Monday, March 21, 2016

«♥» บน บานฯ สาน รัก «♥» The 15th Bonding (first half) || 21.03.2016



มาแหล่ว มาแล้ว
ปมผีผู้หญิงก็ยังไม่คลาย ยังจะหาปมใหม่มาเผยเรื่อย ๆ
แต่เป็นปมเล็ก ๆ น้อย ๆ เองค่ะ ไม่ต้องกังวลว่าจะดราม่านะคะ เพราะเรื่องนี้ดราม่าฟรีสุด ๆ

อย่างไรก็ดี ขอออกตัวก่อนว่าตอนนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองตอนย่อยด้วยเหตุผลดังนี้
หนึ่ง... มันยาวกว่าตอนอื่น ๆ พอสมควร
และสอง... วันนี้เราเพลียมากค่ะ (ออกไปสู้กับแดดกลางวันอยู่พักใหญ่ ๆ ตอนนี้เพลียจนจะลืมตาไม่ไหวแหล่ว)
ดังนั้น กลับมาติดตามส่วนที่สองได้ในวันพรุ่งนี้นะคะ เราจะเอามาลงให้โดยไม่บิดพลิ้วเลย ^^

อ่านแล้วรู้สึกอย่างไร อยากจะกรีดร้องดีดดิ้นเบอร์ไหน...
ฝากข้อความแทนใจเอาไว้ได้เลยค่ะ เราอยากอ่าน ^^
รักพวกคุณ ๆ ทุก ๆ คนเลยค่ะ จ๊วบ ๆ






«»------------------------------------------------------------------------------------«»




The 15th Bonding
อยากได้อะไร ให้อธิษฐานกับลูกหมาและซานต้าร่างหมี [1]




โอ๊ะ!” ทันทีที่ช่วงล่างกระทบเข้ากับมุมโต๊ะยาวภายในโรงอาหารกลางอย่างรุนแรง อารามตกใจพ่วงด้วยความหวั่นวิตกเพราะกลัวว่าจานข้าวในมือจะหล่นลงกับพื้นทำให้เด็กสถาปัตย์ปีสองเจ้าของเรือนร่างผอมแกร็นเปล่งเสียงอุทานดังจนเพื่อนสนิทหน้าแว่นละมือจากพวงเครื่องปรุงแล้วปราดเข้าไปประคองก่อนที่บ๊วยจะล้มกองลงกับพื้น

เฮ่ยบ๊วย! เป็นไงมั่ง?

“เปล่า ๆ ” แม้ความเจ็บปวดจะไม่จางหาย แต่ชายกลางก็รีบปฏิเสธทันควันเพราะไม่อยากให้หลานอาม่าใหญ่เป็นกังวล ทว่าคนเห็นผีกลับหมดความอดทนจนไม่อาจวางเฉยกับสถานการณ์ปัจจุบันที่เพื่อนรักต้องประสบพบพานอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันได้อีกต่อไป

“ดี! งั้นเดี๋ยวเรามานะ... คุณ! เฮ่ย... คุณคนนั้นน่ะ! คุณเดินชนเพื่อนผมแล้วไม่คิ...” เด็กเต็กหัวไข่ตอบพลางประคองลูกแม่บัวให้ยืนทรงตัวได้อีกครั้ง โดยแหกปากตะโกนเรียกรั้งจอมวายร้ายที่กำลังชิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตไปพร้อม ๆ กัน

“สกล! ไม่เอา! เมื่อกี๊เราเหม่อเอง... กลับไปที่โต๊ะเถอะนะ เดี๋ยวคนอื่นจะรอ” ชายกลางดึงแขนเพื่อนหน้าแว่นเอาไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะกระโจนเข้าใส่แผ่นหลังกะทัดรัดภายใต้เสื้อเชิ้ตนักศึกษาชายตึงเปรี๊ยะที่พักหลัง ๆ มักโฉบผ่านมาให้เห็นบ่อย ๆ ทั้งไกล และใกล้เช่นเมื่อสักครู่

นี่มันชักจะเกินไปแล้วนะบ๊วย! เมื่อไรจะยอมบอกแฝดเสียที? หรือพักนี้โดนพวกไม่หวังดีคอยตามราวีไม่หนักมือพอ? จะรอให้เลือดตกยางออกจนต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้มก่อนหรือยังไง?!” ความเป็นห่วงเป็นใยในสวัสดิภาพ ผสมกับความหงุดหงิดค่าที่พลาดโอกาสเฉ่งตัวการไปต่อหน้าต่อตา ทำให้สกลขึ้นเสียงใส่เพื่อนสนิทที่รักใคร่กันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรอย่างลืมตัว

“ก็... ก็มันยังไม่ถึงสิ้นเดือนเลย อีกอย่าง... เมื่อกี๊เราสะดุดขาตัวเองจริง ๆ ไม่มีใครหาเรื่องเราเสียหน่อย” บ๊วยยกความตั้งใจเดิมขึ้นมาเถียงสู้ แต่เหตุผลกลบเกลื่อนข้าง ๆ คู ๆ ที่เจ้าตัวเอ่ยตบท้ายกลับทำให้โทสะในใจหนุ่มหัวไข่พลุ่งพล่านเหมือนมีใครสาดน้ำมันเข้ากองไฟใกล้มอด

บ๊วย! เราเห็นกับตาว่าผู้ชายคนนั้นเดินเบียดคนอื่นพุ่งมาชนนายโดยเฉพาะเลยนะ!” คำอธิบายจี้ใจดำทำให้ชายกลางเริ่มอึกอัก ในขณะที่หลานอาม่าอดนึกเจ็บใจตัวเองไม่ได้ที่พักหลัง ๆ เอาแต่คิดถึงสารินจนไม่เป็นอันสืบเสาะเจาะลึกข้อมูลส่วนตัวของคนร้าย... 



ไม่รู้หายไปอยู่ไหน?
บอกหกโมงเลิกเรียนแล้วจะรีบมา... นี่ปาไปทุ่มกว่าแล้ว ยังเรียนไม่เสร็จอีกเหรอ?
ไหนบอกจะมากินข้าวเย็นด้วย แล้วทำไมถึงปล่อยเขาให้ตั้งตารอ?! พี่รินนะพี่ริน!



ไม่รู้ล่ะ... กลับห้องไปคืนนี้เราจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้แฝดฟัง!” หนุ่มแว่นสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านเกี่ยวกับการหายหน้าไปของว่าที่นายสัตวแพทย์ ก่อนจะประกาศเจตนารมณ์อย่างมาดหมาย

“สกล เขาอาจจะรีบจนไม่ทันมองก็ได้ นายอย่าทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่เลยนะ” บ๊วยกระตุกข้อมือเพื่อนเบา ๆ ราวกับขอร้องทางอ้อมพร้อม ๆ กับต่อรองอย่างกระท่อนกระแท่น

จงใจกลั่นแกล้งกันขนาดนี้นายยังจะกล้าปกป้องคนอื่นอยู่อีกเหรอ?!!” คนเห็นผีประท้วงด้วยความไม่เข้าใจ... จะยืนหยัดเป็นคนดีที่พึ่งพาแต่สันติวิธีน่ะพอรับได้ แต่ครั้นจะให้เขาปิดหูปิดตาเปิดช่องให้คนอื่นตามรังควาญบ๊วยไปเรื่อย ๆ มันใช่เรื่องไหม?!

“บูบู้!” ก่อนที่เพื่อนรักภาคแลนด์ทั้งสองจะยื้อกันไปมาจนไม่เป็นอันทำอะไร อดีตเดือนมหาลัยก็โผล่พรวดเข้ามาแทรกกลางวงโดยไม่บอกกล่าว

พี่หมี!!” ชายกลางฉีกยิ้มกว้างกลบเกลื่อนอาการตกอกตกใจหลังเห็นแฟนหนุ่มปรากฏกายขึ้นโดยไม่คาดฝัน  พลางแอบหันไปสบตากับเพื่อนหัวไข่พร้อมส่งสาสน์ลับขอความเห็นใจจากอีกฝ่ายเพื่อระงับไม่ให้เหตุการณ์เมื่อสักครู่เล็ดรอดไปถึงหูคนมาใหม่เป็นอันขาด “พี่หมีได้อะไรมาครับ?” บ๊วยทำทีสนใจจานข้าวที่อยู่ในมือของคนรักเสียเต็มประดา

“กระเพราขาหมูไข่ออนเซ็นครับ น่ากินเปล่า?” ธันวายิ้มเต็มหน้าพลางอวดของดีที่เพิ่งได้มาสด ๆ ร้อน ๆ อย่างภาคภูมิใจ

“ฮื่อ! น่ากินมากเลยครับ!” คำตอบด้วยท่าทางกระตือรือล้นจนน่าหมั่นไส้ที่บ๊วยแสดงออกกระตุ้นให้หนุ่มแว่นยิ่งรู้สึกไม่สบอารมณ์จนต้องส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอเป็นระยะ ๆ

“งั้นเดี๋ยวเค้าป้อนให้ชิมดีไหม?” เก็กชี้ชวนด้วยน้ำเสียงรื่นเริง ส่วนคนรักก็พยักหน้าหงึกหงักรับอย่างน่าเอ็นดู “แต่เค้าว่าเดี๋ยวจะแวะไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึงแล้วพอซื้อน้ำเสร็จเค้าจะรีบตามไป... ฝากบูบู้ถือจานเค้าไปที่โต๊ะหน่อยได้ไหมครับ?” หนุ่มรูปงามดีกรีเดือนมหาลัยเอ่ยเรื่อยเจื้อยด้วยสีหน้าท่าทางเป็นปกติเสียจนไม่มีใครทันได้สังเกตแววตาสีน้ำตาลไหม้ที่ส่อประกายเคร่งเครียดน่าเกรงขาม

“ได้ครับพี่หมี”

“แนน ถ้าบูบู้ถือไม่ไหว... แนนช่วยบูบู้ถือจานข้าวด้วยนะ” อริยะตรัยผู้น้องทำเป็นไม่สนใจสายตางุนงงสงสัยของชายกลาง พลางกำชับเด็กเต็กหัวไข่ที่ยืนทำหน้าจะเป็นจะตายค้ำหัวคนรักตัวน้อยของเขาอย่างเดาความคิดไม่ถูก

แรกที่ได้ยินประโยคโอ๋แฟนอย่างไม่เห็นหัวใครของเดือนมหาลัย หนุ่มหัวไข่ก็ตั้งใจจะจวกอีกฝ่ายให้ล้มตายไม่เหลือชิ้นดี แต่เมื่อแววตาเข้ม ๆ ของเก็กสบประสาน หลานอาม่าใหญ่ก็โดนความทมึนทมิฬหินชาติที่พลุ่งพล่านอยู่ภายในสะกดให้รีบตอบรับคำขอของอีกฝ่ายอย่างไม่คิดชีวิต...



ทำหน้าโฉดยิ่งกว่าพี่ด้วงตอนโกรธแบบนี้
แสดงว่าพี่หมีต้องรู้เรื่องแล้วแน่ ๆ  



“ดะ ดะ ได้!... ได้เลยครับพี่หมี!” ขาดคำ ธันวาก็หันไปส่งยิ้มหวานประจบเอาใจแฟนตัวน้อยก่อนจะซอยเท้าวิ่งหายลับไป ในขณะที่สมุนเลวหน้าแว่นปากไวกลับได้แต่ภาวนาขอให้หมีไม่ใจร้ายกับผู้ไม่ประสงค์ดีคนนั้นจนอกสั่นขวัญแหกกระจายไปเสียก่อน








“เฮียฟูหวัดดีครับ” บ๊วยวางจานข้าวทั้งสองลงบนโต๊ะอย่างเบามือก่อนจะกระพุ่มมือไหว้พี่ชายคนรักพลางทรุดลงนั่งตรงข้ามปีสามร่างเล็กซึ่งเพิ่งตามมาสมทบ “แล้วพี่เต๋อกับพี่ด้วงล่ะครับ?”

“พวกมันไปซื้อข้าว เดี๋ยวก็มา”

จังหวะที่กรกฏพูดอธิบาย ฌอนกับอิ๊กก็เดินกลับมาถึงยังโต๊ะอาหารที่แฝดพี่นั่งจองอยู่พอดิบพอดี เมื่อเห็นพี่ชายอดีตคนรัก งูเห่าก็ส่งยิ้มทักทายพร้อมส่งเลศนัยผ่านแววตาเพื่อบอกใบ้ให้แกนนำพันธมิตรคนอวดผีปรายตามองสีหน้าซึมเศร้าของเหยื่อให้ถี่ถ้วน... แน่นอน เทียบเชิญหมายชวนของอคิราย่อมได้รับการตอบสนองอย่างสมฐานะเสมอ


“อ้าววว! ยังไงไอ้แนน? ทำไมมึงถึงยังสะเออะมากินข้าวเย็นกับพวกกูอยู่อีก? ผู้ชายของมึงล่ะ? เขาไม่มาพามึงไปดินน่งดินเนอร์กันสองต่อสองหรือยังไง?” กังฟูเปิดฉากทักสกลทันทีโดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว แต่มีหรือที่สกลจะกลัวเกรงบารมีของพี่ชายแฟนเพื่อนสนิทผู้ไม่เคยหวังดีต่อผู้ใดโดยเฉพาะเพื่อนมนุษย์ผู้อ่อนแอ และไร้ทางสู้... เฉกเช่นตัวเขา

“แหม่ เฮียฟูล่ะก็... มาก็ช้าแถมช่วงขายังสั้นจนพี่เต๋อพี่ด้วงต้องขันอาสาไปซื้อข้าวให้ แล้วยังไม่คิดจะทักทายคนในวงสังคมอย่างผมด้วยไมตรีให้คิดนับถือหน่อยเหรอครับ?” ตะกอนความหงุดหงิดภายหลังจากการหายหน้าของสารินถูกกวนขึ้นอีกครั้งจนอารมณ์สกลคุกรุ่นขุ่นแค้น หนุ่มแว่นจึงส่งหมัดแย็บชกเปรี้ยงเข้าเป้าใต้เข็มขัดรุ่นพี่ต่างคณะโดยไม่ทันยั้งคิด

อดีตเดือนบริหารหลุดหัวเราะร่วนเมื่อวาจายอกย้อนของหนุ่มหัวไข่ขยี้ปมต้องห้ามของรุ่นพี่ใจใหญ่ในร่างย่อส่วนเข้าอย่างจัง... นับว่าเขามองเกมและหมากแต่ละตัวได้ขาดจริง ๆ ไม่เสียแรงที่ยอมอยู่นิ่ง ๆ ให้ไอ้ตั่วเฮียโขกสับมาหลายวัน  ฝ่ายอริยะตรัยผู้พี่ที่เพิ่งได้กลิ่นไม่ดีลอยลมมาตามเสียงหัวเราะของลิ่วล้อชั่วคราว ก็ลอบมองใบหน้าหวาน ๆ ของอิ๊กด้วยความก้าวร้าวอย่างลวก ๆ ก่อนจะหันไปจวกเด็กแว่นให้รู้จักที่ต่ำที่สูง


ไอ้สัดแนน!

“เล่นอะไรกันอยู่เหรอครับฟู?” บ๊วยอดโล่งใจไม่ได้เมื่อตรินกับวิญญูกลับมาทันห้ามทัพ หนุ่มร่างหมีผู้เป็นพี่รหัสของชายกลางเอ่ยชวนพลางกวาดตามองสำรวจทุก ๆ คนและสถานการณ์รวม ๆ โดยละเอียด “กินข้าวก่อนดีไหมครับ เดี๋ยวกินเสร็จแล้วค่อยเล่นต่อ”

“ไม่ได้เล่นนะครับพี่เต๋อ เมื่อกี๊แนนซี่บอกว่าตั่วเฮียเตี้ยตะแมะแคระเป็นหมาคอร์กี้แก่ไม่มีขา” อคิราชิงตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จเพ็ดทูลหนังคนละม้วนอย่างเป็นธรรมชาติ “เล่นดูถูกตั่วเฮียต่อหน้าทุกคน ขนาดคนฟังที่สูงกว่าเฮียนิดหน่อยยังแทบทนฟังไม่ได้ เพราะฉะนั้น พี่เต๋อจะต้องไม่ปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไปเป็นอันขาดนะครับ พี่เต๋อต้องช่วยจัดสะสางล้างแค้นให้ตั่วเฮียให้จงได้นะครับ”

แม้จะไม่ใช่แค่กรกฏที่เผลออ้าปากค้างกับการสร้างเรื่องอย่างแคล่วคล่องว่องไวของหนุ่มบริหารหน้าหวานใส แต่เชื่อเถอะว่า ไม่มีใครคั่งแค้นอคิราได้มากเท่ากับพี่ชายของธันวาอีกแล้ว


[size=24pt]ไอ้เหี้ยอิ๊ก! มึงนี่แหละที่จะโดนกูฟาดปากก่อนใครเพื่อน!” ถ้าไม่ติดว่ามีโต๊ะตัวใหญ่กั้นกลาง ป่านนี้กังฟูคงได้สร้างบาดแผลทุกชนิด แถมท้ายด้วยปิดบัญชีสะสางหนี้เก่ากับอดีตแฟนผู้ห้าวหาญของน้องชายไปเป็นที่เรียบร้อย

“ฟู ใจเย็น ๆ ครับ กินข้าวก่อนเถอะนะ เดี๋ยวเกาเหลาจะเย็นเสียก่อน” ด้วงลูบไล้ฝ่ามือไปทั่วแผ่นหลังเล็ก ๆ เพื่อปลอบประโลมให้คนใจร้อนที่นั่งข้าง ๆ ผ่อนคลายโดยไม่ยอมปล่อยมือจากท่อนแขนซึ่งเกร็งจนสั่นระริกของอีกฝ่ายเลยสักวินาที  

“หึ!” อิ๊กส่งเสียงเยาะในลำคออย่างสาแก่ใจเมื่อเห็นกังฟูดูกลายเป็นแมวเชื่อง ๆ ในทันตาเมื่ออยู่ต่อหน้าคนรักทั้งสอง จนกรกฏอดถลึงตาพร้อมกับชี้หน้าหนุ่มบริหารไม่ได้  

เดี๊ยะ เดี๊ยะ!

“แล้วนี่เก็กไปไหนล่ะ?” วิญญูหันไปถามบ๊วยเพื่อเบนความสนใจของทั้งหมดไปสู่หัวข้ออื่น

“พี่หมีไปเข้าห้องน้ำครับ อีกเดี๋ยวคงมา”

“แล้วรินล่ะ? ไม่ได้ชวนมากินข้าวเย็นด้วยกันหรอกเหรอสกล?” คราวนี้เป็นสกลที่ต้องเป็นฝ่ายตอบคำถามของคิวท์บอยผู้ไม่ค่อยจะเสวนากับผู้ใดบ่อยนัก แต่แทนที่จะโต้ตอบอย่างฉะฉานเหมือนทุกที สกลกลับยิ้มเจื่อน ๆ พลางเหลือบมองคนนั้นที คนนี้ทีราวกับหาตัวช่วย

“...เอ่อ...” เมื่อรู้ตัวว่า ทุกคนดูจะตั้งใจรอฟังคำอธิบายของเขากันอย่างดีเยี่ยม เด็กเต็กหัวไข่จึงเสหลบตาเพื่อน ๆ พี่ ๆ  โดยไม่มีคำตอบให้พลางสั่งตัวเองให้เลิกหลุกหลิกจนใครจับสังเกตได้

 “สรุปยังไงแว่น?... พี่รินไม่ว่างเหรอ?” ท่าทางหลบเลี่ยงของสหายหัวไข่ทำให้ฌานต้องออกหน้าถามย้ำอีกคำรบ

“เอ่อ” หลานอาม่าใหญ่อ้ำอึ้งพลางชำเลืองมองหน้าจอมือถือที่ยังคงมืดสนิทอยู่เหมือนเมื่อไม่กี่นาทีก่อน...  


จนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่มีข้อความใหม่ ไม่มีมิสคอลใด ๆ จากบุคคลที่ใคร ๆ พากันถามหาส่งมาถึงเขาทั้งสิ้น...
ไหนสัญญากันแล้วไงว่าจะตามมากินข้าวเย็นด้วยหลังเลิกแล็บฯ?!



“หรือเมื่อคืนแนนซี่แอบแผลงฤทธิ์ใส่พี่รินจนพี่รินไม่กล้ามาเจอหน้า?” อคิรายื่นหน้าเข้ามาซักไซ้ทำลายความเงียบ

ถ้าไม่รู้อะไรก็อย่าเที่ยวเห่าส่งเดชจะดีกว่านะครับงู!” ฝ่ายสกลที่นั่งเป็นเบื้อใบ้อยู่ชาติเศษก็ตั้งโต๊ะดีเบทหักล้างวาจาเพ้อเจ้อของเด็กต่างคณะจอมใส่ไฟด้วยความไวแสง...

หารู้ไม่ว่าปฏิกิริยา สีหน้า และสายตาสาปแช่งอดีตเดือนบริหารที่ประสานพลังกันอย่างครบครันเป็นคอมโบนั้นไม่ได้สร้างความน่าพรั่นใจให้ผู้ฟังปีสามได้มากเท่ากับการยอมรับข้อกล่าวหากลาย ๆ ของชายหัวไข่อย่างไม่คิดโต้แย้ง


เดี๋ยว!” กรกฏชูฝ่ามือขึ้นสั่งห้ามไม่ให้ใครปริปาก ก่อนจะช่วงชิงคิวทองดังกล่าวมาเป็นของตนด้วยความอยากรู้อยากเห็นเป็นที่สุด “เมื่อคืนมึงนอนกับรินเหรอ?!” กระนั้น คนที่ฉกฉวยช่วงออกอากาศดังกล่าวไปจากสกลกลับเป็นคนหน้าหวาน... ผู้ซึ่งชั่วโมงนี้จัดว่ามั่นหน้าไม่มีใครเกิน

“ก็ใช่น่ะสิครับตั่วเฮีย กว่าผมจะรู้ว่าสกลติดผู้ชายจนไม่ยอมกลับบ้านกลับช่องก็ต้องรอถามพี่ฌานเอาตอนเช้าโน่นแหละ” อคิราจีบปากจีบคอพูดด้วยสีหน้าสนุกสนานเสียเต็มประดาราวกับหัวหน้าสมาคมเหล่าแม่บ้านกำลังนินทาสมาชิกผู้ไม่มาเข้าร่วมประชุม “โอ๊ย! ผมล่ะไม่อยากจะเม้าท์... ผมว่าฮยองนี่รุกแรงแล้วนะ พอมาเจอแนนซี่ออกสเต็ปเมื่อคืนเข้าหน่อย ฮยองผมเลยกลายเป็นเด็กน้อยไปซะงั้น”  

“หึ หึ หึ กูไม่แปลกใจแล้วล่ะว่าทำไมรินถึงได้หายไป... ใช่ไหมไอ้เมรี?” กรกฏปรายตามองหลานอาม่าใหญ่อย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่าจนคนถูกจับจ้องต้องแก้ต่างอย่างร้อนรน

“พี่รินจะหายไปไหนได้ล่ะครับเฮีย? เมื่อกลางวันพี่รินยังมากินข้าวกับผมอยู่เลยเหอะ! ถ้าเฮียไม่เชื่อ เฮียลองถามพี่ฌานดูก็ได้”

“จริง ๆ แล้วรินก็อาจจะอยากจะหายหน้าไปเร็ว ๆ  แต่เพราะเขากลัวมึงจะเสียใจ เขาเลยค่อย ๆ เฟดตัวหนีหน้ามึงไปหรือเปล่า?... มึงลองนึกดี ๆ ดิ๊ อาจจะมีบางเรื่องที่มึงเผลอทำตอนเมา แล้วเขาเกิดรับไม่ได้ก็ได้นะ” อริยะตรัยผู้พี่กระหยิ่มยิ้มย่อง  

วาจาสัพยอกที่เด็กวิศวะเอ่ยง่าย ๆ แทงหัวใจของชายหัวไข่เสียทะลุเป็นรูโบ๋ จากคนที่มักจะคุยโวอวดโอ่เกี่ยวกับทุก ๆ เรื่องด้วยความมั่นอกมั่นใจ งวดนี้คนเห็นผีกลับพูดไม่ออกบอกไม่ถูกด้วยไม่รู้แน่ว่า ระหว่างที่ตนตกอยู่ใต้อำนาจของสุราเมรัย ได้เกิดเหตุการณ์เลวร้ายใด ๆ ที่ทำให้เด็กสัตว์แพทย์ไม่ยอมโผล่หน้ามาให้เห็นดังเช่นข้อสันนนิษฐานของกังฟูหรือไม่


“ไม่นะครับเฮีย... ผม... ผมไม่ได้ทำอะไรไม่ดีจริง ๆ เฮียจะให้ผมสาบานเลยก็ยังได้!” หลานอาม่าใหญ่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้พลางละล่ำละลักด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ... หรือเขาจะทำร้ายจิตใจของอีกฝ่ายไปโดยไม่รู้ตัวกันนะ?!

“ทำไมนายไม่โทรไปหาพี่รินล่ะ จะได้รู้ว่าพี่รินติดธุระอะไรหรือเปล่า?” บ๊วยเสนอทางออกที่น่าจะช่วยกำจัดข้อสงสัยทั้งหมดให้เพื่อนรักด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

“ไม่เอาหรอก... เผื่อพี่รินยังทำแล็บฯไม่เสร็จ เราไม่อยากกวน” สกลสวนด้วยคำโป้ปดอย่างทันควัน... ต่อให้ต้องร้อนรุ่มกลุ้มใจจนนั่งแทบไม่ติดยิ่งกว่านี้ แต่หากไม่ต้องโทรหาสารินก่อน ก็น่าจะดีกว่ายอมเสียฟอร์มโทรไปง้ออีกฝ่ายไหม?

“งั้นส่งข้อความไปก็ได้ บอกพี่รินไงว่าพวกเรากินข้าวกันอยู่ที่ไหน เลิกแล็บฯแล้วพี่รินจะได้ตามมาถูก” ฌานแนะนำตบท้ายด้วยหวังให้เพื่อนหน้าแว่นปลดเปลื้องความทุกข์ใจลงได้บ้าง ทว่าใบหน้าของคนเห็นผีกลับหมองลงอย่างเห็นได้ชัดจนเหล่าผองเพื่อนอดสงสารไม่ได้
.
.
.
.
.
.
“...ส่งไปแล้วครับพี่ฌาน...” หนุ่มแว่นอ้อมแอ้มหลังจากนั่งนิ่งอยู่นานหลายอึดใจ

“กูรู้แล้ว! ที่มึงนั่งทำหน้าเป็นหมาหงอยแบบนี้ก็เพราะรินแม่งหายเข้ากลีบเมฆ!” ท่ามกลางบรรยากาศเศร้าสร้อยจนน่าเห็นใจเด็กเต็กหัวไข่ ดูเหมือนจะยังมีคนยิ้มชื่นระรื่นระเริงแฝงตัวปะปนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลอีกอย่างน้อยหนึ่งราย “ไหนมึงลองเล่ามาซิว่าตอนมึงอยู่กับริน มึงทำอะไรลงไปบ้าง?... พวกกูจะได้ช่วยวิเคราะห์ให้ได้ว่าทำไมผู้ชายของมึงถึงได้หายตัวไปแบบไม่บอกไม่กล่าว” กังฟูสอบสวนรุ่นน้องหัวไข่อย่างไร้ความเมตตาด้วยถือคติว่า คนปากหมาล้มต้องข้ามซ้ำไปซ้ำมาจนกว่าจะหนำใจ

“...เอ่อ... เอ่อ...” สกลถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เพราะแม้จะใช้เวลาทั้งวันกอบกู้หน่วยความจำ ณ ช่วงเวลาก่อนจะเมามายยังแทบเป็นไปไม่ได้ แล้วจะเอาปัญญาที่ไหนไปตอบคำถามของพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยได้อีกล่ะ?

“ฮื่อ ฟู อย่าบังคับน้องสิ... ด้วงว่าจริง ๆ  รินอาจจะแค่ติดทำแล็บฯแล้วไม่ว่างตอบก็ได้นะครับ อีกเดี๋ยวรินคงตามมาเองนั่นแหละ” ความที่ไม่เคยเห็นหลานอาม่าใหญ่ในสภาพสิ้นไร้ไม้ตอก วิญญูจึงอดสงสารจำเลยหน้าแว่นของแฟนหนุ่มไม่ได้

“นั่นสิ มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้นะฟู” เต๋อร่วมผสมโรงด้วยไม่เห็นประโยชน์ของการเล่นปั่นหัวน้องร่วมคณะแต่อย่างใด กระนั้น ตัวใส่ไฟอย่างอคิราก็ไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอย

“แต่ผมว่าที่ตั่วเฮียพูดก็น่าคิดนะครับพี่เต๋อ พี่ด้วง”  

“ยังไง?”

“ก็เท่าที่ผมแอบอ่านข้อความที่ฮยองส่งให้แนนซี่เมื่อวาน... ฮยองนี่จัดว่า เป็นคนที่ขยันจีบ ขยันทำคะแนนมากกก... คือแบบเอะอะส่งข้อความ เอะอะรายงานตัวถี่ ๆ รัว ๆ อย่างกับเพิ่งฮั้วประมูลได้สัญญาณมือถือ” อดีตเดือนบริหารเว้นวรรคพักสูดลมหายใจอย่างอ้อยอิ่งคล้ายจะรอให้ทั้งหมดประมวลผลใจความทั้งหมดได้อย่างพร้อมเพรียง ก่อนจะร่ายต่อ

“แต่พี่เต๋อลองดูตอนนี้สิครับ...
...ส่งข้อความไปหาแล้วเงียบฉี่  ถ้าผมเป็นแนนซี่ ผมนี่จะรีบเตรียมเผื่อใจให้ไวเลยนะครับ เพราะงานนี้มีสิทธินกชัวร์ ๆ ...
.
...ใคร ๆ ก็รู้แหละเนอะว่า กับคนที่เราเห็นค่า คนที่เราใส่ใจ ต่อให้ไม่มีเวลา ต่อให้ยุ่งจนใกล้จะตาย แต่สุดท้าย เราก็จะหาทางติดต่อเขาให้ได้อยู่ดี พี่เต๋อว่าจริงไหมล่ะครับ?”

“เออ... ก็จริง” พอนึกภาพตามคำพูดโน้มน้าวของรุ่นน้องหน้าหวาน ตรินก็อดเห็นด้วยไม่ได้ ฝ่ายอคิราที่เห็นว่าหาพวกเพิ่มได้ ก็ยิ่งลำพองใจจนพลั้งปากกระเซ้าเด็กเต็กหัวไข่แบบไม่ยั้งมือ

“หรือเมื่อคืนตอนเมา ๆ ก็เผลอได้กัน แต่ฮยองดันไม่รู้สึกดื่มด่ำกำซาบ ฮยองเลยคิดจะเทเพราะไม่ถูกปาก... โอ๊ย!” ประโยคลามปามสกลยังไม่ทันสิ้นสุด ฌอนก็เหนี่ยวคอคนรักมานวดขมับปรับทัศนคติให้ยกใหญ่ ๆ

“ไม่พูดก็ไม่มีใครหาว่าเป็นใบ้หรอก” แฝดน้องพร่ำพลางพูดเตือนสติเจ้าของหัวทุยในซอกแขนที่ดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด ส่วนบ๊วยที่เห็นเพื่อนสนิทที่คบหากันมาตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็กออกอาการหน้าถอดสี ก็โพล่งคำถามออกมาด้วยความเวทนาระคนวุ่นวายใจไปพร้อม ๆ กัน

“เป็นอะไรหรือเปล่าสกล? ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้น?!”  

“...”

“หรือว่านายกับพี่รินมีปัญหากันจริง ๆ ?”

“...” ยิ่งถูกถาม หนุ่มแว่นก็ยิ่งก้มหน้าต่ำจนยิ่งดูน่าสงสารไปกันใหญ่

“บูบู้ มึงไม่ต้องเปลืองแรงง้อมันหรอก ให้มันอกแตกตายไปคนเดียวนี่แหละ โลกแม่งจะได้น่าอยู่ขึ้นอีกนิด... กิน ๆ !” กรกฏไซโครุ่นน้องต่างคณะไปอีกดอกอย่างออกรส

“ไม่เอาน่าฟู ปล่อยให้น้องคุยกันเองเถอะครับ” ด้วงปรามพลางเลื่อนจานข้าวเปล่ากับชามเกาเหลาเข้าใกล้กังฟูมากขึ้นเพื่อความสะดวกในการกิน พร้อมกับส่งสายตากำกับไปว่า หากไม่กินเองในตอนนี้... จะมีอีเวนท์ป้อนข้าวโชว์เกิดขึ้นแน่ ๆ

“นายบอกเราได้ทุกเรื่องนะ อย่าลืมสิ” ชายกลางยังเป็นห่วงเพื่อนรักจนไม่อาจวางมือด้วยรู้ซึ้งว่า แม้จะถือดีและปากกล้าจนน่าหมั่นไส้ แต่เมื่อตกอยู่ในห้วงของปัญหา สกลก็ยังแอบชะเง้อคอมองหาใครสักคนเพื่อให้คำปรึกษาอยู่ดี... แบบที่ตัวเขาและแม่ทำหน้าที่นี้ให้เพื่อนหน้าแว่นมาโดยตลอดอย่างไรล่ะ

บ๊วยหวังในใจลึก ๆ ว่า ความเป็นห่วงหาอาทรจากใจจริงของพลพรรคทั้งหลายตลอดช่วงที่ผ่านมา จะส่งเสริมให้อีกฝ่ายยอมเผยด้านอ่อนแอให้ทุก ๆ คนได้เห็นอย่างไม่ยากเย็นเข็ญใจ... ขอให้เป็นอย่างนั้นทีเถอะ!


ในชั่วขณะเดียวกันนั้นเอง เหตุผลที่ทำให้เด็กเต็กผู้ปากเก่งไม่เป็นสองรองใครนั่งก้มหน้านิ่งได้เนิ่นนานเห็นจะเป็นการนึกทบทวนถึงความผิดพลาดที่ตนพลั้งพลาดทำลงไปหลังจากได้สติบนเตียงนอนของสารินนั่นอย่างไร...

ตายแล้ว! หรือที่พี่รินหายไปจะเป็นเพราะเขาเผลอกัดพี่มันจนได้เลือด?
คนสุภาพ ๆ ไม่น่าจะรับพวกชอบใช้ความรุนแรงได้หรอก...
แต่พี่รินบอกเขาเองว่า ชอบนี่นา

ถ้าไม่ใช่เรื่องโดนกัด ก็ต้องเป็นเรื่องที่เขาไม่ยอมตกลงย้ายเข้าไปอยู่ด้วยกันแหง ๆ
ต้องใช่เรื่องนี้แน่ ๆ ... แย่จริง ๆ ! ทำไมต้องเขินจนเผลอทำกระบิดกระบวนบ่ายเบี่ยง แถมยังคอยเลี่ยง คอยทำเมินไม่สนใจจะคุยกับอีกฝ่ายให้รู้เรื่องเสียอีก... ทั้งที่ก็อยากจะย้ายไปอยู่กับเขาแท้ ๆ !!   

.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นปัญหาหรือเปล่า แต่...” หลังจากเงียบไปนาน แต่ที่สุดแล้ว คนเห็นผีก็ยอมปริปากเกริ่นนำด้วยน้ำเสียงอ้ำ ๆ อึ้ง ซึ่งก็นับว่าเป็นนิมิตหมายอันดีที่ทำให้บ๊วยเริ่มใจชื้น

“แต่อะไร?”
.
.
“แต่เมื่อเช้าพี่รินชวนเราย้ายไปอยู่ด้วย” เด็กสถาปัตย์หน้าแว่นเขี่ยเส้นก๋วยเตี๋ยวที่เริ่มจะอืดในชามไปมาอย่างเลื่อนลอย ก่อนจะค่อย ๆ เปรยตอบเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น  ท่าทางไม่มั่นใจกับเรื่องน่าประหลาดใจที่เพิ่งได้ยินทำให้ชายกลางต้องรีบหันไปส่งสายตาห้ามปรามคนอื่น ๆ ไม่ให้ถามแทรก หรือส่งเสียงอุทานแปลก ๆ เพื่อทำลายบรรยากาศอันผาสุกระหว่างเขาและสกลจนจางหายไป  

“แล้ว?” ลูกแม่บัวปล่อยให้ความเงียบงัน กับสีหน้ายินยอมพร้อมรับฟังอย่างไม่คิดตัดสินกระตุ้นเพื่อนรักให้พูดต่อ  
.
.
.
“แล้วเราก็ทำมึนไม่รู้ไม่ชี้ทั้ง ๆ ที่เขาก็บอกแล้วว่าเขาไม่สบายใจที่รู้ว่าเรานอนห้องเดียวกับพี่ฌาน” จากที่เริ่มจะใจชื้นที่ไม่มีใครกระเซ้าเย้าแหย่ให้ต้องเขินอาย ทว่าประโยคดังกล่าวกลับทำให้หลานอาม่าใหญ่เม้มปากด้วยความกระดากทันทีที่พูดจบ

เมื่อได้ฟังใจความที่เพื่อนสนิทสี่ตาเพิ่งแถลงไข ร่างทรงหนุ่มถึงกับต้องยกมือขึ้นปิดปากเพื่อกั้นไม่ให้เสียงหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจของตนดังขัดจังหวะการสนทนา... ดูท่าว่า ความช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เขาหยิบยื่นแจกจ่ายโดยไม่รอให้ใครร้องขอ จะก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีกว่าที่คาดคิดไปเยอะเลยแฮะ


“พอได้ยินอย่างนั้น พี่เขาทำยังไง?” ลูกแม่บัวยังคงยิงคำถามได้อย่างต่อเนื่องด้วยน้ำเสียงน่าฟังและไม่เร่งเร้า
.
.
“เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรถึงดูจะอยากคุยกับเราให้รู้เรื่องก็เถอะ... พอมาตอนกลางวันเขาก็แอบแย็บ ๆ อีกรอบ แต่เราก็แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินไง” ณ เวลานี้คงจะเหลือแต่กรอบแว่นแต่เพียงอย่างเดียวที่ยังไม่ขึ้นสีแดง เพราะทั้งหน้า ทั้งใบหู และลำคอต่างแข่งกันคัฟเวอร์สีของลูกตำลึงสุกกันยกใหญ่

“ถ้ามึงไม่อยากย้ายไปอยู่กับริน ทำไมมึงไม่บอกมันไปดี ๆ ล่ะ? ยิ่งมึงคอยเลี่ยง ทางนั้นอาจจะคิดมากจนเตลิดไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็ได้” เต๋ออดรนทนไม่ได้ด้วยเข้าใจหัวอกของว่าที่นายสัตวแพทย์ได้อย่างลึกซึ้ง... แม้ในกรณีของตริน กังฟูจะไม่ได้ทำร้ายจิตใจของเขาโดยตรง แต่ช่วงเวลาสองสามวันที่ไม่ได้เปิดอกพูดกัน ความรู้สึกว้าวุ่นหวาดหวั่นค่าที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรก็ทำเขาเกือบตายทั้งเป็นอยู่รอมร่อ

“หึ!  แทนที่ตอนเขาถามจะตอบเขาดี ๆ ... ไงล่ะ ซ่าไม่ออกเลยสิมึง” กังฟูกระหน่ำซ้ำเติมเด็กเต็กหัวไข่ให้ยิ่งใจฝ่ออย่างไม่คิดละเว้น  ฝ่ายบ๊วยที่เห็นท่าทีห่อเหี่ยวของเพื่อนรักที่หนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ ก็รีบพูดแทรกโดยพลัน

“เราว่านายรีบไปคุยกับพี่รินเถอะ ปล่อยไว้นาน ๆ ไม่ดีหรอก”

“โทรเลยก็ได้นะแนนซี่ ตอนนี้เวลาดี... พี่รินน่าจะว่างรับแล้วล่ะ” ลองว่าแฝดน้องที่นั่งเอามือปิดปากคนรักเอาไว้แน่นเอ่ยรับรองอย่างแข็งขันแบบนี้ แปลว่าสายข่าวชั้นดีอย่างกุมารพลายต้องเช็คความสะดวกของคนปลายสายให้แล้วแน่ ๆ แต่ความประหม่าและลังเลอย่างมหาศาลยังเฝ้ากดดันสกลอยู่โดยไม่ยอมผละห่างไปไหน

“เหรอ?!” หลานอาม่าใหญ่ทำหน้าขมขื่นเหมือนเผลอกลืนยาหม้อเข้าคอไปอึกใหญ่ ๆ ...

จะให้เขาลดทิฐิโทรหาอีกฝ่ายเพื่อความสบายใจน่ะย่อมเป็นไปได้... แต่จะให้คุยกับสารินต่อหน้าทุกคนเนี่ยนะ?  
ใจคอจะไม่ปล่อยให้เขามีเรื่องลับ ๆ ให้เก็บเอากลับไปแอบเพ้อฝันสร้างอลังการงานมโนเพียงลำพังสักหน่อยเลยเหรอ?


“โทรเถอะ อย่างน้อยก็จะได้ถามพี่รินไงว่าที่มาช้าเพราะติดธุระอะไรอยู่หรือเปล่า” ชายกลางจึงเอ่ยปากคะยั้นคะยออีกครั้ง หนุ่มแว่นยังสองจิตสองใจไม่หาย แต่เมื่อมองมือถือในมือสลับกับใบหน้าพร้อมให้การสนับสนุนของเพื่อน  ๆ ทั้งสาม เขาก็ทำใจยอมวางฟอร์ม วางความวิตกกังวลทั้งหลายแหล่ลงได้ เพราะอย่างที่ใครต่อใครว่านั่นแหละ... ต่อให้จมจ่อมอยู่ในห้วงความคิดไปจนตาย เขาคงไม่ได้คำตอบใด ๆ ที่เหมือนกับความนัยซึ่งถ่ายทอดออกมาจากความรู้สึกของสารินอีกแล้ว


“...ก็ได้...” สกลกลั้นใจตอบพลางกดโทรออกก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู ทว่าเสียงสัญญาณที่บอกว่าปลายสายไม่ว่างก็ทำให้ชายหัวไข่ใจแป้วจนชิงตัดสายแล้วแสร้งพูดกลบเกลื่อนด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มฉาบฉวย “ไว้กินข้าวเสร็จก่อนดีกว่าแล้วค่อยโทรทีเดียว... เออแน่ะบ๊วย! พี่หมีล่ะ? พี่หมีไปไหน?  ทำไมพี่หมีถึงยังไม่กลับมาเสียที” คนเห็นผีทำทีเป็นเปลี่ยนเรื่องโดยไม่ทันรู้ว่า ธันวาย่องมาหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ ลูกแม่บัวเป็นที่เรียบร้อย  

“เรียกหาพี่ทำไมเหรอจ๊ะหนูแนน?”  

“กูนึกว่ามึงตกส้วมตายห่าไปแล้วนะเนี่ย” กรกฏเจริญพรน้องชายโดยสอดไส้ความเป็นห่วงอย่างใหญ่หลวงเอาไว้อย่างมิดชิด แต่ระดับอดีตเดือนมหาลัยผู้รู้ไต๋กันเป็นอย่างดี... คำด่าแค่นี้ไม่ทำให้เขาสะดุ้งสะเทือน

“พอดีเก็กท้องเสียอ่ะเฮียเลยมาช้าไปหน่อ...” อริยะตรัยผู้น้องยังไม่ทันรายงานความคืบหน้าได้อย่างจะแจ้ง เสียงเรียกของเครื่องโทรศัพท์ประจำตัวสกลก็เรียกความสนใจของทั้งโต๊ะได้อย่างน่าอัศจรรย์

มึงหยุด!” กรกฏถึงกับออกปากห้ามปรามน้องชายที่ยืนอ้าปากค้างทำหน้าไม่เข้าใจ ก่อนจะชำเลืองมองชื่อเจ้าของสายเรียกเข้าด้วยทักษะการอ่านกลับหัวอย่างรวดเร็วจนน่าชื่นชม

เอ้า! รับเร็ว ๆ เข้าซี่! เขาโทรมาแล้วก็รีบ ๆ รับสาย จะรอให้รินมันหายหัวไปก่อนหรือไง?!!

ลิ้นของกังฟูแทบจะพันกันขณะพูดจาอัดฉีดให้กำลังใจในสไตล์ขู่แกมแช่งเพื่อให้รุ่นน้องหัวไข่เลิกแบ่งรับแบ่งสู้แล้วยืดอกเผชิญหน้ากับปัญหาอย่างตรงไปตรงมาเสียที ฝ่ายสกลที่ไม่มีการหนีเป็นทางออกสำรองข้อสุดท้ายก็จำใจกดรับสายของว่าที่นายสัตวแพทย์ด้วยสภาพจิตใจไม่สู้ดีนัก
.
.
.
.
.
“ฮะ... ฮัลโหล?” หลานอาม่าใหญ่กรอกเสียงทักทายผ่านโทรศัพท์อย่างกล้ำกลืนฝืนความอับอาย ในขณะที่ทุกคนต่างพร้อมใจกันชะโงกหัวเข้าใกล้เครื่องมือสื่อสารไร้สายที่แนบติดหูของชายหนุ่มหัวไข่ พอ ๆ กับที่เต็มใจปิดปากเงียบเพื่อเงี่ยหูฟังพลางรอลุ้นคำตอบของคนปลายสายด้วยใจจดจ่อไม่ต่างจากสกล


ทว่าประโยคแรกที่สารินโพล่งขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยนั้น...
เกือบทำให้ความอดทนของคนฟังขาดผึง


(แนนครับ พี่ขอโทษนะ แต่พี่คงไปหาแนนไม่ได้แล้วล่ะครับ)



«»------------------------------------------ See you tomorrow! ------------------------------------------«»


No comments:

Post a Comment