#13
ก่อนจะนอนคิดถึงกันสักครั้งหนึ่ง
ยิ่งถ้านอนฝันถึงกันก็ยิ่งขอบใจ
ตื่นขึ้นมาคิดถึงอีกสักครั้งหนึ่ง
เพียงแต่ใจซึ้งถึงคนที่ห่างไกลสายตา สองเวลาก็พอแล้ว
สองเวลา - ศรัณย่า ส่งเสริมสวัสดิ์
…………………………………………………………………………………………………………
“ผมในฐานะตัวแทนของผู้บริหารบริษัท King’s Bev. ขอเชิญทีมโปรเจคทุก ๆ คนร่วมงานสังสรรค์ช่วงเย็นพรุ่งนี้พร้อมกันนะครับ”
หลังจากทีมผมพรีเซนต์ Blueprint
จบ ผู้มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดก็ชิงปิดการประชุมก่อนที่ทั้งยูสเซอร์และคอนซัลท์จะแยกย้ายกันกลับไปทำงานต่อ
“พวกเราไปแน่ค่ะเพราะต้องไปฉลองที่คุณคิมหันต์อนุมัติ
blueprint... ใช่ไหมคะ” คนพูดหลิ่วตาก่อนจะฉีกยิ้มกว้างเสียจนมุมปากแทบผลุบหายเข้ารูหู
ตั้งแต่เกือบโดนพี่หนาวเปิดประตูฟาดหน้าไปเมื่อคราวนั้น
พี่ฟี่ก็ทำตัวเหมือนแอบไปอัพเลเวลความซ่าจนเดี๋ยวนี้กล้าพูดจาหยอกเอินตัวท็อปฝั่งลูกค้าต่อหน้าธารกำนัลไปเสียแล้ว
แต่นั่นกลับไม่น่าแปลกใจมากเท่ากับการที่พี่หนาวลดกำแพงน้ำแข็งลงแล้วเปิดทางให้ซีเนียร์ทีมผมปู้ยี้ปู้ยำได้ตามใจ
มีอย่างที่ไหน แทนที่จะปั้นหน้าเป็นม้าหมากรุกแล้วโขกสับพวกผมเหมือนช่วงแรก
ๆ ท่าน HR Director กลับหลุดหัวเราะเบา ๆ ราวกับชอบใจ
“ขอผมอ่านเอกสารอีกสักรอบนะครับ ถ้าเอกสารตรงตามที่พวกคุณพรีเซนต์ก็ไม่น่ามีปัญหา”
ได้ยินแบบนั้น สองสาวคอนซัลท์ก็พากันหัวเราะคิกคักก่อนที่ตัวแม่จะลุยต่อ
“ว่าแต่งานพรุ่งนี้จะจัดที่ไหนเหรอคะ มีเดรสโค้ดไหม พวกเราจะได้แต่งตัวถูก”
ฟังแล้วผมก็แอบเบ้ปากใส่รุ่นพี่เพราะแกนี่แหละคือสายที่คาบข่าวเรื่องงานเลี้ยงวันพรุ่งนี้มาบอกผมกับยีนส์ตั้งแต่เมื่อสองวันก่อน
รู้แล้วยังจะแกล้งถามลุงแกอีก... พี่ฟี่เล่นอะไรอยู่วะ
“ผมรวบกวนคุณมิ้มช่วยชี้แจงรายละเอียดให้ทุกท่านทราบทีนะครับ”
“ได้ค่ะ” พี่หนาวพยักหน้ารับคำก่อนจะยกมุมปากน้อย
ๆ ปิดท้ายเป็นอันจบพิธี
เออเว้ย ลุงแกไม่โกรธพี่ฟี่จริง ๆ
ด้วยว่ะ...
เอ ผมชักสงสัยแล้วสิว่าการที่ท่านผู้อำนวยการแผนกบุคคลเข้าถึงง่ายกว่าเดิม
เป็นเพราะลูกพี่ผมไม่มีความเกรงใจ หรือเพราะลุงแกเริ่มคุ้นเคยกับพวกเรา พี่ฟี่เลยกล้าปีนเกลียวเทียบรุ่น
แต่เอาเถอะ พี่หนาวไม่โกรธก็ดี ขืนองค์เทพลงประทับจริง ๆ ทีมคอนซัลท์ที่ไม่มีพี่ใหญ่คงตายก่อนที่จะทำโปรเจคสำเร็จ
.
.
.
.
“เดี๋ยว ๆ แวะก่อน” พี่ฟี่ฉุดแขนผมให้หยุดตรงหน้าร้านที่รวบรวมขนมจากร้านเบเกอรี่ขึ้นชื่อหลาย
ๆ แห่งมาวางขาย แกบุ้ยใบ้พร้อมอธิบายเสร็จสรรพโดยไม่รอให้ผมถาม “ยีนส์มันฝากซื้อ”
นาน ๆ ทีน้องนุชสุดท้องประจำทีมจะไม่ลงมากินข้าวกลางวัน
แม้ลึก ๆ ผมจะเป็นห่วง
แต่ถ้าได้ลองมาเห็นสีหน้าพร้อมประจัญบานประหนึ่งชาวบ้านบางระจันของยีนส์ตั้งแต่เมื่อเช้า
เป็นใครก็ต้องยอมปล่อยให้น้องมันแอบใช้เน็ตลูกค้าแย่งกดซื้อบัตรคอนฯ
ตามยถากรรมเหมือนที่ผมกับพี่ฟี่ทำแน่ ๆ
“แค่นี้ยีนส์มันจะอิ่มเหรอพี่ฟี่” ผมปรายตามองบรรดาถุงขนมตรงหน้าอย่างไม่เชื่อถือ...
เห็นผอม ๆ ลีน ๆ หุ่นเป็นนางแบบนั่นคือภาพลวงตา เพราะถ้าเป็นเรื่องกินแล้ว ยีนส์คือเครื่องบดอัดกำจัดอาหารในคราบเด็กสาวหน้าใสวัยแบ๊วที่แท้ทรู
“ใครบอกว่าแค่นี้ยะ นี่ ดูซะก่อน” ว่าแล้วพี่ฟี่ก็ชูบ๊ะจ่างสองลูกพร้อมด้วยผลไม้ถุงใหญ่กับชานมไข่มุกขึ้นอวด
“โอเคพี่” ผมชูมืออย่างพ่ายแพ้ก่อนจะหยิบถุงขนมตรงหน้าขึ้นมาส่องวันหมดอายุแก้เบื่อไปพลาง
ๆ
“นี่”
ปลายศอกของรุ่นพี่ที่จิ้มโดนสีข้างผมเบา
ๆ ทำให้ผมยอมละสายตาจากถุงขนมในมือ “อะไรพี่”
“แกจะไม่ซื้ออันนี้จริงอ่ะ”
เป็นเพราะมือไม่ว่าง
คู่สนทนาจึงถลึงตาพลางยื่นปลายคางชี้ถุงขนมที่ผมเพิ่งวางลงพลางทำหน้ามีเลศนัย
นึกยังไงถึงถาม
หรือว่าอยากกินแต่กลัวอ้วน
“ไม่อ่ะ ซื้อไปก็ผมกินไม่หมด แต่ถ้าพี่ฟี่อยากกินเดี๋ยวผมซื้อแล้วเราแบ่งกันกินดีป่ะ”
ผมพยายามเสนอทางเลือกเพราะโดยส่วนตัว ผมมักจะไม่เอาใจใครด้วยการกินทิ้งขว้างเป็นอันขาด
ยิ่งโตมาในบ้านที่แม่อุทิศเวลาและความใส่ใจให้กับการทำอาหารทุก ๆ เมนูเป็นพิเศษด้วยแล้ว
ผมก็ยิ่งบูชาของกินทุกชนิดจนไม่กล้ากินเหลือ
“โอ๊ย ที่ถามเนี่ยไม่ใช่เพราะฉันจะกิน
ฉันถามเพราะบ่ายนี้ต้องมีคนหิวมากแน่ ๆ ” นอกจากเฟมแล้วคงมีพี่ฟี่นี่แหละที่สามารถกลอกตาทำหน้ารำคาญแล้วเปลี่ยนไปทำหน้ากรุ้มกริ่มได้ในชั่วพริบตาแบบหารอยต่อไม่เจอ...
เชื่อเขาเลย
“ใครวะพี่” ผมคงจะทำหน้าหมางงอยู่นาน อีกฝ่ายเลยทนรำคาญไม่ไหว
“จิ๊ นี่แกไม่รู้จริง ๆ
เหรอว่าวันนี้แฟนแกเขาติดประชุมยาวถึงบ่ายสามโมง คุณ-หนาว-ไม่-ได้-ลง-มา-กิน-ข้าว-กลาง-วัน-นะ-แก”
“อ้าวเหรอ แล้วพี่ไปรู้เขาได้ไง” ผมเลิกคิ้วพลางหรี่ตามองพี่ฟี่อย่างสนอกสนใจ
แหม พักนี้เมนเทอร์ผมชักจะฟอร์มดีเกินไปแล้ว เรื่องเมื่อเช้าก็ทีนึง กลางวันยังไม่วายขยันทำเซอร์ไพรส์ไม่หยุดหย่อน
“นั่นแน่ แกอยากรู้แล้วอ่ะดี้ว่าฉันรู้ได้ไง”
คนพูดยักคิ้วแล้วโยกหัวมองผมอย่างกวน ๆ
“เฮ่อ” เห็นอาการเหิมเกริมของคู่สนทนาแล้วผมก็ถอนหายใจ
อีกฝ่ายเล่นออกตัวแรงเบอร์นี้ ผมคงจะไม่อยากรู้เลยมั้ง แต่เพราะรู้ว่าพี่ฟี่ต้องด่าพ่อผมแน่
ๆ ถ้าผมพูดทุกอย่างที่คิดออกมา สุดท้ายผมเลยจำใจพยักหน้ายอมรับแบบขอไปที
“ฉันไม่บอกหรอกย่ะ แกจะได้อยากรู้จนอกแตกตาย คึ ๆ ” ซีเนียร์คอนซัลท์เล่นท่าก่อนจะแค่นหัวเราะด้วยอินเนอร์พี่กิ๊ก
สุวัจนี แต่ถึงอีกฝ่ายจะไม่ยอมบอกแต่ผมก็พอเดาได้ว่าแหล่งข่าวของแกคือคุณมิ้ม
ยูสเซอร์ที่รู้ลึกรู้จริงขิงเก่งทุกประเด็น ซึ่งเมื่อมองในแง่ดี ผมก็พอเห็นประโยชน์
เพราะในบางครั้งการเม้าท์มอยของรุ่นใหญ่ทั้งสองก็ช่วยเบิกเนตรทำให้ผมได้รู้จักแง่มุมใหม่
ๆ เกี่ยวกับตัวพี่หนาวมากขึ้นโดยที่ผมไม่ต้องไปเลียบ ๆ เคียง ๆ เอากับเจ้าตัว
“อยากรู้ใช่ไหม จ้างให้ก็ไม่บอก”
“เฮ่อ” ผมส่ายหัวอย่างหน่าย ๆ แล้วปล่อยพี่ฟี่พร่ำเพ้อของแกไปก่อนจะหันไปแอบงุบงิบยัดเงินให้คนขายแล้วรวบห่อขนมปังแล้วยัดใส่ถุงเสื้อยืดที่เพิ่งซื้อเมื่อครู่อย่างแนบเนียน
ทว่า ณ จังหวะที่กำลังลักลอบขนของหนีภาษีนั้นเอง อยู่ ๆ กลับมีคนมายืนเบียดไหล่อีกฝั่งราวกับจงใจ
“อ้าว มาซื้อขนมเหมือนกันเหรอครับ
ใจตรงกันดีเนอะ”
“คุณไวท์”...พี่บูม พอได้เห็นหน้าอดีตคนรักใกล้
ๆ อีกครั้ง ผมก็เริ่มแน่ใจว่าผมตัดใจจากอีกฝ่ายได้เด็ดขาดแล้วจริง ๆ เพราะนอกจากความรู้สึกตกใจจนเผลอสะดุ้งหลังโดนคุณไวท์กระแทกไหล่แล้ว
ผมก็ไม่รู้สึกอะไรอีก
“คุณทูซื้ออะไรอ่ะครับ
ช่วยแนะนำหน่อยสิ... คุณทูกินอะไรอร่อยผมก็อยากอร่อยด้วยน่ะครับ”
ไอ้สายตาชิ้ง ๆ เหมือนกำลังหาเรื่องของคุณไวท์หมายความว่าอะไรวะ หรือแกจะยังแค้นฝังหุ่นเรื่องที่ผมไม่เล่นด้วย
ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ผมอยากจะบอกคุณไวท์เหลือเกินว่า รับกับรับไม่ทับกันเอง เก็ทเนาะ
“เสร็จยัง”
“เดี๋ยวสิพี่บูม
ไวท์ยังไม่ได้เลือกเลย” คนโดนเร่งยิ่งดูหงุดหงิดส่วนคนเร่งก็หน้าหงิกเป็นตูด...
เออเว้ย สองคนนี้ประหลาดดีแท้ แต่ก่อนที่ใครจะเพลี่ยงพล้ำ พี่ฟี่ที่เพิ่งซื้อขนมเสร็จก็แทรกเข้ามายืนกันผมออกจากบรรยากาศมาคุระหว่างสองคู่หูทีม
FI ได้ทันท่วงที
“พวกพี่ไปก่อนนะคะ
พอดีพี่จะไปซื้อกาแฟเสียหน่อย” ว่าแล้วรุ่นพี่ก็ลากผมติดมือแกแล้วเดินดุ่ม ๆ ไปเลย
.
.
.
.
“เมื่อกี้บูมมันทำอะไรแกหรือเปล่าทู” พี่ฟี่ถามขึ้นทันทีที่เราสองคนอยู่ในลิฟท์กันตามลำพัง
“เปล่าครับ”
“แน่นะ” รุ่นพี่หรี่ตามองจับผิดจนผมอดรู้สึกแปลก
ๆ ไม่ได้
“แน่ดิพี่ ผมจะโกหกพี่ทำไมล่ะ”
“แล้วไป” คนพูดดูโล่งอกเสียจนผมเผลอจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างเอาเป็นเอาตาย
ในใจนึกอยากถามแกเหลือเกินว่าแกจะเดือดร้อนกับเรื่องพี่บูมไปทำไม แต่อยู่ดี ๆ
พี่ฟี่ก็โพล่งขึ้นด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ แบบรู้ทันเหมือนที่แกทำตอนเจอพี่หนาวมารับผมเมื่อเย็นวันก่อน
“แล้วนี่แกจะเอาขนมไปให้คุณหนาวยังไงยะ”
“บ้า ขนมอะไรของพี่” ถึงผมจะเกลียดท่าทางกรุ้มกริ่มของพี่ฟี่สักแค่ไหน
แต่ก็ยังน้อยกว่าใบหน้าเหวอ ๆ จนแสร้งตีมึนกลบไม่มิดที่ตัวเองกำลังเป็นอยู่ในตอนนี้อยู่ดี
“หึ!” เมนเทอร์ปรายหางตาลงมองถุงเสื้อในมือผมก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปากพลางยักไหล่
“แล้วนั่นอะไร”
“เฮ่ย นี่ผมซื้อมากินเองเหอะ” ถึงรอบนี้ผมจะกดหางเสียงไม่ให้ปลิ้นได้ทันแต่
เอาจริง ๆ ผมดันหุบยิ้มไม่ลงว่ะ
“ย่ะ ทำปากแข็งไปให้ได้ตลอดแล้วกัน”
สายตาของพี่ฟี่ฟ้องว่าเจ้าตัวไม่เชื่อและออกจะรำคาญผมมาก ๆ แต่การที่หัวหน้าทีมไม่พูดไม่จาหนำซ้ำยังทำท่าสนอกสนใจขวดยาทาเล็บสีเจ็บที่เพิ่งตำหมาด
ๆ มากกว่าจะเชื่อคำแก้ตัวข้าง ๆ คู ๆ ของผม ก็ทำให้ผมสำนึกได้
เออว่ะ แล้วผมจะเอาขนมไปให้พี่หนาวกินยังไงถ้านางฟ้าแม่ทูนหัวที่ยืนอยู่ข้าง
ๆ ไม่ยอมช่วย
ที่สุดแล้วความเป็นห่วงผู้ชายก็ทำให้ผมยอมพ่ายแพ้โดยละม่อม
“พี่ฟี่... ผมขอโทษ” ฟังแล้ว คนข้าง ๆ ก็โก่งคอหัวเราะอย่างบ้าคลั่งแต่ยังไม่ยอมพูดอะไร
ผมเลยต้องรีบตื๊อก่อนอีกฝ่ายจะเล่นตัวเกินเบอร์ “พี่ช่วยผมหน่อยดิ”
“แกจะให้ฉันช่วยอะไร”
ยัง ยังจะให้ผมพูดออกมาอีก
“ผมอยากฝากขนมให้พี่หนาวอ่ะครับ
พี่ว่าผมควรทำไงดี” มาถึงขั้นนี้แล้ว ผมก็พร้อมจิกตาสู้ทุก ๆ คำครหาจากขาเม้าท์
แต่โชคดีที่พี่ฟี่ไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นอะไร
“แกถามถูกคนแล้วทู คึ ๆๆ ” พูดแล้ว
หัวหน้าผมก็ยิ้มร่าสาสมใจก่อนจะเชิดหน้ามองบนอย่างมาดหมายคล้ายกำลังนึกเรื่องสนุกสนานอยู่ในหัว
••••••
“เวลา มาล้างมือแล้วกินขนมก่อนครับ” คเชนทร์เดินออกจากห้องครัวหลังร้านพลางส่งเสียงเรียกอาคันตุกะเจ้าประจำ
สองมือของชายหนุ่มถือจานคุกกี้กับนมสตรอว์เบอร์รี่หนึ่งกล่องติดมาด้วย
เมื่อชื่อถูกเอ่ยขาน เด็กชายก็ค่อย ๆ มุดออกมาจากใต้โต๊ะทำงานตรงมุมห้องก่อนจะตั้งท่าวิ่งตามไปตะครุบแมวหน้ากากที่เพิ่งกระโดดแผล็วหลบไปอีกทาง
แต่เพราะยังไม่ทันตั้งหลักให้ดี เจ้าตัวเล็กที่เสียศูนย์ก็ล้มคะมำต่อหน้าต่อตาอดีตนางโชว์
“เวลา!”
“เป็นยังไงบ้าง ไหนขอลุงดูหน่อยครับ...
เจ็บตรงไหนเป็นพิเศษไหมครับเวลา” เจ้าของร้านดอกไม้ถามพลางประคองเด็กชายให้ลุกขึ้นนั่ง
ฝ่ายเวลายังคงนั่งก้มหน้านิ่งไม่ตอบคำ คเชนทร์จึงรีบสำรวจร่างกายอีกฝ่ายอย่างคร่าว
ๆ ก่อนจะพบว่าเจ้าตัวได้แผลถลอกตรงเหนือข้อศอกเป็นที่ระลึก
ดูท่าว่าก่อนที่จะล้มกระแทกพื้น เด็กชายน่าจะใช้แขนยันสีข้างไม่ให้ฟาดพื้น
ข้อศอกจึงรับบทหนักเกินไปถึงขั้นเลือดตกยางออก “เจ็บไหมครับ”
เด็กชายแม้ไม่สบตาหากพยักหน้ารับ
คเชนทร์จึงค่อย ๆ อุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นไปนั่งพักบนโซฟาแล้วอธิบายถึงสิ่งที่ตนกำลังจะทำ
“เดี๋ยวล้างแผลแล้วใส่ยาก่อนนะครับ” พูดจบ เจ้าบ้านก็หมุนตัวเดินไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลบนชั้นข้าง
ๆ ตู้แช่ดอกไม้แล้ววกกลับมานั่งข้าง ๆ กัน
“ขอลุงล้างแผลหน่อยนะครับ” คนโตกว่าใช้สำลีชุบน้ำเกลือเช็ดทำความสะอาดรอบ
ๆ ก่อนจะซับทั่วบาดแผลอย่างเบามือพลางสอบถาม “แสบมากไหม”
เวลากัดฟันกลั้นสะอื้นจนแผ่นหลังกระเพื่อมคลอน
ท่าทางพยายามเข้มแข็งของเด็กชายทำให้คเชนทร์ใจหวิว
“ใส่ยาเดี๋ยวเดียวแล้วก็จะหายเจ็บแล้วนะครับ”
เพราะไม่รู้ว่าจะปลอบประโลมอีกฝ่ายเช่นไร
อดีตนางโชว์จึงบรรเทาอาการเจ็บปวดให้เวลาด้วยวิธีที่มารดาเคยทำให้ตนเมื่อครั้งยังเป็นเด็กเล็ก
ๆ
“เพี้ยง... หายแล้วเนอะ” หลังจากเป่าแผลเบา
ๆ พลางร่ายคาถาที่มีแต่คำภาวนาจากความปรารถนาดีล้วน ๆ
คเชนทร์ก็ฉวยจังหวะที่เด็กชายมองเหม่อรีบใส่ยาแล้วปิดแผลด้วยผ้าก๊อซอย่างว่องไว
“เสร็จแล้วครับ เห็นไหม ไม่เจ็บแล้วนะ”
“เวลาครับ” สายตาที่มองสบประสานทำให้คเชนทร์มั่นใจว่าเวลากำลังตั้งใจรอฟัง
“คราวหน้าถ้าจะวิ่ง เวลาต้องคอยมองพื้นกับมองทางข้างหน้าด้วยนะครับ ไม่อย่างนั้นเวลาก็จะล้มแล้วได้แผลแบบคราวนี้อีก
สัญญากับลุงนะครับ”
ฟังคำแล้วเด็กชายก็พยักหน้า
เจ้าของร้านดอกไม้จึงปิดกล่องปฐมพยาบาล รวบก้อนสำลีใช้แล้วใส่มือพลางตั้งท่าผุดลุกขึ้น
แต่แล้วอยู่ ๆ เวลากลับโผเข้ากอดคอเขาเอาไว้เสียแน่น “อ๊ะ?!”
“สัญญาครับ” แม้เสียงเล็ก ๆ
ที่เพิ่งได้ยินจะแผ่วเบาราวกระซิบ แต่ความรู้สึกยินดีในอกของเจ้าของร้านดอกไม้กลับรุนแรงและชัดเจนเสียจนทำให้คเชนทร์เผลอตัวตวัดวงแขนโอบกอดเวลาอย่างทะนุถนอม
“เวลาสัญญาครับ”
แม้สัมผัสนี้จะไม่นุ่มนวลอ่อนหวานเหมือนอ้อมกอดของมารดา แต่ความอบอุ่นหนักแน่นที่จับต้องได้ก็ทำให้เด็กชายหลับตาพลางสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะระบายยิ้มอย่างผ่อนคลาย
••••••
จังหวะที่ผมกำลังนั่งไถฟีดส่องความเป็นไปของโลกโซเชียลพลางเช็ดผมอยู่ตรงปลายเตียง
สายเรียกเข้าจากหมายเลขที่ไม่คาดฝันก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ ที่น่าตื่นเต้นยิ่งไปกว่านั้น...
มันคือการโทรหาแบบที่เรียกร้องให้ผมโชว์หนังหน้า ณ ขณะนี้ด้วยเว่ย
บุญบาป
พี่หนาวเฟซไทม์มา!
แม้ใจจะอยากแห่โทรศัพท์แล้ววิ่งกรี๊ดไปรอบ
ๆ ห้อง แต่ผมกลับรีบก้มลงมองสำรวจสารร่างตัวเองอีกครั้ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่ได้เผลอหยิบชุดนอนไม่ได้นอนมาใส่
ผมก็กระโจนไปนั่งพิงหัวเตียงแล้ววาดขาไขว่ห้างพลางพ้อยท์เท้าก่อนกดรับอย่างไม่คิดจะดึงเกมหรือเล่นตัวใด
ๆ
“สวัสดีครับ”
ผมฉีกยิ้มกลบเกลื่อนอาการหมาหอบแดดเฉียบพลันอันเป็นผลจากการเปลี่ยนอิริยาบทอย่างรวดเร็ว
แต่แทนที่จะเห็นใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่าย ภาพเคลื่อนไหวจับโฟกัสไม่ได้บนหน้าจอผมกลับล้มเอียง
จากนั้นก็เหวี่ยงไปรอบ ๆ แบบไร้จุดสิ้นสุด
“เดี๋ยวนะคุณ”
“เอ่อ
ครับ” ขณะที่ผมเริ่มสงสัยว่าลุงแกกำลังทำอะไรอยู่นั้นเอง เสียงเล็ก ๆ ของปลาวาฬที่ร่ำร้องจะคุยกับผมเสียให้ได้ก็ปัดเป่าอาการประหม่าผู้ชายให้หายเป็นปลิดทิ้งในบัดดล...
หนูลูก ใจเย็นหน่อยครับ อาทูอยู่นี่ อาทูไม่หนีหนูไปไหน
“ปลาทูขา”
ปลาวาฬโบกมือพลางคลี่ยิ้มให้ผมอยู่บนที่นอน ข้างแก้มกลม ๆ คือตุ๊กตาหมีสีพาสเทลสองตัววางประกบซ้ายขวา
“ครับปลาวาฬ”
ผมอมยิ้มกับภาพน่าเอ็นดูของอีกฝ่าย จังหวะที่ชูมือขึ้นโบกไหว ๆ ใส่กล้องผมก็นึกขึ้นได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“เอ ตอนนี้สองทุ่มครึ่งแล้ว ทำไมปลาวาฬยังไม่นอนอีกล่ะครับ แล้วพรุ่งนี้จะตื่นไปโรงเรียนไหวไหมเนี่ย”
“ไหวค่ะ
ปลาวาฬตื่นไหว จริง ๆ เมื่อกี้ปลาวาฬกำลังจะนอนแล้วค่ะ แต่ปลาวาฬคิดถึงปลาทูม้ากมาก
คุณพ่อเลยอนุญาตให้ปลาวาฬคุยโทรศัพท์กับปลาทูห้านาทีค่ะ”
โอ๊ย
ตาย ๆๆๆ ใจบ๊างงง... เจ้าวาฬน้อยเล่นผมเสียแล้ว
“ที่ปลาวาฬโทรหาอาทู
ปลาวาฬจะคุยอะไรกับอาทูครับ” ผมหลุดยิ้มเป็นพัก ๆ หลังใจความของประโยคล่าสุดที่คู่สนทนาเอ่ยออกมายังคงวนเวียนอยู่ในหัว
“วันนี้คุณครูให้ออกไปเล่าเรื่องอาหารที่ฉันโปรดปราน
ปลาวาฬเลยเล่าเรื่องสปาเก็ตตี้ร้องว้าวให้เพื่อน ๆ ฟังค่ะ” สิ้นเสียงลูกสาว
ผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังทุ้ม ๆ ลอดลำโพงตามเข้ามาด้วย
พี่หนาวจะต้องกำลังยิ้มหน้าบานอยู่แน่ ๆ เชื่อผมสิ
“เหรอครับ”
ปลาวาฬพยักหน้าแรงจนตุ๊กตาหมีฝั่งซ้ายไหลตกจากหมอน สีหน้าภูมิใจปนโอ้อวดนิด ๆ ของเจ้าตัวเล็กทำให้ผมรู้สึกปลาบปลื้มลืมตายคล้ายกับได้เป็นแม่คน
“แล้วปลาวาฬเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังว่ายังไงบ้างครับ”
“ปลาวาฬเล่าว่าปลาวาฬช่วยปลาทูล้างผัก
ส่วนคุณพ่อก็ต้มเส้นสปาเก็ตตี้ แล้วก็บอกว่าต้องหั่นแครอทกับเห็ดเป็นรูปลูกเต๋าเล็ก
ๆ ต้องหั่นข้าวโพดอ่อนเป็นแว่น ๆ แล้วก็ต้องใส่อะไรลงไปในซอสบ้าง
แล้วก็ แล้วก็บอกว่าพอได้ลองชิมมันก็อร่อยมาก ๆ จนต้องร้องว้าวเลยค่ะ” คำตอบยืดยาวกับน้ำเสียงเร็วรัวราวกับคนพูดลืมหายใจเรียกเสียงหัวเราะจากผมได้อีกครั้ง
โธ่เด็กน้อย...
ไม่ต้องขยันทำตัวน่ารักบ่อยนักก็ได้ครับ แค่ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้อาทูก็หลงหนูจะตายอยู่แล้วลูก
“ห้านาทีแล้วครับลูก
ถึงเวลานอนแล้วครับ” ไฟห้องมืดลงพร้อมเสียงเข้ม ๆ ของพี่หนาวที่ดังอยู่ไกล ๆ
ผมเลยพลอยมีโอกาสได้เห็นเด็กหญิงทำท่าไม้ตายอ้อนใส่พ่อไปหนึ่งดอก
“ทำไมห้านาทีถึงเร็วจังเลยล่ะคะคุณพ่อ
ปลาวาฬยังไม่ได้คุยธุระกับปลาทูเลย” เจ้าวาฬน้อยเบือนหน้ามองไปอีกทางพลางทำปากอูด
แม้ริมฝีปากล่างสีแดงสดของเด็กหญิงที่ยู่ยื่นล้ำหน้าออกมาจะทำให้ผมนึกหมั่นเขี้ยวจนอยากบีบเบา
ๆ แต่อีกใจผมก็อดอยากรู้ไม่ได้ว่าถ้าลูกสาวเล่นไม้นี้
ชายผู้มีจิตใจแข็งแกร่งยิ่งกว่าหินผาจะรับมือยังไง
จากที่ผมคิดกระบวนท่าตอกรไว้มากมาย
แต่พี่หนาวกลับทำแค่เพียงส่งเสียงหัวเราะลอดลำโพงมาให้ฟังก่อนที่เจ้าตัวจะยอมใจผ่อนผันให้ปลาวาฬง่าย
ๆ “โอเคครับ พ่อให้ลูกคุยกับอาทูอีกแค่นาทีเดียวนะ”
เป็นผม
ๆ ก็ยอมเหมือนพี่หนาวนี่แหละ
แหม...
ถ้าถูกปลาวาฬทำหน้าน่าสงสารใส่แล้วยังทนทำไม่รู้ไม่ชี้ได้ ผมว่าปลงผมบวชเถอะ
“ขอบคุณค่ะ”
แก้มกลม ๆ บนหน้าจอผมเต่งเป็นลูก ๆ เมื่อเจ้าของคลี่ยิ้มเต็มหน้า
เด็กหญิงหันมาทำตาปริบ ๆ ใส่ผมพลางส่งเสียงออดอ้อนหวานหู “ปลาทูขา
ปลาวาฬคิดถึงปลาทู เมื่อไรปลาทูจะมาหาปลาวาฬอีกเหรอคะ”
“ขออาทูดูปฏิทินก่อนได้ไหมครับ
แล้วถ้าอาทูว่างวันไหน อาทูจะฝากคุณพ่อไปนัดเจอปลาวาฬดีไหมครับ” ผมซื้อเวลาเพราะรู้สึกเกรงใจพี่หนาวกับพี่ป๊อบปี้
ขืนผมโผล่ไปเล่นกับปลาวาฬบ่อย ๆ เดี๋ยวทั้งพ่อและแม่จะไม่ค่อยได้ใช้เวลากับเด็กหญิงกันพอดี
“ก็ได้ค่ะ”
เจ้าตัวเล็กเลิกคิ้วเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก “แต่ปลาวาฬขอโทรไปหาอาทูบ่อย ๆ ได้ไหมคะ”
“ปลาวาฬโทรหาอาทูได้ตลอดเลยครับ
แต่ต้องให้คุณพ่อคุณแม่อนุญาตก่อนนะครับ”
“โอเคค่ะ
ถ้าอย่างนั้นปลาวาฬนอนก่อนนะคะ
Goodnight ค่ะ”
พอเห็นคู่สนทนาโบกมือไหว ๆ ใส่หน้า
ผมก็เข้าใจเดี๋ยวนั้นเลยว่าทำไมพี่หนาวจึงทั้งรักทั้งหลงลูกสาวเอามาก ๆ
เพราะนอกจากจะช่างพูด ช่างฉอเลาะ แถมยังฉลาดสดใสสมวัยแล้ว เจ้าวาฬน้อยของผมยังเป็นเด็กรักษาคำพูดและเชื่อฟังพ่อแม่อย่างที่สุดอีกด้วย
“Goodnight and sleep tight, princess”
ผมหุบยิ้มแล้วถอนหายใจทันทีที่หน้าจอเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท...
พักหลัง ๆ ที่ต้องแยกจากปลาวาฬ ผมมักจะรู้สึกโหวง ๆ ในอกเหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง
แต่ก่อนผมจะคิดมากจนฟุ้งซ่านหลุดโลก เบอร์โทรของพี่หนาวก็โผล่ขึ้นมาบนจอโทรศัพท์ในมือผมอีกครั้ง
อ้าว
ไหนบอกว่าจะนอนแล้วไง
ผมรีบยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูเพราะคราวนี้ปลายสายไม่ได้เจาะจงให้โชว์หนังหน้า
“ยังไม่นอนอีกเหรอครับปลาวาฬ”
“ผมเอง”
เหยด
พ่อปลาวาฬโทรมา!
“เอ่อ
ครับ” ผมต้องคอยบอกตัวเองให้ค่อย ๆ สูดลมหายใจ ไม่อย่างนั้นผมคงล่กจนอีกฝ่ายจับโป๊ะได้
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“พรุ่งนี้ตอนเย็นพวกคุณไปกินเลี้ยงกันยังไง
ถ้าไม่มีรถ พวกคุณนั่งรถตู้ไปกับพนักงานผมได้นะ” ตอนเริ่มทำโปรเจค พวกผมรู้มาว่า
บริษัทของพี่หนาวมีสวัสดิการรถตู้ให้บริการแก่พนักงานกลุ่มใหญ่ ๆ ในกรณีที่ต้องเดินทางไปทำงานนอกสถานที่
แต่ไม่นึกว่าพรุ่งนี้คุณพันเลิศจะเผื่อแผ่โควต้านั่งรถฟรีมาถึงฝั่งคอนซัลท์ด้วย
“ไม่เป็นไรครับ
เดี๋ยวพวกผมติดรถพี่ฟี่ไปครับ” อันที่จริง
หากออฟฟิศพี่หนาวไม่ได้ตั้งอยู่ในย่านรถติดมหาประลัย จะพรุ่งนี้หรือวันไหน ๆ ผมก็ไม่จำเป็นต้องรบกวนพี่ฟี่ให้คอยเป็นสารถี
ส่วนขากลับไว้ผมค่อยคิดอีกที เพราะเกิดผมเผลอดื่มจนเมาเป็นหมา พี่เอิงคงอยากขับรถมารับมากกว่าจะปล่อยผมให้นั่งแท็กซี่กลับบ้านคนเดียว
“คุณรู้ใช่ไหมว่าต้องไปร้านไหน”
“รู้แล้วครับ”
“โอเค”
ปลายสายนิ่งไปนานจนผมต้องยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูหน้าจอว่าสายตัดไปแล้วหรือยัง... แต่ก็ไม่
เพราะตัวเลขบอกเวลาบนหน้าจอก็ยังคงบอกวินาทีที่เคลื่อนไปข้างหน้าเรื่อย ๆ
“ฮัลโหล?”
ความสงสัยทำให้ผมอดส่งเสียงไม่ได้ แต่เมื่ออีกฝ่ายกระแอมตอบกลับมาเบา ๆ ผมก็แน่ใจว่าพี่หนาวแค่เงียบไปเฉย
ๆ
ยังไง
ทำไมอยู่ ๆ ก็เงียบไปนานสองนาน หรือฟังเสียงผมนาน ๆ แล้วเกิดอารมณ์จนข่มใจไม่ไหว
“เอ่อ
คุณมีอะไรอีกหรือเปล่าครับ”
ผมจะไม่ยอมให้ลุงไซด์ไลน์ปั่นหัวผมจนฟุ้งซ่านไปกว่านี้อีกแล้ว
“จริง
ๆ ที่ผมโทรมา เพราะผมอยากขอบคุณคุณเรื่องขนมเมื่อกลางวันน่ะ”
อ๋อ...
ที่แท้ก็อยากจะพูดเรื่องนี้นี่เอง
แหมลุง
ฟอร์มจัดเหลือเกิน
“ได้กินแล้วใช่ไหมครับ”
“อืม
ขนมอร่อยมาก”
“ครับ”ถึงจะเพิ่งแอบบ่นอีกฝ่ายไปหมาด
ๆ แต่พอได้ยินเขาชมขนมที่ผมซื้อให้
ผมก็ดันเขินจนหน้าแดงขางี้บิดไขว้กันจนใกล้จะเป็นเลขแปดเต็มที
“ขอบคุณที่นึกถึงผมนะ
ขนมคุณช่วยให้ผมประชุมรู้เรื่องขึ้นเยอะเลย”
“ครับ
ไม่เป็นไรครับ” ดีเท่าไรแล้วที่รอบนี้พี่หนาวไม่เฟซไทม์มา ขืนเห็นหนังหน้าผมตอนกำลังยิ้มเยิ้มได้ที่
ลุงแกคงหลอนจนนอนไม่หลับไปอีกหลายวัน แต่พอคิดกลับกัน ผมก็อดนึกเสียดายไม่ได้
เพราะเท่าที่ฟังจากเสียง ผมมั่นใจว่าตอนนี้พี่หนาวน่าจะกำลังยิ้มอยู่เหมือนกัน
“ขนมที่คุณซื้อขายที่ไหนเหรอ
เผื่อผมจะซื้อมาติดบ้านไว้ ปลาวาฬจะได้กินกับนมก่อนไปโรงเรียนน่ะ”
โห่ลุง
ถามจริง ที่โทรมาเพราะจะถามว่าซื้อขนมที่ไหน... แค่นั้นน่ะเหรอ
จากที่เขินตัวบิด
ผมก็ได้สติเดี๋ยวนั้นเลย “อ๋อ ร้านมันอยู่ในตลาดนัดน่ะครับ ใกล้ ๆ กับร้านยำมะม่วง
ผมเห็นมาขายเกือบทุกวัน แต่เดี๋ยวยังไงผมไปถามพี่ฟี่ให้นะครับ”
“ไม่เป็นไร”
อ้าว สรุปว่าที่พูดอ้อมไปอ้อมมาอยู่ตั้งนานนี่คือไม่ได้อยากรู้หรอกเหรอ “ไว้วันไหนคุณว่างและผมไม่ติดประชุม
คุณช่วยพาผมไปหน่อยแล้วกัน”
“อ่า...
ครับ” ใครไม่เป็นผมไม่มีวันรู้หรอกว่าแค่ผู้ชายขอให้พาไปซื้อขนมมันดีต่อใจเบอร์ไหน
โอ๊ยลุ้งงง
ไว้ชีวิตผมเถอะ ผมเขินจนหน้าจะระเบิดแล้วเนี่ย
“ผมไม่กวนคุณแล้วล่ะ”
เหมือนอีกฝ่ายจะไหวตัวทัน ไม่อย่างนั้นคงไม่ตัดบทกันห้วน ๆ ทั้ง ๆ
ที่เพิ่งทำให้ผมใจเต้นไม่เป็นส่ำไปเมื่อครู่
“อ่า
ครับ”
“ฝันดีนะคุณ”
“ฝันดีครับ”
พี่หนาวบอกผมว่าฝันดี...
ตาลุงที่โคตรดุแถมยังชอบแผ่ออร่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนนั้นบอกฝันดีกับผม
แม่งเอ๊ย!
ดีใจฉิบหายเลยโว้ย
“อ้ากกกก!!” ทันทีที่กดตัดสาย ผมก็เผลอหวีดด้วยความดีใจยิ่งกว่าได้โบนัสหกเดือน
กว่าจะรู้ตัวว่าสร้างความรำคาญให้กับคนร่วมชายคาก็ตอนที่ประตูหน้าห้องถูกเคาะถี่ ๆ
อยู่หลายทีนั่นแหละ
“ทูเป็นอะไรหรือเปล่า”
“นั่นดิ
เป็นอะไรวะทูร้องเสียงดังเป็นหมาถูกเชือดเลย”
“ไอ้สาม!”
“โอ๊ย!
พี่เอิง
เจ็บนะเว่ย!”
ผมแทบไม่ต้องลำบากเดินออกไปโบกหัวไอ้สามให้เปลืองแรง เพราะเท่าที่ฟังเสียงร้องเอ๋งของน้องชายเมื่อครู่
ผมก็มั่นใจว่าพี่เอิงได้จัดการทุกอย่างแทนผมตามสมควรแล้ว
“สรุปเป็นอะไรหรือเปล่าทู
เปิดประตูออกมาคุยกับพี่ดิ๊”
“ทูไม่เป็นไรพี่เอิง
ทูแค่ดีใจเฉย ๆ พี่เอิงกับสามไปนอนเถอะ” ถึงจะแอบรู้สึกผิดที่ทิ้งขว้างพี่และน้องชายตัวเองอยู่นิดหน่อย
แต่ความรู้สึกฟินเฟ่อร์ที่ท่วมขังรอการระบายอยู่ในหัวอกก็ทำให้ผมวิ่งไปที่โต๊ะเขียนหนังสือตรงปลายเตียง
เปิดโน้ตบุ๊คแล้ววาร์ปเข้าสู่โลกสมมติยอดนิยมด้วยความรวดเร็ว
คืนนี้จะต้องเป็นคืนที่ฝันดีที่สุดในชีวิต #mynowornever
หลังจากลงสเตตัสเสร็จผมก็นั่งอมยิ้มพลางไล่ตอบเม้นท์ของเหล่าเพื่อนสนิทขี้อิจฉาอย่างเพลิดเพลิน
แต่แล้วอยู่ ๆ กลับมีข้อความแจ้งเตือนเด้งขึ้นต่อหน้าต่อตา ใจความสั้น ๆ
นั้นบอกให้ผมรู้ว่าใครบางคนต้องการสนทนากับผมผ่านโปรแกรมที่เปิดอยู่นี้
Suramet K. (สรุเมธ ก.) ขอติดต่อกับคุณผ่าน messenger
“เฮ่อ”
อันที่จริง ก่อนหน้านี้ผมก็เคยเห็นคำขอนี้ผ่านตามาหลายหน ซึ่งทุกครั้งผมมักจะกดยกเลิกคำขอไป
แต่ลึก ๆ ผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเพราะอะไรพี่เมธจึงพยายามติดต่อผมทุกวิถีทางตลอดหลายวันมานี่
เพื่อไม่ให้มีเรื่องค้างคาใจ ที่สุดแล้ว ผมก็ยอมกดตอบรับคำขอของอีกฝ่าย
ทู นี่พี่เมธเองนะ
สองสามวันมานี่พี่โทรหาทู แต่ทูคงไม่สะดวกคุย
หรือถ้าจริง ๆแล้วคือทูไม่อยากคุยกับพี่
พี่ก็เข้าใจและก็ขอโทษด้วยที่ต้องรบกวน
แต่พี่อยากให้ทูรู้ว่าพี่จำเป็นต้องคุยกับทูจริง
ๆ
พี่อยากให้ทูช่วยอะไรพี่หน่อยได้ไหม
ทูช่วยพี่หน่อยเถอะนะ พี่ขอร้อง
ถ้าทูไม่ช่วยพี่
พี่ก็ไม่รู้จะไหว้วานใครแล้วล่ะ
ขอโทษนะครับ
แต่ผมคงช่วยอะไรคุณไม่ได้
หลังจากนี้เราต่างคนต่างอยู่ดีกว่านะครับ
เดี๋ยวทู คือว่าพี่ติดต่อบูมไม่ได้
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมล่ะโว้ย!” ผมอดบ่นไม่ได้ทว่าจังหวะที่ผมกำลังจะจรดนิ้วพิมพ์ตัดบท
ข้อความจากฝั่งโน้นก็เด้งเข้าเครื่องผมเสียก่อน
พี่จะไม่อ้อมค้อมแล้วกัน
คืองี้ บูมบอกเลิกพี่เมื่อสองอาทิตย์ก่อน
แต่หลังจากนั้นพี่ก็ติดต่อบูมไม่ได้อีกเลย
โทรไปทีไรก็ฝากข้อความ
ขนาดพี่ให้เพื่อน ๆ ที่โน่นช่วยลองโทร
ก็ยังติดต่อบูมไม่ได้อยู่ดี
พี่ไม่ค่อยกลับไทย พี่เลยไม่มีเบอร์เพื่อนบูม
พี่เลยไม่รู้ว่าจะติดต่อเขาทางไหน
ตอนนี้พี่เป็นห่วงบูมมาก
อยากรู้ว่าเขาเป็นอะไรหรือเปล่า
ผมห้ามใจตัวเองแทบตายเพื่อจะไม่พิมพ์ตอบอีกฝ่ายกลับไปว่า
ไม่ต้องห่วงหรอก เพราะไอ้พี่บูมน่ะตายยากยิ่งกว่าแมลงสาบเสียอีก แต่พออ่านข้อความของพี่เมธอีกรอบก็คิดได้ว่า
ผมควรแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นต่อไปดีกว่า เพราะยิ่งต่อปากต่อคำ ผมก็ยิ่งเสียเวลา...
ผมไม่อยากวิสาสะกับพี่บูม ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร หรือจะเพื่อใครก็ตาม
ทูช่วยบอกเขาให้เขาติดต่อพี่ทีได้ไหม
พี่ไม่อยากโทรไปรบกวนคุณพ่อบูม ไม่อยากให้ท่านกังวลใจ
นะทู พี่ไหว้ล่ะ
“เฮ่อ”
อ่านแล้วผมก็เผลอถอนหายใจพลางยกมือนวดหัวคิ้วด้วยความหงุดหงิด ชาติที่แล้วผมไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้นักหนา
ชาตินี้ผมเลยต้องโดนตามราวีไม่จบสิ้น หรือสองคนนั่นอยากเห็นผมโมโหจนเป็นบ้าถึงจะยอมรามือ
••• TBC •••
อ่านมาถึงตรงนี้
เชื่อว่าต้องมีใครอยากให้ทูไปทำบุญสะเดาะเคราะห์แน่ ๆ เลย
แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ
รับรองว่าแค่มีพี่หนาวอยู่ข้าง ๆ ทูก็จะได้รับการปกป้องคุ้มครองอย่างดี
ไม่เชื่อก็รออ่านตอนหน้าได้เลย
เพราะลวดลายของลุงแกไม่ธรรมดาจริง ๆ
อ่านแล้วชอบ หรือไม่ชอบอย่างไร
อย่าลืมติดแท็ก #ลุงไซด์ไลน์ละมุนมาก #คันหิม
บ้างนะคะ
No comments:
Post a Comment