ออกตัวก่อนว่าช่วงท้าย
(คี่รัก ฝาแฝด ฌานพลับ) ดังที่กำลังเป็นอยู่นี่
บทบาทของตัวละครอื่น
ๆ ที่เราคุ้นเคยกันดีจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด
แถมเนื้อเรื่องจะดำเนินไปอย่างรวดเร็วแบบเขย่งก้าวกระโดดอีกต่างหากค่ะ
เพราะเราจะมุ่งเน้นความสัมพันธ์ของ
3P และตัวละครที่เกี่ยวพันกับชีวิตรักของพวกเขาเป็นหลัก
(จำนวนตอนที่เหลือ [กะคร่าว
ๆ] น่าจะราว ๆ นี้:
คี่รัก (เรียน แต่ง
ท้อง) + เบ่บี๋ไม่เกิน 5 - 10 ตอน
ฝาแฝด ฌอนพลับ ไม่เกิน
10 ตอนเหมือนกัน)
แน่นอน นั่นคงทำให้หลาย
ๆ คนคิดถึงเหล่าสมุนเลวเอามาก ๆ
ซึ่งเราต้องขอโทษที่ลดทอนบรรยากาศสนุกสนานเหล่านั้นลง
(โค้งตัวต่ำ)
อย่างไรก็ดี หากตอนไหนที่เนื้อเรื่องเดินเร็วไป
(เนื่องจากไม่มีความเกี่ยวข้องกับคี่รักมากนัก)
เราอาจจะเก็บตกช่วงเวลาดังกล่าว
แล้วนำมาเขียนเป็นตอนพิเศษแทรกเพิ่มทีหลัง
(แต่เราขอไม่รับปากเนาะว่าจะเขียนมากเขียนน้อย
เพราะเท่าที่จดไว้ ตอนพิเศษนี่เยอะมากค่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า)
รักชอบประการใด...
ฝากข้อความแทนใจเอาไว้ได้เลยค่ะ ^^
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
The 29th
Bonding
ตราบจนวันสุดท้าย
ฉบับฮาวายเอี้ยนดีไลท์!
“พี่ฌาน!” หนุ่มแว่นเจ้าของเสียงตะโกนโหวกเหวกทิ้งกลุ่มเพื่อนไว้เบื้องหลังขณะปรี่เข้าหาแฝดพี่ด้วยความตื่นเต้นยินดีเหลือกำลัง
“ผมคิดถึงพี่ฌานสุด ๆ ไปเลยครับ!”
แม้จะยิ้มรับเมื่อได้ยินมธุรสวาจาของหลานอาม่าใหญ่
แต่ฌานกลับไม่ได้หลงใหลได้ปลื้มเพราะลมปากช่างประจบ... ยิ่งกับสกลด้วยแล้ว
ยิ่งเชื่อไม่ได้ไปกันใหญ่ “ให้มันจริงเหอะแว่น... พี่ฌานได้ข่าวว่าแว่นงอแงไม่ยอมขึ้นเครื่องจากนาริตะมานี่นิ”
“แหม่
พี่ฌานล่ะก็ รู้ทันผมเรื่อยเลย! เดี๋ยวผมมานะครับ ไปช่วยพี่รินขนของแป๊บ!” สิ้นคำ คนพูดก็ยิ้มหวานก่อนหันกลับหลังแล้ววิ่งหน้าตั้งหนีความผิดสวนทางกับกลุ่มเพื่อนเพื่อไปรอรับคนรักซึ่งยังยืนรอกระเป๋าเดินทางอยู่ตรงสายพานด้านในด่านตรวจคนเข้าเมือง
“พี่ฌาน!” บ๊วยร้องทักคนมารอรับอย่างดีอกดีใจ
ฝ่ายร่างทรงหนุ่มก็คลี่ยิ้มละไมให้เพื่อนรักตัวจ้อยพลางเอ่ยถามเสียงนุ่มผิดกับเมื่อครู่
“ว่าไง คิดถึงพี่ฌานบ้างไหมบ๊วย?”
“มากเลยครับ
พี่ฌานล่ะครับเป็นไงมั่ง?” ชายกลางละล่ำละลักถามอย่างตื่นเต้นพลางลูบ ๆ
คลำ ๆ แขนแฝดพี่คล้ายต้องการพิสูจน์ตัวตนของอีกฝ่ายให้แน่ชัดหลังจากห่างกันไปเกือบปี
“ก็โอเคทุกอย่างเหมือนเดิมนั่นแหละ
ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง” ร่างทรงหนุ่มตอบกลั้วหัวเราะกับท่าทางน่าเอ็นดูของเพื่อนรักตัวน้อย
จากนั้นจึงเอ่ยทักทายอดีตเดือนมหาลัยที่เดินตามบ๊วยเป็นเงา “ไงเก็ก... เป็นไง
สบายดี?”
“โหย! โคตรดีอ่ะครับพี่ฌาน หลังบูบู้เรียนจบผมนี่รู้สึกเหมือนพวกผมเป็นคู่แต่งงานยังไงยังงั้นเลยครับ”
ชายหนุ่มรูปงามผิวคร้ามแดดที่ดูคมเข้มหนักข้อขึ้นกว่าเมื่อสมัยเรียนหลายเท่าฉีกยิ้มกว้างพลางโอบไหล่คนรัก
แล้วออกแรงฉุดร่างกระจ้อยร่อยเข้าไปสวมกอดอย่างไม่สนใจสายตาคนรอบข้าง อาการขี้หึง หวงก้าง
แถมท้ายด้วยความขี้อวดของคนพูดทำเอาฌานส่ายหัวอย่างอ่อนใจ... จะกี่ปีผ่านไป อริยะตรัยผู้น้องก็ยังเห่อชายกลางเหมือนเดิม
“ยังไงวะเก็ก?”
คำตอบของคู่สนทนาทำให้ฌานตระหนักว่า ตนได้หลวมตัวถามถึงสิ่งไม่สมควรไปเสียแล้ว
”ก็งี้ไงครับพี่ฌาน
ตอนเช้า ผมออกไปทำไร่ส่วนบูบู้ก็อยู่ทำงานบ้าน ตกเย็นก็กลับมากินข้าวกินปลาพร้อมหน้าลูกเมีย
ก่อนจะนอนก็ชวนเมียหาเรื่องเสียเหงื่อพอเป็นกระษัยแล้วก็หลับยาวไปจนถึงอีกวัน
นั่นแหละครับชีวิตหลังแต่งงานอันสุขสันต์ของพวกผมสองคน” อริยะตรัยคนน้องอวดโอ่อย่างภาคภูมิ
“พี่หมี!” บุคคลผู้ถูกพาดพิงอย่างเสีย ๆ หาย ๆ
ส่งเสียงตวาดแหว แต่มีหรือที่ธันวาจะสนใจ
“อุ่ยโทษ ๆ !
เค้าพูดผิดไป...
เมียอย่างเดียว... ไม่มีลูกเนอะ บูบู้เนอะ”
“ใช่ที่ไหนล่ะครับพี่หมี!”
เสียงหัวเราะสุดระรื่นของเก็กกลายเป็นเพียงเสียงประกอบฉากทันทีที่แฝดน้องกล่าวทักทายชายหนุ่มสายเลือดเดียวกัน
“พี่ชาย เป็นไงมั่งครับ?”
“ก็ดี
แล้วน้องชายล่ะ เหนื่อยไหม?”
“ไม่เท่าไรครับ...
หรือไงอิ๊ก?” ฌอนหันไปถามอดีตเดือนบริหารที่เดินเชิดหน้าตามหลังตนมาติด ๆ เพื่อขอความเห็นที่สองเกี่ยวกับการเดินทางในวันนี้
แต่อคิรากลับใช้พื้นที่สื่อแฉคนรักเสียย่อยยับ
“หลังฌอนลาออกจากที่ทำงานเก่าเมื่อเดือนก่อน
ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าก็โบกมือลาจากชีวิตอิ๊กในชั่วพริบตาเลยล่ะครับพี่ฌาน”
“อะแฮ่ม!... พี่ชายถามถึงการเดินทางมาฮาวายต่างหากครับอิ๊ก” แฝดน้องถลึงตาทำหน้าเข้มดุคนรักทันควัน
“อ้าวเหรอ?!
ก็แล้วใครจะไปรู้ล่ะ
อิ๊กได้ยินแค่พี่ฌานถามว่าเหนื่อย ๆ อิ๊กก็นึกว่าเรื่องอื่น” อิ๊กลอยหน้าลอยตาโต้เถียงเสียงใส
ก่อนจะยอมให้คำตอบแก่แฝดพี่ดี ๆ ในท้ายที่สุด
“รอบที่บินมาฮาวายนี่ไม่แย่เท่าไรครับ
ดีที่พวกเราแวะพักเที่ยวที่ญี่ปุ่นกันหลายวัน ขานั่งเครื่องจากนาริตะเลยไม่ค่อยเหนื่อย
แล้วพวกไอ้ตั่วเฮียอ่ะครับ... ไม่มาด้วยกันเหรอ?” เมื่อกวาดตามองไปรอบ ๆ อยู่นาน
หากแต่กลับมีแค่ฌานที่ยืนรอรับพวกเขาอยู่
บัณฑิตคณะบริหารจึงอดถามไถ่ถึงคู่อริตลอดกาลไม่ได้
“หึ! วันนี้พวกพี่เต๋อมีนัดคุยเรื่องสถานที่จัดงานน่ะ
พี่ฌานเลยติดรถมารับพวกเราแทน” ร่างทรงหนุ่มกระหยิ่มเพราะรู้ดีว่า ลึก ๆ แล้ว อิ๊กเองก็ตั้งตารอเจอหน้ากรกฏอยู่เช่นกัน...
ติดที่ว่าปากแข็งเกินจะยอมรับออกมาตามตรงเท่านั้นเอง
“เรื่องอื่นไว้ค่อยคุยกันบนรถเถอะ...
ยิ่งไปถึงโรงแรมเร็วเท่าไร พวกนายก็จะมีเวลากพักผ่อนก่อนออกมากินข้าวเย็นพร้อมหน้ากันมากขึ้นเท่านั้นนะ”
ก่อนจะมีใครเปิดประเด็นใหม่ ฌานก็รวบสรุปความแถมแจ้งกำหนดการอย่างเร็วรี่ พลางกวักมือเรียกสกลกับสารินให้เร่งสาวเท้าตามชาวคณะไปขึ้นรถที่พ่อเต๋อจัดไว้รับรองพวกหนุ่ม
ๆ เป็นกรณีพิเศษ
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
“แม่บัว
พ่อเขียว อุ๊ย! พวกพี่ ๆ สวัสดีครับ!” สกลผู้ได้หลับพักผ่อนจนหน้าใสกิ๊งชิงปราดเข้าไปยกมือไหว้พลางเอ่ยทักทายคนคุ้นหน้าอย่างกระดี๊กระด๊าประสาพีอาร์ขาเผือกประจำกลุ่ม
“หนูแนน
เป็นไงบ้างลูก? ไหน... เขยใหญ่แม่ไปอยู่ไหน ทำไมไม่พามาไหว้แม่กับพ่อหน่อยล่ะจ๊ะ?”
แม่บัวเอ่ยถามพร้อมกับสอดส่ายสายตามองหาชายหนุ่มร่างใหญ่ผู้เป็นหลานชายคนใหม่ของบ้านพงษ์พินิจรุ่งโรจน์ผู้ไม่เคยปล่อยให้หนุ่มแว่นห่างตัว
“แม่รอเดี๋ยวนะครับ”
ขาดคำ อดีตเด็กสถาปัตย์หัวไข่ก็หันไปโบกมือเรียกหมีโพลาร์ที่เดินทอดน่องพูดคุยกับเต๋อและด้วงอย่างออกรส
“พี่ริน! พี่รินมาไหว้แม่กับน้องเร้ว!”
กรกฏฉวยโอกาสที่สกลยังคงหัวหมุนกับครอบครัวใหม่ของตน
รีบเอ่ยแนะนำรุ่นน้องที่เหลือกับบรรดาพ่อ ๆ และแม่ ๆ ของหนุ่มร่างหมีทั้งสองทันทีค่าที่ไม่อยากโดนหนุ่มแว่นขัดคอจนเสียมาดที่อุตส่าห์ปรุงแต่งมาอย่างดี
“เอ่อ.. น้อง ๆ ครับ นี่แม่แหม่ม พ่อโต้ง คุณพ่อคุณแม่ของพี่เต๋อครับ”
วาจาแสนสุภาพซึ่งสอดรับกับน้ำเสียงและท่าทางอ่อนหวานของกังฟูเล่นงานอคิราจนสำลักน้ำลาย
เมื่อเห็นท่าทางทรมานเจียนตายของแฟนเก่าน้องชายดังนั้น หนุ่มรุ่นพี่ก็หันไปคลี่ยิ้มหวานใส่พลางกึ่งเร่งกึ่งเหน็บแนมหน้าระรื่น
“อย่าทำตัวไม่มีมารยาทใส่ผู้ใหญ่สิครับน้องอิ๊ก เลิกแกล้งไอแล้วไหว้คุณพ่อคุณแม่พี่เต๋อเร็วเร้ว!”
หลังจากรุ่นน้องพากันแสดงความเคารพผู้ใหญ่ฝั่งเต๋อเป็นที่เรียบร้อย
พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยก็เริ่มแนะนำพ่อแม่ของวิญญูต่อทันที “ส่วนนี่แม่จิ๋ว
พ่อวัฒน์ คุณพ่อคุณแม่ของพี่ด้วงครับ ทักทายพวกท่านสิครับน้อง ๆ ” พูดจบ
กังฟูกับอคิราก็สาดประกายไฟแปลบปลาบในแววตาห้ำหั่นใส่กันแบบเงียบ ๆ ด้วยต่างถือคติว่า
ลงมือก่อนย่อมได้เปรียบมากกว่า ฝ่ายบรรดาเหล่าพ่อแม่ที่ไม่รู้เรื่องอะไรก็ส่งยิ้มแทนคำทักทายให้เหล่าชายหนุ่มอย่างทั่วถึง
“แม่แหม่มขอบใจพวกหนูมาก
ๆ นะที่สละเวลามาร่วมงานแต่งของลูก ๆ แม่กันถึงที่นี่... พวกเรามาสร้างความทรงจำที่ด้วยกันนะจ๊ะ”
รสรินเอ่ยความในใจด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นที่สุด
“พวกผมต่างหากล่ะครับที่ต้องขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ที่ดูแลพวกเราเป็นอย่างดี
ถ้าไม่ใช่เพราะความกรุณาจากคุณพ่อคุณแม่ พวกเราคงไม่มีโอกาสได้มาเหยียบฮาวายกันพร้อมหน้าแบบนี้แน่
ๆ ครับ” ในฐานะของหัวหน้ากลุ่มซึ่งได้พบปะกับผู้อาวุโสก่อนหน้าเหล่าสมุนเลวอยู่หลายนวัน
ฌานจึงชิงพูดขอบคุณแทนผองเพื่อน ๆ โดยไม่รอรี
“ถ้าอย่างนั้น
ก็ขอให้ทุกคนทำตัวตามสบาย ใช้เวลาอยู่ที่นี่อย่างมีความสุข
พ่อกับแม่จะได้พลอยดีใจไปด้วย... พวกลูก ๆ ทำได้ไหม?” พ่อของหนุ่มร่างหมีหน้าคมเอ่ยถามเพื่อน
ๆ บุตรชายด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเอ็นดู ทำให้ผู้ฟังทั้งหมดกล้าที่จะเอ่ยตอบรับอย่างเต็มปากเต็มคำ
“ครับ!”
“ไป ๆ งั้นก็ไปกินข้าวกัน
เดี๋ยวมื้อนี้พ่อเลี้ยงเอง!”
“ในที่สุดผมก็รู้แล้วครับว่าพี่เต๋อได้รับถ่ายทอดพันธุกรรมความป๋ามาจากใคร”
เมื่อแน่ใจว่าพิกัดที่นั่งของตนห่างไกลจากระยะการได้ยินของเหล่าผู้ใหญ่ซึ่งนั่งร่วมโต๊ะกันอยู่อีกฝั่ง
หนุ่มแว่นก็เปิดประเด็นเม้าท์มอยอย่างเมามัน “ไม่อย่างนั้นพวกเราคงไม่มีบุญได้มาเที่ยวฟรีไกลถึงฮอนโนลู
ๆ นี่แน่ ๆ ครับ!”
คนพูดเอ่ยพลางลอบแอบมองบิดาของตรินด้วยความเลื่อมใส
“แต่คุณพ่อคุณแม่พี่เต๋อเขารวยป่ะแนนซี่
ไหนจะพ่อแม่พี่ด้วงอีก... รวยมหารวยมาดองกันแบบนี้ ต่อให้พี่เต๋อจะเปย์จะป๋าล้างผลาญสักกี่สิบชาติขนหน้าแข้งแกก็ไม่ร่วงหรอก”
แน่นอนว่าเมื่อเหล่าสมุนเลวและตัวแถมได้กลับมารวมตัวอีกครั้งหลังจากห่างหายกันไปเนิ่นนาน
ความรู้สึกโหยหาบรรยากาศในวันวานก็ส่งเสริมให้อคิราผสมโรงร่วมนินทาเจ้ามือในระยะเผาขนโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง
“เจ็บแต่จริง!” สกลกดหน้าชิดคางอย่างแรงเพื่อแสดงความเห็นชอบกับอคิราก่อนจะหันไปโอ้โลมปฏิโลมบ๊วยเป็นรายถัดไป
“เราคิดไม่ผิดเลยที่ลดตัวไปคบหากับคนอย่างนายมาตั้งหลายปี พี่รหัสนายช่างประเสริฐเลิศล้ำเสียนี่กระไร!”
ได้ยินดังนั้น
กังฟูก็เบี่ยงตัวหันหลังให้กับโต๊ะของเหล่าผู้ใหญ่พลางฉีกยิ้มกว้าง
แล้วจึงกัดฟันพูดข่มขู่รุ่นน้องหน้าแว่นปากมารทันที “น้องแนนครับ เพ้อเจ้ออะไรเอ่ย?
ถ้าขืนน้องแนนยังจะพูดจาสุนัขไม่รับประทานแบบนี้ต่อไป
พี่จะไม่เกรงใจน้องแนนแล้วนะครับ”
แต่แทนที่อาการเป็นเดือดเป็นร้อนของกรกฏจะทำให้หลานอาม่าใหญ่รู้สำนึก
สกลกลับนึกสนุกกับอาการอิหลักอิเหลื่อของพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยเสียอย่างนั้น “เอ๊ ๆ ! ทุกคนครับ พี่ผู้ชายตัวเล็ก ๆ ที่พูดจาเพราะ ๆ คนนี้ชื่ออะไรเหรอครับ?
ทำไมไม่มีใครแนะนำให้ผมรู้จักเลย”
“นั่นสิ...
พี่เขาเป็นใครล่ะเนี่ย ทำไมถึงได้สุภ้าพสุภาพไม่เข้ากับหนังหน้าอาฆาตแค้นได้ขนาดนี้ก็ไม่รู้
หรือว่าพี่เขากำลังสร้างภาพตบตาใครอยู่นะ”
ยิ่งเห็นอคิราแสยะยิ้มใส่หน้าหลังจากรับมุกต่อจากเด็กเต็กอย่างลื่นไหล
อริยะตรัยคนพี่ก็ยิ่งหัวร้อน ติดอยู่อย่างเดียวว่า หากเผลอแผดเสียงแปดหลอดใส่คู่หูผู้ชั่วช้า
เขาก็จะกลายเป็นไอ้ตัวร้ายในสายตาพ่อแม่สามีไปในพริบตาเดียว คิดได้ดังนั้น กรกฏจึงหลับตาพลางอัดลมหายใจเข้าสุดปอด
ก่อนจะแดกดันรุ่นน้องทั้งสองโดยไม่ลืมโปรยยิ้มแบบจิกตาหน้าแข็ง “พูดจาเล่นหัวรุ่นพี่แบบนี้เดี๋ยวก็ไม่ได้ตายดีหรอกครับ
ที่บ้านอบรมแล้วไม่รู้จักจดจำหรือยังไง ถึงได้ปีนเกลียวผู้หลักผู้ใหญ่เก่งกันจัง”
“ไม่เอาน่าฟู
กินข้าวต่อเถอะนะครับ” วิญญูออกโรงห้ามปรามพลางส่งสายตาเรียกกำลังเสริมหน้าคมทันที
“ไหนพวกมึงลองเล่ามาซิว่าปีที่แล้วพวกมึงเป็นไงกันบ้าง?”
ประเด็นว่าด้วยการอัพเดทชีวิตเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของทั้งหมดที่เต๋อทำจัดว่าได้ผล
เพราะแม้เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา สามหนุ่มรุ่นพี่จะได้กลับไปเหยียบแผ่นดินแม่จริง
หากแต่นั่นก็เป็นเพียงระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนต้องรีบบินกลับอเมริกาเพื่อเตรียมความพร้อมเรื่องงานแต่ง
รวมไปจนถึงจัดหาที่พักระยะยาวสำหรับครอบครัวของพวกเขาและบ๊วยระหว่างขั้นตอนการทำเด็กหลอดแก้วที่ฮาวายจะสำเร็จเสร็จสิ้น
“มึงก่อนเลยแล้วกันไอ้ตัวบอส
พวกเพื่อน ๆ มึงคงอยากได้ยินกันทุกคนแหละว่ามึงไปทำอะไร หายหัวไปอยู่ที่ไหนมา” เต๋อยิงคำถามใส่แฝดพี่โดยตีหน้าซื่อราวกับไม่เคยคุยเรื่องนี้กับรุ่นน้องต่างคณะมาก่อน
ฝ่ายร่างทรงหนุ่มก็ดีเหลือใจ เพราะเจ้าตัวยินดีบอกเล่าความเป็นไปของตัวเองในช่วงขวบปีที่ผ่านมาซ้ำอีกครั้ง
“ตอนนี้ผมยังติดตามริชอยู่เหมือนเดิมครับ
หกเดือนหลังมานี่ริชมีโปรเจคตามล่าถ่ายแสงเหนือตามพื้นที่ต่าง ๆ ของโลก
โชคดีที่ช่วงเดือนนี้ริชแวะมาอลาสก้าพอดี ผมเลยขอปลีกตัวมางานแต่งพี่เต๋อได้”
“พี่ฌานสบายดีไหมครับ?
เหงาหรือเปล่า?” ค่าที่ไม่เห็นหน้ากันนาน บ๊วยจึงอดไต่ถามสารทุกข์สุขดิบของแฝดคนโตไม่ได้
“พี่ฌานโอเคบ๊วย
ขอบใจที่เป็นห่วงนะ”
“แล้วที่มึงเที่ยวตะลอน
ๆ ไปถ่ายรูปไม่ยอมกลับบ้านกลับช่องแบบนี้... ไอ้เด็กหัวแดงคนนั้นมันไม่ต้องแกร่วรอมึงเงกหรือไง?
มึงไม่กลัวใครมางาบแฟนมึงไปเรอะ?” พอเห็นหัวหน้าเหล่าสมุนเลวต้องนั่งโดดเดี่ยวในดงคู่รัก
หนุ่มน้อยหัวสีหนึ่งในสองพี่น้องที่เคยมาพักกับตนชั่วคราวจึงกลายเป็นอีกหัวข้อที่ตรินมักจะคอยถามข่าวคราวจากฌานมิได้ขาด
“ผมไม่ได้ติดต่อกับคนเล็กนานแล้วครับ”
ร่างทรงหนุ่มยิ้มบาง ๆ พลางเอ่ยง่าย ๆ ราวกับไม่รู้สึกเสียใจ
จนกลายเป็นเต๋อเสียเองที่ทั้งรู้สึกผิดและตกใจไปพร้อม ๆ กัน
“เฮ่ย! ถามจริง?!”
“ครับ”
“มึงโอเคแน่
ๆ นะไอ้ฌาน?”
“ครับ
ผมไม่เป็นไรจริง ๆ ”
“แล้วนี่มึงมีแผนจะกลับไปอยู่เมืองไทยไหมเนี่ย?
หรือช้ำรักจนหาทางกลับบ้านไม่ถูก?” ถึงประโยคคำถามของเต๋อจะฟังคล้ายกับคำแซะ แต่สมาชิกร่วมโต๊ะอาหารทุกคนต่างสัมผัสความเป็นห่วงของหมีหน้าคมที่มีต่ออีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
“หึ หึ...
ไม่หรอกครับพี่เต๋อ ผมตั้งใจว่าจะทำงานกับริชเพื่อหาประสบการณ์อีกแค่หกปี
หลังจากนั้นผมก็จะกลับไปอยู่บ้านเราแบบถาวรเสียทีน่ะครับ”
“ทำไมต้องอีกหกปีด้วยอ่ะครับพี่ฌาน?”
คำตอบผ่านน้ำเสียงหนักแน่นของฌานทำอิ๊กข้องใจ... นี่ตัวเขาจะต้องรบรากับหมู่มวลมหาสัมพเวสีที่คอยหาเศษหาเลยกับร่างของฝาแฝดคนน้องเพียงลำพังอีกตั้งหกปีเชียวหรือ?
ไม่นะ!!
แต่แทนที่จะได้ฟังคำตอบของร่างทรงหนุ่ม
สกลกลับโพล่งเสียงหลอกด่าเพื่อนสนิทผู้มากบารมีขึ้นมาเสียอย่างนั้น “นั่นสิ!
ถ้าไม่คิดถึงบ้าน...
ก็หัดคิดถึงหัวอกเพื่อนสนิทมิตรสหายที่เป็นห่วงเป็นใยบ้างก็ยังดีนะครับ!”
“แว่นนน!” แฝดพี่ทอดถอนใจเมื่อเห็นว่าคนถูกดุแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เขาโดยไม่รู้สึกรู้สา
ชายหนุ่มส่ายหัวอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะเบือนหนีทัศนะอุจาดหน้าแว่น พร้อม ๆ กับไขข้อข้องใจของอดีตเดือนบริหารเท่าที่ตนพอเล่าได้
“ผมให้สัญญากับคน ๆ หนึ่งไว้ว่าผมจะกลับไปพบเขาในอีกหกปีข้างหน้าน่ะครับ”
“ซึ่งคน ๆ
นั้นก็คือผมนั่นเอง... ใช่ไหมเอ่ย?!” สกลเสนอหน้าอีกครั้งทั้งที่ไม่มีใครร้องขอเพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า
สัญญาที่ฝาแฝดคนพี่เอ่ยอ้างนั้นหมายถึงสิ่งใด... ถึงเวลาที่พระเอกอย่างเขาจะต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือพี่ฌานจากวิกฤตการณ์ตรงหน้าเสียที!!
“อีกแล้วนะครับแนน
พล่ามไปเรื่อยทั้งที่ไม่มีใครอยากจะฟัง...
.
.
...จริง ๆ จะนั่งหุบปากเงียบ
ๆ เฉย ๆ ไปก็ได้นะครับ ไม่มีใครหาว่าเป็นใบ้หรอกเนอะ” แม้จะไม่ได้ใช้ภาษาพ่อขุนจิกกัดอีกฝ่ายอย่างใจ
แต่ความว่องไวของฝีปากของกรกฏยังคงที่เช่นเดิม
แต่นอกจากจะไม่สลดแล้ว
หลานอาม่าใหญ่กลับตั้งท่าผ่าเผยแล้วลอยหน้าเอ่ยอย่างถือดี “แหมเฮียฟูล่ะก็ เฮียฟูไม่รู้เหรอครับว่า
ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ภายในหกปี ร้านผมน่าจะกลายเป็นคอมมิวนิตี้มอลล์เล็ก ๆ สำหรับเอาใจทั้งหมาและเจ้าของแบบครบวงจรยังไงล่ะครับ...
ถึงตอนนั้น คำสัญญาที่พี่ฌานกับผมตกลงกันเอาไว้ ก็จะกลายเป็นความจริงขึ้นมา ฮิ ฮิ”
จอมรับสมอ้างพูดถึงกิจการของตนกับคนรักด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
“หึ! ถ้าร้านของแนนจะไม่เจ๊งไปเสียก่อนนะครับ” กังฟูไม่วายดูถูกรุ่นน้องอย่างคะนองปาก
แต่มีหรือที่คนอย่างสกลจะหวาดหวั่น
“โห่! เฮียฟูไม่รู้อะไร รายได้ร้านผมนี่เดือน ๆ นึงไม่ใช่ขี้
ๆ นะครับ”
“เฮอะ! ขี้โม้จังเนอะ เพื่อนใครนะ” กรกฏเบ้หน้าแถมกลอกตามองบนใส่คู่สนทนาอย่างไม่ปรานี
พ่อหมีขาวจึงไม่อาจนิ่งเฉยปล่อยให้คนรักถูกย่ำยีชื่อเสียงได้อีกต่อไป
“คืออย่างนี้ครับฟู
พอดีพักหลัง ๆ นี่ คาเฟ่สัตว์เลี้ยงคงค่อนข้างเป็นกระแส ลูกค้าร้านเราเลยเยอะจนต้องขยับขยายน่ะครับ"
แม้จะยิ้มไปอธิบายไป แต่เหล่าผู้ร่วมโต๊ะกลับสามารถรับรู้ถึงความกดอากาศต่ำ กับบรรยากาศอันหนาวเหน็บที่แผ่ออกมาจากร่างของนายสัตวแพทย์โดยทั่วกัน
ไม่เว้นแม้กระทั่งอดีตเด็กวิศวะร่างเล็ก
”เหรอ... เออ!
งั้นก็ดีใจด้วยแล้วกัน”
พอเห็นว่าพี่ชายพูดจาอึกอัก
อดีตเดือนมหาลัยจึงยิงคำถามช่วยชีวิตสายเลือดเดียวกันอย่างอดไม่ได้ “พี่รินครับ ได้มาเห็นพวกพี่เต๋อแต่งกันแบบนี้
พี่รินไม่คันไม้คันมือคิดจะขอไอ้หนูแนนมันแต่งงานบ้างเหรอครับ?”
“หึ หึ...
ไม่ต้องหรอกครับ แค่พี่ได้อยู่ด้วยกับแนนทุกวัน พี่ก็มีความสุขมากแล้ว” คำตอบของพ่อหมีขาวไม่ได้น่าฮือฮาเท่ากับสายตาของเจ้าตัวซึ่งเหลือบมองใบหน้าอมยิ้มของเด็กเต็กหัวไข่ขณะแอบเลื่อนมือข้างซ้าย
พลางกระดิกนิ้วนางโชว์แหวนทองคำขาวฝังเพชรริก ๆ เพื่อล่อตาคนทั้งโต๊ะอย่างไม่รู้ไม่ชี้
สารินคลี่ยิ้มกับภาพที่เห็นก่อนจะถามธันวากลับตามมารยาท
“แล้วเก็กกับบ๊วยล่ะครับ วางแผนอนาคตกันไว้ยังไง? จะตามรอยสามคนนี้ไหม? พี่จะได้ฟังข่าวดีเร็ว
ๆ นี้หรือเปล่าครับ?”
“โหย! คู่ผมคงไม่ได้อะไรมากมายเหมือนครอบครัวเฮียหรอกครับพี่ริน...
แค่ได้ลงหลักปักฐานอยู่กับบูบู้ ได้อยู่ดูแลพ่อกับแม่ที่ปากช่องเหมือนที่ทุกคนรู้ไปเรื่อย
ๆ ผมก็แฮปปี้แล้วล่ะครับ” คนพูดเอ่ยพลางส่งสายตาหวานซึ้งให้เจ้าของร่างในอ้อมแขน
“ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าเด็กวิศวะอดีกรีดีตเดือนมหาลัยจะกลายมาเป็นหนุ่มชาวไร่ไปเสียได้”
นายสัตวแพทย์เปรยขึ้นลอย ๆ เมื่อได้ยินคำตอบอันชัดเจนหนักแน่นของหนุ่มรุ่นน้อง
“นั่นสิครับพี่ริน
เวลาว่าง ๆ บางทีผมยังนึกแปลกใจตัวเองไม่หาย แต่ที่พูดนี่ไม่ใช่เพราะอยากเปลี่ยนงานหรืออะไรนะครับ
ผมแค่แอบคิดเล่น ๆ ว่าถ้าผมรู้มาก่อนว่าผมจะชอบทำไร่ขนาดนี้ ผมคงเลือกเรียนเกษตรไปเสียตั้งแต่ทีแรก”
เพราะไม่อยากให้น้องชายหมกมุ่นกับอดีตที่แก้ไขอะไรไม่ได้
อริยะตรัยคนโตจึงแทรกความเห็นขัดขึ้น “ช่างเหอะ ถึงจะเรียนอะไรจบมาก็ไม่สำคัญหรอก...
แค่ตอนนี้หาสิ่งที่อยากทำเจอ แล้วได้ตื่นมาทำมันทุกวัน มันก็ดีที่สุดแล้วหรือเปล่าวะ?”
“ก็จริงครับเฮีย”
“แล้วบ๊วยล่ะ งานการเป็นไงบ้าง?” วิญญูไม่อยากให้บทสนทนาของพวกเขาหนักเกินไป
ชายหนุ่มจึงโพล่งถามบุคคลที่สี่แทนชักชวนสองพี่น้องให้เปลี่ยนเรื่องไปโดยปริยาย
“ช่วงนี้ผมพักรับงานออกแบบไปก่อนครับพี่ด้วง
พอดีที่ไร่กำลังจะออกสินค้าใหม่ เราทุกคนเลยต้องช่วย ๆ กันน่ะครับ” เมื่อพูดถึงโปรเจคล่าสุด
ภาพความเหนื่อยยากหากแต่สนุกสนานระหว่างปลุกปั้นผลผลิตชนิดใหม่ก็ทำให้ลูกแม่บัวระบายยิ้มโดยไม่รู้ตัว
ฝั่งเก็กก็ร่ายยาวถึงรายละเอียดเพิ่มเติมของงานดังกล่าวให้ทุกคนฟังอย่างฉะฉาน
“ช่วงปลายปีนี้ถ้ามีกระเช้าผักออร์แกนิคกับไวน์ผลไม้จัดส่งถึงหน้าบ้านก็ไม่ต้องแปลกใจไปนะครับ...
นั่นแหละสินค้าตัวใหม่ที่บูบู้เพิ่งพูดถึง พวกเราตั้งใจว่าจะส่งตัวอย่างของที่จะวางขายไปให้ทุกคนช่วยชิม
และขอฟีดแบ็คก่อนทำตลาดอีกทีช่วงปีหน้าน่ะครับ”
“เออ ๆ ความคิดมึงเข้าทีดีไอ้หล่อ!” รุ่นพี่ร่างหมีพยักหน้ายอมรับพลางชูแก้วไวน์ยกย่องน้องเมียพร้อมกับยื่นข้อเสนอ “เอางี้นะ... ถ้าที่ไร่มึงมีของอะไรใหม่
ๆ ก็ลองส่งมาให้ที่บ้านกูกับด้วงทดลองก่อนได้เลย ถ้าสินค้ามึงดีจริง เดี๋ยวกูให้พวกคุณแม่ช่วยประชาสัมพันธ์กับพวกเพื่อน
ๆ ให้อีกทอดนึง รับรอง มึงได้ลูกค้ากระเป๋าหนักอีกตรึม!”
“นั่นสิครับ ถ้าผักรสชาติดี
หลากหลาย และเก็กพอจะหาช่องทางจัดส่งมากรุงเทพทุก ๆ วันได้ พี่อาจจะลองปรึกษากับอาม่าเรื่องลงเมนูอาหารคาวในคาเฟ่ให้เสร็จภายในปีหน้านะครับ
ร้านพี่จะได้เป็นลูกค้าประจำของไร่แม่บัวอีกราย” เทรนด์อาหารคลีน
กับผักออร์แกนิคที่แพร่หลายทำให้สารินทาบทามซัพพลายเออร์เจ้าใหม่โดยไม่รอช้า
“โห
ขอบคุณพวกพี่ ๆ ล่วงหน้าเลยครับ เดี๋ยวพอใกล้ ๆ
ยังไงผมอาจจะขอนัดคุยขอคำปรึกษาจากพวกพี่ ๆ อีกทีดีไหมครับ?” เมื่อรู้ว่าผลิตผลจากหยาดเหงื่อแรงงานมีช่องทางไปถึงมือผู้บริโภค
ธันวาก็ยกมือไหว้สองหนุ่มรุ่นพี่ปลก ๆ ด้วยความซาบซึ้งใจ
หมีโพลาร์และหมีกริซลีย์ตัวใหญ่ต่างยิ้มรับแล้วตอบกลับแทบจะพร้อมเพรียงกัน
“พี่ยินดีครับ”
“หรือถ้ามึงอยากให้พวกกูช่วยแนะนำอะไรเพิ่มเติมก็บอกได้
กูว่าพวกกูน่าจะมีเส้นสายเยอะอยู่”
“ขอบคุณพวกพี่ ๆ
มากครับ!”
คำพูดสนับสนุนที่ตรินเอื้อนเอ่ยอย่างจริงจังทำเอาอริยะตรัยผู้น้องฉีกยิ้มกว้างจนตาเป็นขีด
“เรื่องเล็กน่า
คนกันเองทั้งนั้น” ขาดคำ
เต๋อก็กระดกของเหลวก้นแก้วลงคอพลางยักคิ้วให้คนฟังอย่างป๋า ๆ
แล้วจึงหันไปซักฟอกเพื่อนสนิทธันวาเป็นรายต่อไป “เออ แล้วมึงล่ะยังไง? ลาออกจากที่ทำงานเก่าหรือยัง?”
“เรียบร้อยครับ
ก่อนมานี่ผมอีเมลเรซูเม่ไปให้แผนกบุคคลตามที่พี่เต๋อบอกแล้วนะครับ”
“เออ ๆ
เดี๋ยวกูลองเช็กอีกที... แต่เป็นลูกน้องกูต้องห้ามอู้เด็ดขาดนะมึง!”
“ไม่ต้องห่วงครับพี่”
ฌอนรับคำเต็มเสียง เพราะหากเขาได้ทำงานภายใต้สายบังคับบัญชาของรุ่นพี่ร่างหมี
อย่างน้อย ๆ ก็ยังพอมีหวังที่จะปฏิเสธการสังสรรค์นอกเหนือเวลางานได้บ้าง
“แล้วอิ๊กล่ะ
พักนี้งานเป็นไงมั่ง? พี่ได้ยินว่าอิ๊กกับพวกเพื่อน ๆ รับจัดงานอีเวนท์เหรอ?” หลังจากนั่งกำกับกรกฏให้กินอาหารจนพอใจ
วิญญูก็กลับมาทำหน้าที่เจ้าภาพด้วยการชิงถามไถ่ความเคลื่อนไหวของน้องโรงเรียนแทนอริยะตรัยผู้พี่ที่แอบเป็นห่วงอีกฝ่ายแต่กลัวเสียหน้ามากกว่า
“น่าจะอีกสักพักนะครับพี่ด้วง
เพราะอิ๊กกับเพื่อนเพิ่งได้คุยเรื่องบริษัทแบบจริง ๆ จัง ๆ ได้ไม่กี่ครั้งเองครับ
ช่วงนี้อิ๊กเลยเน้นทำงานกับพ่อมากกว่า” ไม่รู้กรกฏแอบสั่งสมความแค้นที่มีต่อหนุ่มรุ่นน้องผู้นี้มาแต่ชาติปางไหน
เพราะลำพังแค่อคิรานั่งหายใจ กังฟูยังรู้สึกหมั่นไส้อีกฝ่ายเสียเต็มประดา แล้วจะนับประสาอะไรกับการจีบปากจีบคอพูดต่อหน้าต่อตากันล่ะ
“หึ! ทำงานกับพ่อแต่ตัวติดไอ้แฝดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเหมือนเมื่อตอนนั้นน่ะเหรอ?
เฮอะ! ไม่ค่อยจะยกหางตัวเองเลยนะครับอิ๊ก!” พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยพูดจากระทบกระแทกหนุ่มรุ่นน้องเสียงนุ่ม
แน่นอน...
ทันทีที่ได้รับสาสน์ท้ารบอย่างเป็นทางการ อดีตเดือนบริหารก็พร้อมจะไฝว้อย่างไม่ลังเล
“เฮอะ! ก็ยังดีกว่าพวกกบในกะลาแหละว้า!... เสียแรง อุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลไปร่ำเรียนเมืองนอกเมืองนาอยู่ตั้งหลายปี!”
“ขอโทษนะ
เมื่อกี๊น้องอิ๊กขากเสลดหรือพ่นอะไรกันแน่ครับ? พอดีพี่ไม่ทันฟังน่ะ”
กรกฏแสร้งตีหน้าซื่อพลางยกฝ่ามือขึ้นป้องหูแล้วเอียงหน้าทำท่าเงี่ยหูฟังไปทางนั้นทีทางนี้ทีอย่างกวนประสาท
“จิ๊ จิ๊ จิ๊ นี่ตั่วเฮียไม่รู้จริง
ๆ เหรอครับว่า เดี๋ยวนี้การทำงานไม่ได้จำกัดว่าต้องนั่งจับเจ่าเฝ้าโต๊ะเหมือนสมัยปู่ย่าตาทวดอีกแล้ว เฮ่ลโล้ว!... กรุงเทพเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยมาจะสองร้อยห้าสิบปีแล้วนะครับตั่วเฮีย
แล้วนี่ก็เลิกทาสมาตั้งแต่สมัยรัชการที่ห้าแล้วด้วย ไม่ทราบตั่วเฮียรู้หรือยังเอ่ย?”
เมื่อร่ายจบ อคิราก็ยื่นหน้าพร้อมแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ชายหนุ่มรุ่นพี่ เป็นผลให้คู่กรณีตบะแตกจนได้
“หนอยไอ้สัดอิ๊ก!
เดี๋ยวเหอะมึง!!”
“เอาซี่!
นึกว่ากลัวหร...ฮื่ออออ!” พูดไม่ทันขาดคำ แฝดน้องก็รวบตัวคนรักมากอดพร้อมกับยกฝ่ามือขึ้นปิดปากกั้นเสียงหวีดแหวเอาไว้ได้ทัน
“สมน้ำหน้า!” กรกฏยิ้มสะใจพลางแลบลิ้นล้อเลียนอีกฝ่ายที่ดิ้นขลุกขลักอย่างไร้ทางสู้
“ไอ้แฝดมึงปิดปากมันไว้ตลอดเลยนะ! อย่าให้มันเที่ยวปล่อยหมาออกมาเพ่นพ่านอีก!”
“ฮื่อฟู
พอเถอะครับ” วิญญูปรามคนรักเพราะไม่อยากให้รุ่นน้องทั้งโต๊ะนึกระอากับนิสัยชอบเอาชนะของอริยะตรัยผู้พี่จนไม่คิดจะนับถือกัน
ผู้ฟังซึ่งอ่านสถานการณ์ขาดมาตลอดเช่นบ๊วยก็ช่วยชงคำถามเลี่ยงการปะทะคารมอย่างรวดเร็วทันที
“พวกพี่ ๆ ยังไม่ได้เล่าให้พวกเราฟังเลยนะครับว่าพี่เต๋อขอเฮียกับพี่ด้วงแต่งงานยังไง...
พี่เต๋อ ว่าไงครับ?”
“พี่ก็ขอเหมือนคนอื่น
ๆ ทั่วไปนั่นแหละ ไม่ได้มีอะไรพิเศษหรอก” ถึงจะพูดปฏิเสธปาว ๆ แต่หนุ่มร่างหมีกลับยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้ขัดเขินเสียอย่างนั้น
“โหย! เขินจนหน้าคล้ำแบบนี้คงจะมีใครเชื่อหรอกนะครับว่าพี่เต๋อขอแต่งงานแบบธรรมดา
ๆ น้องกินข้าวนะครับ... ไม่ได้กินอาหารปลาซากุระ!!” สกลว่าพลางส่ายหน้า กลอกตา แล้วเบ้ปากก่อนจะถอนหายใจยืดยาวแบบเล่นใหญ่
“แต่คนฉลาดทั่ว
ๆ ไปก็น่าจะรู้นะว่าตอนไหนควรพูด หรือไม่ควรพูดอะไร ไม่อย่างนั้นอาจได้ไปนอนเป็นอาหารไส้เดือนตามรากมะม่วงก่อนถึงอายุขัยที่เหมาะสม...
แนนว่าจริงไหมครับ?” วิญญูเชือดนิ่ม ๆ พลางปรายหางตาชำเลืองมองหนุ่มแว่นนิ่ง ๆ จนหลานอาม่าขนลุกไปทั้งร่าง
จากนั้นจึงคลี่ยิ้มละมุนละไมแล้วตอบคำถามของบ๊วยด้วยความเอ็นดูผิดกับวินาทีมรณะเมื่อครู่ลิบลับ
“พอดีวันนั้นเต๋อต้องไปเรียนแต่เช้า เขาเลยเขียนการ์ดถามพวกพี่ว่าอยากแต่งงานด้วยไหม
แค่นั้นแหละ... ไม่มีอะไรพิเศษหรอก”
“หูย
แต่แค่นั้นก็เจ๋งมากแล้วล่ะครับพี่เต๋อ... สมกับเป็นไอดอลของผมจริง ๆ !” ธันวาก้มหัวซูฮกสรรเสริญพี่เขยครั้งแล้วครั้งเล่าจนเจ้าตัวหลุดหัวเราะ
“ว่าแต่นึกยังไงถึงได้บินมาจัดงานแต่งไกลถึงฮาวายนี่ล่ะ?”
คราวนี้เป็นข้อสงสัยของสารินที่ต้องการคำอธิบายเนื่องจากการเดินทางมาฮาวายในครั้งนี้
ทำให้เขาต้องจำใจฝากร้านและคลินิกไว้กับสิงห์และทีม... สองหุ้นส่วนใหญ่ผู้ไม่เคยโผล่หน้ามาที่ร้านหากไม่มีเรื่องฉุกเฉิน
“ถ้าเป็นเรื่องสถานที่มันก็มีเหตุผลอยู่หลายอย่างว่ะ...
แต่ถ้าให้พูดตรง ๆ เราสามคนคงต้องขอโทษทุก ๆ คนไว้ตรงนี้เลยแล้วกันที่ทำให้ต้องลำบากเดินทางมาตั้งไกล”
เมื่อเต๋อเกริ่นมาถึงตรงนี้ คี่รักทั้งสามก็ทำหน้าเคร่งขรึมระคนรู้สึกผิดอยู่ในที ก่อนที่หนุ่มร่างหมีจะสื่อความรู้สึกซาบซึ้งใจผ่านดวงตาไปถึงสมาชิกร่วมโต๊ะทุกคนพลางว่าต่อ
“คือ... พวกเรามีนัดคุยเรื่องลูกกับคลินิกที่นี่ปลายอาทิตย์หน้า แต่ไหน ๆ พี่บิวกับแม่บัวก็ต้องบินมาเจอหมอด้วยกันอยู่แล้ว
พ่อแม่กูก็เลยอยากให้พวกเราแต่งงานกันที่นี่ให้จบ ๆ ก่อนจะเริ่มดำเนินการเรื่องลูกน่ะ”
“อีกอย่างก็น่าจะเป็นเพราะผมติดงานอยู่ที่นี่ด้วยน่ะครับพี่ริน
ถ้าพวกพี่เต๋อแต่งงานกันที่เมืองไทย... ผมคงจะบินไปร่วมงานด้วยไม่ได้” แฝดพี่เสริมเหตุผลอีกประการที่วิเคราะห์ได้จากความใจกว้างของพี่รหัสชายกลางกับคำขอดังกล่าว
ด้วยเพราะเดาได้ว่า รุ่นพี่ทั้งสามเห็นความสำคัญของพวกเขาจนไม่อยากให้ใครคนใดคนหนึ่งไม่อาจมาร่วมงานมงคลครั้งสำคัญในชีวิตได้
ไม่อย่างนั้นครอบครัวตรินคงไม่ออกหน้ารับผิดชอบค่าใช้จ่ายตลอดการเดินทางทั้งหมดของทุกคนตั้งแต่ต้นจนกลับถึงเมืองไทยแน่
ๆ
“จริง ๆ จะว่าไป
พวกพี่ ๆ แต่งงานกันที่นี่ก็ดีนะครับ เพราะนี่เป็นครั้งแรกในรอบสองปีที่ผมมีโอกาสได้พาบูบู้มาเที่ยวแบบเต็ม
ๆ ” อดีตเดือนมหาลัยออกความเห็นพลางก้มลงส่งสายตากระลิ้มกระเหลี่ยใส่ลูกแม่บัวในอ้อมกอด
“เหมือนมาฮันนิมูนกันเลยเนอะบูบู้”
“พวกมึงไม่ได้ฮันนิมูนที่ญี่ปุ่นกันตั้งแต่เมื่ออาทิตย์ที่แล้วหรอกเรอะ?”
ตรินโพล่งขึ้นเพราะรู้จากฌานว่า คู่รักทั้งสามแวะเที่ยวโตเกียวอยู่หลายวันก่อนออกเดินทางมาฮอนโนลูลู
“โอ๊ยไม่เลยครับ!
นั่นเรียกพรีฮันนิมูนมากกว่า...
ที่ฮาวายนี่แหละ คือ การดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของจริง!” ธันวาค้านหน้าระรื่นพลางขยิบตาให้ฌอนอย่างรู้กัน
“แล้วพวกนายล่ะ
จะไปฮันนิมูนกันที่ไหน?” สารินตั้งคำถาม
“เรื่องนั้นคงต้องรอให้เสร็จเรื่องลูกก่อนว่ะแล้วค่อยมาคิดกันอีกทีว่าจะไปฮันนิมูนดีหรือเปล่า...
ฟูเขาห่วงพี่บิวน่ะ” หนุ่มร่างหมีรับหน้าที่ตอบแทนคนรักทั้งสอง พร้อม ๆ กับพูดสรุปแผนการเที่ยวเล่นหลังงานแต่งที่เอื้อประโยชน์แก่คนโสดเพียงหนึ่งเดียวเป็นหลัก
เพราะไม่อยากให้ฌานรู้สึกแปลกแยก “แต่พูดก็พูดเถอะ ไหน ๆ พวกมึงก็อาบน้ำผึ้งพระจันทร์กันมาเต็มคราบแล้ว
กูว่าเรามาเปลี่ยนเป็นเที่ยวด้วยกันจนถึงวันสุดท้ายที่พวกมึงต้องกลับเมืองไทยดีกว่า
พวกกูไม่ได้ใช้เวลากับพวกมึงนานแล้วนะ”
“ว่าไง?
พวกมึงสนไหม?” ตรินเลิกคิ้วมองหน้าบรรดาสมุนเลวรายตัว
“ได้ครับพี่
ดีครับผม เหมาะสมครับทั่น!!” ภาพสกลหยัดตัวนั่งหลังตรง
ตั้งท่าตะเบ๊ะพลางเอ่ยตอบอย่างเข้มแข็งราวพลทหารเรียกเสียงหัวเราะของทั้งหมดได้เป็นอย่างดี
เสียงตอบรับอันล้นหลามทำเอาหนุ่มแว่นนึกครึ้มยกแก้วแล้วเอ่ยปากชวนพวกพ้องทันควัน “ถ้าอย่างนั้น
พวกเรามาดื่มฉลองให้คืนวันนี้กันดีกว่า”
“พวกผมขอแสดงความยินดีด้วยนะครับพี่เต๋อ
พี่ด้วง เฮียฟู” แกนนำเหล่าสมุนเลวไหลตามน้ำ
ฌานชูแก้วสูงพลางมองสำรวจแก้วของสมาชิกร่วมโต๊ะอย่างว่องไวแล้วจึงเอ่ยเชื้อเชิญตบท้ายทันที
“เอ้าพวกเรา... มาดื่มฉลองให้กับเจ้าบ่าวทั้งสามหน่อยเร้ว!”
“เอ้าโชนนน!!”
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
“แม้การแต่งงานของพวกลูก
ๆ จะไม่ใช่พิธีการทางศาสนา หรือได้รับการรับรองทางกฏหมาย...
...แต่สำหรับพวกพ่อแม่แล้ว
มันคือการให้คำมั่นสัญญาที่มีทั้งศักดิ์ศรีและความศักดิ์สิทธิ์ไม่ต่างจากงานมงคลสมรสงานไหน
ๆ ในโลก...
.
.
...พ่อขออวยพรให้พวกลูก
ๆ รักกันอย่างมีสติ รู้จักถ้อยทีถ้อยอาศัย และขอให้เห็นความสำคัญของคนในครอบครัวมากกว่าคนนอก
หรือแม้กระทั่งตัวเอง” ตระการกล่าวอย่างเชื่องช้าทว่าหนักแน่นในความรู้สึกของคนเป็นลูก
ชายหนุ่มทั้งสามซึ่งยกมือขึ้นพนมเหนืออกโดยพร้อมเพรียงขณะนั่งพับเพียบอยู่บนผืนพรมเบื้องหน้าเก้าอี้ประธานคู่กลาง
งานแต่งของตริน
วิญญู และกรกฏจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายตรงพื้นที่ส่วนระเบียงของร้านอาหารอิตาเลียนติดชายทะเลซึ่งขึ้นชื่อเรื่องรสชาติอาหาร
วิวอ่าวอันงดงาม และความเป็นส่วนตัวอย่างที่สุด เบื้องหลังชุดเก้าอี้คู่ทั้งสามของประธานในพิธี
ซึ่งก็ได้แก่บรรดาพ่อ ๆ แม่ ๆ ของเหล่าเจ้าบ่าว คือ ภาพของหาดทรายขาวสะอาดที่ตัดกับสีเขียวอมฟ้าของน้ำทะเลและท้องฟ้าสีครามเข้มไร้เมฆ
ผู้อาวุโสสูงสุดยิ้มพลางเอ่ยกับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนด้วยน้ำเสียงชื่นชม
“เต๋อ ตั้งแต่เต๋อยังเล็กจวบจนถึงทุกวันนี้ ไม่มีวันไหนเลยที่พ่อจะไม่ภูมิใจกับทุก
ๆ สิ่งที่ลูกเป็น แต่รู้ไหม... พ่อกลับภูมิใจยิ่งกว่าเมื่อพ่อรู้ว่า เต๋อสามารถดูแลน้องด้วงและน้องฟูได้เป็นอย่างดี...
.
.
.
...หลังจากวันนี้ไป
ลูกจงทำตัวเป็นเสาหลักอันมั่นคงของทุกคนในครอบครัว พ่อขอให้ลูกรักและคงมั่นกับน้อง
ๆ ไปจนกว่าวันสุดท้ายจะมาถึงนะลูก” สิ้นคำ
ผู้เป็นพ่อก็โน้มตัวลงกอดเลือดเนื้อเชื้อไขเสียเต็มรัก
“ครับพ่อ...
ผมสัญญาครับ”
“น้องด้วง
น้องฟู พ่อฝากตาเต๋อด้วยนะ ลูกพ่อเป็นคนจริงจังจนบางทีก็อาจจะขึงขังเคร่งเครียดเกินไป
แต่ทั้งหมดทั้งมวล พ่อเชื่อว่าพี่เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ใครไม่พอใจหรอกนะลูก”
“ครับพ่อ” ทั้งสองหนุ่มรับคำพ่อโต้งพลางก้มลงกราบที่ตักของท่านอีกครั้ง
จากนั้นตระการก็บุ้ยใบ้ส่งสัญญาณให้คิวคู่ชีวิต
“นึกถึงใจเขาใจเราให้มาก
ๆ นะลูก...
...เวลามีปัญหาก็ขอให้หันหน้าคุยกัน
อย่าเก็บมันเอาไว้จนมันบ่อนทำลายครอบครัวลูก ๆ ได้ในภายหลัง...
.
...จำเอาไว้นะคะว่า
ความแตกต่างน่ากลัวน้อยกว่าความไม่เข้าใจเยอะเลยจ๊ะ...
...อ้อ!
แล้วก็... ลูกแม่แหม่มน่ะว่าง่ายแถมพร้อมจะอยู่ในโอวาทนะ
แค่ลูกสองคนอ้อนตาเต๋อเยอะ ๆ ทำตัวน่ารัก ๆ
ขี้คร้านตาเต๋อจะยอมพลีกายถวายหัวให้ทุก ๆ อย่างที่พวกลูกอยากได้ทันทีเลยล่ะจ๊ะ
เชื่อแม่แหม่มสิ” รสรินยิ้มหวานพลางขยิบตาให้ลูกชายคนใหม่ทั้งสองของหล่อนอย่างขี้เล่น
“หึ หึ หึ... พวกผมสองคนจะช่วยกันดูแลเต๋ออย่างดีครับ”
“ขอบคุณสำหรับเคล็ดลับนะครับแม่แหม่ม”
ชายหนุ่มทั้งสามลอบส่งยิ้มให้กันแล้วจึงกราบขอบคุณรสรินอีกครั้งด้วยความซาบซึ้งใจก่อนที่เหล่าเจ้าบ่าวจะเดินเข่าไปกราบเท้าพ่อแม่ของวิญญูในอีกไม่กี่อึดใจให้หลัง
“เต๋อ พ่อเชื่อว่าเต๋อจะเป็นผู้นำที่ดีของครอบครัวได้...
...เพราะฉะนั้น
หากตาพดด้วงหรือน้องฟูทำผิด หรือเผลอทำให้เต๋อไม่พอใจ
พ่อก็อยากจะขอให้เต๋อใช้ความเมตตาเป็นคู่มือในการแก้ปัญหานั้น ๆ
ให้ผ่านพ้นไปนะลูก...
.
.
...เปิดโอกาสให้น้องทั้งสองได้อธิบายเหตุผลแล้วพูดคุยกันดี
ๆ ให้เข้าใจ ลูก ๆ ...
...ทั้งสามจะได้อยู่กันไปได้นาน
ๆ ...
...รับปากพ่อได้ไหมเต๋อ?”
ณวัฒน์รอฟังคำตอบของลูกเขยอย่างตั้งอกตั้งใจ และคำตอบที่ได้ยินก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง
“ครับ
ผมจะทำสิ่งที่คุณพ่อขอให้ได้ครับ”
เมื่อหมดธุระกับตริน
พ่อวัฒน์ของสามหนุ่มก็หันไปสั่งสอน และฝากฝังลูกชายกับอริยะตรัยคนโตต่อทันที “ตาพดด้วง
อย่าดื้อกับพี่เขานะลูก ถ้ามีอะไรในใจก็ต้องบอกอีกสองคน อย่าเก็บมันเอาไว้
เพราะลูกไม่ได้ตัวคนเดียวอีกแล้ว...
.
...ส่วนหนูฟู
พ่อฝากดูแลตาพดด้วงด้วยนะลูก ถ้าเห็นว่าตาพดด้วงพูดไม่ฟัง
ดันทุรังจะทำในสิ่งไม่สมควร ก็ดุก็ตีได้ พ่ออนุญาตเต็มที่!”
“ครับพ่อ”
กังฟูอมยิ้มพลางกราบขอบคุณพ่อของหนุ่มหน้าหยกกับคำชี้แนะอันเป็นประโยชน์
“พ่อรักลูกสองคนมากนะ”
“ขอบคุณครับพ่อ”
น้อยครั้งที่ณวัฒน์จะเปิดเผยความรู้สึกข้างใน จึงไม่แปลกหากขณะก้มลงกราบบิดาอีกหน วิญญูจะแอบกระพริบตาถี่ ๆ ไล่น้ำใส ๆ ในม่านตาให้เลือนหาย
“หากวันไหนที่ไม่เข้าใจกัน ทะเลาะกัน
โกรธกัน แม่จิ๋วอยากให้พวกลูก ๆ นึกถึงความรู้สึกของวันแรกที่เริ่มรักกันเอาไว้ เพราะแม่จิ๋วเชื่อว่า
กว่าพวกลูก ๆ จะรักกันได้ คงไม่ง่าย... ใช่ไหมตาพดด้วง” เจ้าของชื่อยิ้มรับพลางพยักหน้าให้กับมารดา
“รักกัน
ก็ต้องหมั่นพรวนดินรดน้ำต้นรักของพวกลูก ๆ ให้งอกงาม ไม่ใช่เฉพาะแค่ก่อนแต่งงานแล้วละเลยกันไป...
.
...ส่วนอุปสรรคที่ลูก
ๆ จะพบเจอในอนาคต แม่จิ๋วอยากให้มองว่า มันเป็นบททดสอบความรักของพวกลูก ๆ
ที่เมื่อผ่านไปได้ ความรักของพวกลูก ๆ ก็จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้น... จับมือกันให้แน่น ๆ นะคะ
อย่าปล่อยให้ใครคนใดคนหนึ่งถูกทิ้งไว้เบื้องหลังท่ามกลางความไม่เข้าใจเป็นอันขาด”
“ครับแม่จิ๋ว”
เจ้าบ่าวทั้งสามรับคำเป็นเสียงเดียว
“แล้วถ้ามีเรื่องร้อนใจ
พวกลูก ๆ สามารถปรึกษาพวกแม่ ๆ ได้ทุกเวลาเลยนะ... ทั้งแม่ แม่แหม่ม หรือ
แม่บัว พวกเราพร้อมให้คำแนะนำกับพวกลูก ๆ
เสมอจ๊ะ”
“ขอบคุณครับแม่”
ความที่เป็นคนเสียน้ำตาง่ายเมื่อเห็นคนในครอบครัวร้องไห้ต่อหน้าต่อตา
ณวัฒน์จึงรีบเอ่ยแซวภรรยาเพื่อเบรกอารมณ์หลังเห็นวิญญูนั่งน้ำตารื้น “อ้าว! แล้วพวกพ่อ ๆ ล่ะคุณ
คุณเอาพวกผมไปไว้ไหน?”
“คุณวัฒน์นี่ล่ะก็! ที่ฉันพูดก็หมายรวมถึงพวกพ่อ ๆ
ด้วยนั่นแหละค่ะ!” สิ้นเสียงต่อว่าอย่างไม่จริงจังนักของจรรยา
ทั้งผู้ใหญ่และเหล่าชายหนุ่มในงานต่างหลุดหัวเราะกับโมเมนท์หยิกแกมหยอกของครอบครัวเพิ่มพูนไพศาลกันอย่างครื้นเครง
“เอาล่ะ
ทีนี้ก็เป็นตาของพ่อแล้วนะ” พ่อเขียวพูดยิ้ม ๆ หลังเหล่าเจ้าบ่าวพากันมากราบแทบเท้าเพื่อขอพรเขากับภรรยา
“พ่อไม่มีอะไรจะพูดนักหรอกลูกเอ๊ยเพราะสิ่งที่พ่ออยากพูดพวกพ่อแม่เขาก็พูดกันไปหมดแล้ว
แต่! พ่อมีคาถา ๆ หนึ่งจะมอบให้ลูก ๆ
ทั้งหลายติดตัวไว้เป็นวิชา นั่นก็คือ... ถ้ามีปัญหา ให้ช่วยกันแก้ แต่อย่าท้าเลิก เพราะมันไม่ใช่คำตอบ
แค่นั้นแหละ... จำได้ใช่ไหม?”
“ครับ!” เป็นอีกครั้งที่คี่รักเอ่ยตอบผู้ใหญ่ของงานโดยพร้อมเพรียงกัน
“ดี
ๆ !... เอ้าแม่บัว ตาแม่บัวแล้วจ๊ะ!” เจ้าของไร่หันไปส่งยิ้มให้คู่ชีวิตในวันที่หล่อนดูสวยอิ่มเอิบผิดหูผิดตาด้วยความสุขล้นเมื่อเห็นลูกชายกำลังจะเป็นฝั่งเป็นฝาไปอีกคน
“เต๋อ
ด้วง แม่พูดไม่ได้เลยว่าหนูฟูของแม่เป็นคนสมบูรณ์แบบ...
...แต่แม่รับรองได้ร้อยเปอร์เซนต์เลยว่า
ในโลกนี้ ไม่มีใครรักเต๋อ และด้วงได้มากเท่าหนูฟูของแม่อีกแล้ว...
.
...เพราะฉะนั้น...
แม่ขอฝากดวงใจอีกดวงของแม่เอาไว้ในมือของพวกหนูทั้งสองด้วยนะจ๊ะ...
...ดูแลหัวใจของแม่ให้ดี
ๆ ล่ะ แม่รักของแม่มากรู้ไหม?” แม่บัวว่าพลางสวมกอดลูกเขยทั้งสองอยู่ครู่ใหญ่
“ครับ”
แม่บัวผละจากหมีหนุ่มทั้งสองแล้วอ้าแขนรอรับอ้อมกอดของลูกชายคนใหม่ที่ตัวเล็กยิ่งกว่าสายเลือดคนไหน
ๆ ของเจ้าหล่อน “หนูฟู... หนูจำได้ใช่ไหมลูกว่าแม่เคยสอนคำสามคำที่จะทำให้ความรักของหนูเป็นอมตะ?”
“ครับ
จำได้ครับ”
“ดีมากจ๊ะ
หนูต้องหัด ‘ขอบคุณ’ เวลาที่คนรักทำสิ่งดี ๆ ให้หนู...
...หนูต้องพูด ‘ขอโทษ’ เวลาที่หนูทำผิดไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่...
...และหนูควรใช้คำว่า
‘ไม่เป็นไร’ ทุกครั้งที่หนูพร้อมจะให้อภัยพี่ ๆ
เขา...
.
...แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น
หนู่ต้องไม่ลืมนะว่า สามคำนี้จะศักดิ์สิทธิ์ได้ ก็ต่อเมื่อใจหนูรู้สึกแบบนั้นจริง
ๆ ”
“ครับแม่
ผมรักแม่ครับ” กังฟูรับคำแม่ด้วยน้ำเสียงครางเครือ
“แม่ก็รักหนูฟูจ๊ะ”
และเมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนการให้พรของเหล่าผู้ใหญ่
ตระการผู้เป็นประธานในพิธีก็ยื่นกล่องของขวัญกล่องหนึ่งให้บุตรชายทั้งสามแถมท้ายด้วยคำอธิบายเสร็จสรรพ
“เต๋อ ตาด้วง
น้องฟู... นี่คือสิ่งที่พวกพ่อและแม่อยากจะมอบให้ลูก ๆ แทนของขวัญแห่งความภาคภูมิใจกับอีกก้าวหนึ่งของพวกลูก
ๆ ในวันนี้ ขอให้ลูก ๆ จงใช้สิ่งเหล่านี้เป็นทุนรอนในการสร้างครอบครัวร่วมกันอย่างมั่นคงต่อไปนะลูก”
“คุณพ่อ?!” ตรินหลุดปากอุทานด้วยความตกใจเมื่อเห็นเอกสารที่อยู่ด้านใน
ไม่ว่าจะเป็นเช็กมูลค่าหลายสิบล้าน สมุดบัญชีหลายเล่ม หนังสือสัญญาการโอนหุ้นบริษัท
รวมถึงฉโนดที่ดินหลายฉบับ กระนั้นตระการกลับยังเอ่ยเสริมด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ตามที่ได้ตกลงกับผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาวซึ่งจะยกขันหมากทั้งหมดให้เหล่าลูก
ๆ ของพวกเขาโดยไม่เรียกร้องสิ่งใดเป็นการตอบแทนทั้งสิ้น
“หุ้นบริษัทจะปรับเพิ่มขึ้นอีกทีหลังจากลูกนั่งตำแหน่งผู้บริหาร ส่วนบัญชีนั้นคือเงินรับขวัญน้องฟูกับน้องด้วงที่พ่อกับแม่อยากให้ แล้วก็ที่ดินแปลงใหญ่แถว ๆ บ้านพ่อนั่น... พ่อวัฒน์กับแม่จิ๋วเห็นว่าน่าจะพอสร้างบ้านในฝันของพวกลูก ๆ ได้”
“ช่วงระหว่างรอหลาน
ๆ ก็ไปอยู่คอนโดที่พ่อกับแม่ซื้อให้เป็นของขวัญแต่งงานไปพลาง ๆ ก่อนก็แล้วกัน”
ณวัฒน์แทรกที่มาของหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดที่รวมอยู่ในปึกฉโนดอย่างรวบรัดชัดเจน
ก่อนที่พ่อของหมีตรินจะรับช่วงต่อถึงอีกหนึ่งหัวข้อสำคัญ
“ส่วนเรื่องงาน
พ่อคุยกับพ่อวัฒน์แล้วเห็นตรงกันว่า ช่วงสองปีแรกหลังเรียนจบ
เต๋อกับด้วงควรจะเริ่มเรียนรู้ระบบงานในฐานะพนักงานไปก่อน เพราะคงไม่ดีแน่ถ้าวันทั้งวัน
ผู้บริหารเอาแต่นั่งใจลอยคอยเป็นห่วงเมีย เป็นห่วงลูกเล็ก ๆ ที่ถูกทิ้งให้อยู่บ้านกันตามลำพัง...
จริงไหม?”
“ขอบคุณครับพ่อ!”
“ขอบคุณมาก ๆ
ครับ!”
ตรินกับวิญญูละล่ำละลักด้วยความดีใจก่อนจะยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งหกเป็นพัลวัน
“แล้วเงินรับขวัญหลานล่ะคะโต้ง?”
รสรินทวงสิทธิ์แทนหลาน ๆ เพราะเท่าที่นั่งฟังสามีอยู่นานสองนาน อีกฝ่ายกลับไม่พูดถึงทายาทรุ่นที่สามเลยสักนิด
ตระการส่ายหัวน้อย
ๆ พลางคลี่ยิ้มให้ภรรยาอย่างอ่อนใจก่อนจะทำความเข้าใจกับคุณย่าคนสวยต่อหน้าเหล่าสักขีพยาน
“เรื่องนั้นค่อยว่ากันตอนหลานคลอดอีกทีดีไหมแหม่ม ขืนให้รวบยอดพร้อมกันตอนนี้
พวกลูก ๆ เราคงได้ตกใจกับตัวเลขจนตาตั้งไม่เป็นอันทำอะไรกันพอดี”
“อืม
ก็จริงของโต้งค่ะ”
เมื่อเห็นท่าที่สบายใจของคู่ชีวิต
ตระการก็เปลี่ยนบรรยากาศโดยรวมของพิธีอีกครั้ง “เอาล่ะ พ่อว่าถึงเวลาที่พวกลูก ๆ ควรจะสวมแหวนแต่งงานแล้วพูดอะไรหวาน
ๆ ให้พวกเราฟังเสียทีนะ” พูดจบ ประธานงานแต่งก็ส่งสายตากระตุ้นลูกชายให้แสดงความเป็นผู้นำครอบครัวโดยพลัน
“ฟูครับ เต๋อรักฟูมากนะ...
รักมานาน ตั้งแต่ตอนอนุบาลสามโน่นแหละ...
...ขอบคุณฟูมากนะครับที่รักเต๋อ
แถมยังยอมทำอะไรมากมายเพื่อเต๋อ...
.
...จากวันนี้ไป
เต๋อสัญญาว่าเต๋อจะรัก และดูแลฟูเป็นอย่างดีเท่าที่คน ๆ หนึ่งจะทำได้” เมื่อพูดจบ
ตรินก็ประคองมือข้างซ้ายของกรกฏขึ้นเพื่อบรรจงสวมแหวนลงบนนิ้วนางข้างซ้ายของอีกฝ่ายพร้อมกับประทับรอยจูบเบา
ๆ บนแพนิ้วมือคนรัก เมื่อนั้นก็ถือเป็นอันเสร็จพิธี ก่อนที่กรกฏจะทำทุก ๆ อย่างเฉกเช่นเดียวกับหนุ่มร่างหมี
เหล่าสมุนเลวในฐานะผู้ชม ก็เป่าปากส่งเสียงโห่ร้องอย่างชอบอกชอบใจเมื่อได้ยินคำสารภาพจากปากเจ้าบ่าวคนแรก
“ฟูขอโทษนะที่ก่อนคบกัน
ฟูทำตัวไม่ดีแถมยังคอยหาเรื่องเต๋อบ่อย ๆ ...
...แต่ฟูรับปากเลยว่า
หลังจากนี้... ฟูจะเป็นคนรักที่ดี และจะพยายามทำตัวให้มีปัญหาน้อยที่สุดเพื่อให้ความรักของพวกเราอยู่กันไปนาน
ๆ ...
...ฟูรักเต๋อนะครับ”
เมื่อได้แหวนจากกังฟู
หนุ่มร่างหมีก็หันไปหาด้วงที่นั่งอยู่อีกฝั่ง
“จริง ๆ เต๋อแอบคุยเรื่องนี้กับฟูได้สักพักเพราะยังหาจังหวะบอกด้วงไม่ได้เสียที...
เต๋อรู้นะ ที่ด้วงไม่เคยถามเต๋อเลยว่า เต๋อเริ่มรักด้วงตั้งแต่เมื่อไรน่ะเป็นเพราะอะไร”
แววตาหลุกหลิกของคนฟังฟ้องว่าเจ้าตัวประหม่าเมื่อฟังคำของหนุ่มหน้าคม
แต่เต๋อก็ไม่ปล่อยให้วิญญูตระหนกจนตื่นตูมไปเสียก่อน
“พอเต๋อได้ลองนึกทบทวนดี
ๆ เต๋อว่าเต๋อเริ่มหวั่นไหวกับด้วงตั้งแต่ตอนที่ด้วงกับฟูทะเลาะกันจนต้องย้ายมาอยู่ห้องเต๋อชั่วคราวก่อนที่พวกเราจะเป็นแฟนกันแล้ว...
...ด้วงไม่ได้มาทีหลังฟูนะ
อีกอย่าง ด้วงก็ไม่ใช่ตัวแถม...
...จริง ๆ
แล้วด้วงน่าจะเข้ามานั่งอยู่ในใจเต๋อแทบจะพร้อม ๆ กันกับฟูเลยก็ว่าได้...
...ทีนี้จะสบายใจได้แล้วหรือยัง...
ว่าไงครับที่รัก?”
“...อืม...” คำถามพร้อมสายตาหวานฉ่ำของอดีตเด็กสถาปัตย์ทำเอาหนุ่มหน้าหยกหรุบตามองต่ำพลางส่งเสียงงึมงำในลำคอ
“เต๋อรักด้วงนะครับ”
คำรักของเต๋อที่เอ่ยท่ามกลางสักขีพยานทั้งหลายทำเอาใบหน้าขาว ๆ ของวิญญูเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
ตรินไม่พูดพล่ามให้มากความ ชายหนุ่มจัดแจงทำทุกขั้นตอนซ้ำอีกครั้ง
หากแต่คราวนี้กลับเป็นมือของอดีตเด็กวิศวะที่เขินจนออกอาการงึกงักเลิ่กลั่กจนเหล่าผู้ชมต้องแอบลุ้น
สายตากดดันของเหล่าธารกำนัลทำให้วิญญูต้องเปิดปากตามธรรมเนียมของพิธีการในช่วงนี้อย่างเสียไม่ได้
“บ่อย ๆ ที่นายทำเราเขินจนเผลอพูดจาไม่ตรงกับใจ แต่ถึงแม้เราจะไม่ชอบพูดความรู้สึกออกมาตรง ๆ ...
นายก็ทำให้เรารับรู้ได้เสมอว่านายรักเรามากแค่ไหน...
.
...ขอบใจที่เอาใจใส่
คอยสังเกต และคอยเป็นห่วงความรู้สึกของเราและฟูอยู่ตลอด...
...การได้เป็นคนรักของนาย
ทำให้เรามีความสุขอย่างที่ไม่เคยมาก่อน...
...ขอบใจมากนะเต๋อ
ขอบใจจริง ๆ ” จังหวะที่วิญญูตั้งท่าจะสวมแหวนให้เต๋อ จรรยากลับเอ่ยขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงดุ
ๆ
“ตาพดด้วง
บอกรักพี่เขาด้วยสิลูก!”
แม้จะรู้ว่าลูกชายเป็นเด็กขี้อาย แต่หล่อนก็อดเป็นห่วงความรู้สึกของเขยใหญ่ไม่ได้จริง
ๆ
“ไม่เป็นไรมั้งคะคุณจิ๋ว
บัวว่าหลังส่งตัวเข้าหอ คืนนี้เด็ก ๆ คงได้บอกรักกันจนคอแหบคอแห้งแน่ ๆ ”
“อุ๊ยตาย!
คุณบัวนี่ล่ะก็
เซี้ยวจริง!”
คำพูดติดตลกของแม่บัวเปิดช่องให้ด้วงเอาตัวรอดได้อย่างหวุดหวิด เพราะเมื่อเจ้าหล่อนได้ยินข้อความจากแม่ของกังฟูที่นั่งอยู่อีกฟาห
จรรยาก็ยื่นหน้ายิ้มให้อีกฝ่ายโดยไม่คิดติดใจกับอาการเหนียมของบุตรชายอีกต่อไป
กระนั้น ด้วงกลับอาศัยจังหวะที่เหล่าพ่อแม่คุยกันกระหนุงกระหนิง ยื่นหน้าไปกระซิบข้างหูหนุ่มร่างหมีก่อนจะพูดอะไรบางอย่างที่เรียกเลือดฝาดให้ไหลขึ้นหน้าอีกฝ่ายได้ในชั่วพริบตาเดียว
“เอาล่ะน้องด้วง
สวมแหวนให้น้องฟูเลยเถอะจ๊ะ” แม่แหม่มดึงให้ทุกคนกลับเข้าสู่พิธีการอีกครั้ง
เพราะหล่อนอยากส่งลูกทั้งสามเข้าหอใจจะขาด
หลังจากสวมแหวนให้ตรินแล้ว
ด้วงก็เอ่ยกับคนรักร่างเล็กของตนต่อโดยไม่รั้งรอเวลา “ฟูครับ ฟูรู้ไหมว่า
หลังจากวันที่เราตกลงคบกัน วันนี้คืออีกวันที่ด้วงดีใจที่สุดในชีวิต...
.
.
...ฟูเป็นคน ๆ เดียวในโลกที่ด้วงต้องการมาตลอด นั่นจึงทำให้การได้ใช้ชีวิตกับฟูทุก ๆ วันคือของขวัญสุดวิเศษ...
...ฟูเป็นคน ๆ เดียวในโลกที่ด้วงต้องการมาตลอด นั่นจึงทำให้การได้ใช้ชีวิตกับฟูทุก ๆ วันคือของขวัญสุดวิเศษ...
...ขอบคุณฟูมากที่มอบหัวใจของฟูให้ด้วงดูแล
ขอบคุณที่รักด้วง ขอบคุณที่เสียสละและยอมทำทุก ๆ อย่างเพื่อพวกเรา...
...ด้วงจะขอรัก
ขอดูแล ขอเป็นทาสฟูไปจวบจนวันสุดท้ายของชีวิตครับ” วิญญูปิดท้ายคำสัญญาของตนด้วยแหวนและจุมพิตอันอ่อนโยนและเปี่ยมด้วยความรักไม่ต่างจากสิ่งที่เขาได้รับจากตริน
จากนั้นจึงเป็นคราวของแหวนวงสุดท้ายที่จะเข้าไปอยู่ในนิ้วของด้วงในที่สุด
“ด้วงคือคนที่ทำให้ฟูรู้สึกโชคดีที่สุดในชีวิต...
...ตั้งแต่เกิดมา
นอกจากป๊าม้าแล้ว ฟูก็ไม่เคยเจอใครที่อดทนและมั่นคงทำเพื่อความรักได้มากมายและเนิ่นนานเท่าด้วง...
.
.
...ที่ผ่านมา...
...ด้วงใช้เวลาเกือบยี่สิบปีเพื่อเป็นในสิ่งที่คิดว่าฟูน่าจะสนใจแม้จะต้องแลกกับตัวตนและความผิดหวังของพ่อแม่...
...แต่ฟูอยากบอกให้ด้วงรู้ว่า...
...เวลาต่อจากนี้...
ไม่ว่าจะอีกกี่สิบปี ฟูจะทำให้ด้วงซาบซึ้งถึงความรักที่ฟูมีต่อด้วงอย่างถ่องแท้เลยทีเดียว...
...ฟูรักด้วงนะครับ”
“พ่อกับแม่ขอให้แหวนทั้งสองวงบนนิ้วมือข้างซ้ายของลูกแต่ละคน
เป็นดั่งเครื่องเตือนใจให้พวกลูก ๆ หมั่นระลึกถึงความรู้สึก และจิตใจของกันและกัน
จงรักและหมั่นดูแลกันและกันตราบจนนิจนิรันดร์นะลูก” ตระการเอ่ยทิ้งท้ายเพื่อเน้นย้ำถึงสาระสำคัญอีกประการของสัญลักษณ์ในรูปของแหวนเกลี้ยงวงเล็ก
ๆ ทั้งสองวงบนนิ้วของเจ้าบ่าวทั้งสาม แม้นี่จะเป็นพิธีที่จัดขึ้นโดยไม่อิงกับสถาบัน
หรือความเชื่อใด ๆ หากทุก ๆ คนในที่นั้นกลับรู้สึกได้ถึงความอิ่มเอมและเต็มตื้นภายในใจจนพวกเขาไม่อาจหุบยิ้มได้สักวินาที
«♥»------------------------------------ TBC ------------------------------------ «♥»
No comments:
Post a Comment