#27
จะไปในทันใด จะไปยืนเคียงข้างเธอ
ไปอยู่ดูแลเป็นเพื่อนเธอ ให้เธอหมดความกังวลใจ
จะไปในทันใด จะตรงไปจะใกล้ไกล
ถ้าหากเป็นเธอจะรีบไป ให้เธอได้ความสบายใจ
ด้วยรักและผูกพัน - เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์
…………………………………………………………………………………………………………
ขณะกำลังจะไขกุญแจเข้าห้องพัก คิมหันต์ก็พลันชะงักเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าสลับกับเสียงหอบหายใจดังห่างออกไปไม่ไกล
แม้ทางเดินยาวรอบโรงแรมซึ่งถูกล้อมด้วยกำแพงสูงจะมอบความเป็นส่วนตัวให้ผู้เข้าพักแรม
ทว่าหากใครเกิดอุตริส่งเสียงดัง
เสียงเหล่านั้นก็จะถูกผนังสะท้อนให้ยิ่งกึกก้องทั้งที่ไม่ตั้งใจ แน่นอนว่าหลังตวัดสายตาเหลือบมอง หนาวก็พบกับเจ้าของฝีเท้าเร่งรีบที่ว่า
วิทยาก้าวฉับ ๆ
สลับกับสอดส่ายสายตามองไปตามซอกหลืบต่าง ๆ อย่างลุกลี้ลุกลน ทันทีที่ทั้งคู่ประสานสายตากัน
อีกฝ่ายก็ปราดเข้ามาหาด้วยสีหน้าโล่งอกราวกับเพิ่งเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ “เมื่อกี้คุณหนาวเห็นพี่บูมไหมครับ”
“ไม่ครับ”
ฟังคำตอบแล้ว สีหน้าของไวท์ก็เปลี่ยนเป็นหงิกงอไม่น่าดูชมเสียเดี๋ยวนั้น
“อ๋อครับ ขอตัวนะครับ” เจ้าตัวตัดบทเรียบง่ายก่อนจะวิ่งผ่านคิมหันต์ไปอีกทาง
ท่าทีรีบเร่งเร่งเคร่งเครียดของวิทยาที่เกี่ยวพันกับปุริมชวนให้หนาวอดสังหรณ์ใจไม่ได้
ชายหนุ่มแขวนถุงขนมไว้กับลูกบิดประตูแล้ววิ่งไปอีกทาง
ทว่าเนื่องจากมีสระว่ายน้ำกั้นกลาง การจะไปยังห้องพักอีกฝั่ง ไม่วิ่งย้อนไปทางล็อบบี้
เขาก็ต้องวิ่งอ้อมสวนหย่อมอีกด้านอยู่ดี ห้องเบอร์สามสิบแปดในวินาทีนี้จึงไกลสำหรับการเดินเท้าทั้ง
ๆ ที่หากว่ายน้ำข้ามไป จะใช้เวลาเพียงสองนาทีเท่านั้น
จังหวะที่หนาววิ่งตัดสวนฝั่งลงทะเล เขาก็เหลือบไปเห็นเงาราง
ๆ ตรงช่องประตูลงลานจอดรถของโรงแรม... แม้เงาตะคุ่ม ๆ นั่นจะดูคุ้นตา แต่เพราะปักใจกับการต้องไปห้องพักหมายเลขสามสิบแปดให้จงได้
สองขาจึงวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่ละล้าละลัง
“ทู... ทู ทูอยู่ในห้องหรือเปล่า
เปิดประตูให้พี่หน่อย!”
คิมหันต์เคาะประตูพลางตะโกนเรียกเจ้าของชื่ออยู่นานสองนาน
กระนั้นกลับไม่มีเสียงขานรับ ชายหนุ่มจึงกระหน่ำโทรหาอีกฝ่ายหลายต่อหลายรอบ แต่แม้จะโทรติดทุกครั้ง
เจ้าของเครื่องกลับไม่รับสาย หนำซ้ำเมื่อลองแนบหูกับบานประตู กระทั่งเสียงเรียกเข้าที่ดังขนาดสามารถปลุกพวกเขาให้สะดุ้งตื่นขึ้นเมื่อตอนเย็นก็ยังไม่ได้ยินสักแอะ
“ไปไหนนะทู” หนาวตัดสายแล้วโทรออกอีกครั้งพลางเดินงุ่นง่านอยู่ตรงหน้าบานประตู
สมองครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ไปต่าง ๆ นา ๆ ทว่าอยู่ ๆ ภาพเงาที่เห็นตอนวิ่งผ่านสวนเมื่อครู่ก็โผล่เข้ามาก่อกวนห้วงความคิด...
หรือว่าเมื่อกี้จะเป็นแฟนของเขากัน?!
••••••
เพราะขยับตัวแทบไม่ได้ ผมเลยต้องกลอกตามองไปรอบ
ๆ จนลูกตาแทบหลุดออกจากเบ้า ผมไม่รู้ว่าไอ้พี่บูมคิดอะไรอยู่
แต่การที่มันปิดปากพร้อมล็อกคอผมแล้วลากให้เดินตามกันลงมาถึงทางเดินลงทะเลด้านข้างโรงแรม ซึ่งแม้จะมีไฟทาง ทว่ากลับเปิดเพียงบางดวง
หนำซ้ำข้าง ๆ ยังเป็นที่ดินรกร้าง นี่ย่อมไม่มีทางเป็นข่าวดี
ถึงสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นจะวิกฤต แต่ถ้าผมจำไม่ผิด
ถ้าเราเดินผ่านตรงนี้ไปจะเจอกับลานจอดรถของโรงแรม ตรงนั้นมียาม... และดูเหมือนว่าไอ้พี่บูมกำลังพาผมตรงเข้าไปข้างใน ผมจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อหาทางเอาตัวรอด...
ที่สุด เหงื่อที่ผุดยิ่งกว่าตอน้ำก็ช่วยให้ผมก็สะบัดหน้าหนีฝ่ามือไอ้พี่บูมได้สำเร็จ
แน่นอนว่าเมื่อมีโอกาส ผมย่อมต้องร้องแหกปากหาพลเมืองดีเป็นธรรมดา ยอมรับเลยว่าจุด
ๆ นี้ผมสู้แรงไอ้หน้าด้านนี่ไม่ไหวจริง ๆ “ปล่อยผมนะ! ช่วยด้...!?!”
เสียงผมคงดังใช้ได้ ยามเฝ้าลานจอดเลยรถลุกขึ้นทันที
แต่แย่หน่อยที่ไอ้พี่บูมมันคงเห็นเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นผมคงไม่โดนรัดหน้าอกกับตะปบปากแน่นกว่าเดิมหรอก
“อย่าเสียงดังสิทู ชู่ว... ไม่เอาครับ อย่าดื้อกับพี่”
“อื้อ... อื้อ!!” ไม่ใช่เพราะเสียงกระซิบของมันหรอกที่ทำขาผมสั่นพั่บ
ๆ แต่เพราะอยู่ ๆ ไอ้เลวที่จับตัวผมมาดันปลดล็อกรถมันต่อหน้าต่อตา ซ้ำยังดันตัวผมให้เดินอ้อมกระโปรงรถไปฝั่งที่นั่งข้างคนขับอย่างมีนัยยะต่างหากล่ะที่น่ากลัวโคตร
ๆ
ไอ้พี่บูมจะพาผมไปไหน... ไม่ได้
ผมจะขึ้นรถไปกับมันไม่ได้
พอเห็นท่าไม่ดี ผมเลยงัดปลายแขนขึ้นกระตุกสายหนังย้อย
ๆ ที่เป็นส่วนหางของพวงกุญแจห้อยกุญแจรถยนต์ที่มันถืออยู่ ก่อนจะเขวี้ยงทั้งก้อนนั่นส่ง
ๆ ไปทางพงหญ้า
“เฮ้ย?!”
“อื้อ อื้อ!” ผมคงยั่วโมโหไอ้พี่บูมเข้าเต็มเปา เดาได้จากแรงแขนที่กดบนลำตัว
เวร... ขืนอยู่แบบนี้นาน ๆ เร็ว ๆ นี้ผมคงจะหายใจไม่ออก
“มีอะไรให้ช่วยไหมครับคุณ” เสียงของยามตะโกนถามมาแต่ไกล
ไอ้พี่บูมก็เสือกรู้ทัน เลยเบี่ยงตัวหันหลังบังผมไว้แล้วเอี้ยวคอกลับไปคุยด้วย
“อ๋อ เพื่อนผมเมาเลยทำกุญแจรถหล่นน่ะครับ พี่จะพอช่วยผมหาหน่อยได้ไหมครับ
พวงกุญแจเป็นแถบหนังสีส้ม ๆ น่ะครับ”
“อื้อ อื้อออ!” หน็อย ตอแหลหน้าด้าน ๆ เห็น ๆ
กันอยู่ว่ามันล็อกคอปิดปากผมอยู่เนี่ย... พี่ยามครับ พี่ยามช่วยผมด้วย!
“ได้ครับ
ไม่ทราบคุณลูกค้าทำกุญแจตกตรงไหนเหรอครับ”
คำตอบของพี่ยามทำผมเข่าอ่อนซ้ำสอง
รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผึ้งกับมธุสรตอนก่อนออกล่าขึ้นมาตงิด ๆ
ซวยแท้ ๆ ... โรงแรมนี้จะบริการลูกค้าดีไปไหน
“น่าจะแถว ๆ นั้นนะครับ พอดีมันกะทันหัน
ผมเลยไม่ทันเห็น” จังหวะที่พี่บูมชี้เป้า ผมพยายามดิ้นรน
แต่จนแล้วจนรอดก็ยังสู้แรงคนโรคจิตไม่ไหว “ผมฝากพี่ช่วยหาหน่อยนะครับพี่ เพื่อนผมมันจะอ้วก
เดี๋ยวผมพาเพื่อนไปเข้าห้องน้ำก่อนแล้วจะเดินกลับมาเอาครับ”
“ครับ ได้ครับ”
“อื้อ อื้อ... อื้อออ!” ถ้าลองแปลเสียงอู้อี้ของผมเป็นคำ คงได้ความว่า ‘ปล่อยผมนะ’ แต่ต่อให้อยากจะพูดอะไร มีหรือที่ไอ้พี่บูมจะแคร์
และเรื่องน่ากลัวยิ่งไปกว่านั้นคือมันกำลังทั้งผลักทั้งดันให้ผมเดินมุ่งหน้าลงทะเล...
เดี๋ยวนะ ทะเลเหรอ?!
ยิ่งใกล้ทางลงทะเลมากเท่าไร ผมก็พยายามเบือนหน้าเหลือบมองตามแสงไฟด้านข้างบีชบาร์ของโรงแรมอย่างเอาเป็นเอาตาย
เจ้าประคุณ ขอให้มีใครสักคนอยู่แถว ๆ นั้นตอนที่ผมกำลังจะเดินผ่านด้วยเถอะ
“ทูครับ ยังไม่ลืมใช่ไหมว่าพี่เป็นยังไงเวลาโมโห”
ผมล้มเลิกความตั้งใจลงทันที เพราะสถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายกว่านี้ถ้าผมไม่ให้ความร่วมมือกับคนผี
ๆ ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้อย่างไอ้พี่บูม
ไม่กี่อึดใจให้หลัง ผมก็โดนลากถูลู่ถูกังลงไปเหยียบพื้นทรายจนได้
แต่เราเดินกันไปได้ไม่ไกล เพราะถ้าจะไปต่อจริง ๆ
ไอ้พี่บูมคงต้องลอยคอแล้วลากผมข้ามเวิ้งน้ำกว้าง ๆ ข้างหน้าที่ไม่รู้ว่าลึกมากไหม สุดท้าย
มันเลยฉุดตัวผมให้หยุดอยู่ตรงหน้าบังกะโลร้างซึ่งเป็นจุดที่แสงไฟจากบาร์หลาย ๆ
แห่งริมทะเลสาดมาไม่ถึง ผมเพิ่งรู้นี่เองว่าริมทะเลที่ไม่มีแสงไฟมันมืดมาก แถมเพราะน้ำเพิ่งลดระดับลงได้ไม่นาน
เลยไม่มีใครออกมาเดินเพ่นพ่านทำมิวสิกเลยสักคน
โธ่เอ๊ย แล้วผมจะเอาตัวรอดจากตรงนี้ยังไงล่ะวะ
(...ยินดีที่ไม่รู้จัก ไม่รู้จัก
แค่รู้ว่ารักก็พอใจ แค่คำว่าไม่รู้จัก ไม่รู้จัก รักเราก็ไม่ได้น้อยลงจริงไหม
แค่มีเธอใกล้ๆ มันก็ใช่ ที่สุดแล้ว...)
จังหวะที่กำลังจะถอดใจ อยู่ ๆ มือถือในกระเป๋ากางเกงก็แผดเสียงดังลั่น
ทว่าพร้อมกันนั้นเอง ไอ้พี่บูมก็ยิ่งกดน้ำหนักมือปิดปากปิดจมูกผมจนผมเริ่มสูดลมหายใจไม่สะดวก
“ทู ฟังพี่นะ” เสียงกระซิบขู่ของพี่บูมดังติดหูผม
“ถ้าทูไม่โวยวาย พี่จะเอามือออกจากปากทู ตกลงไหม”
“อื้อ อื้อ!” ผมรีบผงกหัวรับทันควัน อย่างน้อย ๆ ก็หมดห่วงเรื่องที่จะหายใจไม่ออกล่ะนะ
“อย่าตุกติกนะทู รู้ใช่ไหมว่าพี่ทำอะไรได้บ้าง”
“อื้อ อื้อ!” พอตกลงกันได้ ริมฝีปากผมก็เป็นอิสระในที่สุด ผมสูดหายใจเฮือกใหญ่แล้วพ่นคำถามใส่แฟนเก่าทันควัน
“พี่พาผมมาที่นี่ทำไม”
“เราต้องคุยกันนะทู”
โอ้โห ยังจะกล้าพูด... เห็น ๆ
กันอยู่ว่าเจตนาไม่ดี แล้วใครมันจะอยากคุยด้วยวะ
“ไม่! ผมจะกลับโรงแรม” ผมสวนกลับทันควัน
ก่อนโดนลากออกมา ผมนัดกับพี่หนาวไว้ ถ้าไม่รีบกลับไป
ลุงจะต้องเป็นห่วงแน่ ๆ แล้วไหนจะโทรศัพท์ที่ดังไม่หยุดนี่อีกล่ะ ใจผมน่ะอยากจะล้วงออกมาคุยให้มันจบ
ๆ แต่ติดว่ารับสายไม่ได้ ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าผมยิ่งร้อนใจเพราะหลาย ๆ
เรื่องเสือกประดังประเดขึ้นพร้อมกันในเวลาที่สารร่างยังติดแหง็กอยู่กับไอ้เหี้ยพี่บูม...
ฮ่วย!
“ทู คุยกับพี่ก่อนเถอะนะ พี่ขอร้อง” มันพูดพลางลากผมเข้าไปหลบตรงซอกข้างกำแพงบังกะโลร้างที่น่าจะเป็นมุมอับ
สาบานเลยว่าไม่ได้มโน แต่ผมได้ยินเสียงไอ้พี่บูมหอบหายใจ แถมมันยังมองซ้ายมองขวาหลุกหลิกไม่หยุด
ถ้าเดาไม่ผิด
เสียงเรียกเข้าจากมือถือผมกำลังก่อกวนจนไอ้พี่บูมเริ่มล่ก
ผมเลยเพ่งมองหาอะไรบางอย่างบนพื้นทราย เผื่อจะใช้แทนอาวุธได้ เพราะถ้าหากสุดท้ายแฟนเก่าเกิดโมโหจนบ้าเลือด
ผมจะได้ไม่เจ็บตัวอยู่ฝ่ายเดียว
“ผมจะคุยกับพี่ก็ต่อเมื่อเรากลับไปนั่งคุยกันดี ๆ
ที่โรงแรม” ผมต่อรองก่อนจะพยายามขัดขืนอีกครั้งแต่ก็ยังไม่ได้ผล
แถมไอ้พี่บูมยังรัดผมแน่นกว่าเมื่อครู่
“ไม่ได้ เราต้องคุยกันตรงนี้ให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้!”
“ผมไม่มีอะไรจะคุยกับพี่” หลังโดนรัดจนเริ่มจะหายใจไม่ทั่วท้อง
เรี่ยวแรงก็ค่อย ๆ ลดลง ผมเลยพักยืนพลางคิดหาจังหวะพลิกฟื้นสถานการณ์ “ปล่อยผมนะ
ไม่งั้นผมร้องให้คนช่วยจริง ๆ ด้วย”
“ถ้าทูร้อง อย่าหาว่าพี่ไม่เตือนนะ”
“นี่พี่เป็นบ้าไปแล้วเรอะ” ผมหลับตาสูดลมหายใจเรียกสติเพื่อใคร่ครวญถึงทางออก
แต่ดูจากหน้างานแล้ว การจะหุนหันเล่นบทบู๊ดูจะเป็นไปได้ยาก เพราะนอกจากผมจะไม่สู้คนเป็นทุน
ไอ้พี่บูมก็เสือกไม่ได้แค่ตัวใหญ่ไปงั้น ๆ ยิ่งเวลามันโกรธจนบ้าพลัง ใครก็อย่าได้ขัดใจเชียว
ในเมื่อต่อต้านอีกฝ่ายก็ยิ่งใช้ความรุนแรง
ผมเลยรีบเปลี่ยนท่าที “ถ้างั้นเรากลับไปนั่งคุยกันที่โรงแรมได้ไหม” ผมจงใจทอดเสียงอ่อน
“ทู เรากลับมาคบกันเถอะนะ”
ทั้งที่รังเกียจจนไม่อยากเห็นกันให้เป็นเสนียดสายตา
แต่ประโยคเมื่อครู่ดูจะเกินเบอร์ไปมาก ผมเลยอดเช็กหนังหน้าไอ้พี่บูมไม่ได้...
คนอะไรวะ หน้าด้านไม่พอยังพูดจาภาษาคนไม่รู้เรื่องอีกต่างหาก
“พี่บูม ผมอยากกลับโรงแรม” พูดยังไม่ทันจบผมก็สะดุ้งโหยงเพราะโทรศัพท์ที่เพิ่งเงียบไปเริ่มส่งเสียงโหวกเหวกอีกครั้ง
“เรากลับโรงแรมก่อนเถอะนะครับ กลับไปคุยกันที่นั่นเถอะนะ” ถ้าผมเกลี้ยกล่อมสำเร็จแล้วไอ้พี่บูมยอมกลับไปนั่งคุยกันที่โรงแรมก็ดี
อย่างน้อย ๆ พี่หนาวก็น่าจะหาผมเจอง่ายกว่ายืนหลบมุมมืดตรงที่ลับตาเป็นไหน ๆ
“ไม่! ถ้าทูไม่รับปากพี่ว่าเราจะกลับมาคบกัน
พี่ก็จะไม่ปล่อยทูไป!”
โอ๊ย เร้าหรือรุงรังมาก สมองกลับหรือไง
ทำไมถึงคิดว่าคนอื่นจะต้องอยากกลับไปคบด้วย นิสัยก็แย่เกินเยียวยาแถมยังนอกใจแฟนเป็นว่าเล่น
แล้วคนสติดีที่ไหนจะยอมให้มันสนตะพายแล้วป้อนหญ้าขนใส่ปากกันล่ะวะ
“พี่บูม ผมไม่ได้รักพี่แล้ว ต่อให้ผมกลับไป
ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก”
“ไม่เป็นไร แค่ทูยอมกลับมา
พี่สัญญาว่าพี่จะแก้ตัว พี่จะเป็นแฟนที่ดี พี่จะรักทูคนเดียว”
“แต่ผมรักพี่หนาว” เสียงเรียกเข้าดังอีกแล้ว
และผมเริ่มจะแน่ใจว่าคนที่โทรมาน่าจะเป็นพี่หนาว ผมเลยเริ่มดิ้นรนอีกครั้ง
“พี่ไม่เชื่อ!”
“จะไม่เชื่อก็เรื่องของพี่ แต่ผมรักพี่หนาว”
“พี่ไม่เชื่อ ทูรักพี่ ทูแค่อยากเอาชนะพี่
อยากสั่งสอนพี่เรื่องเมธ ทูเลยโกหกว่าทูรักคนอื่น”
“โว้ย! ผมรักพี่หนาว ไม่ได้รักพี่
พูดไม่รู้เรื่องหรือไง”
“ทูรักพ...โอ๊ย!”
เมื่อการเจรจาไม่เป็นผล คนที่โดนยั่วโมโหจนเป็นบ้าเลยเขย่าตัวผมเสียจนหัวสั่นหัวคลอน
ผมเองก็สวนด้วยการตอกส้นใส่หลังเท้ามันไปเต็ม ๆ แต่ก็นั่นแหละ ผมมีแรงแค่นั้นจะโดนมันรัดคอกลับจนแทบจะหายใจไม่ออกก็คงไม่แปลก
ทว่าก่อนจะเพลี่ยงพล้ำจนเสียท่า ผมก็เหวี่ยงแขนกระแทกปลายศอกถองเข้าลิ้นปี่มันอย่างจังจนมันเผลอปล่อยมือ
จังหวะนั้นเอง ผมก็รีบใส่ตีนหมาตั้งหน้าโกย แต่เพราะพื้นมันเป็นทรายยวบ ๆ สูง ๆ
ต่ำ ๆ ย่ำหนีไปได้ไม่กี่ก้าว เข่าผมก็อ่อนจนเสียหลักล้มลงกองกับพื้นอย่างน่าสมเพช
“พี่บอกกี่ทีแล้วว่าพี่ไม่ชอบเด็กดื้อ หือทู!” ไอ้พี่บูมที่เพิ่งตั้งตัวได้ย่างสามขุมเข้ามาหาด้วยสีหน้าทะมึน
เห็นแบบนั้นผมเลยรีบยืนพลางถอยกรูด
“ผมรักพี่หนาว ผมไม่ได้รักพี่!”
ยิ่งผมพูด อีกฝ่ายก็ยิ่งดูโมโห พี่บูมสาวเท้าเข้ามาแล้วง้างมือขึ้นจนสุด
ผมที่ไม่รู้วิชาแม่ไม้ใด ๆ เลยยกแขนขึ้นป้องหน้าพลางหลับตาปี๋ แต่ก่อนจะโดนหมัดซ้ายทะลวงไส้
หูผมก็ได้ยินเสียงตุบตับใกล้ ๆ ก่อนจะเป็นพี่บูมที่กรีดร้องเสียงตุ๊ดแตกในเสี้ยวอึดใจให้หลัง
“โอ๊ย!!”
ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทันทีที่ลืมตา ผมก็เห็นพี่หนาววิ่งเข้ามาหาพร้อมสีหน้าตื่นตกใจระคนโล่งอก
“ทู... ทูไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
“พี่หนาว!” บ่อน้ำตาผมเกือบแตกหลังได้เห็นหน้าลุงไซด์ไลน์อีกครั้ง
วินาทีที่รับรู้ถึงความปลอดภัย ผมก็โผเข้าใส่แล้วกอดอีกฝ่ายเอาไว้แน่น ฮือ...
พี่หนาวมาแล้ว พี่หนาวมาช่วยผมแล้ว
“ทูไม่รับสายพี่ พี่เลยวิ่งออกมาดู”
อ้อมกอดอบอุ่นกับกลิ่นหอมเย็น ๆ ที่โอบล้อมรอบตัวปลอบขวัญผมได้ในพริบตา ผมเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาแม้ในที่มืดของลุงไซด์ไลน์แล้วก็อดโล่งใจไม่ได้
“แล้วพี่รู้ได้ไงครับว่าผมอยู่นี่” ทั้ง ๆ
ที่แอบเผื่อใจไปแล้วแท้ ๆ ว่าเรื่องทั้งหมดอาจจะเลวร้ายกว่านี้
แต่สุดท้ายอีกฝ่ายก็มาช่วยผม
พี่หนาวเลื่อนฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นลูบหัวผมเบา ๆ
พลางคลี่ยิ้มบาง “พี่ตามเสียงมือถือทูมาครับ” ได้ยินแล้วก็อดดีใจไม่ได้ ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน
ผมไม่ได้คิดถึงเขาอยู่ฝ่ายเดียว พี่หนาวเองก็ไม่ปล่อยให้ผมต้องต่อสู้กับปัญหาตามลำพังอย่างที่เจ้าตัวเคยลั่นวาจาเอาไว้จริง
ๆ
“เรากลับกันเถอะครับพี่หนาว”
“เดี๋ยวก่อน พี่อยากคุยกับเขาให้รู้เรื่อง”
พี่หนาวรั้งตัวผมพลางเบือนหน้าไปด้านหลัง ผมเลยทอดสายตามองตามลุงแกไปอย่างห้ามใจไม่อยู่
ก่อนจะพบว่าไอ้พี่บูมกำลังนอนงอก่องอขิงร้องโอดโอยอย่างหมดสภาพอยู่บนพื้นทราย
ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังไม่วางใจร้อยเปอร์เซนต์
“เรากลับกันเถอะนะครับ ผมอยากกลับห้องแล้ว”
“ขอพี่คุยกับเขาก่อนนะครับ” เราสองคนจ้องตากันอยู่สักพัก
แต่เพราะผมพ่ายแพ้ลุงแกมาตั้งแต่ต้น ผมเลยได้แต่พยักหน้าให้ลุงแกอย่างเชื่อง ๆ ไม่เรื่องมาก
“แป๊บเดียวครับ เดี๋ยวพี่พากลับห้องเรานะ” พี่หนาวว่าแล้วก็จับมือจูงผมให้เดินเข้าไปหาไอ้พี่บูมพร้อมกัน
“คุณปุริม คุณทำอะไรของคุณ” ผมไม่รู้ว่าเมื่อกี้พี่หนาวจัดชุดใหญ่อะไรไปบ้าง
แต่น่าจะข่มขวัญไอ้พี่บูมได้อยู่หมัด ไม่อย่างนั้นมันคงไม่รีบฝืนลุกขึ้นทั้ง ๆ
ที่ยังยืนแทบไม่ตรง
“คุณไม่ต้องมายุ่ง! ผมจะคุยกับทู” ไอ้พี่บูมแผดสุดเสียงพลางจ้องตาแฟนผมอย่างเคียดแค้น
เห็นแบบนั้นผมเลยพลอยหัวร้อนตามไปอีกคน... ก็บอกว่าไม่คุยไง
กูไม่มีอะไรจะคุยกับมึงโว้ย!
“ผมต้องยุ่ง เพราะทูเป็นแฟนผม” ว่าแล้วพี่หนาวก็ขยับมายืนบังผมเอาไว้
“ผมกับทู เรารักกัน”
บ้าจริง ทั้ง ๆ ที่สถานการณ์ไม่เป็นใจแต่ผมกลับห้ามตัวเองไม่ให้ยิ้มไม่ได้เลย...
เมื่อกี้พี่หนาวบอกรักผม
ถึงจะเพื่อตอกหน้าไอ้พี่บูมก็เถอะ แต่ทำไงได้ คนมันดีใจนี่นา
“ผมไม่เชื่อ!”
“ผมห้ามคุณเรื่องนั้นไม่ได้ แต่ถ้าคุณยังวุ่นวายกับคนของผมไม่เลิก
ผมกับคุณพันเลิศคงต้องรายงานเรื่องนี้ให้คุณจี๊ดทราบ
ผมคิดว่าคุณจี๊ดคงไม่ปล่อยให้คอนซัลท์เพียงคนเดียวทำให้โปรเจคมีปัญหาแน่ ๆ
อีกอย่าง ผมมั่นใจว่า ถ้าทางผมขอ คุณจี๊ดน่าจะหาที่ปรึกษาระบบงาน FI คนใหม่ให้ได้ภายในระยะเวลาไม่กี่วัน”
ผมแทบไม่ได้สนใจเลยว่าหลังจากนั้นพี่หนาวพูดอะไรกับพี่บูมบ้าง
ความรู้สึกอุ่นซ่านในอกทำผมหูอื้อตาลายได้ยินแต่เสียงวิ้ง ๆ ก้องในหัว
ผมกวาดตามองแผ่นหลังกว้างข้างหน้าแล้วค่อย ๆ เลื่อนกรอบสายตาไปยังหัวไหล่ เรื่อยลงไปยันฝ่ามือข้างที่สอดประสานนิ้วทั้งห้าเอาไว้กับมือข้างขวา
ก่อนจะหลับตาแล้วซบหน้าลงกับบ่าหนาพลางสูดดมกลิ่นหอมเย็นเป็นเอกลักษณ์นั่นจนเต็มปอด
“ถ้าที่สุดคุณยังพูดไม่รู้เรื่อง
และคุณจี๊ดห้ามคุณไม่ได้ ผมคงต้องแจ้งความ”
ผมหลุดออกจากภวังค์หลังพี่หนาวฉุดมือผมเบา ๆ “ไปครับทู กลับกันเถอะ”
“ครับ” ผมพยักหน้ารับแล้วก้าวขาตามอีกฝ่ายอย่างมั่นคง
จังหวะที่เดินผ่านพี่บูม
ผมยังคงเห็นสายตาเจ็บแค้นกึ่ง ๆ ถือดี แต่ลึก ๆ ผมกลับแน่ใจว่าคราวนี้อีกฝ่ายจะยอมยกธงขาวเป็นการถาวร
เพราะเหตุผลแรกเริ่มที่ทำให้ผมหวั่นไหวและเกิดสนใจในตัวพี่บูมทั้งที่ไม่เคยคิดเรื่องมีแฟน
ก็เพราะเจ้าตัวหลงใหลและทุ่มเทใจให้งานเต็มร้อยนั่นเอง
ต่อให้ขี้เอาหรือหน้ามึนเบอร์ไหน ผมก็ยังเชื่อว่า
ไอ้พี่บูมไม่มีทางเอาอนาคตการทำงานมาแลกกับคนหมดใจอย่างผมหรอก
“ผมหวังว่าจะไม่มีครั้งหน้าอีก” พี่หนาวเอ่ยทิ้งท้ายก่อนจะเดินโอบไหล่ผมจากมา
แต่ระหว่างกำลังเดินกลับไปที่โรงแรม พวกเราก็เห็นคุณไวท์วิ่งสวนไป
หลังจากนั้นไม่ถึงอึดใจ เสียงคนทะเลาะกันล้งเล้งก็ลอยมาตามลม ผมจำเสียงหนึ่งในนั้นได้ดี
เพราะมันเป็นเสียงเดียวกับเสียงที่เพิ่งตะโกนข่มขู่พวกผมไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนนี่เอง
••••••
ขณะเดินเข้ามาในร้านดอกไม้เพื่อมารับเวลากลับบ้าน
ธามพบว่าตรงด้านหน้าร้านมีบันไดอลูมิเนียมแบบพับได้ถูกกางทิ้งขว้างขวางทางเข้าออก
ไม่เท่านั้น บรรยากาศภายในร้านยังอึมครึมผิดจากทุกวัน ที่สำคัญ เมื่อมองไปรอบ ๆ
กลับไร้วี่แววของหนุ่มผมยาวเหมือนทุกที พ่อหม้ายวัยยี่สิบปลายจึงตัดสินใจเดินเลี่ยงไปนั่งดูลูกชายที่นอนหลับอยู่บนฟูกใกล้ๆ
โซฟาซึ่งเป็นสถานที่ประจำของทั้งคนและสองแมวเพื่อฆ่าเวลารอบอกลาคเชนทร์ตามมารยาท
“...เฮ้อ...” เจ้าของร้านขนมปังลูบกระหม่อมลูกชายเบา
ๆ พลางส่ายหัวอย่างอ่อนใจ ไอ้ที่เคยสั่งห้ามไม่ให้กาลกมลเอาแมวส้มขึ้นไปนอนด้วยกันบนห้อง
ผลสุดท้ายเจ้าตัวกลับต้องมานอนกลิ้งเกลือกบนพื้นเพื่อเฝ้าแมวสองตัวเกือบทุกวัน หนำซ้ำยังเป็นพื้นในบ้านคนอื่นเสียอีก
เสียงซอยเท้าย่ำเร็ว ๆ ที่ดังมาจากชั้นสองดึงสายตาชายหนุ่มจากเลือดเนื้อเชื้อไขในบัดดล
ผู้มาเยือนเห็นคเชนทร์ถือหลอดไฟกลมติดมือลงมาด้วย เห็นดังนั้น ธามจึงเหลือบไปมองบริเวณหน้าร้านอีกครั้งอย่างถ้วนถี่ก่อนจะเปรยขึ้นลอย
ๆ “จะเปลี่ยนหลอดไฟเหรอคุณ”
“ครับ” เจ้าของร้านดอกไม้ยิ้มบางพลางตวัดสายตาขึ้นแผงวงจรบนเพดานอย่างอ่อนใจ
“พอดีตอนทำร้านดวงนี้มันยังติดอยู่ ช่างก็เลยไม่ได้เปลี่ยนให้”
เห็นใบหน้าขึ้นสีที่มีเหงื่อผุดพรายของอีกฝ่ายแล้ว
ธามก็เดินไปยกบันไดมาตั้งใกล้ ๆ กับตำแหน่งของแผงวงจรก่อนจะปีนขึ้นไปแล้วถอดหลอดไฟหลอดเก่ายื่นให้เจ้าของร้านดอกไม้อย่างถือวิสาสะ
“ส่งหลอดไฟมาสิ”
“ครับ” แม้จะแปลกใจ แต่คเชนทร์ก็ไม่ได้โต้แย้ง
เขายื่นหลอดไฟส่งให้อีกฝ่ายง่าย ๆ จากนั้นจึงรับหลอดไฟเก่ากลับมาเป็นการแลกเปลี่ยน
ธามเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อรับหลอดไฟไปถือไว้
เขาไม่พูดอะไรอีกจนกระทั่งใส่หลอดไฟลงในแผงวงจรเรียบร้อยแล้ว
“คุณไปถอดหลอดไฟข้างบนมาเหรอ”
“ครับ ใช้แก้ขัดไปก่อน
เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยแวะไปซื้อมาใส่ของข้างบนน่ะครับ”
คนที่ยังยืนปักหลักอยู่บนบันไดยักไหล่คล้ายไม่ใส่ใจ
“คุณลองไปเปิดไฟดู”
“ขอบคุณนะครับ”
คเชนทร์คลี่ยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นดวงไฟส่องสว่าง อย่างน้อย ๆ จนกว่าจะต้องเปลี่ยนหลอดไฟอีกครั้ง
เขาก็ไม่ต้องเป็นกังวลว่ากาลกมลจะเสียสายตาเพราะต้องเพ่งหาแมวในที่ที่แสงไม่พอ
“ส่งที่ครอบมาสิ ผมจะใส่ให้” พอยืนอยู่บนที่สูง
เมื่อมองลงมา ธามจึงเห็นฝาแก้วครอบหลอดไฟเพดานวางอยู่บนโต๊ะกินข้าวอย่างง่ายดาย
พ่อหม้ายจึงชี้นิ้วบอกใบ้ภารกิจถัดไปทันที
“ไม่เป็นไรครับ” คนพูดคลี่ยิ้มอย่างเกรงใจพลางโบกมือโบกไม้เป็นพัลวัน
“ปล่อยไว้อย่างนี้ก่อนก็ได้ เดี๋ยวไว้เปลี่ยนหลอดไฟใหม่แล้วผมค่อยใส่ที่ครอบทีเดียว”
เพราะใช้ชีวิตตามลำพังมาเนิ่นนาน คเชนทร์จึงติดนิสัยทำทุกอย่างตามความสะดวกเป็นสำคัญ
ดังนั้น การต้องปีนบันไดพับหลาย ๆ
รอบเพื่อเปลี่ยนหลอดไฟที่ใกล้สิ้นอายุขัยจึงจุกจิกเกินไปจริง ๆ
ธามไม่ตอบหากแต่ก้าวฉับ ๆ
ลงมายืนบนพื้นก่อนจะเดินดุ่ม ๆ ผ่านโซฟาไปหยิบครอบแก้วติดมือกลับมา หนำซ้ำยังปีนกลับขึ้นไปติดฝาครอบหลอดไฟให้อีกครั้ง
ฝั่งคเชนทร์เองก็แค่รู้สึกแปลก ๆ ทว่าสุดท้ายกลับไม่ได้ติติงความปรารถนาดีแบบเบ็ดเสร็จของอีกฝ่าย
“ล้างมือได้ที่ไหนบ้าง” พ่อของเวลาชูมือขึ้นห่างจากตัวแล้วโบกไปมา
เจ้าของร้านดอกไม้อมยิ้มพลางบุ้ยใบ้ให้คนเกิดทีหลังมองไปยังบริเวณครัวด้านหลังร้าน
“ตรงอ่างล้างจานครับ ข้าง ๆ
ขวดน้ำยาล้างจานมีสบู่ล้างมือครับ ใช้ได้”
“อืม” ธามรับคำสั้น ๆ ก่อนจะก้าวฉับ ๆ
ผ่านหน้าไป คเชนทร์มองตามอีกฝ่ายไม่วางตา จวบจนเมื่อเห็นแผ่นหลังกว้างนั่นใกล้ ๆ
ภาพเหตุการณ์เมื่อตอนบ่ายก็ผุดขึ้นในห้วงคำนึงอีกครั้ง
“ถ้าคราวหน้าอาม่าทำพะโล้อีก
ช่วยตักเห็ดหอมใส่มาเยอะกว่านี้สักหน่อยได้ไหมครับ เวลาชอบมาก
แกกินเกลี้ยงเลยครับ” ลึก ๆ แล้ว คเชนทร์นึกอยากจะไต่ถามถึงความรู้สึกของอีกฝ่าย แต่เพราะไม่รู้จะเริ่มต้นบทสนทนาอย่างไร
เจ้าของร้านดอกไม้จึงเล่าถึงเหตุการณ์น่าสนใจเมื่อช่วงเย็นให้ธามฟัง ซึ่งในระหว่างนั้นเอง
เจ้าตัวก็ เดินไปหยิบปิ่นโตที่ล้างแล้วคว่ำไว้มาประกอบเข้าเถาไปพลาง
ๆ คนที่ล้างมืออยู่ชะงักนิ่ง ก่อนที่มุมปากทั้งสองข้างจะบิดเป็นรอยยิ้มบางเบา
“งั้นเหรอ” เวลาชอบพะโล้ที่เขาทำ
“ครับ
วันนี้แกขอผมเติมข้าวเพิ่มอีกจานนึงเพราะจะกินพะโล้ให้หมดน่ะครับ”
“อืม” พอนึกภาพตาม
ธามก็หลุดยิ้มอีกครั้ง... สงสัยต้องแวะไปเยาวราชบ่อย ๆ
หน่อยจะได้แวะไปซื้อเห็ดหอมแห้งมาติดบ้านไว้
พ่อหม้ายเอื้อมมือไปปิดก๊อกน้ำ ทว่าระหว่างที่เช็ดมือกับชายเสื้อลวก
ๆ หางตาก็เหลือบไปเห็นเจ้าของร้านดอกไม้ชี้นิ้วไปยังผ้าขนหนูสีขาวสะอาดที่แขวนอยู่เหนือซิงค์
ชายหนุ่มจึงหลุดหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะย้ายไปเช็ดมือกับผ้าผืนนั้นเงียบ ๆ
ทันทีที่มือแห้ง เขาก็หมุนตัวเดินกลับไปอุ้มเลือดเนื้อเชื้อไขขึ้นจากพื้นอย่างนุ่มนวล
ฝ่ายคเชนทร์ที่เห็นสองพ่อลูกกำลังจะก้าวออกจากร้านก็รีบหิ้วปิ่นโตเถาเล็กแล้วก้าวฉับ
ๆ ไปดักหน้าไว้อย่างทันท่วงที
“นี่ครับ”
ธามปรายตามองของในมือหนุ่มผมยาวพลางเอ่ยอย่างไม่ใคร่จะใส่ใจ
“ผมฝากไว้ก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้ตอนพาเวลามาส่งแล้วผมค่อยเอากลับไป”
“อ้อ ได้ครับ” แม้ประโยคนั่นจะชวนให้คนฟังหน้าม้านไปบ้าง
แต่เมื่อคิดอีกที คเชนทร์ก็ฉีกยิ้มกว้างพลางพยักหน้ารับอย่างเต็มอกเต็มใจ ไม่เป็นไร
ถึงเมื่อกี้จะเสียฟอร์มนิด ๆ แต่เมื่อตระหนักว่า การมานั่งเล่นที่ร้านดอกไม้ของเวลาได้กลายเป็นกิจวัตรที่ทั้งสองบ้านเปิดใจยอมรับ
เขาก็ลืมเรื่องน่าอับอายไปเสียสิ้น
••••••
“หายตกใจหรือยัง”
“ดีขึ้นแล้วครับ”
ผมเสหลบตาพลางแค่นยิ้มเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจขณะคว่ำมือถือลงข้างตัว
พอพวกเรากลับมาถึงห้องพัก พี่หนาวก็ขอตัวเข้าห้องน้ำ
ผมจึงอาศัยจังหวะนั้นรีบส่งไลน์ไปบอกน้องรูมเมตว่าจะไปนอนกับเพื่อนที่ห้องอื่น ก็เพิ่งจะมีตอนนี้นี่แหละที่เราทั้งคู่อยู่ในสภาวะพร้อมถกปัญหาที่กันเสียที
ผมจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาของลุงแกอย่างหลงใหลระคนปลาบปลื้ม
“ผมรอคุยกับพี่อยู่”
“ทูอยากรู้เรื่องเมื่อกี้เหรอ” คนพูดดูสดชื่นขึ้นหลายเท่าหลังได้เข้าไปล้างหน้ามาเมื่อครู่
ผมพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะดันกรอบแว่นขึ้นประจำที่
“เรื่องเมื่อกี้แล้วก็เรื่องอื่น ๆ น่ะครับ”
ขากลับมาที่โรงแรม เราสองคนแทบไม่คุยอะไรกันเลยสักคำ
แม้จะไม่รู้ว่าพี่หนาวคิดอะไรบ้างระหว่างพาผมไปเอากระเป๋าที่ห้อง แต่ที่แน่ ๆ
ตัวผมเองน่ะยังไม่หายตกใจจากเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเสียทีเดียว พอมารวม ๆ
เข้ากับบางเรื่องที่เรายังไม่ได้คุยกัน ผมก็พลอยคันปากอยากถามไปเสียทั้งหมด
พี่หนาวเดินไปยกเก้าอี้มาวางตรงข้ามกับผมที่นั่งจ๋องมองแกตาปริบ
ๆ อยู่ตรงปลายเตียง “ทูสงสัยอะไรครับ”
“พี่หนาวรู้ได้ไงว่าผม...”
“พี่เจอไวท์ตอนกำลังจะไขเข้าห้อง เขาตามหาปุริมอยู่
พี่เลยวิ่งไปตามทูที่ห้อง เคาะประตูอยู่ตั้งนานแต่ก็ไม่มีใครเปิดให้ พี่เลยลองโทรไปเผื่อว่าทูจะรับสายพี่”
ผมไม่ทันพูดจนจบประโยค เพราะพี่หนาวชิงเล่าเรื่องฝั่งตัวเองขึ้นเสียก่อน เขาจ้องหน้าผมอย่างเครียด
ๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนที่สายตาคมจะค่อย ๆ อ่อนแสงลงขณะเจ้าตัวคลี่ยิ้มอย่างโล่งใจ “สุดท้ายพี่เลยวิ่งออกไปตรงลานจอดรถแล้วถามยามที่อยู่แถวนั้นเอา
แล้วก็รู้ว่าเขาพาทูไปไหน จริง ๆ ต้องขอบคุณโทรศัพท์ของทูด้วยแหละที่มันยังเสียงดังดีไม่มีตก
พี่เลยหาทูเจอเร็วกว่าที่คิด”
“ขอบคุณนะครับที่ตามไปช่วยผม” อาการขนลุกที่ไล่จากปลายนิ้วขึ้นมายังต้นคอทำเอาผมเผลอลูบแขนตัวเองเบา
ๆ อย่างลืมตัว ไม่อยากนึกเลยว่าถ้าพี่หนาวไม่ตามไป จะเกิดอะไรกับผมบ้าง
“พี่จะไม่ไปช่วยทูได้ยังไง
แฟนพี่ทั้งคน”
งือ... อยู่ ๆ ผู้ก็เปลี่ยนมู้ดเฉยยย
พนันได้เลยว่าหน้าผมตอนนี้จะต้องเสียทรงแรงมาก
เพราะนอกจากจะยังไม่ชินกับการถูกเรียกว่าแฟนซึ่ง ๆ หน้า พอนึกย้อนไปถึงตอนที่พี่หนาวตอกหน้าพี่บูมด้วยเรื่องของเรา
ผมก็ยิ่งเขินทบต้นทบดอกไปกันใหญ่
“แล้วเขาทำอะไรทูหรือเปล่า”
ผมส่ายหัวพลางเรียบเรียงสถานการณ์อยู่ในใจ
“เขาแค่บังคับให้ผมกลับไปคบกับเขาน่ะครับ
ที่เขาทำแบบนี้เพราะไม่เชื่อว่าพวกเราคบกัน
พี่บูมคงคิดว่าผมโกหกว่าคบกับพี่หนาวเพราะอยากเอาชนะเขา
แต่มันไม่ใช่เพราะผมรักพี่หนาวจริง ๆ ”
ภาพแฟนเก่านอนหมดสภาพอยู่กับพื้นบอกผมว่า
จงอย่าได้รื้อฟื้นเรื่องที่ถูกปิดปากและล็อกคอเป็นอันขาด เพราะถ้าพี่หนาวรู้เข้า เขาคงเฉดหัวไอ้พี่บูมส่งออกจากโปรเจกต์ภายในสามวันเจ็ดวัน
ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น ทั้งพี่บูมรวมถึงพี่จี๊ดจะต้องตกที่นั่งลำบากอย่างแน่นอน ผมเลยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นแบบคร่าว
ๆ อะไรไม่ดีก็พูดข้าม ๆ
“ทูอยากให้พี่คุยกับคุณจี๊ดไหม” พูดจบ
พี่หนาวก็เม้มปากจนเห็นลักยิ้ม
สายตาคมที่ดูแวววาวเป็นพิเศษกำลังฟ้องชัดว่าเจ้าตัวรู้สึกชอบใจ... ว่าแต่ทำไมอยู่
ๆ ลุงแกถึงปลื้มปริ่มล่ะ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” ผมเอื้อมไปจับมือพี่หนาวมากุมไว้
“แค่พี่หนาวบอกว่าจะถอดเขาออกจากโปรเจกต์ เขาก็น่าจะไม่ทำอะไรผมแล้วแหละ”
ที่ผมไว้ชีวิตไอ้พี่บูมไม่ใช่เพราะยังตัดใจไม่ได้
แต่เพราะไม่เห็นประโยชน์ของการจองเวรกัน อีกอย่าง เราเหลือเวลาทำโปรเจกต์นี้อีกแค่เดือนกว่า
ๆ ซึ่งเมื่อเทียบกับความเข้มข้นของเนื้องานที่เหลือ
พวกคอนซัลท์ย่อมไม่มีเวลาหายใจทิ้งขว้าง อีกอย่าง ต่อให้นิสัยส่วนตัวไอ้พี่บูมจะเป็นยังไง
แต่ถ้าเป็นเรื่องงาน มันก็ทำถวายหัว บริษัทพี่หนาวไม่ควรสูญเสียคอนซัลท์ดี ๆ
เพียงเพราะเรื่องที่น่าจะอภัยกันได้
“พี่ไว้ใจทูนะ
แต่พี่จะไว้ใจคนอย่างปุริมได้ยังไง”
“...อ่า...” ปริศนาฟ้าแลบแท้ ๆ
ผมไม่รู้ว่าต้องพูดยังไงลุงแกถึงจะวางใจ
เพราะแม้จะมั่นใจเกือบร้อยเปอร์เซนต์ว่าแฟนเก่าคงไม่เอาหน้าที่การงานมาเสี่ยงอีก
แต่ถ้าไอ้พี่บูมยังเจ้าคิดเจ้าแค้นไม่เลิก ก็ไม่มีใครหยั่งรู้ได้ว่าคนอย่างมันจะก่อเรื่องน่าปวดหัวอีกไหม
ทว่าจังหวะที่กำลังกลุ้มใจอยู่นั้น
มือถือผมก็ร้องโวยวายขึ้นอีกครั้ง พอเห็นชื่อเจ้าของเบอร์ ผมก็อดแปลกใจไม่ได้
พี่หนาวเองก็คงจะงงพอกัน ลุงแกเลยเลิกคิ้วมองหน้าผมอย่างสนอกสนใจ
“พี่จี๊ดโทรมาครับ”
“รับสายเถอะ”
ผมพยักหน้าแล้วกดรับแต่ยังไม่ทันได้เซย์ไฮ
คุณอาทิมาก็ชิงเปิดการขายเสียก่อน (ทูอยู่ที่รีสอร์ตหรือเปล่า)
“ครับพี่”
(มาหาพี่ที่บาร์ตรงริมหาดหน่อย
พี่มีเรื่องอยากคุยด้วย)
“ตอนนี้เลยเหรอครับพี่” ยิ่งคุย
ผมก็ยิ่งงง เพราะถ้าเข้าใจไม่ผิดปลายสายน่าจะกำลังมุ้งมิ้งกับคุณพันเลิศอยู่ แต่ครั้นจะมองข้ามคำขอเมื่อครู่
น้ำเสียงซีเรียสที่เพิ่งได้ยินผ่านหูไปหมาด ๆ ก็กวนใจผมอย่างไรบอกไม่ถูก
(ใช่ มาเดี๋ยวนี้เลยนะ พี่รออยู่)
“ครับๆ ได้ครับ” กระทั่งกดวางสายแล้ว ผมก็ยังเอ๋อไม่เสร็จดี
“มีอะไรหรือเปล่าทู” พี่หนาวบีบมือผมเบา
ๆ ก่อนจะย้ายมานั่งข้างกันบนเตียง
“พี่จี๊ดโทรมา
บอกให้ผมไปหาที่บาร์ตรงชายหาดตอนนี้เลยครับ”
“งั้นเดี๋ยวพี่ไปด้วย”
“แต่...” ผมลังเลเพราะไม่รู้ว่าเจ้านายอยากคุยเรื่องอะไร
ถ้าเป็นเรื่องงาน ขืนพี่หนาวตามผมไป ลุงแกจะเบื่อเปล่า ๆ
“ไม่เป็นไร
ถ้าคุณจี๊ดอยากคุยกับทูเป็นการส่วนตัว เดี๋ยวพี่ไปนั่งรอแล้วเราค่อยกลับห้องพร้อมกัน”
พี่หนาวโหมดท่าน HR
Director รวบรัดแข็งขัน
เจ้าตัวผุดลุกขึ้นแล้วเดินไปหยิบข้าวของตรงโต๊ะเตี้ยข้างหัวเตียงก่อนจะกลับมายื่นมือส่งให้ผมซึ่งยังนั่งเซ่ออยู่ที่เดิม
“ไปครับ เดี๋ยวพอคุยกับคุณจี๊ดเสร็จ เราจะได้กลับมาคุยเรื่องอื่นกันต่อ
ทูมีเรื่องอื่นอยากจะถามพี่อีกไม่ใช่เหรอ”
แรงกระตุ้นของพี่หนาวได้ผล เพราะพอได้ยินประโยคสุดท้าย
ผมก็พร้อมออกไปเจอหน้าพี่จี๊ดเดี๋ยวนั้น “ครับ”
.
.
.
.
“นั่งก่อนสิ”
“ครับ” ผมรับคำหัวหน้าพลางกวาดตามองไปรอบ ๆ
ห้องกระจกติดแอร์ที่อยู่ในหลืบลึกของบีชบาร์ประจำโรงแรมอีกครั้งอย่างทึ่ง ๆ สงสัยผมจะฝังหัวกับภาพที่แอบเห็นเมื่อตอนเย็นหนักเกินไป
ถึงได้เข้าใจผิดว่าพี่จี๊ดกับคุณพันเลิศยังปักหลักนั่งกินลมชมวิวทะเลยิงยาวมาจนถึงป่านนี้
ทั้ง ๆ ที่เมื่อดูจำนวนขวดไวน์กับของกินเล่นเต็มโต๊ะก็บอกได้ทันทีว่าทั้งคู่น่าจะย้ายเข้ามานั่งสวีตหวานในห้องแห่งความลับนี่หลายชั่วโมงแล้ว
สงสัยโทรศัพท์จากพี่จี๊ดจะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเรื่องเซอร์ไพรส์ช่วงดึกเสียล่ะมั้ง
เพราะผมเพิ่งพบว่า เจ้านายไม่ได้อยู่ตามลำพัง ข้าง ๆ
แกเป็นท่านสปอนเซอร์หน้าใหญ่ใจป้ำประจำทริป ส่วนอีกฝั่งคือพี่บูมกับคุณไวท์...
มาได้ไงวะ
“อ้าวมึง มาด้วยเหรอ นั่งก่อน ๆ ”
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่คุณพันเลิศแกดูไม่แปลกใจเลยที่เห็นว่าพี่หนาวมาพร้อมกับผม
ไหน ๆ คนใหญ่คนโตของทั้งสองฝ่ายก็ออกปากแล้ว พวกเราเลยนั่งลงบนโซฟาตัวยาวที่ยังว่างอยู่
ซึ่งแน่นอนว่าฝั่งตรงข้ามย่อมจะเป็นพี่บูมกับคุณไวท์
รายหลังนี่พอเห็นหน้ากันก็จิกตาใส่ผมทันที...
เฮ้อ คืนนี้ผมจะรอดไหมวะ คู่กรณีตัวเทพ ๆ ก็แห่กันมาเสนอหน้าแบบครบองค์ประชุมไปอีก
“ที่พี่เรียกทูออกมานี่ เพราะพี่มีเรื่องอยากถามทูสักหน่อย”
ผมดึงหน้าตึง แสร้งไม่ใส่ใจสายตาอาฆาตของยูสเซอร์
FI แล้วชะโงกหน้าคุยกับพี่จี๊ดตรงหัวโต๊ะ
“เรื่องอะไรเหรอครับ”
“พี่ได้ยินจากบูมว่าเมื่อกี้ทูแอบนัดบูมออกไปคุยกันแค่สองคน
จริงหรือเปล่า”
ฟังคำถามแล้วก็สรุปได้ว่า
ที่ผมต้องมาที่นี่เพราะหัวหน้ารู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่า คือ
ก่อนหน้านี้พี่จี๊ดได้ฟังอะไรไปแล้วบ้าง หวังว่าผมกับพี่หนาวจะไม่โดนใส่ความจนกลายเป็นคนร้ายไปหรอกนะ
“ไม่จริงครับ” ผมปฏิเสธทันควันก่อนจะเหลือบมองหน้าคนปล่อยข่าวอย่างขยะแขยง
“ผมไม่มีอะไรจะคุยกับพี่บูม แล้วทำไมผมต้องนัดพี่บูมออกไปคุยด้วยล่ะครับ”
“แต่เมื่อกี้ทูออกไปเจอบูมมาจริงใช่ไหม...
เรื่องมันเป็นยังไง ไหนเล่าให้พี่ฟังซิ”
“ตอนนั้นผมกำลังจะไปเอาของที่ห้อง แต่อยู่ ๆ
ผมก็โดนพี่บูมบังคับให้ไปคุยกันตรงชายหาด แต่ตรงนั้นมันมืดมากแล้วก็ค่อนข้างน่ากลัว
ผมเลยขอร้องให้พี่บูมกลับมาคุยกันดี ๆ ที่รีสอร์ตแต่พี่บูมก็ไม่ยอมครับ”
ดีนะที่เมื่อครู่ผมฝึกฝีมือกับพี่หนาวมาแล้วรอบนึง
ตอนเล่าเรื่องให้พี่จี๊ดฟัง ผมเลยไม่เผลอพาดพิงถึงวีรกรรมสุดร้ายกาจของไอ้พี่บูมให้สถานการณ์ยิ่งบานปลาย
เพราะลองว่าถ้าเรื่องทั้งหมดถึงหูคุณอาทิมา คนทำผิดคงโดนเจ้าแม่ปลิดชีวิตแหงแซะ
“แล้วคุยอะไรกันบ้าง”
ผมมองหน้าพี่จี๊ดสลับกับพี่หนาวเพราะไม่แน่ใจว่าควรพูดต่อดีไหม
หัวหน้ายิ้มบางพลางพยักหน้าให้ ในขณะที่ลุงไซด์ไลน์จับมือผมแล้วบีบเบา ๆ ผมจึงแอบสบตากับพี่หนาวแล้วค่อย
ๆ เล่าเฉพาะใจความสำคัญ “พี่บูมขอให้ผมกลับไปคืนดีด้วยครับ ถ้าผมไม่ตกลง
พี่บูมจะไม่ยอมปล่อยผม”
“แล้วทูทำยังไง”
“ผมบอกว่า ยังไงผมก็ไม่มีทางกลับไปคบกับพี่บูม
เพราะผมคบกับพี่หนาว และผมรักพี่หน...” พูดมาถึงตรงนี้ผมก็เบิกตาโพลงอย่างตกใจ...
บุญบาป เมื่อกี้ตอนที่คุยกันอยู่ในห้อง
ผมก็บอกพี่หนาวไปแบบนี้นี่หว่า
ได้ข่าวว่าเพิ่งตกลงเป็นแฟนกันเมื่อตอนบ่าย
ตกกลางคืนก็บอกรักผู้ก่อนใครเลยจ้า... หลวยและมั่นหน้าไปอีกนะผมเนี่ย
พอรู้ว่าเผลอตัวพูดเรื่องน่าอายออกไปผมก็รีบงับหางเสียงพร้อม
ๆ กับหุบปากฉับ แต่เพราะโดนท่านหัวหน้าใหญ่ในเวอร์ชันตั้งใจเก็บข้อมูลถลึงตาใส่
ผมเลยจำใจอ้อมแอ้มส่วนท้ายของประโยคออกมาจนจบ “...ผมรักพี่หนาวครับ”
สายตากรุ้มกริ่มร้อนแรงของคนข้างตัวทำเอาผมเบือนหน้าหลบแทบไม่ทัน
ถึงว่าสิ ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นพวกเรากำลังเครียดกับเรื่องของไอ้พี่บูมแท้ ๆ แต่อยู่ดี
ๆ พี่หนาวก็ดันทำหน้าปลื้มปริ่มคั่นเวลาเฉยเลย
“หลังจากนั้นคุยอะไรกันอีกหรือเปล่า”
“ไม่ครับ ไม่ได้คุยอะไรกันอีกแล้วครับ” ผมแสร้งทำมึนใส่ลุงไซด์ไลน์ที่ยังกางยิ้มกว้างอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม
ขืนผมหลุดเขินเอากลางวง มีหวังเจ้านายได้ด่าเปิงพอดี
“ก่อนจะเล่าอะไรให้ฟัง
พี่ต้องขอโทษทูด้วยนะที่เมื่อกี้พี่จี้ถามทูไม่หยุดทั้ง ๆ ที่มันเป็นเรื่องส่วนตัว
ไม่เกี่ยวข้องกับงานเลยสักนิด” พี่จี๊ดถอนหายใจยาวพลางมองหน้าผมอยู่นานสองนาน
เห็นแบบนั้นผมเลยอดยิ้มแล้วพูดปลอบแกไม่ได้
“ไม่เป็นไรครับ”
“จริง ๆ เหตุผลที่พี่เรียกทูมานี่
เพราะก่อนหน้านี้ พี่ได้ยินบูมกับคุณไวท์เถียงกัน พอเรียกมาคุย ทางนี้ก็บอกว่าทูเป็นต้นเหตุ”
คราวนี้เป็นไอ้พี่บูมที่โดนหัวหน้าถอนหายใจใส่ “บูมบอกพี่ว่า
ช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา
ทูคอยตอแยบูมแล้วก็มักจะขอนัดพบบูมจนสร้างปัญหาให้บูมกับคุณไวท์เป็นประจำ
พี่เลยอยากลองฟังทูพูดบ้าง หวังว่าพี่จะไม่ก้าวก่ายจนเกินไปนะ”
ในที่สุดผมก็เข้าใจจุดประสงค์ของเจ้านาย นี่ถ้าพี่จี๊ดเลือกข้างหรืออคติกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสักหน่อย
คงเกิดเรื่องดราม่าที่เม้าท์กันไปได้ยันลูกบวช
“ไม่เลยครับ
ผมต้องขอบคุณพี่จี๊ดต่างหากล่ะครับที่เรียกผมมาถาม เพราะตั้งแต่เริ่มโปรเจกต์มา
ผมไม่เคยทำแบบที่พี่บูมพูดเลยแม้แต่ครั้งเดียว” พออธิบายตัวเองจบ
ผมก็ยืกมือไหว้ขอบคุณหัวหน้าอย่างซาบซึ้งใจ แกรับไหว้ผมเร็ว ๆ
ก่อนจะหันไปถอนหายใจใส่ชายผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องยุ่งยากทั้งหลายในคืนนี้เป็นครั้งที่ล้านได้แล้วมั้ง
“ว่ายังไงบูม มีอะไรจะพูดไหม”
เจ้าของชื่อเหลือบมองผมกับพี่หนาวอยู่ชั่วอึดใจ จากนั้นก็ก้มหน้าลงโดยไม่ยอมพูดจา
ทว่ากลับเป็นคุณไวท์ที่เคลื่อนไหวเป็นคนแรกด้วยกำปั้น แกทุบหัวไหล่พี่บูมดังบั้ก ๆ
แบบไม่กลัวอีกฝ่ายช้ำในตายก่อนวัยอันควร
“ไวท์เคยบอกพี่บูมแล้วใช่ไหมว่าพี่จะทำอะไรกับใครลับหลังไวท์ก็ได้
แต่อย่าให้ไวท์จับได้” คุณไวท์ดูโมโหมาก แกเลยใส่พี่บูมไม่ยั้ง แต่น่าแปลกที่คู่กรณีกลับยอมให้ยูสเซอร์คู่ใจทำร้ายร่างกายโดยไม่ตอบโต้หรือป้องกันตัว
“กับคนนี้เนี่ย...กี่ทีแล้วฮะ ที่ผ่านมา ไวท์พยายามทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นแล้วนะ
แต่พี่บูมก็ไม่ยอมหยุด อยากได้นักใช่ไหมถึงต้องใช้เฟสคนอื่นบังหน้าไปหาเรื่องคุยกันน่ะ”
“หา? เมื่อกี้คุณไวท์ว่าอะไรนะครับ!” ผมร้องเสียงหลงเพราะอดตกใจกับเรื่องที่เพิ่งได้ยินไม่ได้
เดี๋ยวนะ ไอ้พี่บูมมันใช้เฟสใครมาคุยกับผม?
คุณไวท์หันมาแสยะแล้วแค่นหัวเราะเยาะเย้ยกันบัดเดี๋ยวนั้น
“หึ คบกันมาตั้งสามปี ไม่เคยรู้เลยเหรอว่าพี่บูมมันมีพาสเวิร์ดทุกแอคเคานต์ของพี่เมธ”
“ฮะ?!” ผมเบิกตาอ้าปากหวอ
อยู่ ๆ ก็รู้สึกโง่ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ไอ้พี่เมธที่เผลอแชตด้วยคือไอ้พี่บูมปลอมตัวมาเหรอวะ
เวรเอ๊ย โดนหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเขางอกแล้วไหมล่ะผม
“อ้อ แล้วก็ เผี่อว่าคุณยังไม่รู้...
พี่บูมมันยังไม่ได้เลิกกับพี่เมธหรอกนะ” พูดไม่ทันจบ คุณไวท์ก็กระหน่ำทุบไหล่พี่บูมยิ่งกว่าทุบกระท้อนก่อนกิน
“ทำไมวะพี่ ขนาดไวท์ยอมพี่เรื่องพี่เมธ พี่ก็ยังไม่หยุดหาเศษหาเลย
จะต้องหาคนอื่นมาเพิ่มให้ได้เลยใช่ไหมวะ”
“ไวท์ คุณใจเย็นก่อนนะ ผมขอล่ะ” คุณพันเลิศเป็นพระมาโปรดสัตว์แท้
ๆ ไม่อย่างนั้นไอ้พี่บูมคงกระอักเลือดตายไปแล้ว แต่ถึงจะยังรอดชีวิต ผมคิดว่ามันคงจะร่อแร่ในไม่ช้านี้แหละ
ไม่เชื่อลองดูหน้าพี่จี๊ดตอนนี้ก็ได้ แกเข้าโหมดโหดจนผมยังไม่กล้าสบตาด้วยเลยเนี่ย
“บูม... ที่ทูกับคุณไวท์เพิ่งพูดมาทั้งหมด
บูมมีอะไรจะแย้งไหม”
“ไม่มีครับ”
“เราเคยคุยเรื่องนี้กันมาแล้วไม่ใช่เหรอบูม” คุณอาทิมาเปรยเสียงเรียบพลางมองไอ้พี่บูมด้วยสายตาเย็นเยียบยิ่งกว่าแผ่นน้ำแข็งขั้วโลก
แต่ถึงจะโดนไปแบบนั้น คนก่อเรื่องก็ยังก้มหน้าไม่สู้สายตาใคร ๆ อยู่เหมือนเดิม
“ครับ”
“แล้วตอนนั้นพี่บอกบูมว่ายังไง” ตั้งแต่เริ่มคุยกันมา
หัวหน้าผมคงถอนหายใจบ่อยเกินไป คุณพันเลิศเลยนวดหัวไหล่พี่จี๊ดเบา ๆ
แม้ใครจะพูดอะไร แต่ไอ้พี่บูมกลับยังคงนั่งสงบเสงี่ยมเจียมบอดี้ไม่มีปากเสียงไม่เลิกรา
สงสัยก่อนหน้านี้ที่มันกล้าเล่นใหญ่ใส่ไฟผมเสียเละเทะเพราะคิดว่าเจ้านายคงไม่เรียกผมมาคุย
หึ! น้อยไปสิ...
ลองว่าเป็นคดีที่เคยถึงมือท่านหัวหน้ามาก่อน
แกไม่มีทางปล่อยให้ใครลอยนวลโดยไม่สืบสวนให้รู้แจ้งหรอก
“พี่เคยเตือนบูมใช่ไหมว่า
ถึงพี่จะเข้าใจว่าคนเราทำความผิดซ้ำซากกันได้ แต่ถ้าคิดจะอยู่กับพี่
พี่คงให้โอกาสทุกคนทำผิดด้วยเรื่องเดิม ๆ ได้แค่สามครั้ง และถ้าสุดท้ายยังไม่ยอมปรับปรุงตัวเอง
พี่คงต้องปล่อยไป” พี่จี๊ดมองหน้าพี่บูมอย่างเอาเรื่องพลางชี้นิ้วคาดโทษ
“กับเรื่องนี้ ครั้งที่สองแล้วนะบูม”
“ครับ”
หัวหน้าผมส่ายหัวดิก ท่าทียอมรับผิดโดยดุษฎีนั่นไม่ใช่สิ่งที่พี่จี๊ดอยากเห็นมากเท่ากับการไม่เที่ยวสร้างปัญหาให้ใคร
เพราะเมื่อลองคิดเล่น ๆ ว่าถ้าเกิดพี่หนาวไม่เจอผม หรือถ้าพี่บูมพาผมขึ้นรถได้จริง
ส่วนงาน FI คงพังพินาศหลังยูสเซอร์บันดาลโทสะแหกอกคอนซัลท์จนถึงแก่ความตายก่อนจะได้ขึ้นระบบ
“บูมอยากให้พี่ทำยังไงกับบูมดี”
“ผม... ผมขอโทษครับพี่” พี่บูมยกมือไหว้พี่จี๊ดปลก
ๆ “ต่อไปผมจะไม่ทำผิดอีกครับ”
“รับปากพี่ได้ไหมว่าหลังจากนี้
สถานะระหว่างบูมกับทูจะเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกันเท่านั้น ส่วนนอกเวลางาน
พี่ขอให้ต่างคนต่างอยู่ บูมทำให้พี่ได้ไหม”
“ครับ ได้ครับ”
“ทูล่ะ” พี่จี๊ดหันมามองผมอย่างขอโทษขอโพย
เห็นแบบนั้น ผมเลยคลี่ยิ้มแล้วบอกแกผ่านสายตาว่า ‘ไม่เป็นไร’
“ได้ครับพี่จี๊ด”
“เดี๋ยวครับคุณจี๊ด ผมขอพูดอะไรหน่อย”
ที่สุดคนที่นั่งเงียบมาตลอดก็ส่งเสียง ผมหันไปเลิกคิ้วมองเสี้ยวหน้าหล่อเหลาอย่างฉงนใจ
สารภาพเลยว่าผมไม่รู้หรอกว่าลุงแกจะพูดอะไร แค่ได้นั่งจ้องลุงไซด์ไลน์ใกล้ ๆ
แบบไม่ต้องคอยหลบ ๆ ซ่อน ๆ ผมก็ลืมวงสนทนาตรงหน้าไปทันที
“ค่ะ เชิญค่ะ”
“คุณบูม ถ้าคุณยังมายุ่งกับแฟนผมอีก ไม่ว่าทางตรง
หรือทางอ้อม นอกจากคุณจี๊ดแล้ว ผมเองก็คงไม่อยู่เฉย ๆ เหมือนกัน
เราเข้าใจตรงกันนะครับ”
พอทำให้เพื่อนร่วมวงทั้งหมดอ้าปากค้างได้สำเร็จ
พี่หนาวก็ขอปลีกตัวแล้วพาผม (ที่ยังไม่หายอึ้ง) กลับไปที่ห้องพักโดยปล่อยให้ท่านผู้บริหารทั้งสองอบรมคู่หู
FI ว่าด้วยเรื่องจริยธรรมและมารยาทในการใช้สถานที่สาธารณะต่อไปตามเรื่องตามราว
เอาวะ ถึงคืนนี้ผมจะโป๊ะแตกขายตัวเองแหลกลาญ แต่อย่างน้อย ๆ ผมก็ไม่ใช่คนเดียวที่เปิดตัวว่ามีแฟนแล้ว
แถมยังหวงแฟนเอามาก ๆ จนต้องประกาศความเป็นเจ้าของให้โลกต้องรับรู้ล่ะนะ
••• TBC •••
เรากลับมาแล้วค่า ^_^ คิดถึงคนอ่านทุก
ๆ คนเลย
ถ้าอ่านอยากหวีด
อย่าลืมติดแท็ก #ลุงไซด์ไลน์ละมุนมาก หรือ #คันหิม
นะคะ
เราจะตามไปส่องเด้อ
ไว้เจอกันใหม่จันทร์หน้านะคะ
(ขออนุญาตรวบตอบความเห็นในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้านะคะ
พอดีตอนนี้เราเดินทางอยู่
ไว้กลับมานั่งโต๊ะเป็นเรื่องเป็นราว เราจะกลับมาเม้าท์ด้วยทันทีเลย )
No comments:
Post a Comment