Monday, December 17, 2018

• รักหลอก ๆ ต้องบอกลุง •||#29|| 17.12.2018


#29

รักนั้นเป็นอย่างไร ในหัวใจใครรู้บ้าง
หากไม่มีใครชี้ทาง คงอ้างว้างกว้างไกล
ฉันไม่ใช่นักปราชญ์ อาจพลาดเพราะรักได้
เธอจงโปรดเข้าใจ และขออย่าได้อำลา
เพื่อนกัน – เบิร์ดกะฮาร์ท

…………………………………………………………………………………………………………

แม้สองสาวเพื่อนร่วมทางจะหลับยาวตั้งแต่รถยังไม่ทันพ้นชะอำ แต่ระหว่างทางกลับกรุงเทพ ผมกับคนขับก็เลือกที่จะไม่พูดคุยอะไรกันมากนัก ส่วนหนึ่งคงเพราะผมยังคงรับมือกับอาการเขินแฟนหมาด ๆ ได้ไม่ดีเท่าไร ขืนหลุดทำหน้าตาแปลก ๆ ออกไป พี่ฟี่กับยีนส์คงได้มีประเด็นใหม่ ๆ ให้เม้าท์กันอีกยาว

แต่การนั่งเงียบ ๆ เกือบสามชั่วโมงก็มีข้อเสีย เพราะเมื่อต้องอยู่กับตัวเองนาน ๆ ผมก็อดฟุ้งซ่านเกี่ยวกับการเป็นแฟนพี่หนาวไม่ได้ สุดท้ายจึงสะสมเรื่องกวนใจเพิ่มได้อีกตั้งหนึ่งข้อ... ผมเก่งไหมล่ะครับ

“โอ้โห แฟนพี่เก่งน่าดู” พี่หนาวอมยิ้มจนแก้มป่องขณะเลื่อนสายตามองจ้องกระดานปักหมุดบนผนังที่แม่ผมอุตส่าห์เอาเหรียญรางวัลตอบปัญหาตอนเรียนมาประดับประดารอบ ๆ กรอบให้อย่างสวยงาม “เหรียญรางวัลเยอะมาก”

ผมแค่นยิ้มรับพลางเหลือบมองหลักฐานการเป็นเด็กเนิร์ดยืนหนึ่งของตัวเองอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะละมือจากกองเสื้อผ้าที่เพิ่งพับเสร็จ เดินตามไปนั่งข้าง ๆ ลุงไซด์ไลน์ที่ยังเพลิดเพลินกับการสำรวจห้องผมด้วยสายตามาร่วม ๆ ครึ่งชั่วโมงแล้ว

“พี่หนาวครับ” พอคนข้าง ๆ ครางรับ ผมก็รีบอัดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วรัวถ้อยคำรวดเร็ว “ที่ผมบอกว่าอยากให้พี่หนาวมาคุยกับที่บ้าน ไว้เรามาอีกทีหลังพี่หนาวคุยกับพี่ป๊อบปี้แล้วก็ได้นะครับ”

“อืม คงต้องเป็นอย่างนั้นแหละ แย่เนอะ มาแล้วไม่เจอใครสักคน” พูดจบ เจ้าตัวก็ทำหน้าตูมพลางถอนหายใจจนหัวไหล่ตกลู่ พี่หนาวดูจะเสียดายโอกาสนี้มากจริง ๆ ผิดกับผมลิบลับเลย

หลังจากแวะกินข้าวกลางวันและส่งพี่ฟี่กับยีนส์ที่ห้างใหญ่ชานเมืองตอนเกือบบ่ายสอง ผมก็รีบโทรหาแม่เพื่อบอกท่านเรื่องพี่หนาว แทนที่จะได้เกริ่นเรื่องแฟน แม่ผมกลับบอกว่า เย็นนี้ท่านกับพ่อต้องไปงานศพเจ้านาย พี่เอิงเลยอาสาไปขับรถให้ ส่วนน้องชายบังเกิดเกล้าที่กลับบ้านเช้าและเอาแต่นอนเน่าคาเตียงทั้งวัน ท่านก็ไม่วายฝากฝังให้ผมซื้อของกินติดมือกลับมาให้มันกินกันตาย แต่สงสัยไก่บอนชอนที่พี่หนาวตั้งใจหิ้วมาเซ่นไอ้สามจะเป็นหมัน เพราะถ้าน้องผมอยู่บ้าน ป่านนี้ด่านอรหันต์ปัญญาอ่อนของมันคงกักตัวลุงไซด์ไลน์ไว้ข้างล่าง ไม่มีทางได้ขึ้นมานั่งหล่อยิ้มแต้รอผมเก็บกระเป๋าอยู่บนเตียงแบบนี้หรอก

“จริง ๆ รอให้พี่หนาวลองคุยกับปลาวาฬเสร็จก่อนแล้วเราค่อยมาเจอพ่อกับแม่ผมทีเดียวก็ได้นะครับ” ที่สุดผมก็เกริ่นถึงเรื่องกวนใจที่เพิ่งนึกได้หมาด ๆ

จากแรกที่อยากให้พี่หนาวรีบมาเจอครอบครัวเร็ว ๆ กลายเป็นว่า ผมแอบโล่งใจที่เมื่อกลับถึงบ้านแล้วไม่เจอใครเลยสักคน เพราะถ้าหากวันนี้พี่หนาวฝากเนื้อฝากตัวกับพ่อและแม่เสร็จสรรพ แต่พอกลับไปด้วยกันแล้วปลาวาฬดันรับผมไม่ได้ ผมก็ไม่รู้ว่าครอบครัวผมจะว่ายังไง ถ้าผลสุดท้ายแล้วลุงแกเกิดตัดสินใจเลือกความสุขของลูกสาวจนต้องบอกเลิกกัน

“ทำไมต้องรอให้พี่คุยกับปลาวาฬเสร็จก่อนด้วยล่ะทู” พี่หนาวขมวดคิ้วแล้วมองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจ

ผมแค่นยิ้มกลบเกลื่อน แสร้งฝืนสบตากับอีกฝ่ายทั้งที่ภายในใจอัดแน่นไปด้วยพลังงานด้านลบแบบเต็มเปี่ยม “ผมอยากให้พี่หนาวสบายใจเรื่องปลาวาฬก่อนน่ะครับ เรื่องที่บ้านผม จริง ๆ ไว้เราคุยกับพวกท่านเมื่อไรก็ได้ครับ” ถ้าสุดท้ายพี่หนาวไม่เลือกผมจริง ๆ การที่ตอนนี้ผมไม่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่จนพ่อกับแม่พลอยเดือนร้อนใจในตอนท้ายก็ต้องดีกว่าอยู่แล้ว

“แต่พี่ก็อยากให้พ่อแม่ทูสบายใจเรื่องที่ทูจะไปอยู่กับพี่เหมือนกันนะครับ” คนพูดกระชับมือที่จับมือผมให้แน่นขึ้น

“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ ผมบอกพวกท่านแล้วว่าผมจะไปอยู่กับพี่หนาว พี่หนาวก็ได้ยินไม่ใช่เหรอครับ”

ตอนคุยโทรศัพท์กับแม่ระหว่างทางกลับบ้าน ผมบอกท่านเรื่องย้ายไปอยู่ข้างนอกแบบคร่าว ๆ แต่นอกจากชื่อของพี่หนาวแล้ว ผมก็ยังไม่ได้บอกว่าเจ้าของห้องที่ผมจะหอบผ้าผ่อนไปอยู่ด้วยนั้นเป็นใคร มีสถานะและความสัมพันธ์แบบไหนต่อกัน ซึ่งเท่าที่ฟังจากเสียงถอนหายใจแบบปอดจะหลุดของบุคคลที่สามผู้มักจะแอบแนบหูฟังแม่คุยโทรศัพท์ด้วยเสมออย่างพ่อ ผมเดาว่าพวกท่านน่าจะร้องอ๋อในใจแล้วล่ะว่าพี่หนาวเป็นแฟนใหม่ผม

“...อืม...” ทั้งที่ส่งเสียงครางรับในลำคอ แต่พี่หนาวกลับทำหน้าคิดหนักพร้อมทั้งถูฝ่ามือผมไปมา “พี่จะรีบคุยเรื่องของเรากับป๊อบปี้ให้เร็วที่สุด”

ผมตบหลังมือลุงแกเบา ๆ พลางยิ้มอย่างเข้าใจ “ไม่ต้องรีบก็ได้ครับ ไว้อีกสักพัก ไว้ถ้าทุกอย่างเข้าที่เข้าทางเมื่อไร พี่หนาวค่อยมาฝากเนื้อฝากตัวเป็นสมาชิกใหม่ของบ้านผมอีกที”

ทำไมผมจะไม่รู้ว่าพี่หนาวไม่สบายใจ แต่เพราะไม่อยากให้ครอบครัวต้องพลอยเป็นห่วงกับการตัดสินใจครั้งนี้ของตัวเอง  ผมเลยได้ข้อสรุปว่า ไม่ควรพาอีกฝ่ายมาเจอพ่อกับแม่จนกว่าจะได้หยั่งเชิงดูท่าทีของปลาวาฬให้แน่ชัดเสียก่อน

“ทู” คู่สนทนาเรียกผมให้มองสบตากันอยู่ชั่วอึดใจ จากนั้นลุงแกก็ดึงผมเข้าไปนั่งใกล้ ๆ จนหัวไหล่กับต้นขาของเราแนบชิดกัน “พี่เคยบอกทูใช่ไหมว่าถ้าทูมีอะไรในใจ อย่าเก็บไว้คนเดียว”

เวรล่ะ พี่หนาวดูออกเหรอ แล้วผมควรตอบยังไงดีวะ?!

“ทูคิดอะไรอยู่ครับ ทูบอกพี่ได้ไหม” คู่สนทนาไม่ได้เร่งรัดอะไร แต่พอแกลูบต้นแขนผมแล้วบีบเบา ๆ ผมก็ทนทำเฉยไม่ลง

“...ผม...” ผมกัดปากพลางเหลือบตามองลุงไซด์ไลน์อย่างชั่งใจ ไม่รู้ทำไมอยู่ ๆ ก็สังหรณ์ใจขึ้นมาว่า ถ้าเผลอสารภาพทุกเรื่องที่คิดออกไป พี่หนาวอาจจะเกลียดผมเอาได้

“ทูฟังพี่นะ” พี่หนาวเปรยเสียงเข้มด้วยมาดเป็นการเป็นงานของท่าน HR Director ลองว่าองค์ลงประทับแล้ว ผมหรือจะตีหน้าซื่อทำไม่รู้ไม่ชี้ได้อีก “ที่พี่บอกว่าพี่จะพยายามตอบคำถามทูทุก ๆ ข้อ ในทางกลับกัน พี่ก็อยากให้ทูเปิดโอกาสให้พี่ฟังคำตอบของทูบ้างได้ไหมครับ”

แค่ทำให้พี่หนาวต้องลำบากอ้อนวอนด้วยเรื่องงี่เง่าส่วนตัว ผมก็รู้สึกชั่วช้าขึ้นอีกหลายระดับ ผมเลยยอมจำนนแล้วพยักหน้ามองลุงแกตาปริบ ๆ “ถ้าผมบอก... พี่หนาวอย่าเกลียดผมนะครับ”

“จะพยายามครับ” ลุงไซด์ไลน์ยิ้มมุมปากแล้วจับจ้องกันอย่างตั้งใจ 

“...คือ...” ระหว่างเรียบเรียงคำพูด ผมเลือกพักสายตาลงบนรอยกรีดตรงหางตาอีกฝ่ายที่คล้ายจะจางลงเพราะแสงนวล ๆ ภายในห้อง ละอองฝุ่นฟุ้งกระจายซึ่งปลิวว่อนไสวไปรอบ ๆ ตัวเราทำให้พี่หนาวดูราวกับภาพฝัน “สมมตินะครับว่า ถ้าสุดท้ายปลาวาฬไม่โอเคกับผมขึ้นมาจริง ๆ พี่หนาวจะเลิกกับผมไหมครับ”

เป็นเพราะผมยังดีไม่พอ หรือเพราะพี่หนาวเพอร์เฟกเกินไปก็ไม่รู้ ทำไมยิ่งใกล้เวลาที่ต้องไปเจอปลาวาฬมากเท่าไร ผมก็ยิ่งกังวลโน่นนี่จนไม่เป็นตัวของตัวเองเอาเสียเลย

“ทู”

“คะ... ครับ” หัวใจผมดิ่งวูบเมื่อได้ยินคนข้างตัวถอนหายใจเสียงดัง

“ถึงพี่จะไม่ได้ชอบใครง่าย ๆ แต่ถ้าพี่ชอบใครสักคนขึ้นมา พี่ก็จะไม่ยอมถอดใจง่าย ๆ หรอกนะครับ” คนพูดสบตากับผมเนิ่นนานพลางยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจนผมยังพลอยหวั่นไหว “เด็กเจ็ดขวบอาจจะยังไม่เข้าใจทุกอย่างก็จริง แต่พี่เลี้ยงปลาวาฬมา พี่รู้ว่าแกเป็นเด็กแบบไหน ทูไม่ต้องห่วงนะครับ พี่เชื่อว่าแกจะยอมรับเราได้”

โอ้โห แสงสว่างปลายอุโมงค์ที่แท้ทรู
แค่พี่หนาวพูดมาประโยคเดียว ก็เหมือนโปรแกรมเมอร์ดีบั๊กโปรแกรมที่ผมเขียนสเปคเสร็จภายในพริบตาเดียว
นั่นสิ ใช่ว่าผมจะไม่รู้จักปลาวาฬเสียหน่อย นิสัยใจคอแกออกจะน่ารักเสียขนาดนั้น แล้วผมจะมัวเครียดวนลูปให้หน้าแก่ไปเพื่ออะไรวะ (หมายเหตุ: ดีบั๊ก (debug) หรือ แก้จุดบกพร่อง คือการแก้ปัญหาข้อผิดพลาดในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์)

“ทูรู้ไหมครับว่าทำไมพี่ถึงขอโอกาสจากทู”

คำถามนี้ทำผมส่ายหัวยอมแพ้แบบหมดรูป พี่หนาวเลยดึงมือผมให้ไปนั่งตรงหว่างขาแล้วกอดเอวผมไว้อีกที บอกไม่ถูกเลยว่าตอนนี้ตื่นเต้นเบอร์ไหน รู้อย่างเดียวว่าเสียงหัวใจที่ดังโบ้ม ๆ อยู่ในอกกำลังรบกวนสมาธิจนผมฟังลุงแกแทบไม่รู้เรื่อง

“ลำพังแค่คนสองคนคบกันมันก็ยากมากแล้ว แต่นี่ทูต้องคบกับทั้งพี่ ทั้งลูกพี่ไปพร้อม ๆ กัน... อดทนกับพ่อยังไม่พอ ทูยังต้องอดทนกับปลาวาฬด้วย” พูดมาถึงตรงนี้ คุณพ่อรูปหล่อก็ถอนหายใจพลางยื่นหน้ามาใกล้ ๆ แล้วพาดคางกับหัวไหล่ข้างขวาของผม “พี่รู้นะว่าพี่กำลังเอาเปรียบทูอยู่ แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พี่ก็ยังอยากให้ทูอยู่ข้าง ๆ พี่ อยากให้พวกเราสามคนมีความสุขไปด้วยกันทุกวัน... ที่พี่ขอมันเห็นแก่ตัวมากเลยใช่ไหม”

ผมดันกรอบแว่นขึ้นพลางส่ายหัวดิก “ไม่... ครับ”

แม้จะยังนั่งเฉยอยู่ได้ แต่สติสตังผมกลับกระจัดกระจายไม่อยู่กับร่องกับรอย นะ นี่มันจะใกล้เกินไปแล้ว...
ทำไมที่พี่หนาวกอดผมตอนนอน มันถึงไม่ตื่นเต้นเร้าใจจนหัวหมุนติ้ว ๆ รู้สึกเหมือนจะเป็นลมเสียให้ได้แบบครั้งนี้เลยวะ

“ถ้าอย่างนั้น ต่อไปเวลาทูมีเรื่องกังวลใจ ทูต้องบอกพี่นะครับ อย่าเก็บเอาไว้คนเดียวอีก”

“ครั้บ!” เป็นเพราะอีกฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาใกล้เกินไปจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อน ๆ ตรงโหนกแก้ม ผมเลยหลุดปากร้องเสียงหลง สาบานเลยว่าเมื่อกี้ไม่ได้สะดิ้งจนเสียจริต แต่ริมฝีปากลุงแกแตะโดนติ่งหูผมจริง ๆ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่โดนไฟช็อตทั้งร่างตั้งแต่หัวจรดเท้าจนสะดุ้งโหยงแล้วโก่งคอขันหรอก

ฮือ แฟนครับ... แฟนรุกแรงไป๊ น้องทูทำตัวไม่ถูก

ก่อนจะตบะแตกทำเรื่องผิดผีใส่ลุงไซด์ไลน์กลางวันแสก ๆ ผมก็รีบดึงหน้าตึงกลบเกลื่อนพลางเอนตัวออกห่างจากคุณพ่อรูปหล่อแล้วต่อบทสนทนาอย่างจริงจังทั้งที่ข้างในกำลังสั่นพั่บ ๆ ระดับสิบริกเตอร์ “ผมขอโทษนะครับที่คิดว่าเราจะเลิกกัน”

“พี่ก็ขอโทษนะครับที่ทำให้ทูเครียด เรื่องปลาวาฬ ทูปล่อยพี่จัดการเองนะครับ” ผมไม่รู้หรอกว่าพี่หนาวกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ แต่เท่าที่ฟังจากเสียงหัวเราะตอนท้าย ลุงแกน่าจะกำลังแฮปปี้ทีเดียว

“ครับ” ผมอ้อมแอ้มเมื่อสำนึกได้ คิดดูสิ ขนาดผมงี่เง่า พี่หนาวก็ยังใจเย็นกับผมมาก ๆ แถมแกยังเข้าใจผมดีเสียอีก ผมนี่สิที่บ้าบอจนคิดจะถอยตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มสู้เลยสักตั้ง

“ทูครับ” พี่หนาวทอดเสียงอ่อนพลางเขย่าแขนที่โอบรอบเอวผมเบา ๆ จนตัวผมโยกไหวไปมา ผมเลยหลงกลยอมเงยหน้าขึ้นสบตาแกจนได้ “เสาร์หน้าพวกเรามากราบคุณพ่อคุณแม่ด้วยกันนะครับ”

ผลเป็นไงคงไม่ต้องสืบ... เพราะผมโดนรอยยิ้มหวาน ๆ ตกจนยอมเป็นทาสสวาทของลุงแกอีกครั้งอย่างยินยอมพร้อมใจ

“อยู่ห้องเปล่าทู ออกไปกินไก่กัน” จังหวะกำลังจะอ้าปากรับคำคุณพ่อรูปหล่อนั้นเอง เสียงห้าวเป้งของน้องชายที่ผมไม่รู้ว่าไปมุดหัวอยู่ที่ไหนก็ดังแทรกกลางคัน แถมเสียงมันยังดังใกล้ ๆ หน้าห้องเสียอีก ผมเลยรีบเด้งตัวขึ้นแล้ววาร์ปไปยืนที่เดิมได้ทันเวลาก่อนที่คุณตรัยรัตน์ น้องชายบังเกิดเกล้าจะเปิดประตูผางแล้วพุ่งตัวเข้ามาในห้องอย่างถือวิสาสะทั้ง ๆ ที่ตามปกติแล้ว ไม่ว่าจะรีบแค่ไหน มันมักจะเคาะประตูหน้าห้องผมก่อนเสมอ

“อ้าว พาเพื่อนมาที่บ้านด้วยเหรอ” พอเห็นสายตาดุ ๆ ของผม ไอ้สามก็หยุดยืนกอดอกเต๊ะท่าพลางมองหน้าผมอย่างจับผิด

แปลก... ทำไมไอ้สามถึงดูไม่เซอร์ไพรส์ที่เจอพี่หนาวอยู่ในห้องผมเท่าไรเลยวะ

“...เอ่อ...” เพราะยังไม่เคยเล่าเรื่องพี่หนาวให้น้องชายฟัง ผมเลยลังเลว่าจะแนะนำแกในฐานะอะไรเพื่อที่ไอ้สามจะได้ไม่ทำตัวผี ๆ ใส่ลุงไซด์ไลน์จนแกขวัญหนีดีฝ่อ แต่ยิ่งผมชักช้า น้องชายก็เริ่มชักสีหน้าเพราะมันดันเห็นกระเป๋าเดินทางใบใหญ่กับกองเสื้อผ้าตรงหน้าผมเข้าเสียก่อน

“แล้วนั่นเก็บของจะไปไหนอะ”

“ทูจะไปอยู่กับเพื่อน” ผมรวบรัดง่าย ๆ พลางยัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็วเพราะอยากพาพี่หนาวหนีตายไปให้ห่างจากไอ้สามโดยเร็วที่สุด

“เพื่อนคนไหน” น้องชายผมปรายหางตาเหล่ลุงไซด์ไลน์ตรงปลายเตียงแบบไม่เกรงใจ หนำซ้ำมันยังกล้าแซะลุงแกทั้ง ๆ ที่ผมยืนหัวโด่อยู่ทั้งคน “ทำไมไม่พามาให้รู้จัก แล้วไว้ใจได้หรือเปล่า จะไปอยู่กับเขาน่ะ”

ผมถลึงตามองมนุษย์น้อง แต่แทนที่จะสำนึก ไอ้สามกลับทำหน้าหมาใส่ก่อนจะหันไปมองเขม่นแฟนผมต่อ พอจะอ้าปากด่า ผมก็สังเกตเห็นว่าน้องชายตัวเองเหงื่อซ่กหน้าตกมันเหมือนเพิ่งวิ่งมาราธอนมาหมาด ๆ หรือที่ไอ้สามโผล่หน้ามานี่เพราะมีเจตนาแอบแฝง...

แน่ ๆ พี่เอิงจะต้องส่งมันมาเป็นกองกำลังสอดแนมผมกับพี่หนาวล่วงหน้าระหว่างที่ตัวเองไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้เด็ด ๆ  
เฮ้อ พี่น้องผมนี่บางทีก็บ้าบอเหลือเชื่อเหมือนกันแฮะ  

“ทูจะไปอยู่กับพี่เองครับ” อยู่ ๆ ลุงไซด์ไลน์ก็โพล่งขึ้น

“หืม?” น้องชายบังเกิดเกล้าเลิกคิ้วมองหาเรื่องพี่หนาวอย่างโจ่งแจ้ง เห็นหน้าตาไม่รับแขกของมันแล้วผมก็ใจไม่ดี “พี่เป็นใครครับ”

เอาแล้ว ไอ้สามเล่นผมแล้วไงล่ะ แทนที่จะยกมือไหว้ ไม่ก็ฝากเนื้อฝากตัวกันตามมารยาทสากล น้องชายผมกลับแผ่รังสีคุกคามใส่ลุงไซด์ไลน์อย่างไม่สนรุ่น สนวัยกันเลยทีเดียว

“พี่ชื่อหนาว พี่เป็นแฟนทูครับ” แฟนผมอุตส่าห์ลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินเข้าไปหามันก่อน แต่ไอ้สามดันสะบัดหน้าแล้วตวัดสายตากลับมามองค้อนผมอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ “ทูมีแฟนเมื่อไร ทำไมไม่เคยบอกสาม”

ใจจริงผมกะจะด่าไอ้สามเสียหน่อย แต่พอเห็นสีหน้าเกรี้ยวกราดเกินเบอร์กับจริตตัวร้ายของน้อง ผมก็ขำพรืดแบบเสียอาการ “ทีสามมีแฟนสามยังไม่เคยบอกใคร แล้วทำไมทูต้องรายงานด้วยล่ะว่ากำลังคบใครอยู่” ผมสวนกลับยิ้ม ๆ ก่อนจะหันไปยื่นมือส่งให้ผู้ชาย “ไปครับพี่หนาว เดี๋ยวรถติด”

ลุงไซด์ไลน์ก็ว่าง่ายเหลือใจ เพราะเจ้าตัวโฉบเข้ามาชิงเอากระเป๋าใบใหญ่ไปถืออย่างรู้งานพร้อม ๆ กับจับมือประสานนิ้วกับผมแบบเสร็จสรรพ ผมเลยทำอะไรไม่ได้นอกจากเชิดหน้าหิ้วชุดทำงานในไม้แขวนแล้วเดินกรุยกรายผ่านน้องชายออกจากห้องไป

“เฮ้ย เดี๋ยวดิ มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน” จังหวะที่พวกเรากำลังจะก้าวลงบันไดขั้นแรก ไอ้สามก็ตะโกนไล่หลังพลางย่ำเท้าตึงตังตามมาติด ๆ แต่เรื่องอะไรที่ผมจะปล่อยให้มันมาทำลิงค่างใส่พี่หนาวได้อีกล่ะ

“เสาร์หน้าทูจะพาพี่หนาวมาไหว้พ่อกับแม่ ถึงตอนนั้นสามกับพี่เอิงค่อยถามเรื่องพี่หนาวอีกทีแล้วกัน... อ้อ แล้วก็ พี่หนาวเขาซื้อบอนชอนมาให้ อยู่บนโต๊ะอะ อย่าลืมกินล่ะ มีไรโทรมาแล้วกัน... บาย” เพราะกลัวไอ้สามจะอกแตกตาย ผมเลยเปรยทิ้งท้ายลอย ๆ ระหว่างเดินควงแขนแฟนสุดหล่อลงบันไดด้วยมาดผู้ชนะแคมเปญ

••••••

“อย่า... เดี๋ยวล้ม!” ด้านนอกร้านมีคนส่งเสียงโหวกเหวกมาพักใหญ่ ๆ เมื่อลองเงี่ยหูจับใจความอยู่ชั่วครู่ ที่สุดคเชนทร์ก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้ เขาจึงผละจากเคาน์เตอร์แล้วเดินออกไปรอรับสองพ่อลูก

“เวลา หยุดรอป๊าก่อน!” สิ้นประโยคนั้น กาลกมลก็ซอยเท้าผ่านกรอบประตูเข้ามาในร้าน อีกทั้งยังวิ่งผ่านคเชนทร์เข้าไปนั่งจุมปุ๊กอยู่ตรงที่ประจำหน้าโซฟาโดยไม่คิดจะสนทนากับใคร ไม่กี่อึดใจให้หลัง เจ้าของร้านขนมปังในชุดสุภาพสีดำทั้งตัวก็วิ่งตามมาพร้อมกระเป๋าเป้ใบย่อม

“ผมฝากลูกหน่อยนะคุณ” ธามหอบหายใจพลางชำเลืองมองเลือดเนื้อเชื้อไขสลับกับเจ้าของร้านดอกไม้อย่างลำบากใจ  “เดี๋ยวผมต้องพาม้าไปงานศพ น่าจะกลับไม่เกินสามทุ่ม”

“ได้ครับ” แม้จะไม่รู้ถึงต้นสายปลายเหตุ แต่พอเห็นเวลาแผลงฤทธิ์ใส่บิดาบ่อย ๆ เข้า ลึก ๆ แล้วคเชนทร์ก็เริ่มรู้สึกเห็นใจธามมากขึ้น ดังนั้นเมื่อได้ยินคำร้องขอเมื่อครู่ ชายหนุ่มจึงรับปากโดยไม่ต้องใคร่ครวญ

“ข้าวเย็นอยู่ในนี้นะ แล้วก็เสื้อผ้า... ถ้าต้องเปลี่ยน คุณก็ใช้ที่ผมเตรียมเผื่อไว้” พ่อหม้ายเอ่ยพลางยื่นกระเป๋าในมือส่งให้คู่สนทนา น้ำหนักของเป้ทำให้เจ้าของร้านดอกไม้เข้าใจแล้วว่า เพราะเหตุใดวันนี้ธามจึงวิ่งไล่ตามลูกชายไม่ทัน... เด็กคนนึงต้องใช้อะไรบ้าง ทำไมกระเป๋าถึงหนักขนาดนี้

“ผมไปก่อนนะ” ธามไม่พิรี้พิไร ชายหนุ่มชำเลืองมองกาลกมลพลางทิ้งท้ายสั้น ๆ “ถ้ามีอะไร โทรมานะคุณ”

“ครับ” เจ้าของร้านดอกไม้มองส่งพ่อของเวลาจนลับสายตา ภาพแผ่นหลังกว้างที่หดเล็กลงราวกับแบกโลกทั้งใบไว้บนบ่ากับรอยแตกร้าวและการเว้าวอนในสายตาคู่นั้นกลับฝังตรึงลงสู่ห้วงคำนึงของคเชนทร์โดยไม่ทันรู้ตัว

••••••


“ทูใช้ตู้ฝั่งนี้ได้เลยนะ” พี่หนาวเปิดตู้เสื้อผ้าอีกฟากของห้องนอนแล้วแขวนชุดทำงานผมลงบนราว นี่ถ้าเจ้าบ้านไม่เชื้อเชิญ ผมคงไม่รู้ว่าข้างในตู้หลังนี้ ที่แท้คือแดนลับแลซึ่งอัดแน่นไปด้วยลิ้นชักกับชั้นกระจุกกระจิกเต็มไปหมด ดูทรงแล้วเจ้าของเดิมน่าจะเป็นพี่ป๊อบปี้

“ส่วนอื่น ๆ ของห้อง ทูก็รู้หมดแล้ว ใช่ไหมครับ” ลุงไซด์ไลน์ยิ้มพลางเดินเข้ามาหาผมพยักหน้ารับขณะกำลังเปิดกระเป๋าแล้วเตรียมจัดเสื้อผ้าเข้าตู้

นับว่าการจราจรปรานีเรามาก เพราะวันนี้ทั้งวัน เราใช้เวลาอยู่บนท้องถนนน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ หนำซ้ำเรายังมาถึงที่หมายสุดท้ายเร็วกว่าเวลาที่พี่หนาวคอนเฟิร์มกับพี่ป๊อบปี้เกือบสองชั่วโมง หลังดินเนอร์ด้วยกันที่ร้านข้าวต้มกุ๊ยชื่อดังประจำซอยใกล้ ๆ กับย่านตลาด คุณแฟนรูปหล่อก็พาผมไปสำรวจส่วนต่าง ๆ ของคอนโด ก่อนจะมาปิดท้ายที่ห้อง ผมจึงได้ทำความรู้จักกับบ้านใหม่อย่างละเอียดลออระหว่างรอพี่ป็อบปี้มาส่งปลาวาฬตอนหนึ่งทุ่ม

“ให้พี่ช่วยนะครับ” พี่หนาวอาสาพลางกวาดตามองเสื้อผ้าในกระเป๋าผมอย่างสนอกสนใจ

“ไม่เป็นไรครับ ผมมีของไม่เยอะ จัดแป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว” ผมทำทีเป็นสนใจเสื้อผ้าเสียเต็มประดาเพราะไม่กล้าสู้หน้าลุงแก ผมจะยอมเสี่ยงไม่ได้ ขืนอีกฝ่ายมือดีแตะถูกกอง พี่หนาวอาจจะเจอสุดยอดกางเกงในกับชุดนอนไม่ได้นอนในที่ซ่อนก่อนเวลาอันควร ถ้าเป็นแบบนั้น แล้วผมจะกลายเป็นตัวอะไรในสายตาลุงแกล่ะ

“ทูครับ”

“ครับ” จิตมารของผมแอบถอนหายใจเมื่อเห็นลุงไซด์ไลน์ยอมย้ายที่มั่นไปปักหลักตรงปลายเตียง ณ อีกฝั่งหนึ่งของกระเป๋า

“กับปลาวาฬ ทูแค่ทำตัวตามปกติเหมือนที่ทูเคยเป็นก็พอ ส่วนเรื่องอื่น ๆ ปล่อยให้เป็นหน้าที่พี่เองนะครับ” ฟังที่ลุงแกพูดแล้วก็อดยิ้มกริ่มกับตัวเองไม่ได้ จุด ๆ นี้บอกเลยว่าจะหาใครบอบบางอ่อนหวานจนผู้ชายต้องคอยคุ้มครองปกป้องยิ่งกว่าผมคงไม่มี

ทั้ง ๆ ที่เราคุยเรื่องนี้ รวมถึงเรื่องของไอ้สามอีกครั้งตั้งแต่ตอนอยู่บนรถจนผมเริ่มจะสบายใจแล้ว แต่ยิ่งใกล้เวลาที่ปลาวาฬจะกลับมาบ้าน เผลอทีไร พ่อคุณเป็นต้องหลุดประโยคอัดฉีดกำลังใจออกมาตลอด ผมเลยยิ่งเอ็นทูท่าทีห่วงใยแบบลุง ๆ ของแกไปกันใหญ่

“พี่หนาวไม่ต้องห่วงนะครับ ผมไม่คิดมากแล้ว” ผมสบตาอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้งเพื่อยืนยันให้แกมั่นใจ “ผมเชื่อนะครับว่าพี่หนาวจะจัดการทุก ๆ เรื่องได้” แค่พี่หนาวเอาใจใส่และเห็นผมเป็นคนสำคัญ ผมก็ตื้นตันจนพร้อมสู้ตายถวายหัวแล้ว

พอเคลียร์ใจเสร็จ ผมก็หมุนตัวแล้วทยอยแบ่งกองผ้าที่พับไว้ไปเรียงใส่ลิ้นชักพลางเปรยขึ้นลอย ๆ “แล้วก็... แม่เพิ่งไลน์มาบอกผมเมื่อกี้ว่า เสาร์หน้าท่านรอกินข้าวเย็นกับพี่หนาวอยู่นะครับ” เมื่อได้ยินเสียงครางรับของอีกฝ่าย ผมเลยถือโอกาสให้กำลังใจลุงแกซ้ำอีกรอบ “พี่หนาวไม่ต้องห่วงนะครับ ถ้าบ้านผมอยู่กันพร้อมหน้า สามมันจะไม่ซ่าแบบวันนี้หรอกครับ”

ถ้าให้พูดตรง ๆ ผมว่าวันนี้ไอ้สามยังไม่เกรียนเท่าไร ไม่รู้เพราะมันโดนใบสั่งว่าแค่ให้มาดูลาดเลา หรือเพราะน้องผมโดนบารมีของท่าน HR Director ข่มจนหงอเลยไม่กล้าวาดลวดลาย แต่เท่าที่หยั่งเชิงลุงแกระหว่างทางมาคอนโด ผมก็ค่อนข้างเบาใจ เพราะพี่หนาวแกยังหัวเราะเบา ๆ เมื่อเล่าถึงประสบการณ์เผชิญหน้ากับมนุษย์น้องแบบ exclusive อยู่เลย

“ทู”

“ครับ?!” ผมสะดุ้งเบา ๆ เมื่อรู้สึกตัวว่าอีกฝ่ายเดินมากอดเอวผมเอาไว้จากข้างหลัง...

อ่า พี่หนาวแอบไปอัปเดตเวอร์ชั่นมาเมื่อไร ทำไมถึงคลุกวงในผมได้อย่างเป็นธรรมชาติและดูไม่ขัดเขินเลยสักนิด หรือตอนนอนเมื่อคืน ผมจะเผลอละเมอทำท่าหื่น ๆ ออกไป ลุงแกถึงได้ตอบสนองแบบถึงลูกถึงคนชะมัด

“ไหนเอียงคอซิครับ” ถึงจะงงที่อยู่ ๆ ผู้ชายก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาดื้อ ๆ แต่เพราะไม่อยากขัดใจกัน ผมจึงให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ซึ่งจังหวะที่เอียงคอตามทิศทางที่ฝ่ามือของอีกฝ่ายประคองนั้น ผมก็เม้มปากแน่นพลางสั่งตัวเองว่า ตื่นเต้นได้แต่อย่าหยุดหายใจเป็นอันขาด

“เจ็บไหมครับ”

บุญบาป! ถามไม่พอ พี่หนาวยังลูบคอผมเสียอีก

“ไม่เจ็บครับ” ผมตอบไม่เต็มเสียงเมื่อปลายนิ้วมือของลุงไซด์ไลน์แตะต้นคอผมเบา ๆ อย่างทั่วถึง สาบานได้ว่าตอนนี้ลูกตาผมใกล้จะถลนออกจากเบ้าเต็มที

แหม จะใครก็ต้องทั้งเหลือบทั้งลุ้นกันทั้งนั้นไหมล่ะในเมื่อเราไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี่จะจบลงที่ตรงไหน... จะใช่เหตุการณ์ผิดผีที่ผมแอบหวังอยู่หรือเปล่านะ ฮึ่ย ตื่นเต้นวุ้ย!  

“แล้วตรงนี้ล่ะ เจ็บไหม” พี่หนาวยังคงถามโดยไม่อธิบาย แถมลุงแกยังทำให้ผมยิ่งล่กหลังเจ้าตัวลากปลายนิ้วไล่จากต้นคอขึ้นมาเป็นข้าง ๆ แก้ม ทั้งที่ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นรัวยิ่งกว่ากลอง แต่ผมกลับรู้สึกเดี๋ยวเย็นเดี๋ยวร้อน เห็นดาววิ้ง ๆ วับ ๆ คล้ายกับกำลังจะขาดอากาศหายใจ “ทูเจ็บแก้มไหมครับ”

“มะ... ไม่เจ็บครับ” ผมคว้าแขนลุงไซด์ไลน์เพราะตั้งใจจะบีบให้แกหยุดมือ แต่ไม่รู้ทำอีท่าไหน พี่หนาวกลับลูบแก้มผมไม่เลิก

งือ...เดี๋ยวครับลุง ลุงกำลังทำอะไร
ถ้าอยากน้วยกัน แค่พูดแค่บอกตรง ๆ ไม่ต้องลงทุนใช้มุกห่วงใยเจ็บไหมบังหน้าก็ได้ เพราะแค่เป็นลุง ผมก็พร้อมเสนอตัว

“แก้มกับคอทูแดงมากเลยนะ เดี๋ยวก่อนนอนคืนนี้พี่ทายาให้นะครับ” สายตาจริงจังกับใบหน้าเคร่งเครียดของคู่สนทนาเรียกสติผมให้กลับคืนร่างเดี๋ยวนั้น

“เหรอครับ” ผมย่นคอเมื่อมือพี่หนาวเลื่อนลงแตะตรงไหปลาร้า ถึงจะเลิกมโนแล้วก็ตาม แต่จนป่านนี้ผมกลับยังนึกไม่ออกว่าคอกับแก้มผมไปโดนอะไรมา ทำไมสุดหล่อถึงต้องทำหน้าดุดันเหมือนมันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายด้วย

“จะบอกพี่ได้หรือยังว่าทำไมอยู่ดี ๆ ตรงนี้กับตรงนี้ถึงแดง”

“...เอ่อ...” ผมกลอกตามองหน้าพี่หนาวสลับกับเสื้อผ้ากองน้อยในตู้พลางใคร่ครวญอย่างหนัก

เวร แล้วผมจะรู้ไหมล่ะ ตั้งแต่ตื่นมาก็ตัวติดกันกับพี่หนาว แล้วจะแอบเอาหน้ากับคอไปฟาดโดนอะไรตอนไหน ถ้ามีใครทำร้ายร่างกายก็ว่าไปอย่าง แต่เอ๊ะ หรือผมจะลืมอะไรไป...

“ฝีมือปุริมใช่ไหม” เสียงเย็นเยียบชวนยะเยือกที่ดังข้างหูทำเอาเส้นขนทั่วทั้งร่างลุกฮือโดยพร้อมเพรียง แม่งเอ๊ย ทำไมผิวต้องมาบางเอาตอนนี้ ขนาดเคยล้มหน้าทิ่มตอนฝึกร.ด.ที่เขาชนไก่ หน้าผมยังไม่เป็นแผลอะไรเลย อย่าบอกนะว่าผมแพ้เสนียดที่เกาะอยู่ตามตัวแฟนเก่า

“ครับ” ผมหรุบตามองพื้นพลางรีบอธิบายจนลิ้นแทบพันกัน “แต่ผมไม่ได้เจ็บอะไรนะครับ” เพื่อพิสูจน์ถึงความแข็งแรงฟิตปั๋งของตัวเอง ผมเลยจิ้มแก้มตัวเองโชว์ลุงแกแบบจะจะ แต่แทนที่พี่หนาวจะยิ้มรับ เจ้าตัวกลับถอนหายใจพลางขมวดคิ้วนิ่วหน้า

“ครั้งนี้ไม่เป็นไร แต่อย่าให้มีครั้งหน้าก็แล้วกัน”

“ที่พี่หนาวบอกว่าครั้งนี้ไม่เป็นไร หมายความว่ายังไงเหรอครับ” ผมเอียงคอพลางเลิกคิ้วมองหน้าคู่สนทนาอย่างงง ๆ อีกฝ่ายทำหน้าไม่ยิ้มไม่บึ้ง คล้ายกับกำลังสับสนในอารมณ์จนไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่สุดท้ายลุงแกก็เกาแก้มตัวเองเบา ๆ พลางตอบไม่เต็มเสียง

“เมื่อคืนพี่น่าจะทำเขาเจ็บหนักอยู่เหมือนกัน”

จิตใจผมคงหยาบช้าเข้าขั้น เพราะนอกจากจะไม่เห็นใจผู้ประสบภัยแล้ว ผมยังแอบอมยิ้มพลางนึกชื่นชมฝีไม้ลายมือของแฟนใหม่อยู่ในใจ... หึ ๆ นับว่ากระดูกกระเดี้ยวพี่หนาวยังแข็งแรงใช้ได้ ทีนี้ผมก็หมดห่วงเรื่อง พละกำลังและสมรรถภาพทางกายของลุงแกแล้วล่ะ แต่ในเมื่อเท้าความมาขนาดนี้ ขอถามคนต้นเรื่องให้รู้ไว้หน่อยก็ดีว่าลุงแกทำอีท่าไหน ไอ้พี่บูมถึงได้หมดสภาพยับเยินเกินเบอร์

“แล้วพี่หนาวทำอะไรเขาเหรอครับ”

“ทูอยากรู้จริง ๆ เหรอ” พี่หนาวก้มลงมองผมอย่างทีเล่นทีจริง ริมฝีปากน่าจูบนั่นบิดเป็นรูปโค้งก่อนจะเผยให้เห็นไรฟัน รอยยับตรงหางตากับลักยิ้มเหนือมุมปากกดลึกจนทำให้เกิดเงาราง ๆ แต่เมื่อมองรวม ๆ ผมกลับละสายตาไปจากผู้ชายรูปหล่อตรงหน้าแทบไม่ลง

“บอกเถอะครับ ผมอยากรู้” ยิ่งเห็นเจ้าตัวยิ้มมุมปากทำหน้าเจ้าเล่ห์ ผมก็ยิ่งพยักหน้าหงึกหงักอย่างคลุ้มคลั่งหนำซ้ำยังเกาะแขนลุงแกเสียแน่น เอาสิ ถ้าไม่เล่า ก็กระเตงผมไปไหนมาไหนด้วยแล้วกัน

ลุงไซด์ไลน์ยื่นหน้าเข้ามากระซิบข้างหูผมอย่างจงใจ “ถ้าพี่บอก พี่จะกลายเป็นคนไม่ดีหรือเปล่านะ”

สายตาเป็นประกายเจิดจ้าที่ทอดมองมาทำเอาผมรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว...
ลุงร้าย ๆ นี่ดาเมจรุนแรงกับหัวใจผมเหลือเกิน

“ไม่หรอกครับ ผมสัญญา” เป็นอีกครั้งที่ผมต้องทำเข้มตีขรึมใส่อีกฝ่ายทั้งที่กายหยาบแทบหลอมละลายเละเหลวไร้รูปทรง

“...อ๊ะ?!...” แทนที่จะรู้ความ ลุงไซด์ไลน์กลับย่ำยีแก้มผมด้วยปลายจมูกแบบเต็มรัก หนำซ้ำพอหอมจนสาสมใจเจ้าตัวยังมีหน้ายิ้มเผล่ใส่อย่างไม่รู้สึกผิด

“ไม่บอกครับ พี่ไม่อยากเป็นคนไม่ดีในสายตาทู” พี่หนาวมองตาผมแล้วอมยิ้มกรุ้มกริ่ม ลองว่าโดนแบบนี้เข้าไปผมก็อมลิ้นเป็นใบ้เท่านั้นสิ

ฮือ Dirty Daddy คุณค่าที่น้องทูคู่ควร

จังหวะที่สติยังไม่กลับเข้าร่าง เสียงกริ่งหน้าห้องดังก็ดังขึ้นเสียก่อน พี่หนาวเลยหอมแก้มผมอีกครั้งแล้วพูดข้างหูจนผมขนลุกซู่ไปทั้งตัว “ปลาวาฬน่าจะมาถึงแล้ว ไปครับ เราไปรับลูกกัน”

“...คะ ครับ...” ผมแทบเข่าอ่อนเพราะดันรู้สึกฟินซ้ำซ้อนเอาตอนที่พี่หนาวพูดว่า เราไปรับลูกกัน นี่แหละ โอ๊ยพ่อคุณ พ่อทูนหัว ผมล่ะอยากเป็นรวมร่างประกอบตัวกับคุณเสียวันนี้พรุ่งนี้จริง ๆ

“คุณพ่อ... ปลาทู!” บอกตรง ๆ ว่าผมเขินจนลืมไปว่าเดินออกมาข้างนอกได้ยังไง แต่พอเจ้าวาฬน้อยยิ้มร่าพลางวิ่งกางแขนแล้วถลาเข้าใส่ ผมก็ดีใจจนข่มความรู้สึกประหม่าเมื่อครู่ลงได้ทั้งหมด “ปลาวาฬคิดถึงปลาทูจังเลยค่ะ”

“อาทูก็คิดถึงปลาวาฬครับ” ผมยิ้มกว้างพลางพยักหน้ารับคำเด็กหญิงอย่างยินดี

จากที่เคยกังวลไปร้อยแปดพันประการ เอาเข้าจริง พอเจอหน้าเจ้าตัวเล็กเท่านั้นแหละ ทุก ๆ เรื่องที่น่าหวาดหวั่นก็พลันหายวับลับตา ผมย่อตัวลงนั่งยอง ๆ กับพื้น รวบเอวหนูน้อยเข้ามากอดแน่นพลางซึมซับความสุขของชั่วขณะนั้นอย่างเต็มที่ วินาทีที่หลับตาพลางสูดดมกลิ่นนมผสมกลิ่นแชมพูเด็กหอม ๆ ที่คุ้นเคย ผมก็บอกตัวเองว่า นี่แหละคือสิ่งที่ผมเฝ้ารอคอยมาตลอด และผมจะรักษามันเอาไว้ให้นานที่สุด

••••••

ธามเดินเข้ามาในร้านดอกไม้ด้วยสีหน้าอิดโรย เสื้อผ้าลำลองที่เจ้าตัวสวมใส่อยู่บอกใบ้ให้คเชนทร์รู้ว่าพ่อของเวลาน่าจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านมาก่อนแล้ว แต่ถุงพลาสติกหูหิ้วใบใหญ่ในมืออีกฝ่ายที่ดูหนักเอาเรื่องนั่น เขากลับไม่รู้ว่ามันคืออะไร

“บันไดล่ะคุณ”

“บันได?” เจ้าถิ่นมองหน้าอาคันตุกะยามวิกาลงง ๆ มาถึงก็ถามลุ่น ๆ โดยไม่เท้าความ ไม่เกริ่นนำอารัมภบทใด ๆ แล้วยังจะหวังให้คนอื่นเข้าใจตัวเองทะลุปรุโปร่งอย่างนั้นหรือ

“คุณเอาบันไดเมื่อวันก่อนไปไว้ไหน”

“อ้อ... อยู่หลังร้านครับ” เจ้าถิ่นตอบคำถามอย่างพาซื่อ ส่วนคนที่เพิ่งมาก็วางถุงลงกับพื้น จากนั้นจึงเดินดุ่ม ๆ เข้าไปหลังร้านโดยไม่พูดไม่จา คเชนทร์เลยอาศัยจังหวะนั้นแอบส่องดูจนรู้ว่าภายในถุงคือกล่องใส่หลอดไฟกลมแบบเดียวกับที่เพิ่งเปลี่ยนไปเมื่อวาน

แปลกคน จะเอาหลอดไฟมาทำไมเยอะแยะ?

“เวลาล่ะคุณ” สิ่งที่ธามถามนั้นไม่ได้คลายข้อสงสัยของหนุ่มผมยาว ไม่แม้กระทั่งจะช่วยอธิบายสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า เจ้าตัวเพียงแค่เดินกลับออกมาโดยหิ้วบันไดอลูมิเนียมพาดบ่าพลางเจาะจงพูดถึงสิ่งที่ตนสนใจเท่านั้น

“นอนอยู่ข้างบนครับ”

เป็นเพราะการคาดคะเนช่วงเวลาของอีกฝ่ายเมื่อตอนเย็น คเชนทร์จึงสามารถจัดแจงตารางของกาลกมลได้ล่วงหน้า หลังกินข้าวเย็นเสร็จ ชายหนุ่มอนุญาตให้เวลาเล่นกับแมวจนถึงเกือบสองทุ่มก่อนจะพาเจ้าตัวขึ้นไปอาบน้ำ และเข้านอนในอีกครึ่งชั่วโมงให้หลัง ดังนั้นอาคันตุกะผู้มาปรากฏกายตอนสามทุ่มกว่าย่อมจะไม่เห็นบุตรชายนอนที่ฟูกบนพื้นเหมือนทุกที

“อืม” พ่อหม้ายครางรับขณะกางบันไดตรงใต้หลอดไฟหน้าร้าน ชายหนุ่มจัดการเปลี่ยนหลอดไฟเก่าที่แม้จะยังใช้ได้ดีด้วยหลอดไฟที่เพิ่งซื้อมาใหม่อย่างคล่องแคล่ว โดยที่ระหว่างนั้น คเชนทร์ได้อยู่คอยช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ ดังเช่นครั้งก่อน  จวบจนเมื่อธามลงมายืนแหงนหน้ามองผลงานข้าง ๆ กันแล้วยิงคำถามถัดไปนั่นแหละ เจ้าของร้านดอกไม้จึงเริ่มตระหนักถึงความมุ่งมั่นของช่างไฟมือสมัครเล่นอย่างชัดเจน “ไปคุณ อีกหลอดอยู่ที่ไหน พาผมไปหน่อย”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมเปลี่ยนเอง”

นอกจากจะไม่อยากรบกวนอีกฝ่ายแล้ว คเชนทร์ยังอดรู้สึกตงิดใจไม่ได้หากต้องปล่อยธามเดินเพ่นพ่านอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวนานเกินไป ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่สนใจฟัง หนำซ้ำยังแบกบันไดก้าวขึ้นบันไดไปก่อนเจ้าของบ้านจะทันรู้ตัว เห็นแบบนั้น อดีตนางโชว์จึงคร้านจะทัดทาน “ไม่ต้องเอาบันไดขึ้นไปก็ได้ครับ ข้างบนมีเก้าอี้”

“อืม” พ่อหม้ายรับคำสั้น ๆ ก่อนจะหมุนตัวกลับลงมาแล้ววางบันไดพิงตรงข้างผนัง รอบนี้เจ้าถิ่นจึงชิงเดินนำหน้า เขาจึงตามหลังอีกฝ่ายขึ้นชั้นสองไปโดยไม่พูดอะไร

กลิ่นหอมอ่อน ๆ ภายในห้องนอนผนังสีม่วงยังคงชวนให้ธามหวนระลึกถึงอดีตภรรยาเหมือนครั้งแรกที่มาเยือน ยิ่งเมื่อเห็นว่าเลือดเนื้อเชื้อไขกำลังนอนคว่ำหน้าหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงหลังกว้าง จากที่แรกตั้งใจว่าจะเร่งรัดทำทุกอย่างให้เสร็จโดยเร็ว ชายหนุ่มกลับผ่อนลมหายใจแล้วปรับจังหวะการเคลื่อนไหวให้ช้าลงโดยไม่ทันรู้ตัว

“หลอดนี้ครับ” เจ้าของห้องวางเก้าอี้ลงใกล้ ๆ กับแผงหลอดไฟเปล่าบนเพดาน ธามจึงไม่พูดพล่ามทำเพลง ปีนขึ้นเก้าอี้แล้วลงมือใส่หลอดไฟหลอดใหม่ทันที

ความเอื้ออารีแบบไม่มีสาเหตุทำให้คเชนทร์อดนึกถึงโจ๊กถุงเมื่อเช้าไม่ได้ ดังนั้นระหว่างที่อีกฝ่ายกำลังเปลี่ยนหลอดไฟ เจ้าของร้านดอกไม้จึงเปรยขึ้นเบา ๆ “ขอบคุณสำหรับโจ๊กนะครับ”

“คุณไปขอบคุณม้าเองเถอะ ม้าบอกให้ผมซื้อมาฝากคุณ”

“อ้อ... ครับ” ฟังแล้วก็อดหน้าเจื่อนไม่ได้ เจ้าของร้านดอกไม้ละสายตาจากเรือนร่างสูงใหญ่ของช่างไฟมือสมัครเล่นแล้วเกาต้นคอแก้เก้อ

“วันนี้เวลากินข้าวกี่จาน”

อยู่ ๆ อีกฝ่ายก็ถามถึงเรื่องที่คเชนทร์สนใจ รอยยิ้มที่เพิ่งจางไปจึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าหมดจดชวนมองอีกครั้ง “สองจานครับ แกชอบไข่ยัดไส้น่าดูเลยครับ”

“อืม” ธามเม้มปากกลั้นยิ้มเมื่อรู้ว่าบุตรชายโปรดปรานอาหารที่ตนเองทำ ชายหนุ่มปรับสีหน้าราบเรียบก่อนจะก้มหน้าลงมองหาฝาครอบหลอดไฟตามส่วนต่าง ๆ ของห้อง “ที่ครอบล่ะคุ...”

“นี่ครับ” คเชนทร์ยื่นสิ่งที่ธามมองหาส่งให้โดยไม่ปล่อยให้เจ้าตัวชะเง้อคอรอนาน

“ขอบคุณมากนะครับ ค่าหลอดไฟเท่าไรเหรอครับ” ทันทีที่เจ้าของร้านขนมปังลงมายืนข้าง ๆ กัน หนุ่มผมยาวก็ตั้งท่าจะเดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์ตรงข้างหัวนอน

ธามเช็ดมือกับเสื้อพลางบอกปัดเรียบ ๆ “ไม่ต้องหรอก”

“แต่ผ...”

คู่สนทนาไม่ฟัง แถมเจ้าตัวยังเดินไปหยุดตรงข้างเตียงแล้วยืนทอดสายตามองเลือดเนื้อเชื้อไขอย่างเป็นกังวล เห็นดังนั้น คเชนทร์จึงหลุดปากพูดสิ่งที่คิดออกไปโดยไม่ทันหักห้ามใจ “ถ้าคุณมีเรื่องอยากระบาย คุณเล่าให้ผมฟังได้นะครับ”

ธามเพียงระบายลมหายใจหนัก ๆ ทว่าไม่เอื้อนเอ่ยถ้อยคำ แต่เมื่อเจ้าตัวหันมาประสานสายตาด้วย อะไรบางอย่างในดวงตาคู่นั้นกลับเร่งเร้าเจ้าของร้านดอกไม้ให้รีบยื่นข้อเสนอที่อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะปฏิเสธ “ลงไปล้างมือแล้วนั่งพักกินน้ำเย็น ๆ สักแก้วก่อนดีไหมครับ”  

••• TBC ••


สวัสดีค่ะ เรากลับมาประจำการแบบเต็มตัวแล้วเด้อ คิดถึงคนอ่านทุก ๆ คนมาก ๆ เลยค่า
ถึงตอนล่าสุดนี้เนื้อหาจะยังเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ แต่ แต่ แต่...
ใครที่รอให้ลุงไซด์ไลน์รุกทู นับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ลุงแกสลัดตะไคร่แล้วไหวตัวบ้างแล้วน้า
ส่วนใครที่รอเวลากับปลาวาฬ ต้องขออภัยด้วยนะคะ เพราะช่วงนี้เป็นงานฝั่งพ่อ ๆ จริง ๆ ค่ะ
อดทนอีกสักสองสามตอนนะคะ รับรองว่าจะรีบพาเด็ก ๆ กลับมาสร้างความสดใสให้ทุก ๆ คนโดยเร็วที่สุดค่ะ



No comments:

Post a Comment