#28
ตามองตา ด้วยว่าใจตรงกัน
ใจตรงกัน เมื่อประสานนัยน์ตา
เธอมองมา ด้วยว่าฉันมองเธอ
ตามันเจอ แต่ต้องหลบสายตา
อาย อาย เธอนะนี่ อาย อาย เธอทุกทุกครา
อยากจะบอกว่ารัก ได้แต่ร้อง เย เย เย
เขิน - ต้อม เรนโบว์
…………………………………………………………………………………………………………
“ง่วงหรือยัง” พี่หนาวเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วรินน้ำดื่ม
ท่าทางผ่อนคลายนั่นสะกดสายตาผมให้หยุดอยู่กับเขาแต่เพียงผู้เดียว คนอะไร ใส่แค่เสื้อยืดกับกางเกงสามส่วนธรรมดา
ๆ หนำซ้ำยังมีผ้าเช็ดตัวพาดคอแต่รวม ๆ แล้วกลับดูหล่อพอ ๆ กับนายแบบหน้าปก Attitude
“ยังครับ” กายหยาบผมคลี่ยิ้มในขณะที่กายละเอียดกำลังตบตีกับด้านพอร์น
ๆ ของตัวเอง ขืนอยู่ ๆ ก็หื่นขึ้นตาแล้วผมจะแซงคิวปาดหน้าคุณพ่อรูปหล่อขออาบน้ำก่อนไปทำซากอะไร
“ผมรอคุยกับพี่อยู่”
ว่าด้วยเรื่องอาบน้ำ ขอผมเล่าหน่อยเถอะ
หลังได้ทดลองใช้ห้องน้ำเต็มรูปแบบ ที่สุดผมก็ประจักษ์ถึงความหรูหราของห้องพักท่านผู้บริหารอย่างแท้จริง
ห้องน้ำห้องพี่หนาวเป็นแบบโอเพนแอร์เหมือนที่พี่ฟี่รีวิวไว้ไม่ผิด
ที่สำคัญ แสงในห้องน้ำยังทำให้เวลาส่องกระจกแล้วหนังหน้าจะดูดีมีมิติขึ้นอีกหลายขุม
ขนาดผมยังเผลอแก้ผ้าสำรวจสารร่างอย่างลำพองใจอยู่นานสองนาน เสียอย่างเดียว คือ ต้องคอยระวังหลังเป็นพัก
ๆ เพราะลองว่าซีเนียร์ทีมผมเก็บรายละเอียดห้องน้ำไปเม้าท์ได้เป็นวรรคเป็นเวร ย่อมจะหมายความว่า
คนที่เล่นน้ำในสระอยู่ในระยะใกล้ ๆ น่าจะมองเห็นทุกอย่างทะลุปรุโปร่งไปถึงไหน ๆ
...
หรือจริง ๆ แล้วโรงแรมนี้มีกุศโลบายส่งเสริมให้คนเปิดเปลือยตัวตนจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติกันวะ
เดี๋ยวไว้พรุ่งนี้ตอนพี่หนาวเข้าห้องน้ำ
ผมลงสระดีกว่า เผื่อจะได้เห็น ‘ความงามตามธรรมชาติ’ ของท่าน HR Director ก่อนเวลาอันควร
“โอเคครับ พี่พร้อมแล้ว” เสียงทุ้ม ๆ ชวนฟังเรียกผมกลับสู่บทสนทนาได้สำเร็จ
ผมมองตามลุงไซด์ไลน์ที่เดินไปตากผ้าขนหนูก่อนจะวกกลับมาทิ้งตัวลงนั่งยืดขาพิงหัวเตียงโดยไม่ละสายตา
ทันทีที่ปรับท่าทางจนพอใจ พี่หนาวก็ยิ้มเผล่พลางตบที่ว่างข้าง ๆ ตัวเบา ๆ
แม้ลึก ๆ ผมจะแอบเขินอยู่บ้าง แต่เพราะพื้นนิสัยเป็นคนว่าง่าย
(โดยเฉพาะกับผู้ชายรุ่นใหญ่) ผมเลยย้ายก้นไปนั่งด้วยท่วงท่าเดียวกันทว่าเว้นระยะห่างออกมานิดหน่อย
เผื่อว่าเวลาที่เราคุยกัน ผมจะได้มองหน้าพี่หนาวได้ชัดเจน ไม่ต้องชะโงกหรือเอนตัวให้เสียบุคลิก
อีกอย่าง ขืนนั่งใกล้เกินไป ลุงแกจะหาว่าผมใจง่ายอ้อยไม่รู้จักเวล่ำเวลา
“ทูจะคุยอะไรกับพี่ครับ”
พี่หนาวเท้าแขนลงกับที่นอนแล้วโน้มตัวเข้ามาหาผมพลางทำหน้ากรุ้มกริ่ม
บุญบาป เป็นแฟนกันได้ไม่ทันไรผู้ก็จ้องจะทิ้งตัวใส่กันแล้วเรอะ
เห็นใจผมหน่อยเถอะ อย่าให้ความตั้งใจในการพูดคุยของผมต้องล้มเหลวเพราะเกิดใจบาปจนกู่ไม่กลับเลยพ่อคุณ
ผมสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดอยู่สองสามทีพลางตั้งสมาธิแล้วเหลือบมองนาฬิกาตรงหัวนอน
ก่อนหน้านี้ก็มัวแต่ตีปีกพั่บ ๆ หลังลุงไซด์ไลน์ขอเลื่อนสถานะความสัมพันธ์
ผมเลยไม่ทันคิดถึงเรื่องสำคัญอื่น ๆ ให้ถี่ถ้วน ซ้ำร้ายพอเกิดสถานการณ์ไม่คาดฝันเมื่อตอนหัวค่ำ
ผมก็ต้องมานั่งลำดับความคิดใหม่อีกรอบ หวังว่าดึกป่านนี้แล้ว คงจะไม่มีเหตุสุดวิสัยอะไรอีกนะ
“พี่หนาวชอบผมจริง ๆ เหรอครับ” ผมเปิดประเด็นด้วยเรื่องกวนใจหมายเลขหนึ่ง
แม้ว่าตอนพี่หนาวขอผมเป็นแฟน ผมจะดีใจจนเนื้อเต้น
แต่พอนึกดูดี ๆ ผู้ชายที่เคยมีเมียสวยแซ่บแบบพี่ป๊อบปี้เนี่ยนะจะเทิร์นเกย์เพราะคนกาก
ๆ อย่างผม
คู่สนทนาหัวเราะร่าโดยยังทอดสายตามองผมนิ่ง
ๆ “ครับ พี่ชอบทูครับ”
เป็นเพราะพี่หนาวเอาแต่ยิ้มมุมปากพลางเลิกคิ้วมองกันไม่เลิกคล้าย
ๆ จะบอกว่า ‘ที่อยากรู้มีแค่นี้จริง ๆ น่ะเหรอ’ ผมเลยรีบพูดเรื่องค้างคาให้จบ ๆ
ไม่อย่างนั้นคงสลบก่อนเพราะเขินงานชงเข้มของลุงแกเมื่อครู่
“แต่ผม... ผมเป็นผู้ชายนะครับ” น้ำเสียงผมขณะพูดประโยคเมื่อครู่นั้นแผ่วเบาจนเกือบจางหายไปกับอากาศ
กระทั่งความรู้สึกเชื่อมั่นในตัวเองก็ลดลงฮวบฮาบไม่ต่าง
การตกหลุมรักผู้ชายที่เคยมีภรรยา แถมทั้งคู่ยังมีโซ่ทองคล้องใจด้วยกันตั้งหนึ่งคน มันชวนให้หัวใจผมเหี่ยวเฉาจนอธิบายอารมณ์ไม่ถูก
หัวคิ้วเข้ม ๆ บนใบหน้าหล่อเหลาขมวดเข้าหากันจนเกิดเส้นจาง
ๆ เหนือหว่างคิ้ว พี่หนาวเอียงคอน้อย ๆ พลางกวาดตามองผมเงียบ ๆ ชั่วขณะที่อีกฝ่ายนิ่งไปนั้น
ยาวนานและทรมานความรู้สึกของคนรอดีเหลือเกิน
“ทูครับ ทูรู้ไหม ก่อนพี่จะขอทูเป็นแฟน
มีแค่เรื่องเดียวที่ทำให้พี่กังวล” พูดถึงตรงนี้ ฝ่ามืออบอุ่นคู่นั้นก็เอื้อมมาจับมือผมไปกุมไว้
ผมละสายตาจากหน้าตักแล้วเงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนาอย่างห้ามใจไม่อยู่
“เรื่องอะไรเหรอครับ”
“พี่กลัวว่าลูกจะไม่เข้าใจเรื่องของเรา
ไม่ใช่เรื่องทูเป็นผู้ชายเหมือนพี่”
แม้คำตอบจะผิดคาด แต่ผมยังนิ่งฟังพี่หนาวอย่างตั้งใจ
เพราะเชื่อว่าอีกฝ่ายคงอยากจะพูดอะไรมากกว่านั้น
“หลังเลิกกับป๊อบปี้ พี่ก็ไม่คิดจะหาแฟนใหม่
เพราะพี่กลัวลูกจะมีปัญหา พี่ไม่อยากทำให้ปลาวาฬเสียใจ” พูดถึงตรงนี้
ลุงไซด์ไลน์ก็ยิ้มขื่น ผมเลยบีบมือแกเบา ๆ อย่างเข้าใจ หัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ ไม่ว่ายังไงก็ต้องคิดถึงความสุขของลูกเป็นอันดับหนึ่งเสมอ
“แต่พอปลาวาฬเจอทู ปลาวาฬก็แฮปปี้มาก... เห็นลูกมีความสุข พี่ก็มีความสุขตามไปด้วย”
อืม... ฟังไปฟังมาดูเหมือนจะดี
แต่นึกอีกทีก็แอบเอ๊ะแปลก ๆ
คือ สรุปว่าสาเหตุที่ลุงขอผมเป็นแฟน
ไม่ใช่เพราะตัวแกรู้สึกพิเศษกับผมอย่างนั้นใช่ไหมวะ
“พี่หนาวชอบผมเพราะผมทำให้ปลาวาฬมีความสุขเหรอครับ”
ผมเบี่ยงตัวทิ้งสีข้างพิงหัวเตียงแล้วจับจ้องปฏิกิริยาคู่สนทนาอย่างตั้งใจ
“อืม มันเป็นแค่เหตุผลแรกเริ่มน่ะครับ
ไม่ใช่สิ เมื่อกี้พี่ยังไม่ได้ตอบคำถามของทูเลยใช่ไหม... เอ
พี่จะอธิบายยังไงดีล่ะ” พี่หนาวเกาหูแล้วก็ยิ้ม สักพักก็หุบยิ้มแล้วเม้มปากพลางเสหลบตาผมก่อนจะหัวเราะแห้ง
ๆ เหมือนคนโดนจับโป๊ะได้ แต่ที่น่าตกใจคืออยู่ ๆ แก้มลุงแกก็แดงแป๊ดจนผมยังอึ้ง “พี่ว่าพี่แก่จนชักจะพูดอะไรแบบนี้ไม่รู้เรื่องเข้าไปทุกที
ทูอดทนกับพี่หน่อยนะครับ”
โอ๊ย ผมเผลอทำลุงเขิน... ผมมันคนใจบาปหยาบช้าที่แท้ทรู
ฮือ ทำไงดี พี่หนาวชักจะน่ารักเกินเบอร์ไปแล้วนะ
“ครับ ไม่เป็นไรครับ ผมรอได้” ต่อให้ปากดีสักแค่ไหน
พอปลอบใจลุงเสร็จ ผมก็ดันไม่ไหวเสียเอง
ผมแอบยกสองมือขึ้นปิดหน้าแล้วอัดยิ้มใส่ฝ่ามืออย่างไม่คิดชีวิต
ถึงอย่างนั้น คู่สนทนากลับไม่ปล่อยให้ผมดีใจตามลำพัง เพราะเมื่อคืนฟอร์มสุขุม พี่หนาวก็คว้ามือผมไปกุมอีกครั้ง
แต่มีอยู่เรื่องนึงที่เจ้าตัวคงยังไม่รู้ นั่นคือ ฝ่ามือชื้นเหงื่อทั้งสองข้างนั่นฟ้องว่า
แม้ใบหน้าหล่อ ๆ จะคืนทรงคงที่แล้ว แต่เจ้าตัวยังคงประหม่าจนเสียอาการแบบหลบในอยู่ไม่เลิก
รู้แบบนั้น ผมเลยบีบมือแกกลับแล้วค่อย
ๆ นวดไปทั่ว ๆ อย่างช้า ๆ
ฝ่ามือพี่หนาวใหญ่กว่าฝ่ามือผมพอสมควร
หนำซ้ำยังสากนิด ๆ ไม่ต่างจากมือผู้ชายทั่ว ๆ ไป แต่ยิ่งลูบนานเท่าไร กลับให้ความรู้สึกคล้ายคลึงกับฝ่ามือของแม่
ผมเดาว่าที่เป็นแบบนั้น คงเพราะทั้งแม่และพี่หนาวหมกมุ่นกับการทำงานบ้านพอ ๆ กัน
มือคู่นี้เลยมีความเป็นแม่บ้านแม่เรือนแฝงอยู่จนรู้สึกได้ ไม่รู้สิ จะหาว่าผมลำเอียงก็ได้
แต่ฝ่ามือแบบนี้แหละที่จับทีไรก็อุ่น แถมยังชวนให้รู้สึกปลอดภัยและสบายใจมากจริง ๆ
“วันแรกที่ปลาวาฬเจอทู...”
พี่หนาวกระแอมเบา ๆ แล้วก็เงียบไป
“ครับ?” ผมเหลือบขึ้นมองหน้าลุงไซด์ไลน์ได้เพียงอึดใจก่อนต้องเสหลบลงมองเส้นลายมือหนักแน่นของอีกฝ่ายเพื่อคลายความรู้สึกวิ้ง
ๆ หวิวไหวในช่องท้องหลังพบว่า สายตาคมกล้ากำลังจ้องหน้าผมในระยะไม่ถึงฟุต
“...พอพี่เห็นปฏิกิริยาของลูกตอนอยู่กับทู
พี่ก็เริ่มแอบมองทูเงียบ ๆ แล้วก็ทำแบบนั้นมาเรื่อย ๆ จนสุดท้าย
พี่ก็มักจะคอยมองหาทูเป็นประจำ แต่ถึงจะได้แอบมองทูบ่อย ๆ หลัง ๆ มันกลับไม่พอ”
“เหรอครับ” ผมเม้มปากจนเมื่อยแก้ม แต่ถึงตะคริวจะขึ้นหน้าจนตาเข
ผมก็ไม่กล้ายิ้มอยู่ดี ยิ่งตอนนี้พี่หนาวเปลี่ยนมากุมมือผมไว้ จิตใจผมก็ยิ่งไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“ใช่ครับ” ลุงไซด์ไลน์กระตุกมือผมเบา ๆ
คล้ายเรียกกันให้เงยหน้าขึ้นมองสบตา คนแพ้ลุงหมดท่าอย่างผมเลยต้องกลั้นอายแล้วเอาใจผู้ใหญ่ไปตามเรื่องตามราว
“ยิ่งพี่ได้ใช้เวลากับทู พี่ก็อยากเห็นทูยิ้มกว้าง ๆ อวดเขี้ยวซี่เล็ก ๆ ข้างซ้าย พี่อยากเห็นเวลาทูเขินพี่จนหูเปลี่ยนเป็นสีแดง
พี่อยากเห็นตอนทูตกใจจนต้องหยีตา”
เฮ้ย... ตอนตกใจผมหยีตาเหรอ บ้า
ไม่มั้ง ผมออกจะตาโต ใคร ๆ ก็บอก
หูแดงนี่เคยได้ยินรุ้งมันล้อตอนแอบส่องผู้หล่อ
ๆ อยู่ด้วยกัน ตอนนั้นก็ไม่คิดหรอกว่าจะเห็นชัดมาก ที่ไหนได้ ขายหน้าไปสิ
ส่วนฟันเขี้ยวข้างซ้าย ถ้ามองผ่านเผิน
ๆ มันก็ไม่ได้น่าจดจำ เพราะใครเขาก็มีกัน แต่สาบาน... พี่หนาวเห็นทั้งหมดนั่นเลยเหรอ?!
“พี่อยากเห็นทูขมวดคิ้วตอนหลับ
พี่อยากเห็นทูตอนตื่นมาแล้วแอบนอนมองพี่แล้วอมยิ้ม พี่อยากเห็นทูทำหน้าทุก ๆ
แบบให้พี่ดูคนเดียว” พี่หนาวจ้องผมอย่างจริงจังจนผมประหม่าซ้ำสอง ลำพังคำพูดคงยังร้ายกาจไม่พอ
พ่อคุณเลยส่งสายตาตามมาทำร้ายใจกันรัว ๆ
เฟมมึง ไหน ๆ เพื่อนก็โดนผู้ชายอ้อยจนย้วยไม่เป็นทรงแล้ว
เพื่อนควรถวายตัวให้เขาไปเลยไหม หรือควรจะเล่นองค์ต่ออีกหน่อยแล้วค่อยอ่อยตอนจังหวะเหมาะ
ๆ ...
“ทีนี้มาถึงคำถามของทู” พี่หนาวพยักหน้าหงึกหงักอย่างมุ่งมั่นจนผมอดขำลุงแกไม่ได้
เอาเถอะ เรื่องหื่นไว้ทีหลัง ตอนนี้ขอฟังคำหวานของผู้ชายให้ตายไปข้าง
“ครับ ผมรอฟังอยู่ครับ”
“ถ้าสมมติว่าตอนนี้พี่อายุเท่าทู
พี่อาจจะยังคิดมากเรื่องที่เราเป็นผู้ชายทั้งคู่ก็ได้ แต่สำหรับพี่ที่อายุเท่านี้
พี่สนใจแค่ว่า ถ้าพี่อยู่กับใครแล้วมีความสุข ลูกพี่มีความสุข พี่ก็อยากอยู่กับคน
ๆ นั้นไปนาน ๆ ส่วนเรื่องอื่น ไม่สำคัญเลย” ลุงไซด์ไลน์บีบมือผมพร้อมยื่นใบหน้าหล่อ
ๆ เข้ามาใกล้ก่อนจะพูดประโยคที่ไพเราะที่สุดในโลกให้ฟังแบบจะจะ “ทูทำให้พี่มีความสุขนะครับ”
“ขอบคุณนะครับที่ชอบผม” ริมฝีปากผมเหยียดเป็นรอยยิ้มกว้าง
เดาว่าถ้ายังยิ้มค้างต่ออีกหน่อย แก้มผมคงจะแตกดังโพละ ที่สุดผมก็เข้าใจความคิดของพี่หนาวมากขึ้น
แต่ที่มันดียิ่งไปกว่านั้นคือการที่เขาพยายามตอบคำถามของผมอย่างเต็มที่นี่แหละ
“พี่ก็ขอบคุณทูนะครับ ที่รักพี่”
พอโดนล้อจัง ๆ ผมก็เขินสุดพลังจนอยากจะฝังหน้าลงกรี๊ดกับหมอนเสียให้รู้แล้วรู้รอด
แต่เมื่อได้ฟังคำถามถัดมาพร้อมใบหน้าเคร่งเครียดของพี่หนาว อารมณ์ผมก็พลิกผันทันที
“ทูอายหรือเปล่าเวลาเดินกับพี่”
“ฮะ?!” ฟังแล้วก็อดตกใจไม่ได้ ผมเผลอไปทำอะไรให้ลุงแกคิดมากวะ
อย่างผมเนี่ยนะจะอายเพราะพี่หนาว ไม่มีเสียล่ะ
“ทำไมพี่หนาวคิดแบบนั้นล่ะครับ”
“ตอนเดินตลาด
ทูทำเหมือนไม่อยากจับมือกับพี่”
อ๋อ... สงสัยจะเป็นตอนที่เจอคุณอ๋อม
แต่เพราะเรื่องแค่นั้น ลุงแกถึงกับเก็บมาคิดมากเลยเหรอวะ
“ผมขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ
ผมแค่ไม่อยากให้คนอื่นมองพี่หนาวไม่ดี”
อันที่จริงตอนนั้นผมคิดอย่างเดียวว่าอย่าให้คนอื่นรู้ว่าเรากำลังสวีตกันจะดีที่สุด
เพราะผมไม่สบายใจเลยถ้าใครก็ตามเอาลุงแกไปพูดถึงในทางเสีย ๆ หาย ๆ
ยิ่งด้วยตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โต ภาพลักษณ์ของพี่หนาวย่อมสำคัญกว่าโมเมนต์เล็ก ๆ น้อย
ๆ ของพวกเราเป็นไหน ๆ
“ทูครับ” พี่หนาวเขย่ามือผมเบา ๆ
“ครับ?” ผมสบตาสายตาคมที่จ้องมองตรงมาอย่างไม่มั่นใจ...
ลุงจะดุผมไหม จะไม่พอใจหรือเปล่า
“ถ้าเขาคิดว่าพี่ไม่ดี
ต่อให้เราสองคนไม่ได้จับมือกัน มันก็เปลี่ยนความคิดเขาไม่ได้ เพราะฉะนั้น
เรื่องเดียวที่พี่สนใจ คือ ทูอายไหมตอนอยู่กับพี่” สุดหล่อช้อนตามองผมด้วยกระบวนท่าเดียวกับปลาวาฬตอนออดอ้อนแบบเป๊ะ
ๆ
โอย เล่นปล่อยหมัดน็อกเข้าตรง ๆ แบบจัง
ๆ ผมก็ตายเท่านั้นสิครับ
แล้วผมจะต้านทานอาการน่าน้วยของลุงแกยังไงไหว
แต่เรื่องของเรื่องคือผมไม่กล้าน้วยแกไง
ผมเลยได้แต่ก้มหน้าแล้วหาเศษหาเลยกับนิ้วมือตัวเองแทน
“ไม่ครับ ผมไม่เคยอายเลยครับ” จังหวะที่ผมพูดอยู่อีกฝ่ายก็แกะมือผมที่กำลังแงะจมูกเล็บออกจากกันพลางจับไว้แล้วส่งเสียงปรามในลำคอ
ผมบึนปากพลางมองหน้าแกหงอ ๆ ... ง่า ก็คนมันเขินนี่นา
“แล้วถ้าบางครั้งที่เราใช้เวลาด้วยกันแล้วพี่อยากแสดงออกว่าทูเป็นอะไรกับพี่
ทูจะอายไหม”
แหม่ ใจผมล่ะอยากจะป่าวประกาศเหลือเกินว่า
สุดยอดคนอวดผัวตัวจริงขิงระดับพระกาฬกำลังนั่งหน้าบานอยู่ข้าง ๆ ท่านแล้ว แต่ขืนพูดสิ่งที่คิดออกไปทั้งหมด
ผู้คงรับไม่ไหว สุดท้ายผมจึงเพียงอมยิ้มแล้วตอบลุงแกไปอย่างนุ่มนวลชวนฟังเท่านั้น “ไม่อายครับ
จริง ๆ ผม... อยากอวดคนอื่นด้วยซ้ำว่าพี่หนาวเป็นแฟนผม”
“งั้นเลยเหรอ” คุณพ่อรูปหล่อหัวเราะร่วนอยู่พักหนึ่งก่อนจะเลิกคิ้วมองผมด้วยสายตาซุกซนเหมือนปลาวาฬตอนรอฟังเรื่องสนุก
“แล้วทูอยากอวดพี่กับใครบ้างล่ะ”
“ก็กับทุกคนเลยครับ พ่อ แม่
พี่...น้อง” พอนึกถึงที่บ้านผมก็หุบยิ้มแล้วนิ่งไป เพิ่งนึกขึ้นได้เดี๋ยวนี้นี่เองว่ายังมีอีกเรื่องที่ต้องคุยกับพี่หนาวให้จบโดยด่วน
ผมตวัดสายตากวาดมองทุก ๆ ส่วนบนใบหน้าหล่อเหลาอย่างจริงจัง ไม่เหลือแววล้อเล่น
“ก่อนผมจะย้ายไปอยู่กับพี่หนาว เราเข้าไปคุยกับพ่อแม่ผมกันนะครับ”
แม้เมื่อหัวค่ำพี่บูมจะสร้างเรื่องน่าปวดหัว
แต่ท่าทีของพี่หนาวต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกระตุ้นให้ผมอยากยกระดับความสัมพันธ์ของเราให้ยิ่งก้าวหน้า
ซึ่งการจะไปยังจุดนั้นได้ ครอบครัวผมควรต้องรับรู้และเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่นี่เสียก่อน
“เอาสิ เมื่อไรดี พรุ่งนี้เย็นเลยไหม”
“วัยรุ่นใจร้อนจัง” ผมอดแซวความว่องเกินวัยของลุงแกไม่ได้
บ้าจริง...
ใจคอพี่หนาวจะไม่ให้โอกาสที่บ้านผมเตรียมตัวต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองหน่อยเหรอ
อย่างน้อย ๆ ก็ให้ผมได้โทรบอกแม่ ท่านจะได้หาเรื่องเข้าร้านเสริมสวยแล้วเสียตังค์นิดนึงก็ยังดี
“ก็พี่อยากพาทูกลับบ้านด้วยกันพรุ่งนี้เลยนี่ครับ”
พูดจบ วัยรุ่นก็หัวเราะร่วนพลางนวดมือให้ผมบ้าง... อ้อ มันสบายอย่างนี้เอง มินาล่ะ
ตอนผมนวดมือให้ พี่หนาวถึงยิ้มแต้ไม่ยอมหุบอยู่ได้ตั้งนานสองนาน
“ขืนพี่พาลูกเขาหอบผ้าหอบผ่อนหนีตามกันไปดื้อ
ๆ เดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่จะเหม็นขี้หน้าพี่เสียก่อน” แม้จะพูดยิ้ม ๆ แต่สายตานั่นกลับฟ้องว่า
ลุงแกน่าจะกังวลพอตัว ผมเลยอดปลอบขวัญว่าที่สมาชิกใหม่ของบ้านไม่ได้
“บอกตรง ๆ ว่าของบ้านผม ถ้าพี่หนาวพร้อม
พี่หนาวจะเข้าไปคุยเมื่อไรก็ได้ครับเพราะพ่อกับแม่ผมไม่น่ามีปัญหา แต่...” ผมยู่ปากพลางช้อนตามองคุณแฟนรูปหล่ออย่างลังเลใจ
พอมองข้ามช็อตไปถึงสถานการณ์ทางบ้านอีกฝ่าย ใจฟูฟ่องของผมก็เริ่มฝ่อ
เพราะเมื่อลองคิดดูดี ๆ อีกที
เรื่องที่พี่หนาวห่วงว่าปลาวาฬจะรับผมไม่ได้นี่น่ากลัวกว่ามีแฟนเป็นผู้ชายจริง ๆ
นั่นแหละ
“แต่อะไรครับ”
“ผมห่วงเรื่องปลาวาฬมากกว่า
ผมกลัวว่า... เฮ้อ” ลำพังแค่ลองนึกภาพปลาวาฬทำหน้ายี้ใส่ ผมก็พูดอะไรไม่ออก
ถ้าผมพาพี่หนาวไปที่บ้าน
ถึงจะมีพิธีรีตรอง ต้องอธิบายที่มาที่ไปของการคบหากัน (แน่นอนว่าต้องเป็นเวอร์ชันที่ตัดเรื่องเว็บไซต์ของพี่ป๊อบปี้ออกไปแล้ว)
รวมถึงต้องทำข้อตกลงร่วมกันบ้าง แต่ถ้าทั้งสองฝั่งเป็นผู้ใหญ่
ยังไงก็น่าจะพูดกันง่ายกว่าจับเข่าคุยกับเด็กน้อยไร้เดียงสาที่อาจจะยังไม่เข้าใจความสัมพันธ์ของเพศเดียวกันเลยด้วยซ้ำ
“อืม” พี่หนาวครางรับพลางเหม่อ ดูท่าว่าลุงแกน่าจะยังหนักใจไม่หาย
“แกจะรับผมได้จริง ๆ ใช่ไหมครับ”
ให้ตายสิ ยิ่งพอรู้ว่าอีกฝ่ายเคยเป็นกังวลกับความรู้สึกของลูกสาวจนไม่ยอมมีใครมาตลอดหลายปี
กลายเป็นว่าตอนนี้ผมชักจะเครียดตามลุงแกไปอีกคน ถ้าเกิดเจ้าวาฬน้อยรู้เรื่องของเรา
แกจะมองผมเป็นแม่เลี้ยงใจร้ายในนิทานก่อนนอนหรือเปล่าวะ
“ตอนแรกพี่ยังไม่แน่ใจว่าถ้าพี่ขอ ทูจะยอมตกลงเป็นแฟนพี่หรือเปล่า
พี่เลยยังไม่ได้เกริ่นเรื่องเรากับป๊อบปี้ แต่เดี๋ยวพอกลับกรุงเทพฯ พี่จะหาเวลาไปคุยกับป๊อบปี้
เขาน่าจะช่วยแนะนำพี่ได้ว่าพี่ควรบอกเรื่องของเรากับลูกยังไงดี”
จริงของพี่หนาว
ถ้าได้พี่ป๊อบปี้เป็นกองหนุน ปลาวาฬน่าจะเข้าใจความสัมพันธ์ของเราได้ง่ายขึ้น
“แต่ถ้าถามใจพี่ พี่ตั้งใจว่าระหว่างที่เราสามคนอยู่ด้วยกัน
พี่จะค่อย ๆ บอก ค่อย ๆ สอนแกไปเรื่อย ๆ ซึ่งพี่เชื่อนะว่าถ้าเป็นทู
แกจะยอมรับทูได้อย่างเต็มใจ”
“เหรอครับ” ที่เผลอพลั้งปากออกไปนี่ไม่ใช่เพราะไม่เชื่อถือคำยืนยันของคู่สนทนา
แต่เพราะผมเพิ่งสำนึกได้ว่า
ความรักครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของคนสองคนเหมือนเมื่อครั้งก่อน การจะทำให้ปลาวาฬยอมรับผมในฐานะคนรักของพ่อ
ลำพังแค่ใช้หัวใจแลกกัน มันจะเพียงพอหรือเปล่า
พี่หนาวคลี่ยิ้มบางพลางจับฝ่ามือผมประกบกันแล้วลูบหลังมือผมเบา
ๆ “ทูรู้ไหม ลูกพี่รักทูมากนะ ยิ่งวันไหนไม่ได้เจอทู แกจะบ่นคิดถึง ๆ
ปลาทูของแกทุก ๆ ชั่วโมงเลย”
“จริงเหรอครับ” ได้ยินแบบนั้น
ผมก็อมยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ถึงจะมองเห็นอนาคตทาสเด็กหญิงเจ็ดขวบอยู่รำไร แต่ถ้าจะต้องอยู่ด้านล่างสุดของห่วงโซ่อาหารแลกกับการได้เป็นปลาทูของเจ้าวาฬน้อยที่น่ารักน่าบีบที่สุดในโลก
ผมก็พร้อมถวายตัวเต็มที่
“ตอนพี่บอกแกว่าทูจะย้ายไปอยู่ด้วย
แกดีใจมาก เพราะแกอยากให้ปลาทูอยู่กับแกทุกวัน” จังหวะที่คุณพ่อรูปหล่อยักคิ้วข้างเดียวพร้อมยกมุมปากขึ้นนิด
ๆ นั้น ผมแทบจะลงไปนอนตีอกชกหัวร้องแหกปากรัว ๆ ว่า ‘อยากได้ ๆ ’ แต่เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้อีกฝ่าย
ผมก็ไม่ควรลวนลามลุงไซด์ไลน์ในคืนแรกที่เราสองคนร่วมเตียงกันในฐานะแฟนหรือเปล่าวะ
เมื่อปลงตก
ผมจึงตอบลุงแกไปด้วยรอยยิ้มสุภาพขัดกับความหยาบช้าของจิตใต้สำนึก “ผมก็ดีใจครับที่จะได้อยู่กับปลาวาฬ”
“ว่าแต่
ทูแน่ใจนะว่าที่บ้านทูจะไม่มีปัญหา”
เอ๋... ทำไมอยู่ ๆ
เราถึงวกกลับมาคุยกันเรื่องนี้อีกล่ะ หรือลุงแกยังเครียดไม่หายเพราะต้องไปเปิดตัวกับที่บ้านผม
โธ่เอ๋ย วัยรุ่น วุ่นวายใจไปถึงไหนแล้วเนี่ย...
โอ๋ ๆ ขวัญเอ๋ยขวัญมา น้องทูอยู่นี่แล้วครับ
“ครับ พ่อกับแม่ผมใจดี
แต่พี่หนาวอาจจะปวดหัวกับน้องผมนิดหน่อย” ผมแอบเฉลยข้อสอบให้ทั้งชุด
วัยรุ่นจะได้ไม่ทรุดตอนเจอครอบครัวผมแบบพร้อมหน้า
“ทำไมเหรอ”
“น้องผมมันชอบเล่นใหญ่รับน้องสมาชิกใหม่ของครอบครัวเราน่ะครับ”
พูดแล้วผมก็หลุดหัวเราะเมื่อเผลอนึกถึงใบหน้ากวนประสาทของไอ้สาม
มนุษย์น้องที่ตั้งตนเป็นพี่มาตลอดชีวิตแถมยังเอานิสัยพี่ว้ากมาใช้จับผิดแฟนผม จำได้ว่าเมื่อครั้งที่พาไอ้พี่บูมมาเจอพ่อกับแม่
มันก็เสือกแผลงฤทธิ์ใส่เขาเสียยกใหญ่จนไอ้พี่บูมแอบแค้นฝังหุ่นอยู่เป็นปี ไม่รู้ว่ากับพี่หนาว
น้องชายผมจะงัดอะไรออกมาข่มลุงแกบ้าง
“ยังไงเหรอ” พี่หนาวรั้งมือผมไปบีบเบา
ๆ แหม... กระตือรือร้นกับหัวข้อนี้เหลือเกินนะวัยรุ่น
“คือ สามน้องผมมั... ฮ้าว!”
“ไม่เป็นไร
ไว้เราค่อยคุยเรื่องนี้กันต่อพรุ่งนี้ก็ได้” เมื่อครู่ จังหวะที่กำลังจะตอบ
ผมดันหาวหวอด พี่หนาวเลยตบหลังมือผมเบา ๆ พลางมองอย่างเข้าใจ ผมรีบฉุดแขนอีกฝ่ายไว้พลางปาดน้ำตาลวก
ๆ
“คุยได้ครับ ผมยังไม่ง่วง”
“นอนก่อนเถอะ พี่ว่ามันดึกมากแล้ว” พี่หนาวเป็นคนพูดจริงทำจริงและเด็ดขาดเสมอ
เจ้าตัวจึงเอื้อมมือไปปิดไฟหัวนอนแล้วจัดหมอนเข้าที่โดยไม่เปิดช่องให้ผมอ้าปากต่อรอง
เห็นแบบนั้นผมเลยต้องถอดแว่นแล้วเอี้ยวตัวไปปิดไฟฝั่งตัวเองทั้ง ๆ
ที่มีบางเรื่องอยากจะบอกให้ลุงแกรู้แท้ ๆ
อาจเพราะที่นี่เป็นโรงแรม หนำซ้ำทุก ๆ
ห้องยังกรุผนังแถบหนึ่งด้วยกระจก ดังนั้นต่อให้เราปิดไฟทุก ๆ ดวงทั่วทั้งห้องแล้วก็ตาม
แต่แสงสว่างจากภายนอกก็ยังจะเล็ดลอดเข้ามาจนทำให้เรายังพอมองเห็นกรอบร่างของสิ่งต่าง
ๆ ได้ราง ๆ อยู่ดี แน่นอน หากผมจะอาศัยความมืดอำพรางสายตาแล้วแอบส่องคุณพ่อรูปหล่อไปจนฟ้าสางก็ยิ่งง่าย
แต่ถ้าภาพแรกที่จะกระแทกตาพี่หนาวและหลอกหลอนลุงแกไปตลอดทั้งวันคือหนังหน้าเยิน ๆ กับขอบตาแพนด้าของตัวเอง
ผมก็สงสารใจเพื่อนร่วมเตียงอย่างไรบอกไม่ถูก
เถียงกับตัวเองเสร็จ ผมเลยพลิกตัวเปลี่ยนท่าเป็นนอนหงายพลางทอดสายตาไล่มองลวดลายของแสงไฟที่ส่องลอดมู่ลี่ไม้ขึ้นมาพาดบนผนังไล่ระดับกันจนถึงกึ่งกลางเพดานห้องพลางเปรยสิ่งที่ค้างคาใจก่อนจะผล็อยหลับไปจริง
ๆ “พี่หนาวครับ”
“หืม?”
ผมไม่รู้ว่าพี่หนาวนอนท่าไหน
แต่เท่าที่ฟังจากเสียงตอบรับ อีกฝ่ายน่าจะนอนอยู่ใกล้ ๆ แบบที่ถ้าหันหน้าไปก็อาจจะโดนกัน
ซึ่งนั่นก็ดี เพราะพอเป็นหัวข้อนี้ ผมเองก็ไม่ได้อยากพูดเสียงดังเท่าไร
“สำหรับผม พี่หนาวยังไม่แก่นะครับ”
“หึ ๆๆๆ ” เสียงหัวเราะของพี่หนาวเซ็กซี่มาก
ยิ่งฟังมืด ๆ ด้วยท่านอนราบแล้ว จิตใจด้านเสื่อมของผมก็ยิ่งคึกคักจนอยากลักหลับคนนอนข้าง
ๆ เสียให้รู้แล้วรู้รอด
“ทู”
“ครับ?” ผมรีบดึงสติอย่างไว... ไม่ได้
ผมกำลังคุยเรื่องจริงจังกับผู้อยู่ ผมจะเอะอะหื่นจนพูดจาไม่รู้เรื่องไม่ได้
“พี่อาจจะอธิบายความรู้สึกตัวเองไม่เก่ง
แต่ต่อไป พี่จะพยายามตอบคำถามของทูให้ได้ทุกข้อนะครับ”
ก่อนที่กายหยาบจะลุกขึ้นเต้นเร่า ๆ แล้วกรี๊ดสนั่นลั่นหัวหิน
ผมก็ชิงกัดชายผ้าห่มเอาไว้ได้ทันท่วงที
ฮือ... ลุงแกดีต่อใจผมเหลือเกิน
“อดทนและให้โอกาสพี่หน่อยนะครับ”
ฟังแล้วก็อยากให้พี่หนาวได้รับโอกาสแถมร่างกายของน้องทูจังเลยครับ...
สะดวกรับเลยไหม
โอย... ไม่สิ ไม่หื่น
“ครับ แต่ตอนเมื่อตอนบ่ายที่เราคุยกัน
พี่หนาวพูดคล่องปร๋อเลยนะครับ” ผมอ้อมแอ้มกลับไปเพราะขืนปล่อยให้แฟนรุ่นใหญ่รอฟังคำตอบนาน
ๆ คงไม่ดี
“ทูอย่าหัวเราะพี่นะ” อยู่ ๆ
เสียงทุ้มนุ่มหูก็เงียบไป ผมเลยเผลอพลิกตัวนอนตะแคงหันหน้าเข้าหาต้นเสียงเพื่อรอฟังพี่หนาวด้วยใจจดจ่อ
ภายใต้แสงสลัว ๆ นั้นเอง ผมก็เห็นคนนอนข้าง ๆ ยกมือขึ้นเกาหูเหมือนตอนที่เจ้าตัวเผลอทำตอนกำลังเขิน
“ก่อนจะขอทูเป็นแฟน พี่นอนคิดทั้งคืนเลยว่าพี่จะพูดกับทูยังไงเพื่อที่ทูจะไม่ปฏิเสธพี่
ตอนขับรถพี่ก็ซ้อมในใจ กะว่าจะไม่ยอมเปิดโอกาสให้ทูเซย์โนกับพี่เป็นอันขาด”
สิ่งที่ผมถามก่อนนอนคืนนี้ คงเป็นหลาย
ๆ เรื่องที่พี่หนาวไม่ได้เตรียมคำตอบมาก่อน ด้านลุง ๆ ของแกเลยเผยออกมาจนได้
รู้แบบนั้น ผมเลยงับชายผ้าห่มพลางเกร็งขาเพราะไม่อยากเตะเท้าไปมาจนคนนอนข้าง ๆ ไหวตัว...
แฟนผมแม่งโคตรน่าบีบเป็นก้อนกลม ๆ แล้วอมไว้ในปากสุด ๆ อะ
“ฝันดีนะครับทู”
“ฝันดีครับพี่หนาว”
ผมยังดีใจไม่หายเลยข่มตานอนไม่ลง แต่พอได้ยินเสียงลมหายใจดังสม่ำเสมอดังมาจากข้าง
ๆ ตัว ผมก็ค่อย ๆ กระเถิบไปนอนซบต้นแขนอีกฝ่ายอย่างย่ามใจ จวบจนเมื่อพลิกตัวอีกครั้งตอนครึ่งหลับครึ่งตื่นนั่นแหละที่เพิ่งรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่า
คนที่น่าจะนอนหลับสนิทแล้วได้รวบตัวผมไปกอดเอาไว้ ลงท้ายคืนนั้น เป็นอันว่าผมเลยนอนหลับฝันดีตามที่พี่หนาวอวยพรจริง
ๆ
••••••
คเชนทร์รวบปลายผมที่สยายปรกหน้าขึ้นทัดหูก่อนจะลดสองมือลงไขแม่กุญแจคล้องสายยูของประตูม้วนบานหน้าร้านอย่างว่องไว
เสร็จแล้วจึงเปิดประตูกระจก เอี้ยวตัวหยิบไม้กวาดกับที่ตักผงติดมือออกไปยังสวนหย่อมเล็ก
ๆ ด้านหน้าร้าน
ลำแสงจ้าจากกระจกหน้ารถยนต์คันที่จอดเยื้องไปอีกฝั่งทำให้ชายหนุ่มยกฝ่ามือขึ้นป้องเหนือหว่างคิ้วพลางหลับตาพร้อมเบือนหน้าหลบไปอีกทาง
และเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาก็พบว่า มีโจ๊กหนึ่งถุงห้อยต่องแต่งอยู่ใต้กล่องไปรษณีย์ทั้งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ที่สำคัญ ถุงโจ๊กยังร้อนเหมือนเพิ่งตักออกจากหม้อแล้วถูกคนนำมาแขวนไว้
แม้จะแปลกใจระคนกังขา แต่เพราะนึกออกว่าเคยเห็นถุงโจ๊กมัดปากด้วยเชือกฟางมาจากที่ไหน
คเชนทร์จึงหิ้วโจ๊กถุงนั้นไปวางไว้บนเคาน์เตอร์ก่อนจะกลับออกมาทำความสะอาดหน้าร้านด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้มชวนมอง
••••••
(...คร่อก
ฟี้... คร่อออก... ฟี้...)
เสียงกรนที่ลอยผ่านเข้าหูทำผมสะดุ้งตื่นทันควัน
ม่านสีเข้มยาวจรดพื้นหินขัดกับโคมไฟสีขาวดูทันสมัยหากแต่ไม่คุ้นตาชวนให้ผมผงกหัวขึ้นแล้วหยีตาจ้องพวกมันนิ่ง
ๆ ก่อนจะระลึกได้ว่าตัวเองไม่ได้กำลังนอนอยู่บนเตียงที่บ้าน
เมื่อวาน ผมมาหัวหินกับพี่หนาว...
“อรุณสวัสดิ์”
ผมสะดุ้งซ้ำสองเมื่อได้ยินน้ำเสียงเซ็กซี่ของอีกฝ่ายจากด้านหลัง
ทันทีที่พลิกตัวตะแคงไปอีกด้านก็พบว่าลุงไซด์ไลน์ในชุดลำลองกำลังนอนตะแคงเอามือข้างหนึ่งเท้าแก้มพลางจ้องมองผมด้วยรอยยิ้ม
เวร ถ้าพี่หนาวตื่นแล้ว
แสดงว่าหวูดรถไฟเมื่อกี้ก็ของผมงั้นสิ
โอ๊ย... ตาย ๆ คนอะไรขายหน้าเก่งเป็นที่หนึ่ง
“เมื่อกี้ผมกรนเหรอครับ” เพราะไม่มีใครเคยบ่นเรื่องผมเปิดโรงสีตอนหลับสนิท
ผมเลยแสร้งทำเข้มขณะยิงคำถาม หนำซ้ำยังมีหน้านอนกะพริบตามองลุงแกตาปริบ ๆ เสียอีก
“กรนเบา ๆ เหมือนลูกแมว... น่ารักดี”
พูดแล้วพี่หนาวก็อมยิ้ม ทำหน้าชอบใจยกใหญ่แต่สายตาวิบวับคู่นั้นเล่นงานผมเสียจนหน้าร้อน
เลยต้องรีบดึงผ้าห่มขึ้นคลุมหัวหลบสายตาอีกฝ่าย
“พี่หนาวตื่นนานแล้วเหรอครับ” ผมส่งเสียงถามจากในโปงผ้าพลางสั่งตัวเองให้รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติโดยด่วน
“ก็นานพอจะเห็นเด็กนอนน้ำลายไหลย้อยน่ะครับ”
“หา?!” ความที่ตกใจ ผมเลยโผล่หัวออกมาจ้องหน้าพี่หนาวอย่างลืมอาย
“ผมนอนน้ำลายไหลด้วยเหรอครับ?!”
ฮือ จุด ๆ นี้บอกเลยว่าผมพังมาก ทั้งที่กะจะสร้างความประทับใจให้ผู้ชาย
แต่สุดท้ายกลับนอนไหลตายเสียอาการแถมยังตื่นสายจนไม่ทันลุกขึ้นมาเซ็ตเบ้าหน้าให้เข้าที่เสียอีก
“พี่ล้อเล่น” ลุงแกหัวเราะร่วนก่อนจะกระตุกชายผ้าห่มที่ผมกอดเอาไว้ซ้ำ
ๆ คล้ายกำลังง้อ “พี่จะชวนทูไปถ่ายรูปเปลือกหอย ทูอยากไปไหม”
ลองว่าผู้ชายเชิญชวน
มีหรือที่ผมจะปฏิเสธลง “ไปครับ งั้นเดี๋ยวผมไปล้างหน้าแป๊บนึงนะครับ”
.
.
.
.
“อันนี้สวยดีนะครับ” ผมนั่งยอง ๆ
พลางชี้เป้าให้ลุงตามมาถ่ายรูปเปลือกหอยสีขาวที่ครึ่งนึงฝังตัวอยู่ในผืนทราย ก่อนพี่หนาวจะเดินมาถึง
ผมหยิบมันขึ้นมาปัดเม็ดทรายออกจนหมด จึงพบว่ามันเป็นเปลือกหอยสีขาวนวลไร้ลวดลาย
ไม่มีตำหนิบิ่นแตกหรือหัก มองไปมองมา ผมว่ามันดูคล้าย ๆ กับโลโก้ปั๊มน้ำมันยี่ห้อหนึ่งจะผิดกันก็แค่สีเท่านั้น
ตอนมาเดินเล่นชายหาดเมื่อวาน พี่หนาวเล่าให้ผมฟังว่า
หลังจากปลาวาฬได้ไอเดียทำสมุดบันทึกพร้อมภาพประกอบจากแจสเปอร์เมื่อสองปีก่อน
ทุกครั้งที่มาทะเล ครอบครัวเขาจะช่วยกันตามหาเปลือกหอยสวย ๆ
แล้วถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก เพื่อที่สุดท้าย นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมตัวน้อยจะได้มีรูปใหม่
ๆ กลับไปติดสมุดภาพของตัวเอง
พี่หนาวเดินมาหยุดยืนโก้งโค้ง
เอามือเท้าหัวเข่าพลางยู่ปากมองเปลือกหอยในมือผมอย่างเสียดาย “อืม มันสวยจริง ๆ
นั่นแหละ แต่ใช้ไม่ได้ครับ”
“อ้าว ทำไมล่ะครับ” ฝ่ามือข้างซ้ายของผมที่กำลังกอบกองทรายเพื่อมาก่อเป็นป้อมปราการพิทักษ์เปลือกหอยหยุดชะงักทันควัน...
ทำไมต้องใจร้ายกับน้องทูด้วย เปลือกหอยของน้องทูออกจะสวยขนาดนี้
“รอบนี้การบ้านของพี่คือต้องถ่ายรูปเปลือกหอยสีรุ้งกลับไปฝากปลาวาฬครับ”
ลุงไซด์ไลน์ยิ้มบางพลางลูบบ่าผมเบา ๆ พี่หนาวยื่นแขนมาตรงหน้าผมพร้อมกระดิกนิ้วเชิญชวน
ผมเลยสนองให้ชุดใหญ่โดยการจับมือแกเดินโดยไม่คิดจะปล่อย
“โห
ทำไมปลาวาฬให้การบ้านพี่หนาวยากจังล่ะครับ”
“สงสัยปลาวาฬจะยังงอนพี่กับทูที่แอบหนีเที่ยวล่ะมั้งครับ
การบ้านเลยยากเลยคราวนี้” ฟังเสียงหัวเราะของคนเดินข้าง ๆ แล้วก็พลอยชื่นใจตามไปด้วย
ผมเลยเลื่อนสายตาขึ้นมองเสี้ยวหน้าหล่อเหลานั่นอีกครั้งอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมช่วยหา” ผมลั่นวาจาอย่างมาดหมาย
เอาวะ ในฐานะสมาชิกน้องใหม่ของบ้าน ผมจะต้องสร้างความประทับใจให้ปลาวาฬให้จงได้ “เราลองเดินไปดูทางโน้นกันไหมครับ
เผื่อจะหาเจอ” ผมชี้นิ้วนำทางอย่างแข็งขัน
พี่หนาวยิ้มพลางพยักหน้ารับ “ไปสิ”
ตอนก่อนออกมาผมมัวแต่ตื่นเต้น (และอับอายกับท่านอนสุดเร้าใจของตัวเอง)
เลยไม่ทันเหลือบดูเวลา แต่เท่าที่เดาจากสภาพชายหาดซึ่งมีผู้คนบางตากับแสงแดดอ่อน ๆ
ผมคิดว่าไม่น่าเกินเจ็ดโมง ตอนเช้าน้ำลงแบบผิดหูผิดตา กว่าเท้าจะแตะโดนคลื่น พวกเราก็ต้องเดินข้ามสันทรายไปอีกไกลโข
เมื่อมองกลับไปยังฝั่ง บีชบาร์ที่ผมเห็นระหว่างเดินหาเปลือกหอยสีรุ้งจึงหดลงจนเหลือขนาดเล็กนิดเดียว
“ทูครับ”
อยู่ ๆ คนข้างตัวก็เปรยขึ้นเบา ๆ
ผมยกปลายเท้าขึ้นหนีคลื่นลูกใหญ่ที่ซัดเข้ามาเพราะไม่อยากให้ขากางเกงเปียก แม้ทะเลหัวหินจะยังคงสวยและดูสะอาดตาเหมือนเมื่อหลายปีก่อน
แต่น่าแปลกที่หลังจากเริ่มทำงาน
ผมก็แทบไม่ลงเล่นน้ำทะเลอย่างที่เคยตื่นเต้นเมื่อสมัยยังเป็นแค่นักศึกษามหา’ลัย
“ครับ?” ผมเบือนหน้าหันไปมองพี่หนาวอย่างสนอกสนใจ
“ถ้าพี่ไปที่บ้านทู
พี่ต้องระวังน้องชายของทูเหรอครับ”
ฝ่ามือของพี่หนาวเริ่มชื้นเหงื่อตั้งแต่เมื่อไรกันนะ
ทำไมผมถึงไม่ทันสังเกต...
หรือเพราะเรื่องนี้กวนใจลุงจนแกเหงื่อแตกพลั่กได้ทั้ง
ๆ ที่อากาศดี แถมลมยังพัดเย็นสบายแท้ ๆ
“อ๋อ” ผมลากหางเสียงยาวในลำคอ หางตาเหลือบมองคู่ฝรั่งชายหญิงที่วิ่งจอกกิ้งผ่านไปพลางนึกถึงเรื่องที่เราคุยกันค้างไว้ตอนก่อนนอนเมื่อคืน
“ผมเป็นคนสุดท้ายในบรรดาพี่น้องที่มีแฟน พี่เอิงกับสามเลยเป็นตัวตั้งตัวตีคอยคัดกรองแฟนให้ผมแทนพ่อกับแม่น่ะครับ”
อาจเพราะพวกผมสามคนพี่น้องสนิทกันยิ่งกว่าตังเม
เรื่องบางเรื่อง พ่อกับแม่จึงเพียงเฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ ระหว่างที่ปล่อยให้พวกเราร่วมด้วยช่วยกันหาทางแก้ปัญหาเอาเอง
มีบ้างที่กว่าจะได้ผลลัพธ์ พวกเราอาจจะแฉลบออกนอกลู่นอกทาง
แต่หากพี่หรือน้องทัดทาน
เราก็จะเพิ่มความระแวดระวังและตั้งใจใคร่ครวญหาทางออกที่ดีที่สุด
ทีนี้พอมาถึงเรื่องหัวใจ คนที่เคยใช้สิทธิออกเสียงโหวตนโยบายต่าง
ๆ มาตั้งแต่ต้นอย่างพี่เอิงกับไอ้สามเลยกลายเป็นก้างชิ้นใหญ่ของแฟนผมไปโดยปริยายเสมอ
หรือถ้าจะพูดง่าย ๆ ว่าพี่กับน้องค่อนข้างห่วงและหวงผม ก็ไม่ผิดเสียทีเดียว
“ตอนเลิกกับพี่บูม ผมเสียศูนย์พอสมควร แต่มันมาหนักตรงที่พี่บูมเองก็ตามรังควานผมไปทุกที่
ครอบครัวผมเลยเป็นห่วงผมมาก โดยเฉพาะพี่เอิงกับสามที่คอยปกป้องผมยิ่งกว่าไข่ในหิน”
วันที่รู้เรื่องพี่เมธ
ผมโทรบอกพี่เอิงให้มารับผมกลับบ้านเพราะยังช็อกไม่หาย ใจมันงอแงจนไม่อยากขับรถเอง สรุปสุดท้าย
พี่กับน้องชายก็แห่กันมารับผมทั้งคู่ สภาพผมตอนนั้นคงผีบ้ามาก
เพราะนอกจากพี่เอิงจะไม่ถามอะไรสักคำ ไอ้สามยังกอดผมเอาไว้ตลอดเวลาทั้ง ๆ
มันไม่ค่อยทำอะไรแบบนี้
พอย้ายกลับมาอยู่บ้าน
ถึงผมจะออกไปทำงานตามปกติ แต่พอเลิกงาน ถ้าไม่ได้อยู่กับเพื่อน ๆ
ผมก็มักจะฝังตัวอยู่ในห้องแล้วร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรจนพ่อกับแม่ต้องคอยมาเคาะประตูเรียกให้ลงไปนั่งดูหนังข้างล่างกับพวกท่าน
(นี่เลยเป็นจุดเปลี่ยนให้พ่อกับแม่ผมติดซีรี่ส์เกาหลีเป็นการถาวร) ซึ่งผมเพิ่งมารู้ทีหลังว่า
ระหว่างช่วงเวลาครอบครัวบำบัดนั้นเอง พี่ชายกับน้องชายผมมักจะติดต่อกับพวกเฟมเพื่อคอยกันท่าไอ้พี่บูมไม่ให้กลับมาวอแวผมได้อีก
“ตอนแรกผมคิดว่า ถ้าผมเลิกเฮิร์ต ทุกอย่างก็จะกลับสู่สภาพปกติ
แต่จนป่านนี้ น้องชายผมมันยังอินเรื่องพี่บูมไม่เลิก
ผมเลยไม่แน่ใจว่าถ้าสามเจอพี่หนาว น้องผมมันจะทำตัวห่าม ๆ ใส่พี่หนาวหรือเปล่าน่ะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ พี่น่าจะรับมือไหวนะ”
“พี่หนาวไม่ต้องห่วงนะครับ ยังไงผมก็ไม่ปล่อยให้ใครทำอะไรพี่หนาวแน่”
ผมไกวแขนข้างที่เราจับมือกันไปมาหลังประกาศจุดยืนอย่างหนักแน่น... แฟนผมทั้งคน
ผมต้องปกป้องให้จงได้
ลุงแกหัวเราะจนไหล่สั่นแล้วบีบมือผมเบา
ๆ “ขอบคุณครับ”
ผมสูดอากาศยามเช้าเข้าเต็มปอดพลางคลี่ยิ้มให้ลุงไซด์ไลน์
จากเหตุการณ์สารพันเมื่อคืน ผมไม่นึกเหมือนกันว่าตัวเองจะมีแรงตื่นแต่เช้าได้ขนาดนี้
แต่คงเป็นเพราะเรื่องกรนกับนอนน้ำลายหกนี่แหละที่ทำผมกระดากจนไม่กล้าตีมึนแล้วนอนต่อ
แต่ได้มาเดินคุยกับพี่หนาวแบบนี้ก็ดี เพราะนอกจากอากาศจะเป็นใจแล้ว
บรรยากาศยังโรแมนติกเหมาะแก่การหนุงหนิงกันประสาข้าวใหม่ปลามันมาก ๆ
ผมเห็นเปลือกหอยอันหนึ่งหงายอยู่เลยก้มลงเก็บขึ้นมาลองพลิกดู
“ว้า สีชมพู น่าเสียดาย ลายสวยด้วยครับ” จังหวะที่กำลังจะโยนเปลือกหอยนั้นทิ้ง
พี่หนาวกลับรั้งมือผมไว้
“ขอพี่ถ่ายรูปก่อนนะ”
“แต่มันสีชมพูนะครับ” ผมมองหน้าลุงแกงง
ๆ เพราะเปลือกหอยอันนี้ไม่ตรงโจทย์
“ไม่เป็นไรครับ” พี่หนาวตอบยิ้ม ๆ
ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งยอง ๆ พลางกดมือถืออย่างรวดเร็ว
ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจอารมณ์ติสต์ของผู้สักเท่าไร
แต่ภาพพี่หนาวขณะตั้งใจถ่ายรูปเปลือกหอยโดยมีผืนน้ำระยิบระยับกับเกลียวคลื่นเป็นพื้นหลังก็ใช่จะมองข้ามได้
แดดยามเช้าที่ส่องลอดกลุ่มเมฆลงมาเปลี่ยนเส้นผมสีเข้มตรงข้างแก้มที่มีไรหนวดจาง ๆ ให้กลายเป็นสีน้ำตาล
หนำซ้ำยังทำให้เจ้าตัวดูละมุนมีออร่าและดาเมจรุนแรงกว่าที่เคย
เฮ้อ ทำไมสิ่งแวดล้อมถึงจะต้องทำให้ลุงไซด์ไลน์หล่อวัวตายความล้มจนผมรู้สึกผิดบาปที่ได้เขามาเป็นแฟนด้วย
เออ นั่นสิ... แล้วที่ผมตกลงคบหาเป็นแฟนกับพี่หนาว
ผมจะไม่ถูกโรคกับคุณพ่อสามี หรือจะต้องเผชิญมหากาพย์ดราม่าแม่ผัวลูกสะใภ้ไหมวะ
“แล้วครอบครัวพี่หนาวเป็นยังไงบ้างครับ...
พ่อแม่พี่หนาวจะโอเคกับผมไหม”
“พ่อแม่พี่เสียหมดแล้วครับ
ตอนนี้เหลือแต่ยัยฝนคนเดียว” พี่หนาวลุกขึ้นยืนแล้วก้มลงมองสบตาผมอย่างตั้งใจ
“แต่พี่ว่ายัยฝนน่าจะชอบทูนะ”
“ทำไมล่ะครับ”
ลุงแกฉวยมือผมไปกุมเอาไว้อีกรอบก่อนจะยกมุมปากขึ้นจนลักยิ้มโผล่มาทักทายกัน
“ก็เพราะพี่ชอบทูไง”
ฮือ... ย้วยมาก ผมย้วยจนแม้ใจจะอยากยิ้มให้เต็มหน้า
แต่เพราะเขินจนเป็นบ้าเลยได้แต่เม้มปากแน่น ผมมองสายตาคมปลาบคู่นั้นเพียงอึดใจก่อนจะเสมองไปทางอื่นพลางเฉไฉเสียเลย
“เดินต่อเถอะครับ เดี๋ยวการบ้านปลาวาฬไม่เสร็จกันพอดี”
“ครับ ๆ ” จังหวะที่เจ้าตัวเอ่ยรับปาก โทรศัพท์ในมืออีกข้างของพี่หนาวก็ส่งเสียงขึ้นเสียก่อน
“ทู มานี่เร็ว” ลุงไซด์ไลน์ยิ้มกว้างพลางฉุดข้อมือผมให้ยืนซ้อนด้านหน้าแล้วจึงชูโทรศัพท์ขึ้นก่อนกดรับสาย
(คุณพ่อ! ปลาทู!) ผมยิ้มจนแก้มเต่งเมื่อเห็นเจ้าวาฬน้อยโบกมือไหว
ๆ อยู่ในหน้าจอมือถือ เจ้าตัวเล็กชูแขนพลางโยกตัวเด้งดึ๋งขึ้น ๆ ลง ๆ
พลางยิ้มไม่หุบหลังเห็นหน้าพวกเราสองคน
“อรุณสวัสดิ์ครับลูก”
“ปลาวาฬ อรุณสวัสดิ์ครับ” ผมโบกมือทักทายเจ้าหญิงยิ้มหวานในหน้าจอ
ด้านหลังของเด็กน้อยเป็นครัวฝรั่งขนาดใหญ่ที่ดูทันสมัยและเต็มไปด้วยอุปกรณ์ครบมือยิ่งกว่าครัวบ้านพี่หนาว
ผมเห็นพี่ป็อบปี้กำลังคุยกับผู้หญิงอีกคนที่น่าจะเป็นคุณแม่บ้าน
ไม่ก็พี่เลี้ยงของเด็กหญิงทั้งสองอยู่ไม่ไกล จากมุมนี้ ผมเดาว่าพี่ป็อบปี้คงปล่อยให้ปลาวาฬนั่งคุยโทรศัพท์อยู่ตรงโต๊ะกินข้าว
(เปลือกหอยที่ปลาทูเลือกให้สวยมากเลยค่ะ
สีชมพูด้วย ปลาวาฬชอบ)
ปลาวาฬเท้าคางกับหลังฝ่ามือที่วางราบอยู่กับโต๊ะพลางจ้องมองตรงมาที่ผมด้วยสายตาชื่นชม
“อ่า... ครับ” ผมขึงรอยยิ้มค้างบนหน้าพลางเหลือบมองตาลุงข้าง
ๆ อย่างทึ่ง ๆ ... ที่แวะถ่ายรูปเมื่อกี้คือแอบกดส่งไปอวดลูกสาวด้วยใช่ไหมเนี่ย
โอ้โห สุดยอดคุณพ่อผู้รู้จักลักไก่ไม่มีใครเกิน
“คุณพ่อได้รางวัลกี่ดาวครับ” ตอนที่พี่หนาวยิ้มแย้มพูดคุยกับลูกสาว
ฝ่ามือของเจ้าตัวก็ค่อย ๆ สอดนิ้วประสานกับมือของผมจนไร้ช่องว่างอีกครั้ง
สัมผัสนั้นทำให้ผมก้มหน้าลงมองปลายเท้าอย่างประหม่า
การที่พี่หนาวทำแบบนี้ในขณะที่กำลังคุยกับเจ้าวาฬน้อยช่วยตอกย้ำให้ผมยิ่งมั่นใจว่า
เราจะผ่านทุก ๆ ปัญหาไปด้วยกัน
(คุณพ่อได้ห้าดาวเต็ม
ส่วนปลาทูได้หกดาวเต็มห้าค่ะ)
“อ้าว
ทำไมพ่อไม่ได้ดาวเท่าอาทูล่ะครับลูก”
(ก็ปลาทูเป็นคนหานี่คะ
คุณพ่อแค่ถ่ายรูปส่งมา ปลาวาฬก็ต้องให้คะแนนปลาทูมากกว่าคุณพ่อสิคะ)
ผมเงยหน้าขึ้นมองเด็กหญิงจอมเจื้อยแจ้วอีกครั้งอย่างห้ามใจไม่ได้...
ฮือ ทำไมหนูถึงขยันทำตัวน่ารักจนอาทูทั้งรักทั้งหลงหนูจนโงหัวไม่ขึ้นนักล่ะลูก
“โอเคครับ พ่อเข้าใจแล้ว” พี่หนาวยิ้มอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึมในบัดดล
“พ่อขอโทษนะครับที่เมื่อคืนพ่อไม่ได้โทรไปกู๊ดไนท์” เป็นเพราะเรื่องวุ่นวายเมื่อคืน
ผมเลยไม่ได้ส่งปลาวาฬเข้านอนตามที่รับปากแกไว้ หลังตามไปช่วยผม พี่หนาวก็ส่งข้อความไปแคนเซิลพี่ป๊อบปี้เพราะไม่อยากให้แกต้องถ่างตารอจนนอนดึก
(ไม่เป็นไรค่ะ
คุณแม่บอกปลาวาฬแล้วว่าคุณพ่อกับปลาทูคุยกับลุงเซนอยู่)
ผมปล่อยให้สองพ่อลูกคุยกันพลางจ้องมองเจ้าตัวเล็กในหน้าจออย่างมีความสุข
ถ้าเจอหน้ากันรอบนี้ ผมจะฟัดแกให้หายคิดถึงเลยคอยดู
“กินข้าวเช้าหรือยังครับลูก”
ปลาวาฬเหลียวมองพี่ป็อบปี้คล้ายกำลังพะวง
แต่คงเพราะเห็นว่าคุณแม่ยังคุยติดพัน เจ้าตัวเล็กจึงหันมาโม้กับพวกผมอย่างรื่นเริง
(กำลังจะไปกินค่ะ แต่ปลาวาฬขอให้คุณแม่โทรหาคุณพ่อก่อน)
“ลูกล้างหน้าแปรงฟันหรือยังครับ”
(ล้างแล้วค่ะ แปรงฟันแล้วด้วย) ผมหลุดหัวเราะเมื่อเห็นเจ้าวาฬน้อยอ้าปากกว้างแล้วทำท่าพ่นลมหายใจเหมือนในโฆษณาน้ำยาบ้วนปาก
พอเจ้าตัวได้ยินเสียงผมก็ฉีกยิ้มยิงฟันใส่กล้องเสียยกใหญ่ (วันนี้ทุกคนตื่นเช้าเพราะคุณแม่จะทำ
French toast ให้พวกเรากินค่ะ)
“กินเผื่อพ่อกับอาทูด้วยนะครับลูก”
(ได้ค่ะ
คุณแม่ฝากมาถามว่าคุณพ่อจะกลับกี่โมงคะ)
พี่หนาวกับผมมองหน้ากันครู่หนึ่งก่อนลุงแกจะให้คำตอบลูกสาวเสียงดังฟังชัด
“น่าจะไม่เกินหนึ่งทุ่มครับลูก เดี๋ยวพ่อโทรคุยกับคุณแม่เรื่องเวลาอีกทีนะครับ”
(แล้วปลาวาฬจะได้เจอปลาทูไหมคะ)
ปลาวาฬทอดเสียงออดอ้อนจนผมอ่อนเป็นขี้ผึ้งลนไฟ... โอ๊ยลูกสาว
เล่นช้อนตาจ้องมองอาทูแบบนั้น ถ้าอาทูยังทำลายความหวังของหนูได้ลงคอ
อาทูก็ใจร้ายเกินไปแล้ว
“ครับ เจอครับ” ผมละล่ำละลักปากคอสั่น
ใจนี่อยากจะหายตัวแว้บกลับบ้านแล้วคุยกับพ่อแม่เรื่องพี่หนาวเสียตอนนี้เดี๋ยวนี้เลยทีเดียว
(เย่! ดีใจจัง ปลาวาฬคิดถึงปลาทูที่สุดเล้ย!) เด็กหญิงในจอมือถือตบมือเปาะแปะพลางโยกตัวดึ๋ง
ๆ เลียนแบบลูกจิงโจ้อีกครั้งจนพี่หนาวยังแอบขำแกไปพร้อม ๆ กัน (วันนี้กลับมาแล้วเราเล่นจังก้ากันอีกนะคะปลาทู)
“ได้ครับ” จังหวะที่ผมกำลังพูดอยู่นั้น
ก็มีเสียงของพี่ป๊อบปี้ดังลอดเข้ามาในลำโพง
ดูเหมือนว่าคุณแม่คนสวยจะจัดการธุระเสร็จเสียแล้วสิ
“คุณแม่เรียกแล้วครับลูก” พี่หนาวชี้นิ้วให้ลูกสาวมองข้ามไหล่กลับไปยังพี่ป๊อบปี้ที่กำลังเดินเข้ามาหา
ปลาวาฬเลยโบกมือใส่กล้องพลางเอ่ยทิ้งท้ายเร็วรี่
(ค่า เดี๋ยวปลาวาฬไปช่วยคุณแม่ล้างผลไม้ก่อนนะคะ)
“บายครับลูก”
“บ๊ายบายครับปลาวาฬ”
(บ๊ายบายค่า)
หลังจากภาพของเจ้าตัวเล็กในจอดับไปผมก็หันไปคุยกับคนข้างตัวอย่างโล่งอก
“สรุปว่าเราไม่ต้องทำการบ้านส่งปลาวาฬแล้วใช่ไหมครับ”
“ครับ คุณครูตัดเกรดแล้ว
มีคนได้เอบวกด้วย” ฟังคำตอบของลุงแกแล้วผมก็หลุดยิ้ม แต่ก่อนจะได้ตอบอะไรกลับไป
พี่หนาวก็ฉุดมือผมให้เดินตามพร้อมกับถามเบา ๆ “หิวหรือยังทู”
ผมพยักหน้าหงึกหงักพลางยอมรับอย่างไม่เหลือฟอร์ม
“สงสัยเมื่อกี้ผมเผลอนึกภาพตามปลาวาฬมากไปหน่อย อยู่ ๆ ก็อยากกิน French toast ขึ้นมาเฉยเลยครับ”
พูดไปผมก็แอบหวังให้โรงแรมมีเมนูที่ว่า
เพราะตอนนี้กิเลสด้านงานขนมปังชุบไข่สไตล์ฝรั่งเศสกำลังล้ำหน้าพอ ๆ กับน้ำย่อยในกระเพาะเลยทีเดียว
“ถ้างั้นกลับไปกินข้าวเช้ากัน
ตอนเราเดินไปถึงโรงแรม ห้องอาหารน่าจะเปิดพอดี”
ครั้งนี้ผมไม่ได้เออออห่อหมกกับลุงแกเหมือนทุกที
เพราะเมื่อหัวสมองเผลอนึกภาพบรรยากาศในห้องอาหารของโรมแรมไปล่วงหน้า ผมก็รีบรั้งข้อมืออีกฝ่ายพร้อมกับขืนตัวหยุดอยู่กับที่
“พี่หนาวครับ”
“หืม? มีอะไรหรือเปล่าทู” เจ้าของชื่อเลิกคิ้วพลางเอียงคอมองผมอย่างแปลกใจ
ผมค่อย ๆ คลายนิ้วที่เกี่ยวกันจนฝ่ามือของเราต่างเป็นอิสระ...
ถ้ามีคนในโปรเจกต์ออกมาเดินชายหาดตอนนี้
มันคงดีกับพี่หนาวมากกว่าถ้าเราไม่จับมือกัน “ตอนกินข้าว
ผมไปนั่งกับพวกพี่ฟี่นะครับ”
ผมคงจะไม่กังวลจนเป็นบ้าถ้าอาหารเช้าที่โรงแรมจัดไวไม่ใช่ไลน์บุฟเฟ่ต์ซึ่งขึ้นชื่อว่าอร่อย
และหลากหลายเสียจนเกือบทุกคนในโปรเจกต์หมายมั่นปั้นมือว่าจะตื่นแต่เช้าเพื่อมานั่งแช่พลางเคี้ยวเอื้องทุกสิ่งอย่างจนกว่าพนักงานจะชังน้ำหน้า
แน่นอนว่าถ้ามันเป็นแบบนั้น พวกเราคงกลายเป็นหัวข้อแซ่บ ๆ มัน ๆ ให้คนอื่นเอาไปเม้าท์ต่อได้อีกหลายเดือน
“ทูนั่งกับพี่เถอะนะครับ” แทนที่จะให้ความร่วมมือ
คุณพ่อรูปหล่อกลับมองอ้อนแล้วยิ้มหวานใส่กันเหมือนที่แกชอบทำตอนอยากจะให้ผมยอมใจอ่อน
ซึ่งนั่นคือท่าไม้ตายที่ผมแพ้พ่ายแบบพังพินาศมาก “อย่าทิ้งพี่ให้กินข้าวคนเดียวเลยนะ”
บ้าเอ๊ย พี่หนาวแม่งโคตรขี้โกง ทำไมชอบทำแบบนี้วะ...
รู้ใช่ไหมว่าใครมาเห็นแล้วจะกลายเป็นเรื่องใหญ่
รู้ใช่ไหมว่าทำแบบนี้แล้วใจผมบาง แฟนใคร ทำไมร้าย
ผมเสตามองไปอีกทางพลางดันกรอบแว่นแล้วอ้อมแอ้มอย่างจนใจ
“ก็ได้ครับ”
“ไปครับ ไปกินข้าวกัน” เจ้าตัวเอ่ยพลางยื่นฝ่ามือมาตรงหน้าผม
เห็นแบบนั้นผมเลยจับมันไว้แน่น ก่อนที่เราจะเดินเคียงกันกลับไปยังโรงแรมโดยที่ผมไม่นึกอยากพูดอะไรให้ลุงไซด์ไลน์ต้องงัดไม้ตายออกมาใช้อีกครั้ง
••• TBC •••
ขอโทษที่ต้องทำลายความหวังของหลาย
ๆ ท่านกับความหวานแบบเต่า ๆ นะคะ
นี่ยังไม่เห็นวี่แววเลยว่าพี่หนาวจะได้แกะก้างกินพุงปลาทูตอนไหน
(เศร้าใจแทนลุงในบางลีลา)
ยิ่งอีกคู่...
ยิ่งช้าไปกันใหญ่ 555 อดทนกับนิยายเรื่องนี้หน่อยนะคะ
อย่าเพิ่งทิ้งเราไปเน้อออ
จันทร์หน้าเจอกันแบบครบเครื่องค่ะ
เราจะทยอยตอบเมนท์ของทุก
ๆ คนแล้วน้า
เพราะฉะนั้น
ใครเม้าท์อะไรเอาไว้ เราจะเม้าท์กลับไปให้เต็มที่เลย ^^
No comments:
Post a Comment