#14
อยากจะกินกลืนเธอทั้งตัว
ไม่อยากเหลือไว้ให้ใครได้กลิ่น
อยากได้ยินเพียงเสียงของเธอ
เพรียกบอกรักเพ้อถึงฉันผู้เดียว
โอ๊ย โอ๊ย - แจ้ ดนุพล แก้วกาญจน์
…………………………………………………………………………………………………………
“ครับ
ช่อลิลลี่เน้นสีขาวเขียวนะครับ ส่วนอีกช่อจัดแบบฟรีสไตล์เน้นสีโทนม่วง... ครับ ได้ครับ
เดี๋ยวผมส่งรายละเอียดราคาไปให้ทางไลน์นะครับ”ระหว่างแนบหูรอฟังบทสนทนาของลูกค้า คเชนทร์ก็เอี้ยวตัวไปมองเด็กชายที่กำลังนั่งดูดนมกล่องอยู่ตรงโซฟาเป็นพัก
ๆ เมื่อทั้งคู่สบสายตากัน ชายหนุ่มก็รีบเอ่ยเร็ว ๆ “เวลา
เดี๋ยวลุงคุยโทรศัพท์เสร็จแล้วเรากลับบ้านกันนะครับ”
เด็กชายยิ้มรับพลางพยักหน้าให้เจ้าของร้านดอกไม้ที่ยังติดพันกับการรับออเดอร์ทางโทรศัพท์ก่อนจะก้มหน้าก้มตามองลูกพี่ที่นอนขดตัวอยู่ในกล่อง
“ปกติร้านเปิดเก้าโมงครับ
แต่ถ้าจะแวะมารับตั้งแต่แปดโมง ผมคงต้องรบกวนให้รับดอกไม้ตรงเปิดประตูข้างร้านนะครับ
ได้ครับ... เดี๋ยวผมลดราคาให้เป็นพิเศษเลยครับ”
“เวลา
กลับบ้าน!”
“ได้ครับ
สอบถามเพิ่มเติมทางไลน์ได้เลยครับ”
เสียงตะโกนโหวกเหวกจากด้านนอกร้านทำให้คเชนทร์รีบรวบรัดกับปลายสาย
แต่รายละเอียดเพิ่มเติมบางอย่างที่ลูกค้าถามทิ้งท้ายกลับทำให้แขกไม่ได้รับเชิญย่างสามขุมพาตัวเองเข้ามาด้านในร้านดอกไม้อย่างถือดี
“กลับบ้านกับป๊าเดี๋ยวนี้นะเวลา!”
เด็กชายสะดุ้งตกใจเพราะอยู่ดี
ๆ บิดาก็เดินดุ่ม ๆ เข้ามาหาโดยไม่หยุดตะโกน เห็นดังนั้น เจ้าถิ่นที่ยังไม่วางสายก็รีบโฉบไปยืนบังเวลาเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้เป็นพ่อเข้าถึงตัวเด็กชายได้เร็วนัก
“ครับ
ได้ครับ สวัสดีครับ” อดีตนางโชว์ยัดโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงแล้วก้าวไปยืนประจันหน้าชายหนุ่มมารยาททราม
“ไม่เห็นต้องเสียงดังเลยคุณ พูดกันดี ๆ ก็ได้”
“เวลา
มาหาป๊า”
จากเดิมที่แค่รู้สึกไม่ถูกชะตา
แต่ภายหลังจากที่โดนอีกฝ่ายปรายตามองข้ามหัว
หนำซ้ำยังปฏิบัติต่อกันราวกับเขาเป็นอากาศธาตุซ้ำสอง
คเชนทร์ก็รู้สึกชิงชังจนไม่อยากมองหน้าพ่อของเวลาขึ้นมาดื้อ ๆ ส่วนเด็กชายนั้น
นอกจากจะดูสับสนและลังเลเหลือกำลังแล้ว แววตาที่มักจะเจือความโศกเศร้าอยู่เป็นประจำ
ขณะนี้กลับเผยร่องรอยของความหวาดกลัวออกมาอย่างเห็นได้ชัด เห็นดังนั้น
อดีตนางโชว์จึงทนเฉยอยู่ไม่ได้
“ไม่ต้องกลัวนะเวลา
ลุงอยู่นี่แล้วครับ” เจ้าของร้านดอกไม้โอบไหล่เด็กชายแล้วดึงตัวมายืนข้าง ๆ กัน
“คุณกลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวผมพาเวลาไปส่งเอง”
“เวลา
มานี่!” แทนที่จะโต้ตอบกับคเชนทร์ดี ๆ
ธามกลับทำหูทวนลมก่อนจะใช้น้ำเสียงห้วนห้าวกดดันลูกชายอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อเห็นเลือดเนื้อเชื้อไขยืนก้มหน้านิ่งราวกับต่อต้าน
เส้นความอดทนของคนเป็นพ่อก็ขาดผึง
“ไม่ได้ยินที่ป๊าพูดหรือไง?!” สิ้นเสียง ธามก็ปราดเข้าไปฉุดแขนแล้วดึงตัวเด็กชายไปยืนข้างกัน
ฝ่ายเจ้าของร้านดอกไม้ที่เป็นห่วงสวัสดิภาพของเวลาเป็นสำคัญก็ยอมปล่อยเจ้าตัวเล็กเป็นอิสระอย่างไม่มีทางเลือก
“ทำไมต้องออกมาเล่นข้างนอก ที่บ้านไม่มีอะไรให้เล่นแล้วหรือไงฮะเวลา
ที่บ้านไม่มีอะไรให้เล่นเหรอ”
เด็กชายก้มหน้า
ขอบตาแดงก่ำ
“ป๊าถามทำไมไม่ตอบ...
ของเล่นที่บ้านน่ะ เล่นครบหมดแล้วหรือยัง”
เวลาส่ายหัวพลางค่อย
ๆ ผ่อนลมหายใจอย่างอดทนอดกลั้น
“ทีหลังไม่ต้องอ้อนอาม่าให้ซื้อของเล่นแล้วนะถ้าจะเล่นทิ้ง
ๆ ขว้าง ๆ แบบนี้น่ะ”
เด็กชายกำมือแน่นคล้ายกับพยายามยื้อไม่ให้น้ำตาหยดแรกรินไหล
“มีอะไรก็ค่อย
ๆ พูด ค่อย ๆ จากันสิคุณ” แม้จะรู้ดีว่าตนเป็นคนนอก
หนำซ้ำยังช่วยเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ไม่ได้ แต่คเชนทร์ก็ทนเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ไม่ไหวเหมือนกัน
แต่ธามกลับยังรั้น ไม่สนใจกระทั่งอาการสั่นเทิ้มของลูกตัวเอง
“กลับบ้าน
แล้วก็ไม่ต้องออกมาเล่นข้างนอกอีกนะ มันอันตราย เข้าใจที่ป๊าพูดไหม”
ภาพของเด็กชายขณะทอดสายตามองแมวหน้ากากสลับกับใบหน้าของคเชนทร์อย่างอาลัยอาวรณ์ทำให้ธามยิ่งตั้งมั่นกับการเอาชนะลูกชายให้จงได้
“ป๊าบอกว่าไม่ให้มาเล่นข้างนอกอีก เข้าใจไหมเวลา”
อดีตนางโชว์ตวัดสายตาขึ้นทันทีที่เห็นหยดน้ำใกล้
ๆ ปลายเท้าเวลาร่วงกระทบพื้นปูนขัด... เด็กชายกำลังร้องไห้
แต่สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มยิ่งรู้สึกเจ็บปวดราวกับโดนกรีดหัวใจคือการที่เขาไม่สามารถช่วยอะไรอีกฝ่ายได้เลย
“คุณ... ผมขอล่ะ คุณคุยกับแกดี ๆ อย่าตะคอกแกอีกเลยได้ไหม”
เพราะปิดกั้นตัวเองจากคเชนทร์โดยสมบูรณ์
ธามจึงคาดหวังให้เลือดเนื้อเชื้อไขตัดขาดจากเจ้าของร้านดอกไม้ตามความพอใจของตน “ไป
กลับบ้านกับป๊า” ว่าแล้ว ธามก็ลากแขนลูกชายให้เดินตาม แต่เวลากลับสะบัดมือทิ้งก่อนจะโผเข้าไปกอดขาเจ้าของร้านดอกไม้คล้ายกับต้องการที่พึ่งพิง
“โอ๋
ๆ ไม่ร้องนะครับ ลุงอยู่กับเวลาตรงนี้แล้วนะ”
ยิ่งปลอบประโลม
เด็กชายก็ยิ่งสะอื้นจนตัวโยน ในขณะที่คนเป็นพ่อยิ่งเดือดดาล
“เวลา! ทำไมถึงดื้อแบบนี้นะ!” เจ้าของเสียงตวาดพุ่งเข้ามาคว้าตัวเวลาไปอุ้มเอาไว้ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
ใบหน้าอาบน้ำตากับสายตาเจ็บปวดเกินอธิบายของเด็กชายฝังแน่นในจิตใจของคนที่ทำได้เพียงแต่มอง
และนั่นทำให้คเชนทร์ตั้งปณิธานกับตนเองอย่างแน่วแน่ว่า หลังจากนี้ เขาจะชดเชยความสุขที่ขาดหายไปแก่เวลาเท่าที่ตัวเขาพอจะทำได้
••••••
เมื่อกวาดตามองไปรอบ
ๆ โถงมืด ๆ ที่มีเพียงลำแสงสีชมพู ลูกบอลดิสโก้ใหญ่เบิ้ม
และหน้าจอโปรเจคเตอร์ขนาดน้อง ๆ ฝาบ้านเป็นแหล่งกำเนิดแสง ผมก็ได้ข้อสรุปว่า
บรรยากาศในตอนนี้ช่างเหมาะสมกับการละลายพฤติกรรมยิ่งกว่าเมื่อครั้งที่คุณพันเลิศลากพวกเราไปกินข้าวกลางวันร่วมโต๊ะพร้อมหน้าเป็นไหน
ๆ ยิ่งเมื่อขั้นตอนการพรีเซนต์ Blueprint
ผ่านพ้นไปอย่างราบรื่นด้วยแล้ว
ชาวโปรเจคทุกผู้ทุกคนก็ยิ่งพร้อมจะปลดปล่อยผีร้ายในตัวให้ออกมาวาดลวดลายกันอย่างเต็มเหนี่ยว
ไม่อย่างนั้น ผับเล็ก ๆ แห่งนี้คงไม่กลายสภาพเป็นลานแอโรบิคภายในเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงแน่
ๆ
“แกนี่มัวแต่กินอยู่ได้
ไปตายอดตายอยากที่ไหนมายะ” พี่ฟี่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กันตีแขนผมเบา ๆ
ถึงความมืดสลัวจะทำให้มองเห็นใบหน้ากลม ๆ ของรุ่นพี่แค่เพียงเศษเสี้ยว แต่ดูจากสายตาผมก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงเป็นใยผมมากกว่าตั้งใจจะแซะกัน
“ก็มันหิวอ่ะพี่
วันนี้ทั้งวันผมได้กินแค่มื้อเดียวเองนะ” ผมบ่นพลางตักข้าวผัดเข้าปากอย่างต่อเนื่อง
นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อตอนเที่ยงพี่จี๊ดเร่งพวกผมให้รีบรีวิวเอกสาร Blueprint รอบสุดท้าย
ผมคงได้กินข้าวกลางวันอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยไปแล้ว
“เออ
ฉันก็เหมือนกัน” ผู้ร่วมชะตากรรมอดอาหารเอ่ยพลางตักเนื้อปลาใส่ลงในจานผม “อ่ะแก
กินเยอะ ๆ ปล่อยให้พวกบ้าไมค์อดตายไปซะ” ว่าแล้วพี่ฟี่ก็ปรายตาพร้อมเบะปากมองยีนส์ที่พ่นแร๊ปสำเนียงปู่จ๋านอยู่กับพวกคุณโอ้เอ้เป็นเพลงที่สอง
เห็นหน้าพี่ฟี่ตอนนี้แล้วผมก็อดหัวเราะไม่ได้
เพราะเจ้าแม่กรมข่าวลือแกทีมโอชิบีเอ็นเค นี่ถ้าคืนนี้ใครเผลอเปิดโหลคุกกี้ เชื่อเถอะว่าต้องได้เห็นแกทิ้งช้อนจานและอาหารหวานคาวไปปั้นโอนิกิริก่อนใครเพื่อน
“ตอนแรกที่คุณมิ้มบอกว่าบอสจะเลี้ยงข้าวทีมโปรเจค
ฉันก็นึกว่ามานั่งฟังเพลง กินข้าวแกล้มเหล้าชิล ๆ ที่ไหนได้
คุณพันเลิศเล่นยกพวกมาปิดร้านเขาแล้วเอามาทำคาราโอเกะส่วนตัวเฉย...
ไม่รวยจริงทำไม่ได้นะคะ” หัวหน้าทีมแอบเหน็บสปอนเซอร์รายใหญ่ด้วยความหมั่นไส้ แต่ก็นะ
ใครใช้ให้ตาลุงคาสโนว่าขยันโชว์ป๋าใส่พี่จี๊ดไม่หยุดหย่อนเองล่ะ
ถึงพวกผมจะไม่รู้ว่ารอบนี้คุณพันเลิศจะกระเป๋าแหกไหม
แต่บอกเลยว่าปลาเก๋านึ่งซีอิ๊วที่เพิ่งกินไป แซ่บลืม “ก็ดีแล้วป่ะพี่ ขืนไปร้านอื่นสิ
ป่านนี้โดนอัดคลิปแฉข้อหาสร้างมลพิษทางเสียงไปแล้ว”
“หึ!” เพื่อแสดงความเห็นพ้องต้องกัน
เราสองคนก็พร้อมใจหันไปมองยีนส์ที่ยังคงปีนบันไดเสียงร้องแร็ปอย่างมั่นหน้า
บุญบาป
พวกเพื่อนมหาลัยจะต้องแอบเกลียดน้องมันแน่ ๆ ถึงได้สะกดจิตให้ยีนส์เชื่อว่าตัวเองคือลิซ่า
แบล็คพิงค์สาขาสองหนองมน แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่าการต้องทนเห็นจูเนียร์ประจำทีมฆ่าตัวตายในที่สาธารณะ
คือเพื่อนร่วมวงอีกสามคนกับฝูงชนที่ลุกขึ้นเต้นเย้ว ๆ ผสมโรงตามไปด้วยต่างหาก ขนาดนั่งมองอยู่ตั้งนาน
ผมยังบอกไม่ถูกเลยว่า ไอ้ที่เต้นแรงเป็นไส้เดือนถูกขี้เถ้ากันอยู่นี่เพราะรู้สึกสนุกกันจริง
ๆ หรือเพราะอยากจะเซิ้งประท้วงเสียงร้องโหยหวนชวนสังเวชของน้องผมกันแน่
“จริงของแก
นั่น ๆ ดูอะไรนั่น” พี่ฟี่เขย่าแขนผมให้ต้องหันมองตาม
“เอาจริงดิ?!” ภาพของผู้บริหารสูงสุดของบริษัทลูกค้าขณะรับไมค์ต่อจากสี่สาวแบล็คพิงค์ทำผมตกใจจนเผลอยกมือขึ้นทาบอก
ไม่นะ... ใครก็ได้ช่วยบอกผมทีว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริง
“ผมขอมอบเพลงนี้ให้คอนซัลท์ที่รักทุกคนครับ”
“ฉิบหาย!” ผมมองคุณพันเลิศอย่างไม่เชื่อสายตา
ลุงแกเมาหรือไงถึงได้กล้าพูดจาเลี่ยน ๆ ออกไมค์ทั้ง ๆ
ที่แกน่าจะรู้ดีกว่าใครว่าพี่จี๊ดไม่ชอบอะไรแบบนี้ ไม่ต้องถามถึงพี่ฟี่
เพราะรายนั้นนั่งตัวแข็งทำตาเหลือกนำผมไปก่อนแล้ว
“ใช่เลย
โดนใจฉันเลย ไม่มีมากไป ไม่มีน้อยไป ถูกใจทุกอย่าง”
ใช่เลย
ยิ่งคนส่วนใหญ่กรี๊ด ผมก็ยิ่งแน่ใจว่า จุด ๆ
นี้คงไม่มีใครช่วยกู้ชื่อเสียงคืนให้พี่จี๊ดได้อีกแล้ว
โดนจีบจัง
ๆ อย่างนี้ หัวหน้าใหญ่ของพวกผมจะไหวไหมวะ
ผมกับพี่ฟี่ก็มองหน้ากันพลางกลืนน้ำลายดังเอื้อกก่อนจะหันไปมองพี่จี๊ดด้วยความเป็นห่วง
ก่อนจะต้องอ้าปากหวออย่างเหวอ ๆ เพราะแทนที่หัวหน้าใหญ่ของพวกผมจะชักสีหน้าไม่พอใจ
แกกลับนั่งปักหลักไม่ลุกหนีไปไหน หนำซ้ำเมื่อมองเผิน ๆ ผ่านแสงสลัว ๆ ผมดันเห็นมุมปากของแกยกขึ้นนิด
ๆ คล้ายกับกำลังปลื้มปริ่มเสียด้วยซ้ำ
ทันทีที่รู้สึกสบายใจกับอาการของคุณอาทิมา
ผมก็แอบปรายหางตาไปมองหน้าท่าน HR
Director ที่นั่งร่วมโต๊ะประธานให้พอชื่นใจก่อนจะโดนพี่ฟี่สะกิดเรียกยิก
ๆ “เอ้ากิน ๆ เร็วแกช่วยฉันกินหน่อย เดี๋ยวเหลือทิ้ง เสียดายแย่”
“ครับ
ๆ ”
หลังจากความกลัวว่าพี่จี๊ดจะกระอักกระอ่วนได้ผ่านพ้นไป
พวกผมก็เริ่มรู้สึกตัวว่าตนเองกำลังอยู่ผิดที่ผิดทางอย่างไรชอบกล พูดกลาง ๆ
อย่างคนที่ไม่ได้เหม็นความรักหรืออิจฉาอะไรคุณพันเลิศเลยนะ แต่ผมมั่นใจว่าไม่ใช่แค่ผมหรอกที่รู้สึกอึดอัดจนไม่กล้ามองภาพสวีทหวานระหว่างผู้บริหารใหญ่ทั้งสอง
ไม่เชื่อลองไปถามยูสเซอร์บางคนที่เพิ่งลุกไปเข้าห้องน้ำ ไม่ก็แกล้งเดินออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอกสิ...
ผมว่าผมเข้าใจคนหัวอกเดียวกันนะ เพราะถ้าไม่ถือโอกาสหนีตายตอนนี้
ก็ไม่รู้จะได้ทำอีกทีตอนไหน
“พี่ฟี่
ฟี่ทู ให้หนูกดเพลงให้ไหมพี่” ยีนส์ซับเหงื่อพลางยื่นหน้ามาถามพวกผมด้วยน้ำเสียงระรื่น
“ไม่เป็นไร
เดี๋ยวกินเสร็จแล้วค่อยว่ากัน” ผมตอบแทนพี่ฟี่เพราะฝ่ายนั้นเพิ่งตักหมูมะนาวเข้าปากไปหมาด
ๆ อย่าให้แกต้องลำบากตอบจนสำลักเลย
“ไหนแก้วหนูอ่ะคะ”
เงาเสียง (เพี้ยน) ลิซ่ากวาดสายตามองหาแก้วของตัวเอง แต่ใครจะไปจำได้หากเจ้าตัวลืมทำสัญลักษณ์เอาไว้
แถมที่ร้ายไปกว่านั้น คือ เด็กเสิร์ฟที่นี่ดันขยันเปลี่ยนแก้วชงเหล้าให้พวกเราราวกับเป็นสายสืบสุขภาพของกรมอนามัยฯ
“เอาแก้วใหม่เลยเหอะยีนส์
แก้วมันปน ๆ กันไปหมดแล้ว” พี่ฟี่ที่พักซับทิชชู่ตรงมุมปากกวักมือเรียกเด็กเสิร์ฟที่ยืนอยู่ใกล้
ๆ
ระหว่างรอแก้วใบใหม่จากพนักงาน
น้องเล็กประจำทีมก็หันมาทำงานอดิเรกที่ถนัดด้วยความกระตือรือล้น
“ยูสเซอร์ที่นี่กินเหล้าดุมากเลยพี่
หนูเห็นคุณเซียงซดเพียวคนเดียวสามแก้วติดเลยอ่ะ” พอเห็นยีนส์ชะโงกหน้าเข้ามาใกล้
พวกผมเลยพลอยต้องสุมหัวตามไปอย่างช่วยไม่ได้
“คุณเซียงเนี่ยนะ”
พี่ฟี่ดูช็อกแรง แต่ผมว่าเรื่องแบบนี้มันฟันธงจากหน้าตาไม่ได้หรอก ปกติเห็นเงียบ ๆ
ตอนตั้งวงอาจจะกินเหล้าหมดเรียบก็ได้ ใครจะรู้
“ใช่พี่
วอดก้าสามช็อตรวด คอแข็งโคตร”
“เฮ่ย
คอแข็งของจริงมันต้องดูกันยาว ๆ ” ซีเนียร์บึนปากพลางส่ายหัวแย้งการอวยยูสเซอร์ขั้นสุดของน้องน้อย
“เดี๋ยวผมไปเข้าห้องน้ำก่อนนะพี่”
พอเห็นหัวหน้าทีมพยักหน้ารับ ผมก็แอบเหลือบไปมองโต๊ะผู้บริหารแว่บหนึ่ง
แล้วก็ต้องรีบชิ่งออกไปเพราะอีกฝ่ายดันหันทางผมพอดี
.
.
.
.
“อ๊ะ!” ผมตกใจเพราะไม่คิดว่าจะเจอพี่บูมกับคุณไวท์ล้างมืออยู่ในห้องน้ำ
และถ้าให้ผมเดาจากสีหน้าเลิกลั่กของสองคนนั่น ผมคิดว่าพวกเขาคงรู้สึกไม่ต่างกันเท่าไร
ทำไมเมื่อกี้ตอนอยู่ในร้านผมถึงไม่เห็นคู่หู
FI วะ
หรือว่าเพิ่งมาถึง
แต่ผมจะเที่ยวไปสงสัยใครเขาได้
ในเมื่อตั้งแต่หย่อนก้นลงนั่ง นอกจากก้มหน้าก้มตาจ้วงอาหารแล้วก็คงจะมีเพียงท่าน HR Director นี่แหละที่ผมคอยแอบส่องแบบไม่ให้คลาดสายตา
แต่ลืมเรื่องเห่อผู้ของผมไปก่อน เพราะเรื่องน่าแปลกก็คือ ตั้งแต่เริ่มทำโปรเจคมา
ตลอดระยะเวลาเกือบสองเดือน ผมไม่เคยเจอพี่บูมในห้องน้ำชายที่ออฟฟิศลูกค้าเลยสักครั้ง
ดังนั้นพอต้องมาเห็นหน้าอีกฝ่ายพร้อมกับคู่หูโดยไม่คาดฝัน ผมก็พานฉี่ไม่ออกมันเฉย
ๆ ผมเลยเดินผ่านทั้งคู่แล้วเข้าไปใช้ห้องน้ำแทน ซึ่งทันทีที่ได้อยู่ตามลำพัง
ผมก็อดนึกถึงข้อความของพี่เมธเมื่อคืนไม่ได้
ทูช่วยบอกเขาให้เขาติดต่อพี่ทีได้ไหม
พี่ไม่อยากโทรไปรบกวนคุณพ่อบูม ไม่อยากให้ท่านกังวลใจ
นะทู พี่ไหว้ล่ะ
หวังว่าพี่เมธจะไม่โกรธที่ผมทำตามคำขอของแกไม่ได้
ไม่ใช่ว่าผมไม่เลือกปฏิบัติหรือแค้นฝังหุ่นอะไรแกเลยนะ แต่ผมหาโอกาสคุยกับพี่บูมตามลำพังไม่ได้จริง
ๆ ที่สำคัญ ผมเกรงใจคุณไวท์ด้วยเพราะดูจากอาการตาขวาง ๆ ทุกครั้งที่เจอหน้าผมแล้ว
ผมคิดว่าแกคงจะหวงเพื่อนสนิทเอามาก ๆ
“ทู”
“เฮ่ย?!” ผมผงะจนเกือบเสียหลักเมื่ออยู่ ๆ
พี่บูมก็โผล่มายืนดักหน้าห้องน้ำ
“เดี๋ยวก่อนสิทู”
ทันทีที่ตระหนักว่ารอบ ๆ ตัวไม่มีใครอื่น ผมก็พยายามเดินหนี แต่ทางเดินแคบ ๆ
ภายในห้องน้ำกลับเป็นใจกับอีกฝ่ายมากกว่า “พี่ไม่ได้จะทำอะไร พี่แค่อยากขอโทษทูเฉย
ๆ ”
ผมเหลือบมองหน้าแฟนเก่าด้วยความไม่พอใจขณะพยายามจะหาช่องเดินเบี่ยงออกไป
แต่พี่บูมยังคงตามมาประกบจนผมจำต้องทนฟังแกพล่ามไม่หยุด “พี่ขอโทษที่หลอกทู พี่ผิดเอง”
“ไม่เป็นไรครับ
ผมไม่คิดอะไรแล้ว” ผมหวังว่าการตัดบทจะช่วยดึงสติอีกฝ่ายได้... แต่ก็ไม่
“ทู
พี่เลิกกับเมธแล้วนะ” หลังจากพยายามเบี่ยงตัวหลบหลีกกันอยู่พักใหญ่ ๆ
ผมก็แน่ใจว่าพี่บูมคงไม่ยอมปล่อยผมไปง่าย ๆ ผมจึงเดินถอยหลังไปยืนห่าง ๆ แล้วกอดอกยืนฟังอีกฝ่ายอย่างไม่มีทางเลือก
“พี่ขาดทูไม่ได้
พี่เลยขอเลิกกับเขา”
“...”
แว่บแรกที่รู้ตัวว่าผมคือคนที่มาทีหลัง ผมเคยคิดว่า ถ้าพี่บูมยอมตัดขาดกับพี่เมธ
ผมจะให้อภัยแล้วลืมเรื่องคบซ้อนเพื่อที่เราจะได้กลับไปคบกันเหมือนเดิม
แต่เอาเข้าจริง ผมกลับรู้สึกเฉย ๆ ไม่ยินดียินร้ายใด ๆ ทั้งสิ้น กระทั่งความสะใจเมื่อได้รู้ว่าอีกฝ่ายเลิกกับแฟนที่คบกันมาเป็นสิบปีก็ยังไม่มี
“ทู
ให้โอกาสพี่แก้ตัวได้ไหม พี่สัญญาว่าพี่จะไม่ทำให้ทูต้องเสียใจอีก”
ถ้าไม่นับเรื่องที่ขอผมเป็นแฟน เมื่อกี้เป็นอีกครั้งที่พี่บูมอ้อนวอนผมอย่างหมดท่า
แต่อยู่ ๆ ผมก็นึกขึ้นได้ว่า ผมไม่ควรเสียสละเวลาอันมีค่าไปกับผู้ชายตรงหน้าอีกแล้ว
เพราะจะสักกี่วินาทีที่ต้องทนมองใบหน้าของคนใจร้ายก็เทียบไม่ได้กับการได้เห็นพี่หนาวแค่เสี้ยวอึดใจ
“ผมเสียใจด้วยเรื่องที่คุณเลิกกับแฟน
แต่ผมมีแฟนแล้ว ขอทางด้วยครับ” ใบหน้าพี่บูมดูเศร้าหมองลงทันตา แต่เคราะห์ยังดี ที่สุดท้ายแล้วเขาก็ยอมเปิดทางให้ผมเดินออกจากห้องน้ำไปโดยไม่สร้างเรื่องลำบากใจใด
ๆ เพิ่มเติม
.
.
.
.
“ห้องน้ำคนเยอะเหรอ
ไปนานเชียว”
“เปล่าครับ
ผมถ่ายท้องพอดี” พี่ฟี่พยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะก็ก้มหน้ากินข้าวต่อคล้ายไม่ติดใจ
แต่กลายเป็นผมเสียเองที่ต้องเริ่มจะงงกับบรรยากาศครึกครื้นผิดหูผิดตาของผู้คนรอบตัว
“เขาตื่นเต้นอะไรกันอ่ะพี่”
“อ๋อ
คุณหนาวจะร้องเพลง”
“หา! จริงดิพี่?” ถึงจะหลุดปากโพล่งออกไปแบบโง่
ๆ แต่ใจผมกลับเชื่อถือคำตอบของรุ่นพี่ไปเกินครึ่ง เพราะแม้สี่สาวแบล็กพิงค์จะกลับมาทำการแสดงคั่นเวลาอีกครั้ง
ทว่าบุคคลที่ถูกพาดพิงกลับย้ายตัวไปยืนพลิกแค็ตตาล็อกเพลงอยู่ข้าง ๆ ลำโพงอย่างตั้งอกตั้งใจ
“อืม
แต่แฟนแกเขาไม่ได้เสนอตัวหรอก โดนคุณพันเลิศกับพวกยูสเซอร์กดดันน่ะ”
ซีเนียร์ตอบพลางตักทอดมันกุ้งกับห่อหมกใส่จานให้ผม ก่อนหน้านี้พี่ฟี่คงตะบี้ตะบันกินเพราะหิว
แต่ถ้าดูปริมาณกับข้าวที่แกเพิ่งตักให้ ผมคิดว่าแกน่าจะนับผมเป็นแนวร่วมช่วยกำจัดอาหารตรงหน้าไปแล้วแหละ
เอาวะ
กินก็กิน
“โอ๊ย!”
“เฮ่ย!”
พี่ฟี่สะดุ้งโหยงหลังผมแหกปากร้องเสียงหลง
ผมรีบชักเท้าที่เพิ่งโดนเหยียบเต็มแรงกลับเข้าหาตัวแล้วลูบ ๆ คลำ ๆ พลางเงยหน้าขึ้นมองคู่กรณีที่ยืนค้ำหัวผมอยู่โดยไม่หนีไปไหน
“ขอโทษนะครับ
พอดีมันมืดผมเลยมองไม่เห็น” ใครเลยจะคิดว่านั่งอยู่ดี ๆ ผมจะโดนคุณไวท์ที่เพิ่งเดินกลับมาพร้อมถังน้ำแข็งเหยียบเท้าเข้าอย่างจัง
อีกฝ่ายทำท่าตกใจราวกับเพิ่งเห็นว่าเป็นผม เจ้าตัวเลยรีบก้มลงมาถามไถ่เป็นการใหญ่
“เจ็บมากไหมครับ”
“ไม่เป็นไรครับ”
ถึงมุมที่ผมนั่งจะค่อนข้างมืด หนำซ้ำใบหน้าของคุณไวท์ยังย้อนแสง แต่มันกลับไม่ยากเลยหากจะแยกแยะแววตาห่วงใยออกจากสายตาอสรพิษแบบที่อีกฝ่ายใช้มองกัน
เห็นแบบนั้น ผมก็หมดอารมณ์จะปั้นหน้าคุยกับยูสเซอร์ FI ในบัดดล
“ขอโทษนะครับ
คราวหน้าผมจะเดินระวัง ๆ ” คราวนี้หงายการ์ดรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่อยากจะนึกเลยว่าครั้งหน้า
ข้ออ้างของอีกฝ่ายจะเป็นอะไร ช่างเถอะ ถึงยังไงเท้าผมก็ไม่ได้เจ็บมาก
อีกอย่างหากผมทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ เดี๋ยวงานเลี้ยงจะกร่อยเสียเปล่า ๆ
“เจ็บมากไหมแก”
ผมส่ายหัวเบา
ๆ “นิดหน่อยพี่ พอดีเขาเหยียบไม่เต็มแรง”
“น้ำแข็งน่ะให้เด็กเสิร์ฟไปเอาก็ได้ไหมวะ”
พี่ฟี่จิกตามองแรงใส่แผ่นหลังคุณไวท์ก่อนจะระบายความโกรธด้วยการเคี้ยวทอดมันกุ้งอย่างเกรี้ยวกราด
“ฮึ่ม! หลายทีแล้วนะ... หลายทีแล้ว”
“เอาน่า
อย่าคิดมากเลยพี่ เดี๋ยวก็หมดสนุกกันพอดีหรอก” ผมตบบ่ารุ่นพี่เบา ๆ
เพราะเข้าใจทั้งสองฝ่าย คุณไวท์โกรธแทนพี่บูม ส่วนพี่ฟี่ก็เดือดร้อนแทนผม
ทว่าก่อนที่บรรยากาศงานเลี้ยงจะย่ำแย่ไปกว่านี้
เสียงนุ่ม ๆ ฟังทุ้มกว่าปกติก็ดังลอดลำโพงออกมาเรียกความสนใจของทุก ๆ คนให้หันกลับไปมองโครงร่างสูงใหญ่บนเวทีเป็นตาเดียว
“ถ้าผมร้องเพี้ยนก็อย่าถือสากันนะครับ”
“คุณอยากมอบเพลงนี้ให้ใครเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ”
กว่าที่ทุกคนจะรู้ว่าคุณพันเลิศแอบฮุบไมค์ลอยเอาไว้ในครอบครองก็ตอนที่เสียงลุง ๆ
ของแกดังแหวผ่านลำโพงออกมาแล้วนั่นแหละ เจ้าของคำถามทำหน้ากรุ้มกริ่ม หลิ่วตา ยิ้มกว้างพลางอ้าแขนโบกไหว
ๆ เรียกเสียงกรี๊ดสนับสนุนจากแฟนคลับ
แต่ถึงแม้หุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทจะพยายามบิลท์อารมณ์คนดูให้ช่วยกดดันอย่างไร
พี่หนาวก็ยังวางเฉยรักษามาดท่าน HR
Director เอาไว้อย่างเหนียวแน่น
แต่เสี้ยววินาทีหนึ่งก่อนที่เสียงดนตรีจะดังขึ้น สายตาคม ๆ คู่นั้นกลับเลื่อนมาสบตากับผมก่อนที่ลักยิ้มขี้อายตรงเหนือมุมปากจะเผยตัวออกมาทักทายกันเหมือนทุกครั้งที่เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาอมยิ้ม
ผมไม่ได้ตาฝาด
เมื่อกี้พี่หนาวยิ้ม... และเขายิ้มให้ผม!
“อยากข่มตานอนทั้งคืน
แล้วฝัน...ถึงกัน ไม่อยากตื่นพบใคร อยากนอนอย...”
ให้ตายสิ
หัวใจผมเต้นตุบ ๆ เหมือนกับจะหลุดออกมาเสียให้ได้
ยิ่งต้องมาฟังพี่หนาวร้องเพลงไปพร้อม
ๆ กัน หูผมก็อื้อ ตาผมก็ลายรู้สึกคล้าย ๆ จะเป็นลมอยู่รอมร่อ
โอ๊ยลุ๊งงง
อย่าให้ความหวังกันแบบนี้สิ ผมคิดจริง ๆ นะเว่ย
“แฟนแกนี่ครบเครื่องจริง
ๆ ว่ะ หล่อก็หล่อ ร้องเพลงยังเพราะอีก” อานุภาพความฟินทำให้ผมปล่อยให้พี่ฟี่ใช้ปลายข้อศอกกระทุ้งสีข้างตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยหมดเรี่ยวแรงขัดขืน
แต่ความสุขของผมเกิดขึ้นได้ไม่ทันไร น้ำเสียงของลุงไซด์ไลน์ก็เงียบหายไปภายหลังเหตุการณ์ฉุกเฉินที่ส่งผลกระทบต่อทุกผู้ทุกคนโดยเท่าเทียมกัน
“โอ้กกก!” ทันทีที่สุ้มเสียงประหลาด ๆ สิ้นสุด กลุ่มยูสเซอร์ตรงกลางร้านก็หวีดร้องอย่างบ้าคลั่งคล้ายกำลังร้องขอชีวิต
ใจกลางความวุ่นวายนั้นมีคุณเซียงยืนโงนเงนอยู่ก่อนที่แกจะโก่งคอพ่นน้ำมนต์ให้ศีลให้พรทุก
ๆ คนออกมาอีกรอบ
••••••
เหตุคุณเซียงแปลงร่างเป็นเมอร์ไลอ้อนทำให้วงสังสรรค์แตกกระเจิง
ทว่าแม้งานเลี้ยงจะพังไม่เป็นท่าแต่ผมแน่ใจว่าจะต้องมีบางคนไปสนุกต่อที่อื่น อย่างน้อย
ๆ คุณพันเลิศก็หนึ่งล่ะที่ไม่ยอมเลิกล้มปาร์ตี้ง่าย ๆ เดือดร้อนให้นายใหญ่ผมต้องลากพี่ฟี่ตามติดไปช่วยเป็นไม้กันหมา
ซึ่งผมมั่นใจว่าในกรณีนี้มือที่สามน่าจะสมยอม เพราะนอกจากซีเนียร์คอนซัลท์จะได้กินดื่มเปรมปรีดิ์ฟรีตลอดคืนแล้ว
เผลอ ๆ แกอาจจะได้รู้ได้เห็นอะไรดี ๆ ก่อนใครเพื่อนไปอีก
“คุณโอเคไหม”
“ครับ” ถึงจะโอเคกับการต้องกลับบ้านก่อนเวลาอย่างที่เพิ่งตอบไปจริง
ๆ แต่ผมกลับงงใจตัวเองไม่หายที่ยอมขึ้นรถผู้ชายมาง่าย ๆ หลังจากโดนพี่ฟี่ฝากฝังเอาไว้กับท่าน HR Director แค่พอเป็นพิธี... พอลองมาคิด ๆ ดู ตอนนี้สิ่งที่ง่ายกว่าผมคงเหลือแค่ปอกกล้วยแล้วล่ะครับ
“ผมขอโทษด้วยนะที่ทำให้พวกคุณต้องมาเจอเรื่องแบบนี้”
แม้ถนนจะโล่งจนน่าดีใจ แต่พี่หนาวกลับค่อย ๆ บังคับพริอุสไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ
ไม่เร่งรีบ
รอยยิ้มของพี่หนาวที่ยังคงตกค้างอยู่ในหัวทำให้ผมอาศัยลำแสงนวลตาของดวงไฟข้างทางที่ผ่านกรอบหน้าต่างไปอย่างช้า
ๆ เป็นจุดพักสายตาแทนเสี้ยวหน้าด้านข้างของใครบางคน “ไม่เห็นต้องขอโทษเลยครับ
เรื่องปกติของคนกินเหล้า พอร่างกายรับไม่ไหวมันก็ต้องขับออกมาเป็นธรรมดา”
“คุณพูดเหมือนเที่ยวบ่อยงั้นแหละ”
คำถามที่เพิ่งได้ยินดึงความทรงจำเกี่ยวกับตัวเองเมื่อสามสี่ปีก่อนขึ้นมา
ประสาเด็กจบใหม่ผู้ร้อนเงินแต่ไร้วิชาการเข้าสังคม ผมกับเพื่อน ๆ
เคยเมาปลิ้นจนเผลอทำเรื่องเปิ่น ๆ อยู่บ่อยครั้ง ผมจึงสารภาพกับพี่หนาวโดยไม่บิดพลิ้ว
“ตอนเพิ่งจบก็หนักหน่อยครับ พอหาเงินใช้ได้เองมันเลยอยู่ไม่ค่อยติดบ้าน
แต่เดี๋ยวนี้เริ่มแก่ มีเวลาก็อยากนอนมากกว่า”
“หึ ๆ
คุณอายุเท่าไรกันฮึถึงกล้าพูดว่าตัวเองแก่”
อุ่ย... พบคนสูงวัยร้อนตัวหนึ่งอัตรา
“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ คือ เมื่อกี้ผมแค่จะบอกว่าสองสามปีมานี่ผมไม่ค่อยเห่อเที่ยวเหมือนเมื่อก่อนแล้วน่ะครับ”
ตั้งแต่ผมคบกับพี่บูมเมื่อสามปีก่อน ผมก็เลิกเที่ยวกลางคืนเด็ดขาด จะเรียกว่าติดแฟนก็ได้
แต่อีกเหตุผลสำคัญ คือ ทุกครั้งที่เมาผมมักจะแฮงค์ไปอีกหลายวัน ซึ่งผมเกลียดตัวเองเวลาไปทำงานแบบอ๊อง
ๆ เพราะมันไม่แฟร์กับคนที่ผมทำงานด้วย
พี่หนาวยิ้มบาง ๆ พลางกดกระจกข้างตัวลงแล้วยื่นเงินกับบัตรอีซี่พาสให้พนักงาน
ตัวผมที่ยังไม่เลิกเขินจึงได้แต่นับถอยหลังรอให้ไม้กั้นทางด่วนยกขึ้นเร็ว ๆ เพื่อที่ผมจะได้มองสองข้างทางอย่างไม่มีพิรุธต่อไป
กระนั้นระหว่างที่รอพนักงานเก็บค่าผ่านทางเติมเงินบัตรอภิสิทธิ์ ผมก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังโดนคนข้าง
ๆ จ้องมองแบบไม่ละสายตา แต่แล้วไงล่ะ... ผมไม่กล้าหันกลับไปมองลุงแกหรอกนะถ้าตัวเองยังหน้าแดงอยู่แบบนี้
“คุณยังไม่ได้ตอบผมเลย”
ทันทีที่รถเคลื่อนไปข้างหน้า ท่าน HR
Director ก็เริ่มต้นบทสนทนาอีกครั้ง
“ครับ?”
“สรุปว่าคุณอายุเท่าไร”
คำถามของเขาทำให้ผมแปลกใจแต่ก็ไม่นึกรังเกียจหากต้องบอกข้อมูลส่วนตัว
“สิ้นปีนี้ก็จะยี่สิบเจ็ดครับ”
“คุณเก่งนะ
อายุเท่านี้แต่คุณรับผิดชอบงานได้ดีพอ ๆ กับซีเนียร์บางคนที่ผมเคยรับเข้าทำงาน”
ถ้าไม่ใช่เพราะเคยมีปัญหากับคุณเซียงมาก่อน
ผมคงยิ้มหน้าบานตอนได้ยินคำชมเมื่อครู่ “ไม่หรอกครับ ผมยังต้องฝึกอีกเยอะ”
“ผมจะเอาใจช่วยนะ”
“ขอบคุณครับ” ผมพยักหน้ารับพลางแอบอมยิ้ม
ก่อนจะนึกเอะใจที่อยู่ ๆ เพลย์ลิสต์เพลงเก่าที่เจ้าของพริอุสชอบเปิดคลอเวลาขับขี่ก็เล่นเพลงที่ฟังคุ้นหูอย่างไรบอกไม่ถูก
“ใช่เพลงที่คุณร้องตอนนั้นหรือเปล่าครับ”
“ครับ เพลงนี้แหละ”
“น่าเสียดายนะครับที่ไม่ได้ฟังคุณร้องจนจบ
ขนาดร้องแค่ท่อนเดียวผมยังรู้เลยว่าคุณร้องเพลงเพราะมาก”
พี่หนาวหัวเราะเบา ๆ
คล้ายชอบใจก่อนจะเร่งเสียงเพลงให้ดังขึ้นกว่าเดิม “คุณไม่ได้กำลังพูดเอาใจผมอยู่ใช่ไหม”
“ไม่ครับ คุณร้องเพลงเพราะจนพี่ฟี่ยังเคลิ้มเลยครับ”
พี่ฟี่ ขอผมยืมชื่อพี่มาแอบอ้างหน่อยนะ เพราะขืนผมบอกไปว่าคนที่เคลิ้มจัดเป็นตัวผมเอง
ลุงแกอาจจะเหวอจนขับชนรั้วกั้นจนพริอุสพุ่งตกทางด่วนไปก่อนก็ได้
“แล้วคุณอยากฟังให้จบรึเปล่าล่ะ”
ผมอาจมโนแจ่มในบางครั้ง แต่ไม่รู้ทำไม
เมื่อกี้ผมถึงรู้สึกว่าพี่หนาวอยากให้ผมเซย์เยส แต่ผมไม่คิดเข้าข้างตัวเองดีกว่า “ไม่เป็นไรครับ
ไว้คราวหลังก็ได้”
“อืม” คนขับครางรับเบา ๆ
ในลำคอก่อนจะเงียบไป
เอ หรือเมื่อกี้ที่ถามเพราะพี่หนาวอยากร้องเพลงให้ผมฟังจริง
ๆ
บ้า... ไม่มั้ง
คนอย่างพี่หนาวเนี่ยนะจะมุ้งมิ้งเบอร์นั้น เป็นไปไม่ได้ อีกอย่าง ขืนลุงแกร้องเพลงให้ผมฟังทั้ง
ๆ ที่เรายังติดแหง็กอยู่ในห้องปิดตายสี่ล้อ ผมเองนี่แหละที่จะต้องเขินจนขาดใจตายก่อนกลับถึงบ้านชัวร์
ๆ
“จะหยุดเวลาไว้ฝัน ได้ไหม... หรือเออ
จิตใจเราต้องกัน ผูกพันแต่แรกเจอ ต่างคนต่างรู้ดี”
ทันทีที่ได้ยินเสียงคนข้าง ๆ
ดังคลอไปกับเสียงเพลงผมก็นั่งนิ่ง ไม่กล้ากระดิกตัว ไม่กล้าหายใจ ไม่แม้กระทั่งหันไปแอบเหล่มองพี่หนาวเหมือนทุกที
สองตาจ้องถนนข้างหน้าจนคอเริ่มแข็ง พี่หนาวต้องรู้แน่ ๆ เลยว่าผมเขินแกจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว
บุญบาป... พี่หนาวจะร้องทำไม
ถ้าเกิดผมหัวใจวายไปลุงแกจะรับผิดชอบดูแลหรือเปล่า
“แต่ฝันลำเอียง ไม่เหมือนความจริง
ทิ้งเราให้หลงในภวังค์ เจอะกันเพียงครั้งเดียว พูดกันเพียงแป๊บเดียว ยังมิพอ”
ทูมึง อย่ามโน เขาไม่ได้ตั้งใจร้องเพลงให้มึงฟัง
เขาแค่อารมณ์ดีจนเผลอร้องออกมาเฉย ๆ ดึงสติค่ะเพื่อน
โอเคเฟม เพื่อนจะคูลดาวน์
“อยากเหมือนในฝัน สุขนั้นเกินพอ
สองเรายั่วเย้าพะนอ อยากเจอกันครั้งใด หลับตาลงฝันใฝ่ ส่งใจถึงกัน” ความเจ็บปวดจากการทดลองจิกนิ้วลงบนต้นขาเริ่มเห็นผล
ที่สุดผมก็ชิลแล้ว... หึ!
แค่ฟังพี่หนาวร้องเพลงใกล้
ๆ แค่นี้จิ๊บ ๆ มาก
“อ้าว ไหนบอกว่าผมร้องเพลงเพราะไง ทำไมฟังแล้วนิ่งไปเลยล่ะคุณ”
“อ๋อ คือ... ผมตั้งใจฟังอยู่น่ะครับ
เวลาฟังเพลงเพราะ ๆ ทีไร ผมจะหลุดไปเลยครับ” ผมตอบส่ง ๆ เพราะไม่อยากทำตัวมีพิรุธจนไก่ตื่น
ส่วนพี่หนาวกลับหัวเราะร่วน ลุงแกจะอารมณ์ดีไปไหนวะ ไม่เห็นหรือไงว่าผมนั่งจิกต้นขาจนใกล้จะขาดเป็นสองท่อนอยู่แล้วเนี่ย
“แล้วนี่กลับมาหรือยัง”
เอ๊ลุง ทำไมขยี้เก่ง...
ไว้ชีวิตผมเท๊อะ
แม้ใจอยากจะจิกตามองค้อนคนขับให้เข็ดหลาบ
แต่ผมกลับทำได้แค่นั่งก้มหน้ามองรูปร่างแปลกตาของเงาที่พาดลงบนกระเป๋าสะพายเหนือหน้าตัก
ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบลุงแกไปอย่างไร้ทางสู้ “กลับมาแล้วครับ”
“ถ้ากลับมาแล้วก็ช่วยบอกทางผมหน่อย
แถวนี้มันมืด ผมไม่แน่ใจว่าเมื่อกี้ผมจะเลี้ยวถูกซอยหรือเปล่า”
คืนนี้ลุงไซด์ไลน์จัดว่าท็อปฟอร์มมาก
เพราะแกคือคน ๆ เดียวที่ทำให้ผมเขินจนทำอะไรแปลก ๆ ได้ทุกอย่าง
ล่าสุดแค่พูดออกมาประโยคเดียว ผมยังล่กเสียจนยอมเงยหน้าขึ้นมองกันจนได้
พอเห็นรอยยิ้มพิฆาตเต็ม ๆ ตาเท่านั้นแหละ ผมก็เบือนหน้าหลบแล้วแสร้งมองทางทันที “ถูกครับ
เดี๋ยวจอดตรงหลังรถกระบะสีขาวคันนั้นเลยครับ”
“คันไหน”
เอ๊ มันก็ไม่ได้มืดขนาดนั้นเสียหน่อย
ทำไมถึงถามเหมือนมองไม่เห็นอยู่อีก มันมีกระบะจอดอยู่คันเดียว ตาไม่สู้แสงหรือไงลุง
“ก็คันนั้นไงครับ คันตรงถังขยะน่ะครับ”
ผมหันกลับไปมองพี่หนาวอีกครั้งอย่างฉุน ๆ แต่กลับต้องพบว่าเขาเป็นฝ่ายที่จ้องหน้าผมอยู่ก่อนแล้ว
พอสบตากันจัง ๆ อีกครั้ง หัวเหอหน้าเหน้อผมก็ร้อนผ่าวขึ้นทันตา พอรู้สึกตัวว่าตอนนี้ใบหน้าตัวเองจะต้องแดงอยู่แน่
ๆ ผมจึงรีบสะบัดหน้ามองไปอีกทาง... ฮือแม่ครับ ทำไงดีมีผู้ชายแอบมองน้องทู
“ผมจอดตรงนี้นะคุณ”
ผมพยักหน้ารับ “ขอบคุณมากนะครับ”
ว่าแล้วผมก็ตั้งท่าจะลงจากรถทันที แต่พี่หนาวกลับไม่ยอมง่าย ๆ
“เดี๋ยวคุณ”
“ครับ?”
“พรุ่งนี้หลังกินข้าวกลางวันคุณว่างไหม”
“ว่างครับ” ผมกระชับสายหนังของกระเป๋าสะพายให้แนบลำตัวราวกับกลัวอีกฝ่ายจะขโมย
แต่ผมเขินจนไม่อยากรู้สึกโป๊ในอารมณ์มากไปกว่านี้แล้วไง
กระเป๋าเลยกลายเป็นเครื่องช่วยชีวิตที่ผมเกาะไว้ไม่ยอมปล่อยเลย
“คุณช่วยพาผมไปดูร้านขนมที่คุณซื้อเมื่อวันก่อนได้หรือเปล่า”
“ได้ครับ” ลูกล้อเหล็กฝืด ๆ
ที่บดลงแนบรางครั้งแล้วครั้งเล่าจนเกิดเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลทำให้ผมต้องหันไปมอง
“พี่เอิง... สาม?”
พี่กับน้องชายผมทยอยกันเดินออกมายืนกอดอกพลางเพ่งสายตาพยายามมองเข้ามาด้านในห้องโดยสารอย่างสนอกสนใจ
ตั้งแต่เลิกกับพี่บูม พี่เอิงกับสามก็ตั้งตัวเป็นองครักษ์พิทักษ์ผมเต็มที่
ผมจึงไม่แปลกใจเมื่อเห็นทั้งคู่ออกมายืนรอรับผมอย่างพร้อมหน้า
“หืม?” พี่หนาวเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
ผมเลยอดอธิบายไม่ได้
“พี่ชายกับน้องชายผมน่ะครับ
คงเห็นรถจอดเลยออกมาดู ผมขอตัวก่อนนะครับ”
จังหวะที่ผมกำลังจะก้าวขาลงจากรถ คำพูดทิ้งท้ายของลุงไซด์ไลน์ก็ทำให้ผมชะงักจนเกือบเสียหลักลงไปนอนจูบพื้นถนนหน้าบ้าน
“ฝันดีนะคุณ”
“ฝันดีครับ” ผมกดหน้าลงชิดอกเพื่อซ่อนรอยยิ้มแล้วรีบตะเกียกตะกายลงไปยืนข้าง
ๆ ไอ้สามแล้วมองส่งพริอุสจนลับตา
“เมื่อกี้ใครมาส่งอ่ะทู” เสียงน้องชายดังขึ้นข้าง
ๆ หูผมนี่เอง... ผมรู้ว่าพี่เอิงเองก็คงสงสัย แต่ไอ้สามน่ะขี้เผือกมากกว่า
มันเลยถามออกมาตรง ๆ แต่เรื่องอะไรผมจะขิงเรื่องที่ผมยังไม่แน่ใจให้ครอบครัวผมต้องพลอยเป็นห่วงไปก่อนเวลาอันควรด้วยล่ะ
“ไม่บอก” ผมอมยิ้มพลางยักไหล่ใส่น้องก่อนจะเดินเข้าบ้านไปด้วยสเต็ปผู้ชนะแคมเปญที่แท้ทรู...
รอหน่อยนะพี่เอิง สาม ไว้ให้ทูแน่ใจกว่านี้อีกนิด ทูจะเล่าทุก ๆ เรื่องเกี่ยวกับลุงไซด์ไลน์ให้ฟังทันทีเลย
••• TBC •••
]ถึงจะยังไม่รู้ว่าลุงแกคิดอะไร
แต่ที่แน่ ๆ ลุงไม่นิ่งแล้วนะคะ 555
ส่วนด้านคเชนทร์นั้น...
สงสารทั้งคเชนทร์ทั้งเวลาเลย
แต่เรายังยืนยันคำเดิมนะคะว่าเรื่องนี้ไม่เน้นดราม่า
เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงค่ะ
หน่วงไม่นาน
(โดนคนอ่านกระโดดขาคู่ใส่ – ไหนบอกไม่ม่าไง -
555)
ถ้าใครอ่านแล้วชอบ
หรือไม่ชอบอย่างไร อย่าลืมบอกกล่าวกันบ้างนะคะ
#ลุงไซด์ไลน์ละมุนมาก #คันหิม
No comments:
Post a Comment