ตอนต่อมาแล้วค่ะ
หากเจอว่าเนื้อความตอนไหนแปร่ง ๆ บอกเราได้นะคะ
เดี๋ยวเราจะเข้ามาแก้ไขอีกที
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
The 15th
Bonding
อยากได้อะไร
ให้อธิษฐานกับลูกหมาและซานต้าร่างหมี [2]
“ไหนพี่ริน?” ทันทีที่บานประตูห้องเปิดผาง
หนุ่มแว่นหุ่นขี้ก้างก็ปราดเข้ามาหยุดยืนหมุนไปหมุนมาอยู่ตรงหน้าประตูพร้อมกับซักไซ้เจ้าบ้านด้วยน้ำเสียงดุดัน
“น้องอยู่ไหน?!”
“อยู่ตรงนั้นครับ”
นักศึกษาคณะสัตวแพทย์ปีสามในชุดเสื้อยืดกางเกงบาสสุดเยินที่มองเผิน ๆ
เหมือนคนเพิ่งตื่นนอนชี้นิ้วไปยังพื้นที่ว่างระหว่างโซฟากับโซนทำงาน พลางลอบสังเกตใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อกับท่าทางเหนื่อยหอบของอีกฝ่ายอย่างพินิจพิเคราะห์
ก่อนจะชิงเอ่ยตัดหน้าเมื่อเห็นเด็กน้อยตั้งท่าจะปรี่เข้าไปหาหมาเด็กทั้งห้าที่นอนระเกะระกะอยู่ในกระบะสีชมพูดูคุ้นตา
“แต่แนนไปล้างมือล้างหน้าก่อนเถอะครับแล้วค่อยไปดูน้อง แล้วนี่ทำไมมาเร็วจังครับ?
ใครออกมาส่ง? ฌานขับรถมาให้เหรอ?”
“เปล่า แนนซ้อนท้ายพี่วินมา”
รุ่นน้องสถาปัตย์เดินบ่ายหน้าเบี่ยงไปยังแพนทรี่ทันทีที่นึกขึ้นได้ว่า เป้าหมายที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่าลูกหมา
คือ ว่าที่นายสัตวแพทย์นี่แหละ
“พี่รินกินอะไรหรือยัง?”
หลานอาม่าใหญ่วางข้าวของทั้งหลายลงเหนือเคาน์เตอร์หครัว แล้วจัดแจงหยิบถุงก๊อบแก๊บบรรจุห่อกระดาษหลายใบออกมาคุ้ยดูข้าวของด้านใน
ก่อนจะถือวิสาสะเปิดตู้เพื่อหาอุปกรณ์ทั้งหลายคล้ายไม่ได้รอฟังคำตอบจนสารินต้องเข้าไปคอยป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้
ๆ เผื่อจะช่วยหยิบจับอะไรได้บ้าง
“พี่ตั้งใจว่าเดี๋ยวพอให้นมน้องรอบนี้เสร็จแล้วค่อยโทรสั่งอะไรขึ้นมากินน่ะครับ”
กลิ่นอาหารที่โชยกรุ่นออกมาจากบรรดาถุงหูหิ้วทั้งหลายทำให้เจ้าของห้องเปิดบานตู้ฝั่งที่เก็บจานชามช้อนส้อมเอาไว้รอท่า
สารินเดาว่า ปริมาณมื้อเย็นที่ผ่านไปหมาด ๆ อาจไม่เพียงพอต่อความเจริญอาหารของหนุ่มแว่นสักเท่าไร
“ไม่ต้อง!
พี่รินไปนั่งเลย
เดี๋ยวที่เหลือแนนจัดการเอง!” สกลบอกปัดด้วยน้ำเสียงจริงจัง พลางเอื้อมหยิบจานใบใหญ่สองสามใบกับช้อนส้อมหลายคู่ติดมือไปด้วยท่าทางทะมัดทะแมง
กระนั้นคนเป็นพี่ก็ยังตั้งใจจะให้บริการในฐานะเจ้าบ้านและคนรักที่ดี
“ให้พี่ทำดีกว่าครับ
แนนไปนั่งพักเถอะอุตส่าห์รีบมา” สารินรวบรัดด้วยการฉวยถุงในมือเด็กน้อยมาถือเอาไว้เอง
พร้อมกับส่งสายตาเว้าวอน แต่บทจะดึงดัน...
หลานอาม่าใหญ่ก็ไม่คิดจะอ่อนข้อลงให้ใคร
“พี่ริน...
ไปนั่งเดี๋ยวนี้เลย” สกลชี้นิ้วแล้วออกคำสั่งด้วยท่าทางข่มขู่เพื่อให้อีกฝ่ายระลึกรู้ถึงอำนาจสูงสุด
ยอมหยุดมือแล้วย้ายมวลร่างกายไปนั่งรอที่โซฟาแต่โดยดี ชายหนุ่มรุ่นพี่จึงยอมจำนนอย่างคนไม่คิดจะสู้อยู่แต่แรก
“ครับ ๆ
ก็ได้ครับ”
“เดี๋ยว!” น้ำเสียงเฉียบขาดของสกลทำเอาหมีโพลาร์ชะงักค้าง
“เอานี่ไปด้วย... พี่รินชอบผัดซีอิ๊วร้านนี้ไม่ใช่เหรอ?”
“ครับ ขอบคุณมากนะครับแนน”
แม้คนพูดจะยื่นจานผัดซีอิ๊ว แถมผลไม้อีกหนึ่งจานส่งให้เขาโดยไม่ยอมหันมาสบตา แต่นั่นกลับไม่ได้ทำให้ว่าที่นายสัตวแพทย์หุบยิ้มลงได้สักวินาที...
เวลาน้องเอาใจใส่ดูแลคนอื่นก็ดูน่ารักไปอีกแบบ
“เดี๋ยวล้างมือเสร็จผมจะตามออกไป”
“ครับ” เด็กสัตว์แพทย์ยิ้มกว้างให้กับแผ่นหลังผอม
ๆ ที่ค้อมน้อย ๆ ขณะเจ้าของบรรจงล้างมืออย่างช้า ๆ... หากสารินไม่ได้เข้าข้างตัวเองจนเกินไป เขาเชื่อว่าทันทีที่วางสายจากกันเมื่อไม่ถึงครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา
อาหารและของกินทั้งหลายเท่าที่เห็นวางอยู่ในครัวน่าจะทำให้น้องหัวหมุนและวุ่นวายไม่น้อยทีเดียว
“ป้อนนมอีกทีกี่โมงเหรอพี่ริน?”
คนเห็นผีซึ่งเพิ่งวางมือจากลูกหมาตัวสุดท้ายเอ่ยถามร่างสูงใหญ่บนโซฟาใกล้ ๆ กัน พลางแหงนคอมองนาฬิกาข้างฝาที่บอกเวลาสามทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว
“เที่ยงคืนกว่าครับ” คนเป็นพี่ดื่มน้ำตบท้ายมื้ออาหารมื้อใหญ่ที่ได้กินเร็วกว่าเวลาที่คาดการณ์เอาไว้มากพอสมควร
“ยังทุก ๆ
สามชั่วโมงอยู่ใช่ไหม?” ได้ยินดังนั้น เด็กเต็กก็นึกคำณวนเวลาและความเหน็ดเหนื่อยของคนดูแลหมาคร่าว
ๆ อยู่ในใจ... กว่าจะถึงเช้า อีกฝ่ายก็น่าจะต้องให้นมลูกหมาอีกอย่างน้อยสามครั้ง แล้วอย่างนี้จะได้นอนตอนไหน?
“ครับ”
“แล้วพรุ่งนี้พี่รินมีเรียนกี่โมง?”
แม้จะจำได้เลา ๆ ว่า โดยมากแล้วทั้งเขาและรุ่นพี่ต่างคณะมักจะเริ่มเรียนพร้อม ๆ
กัน แต่เพื่อความแน่ใจ หนุ่มหัวไข่ก็ไม่ลังเลที่จะหาคำตอบที่ชัดเจน
“แปดโมงเช้าพร้อมแนนนั่นแหละครับ”
สารินจับจ้องเสี้ยวหน้าด้านข้างของเด็กน้อยที่นั่งกองอยู่บนพื้นด้วยความสนอกสนใจเพราะไม่บ่อยนักที่อีกฝ่ายจะไล่บี้ถามเรื่องเบ็ดเตล็ดทั่ว
ๆ ไปเกี่ยวกับตัวเขาราวกับกำลังซักประวัติก็ไม่ปาน ยังไม่ทันจะได้อ้าปากถามไถ่คลายความสงสัย หลานอาม่าใหญ่ก็หยัดตัวลุกขึ้นแล้วเอ่ยทิ้งท้ายสั้น
ๆ
“งั้นเดี๋ยวแนนมา!”
ว่าที่นายสัตวแพทย์ทำได้แค่มองตามร่างผอมสูงวิ่งปร๋อหายลับออกจากห้องไปโดยไม่อาจอธิบายการกระทำของอีกฝ่ายได้สักนิด
แต่ก่อนที่ความรู้สึกงุนงงจะครอบงำห้วงความคิดของเด็กปีสามจนไม่เป็นอันทำอะไร ชายหน้าแว่นหัวไข่ก็วิ่งกระหืดกระหอบกลับเข้ามาในห้องของเขาพร้อมกับข้าวของมากมาย
อาทิ เป้อีกใบ เข็มขัด และชุดนักศึกษาที่รีดและแขวนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย กับผ้าเหี่ยว
ๆ ลายการ์ตูนที่พาดคร่อมเหนือบ่าจนชายห้อยต่องแต่ง
“แนนจะทำอะไรครับ?”
ใช่ว่าสารินจะเบื้อใบ้จนเดาอะไรไม่ได้ แต่เพราะท่าทีบ่ายเบี่ยงของอีกฝ่ายที่เห็นมาตลอดวันก็ทำให้เขาไม่อาจฟันธงปลงใจได้ร้อยเปอร์เซนต์...
เว้นเสียก็แต่อีกฝ่ายจะยืนยันความมุ่งหมายออกมาให้ได้ฟัง
“คืนนี้แนนจะอยู่ป้อนนมน้อง”
จวบจนถึงตอนนี้ เด็กเต็กยังคงตีหน้ามึนไม่ต่างจากชั่วโมงก่อนเพื่อเก็บซ่อนความรู้สึกห่วงหาอาทรอีกฝ่ายเอาไว้ข้างใน
ส่วนว่าที่นายสัตวแพทย์ก็ไม่อาจเบิกยิ้มกว้างอย่างเบิกบานสราญฤทัย
เพราะเหตุผลที่น้องยกขึ้นมาอ้างคอยเหนี่ยวรั้งไม่ให้ชายหนุ่มคิดเข้าข้างตัวเองได้เสียทีเดียว
“อย่าเลยครับ พรุ่งนี้แนนมีเรียนจนถึงหกโมง
พี่ไม่อยากให้แนนเหนื่อย”
ทั้งที่ใจอยากให้อีกฝ่ายนอนร่วมห้องมากสักเพียงไหน
แต่เมื่อใคร่ครวญถึงความเหนื่อยยากตลอดเกือบสิบชั่วโมงข้างหน้า สารินก็ไม่วายทัดทานโดยอาศัยเหตุผลของคนเป็นน้องเป็นที่ตั้งอยู่ดี
ช่วงเวลาหลังจากนี้จึงเป็นการงัดข้อกันด้วยความดื้อด้านระหว่างหมีโพลาร์กับเด็กแว่นบ้าหมาอย่างไม่มีใครยอมใคร
“พี่รินไม่ต้องมาห้ามแนนเลยนะ...
น้องของแนน แนนอยากดูแลน้อง!” หลานอาม่าใหญ่ยกเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ ทว่าดูมีน้ำหนักอย่างไม่น่าเชื่อขึ้นมาเป็นข้ออ้าง
พลางใช้สายตาและข้าวของปริมาณถมที่นาได้หลายแปลงขู่ซ้ำ
“แต่พรุ่งนี้แนนจะเรียนไม่รู้เรื่องเอานะครับ”
ว่าที่นายสัตวแพทย์จึงอาศัยวาจาออดอ้อนพร้อมระดมช้อนสายตาขณะทำหน้าหมาหงอยเป็นอาวุธต่อสู้
“พี่ริน!
แนนเรียนสถาปัตย์นะ
แนนน็อกรอบโต้รุ่งจนไม่รู้จะชินยังไงแล้ว! พี่รินนั่นแหละ
พรุ่งนี้จะทำแล็บฯได้หรือเปล่าเหอะ?! ไปเลย! กินข้าวเสร็จแล้วก็ไปอาบน้ำนอนเลย
เดี๋ยวแนนเฝ้าน้องให้!”
หนุ่มแว่นขึ้นเสียงใส่พร้อมโบกไม้โบกมือไล่เจ้าบ้านเข้าห้องนอนด้วยท่าทางเฉียบขาด
แต่กลับไม่อาจทำอะไรสารินในโหมดทนุถนอมสกลยิ่งกว่าสิ่งใดในโลกหล้าได้
“พี่ว่าแนนกลับห้องไปนอนเถอะครับ
เดี๋ยวพี่ดูน้อง ๆ เอง” สกลนึกอยากจะจิกทึ้งหัวตัวเองให้รู้แล้วรู้รอดค่าที่อีกฝ่ายซื่อบื้อไม่แบ่งใคร
แต่จะให้เขายอมรับว่าที่ตื๊อขอนอนที่นี่ไม่ใช่เพราะห่วงหมาแต่ห่วงหมีโพลาร์... ก็อย่าหวังเลย!
“พี่ริน” เด็กเต็กมองหน้าหมีโพลาร์นิ่ง
ๆ แล้วพูดเรียบ ๆ ด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถ้าพี่รินยังไม่ยอมไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้
แนนจะไม่คุยกับพี่รินอีกเลย”
“ครับ ๆ ไปแล้วครับ” ได้ยินดังนั้น คนเป็นพี่ก็ลุกขึ้นหยิบจานไปเก็บล้างก่อนจะเดินเข้าห้องนอนตามคำบัญชาของอาคันตุกะกิตติมศักดิ์พลางปลอบตัวเองว่า...
แพ้เป็นตัวพระ ชนะเป็นตัวนาง
“จะขนอะไรมาเยอะแยะนักหนา?
แค่หมอนกับผ้าห่มอย่างละหนึ่ง แนนก็นอนได้แล้ว” หลานอาม่าใหญ่ในชุดนอนสีเหลืองตุ่นลายการ์ตูนดูคุ้นตาเดินเช็ดหัวออกจากห้องนอนพร้อมกับส่งเสียงบ่นสารินมาตลอดทางทันทีที่เห็นว่า
มีผ้านวมผืนใหญ่น้อง ๆ เตียงคิงไซส์ปูเต็มพื้นที่แถมยังมีหมอนหนุน หมอนข้างวางกองอยู่อีกหลายใบ
“ให้พี่นอนด้วยนะครับ
พี่จะได้คอยอยู่ช่วยแนน” ว่าที่นายสัตวแพทย์อธิบายเหตุผลด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ
ฝ่ายคนฟังกลับทำเป็นไม่สนใจ เดินก้มหน้าเลี่ยงเดินไปหยิบเป้สะพายหลังก่อนจะมานั่งลงข้าง
ๆ กัน
“พี่ริน”
“ครับ” เจ้าของเสียงเรียกเมื่อสักครู่คุ้ยหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าอยู่พักใหญ่
ๆ ปล่อยให้สารินนั่งลุ้นจนแทบไม่หายใจว่าเด็กน้อยจะยอมให้เขานอนด้วยดี ๆ
หรือต้องปะทะฝีปากกันอีกยก แต่คำตอบของอีกฝ่ายกลับอยู่เหนือความคาดหมายของชายหนุ่มไปมากกว่าที่คิด
.
.
.
.
.
.
“ขอแนนดูแผลที่คอหน่อย”
สกลเขยิบเข้าใกล้โดยไม่รอฟังคำตอบของรุ่นพี่ต่างคณะ ก่อนจะเจาะครีมหลอดใหม่เพื่อเตรียมความพร้อมรอการใช้งานในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า
“...เอ่อ...
ครับ” ไม่ทันขาดคำ เจ้าของรอยขย้ำตรงต้นคอก็ค่อย ๆ ยื่นหน้าเข้าใกล้ พร้อม ๆ กับไล้ปลายนิ้วไปตามรอยคมเขี้ยวของตนอย่างเบามือคล้ายปรารถนาจะลบร่องรอยอันเลวร้ายให้จางอ่อน
ก่อนจะบรรจงทาครีมเย็น ๆ ไปทั่วบาดแผลโดยพยายามหลบเลี่ยงสายตาคมของว่าที่นายสัตวแพทย์เป็นการใหญ่
ดวงหน้าซึ่งลอยเด่นชิดใกล้ทำให้สารินไม่อาจละสายตาไปมองที่อื่นได้สักวินาที
ทว่าครั้นจะให้เอ่ยวาจาหยอกเย้าเซ้าซี้อีกฝ่าย ก็อดกลัวไม่ได้ว่า เด็กน้อยหัวไข่จะขัดเขินจนเดินหนีไปเสียก่อน
ชายหนุ่มจึงตัดสินใจหย่อนอารมณ์นั่งฟังเสียงหัวใจสองดวงดังผสมผเสเปปนจนแยกแยะไม่ได้ไปพร้อม
ๆ กับชื่นชมใบหน้าขาวใสที่ค่อย ๆ เปลี่ยนสีอย่างเป็นสุข
“...ยังเจ็บอยู่ไหม?...”
เด็กสถาปัตย์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด
“ไม่ครับ หายเจ็บแล้วครับ”
ทั้งที่ใจอยากจะบอกกับน้องว่า ถ้าเจ็บตัวแล้วได้พยาบาลมือเบาแถมน่ารักกินขาด เขาจะยอมเจ็บตัวฟรีไปตลอดชาติแท้
ๆ แต่เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย ว่าที่นายสัตวแพทย์จึงเลือกพูดในสิ่งที่เด็กน้อยอยากได้ยิน
ทันทีที่ได้ฟังถ้อยคำยืนยันของหลานอาม่ามุ่ยฟ้าโดยไม่มีการว่ากล่าวให้เศร้าเสียใจ
ขอบตาทั้งสองข้างก็ร้อนผ่าวเร่งเร้าเรียกร้องน้ำตาขึ้นมาเสียอย่างนั้น งานทายาจึงยืดเยื้อขยายวงกว้างใหญ่กินเนื้อที่คอฝั่งซ้ายเกือบทั้งแถบเพราะคนทายาแอบก้มหน้าเพื่อกระพริบตาไล่ความเปียกชื้นไม่ให้ไหลเอ่อ
.
.
.
.
.
.
“แนนขอโทษนะ
แนนไม่รู้ตัว” เด็กเต็กเอ่ยอ้อมแอ้มแถมยังไม่หยุดป้ายยาเพิ่มจนสารินเริ่มจะสงสารทั้งคนตรงหน้าและลำคอของตัวเองขึ้นไปทุกที
“เปลี่ยนจากขอโทษเป็นตอบคำถามพี่ได้ไหมครับ?” คนเกิดก่อนคว้าฝ่ามือเปื้อนยาของน้องมากุมเอาไว้
แล้วจ้องมองใบหน้าแดงระเรื่ออยู่นานเพื่อรอให้หลานอาม่าใหญ่ปรายดวงเนตรมาสบกัน
“พี่รินจะถามเรื่องอะไร?”
ด้วยความกลัวว่าอีกฝ่ายจะทวงถามเรื่องโยกย้ายที่ตนยังไม่พร้อมจะตัดสินใจ เด็กเต็กจึงอดตื่นเต้นกับสิ่งที่อีกฝ่ายอยากรู้ไม่ได้
และดูเหมือนว่าสารินจะสัมผัสความหวั่นไหวดังกล่าวได้ เพราะชายหนุ่มกลับเลือกที่จะไม่แตะต้องหัวข้ออ่อนไหวในเวลาเช่นนี้
“แนนเห็นผีมาตั้งแต่เด็ก
ๆ เลยเหรอครับ?”
“อืม”
“แล้วแนนไม่กลัวเหรอครับ?”
สารินใช้ปลายนิ้วนวดไปทั่วฝ่ามือนุ่มเบา ๆ เพื่อเอาใจคู่สนทนา
“คิดว่าไม่นะ
เพราะตอนนั้นแนนยังเด็กจนแยกแยะไม่ได้ว่าสิ่งที่เห็นเป็นอะไรกันแน่...
.
...แต่พอเริ่มโต
แนนก็รู้ว่า จริง ๆ แล้วผีไม่ได้น่ากลัวหรอก
แต่คนต่างหากล่ะที่น่ากลัวกว่าผีเยอะเลย” หนุ่มแว่นเอ่ยอย่างหนักแน่นจนคนฟังชักอยากฟังเหตุผลสนับสนุน
“ยังไงครับ?”
“ก็อย่างพวกเด็กคนอื่น
ๆ ที่ชอบล้อแนนไง พอพวกนั้นเห็นแนนนั่งคุยกับพี่กุ๊กกู๋ พวกนั้นก็หาว่าแนนบ้า
แล้วก็คอยล้อแนนจนแนนไม่กล้าคบเพื่อนคนไหน ยังดี... แนนได้เจอบ๊วยตอนลงเรียนพิเศษ แนนเลยยังพอมีเพื่อนกับเขาบ้าง”
ความหลังฝังใจที่ไหลหลั่งพรั่งพรูออกมาทำให้เด็กเต็กอดคิดไม่ได้ว่า หากตอนเด็ก ๆ ไม่ได้คบหากับลูกแม่บัว
เขาอาจยอมกลายเป็นคนวิกลจริตที่คบหากับผีสางนางไม้ ดีกว่าจะยอมให้คนใจร้ายกดขี่ข่มเหงจนโงหัวไม่ขึ้น
“แล้วเรื่องที่แนนเห็นพี่กุ๊กกู๋นี่มีใครรู้บ้างครับ?”
“ก็เพื่อน ๆ
แนนทุกคน รวมทั้งพี่หมี แล้วก็พี่ริน... เท่านี้แหละ”
“กับที่บ้านล่ะครับ
แนนได้บอกไหม?” ถึงจะแน่ใจว่าคงไม่มีใครล่วงรู้ความลับข้อนี้ของอีกฝ่ายแน่ ๆ แต่สารินก็อดสงสัยไม่ได้
ซึ่งในท้ายที่สุด คำตอบชองเด็กเต็กก็ไม่ทำให้ผิดหวังแม้รายละเอียดจะทำให้ชายหนุ่มตกตะลึงไม่น้อย
“ไม่รู้
ไม่มีใครรู้... เพราะคุณปู่ตี่จู่เอี๊ยสอนว่า ไม่ให้แนนบอกใคร” หลานอาม่าใหญ่ตอบง่าย
ๆ เหมือนพูดถึงดินฟ้าอากาศทั่ว ๆ ไป หาใช่เรื่องที่ตนเองสามารถพูดคุยกับเจ้าที่ผู้ปกป้องคุ้มครงบ้านตึกหลังใหญ่ที่สุดในซอยอย่างไรอย่างนั้น
“แล้วที่แนนบอกว่าฝาแฝดก็เห็นนี่ยังไงครับ?”
ว่าที่นายสัตวแพทย์ยังไม่หมดข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องสุดประหลาดนี้เสียทีเดียว
เพราะจะว่าไป ตัวเขาเองก็มีความสามารถดังกล่าวไม่ผิดไปจากเด็กเต็กหัวไข่เลยสักนิด คนถูกถามทำท่านึกนิดหน่อยระหว่างคอยให้สมองเลือกใช้ถ้อยคำที่เหมาะสมก่อนจะเรียบเรียงออกมาเป็นประโยคกะทัดรัด
เข้าใจง่าย
“พี่ฌานมีงานอดิเรกเป็นร่างทรง
อารมณ์เจ้าพ่อตามตำหนักในหนังน่ะครับ...
.
...แนนเดาว่า ในฐานะเป็นน้องชายคลานตามกันมา
ฌอนเลยมีสกิลการเป็นร่างทรงเหมือนกัน...
...แต่รายนี้รับทรงดะ
ไม่เน้นเทพ ไม่เน้นเทวดา พี่ฌานเลยให้กุมารทองคอยประกบฌอนตลอดเผื่อวันไหนเกิดขาดสติ
ฌอนจะได้ไม่โดนวิญญาณฮิปปี้ยึดร่างไปเสียก่อน”
“หืม?
มีแบบนี้ด้วยเหรอครับ?” ยิ่งได้ฟังคุณสมบัติของฝาแฝด สารินก็ยิ่งทึ่งกับความพิเศษของทั้งสามไปกันใหญ่
“ครับ...
เหลือเชื่อเนอะ พี่รินว่าป่ะ?” สกลหัวเราะเบา ๆ ตบท้ายเมื่อหวนนึกถึงการพบปะ
และคบหากันฉันท์มิตรของตนกับฝาแฝดซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้หากทั้งหมดเลือกเดินเส้นทางที่ต่างออกไป
“ครับ แต่ก็เป็นไปแล้วนี่ครับ
ขนาดแนนยังเห็นพี่กุ๊กกู๋ได้เลยนี่เนอะ... จริงไหม?” หากเมื่อเกือบสิบปีก่อน ว่าที่นายสัตวแพทย์ไม่ได้ประสบกับเหตุการณ์น่าพิศวงเข้ากับตัว
เขาคงไม่อาจยอมรับคุณสมบัติอันแตกต่างไปจากคนส่วนใหญ่ของน้องได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
เห็นทีเขาคงต้องหาเวลาทำบุญสมนาคุณให้น้าหนวดอย่างเต็มที่เสียแล้วสิ
“หึ หึ หึ” คนเห็นผีหัวเราะเสียงใสพลางพยักหน้ารับคำอีกฝ่ายอย่างอารมณ์ดี
ก่อนจะจี้ถามกลับ “แล้วพี่รินล่ะ? พี่รินกลัวผีไหม?”
.
.
.
“...อืม...” เป็นเพราะนับตั้งแต่ที่หมีโพลาร์ก่อความสัมพันธ์ไร้นิยามกับวิญญาณหมาหน้ามึน
เขาก็ไม่มีโอกาสพบปะกับผีตนอื่น ทำให้ชายหนุ่มต้องอาศัยเวลาคิดใคร่ครวญหาคำตอบอยู่ครู่ใหญ่
ก่อนจะเอ่ยพร้อมใบหน้าระบายยิ้ม “ถ้าต่างคนต่างอยู่ พี่ก็โอเคนะครับ แต่ถ้าเจอตัวเป็น
ๆ จริง ๆ พี่คงต้องตั้งสติ แล้วถามเขาดี ๆ ว่า อยากให้พี่ทำอะไรให้ แล้วก็ค่อยช่วยเหลือกันไปตามเรื่องตามราวน่ะครับ”
“หึ หึ หึ ไม่ได้ตอบเอาใจแนนแน่นะ?”
สีหน้าชอบอกชอบใจกับคำถามชวนฟังของเด็กน้อยทำให้สารินรู้ว่า คำตอบของเขาคงจะเข้าที
คนเป็นพี่จึงอดหยอดหยั่งเชิงอีกฝ่ายด้วยหัวใจพองฟูไม่ได้
“ครับ... แนนเถอะ
แนนไม่ได้ถามลองใจพี่ใช่ไหมครับ?”
“หึ หึ หึ...
ไม่ได้ลอง เพราะถ้าแนนจะทำอะไรพี่ริน ใครก็ห้ามแนนไม่ได้ทั้งนั้นแหละ” หลานอาม่าซิ้วงิ้งทำเป็นหันไปจับจ้องลูกหมาทั้งห้าเพื่อหาจุดพักสายตาระหว่างเขิน
แต่คำตอบของสารินก็ทำให้หนุ่มแว่นมองเมินไม่ได้นานนัก
“แนนคิดจะทำอะไรพี่เหรอครับ?
แล้วจะทำพี่เมื่อไรดีครับ? พี่จะได้รอรับมือ” เด็กปีสามหยอดไปยิ้มไปด้วยความลิงโลดใจอันท่วมท้น
“จะบ้าเหรอ?
แนนแค่ขู่พี่เฉย ๆ ใครมันจะไปทำอะไรพี่รินกันเล่า?” สกลทำปากขมุบขมิบด้วยความไม่พอใจค่าที่อีกฝ่ายทำให้ความคิดของเขาชักจะเตลิดไปไกล
“อ้าว!
พี่ก็อุตส่าห์ดีใจที่แนนคิดจะทำอะไร
ๆ พี่เสียอีก โธ่!”
สารินทำท่าเสียดายเสียเต็มประดาหลังจากเห็นหน้าบอกบุญไม่รับของหลานอาม่าใหญ่ จนเด็กน้อยหัวไข่หน้าแดงแป๊ด
“ไอ้พี่บ้า!
ปล่อยเลย!
จะไปล้างมือแล้ว!” คนเห็นผีกระฟัดกระเฟียดพลางพยายามชักมือที่ถูกอีกฝ่ายถือครองอยู่พักใหญ่
ๆ ให้กลับมาอยู่ในอาณัติ ก่อนจะลุกหลบลี้หนีหน้าอีกฝ่ายไปนั่งหลบมุมที่อื่นแทน แต่นอกจากจะไม่ได้ปลายแขนคืนจากหมีโพลาร์แล้ว
ว่าที่นายสัตวแพทย์ยังนั่งจ้องเขาตาแป๋วพร้อมกับสอดนิ้วทั้งห้าประสานแนบกับฝ่ามือเข้าให้อีก
“นั่งก่อนเถอะครับ
พี่ยังมีเรื่องอยากถามแนนอีกเยอะเลย” รุ่นพี่ปีสามเอ่ยเอี้ยวไปหยิบซองทิชชูเปียกมาจัดการเช็ดมือให้เด็กน้อยโดยไม่คอยท่า
อาการเคอะเขินที่ยังค้างคาเพราะหาที่ลงไม่ได้จึงกลายเป็นความหงุดหงิดในท้ายคำของอีกฝ่ายไปในบัดดล
“อะไร?
อยากรู้อะไรอีกล่ะ?” สกลถามพลางปรายตามองสารินตาขวาง ส่วนอีกฝั่งก็อาศัยจังหวะที่น้องยอมนั่งอยู่กับที่สอบถามถึงเรื่องราวซึ่งค้างคาใจตนเป็นที่สุด
“แนนรักหมาขนาดนี้
ที่บ้านแนนมีหมาหรือเปล่าครับ?” เด็กสัตว์แพทย์เกริ่นอ้อมโลกด้วยไม่อยากให้เด็กน้อยเอะใจถึงสถานภาพในอดีตของเขาทั้งคู่
“ก็ต้องมีสิ ตอนนี้ก็เลี้ยงอยู่ตัวนึง
ชื่อปีเตอร์... เป็นน้องเกรทเดนตัวใหญ่เหมือนม้า แต่ว่าหน้าเหมือนวัว...
พี่รินงงไหม?” หนุ่มแว่นยิ้มกว้างพลางอธิบายพร้อมกางแขนกว้าง อีกทั้งยังลากเสียงพูดเสียยืดยาวราวกับกำลังเล่านิทานก่อนนอนให้เด็กเล็ก
ๆ ฟัง
“ไม่งงครับ” สารินอมยิ้มชอบใจเพราะ
คำบรรยายด้วยท่าทางน่ารัก ๆ ของน้องทำให้เขาอดนึกถึงเจ้าหมาลายวัวตัวโตไม่ได้จริง
ๆ ชายหนุ่มทิ้งช่วงเว้นวรรคไปครู่หนึ่งแล้วจึงถามต่อ
“แล้วแนนเลี้ยงหมาแค่ตัวเดียวเองเหรอครับ? ตัวนี้ตัวแรกเหรอ?”
“เปล่าครับ...
จริง ๆ ตอนเด็ก ๆ แนนเคยเลี้ยงเซนต์เบอร์นาร์ดมาก่อน แต่อยู่ดี ๆ มันก็ตาย...
แนนเลยทำใจอยู่นานกว่าจะกล้าขอป๊าเลี้ยงหมาตัวใหม่”
“ตาย?! แล้วแนนรู้ได้ยังไงครับ?” โชคดีที่ยังพอมีสติ สารินจึงรีบปรับเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่เมื่อเหลือบเห็นใบหน้างุนงงของน้องหลังจากเผลอโพล่งถามเกี่ยวกับหัวข้อต้องห้ามขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“พี่หมายถึงว่า ตอนที่รู้ว่ามันตาย... มันตายยังไงน่ะครับ?”
“เบอร์นาร์ดโดนวางยาน่ะครับ”
เด็กเต็กหัวไข่ตอบคำถามของรุ่นพี่ปีสามอย่างไม่คิดติดใจ กลายเป็นสารินเสียอีกที่เมื่อได้ฟังคำตอบของอีกฝ่ายก็ถูกความสงสัยเข้าเล่นงานจนออกอาการเหม่อลอย
“เหรอครับ?”
“ครับ แต่แนนก็ไม่คิดอะไรแล้วล่ะครับเพราะตอนนี้เบอร์นาร์ดน่าจะไปดีแล้วล่ะ”
สกลสรุปสั้น ๆ อย่างได้ใจความด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ไม่บ่งบอกอารมณ์ใด
“พี่ก็หวังให้เป็นอย่างนั้นครับ”
ว่าที่นายสัตวแพทย์ไม่รู้จะต่อบทสนทนาว่าด้วยเรื่องในวัยเด็กของพวกเขาอย่างไรดี...
น้องรู้เรื่องน้าหนวดได้อย่างไร? แล้วน้องรู้ตั้งแต่เมื่อไร? อย่างนี้เขาจะถามเกี่ยวกับเรื่องเมื่อเก้าปีก่อนได้อย่างไร
ในเมื่อน้องไม่ได้พาดพิงถึงตัวเขาสักคำ?
“แนนว่าแนนไปล้างมือก่อนดีกว่า
แนนกลัวว่ายาจะยังติดอยู่ตามซอกเล็บ เดี๋ยวตอนป้อนนม น้อง ๆ จะขมปาก” เด็กเต็กทำทีเป็นหันไปมองดูเวลาก่อนจะดึงมือตัวเองออกจากการเกาะกุม
ลุกขึ้นยืนแล้วออกเดินมุ่งหน้าไปล้างมือที่อ่างในห้องครัว
“งั้นเดี๋ยวพี่ไปล้างขวดนมรอพลาง
ๆ แล้วกันครับ” เมื่อความอบอุ่นแนบชิดร้างลาเหินห่าง สารินก็ตั้งสติได้อีกครั้ง
ชายหนุ่มจึงหักใจยอมเก็บงำความสงสัยทั้งหลายเอาไว้ภายในก่อนจะลุกตามอีกฝ่ายไปติด ๆ
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
“พี่ริน...
พี่รินยังไม่บอกแนนเลยว่าทำไมน้อง ๆ ถึงมาอยู่กับพี่รินได้?” หลังจากเริ่มป้อนนมรอบตีสามไปได้พักใหญ่
ๆ เด็กเต็กหัวไข่ก็ขุดความสงสัยที่ยังไม่ได้คำตอบขึ้นมาคุยกับคนข้าง ๆ ทันที
“พี่ทีมแกติดธุระต้องเข้าโรงงานด่วนครับ
เห็นว่ารอบนี้ต้องไปหลายวันเพราะบริษัทแม่อยากได้ข้อสรุปเกี่ยวกับแนวทางในการประสานงานกับชุมชนและการจัดการสิ่งแวดล้อมก่อนก่อตั้งโรงเลี้ยงสัตว์แห่งใหม่น่ะครับ”
สารินตอบพลางใช้สำลีชุบน้ำเช็ดกระตุ้นให้ลูกหมาที่กินนมเสร็จแล้วเริ่มขับถ่าย
พวกเขายังพอมีโชคอยู่บ้างที่ทั้งห้าตัวคุ้นเคยกับสัมผัสดังกล่าวเป็นอย่างดี
ไม่อย่างนั้นเหล่าพี่เลี้ยงจำเป็นอาจผล็อยหลับกลางอากาศก่อนที่หมาเด็กทุกตัวจะถ่ายท้องหนักเบาสำเร็จก็เป็นได้
“แล้วไม่มีคนอื่นว่างพอจะช่วยพี่ทีมแกเลยเหรอครับ?...
ฮื่อ ค่อย ๆ กินสิลูก รีบดูดแบบนี้เดี๋ยวก็สำลักกันพอดี” สกลดุเจ้าลูกหมาตัวใหญ่กว่าฝ่ามือนิดหน่อยอย่างไม่จริงจังนัก
พลางค่อย ๆ ถอนขวดนมออกห่างจากปากเล็ก ๆ ของฮัสกี้น้อยเพื่อให้มันค่อย ๆ ปรับจังหวะการดูดน้ำนมเสียใหม่
หลานอาม่ามุ่ยฟ้าจ้องมองสีหน้าอิ่มเอมเต็มไปด้วยความสุขของน้องด้วยความประทับใจพร้อม
ๆ กับอธิบายที่มาที่ไปของโปรเจคการเดินทางจากบ้านสู่บ้านของเหล่าลูกไซบีเรียนทั้งห้าให้อีกฝ่ายได้รับรู้
“ถ้าที่บ้านแกคงไม่มีใครที่พอจะฝากน้อง
ๆ เอาไว้ได้อีกแล้วล่ะครับ แกเลยต้องเอาน้อง ๆ มาพักไว้กับพี่เพื่อรอส่งต่อให้พ่อจำเป็นมารับน้อง
ๆ ไปอยู่ด้วยอีกทอดนึง”
“พ่อจำเป็น?” หนุ่มแว่นละสายตาจากลูกหมาจอมตะกละเพื่อหันมาเลิกคิ้วมองหน้าสารินด้วยความไม่เข้าใจ
สารินจึงส่งยิ้มให้อีกฝ่ายตามด้วยแนะนำหน้าที่ใหม่ของชายหน้าเก่าที่ทั้งเขาและน้องต่างรู้จักมักคุ้นกันอยู่ก่อนแล้ว
“พี่สิงห์น่ะครับ
เดี๋ยวอีกไม่กี่ชั่วโมงพี่สิงห์ก็น่าจะแวะเข้ามารับน้อง ๆ ไปช่วยดูแลแทนพี่ทีมจนกว่าแม่จำเป็นจะกลับบ้านครับ”
“ค่อยยังชั่ว
ตอนแรกแนนนึกว่าพี่รินต้องรับเละเลี้ยงน้องอยู่คนเดียวเสียอีก” สกลถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อรู้ว่าสารินไม่ต้องอดตาหลับขับตานอนป้อนนมเด็ก
ๆ ทั้งห้าไปจนกว่าวชิระจะกลับมาทวงลูกหมาคืน แต่คนมองกลับตีความหมายไปอีกทาง
“แนนพูดเหมือนไม่อยากให้พี่รับดูแลน้องแล้วอย่างนั้นแหละครับ”
“เปล่า...
แนนไม่ได้ไม่อยากให้น้องไปอยู่ที่อื่นเสียหน่อย แต่ถ้าน้องอยู่กับพี่ริน พี่รินนั่นแหละที่จะลำบาก”
เด็กสถาปัตย์อธิบายอ้อม ๆ โดยเลือกปิดบังเหตุผลเบื้องลึกจากชายหนุ่มรุ่นพี่
“แต่ถ้าลำบากแล้วมีแนนคอยช่วย
พี่ก็พร้อมจะสู้เพื่อลูก ๆ ทั้งห้าของเรานะครับ” สารินตีขลุมทันทีที่สัมผัสได้ถึงความรู้สึกห่วงหาที่สะท้อนผ่านแววตาของอีกฝ่ายโดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่ทันระวัง
แต่แทนที่หลานอาม่าใหญ่จะวางมือแล้วชิ่งไปหลบเหมือนทุกที เด็กน้อยกลับเอื้อนเอ่ยอย่างอารมณ์ดีคล้ายกับเพิ่งได้ฟังคำพูดถูกใจไปหมาด
ๆ
“งั้นแนนจองเป็นป่ะป๊า!”
“พี่สมัครเป็นแฟนป่ะป๊าล่วงหน้าเลยได้ไหมครับ?”
ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว สารินจึงถือโอกาสเต๊าะอีกฝ่ายแบบไหลไปตามน้ำมันเสียเลย
“ไม่ได้!” หมีโพลาร์ออกอาการหน้าเสียได้เพียงไม่นาน
เพราะหลังจากนั้นชายหนุ่มก็คลี่ยิ้มด้วยความเบิกบานเมื่อได้ยินคำตอบเต็ม ๆ ของคนน่ารัก
“แนนเป็นป๊า
พี่รินก็ต้องเป็นม้าสิ!
ไม่งั้นแนนจะชิงเป็นป๊าตัดหน้าพี่รินทำไมล่ะเอ้อ?!” ยังไม่ทันได้ตำหนิสารินให้สมใจ หมาเด็กในฝ่ามือก็ร้องงี๊ด
ๆ คล้ายกับตกใจ จนเด็กเต็กต้องวางมือจากขวดนมเปล่าเพื่อลูบเบา ๆ ไปตามลำตัวนุ่มนิ่มของเจ้าฮัสกี้น้อย
“โอ๋ ๆๆๆ อย่าร้องนะ พี่ไม่ได้ว่าหนูนะลูก พวกพี่แค่กำลังตกลงหน้าที่กันเฉย ๆ ”
“หึ หึ หึ” รุ่นพี่ปีสามหลุดปากหัวเราะเพราะอดถูกใจกับความเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่ายไม่ได้...
คิดจะรุกพี่จากหน้าที่ดูแลลูกหมาอย่างนั้นเหรอ? เอาเถอะ... จะปล่อยให้สบายใจไปอีกสักพักก็ได้
“ยังไงพี่ริน?
พี่รินจะยอมเป็นหม่าม้าดี ๆ ไหม? ดูสิ น้องร้องไห้ใหญ่แล้วเนี่ย” สกลคาดคั้นยกใหญ่โดยยกลูกหมาวัยสิบเอ็ดวันมาเป็นพวก
“ครับ ๆ พี่ยอมเป็นหม่าม้าให้พวกน้อง
ๆ ก็ได้ครับ... คุณป่ะป๊าก็รีบปลอบลูกเสียทีสิครับ” สารินตอบกลั้วเสียหัวเราะที่ดังขึ้นอีกคำรบอย่างห้ามไม่ได้
“โอ๋ ๆ ไม่ร้องน้า” คนเห็นผียิ้มกริ่มทันทีที่ได้ยินถ้อยคำยินยอมของหมีโพลาร์
โดยไม่ทันสำเหนียกว่าข้อตกลงดังกล่าวทำให้อีกฝ่ายก้าวข้ามเส้นแบ่งของการเป็น ‘แค่คนรู้จัก’ มาเป็น ‘คนสำคัญ’ ได้ในฉับพลันทันตา และว่าที่นายสัตวแพทย์กำลังจะแสดงสิทธิของคนที่เป็นมากกว่าคนรู้จักทั่ว
ๆ ไปให้เด็กน้อยได้ประจักษ์แจ้งแก่ใจในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้
“ไหนขอหม่าม้าดูหน่อยซิ
ทำไมถึงร้องดังแบบนี้... ป๊าป้อนนมหนูผิดท่าจนหนูท้องอืดหรือเปล่าน้า” สิ้นคำ
ร่างสูงใหญ่ก็เขยิบเข้าไปนั่งซ้อนแผ่นหลังผอมบาง เกยคางลงบนหัวไหล่ของหนุ่มแว่นหัวไข่
พร้อมกับจับประคองหลังมืออีกฝ่ายให้พลิกขึ้นจนลูกหมานอนหงายแอ้งแม้ง จากนั้นจึงสัมผัสและกะขนาดพุงขาว
ๆ ของเจ้าฮัสกี้น้อยอย่างแผ่วเบา ก่อนจะแอบหอมแก้มใสเป็นรายการสุดท้ายเมื่อไม่พบอาการท้องขยายใหญ่จนผิดปกติในลูกหมา
“ชู่ว!
อย่าเสียงดังสิครับป่ะป๊า
เดี๋ยวลูกตกใจร้องไห้เสียงดังอีกหรอก” ยังไม่ทันที่เด็กแว่นจะได้เปิดปากแหวใส่ คนโตกว่าก็ชิงพูดเตือนสติอีกฝ่ายจนหลานอาม่าใหญ่ทำได้แค่เพียงนั่งจ้องลูกหมาด้วยใบหน้าเห่อร้อนอยู่นานสองนานทีเดียว
“ไงไอ้หลานเซ่อ
ไหนไอ้ทีมบอกว่าเอาลูกมันมาฝากไว้กับมึงตั้งแต่เมื่อคืน แล้วทำไมมึงถึงไม่ได้ดูบักโกรกเลยวะ?”
สิงหราชเอ่ยทักรุ่นน้องทันทีที่เจ้าของห้องเปิดประตูต้อนรับ และเมื่อพี่บัณฑิตกวาดสายตาไปเห็นหนุ่มแว่นนั่งหน้าง่วงอยู่บนโซฟา
รุ่นพี่ก็หันกลับไปมองหน้าสารินด้วยสายตากรุ้มกริ่ม “อ๋อออ! ที่แท้มึงก็ได้ยาชูกำลังดีนี่เอง”
“ไงน้องแว่น!
ได้กันยัง?”
ชายหนุ่มร่างใหญ่ยิ่งไปกว่าว่าที่นายสัตวแพทย์ทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ เด็กสถาปัตย์แล้วพาดแขนโอบไหล่หลานอาม่าหน้าใสที่เริ่มจะสะลึมสะลือมาได้สักพัก
“พี่สิงห์!” หลานอาม่าเล็กถึงกับรีบปิดประตูห้องแล้ววิ่งกลับมาดึงตัวน้องมาโอบเอาไว้แทบไม่ทัน
“ฮ่า ๆๆ
มึงนี่ก็หวงเหลือเกิน... ขนาดยังไม่ได้กันยังเป็นเอามากขนาดนี้!” สิงหราชหัวเราะชอบใจเมื่อแหย่หลานรหัสให้เสียอาการได้สำเร็จ
“น้องแว่น เตรียมใจเอาไว้ล่วงหน้าได้เลยนะ ไอ้พวกเงียบ ๆ น่ะ หื่นขี้เสียบทุกราย...
น้องได้โดนไอ้รินมันจับล่อทั้งวันทั้งคืนยิ่งกว่ากระต่ายชัวร์ ๆ !” ต่อให้กำลังง่วงจนใกล้จะตาปิด แต่คำพูดสะกิดใจของพี่ใหญ่ก็เรียกเลือดลมให้ฉีดพุ่งขึ้นมาหล่อเลี้ยงทั่วทุกอณูบนใบหน้าของสกลได้อย่างทันอกทันใจดีเหลือเกิน
“พี่สิงห์
พอเถอะครับ ผมขอล่ะ” สารินยกมือขึ้นไหว้อีกฝ่ายพลางเอ่ยปากขอความเห็นใจ จนพี่บัณฑิตรามือให้เป็นกรณีพิเศษ
“เออ ๆๆ กูยอมให้ก่อนวันนึงก็ได้
มึงย้ายลูกหมาลงตะกร้าแล้วใช่ไหม?”
“ครับ แต่พี่สิงห์จะไปเลยเหรอครับ?”
รุ่นน้องร่วมคณะอดเป็นห่วงอีกฝ่ายไม่ได้ เนื่องจากกลัวว่าสิงหราชจะรีบร้อนออกเดินทางจนอาจจะเหนื่อยเกินไป
แต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้คิดแบบเดียวกัน
“ก็เออดิวะ!
เนี่ย
เดี๋ยวกูต้องตีรถกลับกรุงเทพเลย ไม่อยากเจอรถติดช่วงเช้าว่ะ” สิงห์เหลือบมองดูเวลาตรงข้อมือพลางทำหน้าหนักใจเมื่อนึกถึงการจราจรในเมืองใหญ่ในเวลาเร่งด่วน
“อ๋อ ครับ”
“มึงเก็บของมาครบนะ?”
สารินเหลือบมองทั่วบริเวณที่ใช้เป็นพื้นที่เลี้ยงเด็กอ่อนอีกครั้งเพื่อสำรวจอุปกรณ์ที่อาจตกหล่น
ก่อนจะยืนยันความเรียบร้อยให้รุ่นพี่สบายใจ
“ครับ
ครบครับ”
กระนั้น แทนที่พ่อหมาจำเป็นจะลุกขึ้นไปคว้าตะกร้าลูกหมากับกระเป๋าใส่ข้าวของติดมือแล้วบอกลาทั้งสองไปอย่างที่ออกตัวไว้เมื่อสักครู่
สิงหราชกลับหันมาจาระไนถึงเหตุผลที่ทำให้วชิระจำเป็นต้องรบกวนรุ่นน้องห่าง ๆ อย่างสารินอีกครั้งทั้งที่ไม่มีความจำเป็นเลยสักนิด
“ดีแล้ว!
เออ...
แต่มึงทำใจหน่อยนะ ไอ้ทีมมันก็ปุบปับอย่างนี้แหละ เห็นมันบอกว่า
อาทิตย์หน้าหลังจากรับลูกหมากลับจากบ้านกู มันอาจจะเอาเด็ก ๆ มาฝากมึงเลี้ยงอีกสักรอบสองรอบเพราะมันน่าจะยังหัวหมุนกับเรื่องฝั่งโรงงานไม่หาย
ยังไงมึงก็สแตนด์บายรอแล้วกัน” เมื่อพูดจบ สิงห์ก็ยกยิ้มมุมปากด้วยสีหน้าน่าสงสัยส่งให้สารินโดยเฉพาะ
จากนั้นเลื่อนมือไปตบบ่าของเด็กแว่นที่นั่งเลื่อนลอยคั่นกลางระหว่างสายรหัสทั้งสองเบา
ๆ คล้ายเรียกสติ “น้องแว่น พี่ฝากหลานรหัสพี่ด้วยนะ ปีสามเรียนหนักเหี้ย ๆ ... แต่ถ้าน้องแว่นคอยอยู่ดูแลมัน
จะลูกหมาอีกสักกี่ครอก ไอ้รินมันก็น่าจะสู้ไหว”
“ครับพี่สิงห์”
หลานอาม่าใหญ่ตอบรับโดยง่ายค่าที่สมองไม่แล่นเท่าไรนัก
“ดี ๆ ! ได้ยินอย่างนี้พี่ก็สบายใจ... แล้วก็อย่าลืมล่ะ
ได้กันเมื่อไรบอกพี่ด้วย พี่อยากเสือก” สิงหราชทิ้งท้ายตามสไตล์ก่อนจะโบกมือลาทั้งสองแล้วคว้าข้าวของและตะกร้าใส่ลูกหมาเดินหัวเราะเสียงดังออกจากห้องไปโดยไม่เอ่ยคำร่ำลา
.
.
.
.
.
.
“...เอ่อ...” สองหนุ่มต่างมองหน้ากันไปมา
ก่อนที่จะเป็นสารินที่เหลือบมองดูเวลาแล้วเอ่ยทำลายบรรยากาศกระอักกระอ่วนลงเสียสิ้น
“พี่ว่าเราหลับกันสักงีบดีไหมครับ? น่าจะได้สักเกือบสามชั่วโมง”
“ครับ”
“งั้นแนนไปนอนก่อนเลยครับ
เดี๋ยวพี่จะเดินไปปิดไฟ” ว่าที่นายสัตวแพทย์ประคองเด็กน้อยให้ลุกขึ้นพลางพยักเพยิดให้อีกฝ่ายเดินไปจับจองพื้นที่เสียแต่เนิ่น
ๆ
เพียงไม่กี่อึดใจหลังจากได้ยินเสียงสวิตช์ไฟลั่นเบา
ๆ ความมืดมิดก็คืบคลานเข้ามาปกคลุมบริเวณโถงด้านนอกจนถ้วนทั่ว เสียงฝีเท้า เสียงการขยับเคลื่อนไหว เสียงสวบสาบของเนื้อผ้าที่เสียดสีกันไปมา
กับเสียงลมหายใจหนัก ๆ ทำให้เด็กสถาปัตย์รู้ว่าหมีโพลาร์ได้ทิ้งตัวลงไม่ห่างจากตำแหน่งที่เขานอนอยู่เท่าใดนัก
หลานอาม่าใหญ่รวบรวมความกล้าอีกแล้วจึงส่งเสียงเรียกว่าที่นายสัตวแพทย์
“พี่ริน”
“ครับ?”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป
แนนจะมานอนที่นี่นะ” แม้ในขณะที่พบปะกับสิงหราช ความง่วงจะเข้าครอบงำความรู้สึกนึกคิดของเขาจนไม่เป็นอันตอบโต้พี่บัณฑิตรุ่นใหญ่ได้อย่างใจ
ทว่าหลังจากได้ยินสิงห์เล่าเกี่ยวกับชะตากรรมของลูกไซบีเรียนทั้งห้าที่น่าจะเกี่ยวพันกับสารินอย่างไม่มีทางเลือก
เด็กเต็กหัวไข่ก็สามารถตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดในท้ายที่สุด...
เขาจะไม่ปล่อยให้หมีโพลาร์ต้องผจญความเหนื่อยล้าเพียงลำพังเป็นอันขาด!
“หืม?! จริงเหรอครับ?” จริงอยู่ที่คำพูดดังกล่าวของเด็กน้อยจะทำให้รุ่นพี่ปีสามดีใจจนน้ำตาแทบไหลปรี่
แต่ว่าที่นายสัตวแพทย์ยังอดคลางแคลงใจไม่ได้อยู่ดี... หรือน้องจะง่วงจนเพ้อ?
“ก็...
ก็แค่จันทร์ถึงศุกร์ไง เผื่อว่าพี่ทีมเอาน้อง ๆ มาฝากไว้ แนนจะได้ช่วยดู... พอตอนเสาร์อาทิตย์ที่พี่รินกลับบ้าน
แนนก็กลับไปนอนกับพี่ฌานเหมือนเดิม” หลานอาม่าใหญ่ชักแม่น้ำทั้งห้ามาอธิบายอย่างไม่ใคร่จะเต็มเสียงนัก
“ทำแบบนั้นจะไม่ลำบากแนนจนเกินไปใช่ไหมครับ?”
“เถอะน่า!
แนนเป็นห่วงน้อง
แนนไม่อยากให้น้องร้องไห้เพราะต้องรอคิวกินนมนาน ๆ... เอาเป็นว่าตกลงตามนี้ก็แล้วกันนะ”
หนุ่มแว่นสะบัดหางเสียงคล้ายตัดรำคาญเพื่อปิดกั้นโอกาสที่คนฟังจะเซ้าซี้ซักถามเกี่ยวกับเหตุผลที่แท้จริงลงตรงนั้นเอง
“ครับ ตกลงครับ”
รอบนี้ กลายเป็นสารินที่เอ่ยรับคำของอีกฝ่ายง่าย ๆ บ้าง...
ลองว่าเด็กน้อยของเขาออกตัวพูดเองเออเองอีหรอบนี้
เจ้าตัวคงจะคิดมาดีแล้วล่ะนะ
อย่างน้อย ๆ เขาก็ไม่ต้องลงมือหลอกล่อ
แบล็กเมล์ หรือใช้ตัวช่วยอื่น ๆ ที่อาจบานปลายกลายเป็นการหักหาญน้ำใจน้องจนเกินไปอย่างที่เผื่อเอาไว้ก็แล้วกัน
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“ฝากตัวด้วยนะครับแนน...
ฝันดีครับ” สารินทิ้งท้ายด้วยเสียงน่าฟังพลางยื่นมือไปสอดนิ้วประสานกับฝ่ามือคนนอนข้าง
ๆ ที่ส่งเสียงครางรับในลำคอเพียงแผ่วเบา
«♥»------------------------------------ TBC ------------------------------------ «♥»
No comments:
Post a Comment