มาแหล่ว มาแล้ว
ปมผีผู้หญิงก็ยังไม่คลาย ยังจะหาปมใหม่มาเผยเรื่อย ๆ
ปมผีผู้หญิงก็ยังไม่คลาย ยังจะหาปมใหม่มาเผยเรื่อย ๆ
แต่เป็นปมเล็ก ๆ น้อย
ๆ เองค่ะ ไม่ต้องกังวลว่าจะดราม่านะคะ เพราะเรื่องนี้ดราม่าฟรีสุด ๆ
อย่างไรก็ดี
ขอออกตัวก่อนว่าตอนนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองตอนย่อยด้วยเหตุผลดังนี้
หนึ่ง...
มันยาวกว่าตอนอื่น ๆ พอสมควร
และสอง...
วันนี้เราเพลียมากค่ะ (ออกไปสู้กับแดดกลางวันอยู่พักใหญ่ ๆ ตอนนี้เพลียจนจะลืมตาไม่ไหวแหล่ว)
ดังนั้น
กลับมาติดตามส่วนที่สองได้ในวันพรุ่งนี้นะคะ เราจะเอามาลงให้โดยไม่บิดพลิ้วเลย ^^
อ่านแล้วรู้สึกอย่างไร
อยากจะกรีดร้องดีดดิ้นเบอร์ไหน...
ฝากข้อความแทนใจเอาไว้ได้เลยค่ะ
เราอยากอ่าน ^^
รักพวกคุณ ๆ ทุก ๆ
คนเลยค่ะ จ๊วบ ๆ
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
The 15th
Bonding
อยากได้อะไร
ให้อธิษฐานกับลูกหมาและซานต้าร่างหมี [1]
“โอ๊ะ!” ทันทีที่ช่วงล่างกระทบเข้ากับมุมโต๊ะยาวภายในโรงอาหารกลางอย่างรุนแรง
อารามตกใจพ่วงด้วยความหวั่นวิตกเพราะกลัวว่าจานข้าวในมือจะหล่นลงกับพื้นทำให้เด็กสถาปัตย์ปีสองเจ้าของเรือนร่างผอมแกร็นเปล่งเสียงอุทานดังจนเพื่อนสนิทหน้าแว่นละมือจากพวงเครื่องปรุงแล้วปราดเข้าไปประคองก่อนที่บ๊วยจะล้มกองลงกับพื้น
“เฮ่ยบ๊วย! เป็นไงมั่ง?”
“เปล่า ๆ ” แม้ความเจ็บปวดจะไม่จางหาย
แต่ชายกลางก็รีบปฏิเสธทันควันเพราะไม่อยากให้หลานอาม่าใหญ่เป็นกังวล ทว่าคนเห็นผีกลับหมดความอดทนจนไม่อาจวางเฉยกับสถานการณ์ปัจจุบันที่เพื่อนรักต้องประสบพบพานอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันได้อีกต่อไป
“ดี! งั้นเดี๋ยวเรามานะ... คุณ!
เฮ่ย... คุณคนนั้นน่ะ! คุณเดินชนเพื่อนผมแล้วไม่คิ...” เด็กเต็กหัวไข่ตอบพลางประคองลูกแม่บัวให้ยืนทรงตัวได้อีกครั้ง
โดยแหกปากตะโกนเรียกรั้งจอมวายร้ายที่กำลังชิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตไปพร้อม ๆ กัน
“สกล! ไม่เอา! เมื่อกี๊เราเหม่อเอง... กลับไปที่โต๊ะเถอะนะ
เดี๋ยวคนอื่นจะรอ” ชายกลางดึงแขนเพื่อนหน้าแว่นเอาไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะกระโจนเข้าใส่แผ่นหลังกะทัดรัดภายใต้เสื้อเชิ้ตนักศึกษาชายตึงเปรี๊ยะที่พักหลัง
ๆ มักโฉบผ่านมาให้เห็นบ่อย ๆ ทั้งไกล และใกล้เช่นเมื่อสักครู่
“นี่มันชักจะเกินไปแล้วนะบ๊วย! เมื่อไรจะยอมบอกแฝดเสียที? หรือพักนี้โดนพวกไม่หวังดีคอยตามราวีไม่หนักมือพอ?
จะรอให้เลือดตกยางออกจนต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มก่อนหรือยังไง?!” ความเป็นห่วงเป็นใยในสวัสดิภาพ ผสมกับความหงุดหงิดค่าที่พลาดโอกาสเฉ่งตัวการไปต่อหน้าต่อตา
ทำให้สกลขึ้นเสียงใส่เพื่อนสนิทที่รักใคร่กันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรอย่างลืมตัว
“ก็... ก็มันยังไม่ถึงสิ้นเดือนเลย
อีกอย่าง... เมื่อกี๊เราสะดุดขาตัวเองจริง ๆ ไม่มีใครหาเรื่องเราเสียหน่อย”
บ๊วยยกความตั้งใจเดิมขึ้นมาเถียงสู้ แต่เหตุผลกลบเกลื่อนข้าง ๆ คู ๆ ที่เจ้าตัวเอ่ยตบท้ายกลับทำให้โทสะในใจหนุ่มหัวไข่พลุ่งพล่านเหมือนมีใครสาดน้ำมันเข้ากองไฟใกล้มอด
“บ๊วย!
เราเห็นกับตาว่าผู้ชายคนนั้นเดินเบียดคนอื่นพุ่งมาชนนายโดยเฉพาะเลยนะ!” คำอธิบายจี้ใจดำทำให้ชายกลางเริ่มอึกอัก ในขณะที่หลานอาม่าอดนึกเจ็บใจตัวเองไม่ได้ที่พักหลัง
ๆ เอาแต่คิดถึงสารินจนไม่เป็นอันสืบเสาะเจาะลึกข้อมูลส่วนตัวของคนร้าย...
ไม่รู้หายไปอยู่ไหน?
บอกหกโมงเลิกเรียนแล้วจะรีบมา...
นี่ปาไปทุ่มกว่าแล้ว ยังเรียนไม่เสร็จอีกเหรอ?
ไหนบอกจะมากินข้าวเย็นด้วย
แล้วทำไมถึงปล่อยเขาให้ตั้งตารอ?! พี่รินนะพี่ริน!
“ไม่รู้ล่ะ...
กลับห้องไปคืนนี้เราจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้แฝดฟัง!” หนุ่มแว่นสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านเกี่ยวกับการหายหน้าไปของว่าที่นายสัตวแพทย์
ก่อนจะประกาศเจตนารมณ์อย่างมาดหมาย
“สกล
เขาอาจจะรีบจนไม่ทันมองก็ได้ นายอย่าทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่เลยนะ” บ๊วยกระตุกข้อมือเพื่อนเบา
ๆ ราวกับขอร้องทางอ้อมพร้อม ๆ กับต่อรองอย่างกระท่อนกระแท่น
“จงใจกลั่นแกล้งกันขนาดนี้นายยังจะกล้าปกป้องคนอื่นอยู่อีกเหรอ?!!” คนเห็นผีประท้วงด้วยความไม่เข้าใจ... จะยืนหยัดเป็นคนดีที่พึ่งพาแต่สันติวิธีน่ะพอรับได้
แต่ครั้นจะให้เขาปิดหูปิดตาเปิดช่องให้คนอื่นตามรังควาญบ๊วยไปเรื่อย ๆ มันใช่เรื่องไหม?!
“บูบู้!” ก่อนที่เพื่อนรักภาคแลนด์ทั้งสองจะยื้อกันไปมาจนไม่เป็นอันทำอะไร
อดีตเดือนมหาลัยก็โผล่พรวดเข้ามาแทรกกลางวงโดยไม่บอกกล่าว
“พี่หมี!!” ชายกลางฉีกยิ้มกว้างกลบเกลื่อนอาการตกอกตกใจหลังเห็นแฟนหนุ่มปรากฏกายขึ้นโดยไม่คาดฝัน
พลางแอบหันไปสบตากับเพื่อนหัวไข่พร้อมส่งสาสน์ลับขอความเห็นใจจากอีกฝ่ายเพื่อระงับไม่ให้เหตุการณ์เมื่อสักครู่เล็ดรอดไปถึงหูคนมาใหม่เป็นอันขาด
“พี่หมีได้อะไรมาครับ?” บ๊วยทำทีสนใจจานข้าวที่อยู่ในมือของคนรักเสียเต็มประดา
“กระเพราขาหมูไข่ออนเซ็นครับ
น่ากินเปล่า?” ธันวายิ้มเต็มหน้าพลางอวดของดีที่เพิ่งได้มาสด ๆ ร้อน ๆ อย่างภาคภูมิใจ
“ฮื่อ!
น่ากินมากเลยครับ!” คำตอบด้วยท่าทางกระตือรือล้นจนน่าหมั่นไส้ที่บ๊วยแสดงออกกระตุ้นให้หนุ่มแว่นยิ่งรู้สึกไม่สบอารมณ์จนต้องส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอเป็นระยะ
ๆ
“งั้นเดี๋ยวเค้าป้อนให้ชิมดีไหม?”
เก็กชี้ชวนด้วยน้ำเสียงรื่นเริง ส่วนคนรักก็พยักหน้าหงึกหงักรับอย่างน่าเอ็นดู “แต่เค้าว่าเดี๋ยวจะแวะไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึงแล้วพอซื้อน้ำเสร็จเค้าจะรีบตามไป...
ฝากบูบู้ถือจานเค้าไปที่โต๊ะหน่อยได้ไหมครับ?” หนุ่มรูปงามดีกรีเดือนมหาลัยเอ่ยเรื่อยเจื้อยด้วยสีหน้าท่าทางเป็นปกติเสียจนไม่มีใครทันได้สังเกตแววตาสีน้ำตาลไหม้ที่ส่อประกายเคร่งเครียดน่าเกรงขาม
“ได้ครับพี่หมี”
“แนน
ถ้าบูบู้ถือไม่ไหว... แนนช่วยบูบู้ถือจานข้าวด้วยนะ” อริยะตรัยผู้น้องทำเป็นไม่สนใจสายตางุนงงสงสัยของชายกลาง
พลางกำชับเด็กเต็กหัวไข่ที่ยืนทำหน้าจะเป็นจะตายค้ำหัวคนรักตัวน้อยของเขาอย่างเดาความคิดไม่ถูก
แรกที่ได้ยินประโยคโอ๋แฟนอย่างไม่เห็นหัวใครของเดือนมหาลัย
หนุ่มหัวไข่ก็ตั้งใจจะจวกอีกฝ่ายให้ล้มตายไม่เหลือชิ้นดี แต่เมื่อแววตาเข้ม ๆ ของเก็กสบประสาน
หลานอาม่าใหญ่ก็โดนความทมึนทมิฬหินชาติที่พลุ่งพล่านอยู่ภายในสะกดให้รีบตอบรับคำขอของอีกฝ่ายอย่างไม่คิดชีวิต...
ทำหน้าโฉดยิ่งกว่าพี่ด้วงตอนโกรธแบบนี้
แสดงว่าพี่หมีต้องรู้เรื่องแล้วแน่
ๆ
“ดะ ดะ ได้!... ได้เลยครับพี่หมี!” ขาดคำ ธันวาก็หันไปส่งยิ้มหวานประจบเอาใจแฟนตัวน้อยก่อนจะซอยเท้าวิ่งหายลับไป
ในขณะที่สมุนเลวหน้าแว่นปากไวกลับได้แต่ภาวนาขอให้หมีไม่ใจร้ายกับผู้ไม่ประสงค์ดีคนนั้นจนอกสั่นขวัญแหกกระจายไปเสียก่อน
“เฮียฟูหวัดดีครับ”
บ๊วยวางจานข้าวทั้งสองลงบนโต๊ะอย่างเบามือก่อนจะกระพุ่มมือไหว้พี่ชายคนรักพลางทรุดลงนั่งตรงข้ามปีสามร่างเล็กซึ่งเพิ่งตามมาสมทบ
“แล้วพี่เต๋อกับพี่ด้วงล่ะครับ?”
“พวกมันไปซื้อข้าว
เดี๋ยวก็มา”
จังหวะที่กรกฏพูดอธิบาย
ฌอนกับอิ๊กก็เดินกลับมาถึงยังโต๊ะอาหารที่แฝดพี่นั่งจองอยู่พอดิบพอดี
เมื่อเห็นพี่ชายอดีตคนรัก งูเห่าก็ส่งยิ้มทักทายพร้อมส่งเลศนัยผ่านแววตาเพื่อบอกใบ้ให้แกนนำพันธมิตรคนอวดผีปรายตามองสีหน้าซึมเศร้าของเหยื่อให้ถี่ถ้วน...
แน่นอน เทียบเชิญหมายชวนของอคิราย่อมได้รับการตอบสนองอย่างสมฐานะเสมอ
“อ้าววว!
ยังไงไอ้แนน? ทำไมมึงถึงยังสะเออะมากินข้าวเย็นกับพวกกูอยู่อีก?
ผู้ชายของมึงล่ะ? เขาไม่มาพามึงไปดินน่งดินเนอร์กันสองต่อสองหรือยังไง?” กังฟูเปิดฉากทักสกลทันทีโดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว
แต่มีหรือที่สกลจะกลัวเกรงบารมีของพี่ชายแฟนเพื่อนสนิทผู้ไม่เคยหวังดีต่อผู้ใดโดยเฉพาะเพื่อนมนุษย์ผู้อ่อนแอ
และไร้ทางสู้... เฉกเช่นตัวเขา
“แหม่ เฮียฟูล่ะก็...
มาก็ช้าแถมช่วงขายังสั้นจนพี่เต๋อพี่ด้วงต้องขันอาสาไปซื้อข้าวให้ แล้วยังไม่คิดจะทักทายคนในวงสังคมอย่างผมด้วยไมตรีให้คิดนับถือหน่อยเหรอครับ?”
ตะกอนความหงุดหงิดภายหลังจากการหายหน้าของสารินถูกกวนขึ้นอีกครั้งจนอารมณ์สกลคุกรุ่นขุ่นแค้น
หนุ่มแว่นจึงส่งหมัดแย็บชกเปรี้ยงเข้าเป้าใต้เข็มขัดรุ่นพี่ต่างคณะโดยไม่ทันยั้งคิด
อดีตเดือนบริหารหลุดหัวเราะร่วนเมื่อวาจายอกย้อนของหนุ่มหัวไข่ขยี้ปมต้องห้ามของรุ่นพี่ใจใหญ่ในร่างย่อส่วนเข้าอย่างจัง...
นับว่าเขามองเกมและหมากแต่ละตัวได้ขาดจริง ๆ ไม่เสียแรงที่ยอมอยู่นิ่ง ๆ ให้ไอ้ตั่วเฮียโขกสับมาหลายวัน
ฝ่ายอริยะตรัยผู้พี่ที่เพิ่งได้กลิ่นไม่ดีลอยลมมาตามเสียงหัวเราะของลิ่วล้อชั่วคราว
ก็ลอบมองใบหน้าหวาน ๆ ของอิ๊กด้วยความก้าวร้าวอย่างลวก ๆ ก่อนจะหันไปจวกเด็กแว่นให้รู้จักที่ต่ำที่สูง
“ไอ้สัดแนน!”
“เล่นอะไรกันอยู่เหรอครับฟู?”
บ๊วยอดโล่งใจไม่ได้เมื่อตรินกับวิญญูกลับมาทันห้ามทัพ หนุ่มร่างหมีผู้เป็นพี่รหัสของชายกลางเอ่ยชวนพลางกวาดตามองสำรวจทุก
ๆ คนและสถานการณ์รวม ๆ โดยละเอียด “กินข้าวก่อนดีไหมครับ
เดี๋ยวกินเสร็จแล้วค่อยเล่นต่อ”
“ไม่ได้เล่นนะครับพี่เต๋อ
เมื่อกี๊แนนซี่บอกว่าตั่วเฮียเตี้ยตะแมะแคระเป็นหมาคอร์กี้แก่ไม่มีขา” อคิราชิงตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จเพ็ดทูลหนังคนละม้วนอย่างเป็นธรรมชาติ
“เล่นดูถูกตั่วเฮียต่อหน้าทุกคน ขนาดคนฟังที่สูงกว่าเฮียนิดหน่อยยังแทบทนฟังไม่ได้
เพราะฉะนั้น พี่เต๋อจะต้องไม่ปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไปเป็นอันขาดนะครับ พี่เต๋อต้องช่วยจัดสะสางล้างแค้นให้ตั่วเฮียให้จงได้นะครับ”
แม้จะไม่ใช่แค่กรกฏที่เผลออ้าปากค้างกับการสร้างเรื่องอย่างแคล่วคล่องว่องไวของหนุ่มบริหารหน้าหวานใส
แต่เชื่อเถอะว่า ไม่มีใครคั่งแค้นอคิราได้มากเท่ากับพี่ชายของธันวาอีกแล้ว
“[size=24pt]ไอ้เหี้ยอิ๊ก! มึงนี่แหละที่จะโดนกูฟาดปากก่อนใครเพื่อน!” ถ้าไม่ติดว่ามีโต๊ะตัวใหญ่กั้นกลาง ป่านนี้กังฟูคงได้สร้างบาดแผลทุกชนิด
แถมท้ายด้วยปิดบัญชีสะสางหนี้เก่ากับอดีตแฟนผู้ห้าวหาญของน้องชายไปเป็นที่เรียบร้อย
“ฟู ใจเย็น ๆ
ครับ กินข้าวก่อนเถอะนะ เดี๋ยวเกาเหลาจะเย็นเสียก่อน” ด้วงลูบไล้ฝ่ามือไปทั่วแผ่นหลังเล็ก
ๆ เพื่อปลอบประโลมให้คนใจร้อนที่นั่งข้าง ๆ ผ่อนคลายโดยไม่ยอมปล่อยมือจากท่อนแขนซึ่งเกร็งจนสั่นระริกของอีกฝ่ายเลยสักวินาที
“หึ!” อิ๊กส่งเสียงเยาะในลำคออย่างสาแก่ใจเมื่อเห็นกังฟูดูกลายเป็นแมวเชื่อง
ๆ ในทันตาเมื่ออยู่ต่อหน้าคนรักทั้งสอง จนกรกฏอดถลึงตาพร้อมกับชี้หน้าหนุ่มบริหารไม่ได้
“เดี๊ยะ
เดี๊ยะ!”
“แล้วนี่เก็กไปไหนล่ะ?”
วิญญูหันไปถามบ๊วยเพื่อเบนความสนใจของทั้งหมดไปสู่หัวข้ออื่น
“พี่หมีไปเข้าห้องน้ำครับ
อีกเดี๋ยวคงมา”
“แล้วรินล่ะ?
ไม่ได้ชวนมากินข้าวเย็นด้วยกันหรอกเหรอสกล?” คราวนี้เป็นสกลที่ต้องเป็นฝ่ายตอบคำถามของคิวท์บอยผู้ไม่ค่อยจะเสวนากับผู้ใดบ่อยนัก
แต่แทนที่จะโต้ตอบอย่างฉะฉานเหมือนทุกที สกลกลับยิ้มเจื่อน ๆ
พลางเหลือบมองคนนั้นที คนนี้ทีราวกับหาตัวช่วย
“...เอ่อ...” เมื่อรู้ตัวว่า
ทุกคนดูจะตั้งใจรอฟังคำอธิบายของเขากันอย่างดีเยี่ยม เด็กเต็กหัวไข่จึงเสหลบตาเพื่อน
ๆ พี่ ๆ โดยไม่มีคำตอบให้พลางสั่งตัวเองให้เลิกหลุกหลิกจนใครจับสังเกตได้
“สรุปยังไงแว่น?... พี่รินไม่ว่างเหรอ?” ท่าทางหลบเลี่ยงของสหายหัวไข่ทำให้ฌานต้องออกหน้าถามย้ำอีกคำรบ
“เอ่อ”
หลานอาม่าใหญ่อ้ำอึ้งพลางชำเลืองมองหน้าจอมือถือที่ยังคงมืดสนิทอยู่เหมือนเมื่อไม่กี่นาทีก่อน...
จนถึงตอนนี้
ก็ยังไม่มีข้อความใหม่ ไม่มีมิสคอลใด ๆ จากบุคคลที่ใคร ๆ พากันถามหาส่งมาถึงเขาทั้งสิ้น...
ไหนสัญญากันแล้วไงว่าจะตามมากินข้าวเย็นด้วยหลังเลิกแล็บฯ?!
“หรือเมื่อคืนแนนซี่แอบแผลงฤทธิ์ใส่พี่รินจนพี่รินไม่กล้ามาเจอหน้า?”
อคิรายื่นหน้าเข้ามาซักไซ้ทำลายความเงียบ
“ถ้าไม่รู้อะไรก็อย่าเที่ยวเห่าส่งเดชจะดีกว่านะครับงู!” ฝ่ายสกลที่นั่งเป็นเบื้อใบ้อยู่ชาติเศษก็ตั้งโต๊ะดีเบทหักล้างวาจาเพ้อเจ้อของเด็กต่างคณะจอมใส่ไฟด้วยความไวแสง...
หารู้ไม่ว่าปฏิกิริยา
สีหน้า และสายตาสาปแช่งอดีตเดือนบริหารที่ประสานพลังกันอย่างครบครันเป็นคอมโบนั้นไม่ได้สร้างความน่าพรั่นใจให้ผู้ฟังปีสามได้มากเท่ากับการยอมรับข้อกล่าวหากลาย
ๆ ของชายหัวไข่อย่างไม่คิดโต้แย้ง
“เดี๋ยว!” กรกฏชูฝ่ามือขึ้นสั่งห้ามไม่ให้ใครปริปาก ก่อนจะช่วงชิงคิวทองดังกล่าวมาเป็นของตนด้วยความอยากรู้อยากเห็นเป็นที่สุด
“เมื่อคืนมึงนอนกับรินเหรอ?!” กระนั้น คนที่ฉกฉวยช่วงออกอากาศดังกล่าวไปจากสกลกลับเป็นคนหน้าหวาน...
ผู้ซึ่งชั่วโมงนี้จัดว่ามั่นหน้าไม่มีใครเกิน
“ก็ใช่น่ะสิครับตั่วเฮีย
กว่าผมจะรู้ว่าสกลติดผู้ชายจนไม่ยอมกลับบ้านกลับช่องก็ต้องรอถามพี่ฌานเอาตอนเช้าโน่นแหละ”
อคิราจีบปากจีบคอพูดด้วยสีหน้าสนุกสนานเสียเต็มประดาราวกับหัวหน้าสมาคมเหล่าแม่บ้านกำลังนินทาสมาชิกผู้ไม่มาเข้าร่วมประชุม
“โอ๊ย! ผมล่ะไม่อยากจะเม้าท์...
ผมว่าฮยองนี่รุกแรงแล้วนะ พอมาเจอแนนซี่ออกสเต็ปเมื่อคืนเข้าหน่อย ฮยองผมเลยกลายเป็นเด็กน้อยไปซะงั้น”
“หึ หึ หึ
กูไม่แปลกใจแล้วล่ะว่าทำไมรินถึงได้หายไป... ใช่ไหมไอ้เมรี?” กรกฏปรายตามองหลานอาม่าใหญ่อย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่าจนคนถูกจับจ้องต้องแก้ต่างอย่างร้อนรน
“พี่รินจะหายไปไหนได้ล่ะครับเฮีย?
เมื่อกลางวันพี่รินยังมากินข้าวกับผมอยู่เลยเหอะ! ถ้าเฮียไม่เชื่อ เฮียลองถามพี่ฌานดูก็ได้”
“จริง ๆ
แล้วรินก็อาจจะอยากจะหายหน้าไปเร็ว ๆ แต่เพราะเขากลัวมึงจะเสียใจ เขาเลยค่อย ๆ เฟดตัวหนีหน้ามึงไปหรือเปล่า?...
มึงลองนึกดี ๆ ดิ๊ อาจจะมีบางเรื่องที่มึงเผลอทำตอนเมา แล้วเขาเกิดรับไม่ได้ก็ได้นะ”
อริยะตรัยผู้พี่กระหยิ่มยิ้มย่อง
วาจาสัพยอกที่เด็กวิศวะเอ่ยง่าย
ๆ แทงหัวใจของชายหัวไข่เสียทะลุเป็นรูโบ๋ จากคนที่มักจะคุยโวอวดโอ่เกี่ยวกับทุก ๆ
เรื่องด้วยความมั่นอกมั่นใจ งวดนี้คนเห็นผีกลับพูดไม่ออกบอกไม่ถูกด้วยไม่รู้แน่ว่า
ระหว่างที่ตนตกอยู่ใต้อำนาจของสุราเมรัย ได้เกิดเหตุการณ์เลวร้ายใด ๆ ที่ทำให้เด็กสัตว์แพทย์ไม่ยอมโผล่หน้ามาให้เห็นดังเช่นข้อสันนนิษฐานของกังฟูหรือไม่
“ไม่นะครับเฮีย...
ผม... ผมไม่ได้ทำอะไรไม่ดีจริง ๆ เฮียจะให้ผมสาบานเลยก็ยังได้!” หลานอาม่าใหญ่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้พลางละล่ำละลักด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ...
หรือเขาจะทำร้ายจิตใจของอีกฝ่ายไปโดยไม่รู้ตัวกันนะ?!
“ทำไมนายไม่โทรไปหาพี่รินล่ะ
จะได้รู้ว่าพี่รินติดธุระอะไรหรือเปล่า?” บ๊วยเสนอทางออกที่น่าจะช่วยกำจัดข้อสงสัยทั้งหมดให้เพื่อนรักด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“ไม่เอาหรอก...
เผื่อพี่รินยังทำแล็บฯไม่เสร็จ เราไม่อยากกวน” สกลสวนด้วยคำโป้ปดอย่างทันควัน... ต่อให้ต้องร้อนรุ่มกลุ้มใจจนนั่งแทบไม่ติดยิ่งกว่านี้
แต่หากไม่ต้องโทรหาสารินก่อน ก็น่าจะดีกว่ายอมเสียฟอร์มโทรไปง้ออีกฝ่ายไหม?
“งั้นส่งข้อความไปก็ได้
บอกพี่รินไงว่าพวกเรากินข้าวกันอยู่ที่ไหน เลิกแล็บฯแล้วพี่รินจะได้ตามมาถูก” ฌานแนะนำตบท้ายด้วยหวังให้เพื่อนหน้าแว่นปลดเปลื้องความทุกข์ใจลงได้บ้าง
ทว่าใบหน้าของคนเห็นผีกลับหมองลงอย่างเห็นได้ชัดจนเหล่าผองเพื่อนอดสงสารไม่ได้
.
.
.
.
.
.
“...ส่งไปแล้วครับพี่ฌาน...”
หนุ่มแว่นอ้อมแอ้มหลังจากนั่งนิ่งอยู่นานหลายอึดใจ
“กูรู้แล้ว!
ที่มึงนั่งทำหน้าเป็นหมาหงอยแบบนี้ก็เพราะรินแม่งหายเข้ากลีบเมฆ!” ท่ามกลางบรรยากาศเศร้าสร้อยจนน่าเห็นใจเด็กเต็กหัวไข่
ดูเหมือนจะยังมีคนยิ้มชื่นระรื่นระเริงแฝงตัวปะปนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลอีกอย่างน้อยหนึ่งราย
“ไหนมึงลองเล่ามาซิว่าตอนมึงอยู่กับริน มึงทำอะไรลงไปบ้าง?... พวกกูจะได้ช่วยวิเคราะห์ให้ได้ว่าทำไมผู้ชายของมึงถึงได้หายตัวไปแบบไม่บอกไม่กล่าว”
กังฟูสอบสวนรุ่นน้องหัวไข่อย่างไร้ความเมตตาด้วยถือคติว่า คนปากหมาล้มต้องข้ามซ้ำไปซ้ำมาจนกว่าจะหนำใจ
“...เอ่อ...
เอ่อ...” สกลถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เพราะแม้จะใช้เวลาทั้งวันกอบกู้หน่วยความจำ
ณ ช่วงเวลาก่อนจะเมามายยังแทบเป็นไปไม่ได้ แล้วจะเอาปัญญาที่ไหนไปตอบคำถามของพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยได้อีกล่ะ?
“ฮื่อ ฟู อย่าบังคับน้องสิ...
ด้วงว่าจริง ๆ รินอาจจะแค่ติดทำแล็บฯแล้วไม่ว่างตอบก็ได้นะครับ
อีกเดี๋ยวรินคงตามมาเองนั่นแหละ” ความที่ไม่เคยเห็นหลานอาม่าใหญ่ในสภาพสิ้นไร้ไม้ตอก
วิญญูจึงอดสงสารจำเลยหน้าแว่นของแฟนหนุ่มไม่ได้
“นั่นสิ มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้นะฟู”
เต๋อร่วมผสมโรงด้วยไม่เห็นประโยชน์ของการเล่นปั่นหัวน้องร่วมคณะแต่อย่างใด กระนั้น
ตัวใส่ไฟอย่างอคิราก็ไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอย
“แต่ผมว่าที่ตั่วเฮียพูดก็น่าคิดนะครับพี่เต๋อ
พี่ด้วง”
“ยังไง?”
“ก็เท่าที่ผมแอบอ่านข้อความที่ฮยองส่งให้แนนซี่เมื่อวาน...
ฮยองนี่จัดว่า เป็นคนที่ขยันจีบ ขยันทำคะแนนมากกก... คือแบบเอะอะส่งข้อความ
เอะอะรายงานตัวถี่ ๆ รัว ๆ อย่างกับเพิ่งฮั้วประมูลได้สัญญาณมือถือ” อดีตเดือนบริหารเว้นวรรคพักสูดลมหายใจอย่างอ้อยอิ่งคล้ายจะรอให้ทั้งหมดประมวลผลใจความทั้งหมดได้อย่างพร้อมเพรียง
ก่อนจะร่ายต่อ
“แต่พี่เต๋อลองดูตอนนี้สิครับ...
...ส่งข้อความไปหาแล้วเงียบฉี่
ถ้าผมเป็นแนนซี่ ผมนี่จะรีบเตรียมเผื่อใจให้ไวเลยนะครับ
เพราะงานนี้มีสิทธินกชัวร์ ๆ ...
.
...ใคร ๆ
ก็รู้แหละเนอะว่า กับคนที่เราเห็นค่า คนที่เราใส่ใจ ต่อให้ไม่มีเวลา ต่อให้ยุ่งจนใกล้จะตาย
แต่สุดท้าย เราก็จะหาทางติดต่อเขาให้ได้อยู่ดี พี่เต๋อว่าจริงไหมล่ะครับ?”
“เออ...
ก็จริง” พอนึกภาพตามคำพูดโน้มน้าวของรุ่นน้องหน้าหวาน ตรินก็อดเห็นด้วยไม่ได้ ฝ่ายอคิราที่เห็นว่าหาพวกเพิ่มได้
ก็ยิ่งลำพองใจจนพลั้งปากกระเซ้าเด็กเต็กหัวไข่แบบไม่ยั้งมือ
“หรือเมื่อคืนตอนเมา
ๆ ก็เผลอได้กัน แต่ฮยองดันไม่รู้สึกดื่มด่ำกำซาบ ฮยองเลยคิดจะเทเพราะไม่ถูกปาก...
โอ๊ย!” ประโยคลามปามสกลยังไม่ทันสิ้นสุด
ฌอนก็เหนี่ยวคอคนรักมานวดขมับปรับทัศนคติให้ยกใหญ่ ๆ
“ไม่พูดก็ไม่มีใครหาว่าเป็นใบ้หรอก”
แฝดน้องพร่ำพลางพูดเตือนสติเจ้าของหัวทุยในซอกแขนที่ดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด ส่วนบ๊วยที่เห็นเพื่อนสนิทที่คบหากันมาตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็กออกอาการหน้าถอดสี
ก็โพล่งคำถามออกมาด้วยความเวทนาระคนวุ่นวายใจไปพร้อม ๆ กัน
“เป็นอะไรหรือเปล่าสกล?
ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้น?!”
“...”
“หรือว่านายกับพี่รินมีปัญหากันจริง
ๆ ?”
“...” ยิ่งถูกถาม หนุ่มแว่นก็ยิ่งก้มหน้าต่ำจนยิ่งดูน่าสงสารไปกันใหญ่
“บูบู้
มึงไม่ต้องเปลืองแรงง้อมันหรอก ให้มันอกแตกตายไปคนเดียวนี่แหละ
โลกแม่งจะได้น่าอยู่ขึ้นอีกนิด... กิน ๆ !” กรกฏไซโครุ่นน้องต่างคณะไปอีกดอกอย่างออกรส
“ไม่เอาน่าฟู
ปล่อยให้น้องคุยกันเองเถอะครับ” ด้วงปรามพลางเลื่อนจานข้าวเปล่ากับชามเกาเหลาเข้าใกล้กังฟูมากขึ้นเพื่อความสะดวกในการกิน
พร้อมกับส่งสายตากำกับไปว่า หากไม่กินเองในตอนนี้... จะมีอีเวนท์ป้อนข้าวโชว์เกิดขึ้นแน่
ๆ
“นายบอกเราได้ทุกเรื่องนะ
อย่าลืมสิ” ชายกลางยังเป็นห่วงเพื่อนรักจนไม่อาจวางมือด้วยรู้ซึ้งว่า แม้จะถือดีและปากกล้าจนน่าหมั่นไส้
แต่เมื่อตกอยู่ในห้วงของปัญหา สกลก็ยังแอบชะเง้อคอมองหาใครสักคนเพื่อให้คำปรึกษาอยู่ดี...
แบบที่ตัวเขาและแม่ทำหน้าที่นี้ให้เพื่อนหน้าแว่นมาโดยตลอดอย่างไรล่ะ
บ๊วยหวังในใจลึก
ๆ ว่า ความเป็นห่วงหาอาทรจากใจจริงของพลพรรคทั้งหลายตลอดช่วงที่ผ่านมา จะส่งเสริมให้อีกฝ่ายยอมเผยด้านอ่อนแอให้ทุก
ๆ คนได้เห็นอย่างไม่ยากเย็นเข็ญใจ... ขอให้เป็นอย่างนั้นทีเถอะ!
ในชั่วขณะเดียวกันนั้นเอง
เหตุผลที่ทำให้เด็กเต็กผู้ปากเก่งไม่เป็นสองรองใครนั่งก้มหน้านิ่งได้เนิ่นนานเห็นจะเป็นการนึกทบทวนถึงความผิดพลาดที่ตนพลั้งพลาดทำลงไปหลังจากได้สติบนเตียงนอนของสารินนั่นอย่างไร...
ตายแล้ว!
หรือที่พี่รินหายไปจะเป็นเพราะเขาเผลอกัดพี่มันจนได้เลือด?
คนสุภาพ ๆ
ไม่น่าจะรับพวกชอบใช้ความรุนแรงได้หรอก...
แต่พี่รินบอกเขาเองว่า
ชอบนี่นา
ถ้าไม่ใช่เรื่องโดนกัด
ก็ต้องเป็นเรื่องที่เขาไม่ยอมตกลงย้ายเข้าไปอยู่ด้วยกันแหง ๆ
ต้องใช่เรื่องนี้แน่
ๆ ... แย่จริง ๆ ! ทำไมต้องเขินจนเผลอทำกระบิดกระบวนบ่ายเบี่ยง
แถมยังคอยเลี่ยง คอยทำเมินไม่สนใจจะคุยกับอีกฝ่ายให้รู้เรื่องเสียอีก...
ทั้งที่ก็อยากจะย้ายไปอยู่กับเขาแท้ ๆ !!
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นปัญหาหรือเปล่า
แต่...” หลังจากเงียบไปนาน แต่ที่สุดแล้ว คนเห็นผีก็ยอมปริปากเกริ่นนำด้วยน้ำเสียงอ้ำ
ๆ อึ้ง ซึ่งก็นับว่าเป็นนิมิตหมายอันดีที่ทำให้บ๊วยเริ่มใจชื้น
“แต่อะไร?”
.
.
“แต่เมื่อเช้าพี่รินชวนเราย้ายไปอยู่ด้วย”
เด็กสถาปัตย์หน้าแว่นเขี่ยเส้นก๋วยเตี๋ยวที่เริ่มจะอืดในชามไปมาอย่างเลื่อนลอย ก่อนจะค่อย
ๆ เปรยตอบเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น ท่าทางไม่มั่นใจกับเรื่องน่าประหลาดใจที่เพิ่งได้ยินทำให้ชายกลางต้องรีบหันไปส่งสายตาห้ามปรามคนอื่น
ๆ ไม่ให้ถามแทรก หรือส่งเสียงอุทานแปลก ๆ เพื่อทำลายบรรยากาศอันผาสุกระหว่างเขาและสกลจนจางหายไป
“แล้ว?” ลูกแม่บัวปล่อยให้ความเงียบงัน
กับสีหน้ายินยอมพร้อมรับฟังอย่างไม่คิดตัดสินกระตุ้นเพื่อนรักให้พูดต่อ
.
.
.
“แล้วเราก็ทำมึนไม่รู้ไม่ชี้ทั้ง
ๆ ที่เขาก็บอกแล้วว่าเขาไม่สบายใจที่รู้ว่าเรานอนห้องเดียวกับพี่ฌาน” จากที่เริ่มจะใจชื้นที่ไม่มีใครกระเซ้าเย้าแหย่ให้ต้องเขินอาย
ทว่าประโยคดังกล่าวกลับทำให้หลานอาม่าใหญ่เม้มปากด้วยความกระดากทันทีที่พูดจบ
เมื่อได้ฟังใจความที่เพื่อนสนิทสี่ตาเพิ่งแถลงไข
ร่างทรงหนุ่มถึงกับต้องยกมือขึ้นปิดปากเพื่อกั้นไม่ให้เสียงหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจของตนดังขัดจังหวะการสนทนา...
ดูท่าว่า ความช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เขาหยิบยื่นแจกจ่ายโดยไม่รอให้ใครร้องขอ จะก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีกว่าที่คาดคิดไปเยอะเลยแฮะ
“พอได้ยินอย่างนั้น
พี่เขาทำยังไง?” ลูกแม่บัวยังคงยิงคำถามได้อย่างต่อเนื่องด้วยน้ำเสียงน่าฟังและไม่เร่งเร้า
.
.
“เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรถึงดูจะอยากคุยกับเราให้รู้เรื่องก็เถอะ...
พอมาตอนกลางวันเขาก็แอบแย็บ ๆ อีกรอบ แต่เราก็แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินไง” ณ เวลานี้คงจะเหลือแต่กรอบแว่นแต่เพียงอย่างเดียวที่ยังไม่ขึ้นสีแดง
เพราะทั้งหน้า ทั้งใบหู และลำคอต่างแข่งกันคัฟเวอร์สีของลูกตำลึงสุกกันยกใหญ่
“ถ้ามึงไม่อยากย้ายไปอยู่กับริน
ทำไมมึงไม่บอกมันไปดี ๆ ล่ะ? ยิ่งมึงคอยเลี่ยง ทางนั้นอาจจะคิดมากจนเตลิดไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็ได้”
เต๋ออดรนทนไม่ได้ด้วยเข้าใจหัวอกของว่าที่นายสัตวแพทย์ได้อย่างลึกซึ้ง... แม้ในกรณีของตริน
กังฟูจะไม่ได้ทำร้ายจิตใจของเขาโดยตรง แต่ช่วงเวลาสองสามวันที่ไม่ได้เปิดอกพูดกัน ความรู้สึกว้าวุ่นหวาดหวั่นค่าที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรก็ทำเขาเกือบตายทั้งเป็นอยู่รอมร่อ
“หึ! แทนที่ตอนเขาถามจะตอบเขาดี
ๆ ... ไงล่ะ ซ่าไม่ออกเลยสิมึง” กังฟูกระหน่ำซ้ำเติมเด็กเต็กหัวไข่ให้ยิ่งใจฝ่ออย่างไม่คิดละเว้น
ฝ่ายบ๊วยที่เห็นท่าทีห่อเหี่ยวของเพื่อนรักที่หนักข้อขึ้นเรื่อย
ๆ ก็รีบพูดแทรกโดยพลัน
“เราว่านายรีบไปคุยกับพี่รินเถอะ
ปล่อยไว้นาน ๆ ไม่ดีหรอก”
“โทรเลยก็ได้นะแนนซี่
ตอนนี้เวลาดี... พี่รินน่าจะว่างรับแล้วล่ะ” ลองว่าแฝดน้องที่นั่งเอามือปิดปากคนรักเอาไว้แน่นเอ่ยรับรองอย่างแข็งขันแบบนี้
แปลว่าสายข่าวชั้นดีอย่างกุมารพลายต้องเช็คความสะดวกของคนปลายสายให้แล้วแน่ ๆ แต่ความประหม่าและลังเลอย่างมหาศาลยังเฝ้ากดดันสกลอยู่โดยไม่ยอมผละห่างไปไหน
“เหรอ?!” หลานอาม่าใหญ่ทำหน้าขมขื่นเหมือนเผลอกลืนยาหม้อเข้าคอไปอึกใหญ่
ๆ ...
จะให้เขาลดทิฐิโทรหาอีกฝ่ายเพื่อความสบายใจน่ะย่อมเป็นไปได้...
แต่จะให้คุยกับสารินต่อหน้าทุกคนเนี่ยนะ?
ใจคอจะไม่ปล่อยให้เขามีเรื่องลับ
ๆ ให้เก็บเอากลับไปแอบเพ้อฝันสร้างอลังการงานมโนเพียงลำพังสักหน่อยเลยเหรอ?
“โทรเถอะ
อย่างน้อยก็จะได้ถามพี่รินไงว่าที่มาช้าเพราะติดธุระอะไรอยู่หรือเปล่า” ชายกลางจึงเอ่ยปากคะยั้นคะยออีกครั้ง
หนุ่มแว่นยังสองจิตสองใจไม่หาย แต่เมื่อมองมือถือในมือสลับกับใบหน้าพร้อมให้การสนับสนุนของเพื่อน
ๆ ทั้งสาม เขาก็ทำใจยอมวางฟอร์ม
วางความวิตกกังวลทั้งหลายแหล่ลงได้ เพราะอย่างที่ใครต่อใครว่านั่นแหละ... ต่อให้จมจ่อมอยู่ในห้วงความคิดไปจนตาย
เขาคงไม่ได้คำตอบใด ๆ ที่เหมือนกับความนัยซึ่งถ่ายทอดออกมาจากความรู้สึกของสารินอีกแล้ว
“...ก็ได้...”
สกลกลั้นใจตอบพลางกดโทรออกก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู ทว่าเสียงสัญญาณที่บอกว่าปลายสายไม่ว่างก็ทำให้ชายหัวไข่ใจแป้วจนชิงตัดสายแล้วแสร้งพูดกลบเกลื่อนด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มฉาบฉวย
“ไว้กินข้าวเสร็จก่อนดีกว่าแล้วค่อยโทรทีเดียว... เออแน่ะบ๊วย! พี่หมีล่ะ? พี่หมีไปไหน? ทำไมพี่หมีถึงยังไม่กลับมาเสียที” คนเห็นผีทำทีเป็นเปลี่ยนเรื่องโดยไม่ทันรู้ว่า
ธันวาย่องมาหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ ลูกแม่บัวเป็นที่เรียบร้อย
“เรียกหาพี่ทำไมเหรอจ๊ะหนูแนน?”
“กูนึกว่ามึงตกส้วมตายห่าไปแล้วนะเนี่ย”
กรกฏเจริญพรน้องชายโดยสอดไส้ความเป็นห่วงอย่างใหญ่หลวงเอาไว้อย่างมิดชิด แต่ระดับอดีตเดือนมหาลัยผู้รู้ไต๋กันเป็นอย่างดี...
คำด่าแค่นี้ไม่ทำให้เขาสะดุ้งสะเทือน
“พอดีเก็กท้องเสียอ่ะเฮียเลยมาช้าไปหน่อ...”
อริยะตรัยผู้น้องยังไม่ทันรายงานความคืบหน้าได้อย่างจะแจ้ง เสียงเรียกของเครื่องโทรศัพท์ประจำตัวสกลก็เรียกความสนใจของทั้งโต๊ะได้อย่างน่าอัศจรรย์
“มึงหยุด!” กรกฏถึงกับออกปากห้ามปรามน้องชายที่ยืนอ้าปากค้างทำหน้าไม่เข้าใจ
ก่อนจะชำเลืองมองชื่อเจ้าของสายเรียกเข้าด้วยทักษะการอ่านกลับหัวอย่างรวดเร็วจนน่าชื่นชม
“เอ้า!
รับเร็ว ๆ เข้าซี่!
เขาโทรมาแล้วก็รีบ
ๆ รับสาย จะรอให้รินมันหายหัวไปก่อนหรือไง?!!”
ลิ้นของกังฟูแทบจะพันกันขณะพูดจาอัดฉีดให้กำลังใจในสไตล์ขู่แกมแช่งเพื่อให้รุ่นน้องหัวไข่เลิกแบ่งรับแบ่งสู้แล้วยืดอกเผชิญหน้ากับปัญหาอย่างตรงไปตรงมาเสียที
ฝ่ายสกลที่ไม่มีการหนีเป็นทางออกสำรองข้อสุดท้ายก็จำใจกดรับสายของว่าที่นายสัตวแพทย์ด้วยสภาพจิตใจไม่สู้ดีนัก
.
.
.
.
.
“ฮะ... ฮัลโหล?”
หลานอาม่าใหญ่กรอกเสียงทักทายผ่านโทรศัพท์อย่างกล้ำกลืนฝืนความอับอาย ในขณะที่ทุกคนต่างพร้อมใจกันชะโงกหัวเข้าใกล้เครื่องมือสื่อสารไร้สายที่แนบติดหูของชายหนุ่มหัวไข่
พอ ๆ กับที่เต็มใจปิดปากเงียบเพื่อเงี่ยหูฟังพลางรอลุ้นคำตอบของคนปลายสายด้วยใจจดจ่อไม่ต่างจากสกล
ทว่าประโยคแรกที่สารินโพล่งขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยนั้น...
เกือบทำให้ความอดทนของคนฟังขาดผึง
(แนนครับ พี่ขอโทษนะ
แต่พี่คงไปหาแนนไม่ได้แล้วล่ะครับ)
«♥»------------------------------------------
See you tomorrow! ------------------------------------------«♥»
No comments:
Post a Comment