เวลาวารีไม่เคยคอยใคร
เหล่าเด็กชายที่เคยใส
ๆ ในตอนที่ผ่าน ๆ มาก็ไม่อาจคงความไร้เดียงสาไปได้ตลอดเช่นกัน
ขอต้อนรับเข้าสู่โค้งสุดท้ายของภาคน้ำตาลคว่ำอย่างเป็นทางการนะคะ
โปรดทราบว่า
ไม่เกินสี่ตอน นิยายเรื่องนี้ก็น่าจะปิดฉากลงแล้ว
เพราะฉะนั้น
ชอบไม่ชอบประการใด อย่าลืมฝากข้อความแทนใจเอาไว้นะคะคนดี
ที่สำคัญ ใครอยากอ่านตอนพิเศษแบบไหน
เราเปิดให้รีเควสกันได้ค่ะ
ก่อนจะปิดรับคำขอตอนหน้า...
โอเคไหม?
(ถ้าเราพอเขียนได้ และพอนึกเนื้อเรื่องออกเราจะเขียนให้อ่านอีกทีเนาะ
–
เกี่ยวก้อยสัญญา)
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
The 38thBonding
ไหวไหมพี่ฌาน?
‘เลิกเรียนแล้วไปร้านหนังสือด้วยกันไหม’
พลับละสายตาจากติวเตอร์หน้าชั้นเรียนเพื่อเหลือบมองกระดาษแผ่นเล็ก
ๆ ที่คนนั่งเรียนข้าง ๆ เลื่อนมาวางตรงหน้าเมื่อช่วงเวลาเรียนจวนเจียนสิ้นสุด
ไม่ใช่เพราะตัวหนังสือทั้งหลายในกระดาษใบนั้นหรอกที่ทำให้เด็กหนุ่มลำบากใจ
หากแต่เพราะสายตาเว้าวอนเจ้าของคำชวนนั่นต่างหากที่ทำให้ปวรจำต้องเขียนเนื้อความโต้ตอบด้วยอย่างเสียไม่ได้
‘วันนี้อาเรามารับ
โทษทีนะ’
‘ไม่เป็นไร
ไว้ค่อยไปด้วยกันวันหลังก็ได้’ แววตาของเด็กหนุ่มต่างโรงเรียนอ่อนแสงลงพร้อม ๆ
กับใบหน้าวาดหวังที่กลับกลายหมองหม่น แต่นั่นกลับไม่ได้ทำให้ฝาแฝดคนสุดท้องเห็นอกเห็นใจแต่อย่างใด
ดังจะเห็นได้จากข้อความสุดท้ายที่เพียงแสดงออกถึงมารยาท
หากแต่ปิดกั้นโอกาสของอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง
‘ขอโทษนะ’
“เดี๋ยวพลับ!” น้ำเสียงหวานหูที่ดังขึ้นจากเบื้องหลังทำให้ฝีเท้าเจ้าของชื่อชะงักค้างกะทันหัน
จนเมื่อผินหน้ากลับไปมอง เขาก็ได้รู้ว่า
เด็กสาวจากต่างโรงเรียนผู้กว้างขวางและเป็นที่รู้จักของเกือบทุกคนในสถาบันสอนพิเศษแห่งนี้
คือ คนที่เรียกรั้งเขาเอาไว้
“มีอะไรเหรอมินนี่?”
“ไปกินอุด้งด้วยกันป่ะ?
ร้านนี้เพิ่งเปิดใหม่ อร่อยสุด ๆ เนี่ย พวกทีมก็จะไปด้วยนะ” ทันทีที่เห็นใบหน้าแดงเรื่อของเด็กหนุ่มเจ้าของกระดาษแผ่นเมื่อครู่ที่ยืนอยู่อีกฟาก
พลับก็อดคิดไม่ได้ว่า การเชื้อเชิญครั้งนี้
มินนี่ย่อมต้องรู้เห็นเป็นใจกับทีมไม่มากก็น้อย นั่นจึงยิ่งทำให้ปวรไม่นึกอยากตอบรับคำชวนดังกล่าวขึ้นอีกทวีคูณ
“วันนี้คงไม่ได้หรอก
อาเรารออยู่ข้างนอกแน่ะ” พลับยกฐานะจอมปลอมของคนรักขึ้นอ้างด้วยรู้ว่า
วิธีนี้มักจะใช้ปฏิเสธคำชวนของใครต่อใครได้อยู่หมัด กระนั้นข้ออ้างนี้กลับไม่ได้ผล
เมื่ออีกฝ่าย คือ เด็กสาวผู้ปลาบปลื้มคุณอาสุดหล่อของแฝดสามผู้โด่งดังจากโรงเรียนเอกชนชายล้วนเป็นทุนเดิม
“อาฌานมาเหรอ?!”
มินนี่ยิ้มกว้างพลางทำหน้าทำตาตื่นเต้นจนปวรอดหงุดหงิดไม่ได้
แต่เพราะสถานะอันจำกัดแค่เพียงอากับหลาน
ทำให้เด็กหนุ่มทำได้เพียงพยักหน้าพลางรับคำเนือย ๆ เท่านั้น
“อืม”
“เหรอ ๆ ?!” เด็กสาวออกอาการดีใจอย่างเปิดเผยขณะเดินเคียงข้างฝาแฝดคนสุดท้องนำหน้าเด็กวัยรุ่นกลุ่มใหญ่ออกจากสถาบันติวโดยพร้อมเพรียง
เมื่อทั้งหมดก้าวพ้นประตูก็เห็นคุณอารูปหล่อยืนยิ้มเผล่รอท่าอยู่ แต่ก่อนที่ปวรจะได้เอ่ยทักทายคนรักหลังจากไม่ได้เห็นหน้าค่าตากันนานหลายชั่วโมง
มินนี่ก็ปรี่เข้าไปหาชายหนุ่มก่อนใครเพื่อน “อาฌานสวัสดีค่ะ”
ร่างทรงหนุ่มออกอาการเลิ่กลั่กพลางแอบสบสายตากับคนรักอย่างกระอักกระอ่วนค่าที่รู้เจตนาของมินนี่เป็นอย่างดี
แต่แล้วก็ปลงใจได้ว่า หากเขาแสดงท่าทีเพิกเฉยต่อเด็กสาวผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ คงจะไม่ใช่การแสดงออกที่เหมาะสมนัก
“เอ่อ สวัสดีครับน้องมินนี่”
“วันนี้อาฌานจะพาพลับไปทำธุระที่ไหนหรือเปล่าคะ?”
“...” ผู้มากอาวุโสกว่าจ้องหน้าเด็กสาวงง
ๆ แต่เพราะอีกฝ่ายตั้งตารอฟังคำตอบของเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย ฌานจึงไม่อาจเฉไฉหลีกเลี่ยง
“ไม่ครับ อาแค่จะมารับพลับกลับบ้านน่ะครับ”
“ถ้างั้นอาฌานกับพลับไปกินอุด้งกับพวกเรานะคะ
มินนี่เพิ่งลองกินกับเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนไปเมื่อวันก่อน อร่อยมาก ๆ เลยค่ะ”
ออร่ามาคุที่ปกคลุมโดยรอบจุดที่พลับยืนอยู่ทำให้ฌานบอกปัดเด็กสาวโดยแทบไม่ต้องเสียเวลาคิดหาข้ออ้าง
“อืม อาต้องขอโทษด้วยนะทุกคน พอดีวันนี้อาจองคิวบุฟเฟ่ต์เอาไว้เพราะตั้งใจจะพาพลับไปเลี้ยงหลังสอบมิดเทอม
เอาไว้คราวหน้าแล้วกันนะครับ”
“ว้า แย่จัง
อาฌานกับพลับเลยอดกินของอร่อยเลย”
เด็กสาวบ่นกระปอดกระแปดด้วยความเสียดายเหลือกำลัง เพราะนาน ๆ หล่อนจึงจะสบโอกาสได้พบปะคุณอาสุดหล่อเสียที
แต่ดูเหมือนวันนี้โชคจะเข้าข้างติ่งวัยคอซองอย่างมินนี่เสียแล้ว
เพราะอยู่ ๆ ฝาแฝดคนโตและคนกลางซึ่งไม่มีชั่วโมงเรียนในรอบนี้ก็มาปรากฏกายขึ้นตรงหน้า
อีกทั้งยังออกเสียงสนับสนุนความคิดของหล่อนเข้าเสียอีก “บุฟเฟ่ต์เอาไว้กินวันหลังก็ได้ครับอาฌาน
วันนี้พวกเราไปกินอุด้งกับมินนี่ก่อนก็ได้”
“พี่พลาย?!”
“อ้าวพี่พลาย วันนี้พี่พลายไม่ได้จะไปดูหนังกับพวกเพื่อน
ๆ เหรอ?” ทั้งฌานและพลับต่างประหลาดใจไม่ต่างกัน เพราะเท่าที่รู้
ปภพกับปพนขออนุญาตบิดาทั้งสามออกมาเที่ยวเล่นผ่อนคลายกับเพื่อน ๆ
ที่โรงเรียนตั้งแต่เช้า
“พอดีพลุอยากกินอุด้งน่ะครับ
พี่พลายเลยเลื่อนรอบหนังไปตอนเย็น” เหตุผลข้าง ๆ คู ๆ
ของทายาทคุณะประสิฒธิ์คนโตทำเอาน้องชายทั้งสองอดสังหรณ์ใจแปลก ๆ ไม่ได้ ดูท่าแล้ว
พลายคงหมายมั่นจะทำอะไรสักอย่างที่มินนี่จะต้องไม่ปลื้มเอามาก ๆ ในภายหลังแน่ ๆ
แต่เพราะเด็กสาวเป็นเพียงคนนอก
สำหรับหล่อน จึงไม่มีอะไรน่ายินดีไปกว่าการได้ร่วมโต๊ะอาหารกลางวันกับคุณอาของฝาแฝดทั้งสามอีกแล้ว
“ดีเลยค่ะ งั้นพวกเราก็ไปกันเถอะนะคะ มินนี่หิวจนตาลายแล้วค่ะ”
จังหวะที่มินนี่กำลังจะเดินเข้าไปเกี่ยวแขนฌานอย่างถือวิสาสะ
ปภพกลับปาดหน้าเค้กฉุดแขนของฌานพร้อมจูงมือน้อง ๆ ไปยืนอีกทางพลางเอ่ยพร้อมส่งสายตาเยาะเย้ยสาวน้อยคอนแวนต์อย่างยียวน
“ไปครับอาฌาน พี่พลายหิ๊ว หิว” สิ้นคำ หนุ่มป็อบหน้าคมก็เดินออกเดินไปพร้อม ๆ
กับสมาชิกในครอบครัวโดยไม่รั้งรอพรรคพวกจากต่างโรงเรียน
“กี่ท่านคะ?” พนักงานประจำร้านเอ่ยขึ้นทันทีที่ลูกค้ากลุ่มใหม่เดินเข้าร้าน
ปภพจึงรับหน้าที่ตอบคำด้วยน้ำเสียงฉะฉานพลางจัดแจงทุกอย่างเสร็จสรรพ
“สิบสองครับ
แต่พี่ไม่ต้องต่อโต๊ะหรอกครับ เดี๋ยวพวกผมนั่งแยกกันตรงนั้นก็ได้ครับ” พลายว่าด้วยน้ำเสียงสบาย
ๆ จากนั้นจึงปลีกตัวเดินนำน้อง ๆ และคุณอาไปจับจองโต๊ะตัวหนึ่งซึ่งมีเก้าอี้เพียงสี่ตัวโดยไม่แคร์สายตาเคียดแค้นแสนสาหัสของมินนี่ที่จับจ้องมองตามไม่ลดละ
“ทำไมทำแบบนี้ล่ะใหญ่?
นั่งด้วยกันทั้งหมดก็ได้หนิ พวกนั้นอุตส่าห์ชวนเรามากินข้าวด้วยนะ”
พลุอดทักท้วงไม่ได้... ยังไม่ทันไร พี่ชายก็ออกลายเสียแล้ว
แต่อย่างที่รู้ว่าไม่มีใครห้ามปรามหรือขัดขวางความต้องการของเด็กหนุ่มผู้เอาแต่ใจสูงสุดประจำบ้านได้
สิ่งที่แฝดคนกลางได้รับเป็นการตอบแทน
จึงมีเพียงสีหน้าไม่ยี่หระที่มาพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
และเหตุผลเข้าข้างตัวเองแบบไม่มีใครเกิน
“ก็จะให้พนักงานเขาลำบากต่อโต๊ะทำไมล่ะกลาง
นั่งแยกกันแบบนี้ก็ได้ เห็นมะ พอดี ลงตัวเป๊ะ ๆ แถมยังไม่เดือดร้อนใครอีกต่างหาก ใช่ไหมครับอาฌาน?”
ไม่พูดเปล่า เด็กหนุ่มยังหันไปหาแนวสนับสนุนเหตุผลของตัวเองเข้าให้อีก
แล้วมีหรือที่ฝ่ายซึ่งได้รับผลประโยชน์ไปเต็ม ๆ อย่างฌานจะเห็นต่าง
ทว่าชายหนุ่มกลับยิ้มน้อย ๆ พลางส่ายหัวโดยไม่ได้พูดจาชี้นำ หรือตอกย้ำใด ๆ
ร่างทรงหนุ่มแสร้งเสไปมองพนักงานพร้อมกับทำทีเป็นปกติ
“ขอเมนูด้วยครับ”
“หึ! เห็นไหมกลาง อาฌานยังเห็นด้วยเลย” พลายยักไหล่เมื่อเห็นคุณอารูปหล่อจงใจเฉไฉพลางรวบรัดตัดความด้วยการทึกทักไปเองเพื่อปิดประเด็นกับฝาแฝดคนรองอย่างเด็ดขาด
“ตัวเล็กอยากกินอะไรครับ?”
“ไม่รู้สิ
พลับไม่ค่อยหิว” น้ำเสียงอ้อมแอ้มกับสีหน้าบอกบุญไม่รับของพลับทำให้ฌานอ่านสถานการณ์ตรงหน้าได้ขาดลอยโดยแทบไม่ต้องอาศัยสายตาสอดรู้สอดเห็นของเด็กมินนี่ที่อุตส่าห์ย้ายมานั่งโต๊ะข้าง
ๆ กันเป็นข้อสันนิษฐานเพิ่มเติม... ชะรอยว่า อาการไม่เจริญอาหารเฉียบพลันของคนรักคงจะกลายเป็นวาระแห่งชาติในอีกไม่ช้าแน่
ๆ
“ลองดูเมนูก่อนนะครับ
เผื่อจะอยากกินอะไรบ้าง” คนโตกว่ากุลีกุจอเปิดเมนูอย่างเอาอกเอาใจ
“ถ้าฌานหิวก็กินก่อนเถอะ
เดี๋ยวพลับค่อยออกไปหาอะไรกินที่อื่น”
ปวรผินหน้าหลบไปอีกทางคล้ายไม่มีอารมณ์จะเสวนากับใคร ๆ นั่นจึงทำให้คนโตกว่าตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดบัดเดี๋ยวนั้น
“พี่พลาย เดี๋ยวอาจะบอกพนักงานว่าให้เก็บเงินทั้งหมดกับพี่พลายนะ”
ฌานว่าพลางวางบัตรเครดิตลงตรงหน้าฝาแฝดคนโตก่อนจะกำชับสั้น ๆ “อ่ะนี่
รูดจ่ายค่าอาหารมื้อนี้แทนอาที”
“อ้าว!
อาจะไม่อยู่กินข้าวกับพวกเราเหรอครับ?”
ทายาทคนรองของตระกูลทักขึ้นด้วยน้ำเสียงแปลกใจเพราะไม่นึกว่าฌานจะหักหน้ามินนี่ได้ลงคอ
แต่พลายกลับหัวเราะอย่างชอบอชอบใจเมื่อผลสุดท้าย คุณอาก็เห็นแก่ความสุขของน้องชายเหนือสิ่งอื่น
“หึ หึ หึ น่ากลาง
ปล่อยอาฌานไปเหอะ” ปภพพยักหน้าเห็นชอบกับผู้อาวุโสมากกว่าขณะเผยความตั้งใจที่แท้จริง
“อาไม่ต้องห่วงทางนี้หรอกครับ เดี๋ยวพอป่วนวงนี้แตกกระเจิงเมื่อไร พี่พลายก็ว่าจะพาพลุไปดูหนังเสียหน่อย”
คนพูดปรายหางตามองกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่นั่งอยู่โต๊ะข้าง ๆ อย่างมีเลศนัย
เมื่อสบายใจแล้ว
ฌานจึงฉุดข้อมือพลับให้ลุกตามกันโดยไม่รอช้าสักวินาที “ตัวเล็กไปครับ”
“เริ่มหิวหรือยังครับตัวเล็ก?”
หลังจากจับจองที่นั่งภายในร้านอาหารโปรดของเด็กหนุ่มได้
ฌานก็เอ่ยแซวคนนั่งตรงข้ามอย่างรู้ทัน
“ครับ” พลับยิ้มรับเขิน
ๆ
“งั้นก็สั่งให้เต็มที่เลยนะครับ...
กินเยอะ ๆ นะ”
“จะได้โตไว ๆ ใช่ไหมฌาน?”
คำถามของเด็กหนุ่มเรียกเสียงหัวเราะของทั้งคู่ได้เป็นอย่างดีด้วยนี่คือหัวข้อยอดนิยมที่ทั้งสองมักจะถกเถียงกันอยู่เนือง
ๆ ทว่าก่อนที่พวกเขาจะหิวจนแสบไส้
ช่างภาพมืออาชีพก็รับคำพลางโบกมือเรียกพนักงานมารับออเดอร์ทันที
“ครับ”
“ฌานไม่รู้หรอกว่าพลับอยากเป็นผู้ใหญ่มากแค่ไหน
ไว้ครบสิบแปดเมื่อไร พลับจะป่าวประกาศให้คนทั้งโลกรู้ว่าพลับเป็นแฟนฌานมันสามวันแปดวันเลยคอยดู!” เด็กหนุ่มเปรยขึ้นอย่าเหลืออดทันทีที่สั่งอาหารเสร็จ
นึก ๆ ดู เขาก็ช่างอดช่างทนดีเหลือใจ ไม่อย่างนั้นเขาคงได้สับมินนี่เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยค่าที่กล้าวอแวคนรักต่อหน้าต่อตา
ร่างทรงหนุ่มหน้าเสียเมื่อได้ยินถ้อยปรารภของอีกฝ่าย
ทว่าสิ่งเดียวที่เขาทำได้คือการปลอบประโลมใจอีกฝ่ายให้ผ่านพ้นไปอีกวัน “อีกแค่ไม่กี่ปีเองครับ
อดทนหน่อยนะคนดีของฌาน”
“อืม
พลับจะอดทนและจะไม่งอแง” ดวงตาคมกริบที่ฉายแววเว้าวอนอ้อนออดของคนโตกว่าทำเอาจิตใจของเด็กหนุ่มอ่อนยวบ
กระนั้น ปวรกลับไม่อาจปล่อยผ่านเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ตรงหน้าโรงเรียนกวดวิชาไปได้
“แต่ฌานก็ห้ามชายตามองคนอื่นล่ะ ไม่งั้นพลับฟ้องป๋าแน่!!” ฝาแฝดคนสุดท้องคาดโทษพลางชี้หน้าคนรักอย่างขุ่นเคือง
หากแต่ในสายตาคนมอง ท่าทางของขึ้นดังกล่าวกลับดูน่ารักน่าใคร่ไปเสียฉิบ
“หึ หึ ตัวเล็กก็รู้นี่ครับว่าฌานไม่เคยมองใคร
และจะไม่มองใครนอกจากตัวเล็กคนเดียว”
“สัญญา?” พลับเลิกคิ้วพลางจับจ้องคู่สนทนาโดยไม่ละสายตาคล้ายจะจับผิด
อดีตเด็กสถาปัตย์ยิ้มหวานพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดฟังชัดถ้อยชัดคำ
“ฌานไม่สัญญาหรอกครับ
แต่ฌานจะทำให้ตัวเล็กเห็นด้วยตาของตัวเอง”
“หืม?!”
“ตั้งแต่อาทิตย์หน้าเป็นต้นไป
ฌานจะรอตัวเล็กที่ลานจอดรถ พอตัวเล็กเรียนเสร็จเมื่อไร
ฌานจะวนรถลงมารับตัวเล็กแล้วกลับเลย เราจะได้ไม่ต้องเจอหน้าใคร ดีไหม?” แม้จะไม่ใช่ข้อเสนอที่เจ้าตัวโปรดปรานสักเท่าไร
เนื่องจากนั่นจะปิดโอกาในการลอบดูลาดเลาของเหล่าศัตรูหัวใจที่หมายช่วงชิงปวร
ทว่าร่างทรงหนุ่มก็กัดฟันเอ่ยอย่างหนักแน่นเพราะเขาไม่อย่างให้ฝาแฝดคนเล็กต้องพะวงกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
เช่น เด็กมินนี่ จนไม่เป็นอันเล่าเรียน ไม่เป็นอันกินอีกต่อไป
“อืม
เอาแบบนั้นก็ได้ ขอบคุณนะครับฌาน” ภายใต้รอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้าหล่อหมดจดที่ละม้ายบิดาหน้าหยกหากแต่ดูนุ่มนวลและอ่อนโยนกว่าหลายเท่านั้น
บอกเล่าถึงความพึงพอใจขั้นสูงสุดของเจ้าตัวจนฌานอดเบาใจไม่ได้ ถึงอย่างนั้น
ชายหนุ่มกลับไม่ลืมที่จะสำทับกับคนรักถึงความห่วงหาอาทรที่ตนมีให้อีกฝ่ายอย่างไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันอีกคำรบ
“ถ้าอยากขอบคุณฌาน
ตัวเล็กก็ต้องดูแลตัวเองดี ๆ อย่าปล่อยให้ใครเข้าใกล้ได้ง่าย ๆ รู้ไหมครับ”
“รับทราบและจะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดครับพ้ม!” ท่าทางตะเบ๊ะพลางรับคำด้วยรอยยิ้มของเด็กหนุ่มทำเอาคุณอาในนนามคลี่ยิ้มตามด้วยความเอ็นดู
“ฌาน
เดี๋ยวพลับไปดูหนังสืออ่านเล่นทางโน้นนะ”
เจ้าของชื่อปิดหนังสือในมือแล้ววางคืนลงบนชั้นทันทีที่ได้ยินประโยคของคนที่เดินลิ่ว
ๆ เข้าร้านหนังสือขนาดใหญ่ภายในห้างสรรพสินค้าภายหลังจากช่วงเวลาของอาหารมื้อกลางวันสิ้นสุด
“ไว้ฌานค่อยแวะมาดูวันหลังอีกทีก็ได้ครับ ตัวเล็กอยากได้หนังสือใหม่เหรอ ไปสิ
ไปดูกัน” พูดยังไม่ทันขาดคำ คนโตกว่าก็ทำท่าจะผละจากมุมหนังสือภาพเพื่อติดสอยห้อยตามอีกฝ่ายไปพร้อม
ๆ กัน
แต่ประกายวิบวับที่ปรากฏขึ้นในแววตาของช่างภาพหนุ่มยามเพ่งมองรายละเอียดต่าง
ๆ ในหนังสือเล่มเมื่อสักครู่ทำให้พลับรู้สึกไม่ดีหากฌานเฝ้าแต่จะเอาใจเขาอยู่ฝ่ายเดียว
“ไม่เป็นไร พลับไปแป๊บเดียว ฌานดูหนังสือไปก่อนเถอะ เดี๋ยวพลับกลับมาหา”
“ครับ ๆ ”
เมื่อเห็นคนรักกลับเข้าสู่โลกแห่งภาพถ่ายเป็นที่เรียบร้อย
เด็กหนุ่มก็ปลีกตัวไปเดินดูหนังสืออ่านเล่นบ้างทันที
แต่ก่อนที่เจ้าตัวจะได้หนังสือเล่มใหม่ติดมือกลับบ้าน ก็มีเสียงคุ้นหูดังขึ้นใกล้
ๆ “พลับ”
“อ้าวทีม
มาซื้อหนังสือเหรอ?” อารามประหลาดใจระคนประดักประเดิดเมื่อต้องเจอหน้าเพื่อนต่างโรงเรียนที่ตนคอยหาทางเลี่ยง
ปวรจึงเผลอหลุดปากถามถึงสิ่งที่เขารู้คำตอบอยู่แล้วออกไปโดยไม่ทันได้ยั้งคิด
“ใช่
เราจะมาซื้อแฮร์รี่ พ็อตเตอร์เล่มใหม่น่ะ พลับล่ะ มาดูหนังสือเรื่องอะไร?”
“ไม่รู้ดิ
ว่าจะดูไปเรื่อย ๆ ก่อนน่ะ” ฝาแฝดคนสุดท้องตอบด้วยท่าทางหลุกหลิก เด็กหนุ่มเริ่มมองหาตัวช่วยพลางคิดสะระตะถึงทางหนีทีไล่เพื่อพาตัวเองออกจากสถานการณ์ชวนอึดอัดตรงหน้าโดยเร็วที่สุด
“ถ้างั้นให้เราเดินดูหนังสือเป็นเพื่อนนะ”
หลังจากผิดหวังซ้ำซากมาตลอดทั้งวัน ทีมจึงไม่ละความพยายามที่จะใช้เวลากับเด็กหนุ่มที่ตนหมายตาไปง่าย
ๆ ผิดกับอีกฝ่ายที่จ้องแต่จะหาช่องเลี่ยงหลบไปเสียทุกเมื่อ
“ไม่ต้องหรอก
เราอยู่คนเดียวได้ ทีมไปซื้อหนังสือเถอะ”
“ไม่เป็นไร
เราอยากอยู่กับพลับมากกว่า” ทีมว่าพลางส่งสายตาสื่อความหมายลึกซึ้งเกินกว่าเพื่อนร่วมชั้นเเรียนกวดวิชาพึงกระทำ
เขารู้ตัวดีว่าชอบอะไร รวมถึงชอบใคร แน่นอนว่าเมื่อเจอคนถูกใจ
เด็กหนุ่มจึงไม่ยอมปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไปอย่างน่าเสียดาย
“อย่าเลยทีม
เราเกรงใจ อีกอย่าง เดี๋ยวเราจะกลับไปหาอาแล้ว พอดีอาเราดูหนังสืออยู่ตรงโน้นแน่ะ เราไปนะ”
ปวรโบกมือลาคนตรงหน้าแล้วสาวเท้าฉีกหลบไปอีกทางอย่างว่องไว หากแต่ก็โดนทีมส่งเสียงรั้งเข้าอีกครั้งจนได้
“เดี๋ยวพลับ”
“หืม มีอะไรเหรอทีม?”
ค่าที่ไม่อยากทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายโดยไม่จำเป็น
อีกทั้งไม่ขยันสร้างศัตรูเหมือนกับพี่ชายคนโต
พลับจึงยอมหมุนตัวกลับไปคุยกับเด็กหนุ่มต่างโรงเรียนโดยดี
“พลับไม่ชอบกินอุด้งเหรอ?”
“เปล่า”
“แล้วทำไมพลับไม่อยู่กินอุด้งกับพวกเราล่ะ?”
“อ๋อ พอดีวันนี้เราท้องไม่ค่อยดีน่ะ
อาเลยพาเราออกมาหาอะไรอ่อน ๆ กิน” ฝาแฝดคนสุดท้องอ้อมแอ้ม...
จะให้ยอมรับกับอีกฝ่ายได้อย่างไรว่าเขาไม่มีอารมณ์จะกินอะไร ตราบใดที่มินนี่ยังปรากฏกายอยู่ในกรอบสายตา
“เหรอ”
ทีมรับคำอย่างเลื่อนลอย เพราะครั้นจะให้บอกว่าไม่เชื่อ เขาก็พูดได้ไม่เต็มปากนัก
“อืม
ถ้าไม่มีอะไรแล้ว เราไปก่อนนะ” ทายาทคุณะประสิฒธิ์ยืนกรานความตั้งใจอีกครั้งเมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งไป
ทว่าการเอ่ยลาดังกล่าว กลับทำให้เด็กหนุ่มต่างโรงเรียนฉุกคิดอะไรได้บางอย่าง
“อย่าเพิ่งดิพลับ”
“ทีมมีอะไรเหรอ?”
หากความรู้สึกรักใคร่ไม่บังตาปิดหูจนโสตประสาทผิดเพี้ยน
ป่านนี้ทีมคงจับหางเสียงไม่พอใจปนรำคาญของพลับได้ไปนานแล้ว
“คือ
พลับตอบไลน์เราหน่อยได้ไหม? เราอยากคุยกับพลับบ้างน่ะ” ขณะที่พลับถูกสายตาวิงวอนของเด็กหนุ่มต่างโรงเรียนกดดันอยู่นั้น
จู่ ๆ ก็มีเสียงเรียกเข้าของหมายเลขคนพิเศษดังแทรกขึ้นทันควันราวกับพระมาโปรด
“ฮัลโหล”
ดูเหมือนทีมจะสามารถจับสัญญาณตื่นตระหนกในแววตาของคู่สนทนาหลังรับสายได้
เจ้าตัวจึงรีบรวบตึงอย่างรวดเร็วโดยหวังจะใช้ความฉุกละหุกของสถานการณ์ตรงหน้าทำให้พลับเผลอตกปากรับคำแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“นะพลับ เราไม่อยากส่งข้อความไปหาพลับฝ่ายเดียวอีกแล้วน่ะ”
อนิจจา ความหัวใสของเด็กหนุ่มหรือจะสู้น้ำเสียงนิ่งเรียบ
ไร้อารมณ์ที่ชวนให้ใจคนฟังกระตุกวูบที่ดังอยู่ข้าง ๆ หูได้ “ครับ ๆ
จะไปเดี๋ยวนี้ครับ” พลับเบือนหน้าไปคุยกับเพื่อนร่วมห้องกวดวิชาแบบลวก ๆ
“เราไปก่อนนะทีม อาเราโทรตามแล้ว” สิ้นคำ เด็กหนุ่มหน้าหยกก็ซอยฝีเท้าออกจากร้านไปทันทีเพื่อกวดไล่ตามแผ่นหลังกว้างที่เดินเลี่ยงไปอีกทางด้วยกลัวจะคลาดกัน
“ฌาน!”
“ฌาน รอพลับด้วย!” แม้จะไม่มีสัญญาณตอบรับจากฌาน ทว่าเด็กหนุ่มก็ไม่ละความพยายามที่จะตะโกนพลางวิ่งกระหืดกระหอบตามร่างสูงกว่าเบื้องหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย
ไม่ว่าจะด้วยเพราะอดีตเด็กเต็กจะผ่อนความเร็วในการสืบเท้าลง
หรือเพราะปวรสับขารวดเร็วยิ่งขึ้น แต่ที่สุดแล้ว
ฝ่ายคนไล่ตามก็สามารถวิ่งไปดักหน้าฌานได้สำเร็จ
“ฌานเดินช้า ๆ ได้ไหมครับ?”
“...” ชายหนุ่มเสมองไปอีกทางพลางสะกดกลั้นความรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านอย่างเต็มความสามารถ
“ฌาน
ฌานอย่าโกรธพลับเลยนะ พลับไม่รู้จริง ๆ ว่าจะเจอคนอื่น”
“...”
“ขอโทษนะครับ
เมื่อกี๊พลับน่าจะรอฌานไปดูหนังสือด้วยกัน” ปวรละล่ำละลักด้วยสีหน้ารู้สึกผิด หากเมื่อกี๊เขายอมอดใจยืนรออีกฝ่ายนานกว่านี้อีกนิด
เหตุการณ์ดังกล่าวคงไม่เกิดขึ้น
อาการพูดไปหอบไป
กับใบหน้าขึ้นสีแต้มเหงื่อพรายของคนรักที่เพิ่งวิ่งตามมาทำเอาร่างทรงหนุ่มอดสงสารและเป็นห่วงไม่ได้
“เฮ่อ ดูซิ ผมเผ้ากระเซิงหมดแล้ว”
“ก็วิ่งมานี่นา”
“เหนื่อยไหมครับตัวเล็ก?”
เจ้าของคำถามว่าพลางจัดแต่งทรงผมของเด็กหนุ่มให้เข้าที่โดยไม่ลืมปาดเม็ดเหงื่อตามกรอบหน้าเรียวออกอย่างทะนุถนอม
“หึ! ไม่เหนื่อยครับ แค่กลัวว่าจะวิ่งตามฌานไม่ทันเฉย
ๆ ฌานไม่รู้ตัวเหรอว่าฌานน่ะเดินเร็วมาก”
คำอธิบายของเด็กหนุ่มทำเอาอดีตเด็กเต็กรู้สึกผิดขึ้นมาถนัดใจ...
ในฐานะของคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวและเห็นโลกมายาวนานกว่าอีกฝ่าย
เขาน่าจะควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่านี้ แต่เอาเข้าจริง
ฌานกลับทนเห็นคนอื่นเข้าใกล้พลับแทบไม่ได้เลย รู้ตัวอีกที เขาก็หลับหูหลับตาหันหลังให้คนรักเข้าเสียแล้ว
“ขอโทษครับ ต่อไปฌานจะไม่เดินหนีตัวเล็กอีกแล้วครับ”
“ไม่ต้องขอโทษหรอก
เพราะพลับเองก็จะไม่ยอมปล่อยให้ฌานเดินหนีพลับไปไหนง่าย ๆ อีกแล้วล่ะ” เด็กหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์พลางสอดนิ้วมือประสานกระชับกับฝ่ามือกร้านที่รั้นแต่จะชักมือกลับทันทีราวกับต้องของร้อน
“อย่าครับตัวเล็ก
เดี๋ยวใครจะมองตัวเล็กไม่ดี” ขณะที่คัดค้านหัวชนฝา ฌานก็ไม่รามือจากการยื้อยุดฉุดปลายแขนจากการเกาะกุม
แต่เด็กหนุ่มกลับไม่ให้ความร่วมมือแต่อย่างใด
“คนอื่นจะมองยังไงก็ช่างเขาสิ
ก็พลับพอใจจะเดินกับแฟนแบบนี้ ใครจะทำอะไรพลับได้!!”
“ไม่เอาอย่างนั้นสิครับตัวเล็ก”
ร่างทรงหนุ่มพยายามคลายนิ้วมือของอีกฝ่าย
ปวรจึงตอบแทนเขาด้วยใบหน้าบูดบึ้งขึ้งโกรธ เห็นดังนั้น
ฌานจึงเปลี่ยนเป็นเอาน้ำเย็นเข้าลูบแทน “แข็งใจหน่อยเถอะครับ อีกแค่สามปีเอง... นะครับ
ฌานไม่อยากผิดคำพูดกับป๋า”
“ป๋าแค่สั่งไม่ให้ฌานบอกคนอื่นว่าเราเป็นแฟนกัน
แต่ถ้าฌานไม่พูด ถ้าพลับไม่พูด แล้วพวกเราจะทำผิดสัญญาของป๋าได้ยังไงล่ะครับ?!!” พลับเถียงคอเป็นเอ็น... กะอีแค่เดินควงแขน หรือจับมือกันยังทำไม่ได้
แล้วจะเหลืออะไรให้เขาใช้แทนสัญลักษณ์ของการแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของคนโตกว่าได้อีกล่ะ?!
“แต่เราก็ไม่ควรทำแบบนี้
ยิ่งในที่สาธารณะยิ่งไม่ควรไปกันใหญ่” เจ้าของประโยคชำเลืองมองฝ่ามือทั้งสองที่สอดประสานกันอย่างแนบแน่นสลับกับสอดส่องทีท่าของผู้คนรอบข้างด้วยสายตาหวาดหวั่น
“ไม่เห็นมีใครเคยบอกเลยว่าห้ามผู้ใหญ่กับเด็กเดินจับมือกัน
เวลาพลับไปไหนมาไหนกับป๋า พลับก็ควงป๋าเดินออกบ่อยไป” ปวรลอยหน้าลอยตาให้เหตุผลตามความเคยชินที่ตนชอบทำยามอยู่กับบิดาทั้งสาม
“อย่าดื้อสิครับตัวเล็ก
ที่ป๋าห้ามเพราะป๋าไม่อยากให้ตัวเล็กเสียหายนะครับ”
“ดีเสียอีก
คนอื่นจะได้ไม่มายุ่งกับพลับไง ฌานจะได้ไม่หึงจนเดินหนีพลับแบบเมื่อกี๊อีก”
“โธ่!” ร่างทรงหนุ่มโอดครวญอย่างจนแต้ม...
จริงอย่างที่อีกฝ่ายว่า ถ้าเมื่อกี๊เขาไม่มัวตื่นเต้นกับภาพถ่ายในหนังสือนั่น เด็กคนนั้นคงไม่กล้าดอดเข้าหาคนของเขาง่าย
ๆ
“ถ้าฌานกลัวพลับจะเสียหาย
ฌานก็ต้องดูแลตัวเองให้ดูหนุ่มแน่นอยู่ตลอดสิ เวลาเราสองคนเดินควงกัน คนอื่นเขาจะได้เข้าใจว่านี่แฟนนะ
ไม่ใช่พ่อกับลูก” เด็กหนุ่มยิ้มเผล่พลางกระเซ้าเย้าแหย่คนฟังจนอีกฝ่ายคลี่ยิ้มตามอย่างห้ามใจไม่ได้
“มันใช่เสียที่ไหนล่ะครับ”
ถึงปากจะติติง แต่เอาเข้าจริง ฌานก็เผลอยกธงขาวอยู่ในใจไปตั้งแต่เมื่อแรกเห็นสีหน้าไม่พึงพอใจของอีกฝ่าย
ที่สำคัญ ลึก ๆ แล้ว เขาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การได้แสดงออกทางความรักต่อเด็กหนุ่มผ่านภาษากายทุกเมื่อ
และทุกสถานที่ตามแต่ต้องการ คือ หนึ่งในความใฝ่ฝันตลอดช่วงหลายสิบปีมานี้
“เอ
แต่ไม่ดีกว่า” ปวรชะงักค้างพลางทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกถึงเรื่องสำคัญบางประการได้อย่างฉับพลันจนฌานอดสงสัยไม่ได้
“ห้ามฌานดูดีไปกว่านี้เด็ดขาด แค่นี้พลับก็หึงจนไม่รู้จะหึงยังไงไหว!”
“โธ่เอ๊ย!
ไปกันใหญ่แล้ว”
ขณะที่ส่ายหัวอย่างอ่อนใจให้กับเหตุผลที่เพิ่งได้รับฟัง ฝ่ามือกว้างของชายหนุ่มก็เลื่อนขึ้นไปยีผมนุ่มของคนรักด้วยความเอ็นดูอย่างที่สุด
“ก็มันจริงนี่”
ฝาแฝดคนสุดท้องของบ้านคุณะประสิฒธิ์บ่นกระปอดกระแปดพลางออกเดินไปอย่างช้า ๆ หากแต่ไม่ปล่อยมือจากคนรักสักวินาที
โดยที่อีกฝ่ายเองก็แสร้งทำเป็นลืม ๆ สัมผัสอบอุ่นแนบแน่ดังกล่าวไปเช่นกัน
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
“อาห์ ใหญ่...
เดี๋ยวก่อน” ปพนยันบ่าทั้งสองของเรือนร่างที่คร่อมเหนือตนให้ผละห่างพลางพยายามอ้อนวอนอีกฝ่ายให้ยุติบทเล้าโลมที่เพิ่งเริ่มต้นได้ไม่นาน
“ฮื่อ” ฝาแฝดคนโตส่งเสียงในลำคออย่างหงุดหงิดพร้อมกับทิ้งน้ำหนักกดทับลำตัวท่อนล่างของผู้เป็นน้องโดยไม่ละปลายจมูกโด่งจากซอกคออีกฝ่าย
“ใหญ่ ฮื่อ มีคนเคาะประตูห้อง”
ขณะที่เบี่ยงลำคอหลบลี้หนีใบหน้าของปภพ พลุก็ปัดป่ายฝ่ามือร้อน ชื้นเหงื่อที่ค่อย
ๆ ไต่ลงต่ำให้พ้นตัวเป็นพัลวัน นั่นจึงทำให้ผู้รุกรานจำต้องถอนใบหน้าขึ้นเพื่อส่งสายตาเกรี้ยวกราดกำราบคนดื้อดึงให้ยอมสิโรราบแต่โดยดี
“หูฝาดแล้ว
กลางจำเสียงครางตัวเองไม่ได้หรือไง?”
“ใหญ่
กลางบอกให้หยุดไง!” น้องรองของบ้านตวาดส่งท้ายก่อนจะใช้ฝ่าเท้าเป็นมาตรการขั้นเด็ดขาดเพื่อจัดการกับอีกฝ่ายจนแฝดพี่ลงไปนอนคู้ตัวอยู่ข้าง
ๆ
“โอ๊ย! กลางถีบใหญ่ทำไมเนี่ย?!”
“ก็บอกกี่ทีแล้วว่าให้หยุด
ๆ !” พลุแผดเสียงดุฝาแฝดคนโตพลางพยักเพยิดไปทางประตูหน้าห้องที่มีเสียงเคาะดังแผ่ว
ๆ ซึ่งหากไม่ลองตั้งใจฟัง ย่อมไม่มีทางได้ยิน “มีคนเคาะประตูหน้าห้องอยู่จริง ๆ
นะ”
“จิ๊!” พลายชี้นิ้วคาดโทษน้องชายก่อนก้มลงคว้าเสื้อยืดที่กองอยู่บนพื้นขึ้นมาใส่ก่อนจะย่ำเท้าหนัก
ๆ ไปเปิดประตูอย่างไม่มีทางเลือก
“อ้าว อาฌาน
มีอะไรเหรอครับ?” ทายาทรุ่นที่สามคนโตอุทานด้วยน้ำเสียงแปลกใจเมื่อเห็นคุณอายืนทำหน้ายุ่งอยู่ตรงหน้าห้องนอนของพวกตน
ร้อยวันพันปี ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องงานหรือเมากลับมา
อาฌานของพวกเขาไม่เคยปล่อยให้พลับนอนคนเดียวเลยสักคืนนี่นา
“อามีเรื่องอยากคุยกับพี่พลายหน่อย
ลงไปคุยกับอาข้างล่างแป๊บนึงได้ไหม?” คำถามดังกล่าวทำเอาคนฟังแอบเหลือบมองเด็กหนุ่มผู้มีรูปพรรณสัณฐานเหมือนตนที่กึ่งนอนกึ่งนั่งอยู่บนเตียงอย่างห่วง
ๆ ก่อนจะส่ายหัวดิกนำร่องประโยคปฏิเสธอย่างสุภาพ
“คุยตรงนี้เถอะครับอา
คุยเบา ๆ ก็ได้”
“อืม” คนโตกว่าจำใจตอบรับด้วยเพราะครั้งนี้ตนเป็นฝ่ายแบกหน้ามาหาเด็กหนุ่มเพื่อขอความช่วยเหลือถึงที่
“อามีอะไรเหรอครับ?”
“พี่พลาย
ตอนพลับอยู่โรงเรียนมีคนมาจีบเยอะไหม?” แม้คำถามดังกล่าวจะฟังแปร่งหู
ยิ่งเมื่อพิจารณาจากสถานศึกษาของฝาแฝดทั้งสามที่เป็นโรงเรียนชายล้วนเป็นเหตุผลประกอบด้วยแล้ว
หากแต่เพราะการรักชอบเพศเดียวกันไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับเด็ก ๆ ที่นั่น
กอปรกับการที่คนรักคุ้นเคยกับความสัมพันธ์ของเพศเดียวกันเป็นทุน
ฌานจึงไม่อาจเพิกเฉยต่อศัตรูหัวใจรายที่เขายังไม่เคยเห็นหน้าค่าตาได้อีก
“ไม่น่านะครับอา
เอ หรือไอ้พวกนั้นมันจะเข้าหาเล็กตอนพี่พลายไม่ทันเห็นวะ?” คิ้วหนาบนใบหน้าคมคายขมวดเป็นปมขณะที่เด็กหนุ่มบ่นพึมพำกับตัวเอง
“เอางี้ดีกว่าอาฌาน ไว้พี่พลายจะหาคำตอบเรื่องนั้นให้อีกทีแล้วกันครับ” พลายสรุปด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดเมื่อเห็นแววตากังขาระคนว้าวุ่นใจของผู้เป็นอา
ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยการแบ่งปันข้อมูลเท่าที่ตนพอมี
“แต่ที่เรียนพิเศษน่ะมีเพียบเลยนะอา”
“รวมถึงคนตัวสูง
ๆ ที่ไปกินอุด้วงวันนี้ด้วยใช่ไหม?”
“อ๋อ
ไอ้นั่นชื่อทีมครับ เด็กกางเกงดำ เกย์แท้เกย์เปิดเผยเลยอา
แต่อาฌานไม่ต้องเป็นห่วงไปครับ เล็กไม่เล่นด้วยหรอก” ปภพสรุปห้วน ๆ
ตามภาพที่ตนเห็นจนเจนตา... น่าสงสารไอ้ทีมนั่นจริง ๆ เล่นกับใครไม่เล่น
ดันมาเล่นกับคนมีเจ้าของแล้วอย่างน้องชายเขา
“แล้วกับคนอื่น
ๆ ล่ะ?” ฌานยังไม่คลายใจ
“หึ! โดนปฏิเสธเรียบทั้งชายทั้งหญิงครับอา” พี่คนโตอวดโอ่ด้วยน้ำเสียงภูมิอกภูมิใจราวกับเป็นเรื่องของตัวเอง
“นี่ถ้าไม่ติดว่าอาห้ามไว้ เล็กคงได้เที่ยวบอกกับทุกคนไปนานแล้วแหละว่าเป็นแฟนกับอาน่ะครับ”
คำอธิบายดังกล่าวทำเอาฌานยกยิ้มมุมปากโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
สีหน้าผ่อนคลายผิดจากเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้าทำให้ทายาทคนโตของบ้านรีบรวบตึงบทสนทนาทันที
“อาฌานสบายใจแล้วใช่ไหมครับ งั้นพี่พลายไปนอนก่อนนะ”
“เฮ่ยเดี๋ยว!
อายังพูดไม่จบ!” โชคยังดีที่ฌานจับลูกบิดประตูเอาไว้มั่น
ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายคงได้งับบานไม้ใส่หน้าจนเขาต้องเปลืองแรง
เปลืองน้ำลายเคาะเรียกกันอีกคำรบ
“อาอยากขอให้พี่พลายช่วยเป็นไม้กันหมาให้อาเวลาที่อาไม่ได้อยู่กับพลับน่ะ”
ใบหน้าหงิกงอกับสายตาขุ่นข้องของผู้ฟังที่ดูละม้ายกับตรินยามไม่ได้ดั่งใจทำให้ฌานพรั่งพรูธุระของตนอย่างว่องไว...
ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้ไอ้เด็กนี่หน้าตาคล้ายเต๋อราวกับโขกกันมาล่ะ?!
ใจความดังกล่าวเรียกรอยยิ้มร้ายกาจของผู้ฟังให้แย้มพรายได้ในชั่วพริบตา
“โธ่เอ๊ย! นึกว่าเรื่องอะไร
ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ เรื่องแค่นี้ พี่พลายทำให้อาได้สบายมาก” ปภพตบอกตัวเองเบา ๆ พลางส่งสายตายืนยันเพื่อสร้างความมั่นใจให้คนฟัง
ทว่านั่นกลับยังไม่ใช่สิ่งที่ฌานวาดหวังเสียทีเดียว
“แล้วถ้ามีคนไหนที่ล้ำเส้นหรือไล่ไม่เลิก
พี่พลายต้องรายงานอาทันทีเลยนะ ตกลงไหม?”
“ล้ำเส้นของอาน่ะแค่ไหนครับ?”
เด็กหนุ่มยืนกอดอกพลางเลิกคิ้วรอฟังคำอธิบายแบบจำเพาะเจาะจงของอีกฝ่าย โดยหารู้ไม่ว่า
สิ่งที่คู่สนทนากำลังจะเอื้อนเอ่ย ได้เฉลยสถานะลับ ๆ
ของตนกับฝาแฝดคนรองแบบหมดเปลือก
“พี่พลายไม่ชอบให้คนอื่นทำแบบไหนกับพลุ
อาก็ไม่อยากให้พลับโดนแบบนั้นเหมือนกันนั่นแหละ”
“หืม?!!” อารามตกใจ
เด็กหนุ่มจึงไม่อาจปิดบังใบหน้าถอดสีของตัวเองจากอีกฝ่ายได้ จริงอยู่ที่ตลอดมา
เขาไม่เคยปิดบังความสัมพันธ์ของเขากับน้องชายคนรอง
หากแต่พลายก็ไม่เคยเพลี่ยงพล้ำทำรุ่มร่ามจนโดนใครจับไต๋ได้มาก่อน
“นั่นแหละ
เอาเป็นว่าเราเข้าใจตรงกันแล้วนะ” ฌานรวบรัดโดยพยายามไม่แตะต้องหัวข้อต้องห้ามโดยไม่จำเป็น
เด็กหนุ่มมีสีหน้าโล่งอกและซาบซึ้งใจเมื่อคนโตกว่าไม่คิดจะฟื้นฝอยให้เขาต้องพลอยตกที่นั่งลำบาก
“ครับ”
“ฝากดูแลพลับแทนอาด้วยนะ
อาไม่มีใครให้ไหว้วานแล้วจริง ๆ ”
เป็นเพราะร่างทรงหนุ่มไม่ก้าวก่ายหรือล้ำเส้นที่ตนขีดไว้
พลายจึงเต็มใจให้ความช่วยเหลืออีกฝ่ายโดยไม่ลังเล “อาฌานไม่ต้องเป็นห่วงครับ
เรื่องนี้พี่พลายถนัดอย่างแรง”
เรื่องขี้ปะติ๋วแค่นี้
ทำไมเขาถึงจะทำให้ฌานไม่ได้... ในเมื่อทุกวันนี้ เขาก็ทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดให้บรรดาพ่อ
ๆ รวมถึงพลุเป็นประจำอยู่แล้ว แค่นับรวมน้องชายคนเล็กเพิ่มขึ้นอีกคน จะลำบากลำบนสักกี่มากน้อยกัน
เสียงหักนิ้วดังกรึ๊บกรั๊บที่สอดรับกับถ้อยแถลงยืนยันความร่วมมือผ่านน้ำเสียงฮึกเหิมลำพองของหนุ่มน้อยวัยสิบห้าปีทำให้คนโตกว่ารู้สึกสบายใจราวกับยกภูเขาออกจากอก
“ขอบใจมากนะพี่พลาย อ้อ! แล้วก็ขอบคุณเรื่องเมื่อกลางวันนี้ด้วย
ถ้าอาไม่ได้พี่พลายกับพลุช่วยเอาไว้ ป่านนี้อากับพลับคงต้องเคลียร์กันอีกยาว”
“หึ หึ หึ” เสียงหัวเราะร้าย
ๆ ที่บ่งบอกความชอบอกชอบใจดังลอดออกจากริมฝีปากได้รูปของผู้ด้อยอาวุโส
“อาฌานไม่ต้องขอบคุณพี่พลายก็ได้ครับ เอาไว้พี่พลายต้องการความช่วยเหลือเมื่อไร
อาฌานก็อย่าลืมพี่พลายแล้วกัน”
ทั้ง ๆ ที่สังหรณ์ใจว่าสิ่งที่แฝดคนโตจะร้องขอเป็นการตอบแทนน่าจะสร้างความหนักใจเป็นล้นพ้นให้กับตนในบั้นปลาย
ทว่าอดีตเด็กสถาปัตย์ก็ไม่เห็นหนทางอื่นใดที่จะทำให้เขาสบายใจได้อีกแล้ว “ได้ ๆ ” ฌานแสร้งเมินสีหน้ามาเฟียจอมรีดไถของหลานชายเพื่อตกปากรับคำทันควัน
“งั้นพี่พลายไปนอนก่อนนะครับ
เดี๋ยวพลุรอนาน” เด็กหนุ่มออกตัวล้อฟรีอีกครั้ง ทว่าฌานยังไม่หมดประเด็น
“เอ้อ พี่พลาย!” เสียงเรียกของคุณอาทำให้หลานชายที่กำลังจะหมุนตัวกลับเข้าห้องถึงกับชักสีหน้าพลางเลิกคิ้วมองอย่างขัดใจ
“เพลา ๆ หน่อยก็ดีนะ”
“หืม!?!” เด็กหนุ่มออกท่าสงสัยติดหมัดจนฌานต้องขยายความอย่างช่วยไม่ได้
“เรื่องนั้นน่ะ
เพลา ๆ หน่อยเถอะ” สีหน้าดื้อดึงแกมรำคาญของหลานชายคนโตส่งสัญญาณเตือนให้ผู้เป็นอารู้ซึ้งถึงอันตรายที่ใกล้จะปะทุในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า
จนฌานต้องรีบเปลี่ยนทีท่าแทบไม่ทัน “เอาเป็นว่า ถ้าหักห้ามตัวเองไม่ได้ก็เบาเสียงลงหน่อยเถอะ
ขนาดอายังรู้เลยนะว่าเมื่อกี๊พี่พลายทำอะไรอยู่ แล้วถ้าพวกป๋าเกิดผ่านมาได้ยิน
พี่พลายคิดว่าป๋าจะนึกออกไหมล่ะ?”
เด็กหนุ่มกระแอมพลางหรุบตามองพื้นหน้าห้องขณะรับคำ
“ครับ”
“อาไปล่ะนะ”
“ขอบคุณนะครับอา”
ฌานพยักหน้าพลางยิ้มบาง ๆ ส่งให้หลานชายคนโตแล้วหมุนตัวเดินจากไป อีกฝ่ายจึงรีบปิดประตูห้องแล้วพุ่งหลาวขึ้นไปซุกตัวลงนอนพร้อมกับกอดฝาแฝดเบอร์สองเสียเต็มรัก
“ฮื่อ! ใหญ่ ใหญ่ตัวเย็นจัง!” ทันทีที่ผิวเนื้ออุ่น ๆ ใต้ผ้าห่มนวมผืนกว้างกระทบเข้ากับร่างกายที่อาบไล้ด้วยความเย็นของเครื่องปรับอากาศของพลาย
คนนอนรอจึงไม่วายส่งเสียงประท้วงอย่างไม่ใครจะจริงจังนัก
“หนาวจังเลยกลาง
กลางกอดใหญ่หน่อยสิ” ปภพออดอ้อนแฝดน้องเสียงอ่อนเสียงหวานผิดกับเวลาที่เจ้าตัวพูดคุยกับคนอื่น
ๆ แบบลิบลับ
“ก็แล้วนี่อะไรล่ะ?”
เจ้าของวงแขนที่รัดรึงโอบรอบลำตัวตึงแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อของแฝดพี่แซะอย่างอดไม่ได้
สีหน้าเย่อหยิ่งปนท้าทายของน้องชายคนรองทำให้ปภพแสยะยิ้มพลางแยกเขี้ยวขู่
“ปากดี เดี๋ยวเถอะนะ” พี่คนโตชี้หน้าพร้อมสำทับอย่างเอาเรื่อง “ใหญ่ยังไม่ลืมหรอกนะว่าเมื่อกี๊กลางทำอะไรเอาไว้!”
“อาฌานมาทำไมเหรอ?”
เมื่อเห็นวี่แววของพายุตั้งเค้ามาแต่ไกล พลุจึงทำเฉไฉเปลี่ยนเรื่องในบัดดล
“ก็มาคุยเรื่องเล็ก”
ปภพคว้าเอวผู้เป็นน้องเข้าชิดใกล้แล้วเฉลยความง่าย ๆ ไม่โยกโย้ ทว่าทว่าคำโปรยสั้น
ๆ ของกลับจุดประกายความสงสัยของคนฟังได้ชะงัดนัก
“หืม? เล็กทำไมเหรอ?”
ทายาทเบอร์สองอดเป็นห่วงน้องชายคนสุดท้องไม่ได้
ยิ่งเมื่อทั้งเขาและพลับตกอยู่ในสถานะผู้ถูกรักด้วยกันทั้งคู่
พลุก็ยิ่งสนิทสนมกับอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้น
“ไม่มีอะไรหรอก
แค่อาฌานมาขอให้ใหญ่ช่วยกันไอ้พวกที่มาคอยจีบเล็กให้เวลาอาไม่อยู่ด้วยน่ะ”
“ทีมน่ะเหรอ?”
พลุหลุดปากอ้างถึงผู้ต้องหารายแรกในทันใด
หากแต่แฝดพี่กลับส่ายหัวบอกใบ้ว่าตัวเลือกดังกล่าวห่างไกลจากความต้องการของฌานไปมากพอดู
“ก็ทุกคนนั่นแหละ
นี่ใหญ่ยังไม่รู้เลยว่าที่โรงเรียนมีคนชอบเล็กเยอะหรือเปล่า”
“อืม ก็พอมีนะ
กลางเห็นเวลาเล็กกับวิวลงไปซื้อขนมเบรคชอบมีพวกรุ่นพี่มาคอยเดินตามขอเบอร์ขอไลน์อยู่หลายคน”
“จริงดิ?!”
“ก็จริงน่ะสิ
กลางจะโกหกใหญ่ทำไมล่ะ” น้ำเสียงตระหนกที่ดังสวนขึ้นแบบฉับพลันบอกใบ้ความรู้สึกตกอกตกใจของผู้เป็นพี่ชายได้เป็นอย่างดี
ขนาดพลายยังเสียอาการถึงเพียงนี้ แล้วถ้าอาฌานรู้ล่ะ รายนั้นจะไม่ตื่นตูมจนวุ่นวายไปเลยเหรอ?!
“แล้วกลางล่ะ?
มีใครมาจีบหรือเปล่า?” คนเป็นพี่หรี่ตามองจับผิดแต่อีกฝ่ายกลับไม่คิดอะไร
“มีที่ไหนล่ะ”
“น้อยไปสิ
ไอ้พี่พรินซ์นั่นก็คนนึง”
“พี่พรินซ์เป็นพี่ชมรม
ไม่มีอะไรหรอก” แฝดคนกลางตอบตามความเป็นจริงเท่าที่ตนเข้าใจ หากแต่นั่นกลับไม่ใช่สิ่งที่พลายอยากได้ยิน
“จะไม่มีอะไรได้ยังไง
สายตามันเวลามองกลางน่ะโคตรหื่นเลยไม่รู้เหรอ?! ขนาดใหญ่จับกลางใส่แว่น ทำผมเชย ๆ แล้วนะ
มันยังมีหน้ามาทำรุ่มร่ามกับกลางอยู่อีก!” ปภพบ่นอย่างเหลืออดเพราะนับวัน เสน่ห์ของปพนก็ทำให้เจ้าตัวดูยั่วยวนและน่าหลงใหลมากขึ้นเรื่อย
ๆ ไม่อยากคิดเลยว่าหากเขาไม่คอยบังคับให้ฝาแฝดผู้มีใบหน้าและรูปร่างเหมือนเขาอย่างกับแกะหมั่นทำตัวกลมกลืนไปกับพื้นหลังตลอดเวลา
พลุจะยังอยู่กับเขาเหมือนทุกวันนี้หรือไม่
กระนั้น ดูเหมือนว่าแฝดคนรองเองก็คิดเห็นไม่ต่างกัน
เพราะเมื่อได้ยินคนเป็นพี่เอ่ยอ้างถึงเสี้ยนหนามตำใจไปหมาด ๆ พลุก็อดแขวะอีกฝ่ายด้วยอารมณ์หึงหวงระคนหมั่นไส้ไม่ได้
“ใหญ่นั่นแหละ ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย
เวียนมาขายอ้อยขายขนมจีบให้อยู่ไม่เว้นแต่ละวันจนหัวกระไดบ้านเปียกโชก!”
“ก็เท่านั้น
ใหญ่ไม่สนเสียอย่าง!”
“กลางก็ไม่สนคนอื่นเหมือนกัน!”
“ให้มันจริง!”
“จริง! ใหญ่นั่นแหละ ดีแต่พูดหรือเปล่า?”
หลังจากลอยหน้าลอยตาประกาศความรู้สึกใส่หน้ากันอยู่พักใหญ่
ๆ พลายก็อาศัยภาษากายเข้าช่วยไกล่เกลี่ยกับแฝดน้องอย่างถึงลูกถึงคน “พูดอย่างเดียวกลางคงไม่เข้าใจ
เดี๋ยวใหญ่จะพิสูจน์ให้กลางรู้เองว่า เพราะอะไร ทำไมใหญ่ถึงไม่สนใจใครหน้าไหนอีกแล้ว”
ไม่ทันขาดคำ ฝ่ามือของฝาแฝดคนโตก็ขยี้ขยำยอดมงกุฏงามหวามไหวที่กลายเป็นติ่งไตหลังจากโดนปลายนิ้วสะกิดผ่านเพียงวูบเดียว
“ฮื่อใหญ่” ทันทีที่ร่างกายถูกปลุกเร้าถูกจุด
แฝดน้องก็ครางสะท้านอย่างพึงพอใจเป็นที่สุด กระนั้นคนเกิดก่อนกลับยุติความเคลื่อนไหวทั้งหมดเพื่อยื่นข้อตกลงอย่างเร่งด่วน
“เดี๋ยวกลาง”
“อะไร?!” ด้วยความที่ถูกปลุกเร้าแล้วโดนปล่อยเกาะให้ค้าง
ๆ คา ๆ มาสองรอบติด ๆ จึงไม่แลกหากปพนจะหงุดหงิดจนเผลอชักสีหน้า
“คืนนี้อย่าครางดังนะ”
พลายขอความร่วมมือจากผู้สมรู้ร่วมคิดอย่างไม่อ้อมค้อม แต่นั่นกลับทำให้คนฟังยิ่งไม่สบอารมณ์ไปกันใหญ่
“ทำไม?!”
“อาฌานบอกว่าได้ยินเสียงพลุครางเมื่อกี๊น่ะ”
“จริงดิ?!” คำอธิบายที่เพิ่งได้ยินไปจะ ๆ นำพาความรู้สึกอับอายเหลือประมาณมาสู่ผู้ฟังอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง
ใบหูทั้งสองข้างของพลุเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดเมื่อเจ้าตัวเผลอนึกย้อนไปถึงวีรกรรมที่ตนทำเอาไว้...
แล้วหลังจากนี้ เขาจะต้องรวบรวมความกล้าอีกสักเท่าไรจึงจะสามารถสู้หน้าอาฌานได้เหมือนเมื่อก่อน?!
“อือ
เดี๋ยวใหญ่ว่าใหญ่จะขอป๋าทำห้องใหม่ คราวนี้ใหญ่จะให้ช่างเก็บเสียงให้เนี้ยบเลย” ฝาแฝดคนโตปลุกปลอบพร้อมทั้งเสนอแนะหนทางแก้ปัญหาระยะยาวไปพร้อม
ๆ กัน แทนที่ปพนจะสบายใจ ทายาทเบอร์สองของบ้านกลับรวบรัดตัดจบแบบไร้เมตตา
“งั้นคืนนี้ก็อย่าเพิ่งทำเลยนะใหญ่
กลางกลัวเผลอส่งเสียงดังอ่ะ”
“เฮ้ยไม่เอางี้ดิกลาง!” พลายคัดค้านอย่างเป็นเดือดเป็นร้อน
เมื่อเห็นว่าน้องยังยืนกรานไม่เปลี่ยนท่าที
ผู้เป็นพี่จึงคว้าฝ่ามืออีกฝ่ายพร้อมกับลากลงต่ำเพื่อไปสัมผัสของกลางที่พร้อมจะวาดลวดลายอยู่รอมร่อ
พลุชักมือหลบแล้วตอกกลับด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“ไม่เอา ไม่ทำ! ใหญ่ก็รู้หนิว่าถึงตอนนั้นแล้วกลางจะเป็นยังไง!!”
“จะเอา
จะทำ!” พลายสวนทันควันด้วยน้ำเสียงถือดีประสาผู้นำที่มีอัตตาสูงลิบลิ่ว “ห้ามเสียงไม่ได้ก็ต้องห้าม
กลางพยายามหน่อยดิ้!”
คำพูดเอาแต่ใจของปภพทำเอาเส้นความอดทนของคนฟังขาดผึง
“เอ๊ะ! ก็บอกว่าไม่เอาไง! คนจะครางมันห้ามกันได้ที่ไหนวะใหญ่?!”
“จิ๊!
งั้นเวลากลางจะคราง
กลางก็กัดหมอนเอาแล้วกัน/b[]” ไม่พูดเปล่า เจ้าของประโยคคว้ามือน้องไปประกบกับของกลางที่เริ่มจะสั่นระริก
ๆ เพราะเครื่องร้อนฉ่า แต่คนหน้าเหมือนกันกลับผลักพลายออกห่างก่อนจะนอนตะแคงหันหลังให้ในท้ายที่สุด
“ครางไม่ได้ก็ไม่ต้องเอา! กลางจะนอนแล้ว!” ปพนทิ้งท้ายโดยไม่คิดจะเหลียวแลอาการทนทุกข์ทรมานของพี่ชายเลยสักนิด
ทว่านั่นกลับไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายเสียกำลังใจ ปภพขยับไปนอนซ้อนหลังแนบใกล้ แล้วกระซิบความตั้งใจของตนด้วยน้ำเสียงจริงจังจนขนอ่อนตามตัวคนฟังลุกเกรียว
“หึ!
ก็ลองดูสิว่าจะทนได้กี่น้ำ!” พลายว่าพลางหย่อนหมอนใบเล็ก ๆ วางลงตรงหน้าฝาแฝดผู้น้อง
จากนั้นจึงเริ่มเปิบข้าวต้มรอบดึกสุดพิสดารอย่างชำนิชำนาญไม่เป็นสองรองใคร
«♥»------------------------------------ TBC ------------------------------------ «♥»
No comments:
Post a Comment