คนๆเดียวที่ทำให้เขาหวั่นไหวได้แค่เพียงนึกถึง
◘------------------------------------------------------------------------------------◘
“อ๊ะ! อาจารย์กัลป์...
อาจารย์กัลป์มาทำอะไรที่นี่ครับ?” จ้าที่เพิ่งเดินพ้นบันไดหน้าคณะหลังจากคาบเรียนสุดท้ายจบลงทักทายอีกฝ่ายที่นั่งอยู่ในรถคันหรูซึ่งเปิดกระจกฝั่งคนนั่งเอาไว้...
ครั้นจะไม่ทักก็ไม่ได้ เพราะชายหนุ่มบีบแตรเรียกความสนใจของนิสิตทั้งหลายอยู่พักใหญ่แล้ว
“ขึ้นมาก่อนสิจ้า”
กัลป์ตอบสั้นๆด้วยประโยคคำสั่งอันนุ่มนวล ซึ่งคนฟังไม่อาจปฏิเสธได้เหมือนทุกที...ที่สำคัญ
หากเขาร่ำไร เพื่อนร่วมคณะคงจับสังเกตได้ว่า เขาคุยกับใคร...และใครมารับเขากลับบ้านไป
ซึ่งอาจจะมีใครโยงใยเรื่องนี้เข้ากับข่าวลือล่าสุดจนนึกออกว่าเป็นตัวเขาเข้าก็ได้
หลังจากรถยุโรปสุดหรูเคลื่อนตัวออกจากหน้าคณะครุศาสตร์
ชายหนุ่มก็มัดมือชกพานิสิตหนุ่มร่างเล็กกลับไปกินข้าวและดูหนังด้วยกันที่บ้าน โดยที่สองมือเล็กๆของจ้านั้นไม่ได้ให้แตะต้องงานทำความสะอาดใดๆแม้แต่น้อย
จวบจนเวลากลับบ้านของรุ่งรวีล่วงมาถึง...กัลป์ก็พาเด็กหนุ่มกลับมาส่งที่บ้านตามปรกติวิสัยโดยไม่มีอิดออด
ผิดอยู่แต่เพียงว่า ก่อนที่อีกฝ่ายจะลงจากรถในวันนี้ อาจารย์หนุ่มกลับมีบางอย่างที่อยากจะเปิดใจบอกให้อีกฝ่ายได้รับรู้
“จ้า...พี่มีเรื่องอยากจะสารภาพครับ”
น้ำเสียงจริงจังของชายหนุ่มผู้ลดระยะห่างของสถานะมาเป็น พี่ – น้องได้ในชั่วข้ามคืนทำให้เจ้าของนัยน์ตาโศกหันไปจ้องตากับอีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ...
ไม่ใช่แค่เสียงเสียแล้วล่ะที่ทำให้เด็กหนุ่มใจสั่น
แต่สายตาคมที่มองสบกลับมานั้น...ทำให้เขาหวั่นไหว และเริ่มจะแน่ใจว่า สิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะเอ่ยเป็นเรื่องสำคัญและมีความหมายมากเป็นพิเศษ
“พี่ชอบจ้านะครับ...ชอบมาตั้งแต่ได้ยินเรื่องราวของจ้าจากปากของมานะ...
.
...ชอบมาตั้งแต่ที่ยังไม่รู้จัก
ยังไม่เห็นหน้าค่าตา...
...และทันทีที่ได้เห็นหน้าจ้าครั้งแรกที่เจอในงานศพของมานะ
พี่ก็รู้ว่า...จ้า คือ คนๆนั้น
คนที่พี่มองหามาตลอดชีวิต...
...จ้าจะรังเกียจพี่ไหม
หากพี่จะขอให้จ้ายอมเปิดใจและคบหากับพี่ ให้พี่ได้ดูแล ให้พี่ได้ปกป้องจ้าไปตลอดชีวิต...ได้ไหมครับ?”
แม้บรรยากาศก่อนหน้าจะบอกให้รุ่งรวีเตรียมใจมาบ้าง
แต่คำสารภาพของอีกฝ่ายกลับทำให้เขาหูอื้อ
ตาลาย และพูดอะไรไม่ออกไปหลายวินาที
ข้างในอกของเขามีความรู้สึกหลากหลายตีกันจนวุ่นวาย...
เขิน ดีใจ สับสน งุนงง ตกใจ หวาดกลัว
ถึงอย่างนั้น
ความสับสนวุ่นวายทางอารมณ์กลับถูกปัดเป่าจนจางหายไปทันตา เมื่อฝ่ามือของจ้าถูกอีกฝ่ายคว้าไปกุมไว้อย่างแผ่วเบา
“จ้าครับ
พี่รู้ว่ามันเร็วไป และมันอาจจะทำให้จ้าตกใจ...
.
...แต่พี่อยากให้จ้าเข้าใจความรู้สึกของพี่ให้ดีเสียก่อนนะ
ตั้งใจฟังพี่นะครับ” คำขอของกัลป์ได้รับการตอบสนองเป็นใบหน้าที่ยกขึ้นลงเร็วๆแทนการตกลงของเด็กหนุ่ม
“จ้าไม่ต้องตอบพี่ก็ได้ว่าสิ่งที่พี่เข้าใจน่ะถูกต้องหรือเปล่า
ขอแค่ฟังพี่ให้จบนะครับ” กัลป์เว้นจังหวะเพื่อให้อีกฝ่ายได้หายใจหายคอและพอจะจับใจความสำคัญได้อย่างมีสติ
“ข่าวลือร้ายกาจเมื่อสองวันก่อนเกี่ยวกับเด็กครุฯ
พี่เดาว่า...น่าจะเป็นเรื่องเดียวกันกับเรื่องเมื่อวานที่คณะวิศวะ...
...บอกเลยว่า หากสมมติฐานของพี่เป็นความจริง
พี่ก็ไม่ได้อยากรู้ที่มาที่ไป หรือสืบหารายละเอียดใดๆทั้งสิ้น...
.
.
...พี่รู้แค่ว่า
วินาทีนี้...พี่ไม่อยากให้จ้าตกเป็นเครื่องระบายอารมณ์ให้กับใครอีก...
...พี่อยากเป็นคนปกป้องจ้าจากอันตรายทั้งหลาย
พี่อยากรักษารอยยิ้มให้อยู่คู่กับใบหน้าของคนที่พี่รักไปตลอด...
...พี่อยากเป็นคนๆเดียวที่จ้านึกถึงทั้งยามหลับตาและยามตื่น...
จ้าจะอนุญาตให้พี่ทำหน้าที่นั้นได้ไหมครับคนดีของพี่กัลป์?” เสียงนุ่มทอดอย่างอ่อนโยน
ชายหนุ่มภาวนาขอให้ความปรารถนาที่สุดในชีวิตของตนเป็นจริงเสียที... ขอให้รุ่งรวี
ใจตรงกันกับเขา เพื่อที่เขาจะได้คุ้มครองดูแลเด็กหนุ่มได้อย่างใจและไม่ต้องคอยเป็นกังวลว่าใครจะเข้ามาทำร้าย
หรือเกาะแกะกวนใจจ้าได้อีก
“พี่กัลป์ไม่รังเกียจจ้าเหรอครับ?”
น้ำเสียงสั่นๆของรุ่งรวีบอกให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความกังวลอันใหญ่หลวงของร่างเล็ก
ซึ่งผิดไปจากที่กัลป์หนักใจ...เนื่องจากชายหนุ่มแอบกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่มีเยื่อใยจนเอ่ยปากขับไล่ให้เขาไปให้พ้นหน้าเป็นที่สุด
“ไม่เลยครับ
พี่กลัวว่าจ้าจะไม่รับรักพี่มากกว่าเรื่องอื่นเสียอีก” ชายหนุ่มยอมรับอย่างหมดท่า ใครจะเชื่อว่าเกย์หนุ่มโปรไฟล์ดีรอบด้านอย่างเขา
จะสูญเสียความมั่นใจหลังจากตกหลุมรักเด็กหนุ่มหน้าใสคนข้างๆ
“ถ้าพี่กัลป์ไม่รังเกียจจ้า จ้าก็...ก็...ไม่มีปัญหาหรอกครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยอ้อมแอ้ม
ซึ่งหลังจากได้ยินประโยคน่ายินดีของรุ่งรวีกับสีแดงจัดที่แต้มไปทั่วใบหน้าคนตัวเล็ก
กัลป์ก็เผลอรวบเอาร่างบางเข้ามากอดเอาไว้แนบอกด้วยความลืมตัว
“จ้า! จ้าไม่โกหกพี่เล่นใช่ไหมครับ?
จ้าไม่ได้หลอกให้พี่ดีใจแล้วมาเฉลยตอนท้ายว่าจ้าคิดผิด...อยากคิดใหม่แล้วเปลี่ยนใจใช่ไหมเนี่ย?”
อาจารย์หนุ่มถามรัวเร็วด้วยความปีติยินดี ฝ่ายคนฟังที่ยังไม่หายจากอาการขวยเขินดีนักก็ได้แต่ก้มหน้าและไม่เอ่ยวาจาใดๆทั้งสิ้น
“โธ่! อย่าเงียบสิครับจ้า...
บอกพี่ให้ชื่นใจหน่อยนะครับว่าพี่ไม่ได้ดีใจเก้อ... นะ นะครับ” กัลป์ออดอ้อนด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“ก็ได้ครับ
แต่...พี่กัลป์ช่วยปล่อยจ้าก่อนได้ไหมครับ...
.
...จ้าพูดไม่ออกครับ”
ร่างเล็กที่อยู่ในอ้อมกอดแข็งแกร่งของกัลป์ร้องขอความเห็นใจด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา...
เด็กหนุ่มผู้ไม่คุ้นเคยกับการสัมผัสร่างกายเพื่อแสดงออกทางความรักอย่างรุ่งรวี
ไม่รู้มาก่อนเลยว่า
การโอบกอดเพียงแผ่วเบาจะทำให้รู้สึกตื่นเต้น
และยินดีได้มากขนาดนี้... ที่ผ่านมา ไม่บ่อยนักที่เขาจะได้สัมผัสอ้อมกอดที่เปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นแบบนี้...
กระทั่งลุงจอมที่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย ยังไม่เคยกอดเขาเลยสักครั้ง
“...อ่อ..เอ่อ... ก็ได้ครับ” เมื่อชายหนุ่มได้ก้มลงสำรวจความแนบชิดระหว่างเขากับอีกฝ่ายก็เข้าใจ
และเริ่มจะเขินตามอีกฝ่ายไปในที่สุด
“จ้า...
เอ่อ...จ้า...
.
...จ้าก็ชอบพี่กัลป์ครับ”
คนพูดเบือนหน้าหลบตาอีกฝ่ายหันไปมองนอกหน้าต่างทันทีที่พูดจบ หารู้ไม่ว่า...เงาสะท้อนจากกระจกฝั่งคนนั่งที่แสดงให้เห็นใบหน้าขาวเนียนขึ้นสีแดงที่ดูน่ารักเป็นพิเศษยามขวยเขิน
อยู่ในสายตาของกัลป์ตั้งแต่วินาที่แรกจนถึงบัดนี้
หลังจากพยายามปรับอารมณ์อยู่พักใหญ่
ความรู้สึกเย็นวาบตรงต้นคอพร้อมๆกับเสียงเคลื่อนไหวร่างกายดังสวบสาบจากฝั่งคนขับก็ทำให้จ้าเหลียวมองไปทั่ว
“พี่กัลป์...
นี่อะไรครับ?” รุ่งรวีถามด้วยความตกใจเมื่อเห็นสร้อยทองห้อยพระองค์เล็กๆที่อีกฝ่ายสวมให้เมื่อครู่
“ที่ร้านที่พี่ฝากเลี่ยมกรอบพระเพิ่งเอามาส่งให้พี่วันนี้เองน่ะ...
...ตั้งใจทำให้จ้าเป็นของขวัญ
ปะเหมาะพอดีที่วันนี้เป็นวันที่เราเผยความในใจต่อกัน...
.
...พี่เลยขอรับขวัญแฟนคนแรกของพี่ด้วยสร้อยพระเส้นนี้นะครับ”
กัลป์อธิบายได้เพียงไม่นาน คนฟังที่ก็พูดแทรกขึ้นมาทันทีด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก
“แต่พี่กัลป์ครับ
จ้ารับเอาไว้ไม่ได้... มันมากเกินไป จ้าไม่ได้หวังอะไรจากพี่เพื่อตอบแทนความรู้สึกที่จ้ามีให้พี่เสียหน่อย"
เด็กหนุ่มประท้วงอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าอย่างไร...เขาจะต้องคืนสร้อยเส้นนี้ให้กับกัลป์ให้ได้
“จ้า...ฟังพี่ก่อนนะครับ...
...จริงๆแล้ว พี่ตั้งใจจะให้สร้อยเส้นนี้กับจ้าตั้งแต่หลังจากวันที่เราคุยกันเรื่องที่จ้านอนไม่หลับแล้ว...
.
...คือ
ถึงพี่จะไม่เชื่อเรื่องผีสางเทวดาเนื่องจากหาข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้...
...แต่หลังจากลองปรึกษากับนมปิ่น
พี่ก็เลยตัดสินใจโทรไปถามคุณพ่อดูว่ามีหลวงพ่อองค์ไหนที่พอจะช่วยขจัดความชั่วร้าย
หรืออำนาจของสิ่งที่มนุษย์เรามองไม่เห็นได้บ้าง เผื่อจะช่วยเป็นเครื่องลางทำให้จ้ามีกำลังใจ
และนอนหลับฝันดีได้บ้าง”
“แต่...มัน...
“พี่ไม่ได้หวังว่าจะให้สร้อยเส้นนี้เพื่อแลกกับความรู้สึกดีๆของจ้าหรอกนะครับ...
.
...เดิมที พี่ตั้งใจจะมอบหลวงพ่อองค์นี้ให้จ้าด้วยความรู้สึกเอ็นดู
อยากปกป้องจ้าจากฝันร้ายมาตั้งแต่ก่อนที่พี่จะรวบรวมความกล้ามาสารภาพความรู้สึกกับจ้าอยู่แล้ว
จ้ารับไว้เถอะนะครับ ขอให้หลวงพ่อปกปักษ์รักษาดูแลหัวใจของพี่ในเวลากลางคืนจะได้ไหมครับ?”
กัลป์ให้คำอธิบายเพิ่มเติมตามที่คิดเอาไว้แต่แรก
เมื่อเห็นสายตา
และรับรู้ได้ถึงความจริงใจของอีกฝ่าย เด็กหนุ่มก็จำใจรับสร้อยเส้นนี้เอาไว้อย่างไม่มีทางเลือก
แม้จะดีใจที่อีกฝ่ายเอาใจใส่เรื่องของเขาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
แต่อีกใจก็วิตก...เพราะรู้ว่าของมีค่าแบบนี้
ย่อมเป็นที่หมายตาของลุงจอมแน่ๆ
“พี่กัลป์ครับ...
ถ้าจ้าจะถอดบ้างใส่บ้าง พี่กัลป์อย่าว่าอะไรจ้าเลยนะครับ
แถวนี้อันตราย...จ้าไม่อยากใส่ทองล่อโจรให้เจ็บตัวและเสียของไปโดยใช่เหตุน่ะครับ”
“สิ่งที่พี่ให้จ้า
ก็เป็นสิทธิของจ้าที่จะดูแล หรือเก็บรักษามันแบบไหนก็ได้...
...ต่อให้จ้าไม่ใส่
แต่ถ้าจ้าระลึกถึงคนให้อยู่ตลอดเวลา พี่ก็ดีใจแล้วล่ะครับ
.
...อ้อ! ที่พี่พูดน่ะ
ไม่ได้หมายถึงสร้อยอย่างเดียวนะครับ... ใจพี่ก็เหมือนกัน พี่ฝากจ้าดูแลด้วยนะ”
“เอ่อ...
พี่กัลป์ครับ... แล้วอย่างนี้ ใครจะมองพี่กัลป์ไม่ดีหรือเปล่า?... คือ
อาจารย์กับลูกศิษย์ มันไม่สมควรไม่ใช่เหรอครับ?”
“หึ หึ...
พี่สัญญาครับว่าพี่จะไม่ทำรุ่มร่าม หรือทำตัวไม่สมควรเวลาอยู่ที่มหาลัย...
.
...ตราบใดที่เราทั้งสองคนยังทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาเป็นอย่างดีไม่มีบกพร่อง
และเราไม่ทำให้ต้นสังกัดของเราด่างพร้อยเพราะความสัมพันธ์ของเรา
พี่ว่าความรักของเราก็น่าจะเป็นไปได้นะครับ” กัลป์อธิบาย
อันที่จริง...เขาเคยปรารภเรื่องนี้กับคณะบดีมาก่อน
ซึ่งแม้ว่าท่านจะไม่สนับสนุนอย่างเป็นทางการ
กระนั้น ทางเลือกที่ท่านให้มานั้น
ไม่แตกต่างกันกับสิ่งที่เขาเพิ่งบอกกับเด็กหนุ่มไปเท่าใดนัก
นับว่ากัลป์โชคดีเป็นอย่างยิ่งที่เจ้านายเข้าอกเข้าใจหัวอกของเหล่าอาจารย์คลื่นลูกใหม่เป็นอย่างดี
“หวังว่าทีนี้
แฟนพี่จะไม่มีข้อข้องใจกับความสัมพันธ์ของเราแล้วนะครับ”
กัลป์เย้าเจ้าของนัยน์ตาโศกที่กำลังอมยิ้มน้อยๆด้วยความอาย “ให้พี่เดินเข้าไปส่งดีไหมครับ?
พี่อยากบอกราตรีสวัสดิ์แฟนพี่ที่หน้าบ้านเสียหน่อย”
“ไม่เป็นไรครับ...เอาไว้ค่อยบอกราตรีสวัสดิ์จ้าอีกทีคืนนี้หลังจากพี่กัลป์กลับถึงบ้านแล้วก็ได้”
รุ่งรวีตอบโดยไม่ละสายตาจากหน้าตักของตัวเอง
“ก็ได้ครับ...
ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวอีกสักยี่สิบนาที รอรับโทรศัพท์พี่โนะครับ...
.
...พี่อยากฟังเสียงแฟนตอนขับรถกลับบ้านแทนเสียงวิทยุน่ะ”
อาจารย์หนุ่มทิ้งท้ายก่อนจะยอมปลดล็อคประตูเพื่อให้อีกฝ่ายกลับเข้าบ้านก่อนที่จะดึกยิ่งไปกว่านี้
“ครับ จ้าจะรอโทรศัพท์ของพี่กัลป์นะครับ”
คำพูดของร่างเล็กที่เอ่ยก่อนจะเดินลงจากรถไปทำให้ชายหนุ่มยิ้มกว้างได้ยิ่งกว่าเดิมอีกหลายเท่า
เขาเฝ้ามองแผ่นหลังของจ้าค่อยๆถูกความมืดมิดกลืนหายไปก่อนจะเปิดสัญญาณไฟฉุกเฉินเพื่อถอยรถ
ทว่ากระเป๋าสตางค์ของอีกฝ่ายที่ตกอยู่ในรถ
ทำให้ชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นหามุมสงบสำหรับจอดรถแทนที่จะขับรถกลับบ้าน
เขาไม่แน่ใจว่าจ้าจะต้องใช้เงินหรือบัตรในกระเป๋าใบนี้หรือไม่
แต่การใช้กระเป๋าใบเล็กๆเป็นข้ออ้างเจอหน้าใสๆอีกครั้งก่อนเข้านอน
ทำให้ชายหนุ่มดีใจจนแทบจะวิ่งไปยังบ้านของอีกฝ่ายเสียเดี๋ยวนั้น
ภายหลังจากใช้เวลาเดินอย่างรวดเร็วด้วยความคิดถึงและอยากเจอหน้าของจ้าใจจะขาด
กัลป์ก็มายืนเก้ๆกังๆอยู่หน้าประตูสังกะสีหน้าบ้านของจ้าเสียแล้ว
จากที่ไม่รู้ว่าจะเรียกอีกฝ่ายให้ออกมาด้วยวิธีใด...
จะโทรหา หรือเคาะประตูหน้าบ้านเรียกเพื่อทำให้ประหลาดใจ
ทว่าเสียงร้องอย่างเจ็บปวดเจือเสียงสะอื้นไห้ที่คุ้นหูเขาเหลือเกินทำให้ชายหนุ่มกระชากประตูเปิดออกทันที
จังหวะที่ชายหนุ่มกำลังจะก้าวเข้าไปด้านในบ้าน
ร่างสันทัดของชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก็เดินสวนออกจากประตูไปราวกับพายุบุแคม
เมื่อมองเข้าไปด้านใน
อาจารย์หนุ่มก็เห็นเจ้าของเสียงร้องก้มหน้าลงกับพื้นพลางขดตัวเป็นก้อนกลม
รอบๆตัว...สิ่งละอันพันละน้อยในกระเป๋าสะพายใบเก่งร่วงกราวตกอยู่ตามพื้น
ร่างเล็กๆที่สั่นเทิ้มเพราะแรงสะอื้นอย่างรุนแรงคือคนรักของเขาไม่ผิดแน่
แต่อะไรล่ะที่ทำให้จ้าต้องเสียน้ำตาแบบนี้?
สัญชาตญาณสั่งให้กัลป์วิ่งออกไปกระชากข้อมือของชายคนนั้นเอาไว้เพื่อสอบถามให้แน่ใจถึงเหตุการณ์หลังบานประตูเมื่อครู่
“คุณ...คุณเป็นใคร?
แล้วเมื่อกี๊คุณทำอะไรจ้า?” เสียงฟังตื่นของกัลป์มีความโกรธเกรี้ยวแฝงอยู่ในที
“ปล่อยกู! กูเป็นลุงมัน...แล้วมึงล่ะเป็นใคร?” จอมตวาดใส่ด้วยอารมณ์รีบร้อน
“ผมเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยของจ้า
ว่าแต่คุณเถอะ...เป็นลุงของจ้า แล้วทำไมทำกับจ้าแบบนั้นล่ะครับ?” กัลป์ซักไซ้ไล่เลียงอีกฝ่ายตามพื้นนิสัยเดิม
และเพื่อหาหนทางในการปกป้องคนรักของตนเองได้อย่างเหมาะสม
“มันก็เรื่องของกูกับไอ้จ้า
มึงเป็นแค่ครูบาอาจารย์...อย่ามาเสือก!!”
“ผมไม่เสือกก็ได้
แต่ผมจะพาจ้าไปอยู่ด้วย” ชายหนุ่มกระชากเสียงใส่...
ไม่ต้องให้ใครบอกก็รู้ว่าคนตรงหน้าจะต้องเป็นต้นเหตุทำให้รุ่งรวีร้องไห้อย่างเช่นในตอนนี้
“ก็แล้วแต่มึง
อยากจะเอามันไปไหนก็ไป!...
.
...ดีเหมือนกัน..กูจะได้ไม่ต้องลำบากเลี้ยงดูให้ต้องเสียข้าวสุกอีก...
...แต่เอาไปแล้วไม่ต้องเอามันมาคืนกูนะโว้ย!!” จอมตะโกนสั่งโดยไม่หันกลับไปมองเพราะอยากกลับไปถอนทุนที่บ่อนเต็มที
มีอย่างที่ไหน...ได้สร้อยทองเส้นใหญ่มาแล้วยังต้องมาต่อปากต่อคำกับคนแปลกหน้าอยู่ตั้งนานสองนาน ในเมื่อคู่สนทนาอาวุโสหนีหน้าหายไปโดยไม่บอกกล่าว
กัลป์จึงเดินสืบเท้าเข้าบ้านแบบไม่ง้อคำอนุญาตจากใครเช่นกัน
“จ้าไปกับพี่!” กัลป์ไม่ได้รอให้อีกฝ่ายปฏิเสธ ชายหนุ่มรวบเก็บข้าวของที่ตกอยู่ตามพื้นแล้วประคองร่างบางให้เดินออกจากซอยไปด้วยกัน
ก่อนจัดแจงอุ้มคนตัวเล็กที่ยังคงร้องไห้ไม่หยุดให้ขึ้นแล้วขับกลับบ้านทันที...
ห่างมือยังไม่ทันถึงครึ่งชั่วโมงดี
ก็ถูกทำร้ายเสียได้ แถมคนทำร้ายกลับเป็นคนในบ้านอีกต่างหาก
เมื่อเป็นเสียแบบนี้...เขาจะปล่อยจ้าให้อยู่ห่างตาอีกได้อย่างไร?!!
“...พี่กัลป์???!
พี่กัลป์มาได้ยังไงครับ?....ฮึก...ฮึก...”
รุ่งรวีที่เพิ่งตั้งสติได้โพล่งออกมาด้วยท่าทางตกอกตกใจหลังจากกัลป์ขับรถออกจากปากซอยชุมชนแออัดมาได้สักระยะ
นอกจากดวงเนตรที่ฉ่ำชื้อนไปด้วยน้ำตาแล้ว ความรู้สึกผิดค่อยๆฉายประกายชัดขึ้นเรื่อยๆในแววตาของเด็กหนุ่ม
“จ้าลืมกระเป๋าตังค์เอาไว้ในรถพี่
พี่เลยเอามาให้...
.
...ทำไมหน้าตาถึงแตกเป็นแผลแบบนี้?...
...ลุงทำอะไรจ้า?
บอกพี่มาเดี๋ยวนี้นะ!!”ชายหนุ่มคาดคั้นเสียงแข็ง
แม้จะมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า บาดแผลบนใบหน้าของคนรักเป็นผลงานของผู้เป็นลุงที่เดินสวนเขาออกประตูไปด้วยท่าทางรีบร้อน
“...พี่กัลป์ครับ...
จ้าไม่ได้เป็นอะไรครับ จ้าแค่..
“แค่อะไรจ้า?”
ท่าทีปกป้องคนผิดของจ้าทำให้กัลป์หงุดหงิดเป็นกำลัง
“ลุงจอมแค่มาเอาเงินกับจ้า
พอได้เงินแล้วลุงก็ไปครับ” ด้วยความกลัวว่าอีกฝ่ายจะเอาผิดลุงจนเดือดร้อน
เด็กหนุ่มจึงยอมปริปากบอกความจริงเพียงบางส่วนเท่านั้น
“แค่ลุงกลับเข้ามาเอาเงินแล้วทำไมสภาพจ้าถึงเยินแบบนี้?”
กัลป์ละสายตาจากถนนเพื่อสำรวจสภาพของคนรักในอ้อมอกอีกครั้งอย่างละเอียดถี่ถ้วน
เมื่อเห็นอีกฝ่ายหลบสายตาและแสดงสีหน้าหนักใจโดยไม่ห่วงใยสวัสดิภาพของทั้งที่เลือดไหลซึมออกจากมุมปาก
ลางสังหรณ์ก็บอกเขาได้ทันทีว่า
เรื่องทำนองนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ของคนในครอบครัว...เพราะคนตัวเล็กดูชินชากับบาดแผลถูกทำร้ายทั้งหลายอยู่เป็นทุน
และการที่กระเป๋าสตางค์ของจ้ายังอยู่ในมือเขา
ชายหนุ่มจึงเริ่มจะเดาอะไรได้บางอย่าง
“จ้า... สร้อยพระที่พี่ให้
ยังอยู่กับจ้าใช่ไหมครับ? ขอพี่ดูหน่อยได้ไหม?” กัลป์เอ่ยถามถึงของแทนใจที่เขาเพิ่งหยิบยื่นให้อีกฝ่ายเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วด้วยความสงสัยตงิดๆ
“...ฮึก...ฮึก...
พี่กัลป์ จ้าขอโทษ!!!” คนตัวเล็กถึงกับปล่อยโฮเมื่อนึกถึงของมีค่าที่อีกฝ่ายเพิ่งมอบให้
สร้อยพระเลี่ยมทองเส้นนั้นถูกจอมกระชากติดมือไป หลังจากกระเป๋าสะพายของเขาถูกอีกฝ่ายกระชากไปค้นจนทั่วทุกซอกทุกมุม
“ลุงจอม...เอ่อ...จ้าให้สร้อยลุงจอมไปแล้วครับ”
เด็กหนุ่มโป้ปดเพื่อลดโทษให้กับลุง
“ถ้าให้กันดีๆ
แฟนพี่คงไม่ช้ำไปทั้งตัวแบบนี้หรอกใช่ไหมครับ?” กัลป์ข่มความรู้สึกโกรธเอาไว้ภายใน
ด้วยเริ่มเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดได้มากขึ้น “จ้าครับ...หลังจากวันนี้ไป จ้าต้องย้ายไปอยู่กับพี่...
พี่ไม่อยากให้จ้าต้องมาเจอกับสภาพแบบนี้อีกแล้ว”
“แต่..
“ไม่ต้องแต่แล้วล่ะ
พี่รู้ว่าจ้าเองก็ไม่ได้อยากอยู่ที่นี่สักเท่าไร...
.
...เพราะถ้าจ้ากับลุงอยู่กันด้วยสันติได้
คงไม่มีใครต้องเจ็บตัวแบบนี้” คำพูดของกัลป์ทำให้จ้านิ่งไป
โดยที่คนขับก็ปล่อยให้เขาได้ใช้เวลาใคร่ครวญถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเงียบๆจนทั้งสองกลับไปถึงบ้านหลังใหญ่ของอาจารย์หนุ่ม
“คืนนี้จ้านอนที่ห้องพี่เหมือนเดิมนะครับ
เดี๋ยวพี่จะไปนอนห้องรับรองแขกเอง” กัลป์สั่งระหว่างที่นำร่างเล็กเข้าไปในห้องของตัวเอง
ก่อนจะจัดแจงเตรียมข้าวของเครื่องใช้จำเป็นเอาไว้ให้ผู้ลี้ภัยกิตติมศักดิ์ตัวน้อย
“พี่กัลป์นอนที่นี่ก็ได้ครับ
เดี๋ยวจ้าไปนอนที่ห้องนอนแขกให้เอง” รุ่งรวีพยายามยื่นเงื่อนไข
ลำพังแค่อีกฝ่ายกลับไปรับ แถมยังพาเขามาอยู่ที่นี่โดยไม่ปล่อยให้ต้องนอนร้องไห้อยู่คนเดียวก็ถือเป็นโชคดีอย่างที่สุด
ครั้นต้องปล่อยให้อีกฝ่ายต้องลำบากไปนอนที่อื่น เด็กหนุ่มก็รู้สึกยุ่งยากใจขึ้ยมาทันที...
แต่คืนนี้ไม่ใช่คืนของจ้า
“ไม่ต้องหรอก
จ้านอนนี่แหละ...ดึกแล้ว รีบอาบน้ำเถอะนะครับ จะได้นอน” คนโตกว่าตัดบทแล้วหมุนตัวเดินออกไปทันที
“เดี๋ยวครับ
พี่กัลป์” เด็กหนุ่มรั้งร่างสูงใหญ่ที่กำลังจะก้าวพ้นกรอบประตูเอาไว้ “ขอบคุณมากนะครับ”
“จ้าไม่ต้องขอบคุณพี่หรอก...ถ้าจ้ารักใครมากๆ
อย่างที่พี่รักจ้า จ้าก็จะทำอย่างที่พี่ทำนี่แหละ” รอยยิ้มบนใบหน้าของกัลป์ดูเหนื่อยล้ากว่าปกติ
เขายังไม่สบายใจเนื่องจากรู้ว่าจ้ายังคงเป็นห่วงลุงอยู่ไม่คลาย
เรื่องเมื่อคืนก่อนที่จ้าร้องไห้...ก็น่าจะเป็นฝีมือของลุงใจร้ายคนนี้อีกเช่นกัน
จ้าใช้เวลาไม่นานเพื่อเตรียมตัวเข้านอนหลังจากเจ้าของห้องตัวจริงทิ้งเขาให้อยู่กับตัวเองเพียงลำพัง
ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากเหตุการณ์ที่ประสบมาตลอดทั้งวันทำให้เด็กหนุ่มผล็อยหลับไปง่ายกว่าที่คาดคิด
ทว่ากลางดึกคืนนั้น
ความกังวลและความเครียดที่สะสมอยู่ภายใน ดูดดึงเอาความจำอันโหดร้ายให้กลับมาหลอกหลอนเขาถึงในฝันอีกครั้ง...
รุ่งรวีเผลอตัวฝันถึงครั้งแรกที่ตัวเขาฟื้นขึ้นและพบว่าตัวเองอยู่ในอุ้งมือของ ‘มัน’
แรกรู้สึกตัว...
ความมืดมิดที่โอบล้อมเขาอยู่จนมองไม่เห็นสิ่งใด
กับเสียงร้องอย่างปวดร้าวปนสุขสมของผู้ชายหลายคนดังมาจากทุกทิศทาง
คือ สองสิ่งที่ทักทายจ้า
แม้จะไม่อาจใช้สายตาได้...และรู้ว่าต่อให้พยายามแค่ไหนก็มองไม่เห็น
แต่ด้วยกลไกการป้องกันตัวเองจากภัยที่เกินจะหยั่ง
จ้าจึงหลับตาปี๋ กัดฟันจนเจ็บกราม รวมทั้งพยายามตั้งสมาธิคิดถึงเรื่องอื่นเพื่อให้จิตใจล่องลอยไปจากสุ้มเสียงระหว่างการเสพสังวาสที่ดังหลอกหลอนเด็กหนุ่มอยู่นั้น
เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าสภาพวิปริตผิดปกติเช่นนั้นดำเนินต่อเนื่องยาวนานเท่าใด
ทว่าเมื่อร่างกายของเขาถูกจับขึงพรืดด้วยความรุนแรง
พร้อมๆกับเสียงร้องอื้ออึงของเหล่าผู้ชายที่ได้ยินมาตลอดหลายชั่วยามถูกแทนที่ด้วยเสียงเพลงภาษาที่สามของนักร้องหญิงคนนั้น...
รุ่งรวีก็รู้ได้ทันทีว่าภัยร้ายคืบคลานมาถึงตัวเรียบร้อยแล้ว
ความกลัวอันเกิดจากชิ้นส่วนความทรงจำเก่าๆของวันวาน
ทำให้เด็กหนุ่มเผลอกรีดร้องเสียงดัง...
และนั่น
ทำให้ชายหนุ่มร่างใหญ่เจ้าของห้องถึงกับวิ่งตาลีตาเหลือกกลับเข้ามา
เพื่อพบว่าเจ้าของเสียงแปดหลอดเมื่อครู่ กำลังละเมอได้ที่...
เมื่อเห็นอาการหวาดกลัวของจ้าที่แสดงออกมาโดยไม่รู้ตัวแบบนั้น
กัลป์ก็ไม่อาจตัดใจกลับไปนอนที่ห้องเดิมได้เสียแล้ว
ชายหนุ่มค่อยๆเอนกายลงนอนตรงที่ว่างข้างๆกับร่างเล็กของรุ่งรวี
สอดวงแขนโอบกอดเรือนร่างของอีกฝ่ายเอาไว้แนบอก
ก่อนจะลูบหลังเบาๆจนเจ้าของนัยน์ตาโศกสงบลง
ลมหายใจสม่ำเสมอของจ้า
ทำให้ร่างกายที่เหนื่อยล้าของกัลป์ดับเครื่องอย่างช้าๆตามไปง่ายๆ...
ก่อนนิทรารมณ์จะพรากสติไปจากชายหนุ่ม
เขาได้ตั้งปณิธานไว้ในใจว่า
พรุ่งนี้เขาจะทำให้จ้าลืมเรื่องร้ายๆทั้งหมดไปให้ได้เสียที
◘------------------------------------------------------------------------------------◘
ไม่บ่อยนัก
ที่เขาจะฝัน...
ถ้าจำไม่ผิด...นี่เป็นฝันแรกในรอบหลายปีดีดัก
ชายหนุ่มเดินตามเสียงเพลงภาษาไม่คุ้นหูที่เขามารู้ทีหลังว่าเป็นเพลงภาษาฝรั่งเศสของนักร้องสาวชื่อดังในสมัยก่อน
ขาทั้งสองข้างนำร่างเขาตรงเข้าไปยังทิศทางของห้องนอนที่แต่งอย่างสวยงาม...
เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้น
กับสีสันการประดับตกแต่งสะท้อนความอ่อนหวานและความเป็นกุลสตรีของเจ้าของห้องได้เป็นอย่างดี
ห้องนี้...ไม่ใช่ห้องที่ใครๆจะย่างกรายเข้าไปได้ง่ายๆ
โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของห้องเสียก่อน
เช่นกัน...
ประตูไม้บานใหญ่ที่ปิดกั้นความลับภายในห้องสี่เหลี่ยมบานนั้น ไม่เคยถูกเปิดทิ้งขว้างอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้
ยิ่งสาวเท้าเข้าใกล้กับรอยแยกของบานประตูที่แง้มอยู่มากขึ้นเท่าไร...
ท่วงทำนองอ่อนหวานอ้อยสร้อยที่ได้ยินแต่ไกล
กลับฟังผิดเพี้ยนชวนให้กระดากใจมากขึ้นเท่านั้น
เสียงหอบหายใจ
เสียงครวญครางอย่างสุขสมของผู้เป็นเจ้าของห้อง สอดรับกับการกลั้นเสียงร้องของอีกฝ่าย
ดังบาดหูจนคนฟังเผลอยกมือทั้งสองข้างอุดหูเอาไว้ด้วยไม่อยากรับฟัง
ภาพการร่วมประเวณีของหญิงวัยกลางคนกับเด็กวัยไม่เกินสิบห้าปีคือสิ่งที่เขาไม่อยากเห็นมากที่สุด...
ใช่รับไม่ได้
หรือเป็นพวกด้านชาไร้ความรู้สึก
หากแต่นั่นคือภาพของตัวเขาในอดีต
หลังจากถูกจอมมารยาในคราบมารดาเลี้ยง ล่อลวงให้ตกเป็นเหยื่อกามารมณ์
ต่อหน้าพ่อ...
หล่อนคือเมีย คือมารดาผู้เหมาะสมและเพียบพร้อม และเขาคือลูกชายที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้บิดาภูมิใจ
ทว่าลับหลัง
นังอสรพิษร้ายกลับข่มเหงและใช้ร่างกายในวัยเยาว์ของเขา ปรนเปรอความต้องการที่บิดามิอาจสนองให้สาแก่ความกระหายอยากของหล่อน
ครั้งแรก คือ
ความผิดพลาด... ทว่าครั้งถัดมา คือความทรมานที่เขาต้องกล้ำกลืน...
หญิงชั่วจอมตลบแตลงคนนั้นใช้ความหวาดกลัว
ความรู้สึกผิดต่อบิดา และการกระทำอันผิดบาปของเด็กชายมาเป็นเงื่อนไขบังคับให้เขาต้องกลับมาเป็นที่ระบายความกำหนัดให้กับหล่อนซ้ำแล้วซ้ำอีก...
ไม่น่าเชื่อ...
เรื่องอุบาทว์ชาติชั่วเช่นนี้ จะดำเนินมาได้เป็นปีๆโดยไม่มีใครล่วงรู้
หรือให้ความช่วยเหลือแก่ตัวเขาในวันนั้น
จนถึงวันที่เขาโตพอจนสามารถขอร้องบิดาให้ยินยอมกับการตัดสินใจสมัครเข้าเรียนในโรงเรียนประจำได้สำเร็จ
กระนั้น...
กว่าที่เขาจะรู้ตัว หัวใจและร่างกายของเขา...กลับผิดปกติไปเสียแล้ว
ชายหนุ่มผละจากประตูบานนั้น
แล้วเดินตามเสียงเพลงๆเดิม ไปยังประตูบานที่สอง
หลังจากยื่นหน้าสอดส่ายสายตาสำรวจด้านใน
เขาก็พบกับเหยื่อที่แสนถูกใจ... ทำให้รอยยิ้มชั่วร้ายผุดพรายขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาของตัวเอง
ชายหนุ่มไม่รั้งรอให้เสียเวลา...
เขาคว้าเอวสอบของร่างบางเปลือยเปล่าที่กำลังนอนถ่างขาตั้งท่าเชิญชวนตัวเขาอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ให้อยู่ในตำแหน่งเตรียมพร้อมมาดอมดมจนสมใจโดยไม่แยแสสีหน้าเจ็บปวด
และเสียงกรีดร้องของอีกฝ่าย หลังจากที่อวัยวะแห่งความเป็นชายของเขา แหวกเข้าสู่ใจกลางแห่งความอบอุ่นและโอบรัดโดยไร้ความปรานี
ฝันดีมันต้องเป็นอย่างนี้ต่างหาก...
และหลังจากได้ครอบครองเด็กดีของเขาโดยสมบูรณ์...
ความฝันทุกๆค่ำคืนของเขา
จะดียิ่งไปกว่านี้อีกหลายเท่าทีเดียว
◘------------------------------------------- TBC -----------------------------------------◘
No comments:
Post a Comment