Monday, March 14, 2016

«♥» บน บานฯ สาน รัก «♥» The 14th Bonding || 14.03.2016



ไม่รู้ว่าอ่านตอนนี้จบแล้วจะมีใครอยากขว้างอะไรใส่เราหรือเปล่านะคะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า
(อุตส่าห์โปรยหัวเอาไว้เสียดิบดี... เรายังกล้าทำแบบนี้กับคนอ่านได้ กรั่ก ๆ *หัวเราะอย่างไม่สำนึก*)

รักคนอ่านทุกท่านเลยค่ะ ถ้าเขียนตอบความเห็นไม่ทัน...
เข้ามาอ่านกันพรุ่งนี้เนอะ รวมทั้งเราจะเข้ามาแก้ไขคำผิดพร้อม ๆ กันด้วยค่ะ แหะ ๆ
(ปั่นนิยายวันต่อวันจริม ๆ ครัชเดี๋ยวนี้ โฮกกกก!)




«»------------------------------------------------------------------------------------«»




The 14th Bonding
เมา เบลอ เอ๋อ ซึน




เฮ่ย! น้าหนวด! มานั่งทำอะไรตรงนี้เงียบ ๆ ?! ตกใจหมด!” กะละมังใบเล็ก ๆ ที่อยู่ในอ่างล้างหน้าแทบพลิกคว่ำเมื่อสารินเหลือบไปเห็นร่างมองทะลุของลูกหมาพันธ์เซนต์เบอร์นาร์ดนั่งจ้องเขาเขม็งอยู่ตรงหลังบานประตูห้องน้ำ  


ชายหนุ่มส่ายหัวอย่างอ่อนใจพลางบ่นงึมงำอีกเพียงสั้น ๆ ก่อนจะหันกลับไปขยำผ้าขนหนูเนื้อดีด้วยความพิถีพิถันแล้วบิดจนหมาดเพื่อเตรียมการให้พร้อมใช้งาน กระนั้น บรรยากาศชวนอึดอัดที่คืบคลานเข้าปกคลุมบรรยากาศภายในห้องน้ำ ทำให้ว่าที่นายสัตวแพทย์หนุ่มจำต้องวางมือจากทุกสิ่ง ผินหน้ามองตามร่างไม่กึ่งทึบกึ่งโปร่งใสของเจ้าสี่ขาหน้าขนที่เพิ่งเดินต้วมเตี้ยมย้ายทำเลไปหย่อนก้นนั่งมองตนเองสลับกับบางอย่างด้านนอกตรงหน้าประตูห้องด้วยสายตาตำหนิติเตียนระคนผิดหวัง

เป็นเพราะอยู่ด้วยกันมาเกือบสิบปี สารินจึงคุ้นเคยกับสีหน้าทุกรูปแบบที่วิญญาณหมามักจะแสดงออกเพื่อสื่อความในใจทั้งหลายทั้งปวง มีหรือที่หลานอาม่าเล็กจะยอมปล่อยให้น้าหนวดเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าผิดเพี้ยนไปราวกับหนังคนละม้วนได้โดยไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจ


เฮ่ยเปล่า! ฉันไม่ได้มอมน้องนะ!!... ฉัน ฉันแค่ไม่ทันระวัง น้องเลยแอบกินเหล้าจนเมา” เด็กสัตว์แพทย์อึกอัก เพราะจนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่เลิกโทษตัวเองที่ชะล่าใจเปิดโอกาสให้หลานอาม่าใหญ่อยู่กับเครื่องดื่มมึนเมาโดยไม่ทันได้ห้ามปราม ฝ่ายอดีตลูกหมาเมื่อเก้าปีที่แล้วก็ดูไม่พอใจกับคำตอบที่เพิ่งได้ยินมากนัก เพราะแทนที่จะยอมรามือ น้าหนวดกลับกดถลึงตามองเจ้าของห้องอย่างกินเลือดกินเนื้อ

“เปล่านะ... เมื่อหัวค่ำฉันตั้งใจจะคุยกับน้องเรื่องย้ายมาอยูด้วยกันจริง ๆ ไม่ได้คิดจะปล่อยให้กินจนเมาแล้วพาน้องมานอนที่นี่แบบที่เจ้าตัวไม่รู้เรื่องเสียหน่อย” เมื่อคำอธิบายยกแรกสิ้นสุด ทั้งคน ทั้งอดีตหมาต่างก็แข่งกันถอนหายใจใส่หน้าอีกฝ่ายอย่างไร้ความปรานี  จากนั้นสารินก็รับหน้าที่ให้เหตุผลยกที่สองต่อโดยไม่รั้งรอ

“ฉันอยากให้น้องย้ายมาอยู่ด้วยมากขนาดไหน...น้าหนวดก็รู้ ถ้าฉันตั้งใจจะใช้วิธีนี้บังคับน้องให้มาอยู่ที่นี่จริง ๆ ฉันไม่ต้องมอมน้องให้เมาทุกวันเลยหรือไง?”


แทนที่รอบนี้จะมีสายตาและสีหน้าไม่สบอารมณ์ของน้าหนวดรอรับ ชายหนุ่มกลับยิ่งงุนงงที่จู่ ๆ เจ้าเซนต์เบอร์นาร์ดตัวโปร่งใสกลับสะดุ้งโหยงคล้ายตกใจพลางเหลียวมองบางอย่างข้างนอกห้องจนตาค้างก่อนจะหายตัวไปในบัดดลจนคนที่มองอยู่อดสงสัยไม่ได้  


น้าหนวด? น้าหนวดเป็นอะไร?!! หรือว่า... ?!” สารินฉวยกะละมังกับผ้าขนหนูผืนเล็กแล้วรีบรุดออกจากห้องน้ำทันทีที่นึกขึ้นได้ว่า จังหวะสุดท้ายก่อนน้าหนวดจะหายตัวไป เจ้าอดีตลูกหมาจับจ้องมองเตียงตาไม่วางเลยสักวินาที... หรือน้องจะดิ้นจนตกจากเตียงแล้วหัวฟาดพื้น?!   

เฮ่ย!”  

ว่าที่นายสัตวแพทย์หลุดปากอุทานด้วยความตกใจในแสงรำไรของไฟทางที่ส่องทะลุม่านบางเข้ามาอาบห้องเอาไว้ไม่ให้มืดสนิท ปรากฏเงาตะคุ่ม ๆ นั่งหัวโด่โผล่เป็นศิริมงคลให้แก่เตียงหลังใหญ่ของเขาอย่างเงียบสงบ


“แนน... แนนลุกขึ้นมาทำไมครับ? อยากได้อะไร? อยากเข้าห้องน้ำเหรอ?” คนเป็นพี่วางกะละมังกับผ้าลงบนโต๊ะตัวเตี้ยข้างหัวนอน ก่อนจะทิ้งตัวลงไม่ห่างจากอีกฝ่ายสักเท่าไร แต่ความเป็นห่วง ความกังวลใจทั้งหลายของชายหนุ่มต่างพร้อมใจกันหายวับไปกับตา ทันทีที่เด็กน้อยตรงหน้าช้อนสายตาหวานฉ่ำขึ้นสบประสานเสียน่าเอ็นดูหลังจากได้ยินเสียงของเขาทายทัก
.
.
.
.
“พี่ริน”  

“คระ... ครับ!” สารินลนลานด้วยตกประหม่าเมื่อหลานอาม่าใหญ่ชะม้ายตาพลางทอดเสียงเรียกชื่อเขาเสียน่าฟังอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นตามกรอบหน้าทั้งที่อากาศภายในห้องเย็นฉ่ำ...


“อ้อ! เกือบลืมแน่ะ!...
...ตอนเมาไม่ได้สติ เพื่อนผมมักจะอยู่ไม่ค่อยจะสุขเท่าไรหรอกนะครับพี่ริน...
...ขอให้พี่รินโชคดีนะครับ...”



อะไรบางอย่างทำให้คำเตือนของฌานสะท้อนก้องขึ้นภายในหัวอีกครั้ง
ชักจะสังหรณ์ใจแปลก ๆ เสียแล้วสิ
.
.
.
.
.
.
“อุ้มหน่อยยย!

หืม?!

อุ้ม อุ้ม อุ้ม อุ้ม อุ้ม อุ้ม!


ยังไม่ทันที่หลานอาม่ามุ่ยฟ้าจะได้ซักไซ้ขอรายละเอียดเพิ่มเติม เด็กหัวไข่ก็เริ่มเคลื่อนไหวพร้อมกับส่งเสียงให้สัญญาณคล้ายรถพยาบาลฉุกเฉินของหน่วยกู้ภัย ร่างผอมสูงเป็นไม้แหลมซึ่งเสียบลูกชิ้นทรงไข่ไว้ด้านหนึ่งห้อตะบึงทะลึ่งพรวดเข้าใส่ว่าที่นายสัตวแพทย์ด้วยความไวแสง ก่อนจะปีนขึ้นนั่งคร่อมเหนือตักกว้างแล้ววางสองแขนพาดล้อมรอบลำคอหนาและบ่าแกร่งของสารินเอาไว้เป็นแม่นมั่น


ดะ เดี๋ยวครับแนน! คุยกันก่อนเถอะครับ!!” คนโตกว่าพยายามหว่านล้อม พลางแกะมือน้องออกเป็นพัลวัน ทว่าอีกฝ่ายกลับดื้อรั้นปัดป่ายแถมยังไม่ให้ความร่วมมือเอาเสียเลย


“...ขอให้พี่รินโชคดีนะครับ...
...ขอให้พี่รินโชคดีนะครับ...
...ขอให้พี่รินโชคดีนะครับ...
...ขอให้พี่รินโชคดีนะครับ...
...ขอให้พี่รินโชคดีนะครับ...
... หึ หึ หึ หึ หึ หึ หึ หึ หึ หึ หึ หึ หึ หึ หึ หึ”


ซวยแล้ว! ซวยแล้ว! ซวยแล้ว!
จะทำอย่างไรกันดีล่ะทีนี้?!!
.
.
.
.
.
.
“ฮื่อออ คุยราย... ม่ายคุยยย”  ขาดคำ ปลายจมูกก็ออกนำทั้งใบหน้าฝังซุกลงมาตรงซอกคอของว่าที่หมอหมาอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ แถมเด็กน้อยยังนึกอุตริเป่าลมหายร้อน ๆ พ่นใส่ต้นคอต้นพี่อย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย  

“แนนคุยกับพี่เถอะนะครับ พี่ขอร้อง!!” กระทั่งสารินเองยังอดตกใจไม่ได้ที่เสียงปฏิเสธเมื่อครู่ฟังอ่อนระโหยโรยแรงเหมือนใกล้ขาดใจ... ไม่! เขาจะไม่ยอมแพ้พ่ายทำลายสัญญาที่ให้ไว้กับฝาแฝดคนพี่เป็นอันขาด
.
.
.
.
.
“ม่ายคุย! จะอุ้ม ๆ !” คนเป็นน้องเถียงหัวชนฝาด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้


แม้หัวใจจะยังเต้นไม่เป็นส่ำกับความสนิทชิดเชื้อทางกายที่ก้าวกระโดดอย่างว่องไวในชั่วพริบตา ทว่าเนื้อความที่อีกฝ่ายเอ่ยอย่างเอาแต่ใจกลับทำให้สารินอดระเบิดหัวเราะไม่ได้  

ใครเลยจะรู้ว่า... เสียงหัวเราะจะปัดเป่าความประหม่าให้หายลับไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ หลังจากนั้น ชายหนุ่มร่างใหญ่จึงสามารถก้มหน้าลงแล้วกวาดตามองรูปคนเมาใจกล้าที่ปีนขึ้นมานั่งตักเขาอย่างสง่าผ่าเผยได้เต็มสองตาเป็นครั้งแรก


“ใครอุ้มใครกันแน่ครับเนี่ย หืมมม?” สารินพยายามชวนอีกฝ่ายคุยเพื่อช่วยให้น้องได้สติ... อย่างน้อย ๆ ก็จะน่าจัดการ และน่าจะรับมือได้ง่ายกว่าตอนที่เมามายจนพูดไม่ฟังล่ะมั้ง 

“สุรปแนนเมาหรือเปล่าครับ?” ดวงตาเรียวคมทั้งสองหน่วยกวาดมองเสี้ยวหน้าเนียนที่อยู่ใกล้ ๆ แค่ปลายคางพลางนึกแล้วก็อดขำเบา ๆ ไม่ได้... นี่ถ้ารู้ว่าเมาแล้วอ้อนเป็นแมวแบบนี้ เขาคงจับเด็กน้อยมอมเหล้าไปนานแล้ว
.
.
.
.
.
.
“หนาย?! ครายเมา? พี่รินว่าใคร?” สารินเดาว่า สมองของคนเมาคงประมวลผลเชื่องช้า เพราะกว่าที่น้องจะตอบโต้เขาในแต่ละครั้ง เด็กน้อยค่อนข้างจะใช้เวลาเนิ่นนานกว่าปกติไปหลายวินาที  ทว่าผลต่อร่างกายนี่สิ... ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์กลับปลุกปั่นให้อวัยวะทั้งหลายเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วคล้ายถูกสิง  

โอ๊ย! อูยยย!... ซี๊ดส์...” จังหวะที่เด็กแว่นเงยหน้าขึ้นหมายจะถลึงตาหาเรื่องสารินให้หนำใจ ความมึนเมาจนลืมกะระยะเคลื่อนไหวก็เร่งรัดให้หัวเหม่งโหม่งปะทะเข้ากับปลายคางของชายหนุ่มต่างคณะเข้าอย่างจัง

“เจ็บมากไหมครับ?... ไหน ขอพี่ดูหน่อยสิ” สารินฝืนทนไต่ถามสารทุกข์สุขดิบของเด็กน้อยพลางแอบสูดปากอุทธรณ์เป็นพัก ๆ  ใบหน้าเหยเกในความมืดที่เฝ้ามองจนแจ่มชัดถนัดตาขึ้นทุกที ทำให้คนเป็นพี่รีบส่งปลายนิ้วไปนวดคลึงหน้าผากนวลเนียนเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดของอีกฝ่ายอย่างทันควันพลางยั่วเย้า“ยังจะพูดอีกว่าไม่เมา... คนดี ๆ ที่ไหนจะเอาหัวมาชนคางพี่ให้เจ็บตัวเล่นแบบนี้กันบ้างครับ?”

น้องไม่เมาเสียหน่อย ห้ามว่าน้องนะ!” ดูเหมือนการเจ็บตัวครั้งนี้จะไม่ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว เพราะปฏิกิริยาตอบสนองของสกลเริ่มจะใกล้เคียงกับปกติวิสัยเข้าไปทุกที  เด็กเต็กทำหน้ายู่ยี่ระหว่างขยับปากเถียงฉอด ๆ  อย่างไม่ลดละ

แต่นั่นกลับไม่ได้ทำให้สารินกระชุ่มกระชวยได้ทันตาได้เท่ากับสรรพนามที่เด็กน้อยใช้เรียกตัวเอง...
ถ้าเขาจำไม่ผิด น้องมักจะเรียกแทนตัวเองด้วยคำนี้ทุกทีที่อยากจะอ้อนขอ หรือต่อรองเงื่อนไขกับป๊าม้า...

น้องครับ ยิ่งน้องเมา น้องก็ยิ่งน่ารักเหลือเกิน  
แล้วจะหวังให้พี่ปล่อยน้องไปทำตัวน่ารักแบบนี้ให้คนอื่นเห็นได้อย่างไร?!


“น้องจะไม่เมาได้ยังไงครับ? น้องแอบพี่กินเหล้าเข้าไปตั้งเยอะเลยนะ” ว่าที่นายสัตวแพทย์ว่าพลางผ่อนแรงปลายนิ้วเปลี่ยนเป็นลูบไล้หัวเหม่งของเด็กน้อยเบา ๆ อย่างสนุกมือ คนเมาส่ายหัวหวืออย่างช้า ๆ พลางเชิดหน้าเอ่ยเถียง

แอบที่ไหน พี่รินนั่นแหละมัวแต่คุย ไม่สนใจน้อง!” สิ้นคำ หนุ่มแว่นก็สะบัดใบหน้าง้ำ ๆ หนีไปอีกทางอย่างถือดีจนคนเป็นพี่ระบายยิ้มบาง ๆ เพราะจนด้วยเหตุผลโต้แย้ง

“ครับ ๆ พี่ขอโทษนะ” สารินตอบเสียงอ่อยก่อนจะตะล่อมถามถึงที่มาของเมรีขี้เมาตนนี้ “แล้วทำไมน้องต้องกินเหล้าด้วยล่ะครับ? อยากกินเหรอ?”  

หลานอาม่าใหญ่ทิ้งแก้มลงแนบไหล่กว่างก่อนจะกลิ้งหัวเหม่งไปมาตามแนวกระดูกไหปลาร้าของอีกฝ่ายราวกับกำลังใช้ความคิด ไม่ก็ไตร่ตรองอะไรบางอย่างที่ค่อนข้างสำคัญ
.
.
.
.
.
.
.
“ก็น้องอายนิ” ที่สุดแล้วคนเมาก็โพล่งคำตอบที่สารินไม่คาดฝันจะได้ยินมาก่อนให้ได้ฟังเป็นบุญหู

อาย?!” หลานอาม่าใหญ่เลื่อนใบหน้าต่ำลงขดตัวซบหน้าอกของคนเป็นพี่ก่อนจะพยักหน้ารัว ๆ แทนการตอบคำถาม  ท่าทางเอ็นดูที่อีกฝ่ายกระทำสนับสนุนให้คนเป็นพี่ยิ่งนึกย่ามใจ

“น้องอายอะไรครับ น้องบอกพี่หน่อยได้ไหม?” ถึงจะมืด แต่สารินตาไม่ฝาด...  เมื่อกี๊คนฟังคลี่ยิ้มกว้างพลางสะบัดหัวอยู่กับอกเขานั่นแหละ ชายหนุ่มจึงวอนขอเด็กน้อยดี ๆ ด้วยน้ำเสียงที่หวานหูยิ่งไปกว่าที่เคย “นะ นะ... บอกพี่หน่อยนะครับ พี่อยากรู้”
.
.
.
.
.
“โอเค โอเค... น้องยอมบอกก็ได้!” เด็กสัตว์แพทย์ถึงกับหลุดหัวเราะเพราะความน่ารักของคนเมา “น้องบอกชอบพี่รินน้องเลยอาย... พอน้องอาย น้องก็ไม่รู้จะทำหน้ายังไง พอไม่รู้จะทำหน้ายังไงน้องเลยกิน” สกลตอบอย่างฉะฉานเหมือนกับเด็กนักเรียนดีเด่นท่องอาขยานให้เพื่อน ๆ ฟังหน้าเสาธง

“น้องอายมากเหรอครับถึงได้กินเยอะจนเมาไม่รู้เรื่องแบบนี้?” ยัง... สารินยังซักฟองน้องไม่สะอาดถึงใจ ยิ่งคุยกับคนเมาไปนาน ๆ ว่าที่นายสัตวแพทย์ก็ยิ่งคึกคักไปกันใหญ่ เพราะไม่บ่อยนักที่สกลจะมีแก่ใจตอบคำถามล้วงลูกทั้งหลายด้วยท่าทางยิ่งกว่าเต็มใจดังที่เป็นอยู่ในขณะนี้

“อือออ! ก็มากอ่ะสิ  วู้ว!... ถามมาได้!” เด็กสถาปัตย์ผละห่างพลางยกมือขึ้นจรดปลายนิ้วชี้เคาะเหนือหว่างคิ้วของรุ่นพี่พร้อม ๆ กับเฉลยคำตอบด้วยน้ำเสียงติดรำคาญคล้ายจะบอกกลาย ๆ ว่า สารินนี่ใช้ไม่ได้จริง ๆ  

“หึ หึ หึ ที่อายมาก ๆ เป็นเพราะน้องชอบพี่รินมาก ๆ อย่างนั้นใช่ไหมครับ?” นอกจากจะไม่ถือสากับท่าทางและสายตาปรามาสที่อีกฝ่ายแสดงออก หลานชายเพียงคนเดียวของอาม่ามุ่ยฟ้ากลับยิ่งดูร่าเริงยกใหญ่เมื่อหลอกล่อให้คนเป็นน้องเปลือยความรู้สึกให้เขาฟังได้อย่างไร้ขีดจำกัด  

“ฮื่อออ! ชอบมาก น้องชอบพี่รินม้ากมาก” สารินยิ้มกว้างจนแก้มแทบแตกเมื่อเด็กน้อยหัวไข่ตอบรับว่องไวพลางพยักหน้ายืนยันความรู้สึกที่มีต่อเขาด้วยความแข็งขันไม่ไหวหวั่น และนั่นทำให้ชายหนุ่มเกิดลูกฮึดขึ้นในท้ายที่สุด

“ถ้าชอบพี่รินมาก ๆ  น้องอยากย้ายมาอยู่กับพี่รินไหมครับ?”

“อยาก! น้องอยากอยู่กับพี่ริน!” คนเห็นผีตอบเสียงดังฟังชัด

“จริง ๆ นะครับ?”

“จริงสิ น้องไม่โกหก... โกหกนั้นตายตกนาโร๊กกก!♪♫

“หึ หึ หึ งั้นพรุ่งนี้น้องย้ายมาอยู่กับพี่เลยดีไหมครับ?” เสียงฮัมเพลงผิดคีย์ของคนอ่อนวัยกว่าขวบปีทำให้สารินยิ่งอารมณ์ดีหนักไปกว่าเดิม  โดยไม่ทันรู้ตัว... จากที่นั่งเท้าแขนเอนตัวไปด้านหลังแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายปีนป่ายร่างกายได้อย่างอิสระ ว่าที่หมอหมาก็เลื่อนขึ้นมารวบแขนโอบรอบแผ่นหลังคนเมาเอาไว้หลวม ๆ พลางลูบเบา ๆ ไปทั่วทุกอณูอย่างเพลิดเพลิน

“ดี ดี! ย้ายเลย ย้ายเลย!” เด็กเต็กตบมือเปาะแปะพลางโยกตัวไปมาไม่อยู่นิ่งราวกับดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ แต่คนที่ดูจะอาการหนักกว่าน่าจะเป็นรุ่นพี่อีกคณะที่ยิ้มร่าเมื่อรู้ว่า ภารกิจประจำอาทิตย์นี้ของอาม่ามีความเป็นไปได้

“ดีครับ! ดีมากเลยครับ... งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้เราไปช่วยกันเก็บของเลยดีไหมครับ?!” ทันทีที่เห็นคนเมาพยักหน้าหงึกหงักเน้นย้ำความตกลงร่วมกัน  สารินก็นึกถึงเรื่องสำคัญบางอย่างขึ้นมาได้ “รอเดี๋ยวนะครับ!” เด็กน้อยจ้องมองว่าที่นายสัตวแพทย์ที่เอื้อมมือไปล้วงมือถือในกระเป๋ากางเกงด้านหลังตาแป๋ว

“เดี๋ยวพี่จะถามน้องใหม่อีกรอบ แล้วน้องตอบพี่เหมือนเมื่อกี๊เป๊ะ ๆ เลยได้ไหมครับ?”  

“ได้ ได้... น้องตอบได้!

“ขอบคุณครับ!” จากที่คิดว่าจะกดอัดเสียงเด็กน้อยเอาไว้ใช้เป็นหลักฐานประกอบการโยกย้าย อารมณ์หมั่นเขี้ยวเพราะคำพูดคำจาน่าฟังของอีกฝ่ายทำให้หมีโพลาร์ยั้งใจเอาไว้ไม่อยู่ ชายหนุ่มรั้งแผ่นหลังของน้องเข้าแนบใกล้พร้อมกับยื่นหน้าไปหอมแก้มใส ๆ เสียเต็มรัก

โฮ่ง!

เฮ้ย?! หลานอาม่าเล็กโพล่งเสียงดังเพราะตกใจเสียงเห่าดังประท้วงของไทยมุงสี่ขาที่ดังลั่นมาจากด้านหลัง  

โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง! วิญญาณลูกหมารัวเสียงต่อว่าพลางออกท่าเอาเรื่องใส่เจ้าของห้องนอนอย่างดุเดือด จนสารินเลิ่กลั่ก

เฮ่ย!” เด็กสัตว์แพทย์ถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อสำนึกได้ว่าตัวเองฉวยโอกาสกอดน้องเสียแนบแน่นจนอีกฝ่ายแทบจะจมลงในอ้อมอก ชายหนุ่มเบือนหน้ากลับไปมองเจ้าตูบพร้อมกับนึกคำแก้ตัวอธิบายเหตุการณ์เมื่อสักครู่อย่างงก ๆ เงิ่น ๆ เปล่านะน้าหนวด! ฉันไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกินน้องเลยจริง ๆ !’

นั่นใครน่ะ?!” แต่ก่อนที่สารินจะโดนน้าหนวดสอบสวนจนต้องยอมสารภาพความผิด เด็กเต็กก็ถามแทรกขึ้นทันที พร้อม ๆ กับที่ร่างของหมาโปร่งแสงล่องหนหายวับไปกับตาในเวลาเดียวกัน

จริงอยู่ว่าการหายตัวไปของน้าหนวดทำให้ชายหนุ่มกลับมาหายใจได้คล่องคออีกครั้ง ทว่าท่าทางสงสัยติดหมัดกับเรื่องเหนือธรรมชาติที่เพิ่งเกิดขึ้นไปเมื่อสักครู่ดังเช่นที่รุ่นน้องต่างคณะเป็นอยู่ ก็ไม่ควรละเลยแต่อย่างใด


“เปล่าครับ ไม่มีใครเลยครับ!” คนโตกว่าเอี้ยวตัวบดบังจุดที่น้าหนวดเคยปรากฏกายให้พ้นจากกรอบสายตาคนเมา แต่เด็กน้อยของเขากลับไม่ละความพยายามง่าย ๆ

“ไม่มีที่ไหน? เมื่อกี๊น้องเห็นผู้หญิงยืนอยู่ทั้งคน!”  เดี๋ยว... เมื่อกี๊น้องบอกว่าอะไรนะ? ผู้หญิงเหรอ? ผู้หญิงที่ไหนกัน? ถ้าเป็นหมาหน้ามึนตัวใหญ่ก็ว่าไปอย่าง

“ผู้หญิงที่ไหนครับ? พี่ไม่เห็นผู้หญิงเลยสักคน”

“ไม่จริง!... เมื่อกี๊น้องเห็น น้องเห็นผู้หญิงยืนอยู่ตรงนั้น!!” กระทั่งสารินยังอดตกใจไม่ได้ที่เห็นว่าปลายนิ้วของน้องชี้ไปยังพื้นที่อ่อนไหวได้อย่างแม่นยำเป็นที่สุด แต่คำพูดและท่าทางขึงขังของหนุ่มแว่นกลับทำให้เขายิ่งรู้สึกตงิด ๆ ในใจ

“น้องตาฝาดแล้วล่ะ ห้องนี้พี่อยู่คนเดียวมาตั้งแต่แรกแล้วนะครับ จะไปมีผู้หญิงคนอื่นอยู่ในห้องได้ยังไงกัน?” คนมีศักดิ์เป็นพี่ประคองใบหน้าเด็กน้อยเอาไว้เพื่อให้ดวงตาใสใต้กรอบแว่นหันเชิดขึ้นสบกัน แต่อีกฝ่ายกลับมุ่งมั่นและยืนหยัดตามความเชื่อของตัวเองอย่างไม่สั่นคลอน  

“น้องไม่ได้ตาฝาดนะ! น้องเห็น!... น้องเห็นทุกอย่างนั่นแหละ...” คนเมาประกาศกร้าว จนว่าที่หมอหมาชักไม่แน่ใจว่าบทสนทนาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เป็นความจริงที่เชื่อถือได้ หรือจะเป็นมหรสพฉากใหญ่ที่สุราเมรัยบันดาลให้เขาได้สัมผัสความสุขเพียงชั่วครั้งชั่วคราวกันแน่  

“น้องไม่เห็นหรอกครับ เมื่อกี๊ไม่มีอะไรจริง ๆ พี่ยืนยันได้” ความพยายามเบี่ยงประเด็นเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ชายหนุ่มหัวไข่ผู้ไร้สติไม่อาจเก็บงำความลับสุดยอดไว้กับตัวได้อีกต่อไป

“ไม่! น้องเห็น! น้องเห็นพี่กุ๊กกู๋มาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว! เมื่อกี๊ก็ใช่กุ๊กกู๋... น้องรู้ น้องรู้! พี่อย่ามาหลอกน้องเสียให้ยากเลย!

“พี่กุ๊กกู๋?!

“ก็พี่กุ๊กกู๋ที่คนอื่นชอบกลัวไง” เด็กเต็กเจรจาเรื่อยเจื้อย “พี่กุ๊กกู๋ที่คนอื่นมองไม่เห็น มีแต่น้องเห็นที่เห็น...พี่กุ๊กกู๋ที่คนอื่นบอกว่าชอบมาอำ ชอบมาทำให้กลัว ชอบมาถอดทำหน้าเละในหนังไง” หลานอาม่าใหญ่เว้นวรรคกลางคันพลางขมวดคิ้วมุ่นแล้วส่ายหัวดิกเหมือนโดนใครขัดใจ “ไม่ ไม่! พี่ฌานกับฌอนก็เห็นพี่กุ๊กกู๋ด้วย!

ได้ยินดังนั้นสารินก็ไม่นึกแปลกใจกับความน่าเกรงขามอย่างไม่มีเหตุผลของฝาแฝดฌานฌอนอีกต่อไป...
คนที่มองเห็นวิญญาณได้ ไม่น่าจะเป็นคนปกติสักเท่าไรหรอก
แต่นั่นกลับไม่ใช่เรื่องเรื่องสำคัญที่เขาใส่ใจในชั่วขณะนี้


“น้องมองเห็นผีเหรอครับ?”

ปิ๊งป่อง! หนุ่มแว่นชูแขนขึ้นแล้วประกบปลายนิ้วทั้งสองข้างเป็นรูปวงกลมเหนือหัวกลั้วรอยยิ้มจนตาหยีก่อนจะเปลี่ยนท่าทีมาเป็นจริงจังในบัดดล “ตอบถูกต้องได้รางวัล!” ยังไม่ทันขาดคำ เด็กเต็กก็ออกแรงล็อกใบหน้าของว่าที่นายสัตวแพทย์ให้อยู่นิ่ง พลางยื่นริมฝีปากเข้าใกล้หมายจะประกบจูบเสียให้ได้

เฮ่ยแนน! เดี๋ยวก่อน! อย่าเพิ่งครับ! อย่าเพิ่งให้รางวัล! เราต้องคุยกันให้รู้เรื่องก่อน!” ภายในเสี้ยววินาทีก่อนที่ริมฝีปากบาง ๆ ของเด็กน้อยจะฉกโฉบโดนตัว ผู้เป็นพี่ก็ยกฝ่ามือขึ้นบังกระบวนท่าชิวหาสะบั้นสัญญาเอาไว้ได้อย่างเฉียดฉิว

สารินไม่ได้กลัวเกรงหรือเกิดปอดแหกไม่กล้าลงมือเอานาทีสุดท้าย แต่อารมณ์หื่นไม่เห็นหัวใครแบบที่อีกฝ่ายเป็นอยู่นี่ รังแต่จะทำให้ตบะของหลานอาม่ามุ่ยฟ้าแตกกระเจิงจนไม่อาจหักห้ามใจไม่ทำตัวรุ่มร่ามใส่น้องได้ตลอดรอดฝั่งอย่างที่ตั้งใจเอาไว้แต่แรกน่ะสิ


ไม่เอา ไม่คุย! น้องจะมอบรางวัลให้พี่เดี๋ยวนี้!” คนเมาเอ่ยอย่างเอาแต่ใจด้วยน้ำเสียงอู้อี้เพราะมีฝ่ามือใหญ่ยันใบหน้าเอาไว้ทั้งแถบ แต่หลังจากประลองกำลังกันพักใหญ่ ๆ ว่าที่นายสัตวแพทย์ก็เริ่มจะเห็นหายนะรออยู่รำไร เนื่องจากมือไม้ของเด็กหัวไข่เริ่มจะไม่สำรวม ชายหนุ่มจึงรีบฉวยโอกาสช่วงท้าย ๆ เพื่อทำภารกิจให้ลุล่วงโดยพลัน

“ไม่คุยก็ได้ครับ แต่น้องยังไม่ได้ตอบคำถามพี่เลย... ตอบคำถามพี่ก่อนนะครับ” เจ้าของประโยคใช้มือข้างที่ว่างปลดล็อกมือถืออย่างรวดเร็ว แต่นั่นกลับเป็นจังหวะที่ทำให้เขาเพลี่ยงพล้ำ

ม่ายยย! น้องจะให้รางวัล จะให้รางวัล!! สกลโวยวายพลางทิ้งตัวเข้าใส่คนใต้ร่างจนสุดท้ายแผ่นหลังของหมีขาวตัวใหญ่ก็ตกกระทบฟูกสมดั่งใจหมาย ภาพแววตาเป็นประกายคล้ายมีแสงสุกสกาวแปลบปลาบปรากฏขึ้นใจกลางลูกแก้วสีดำสุกใสหลังกรอบหนา ทำให้สารินตกใจยิ่งกว่าตอนที่เจอผีหมาเป็นครั้งแรกเสียอีก

น้องอย่าครับ พี่ขอร้องล่ะ! อย่าบังคับพี่เลยนะครับ” สารินอ้อนวอนพลางพยายามจะยันตัวขึ้น แต่กลับโดนคนเมาซึ่งนั่งคร่อมทับหน้าท้องช่วงบนออกแรงผลักให้กลับลงไปนอนแอ้งแม้งได้อย่างง่ายดายราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

คนตอบถูกต้องได้รางวัล!” สกลยืนกระต่ายขาเดียวอย่างแน่วแน่ก่อนจะนำพาความรู้สึกน่าตื่นเต้นมาสู่เหยื่อผู้นอนแบ็บอยู่ด้านล่างอย่างไม่มีทางขัดขืน

สารินไม่รู้ว่า ควรจะดีใจหรือเสียใจกับสิ่งที่กำลังปรากฏต่อสายตาในขณะนี้ดี เพราะเด็กน้อยที่มักจะไว้ตัวเว้นระยะห่างอยู่เสมอกลับแสดงสีหน้าส่อเค้าความปรารถนาอย่างเด่นชัด  หลานอาม่าใหญ่ปลดสิ่งกีดขวางดวงตาพลางเลียริมฝีปากด้วยสีหน้ามาดหมายและสาใจ ก่อนจะถอดเสื้อยืดของตัวเองออกอย่างช้า ๆ เพื่อเผยของดีที่บุพการีให้มาเรียกน้ำย่อยของหมีโพลาร์เป็นรายการถัดไป

เด็กสัตว์แพทย์กำลังโดนทดสอบความอดทนระลอกใหญ่ เพราะแม้จะไร้แสงไฟ แต่ความขาว ความใส และความเนียนยามลูบไล้กลับล่องลอยล่อตาล่อใจอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล... แค่เพียงเอื้อมมือออกไปเท่านั้น...
หากเขาปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความวาบหวามตรงหน้านี่... สัญญาที่รับปากฌานเอาไว้ล่ะ?!

รอมยิ้มหวานเชื่อมที่เสริมส่งให้ใบหน้าขาวใสยิ่งน่าใหลหลงทำให้ว่าที่นายสัตวแพทย์ไม่ทันรับมือกับการโน้มตัวพุ่งเข้าใส่ด้วยความว่องไวระดับบั้งไฟยามแรกจุดของอีกฝ่ายได้ดีนัก แต่แทนที่ริมฝีปากของเขาจะได้รับการพะเน้าพะนออย่างที่เผลอเข้าใจ เด็กน้อยหัวไข่กลับประกบริมฝีปากลงตรงซอกคอแล้วซุกไซ้ให้วาบหวิวในอารมณ์อยู่สักพัก ทว่าทันใดนั้นเอง สัมผัสอันเคลิบเคลิ้มกลับกลายเป็นคลั่งแค้นในพริบตาเหมือนโดนน้ำสาดหน้าจนผวาตกใจตื่น  


โอ๊ย!” ความเจ็บปวดเพราะแรงกัดตรงซอกคอทำให้คนโตกว่าสามารถดีดตัวพลิกขึ้นคร่อมกดอีกฝ่ายลงกับเตียงได้อย่างง่ายดาย “น้องกัดพี่ทำไมครับ?!

“...ง่ำ ง่ำ ให้รางวัล เอาผู้หญิงเข้าห้องน้องต้องให้รางวัล... ง่ำ ให้รางวัล...” หลานอาม่าใหญ่แยกเขี้ยวใส่ ก่อนจะส่งเสียงขู่แง่ง ๆ ในลำคอไม่ต่างจากลูกหมาหวงถาดอาหาร ก่อนจะผงกหัวขึ้นมากัดเขาให้จมเขี้ยวอีกครั้งจนสารินต้องเบี่ยงตัวหลบ

จะหัวเราะก็ดันหัวเราะไม่ออก พอจะหื่นก็ดันปวดแผลจนหมดอารมณ์ไปเสียก่อน...
ที่สำคัญ ไอ้ครั้นจะดีใจที่เด็กน้อยหึงหวงก็ดันงงเรื่องผู้หญิงที่น้องเพ้อถึงเสียอีก
เริ่มจะเข้าใจแล้วว่าทำไมฌานถึงเตือนให้เขาเตรียมใจก่อนจะพาน้องเข้าห้องมาในสภาพไม่รูประสาแบบนี้  
เด็กอะไร... เมาแล้ววุ่นวายกว่าที่คิดไปเยอะชะมัด!


แอบเอาผู้หญิงเข้าห้อง... ต้องได้รางวัล!

ไม่รู้ไปเอาเรี่ยวเอาแรงมาจากที่ไหน แต่คนเมาที่มีแต่ก้างคนนี้กลับดิ้นขลุกขลักจนสารินแทบจะรั้งตัวเอาไว้ไม่ไหว ว่าที่หมอหมาจึงต้องรีบคว้าเอาผ้าผวยมาคลุมร่างของอีกฝ่ายเอาไว้แล้วม้วนตลบปลายจนหลานอาม่าใหญ่ถูกห่อร่างเอาไว้ด้านใน ไร้ซึ่งเขี้ยวเล็บและฤทธาอภินิหารย์ใด ๆ ให้ต้องหวั่นกลัว จากนั้นเขาจึงสวมกอดก้อนแยมโรลไส้เด็กน้อยเอาไว้อีกทอดหนึ่ง




“ที่น้องกัดพี่เพราะหึงพี่เหรอครับ?” สารินถามหลังจากทิ้งจังหวะไปสักพัก

“...พี่รินมีคนอื่น น้องไม่ชอบ น้องไม่ชอบ!...” คนในผ้าห่มเริ่มดีดดิ้นอีกครั้งหลังจากรามือไปครู่ใหญ่ แต่สารินกลับไม่สนใจ เพราะคำตอบดังกล่าวทำให้เขาอยากจะบอกความนัยให้อีกฝ่ายได้รับฟังบ้าง

พี่ก็ไม่ชอบที่น้องอยู่ใกล้คนอื่นเหมือนกัน!

“น้องอยู่แต่กับเพื่อน... พี่รินนั่นแหละ อยู่กินกับผู้หญิง!” เด็กเต็กยังคงยึดมั่นกับสิ่งที่ตนเห็นไม่แปรผัน กลับกัน... สารินเองก็ปฏิเสธทุก ๆ ข้อกล่าวหาที่เขาไม่เห็นว่าจะมีมูลความจริงเลยสักนิด

เปล่านะครับ! พี่อยู่คนเดียวจริง ๆ ครับ!

น้องไม่เชื่อหรอก!

“ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพอน้องย้ายมาอยู่ด้วยกัน น้องก็จะรู้ว่าพี่พูดความจริง” คนโตกว่ารวบรัดตัดความเอาตามใจ จนคนฟังถอนหายใจหน่าย ๆ คล้ายต้องการจะเถียง “ว่าแต่พี่... น้องเถอะ รู้ไหมครับว่าพี่หวง พี่หึง พี่ไม่อยากให้ใครเข้าใกล้น้องเลยสักคนเดียว กระทั่งเพื่อน... พี่ก็ไม่ชอบ”

“เพื่อนน้องมีแฟนหมดแล้ว พี่จะหึงให้โง่ไปทำไม?” คนเมาในม้วนผ้าสวนกลับอย่างไม่ยอมลงให้ แต่ประโยคดังกล่าวกลับทำให้จิตใจของคู่สนทนาปลอดโปร่งโล่งสบายได้ในทันตา

“ฌานก็มีแฟนแล้วเหรอครับ?!

“มีสิ! พี่ฌานมีแฟนแล้ว!...
.
.
...พี่เต๋อก็มี พี่หมีก็มี พี่ด้วงก็มี ฌอนศรีก็มี มีกันหมดทุกคนเลย!...
...มีแต่น้องนี่แหละที่ยังไม่มีแฟนอยู่คนเดียว... น่าฉงฉานนน!” น่าเสียดายที่ว่าที่หมอหมาไม่มีโอกาสได้เห็นสีหน้าของน้องยามโอดครวญ... รวมทั้งในยามที่รับฟังประโยคที่เขากำลังจะพูดในเสี้ยววินาทีที่จะถึง

“พี่นี่ไงครับแฟนน้อง”
.
.
.
.
.
.
“ไม่อาววว! พี่รินมีผู้หญิงอื่น พี่รินโกหก! คนโกหกน้องไม่เอามาเป็นแฟนหรอก! น้องกลัวเฉียจายยย!

เมื่อความเย็นมาปะทะกับผ้านวมอุ่น ๆ และเมื่อความมึนเมากับความง่วงร่วมสนธิกำลัง เด็กสถาปัตย์ก็เริ่มจะหมดเรี่ยวแรงจนลิ้นพันกันทำให้คำพูดคำจาฟังไม่รู้ความมากขึ้นทุกที คนเป็นพี่จึงได้แต่ทอดถอนใจพลางตอกย้ำความเป็นจริงด้วยความหนักแน่นไปเสียทุกครั้ง

“พี่ไม่มีคนอื่นครับ พี่มีน้องคนเดียว”

ไม่เชื่อออ! ยังไงน้องก็ม่ายเชื่อออ!!

“นอนเถอะครับ ดึกแล้ว” ว่าที่นายสัตวแพทย์ตัดบทพลางระบายลมหายใจอย่างอัดอั้น แล้วจึงปลอบใจตัวเองให้ลองพยายามดูใหม่อีกครั้ง... ทั้งเรื่องย้ายห้อง รวมทั้งเรื่องผู้หญิงหากน้องยังคงถามถึง

“พี่รินใจร้ายยย... พี่รินโกหกน้อง!” เด็กน้อยพึมพำเบา ๆ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเหลือเพียงเสียงลมหายใจสม่ำเสมอดังแผ่ว ๆ พอให้ชายหนุ่มรุ่นพี่ได้ยิน

“พี่รักน้องนะครับ” สารินประทับจูบลงบนผ้านวมผืนหนาด้วยความหวังว่ารอยสัมผัสดังกล่าวจะส่งผ่านไปถึงคนที่นอนซุกตัวอยู่ภายในพร้อม ๆ กับความในใจของตัวเอง  


«»------------------------------------------------------------------------------------«»


เสียงนาฬิกาปลุกที่ดังแว่วเพียงไม่นาน แสงสว่างที่ลอดม่านเข้ามาทิ่มแทงตา เสียงนกเสียงกาและเสียงรถราจากถนนใหญ่ กับน้ำหนักที่กดทับลงมาบนลำตัวอีกครั้งทำให้อนุสติของหลานอาม่าใหญ่เตือนว่า รุ่งอรุณของวันใหม่กำลังรอทักทายเขาอยู่ในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า


“อืออ” สกลส่งเสียงครางฟังงัวเงียพลางพยายามกระดิกกระเดี้ยร่างกายเพื่อเปลี่ยนท่าทาง แต่ความรู้สึกหนักอึ้งแบบไม่รู้ที่มาซึ่งเกิดกับเจ้าตัวบ่อยจนชาชินที่ขัดขวางไม่ให้ได้ทำตามใจ เด็กสถาปัตย์จึงจำเป็นต้องส่งเสียงเจรจาตามมารยาทไม่ผิดไปจากทุกที “ไม่เอา... ไม่อำ เดี๋ยวทำบุญไปให้นะ”

“ตื่นแล้วเหรอครับ?”

“...อือออ... ตื่นแล้ว เลิกอำได้แล้ว ผมหนัก”


แปลก...ทุกครั้งที่พูดอย่างนี้ ความรู้สึกหนัก ๆ มักจะหายไป แต่ทำไมคราวนี้กลับไม่เป็นอย่างนั้นล่ะ?
เด็กเต็กจึงจำใจปรือตาขึ้นมองหาต้นเหตุของน้ำหนักกดทับอย่างเสียไม่ได้ แต่แล้วบรรยากาศภายในห้องโดยรอบที่ดูไม่คุ้นตาเอาเสียเลยกลับทำให้เขาตกใจจนรู้สึกตัวตื่นเต็มตา... มองมุมไหนห้องนี้ก็ไม่น่าใช่ห้องนอนที่คุ้นตาอยู่ทุกวันเลยสักนิด!!  


เฮ่ย!!” รอบนี้คนเห็นผีถึงกับยอมผงกหัวขึ้นเหลียวมองไปรอบ ๆ ห้องอย่างถ้วนถี่จนเจอใบหน้าที่ดูไม่คลับคล้ายคลับคลากับฌานลอยอยู่ห่างแค่คืบ ค่าสายตาที่สั้นกว่าคนอื่นอยู่หลายร้อยไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับความใกล้ชิดในระยะดมกลิ่นลมหายใจกันได้จะแจ้งเช่นนี้... หล่อ ๆ หมี ๆ แบบนี้มีแค่คนเดียวเท่านั้น

พี่ริน?!” เด็กปีสองโวยวายด้วยความตกใจเหลือจะเอ่ย “พี่รินมาอยู่นี่ได้ไง?!

“เมื่อคืนแนนเมามาก พี่เลยขอฌานพาแนนลงมานอนที่ห้องพี่จะได้ดูแลแนนได้” ฝ่ายที่ตื่นเพราะเสียงนาฬิกาปลุกตอบง่าย ๆ ด้วยอาการสบาย ๆ ผิดกับอีกคนที่เริ่มจะลุกลี้ลุกลนจนดูน่าตลก

“ปล่อยเลย... ปล่อยผมเดี๋ยวนี้เลย!” หนุ่มแว่นที่กำลังจะถอนหายใจด้วยความหงุดหงิดเพราะคำตอบที่ได้ยินผิดไปจากความคาดหมายกลับชะงักค้างเพราะเพิ่งจะตระหนักถึงท่วงท่าล่อแหลมเกินรับได้... กอดซ้อนหลังอะไร? บ้า! เดี๋ยวผีผลักก็เรื่องใหญ่กันพอดี!  

“พี่ปล่อยก็ได้ครับ แต่น้องต้องสัญญากับพี่ก่อนว่าน้องจะไม่โวยวาย โอเคนะครับ?” แม้จะเสียดายความใกล้ชิดทางกายที่มากไปกว่าทุกทีอยู่ไม่น้อย แต่สารินก็ยอมตัดใจแล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไม่สัญญา พี่ก็ไม่ปล่อยครับ”

จิ๊! ก็ได้! ผมสัญญา!

“แล้วก็ห้ามเรียกตัวเองว่าผมด้วยครับ” หลังจากได้ฟังคำเรียกแทนตัวที่หวามไหวไพเราะไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน ว่าที่หมอหมาก็ไม่คิดจะอ่อนข้อให้น้องเฉไฉได้อีกแล้ว

รู้แล้วล่ะน่า!” ทันทีที่ได้รับอิสระทางกายภาพคืนจากหมีขาวตัวใหญ่ เด็กเต็กเวอร์ชันไร้แว่นก็ดีดตัวขึ้นนั่งแล้วสำรวจตัวเองด้วยความร้อนอกร้อนใจคล้ายนางเอกละครตอนสร่างเมา

เฮ่ย!” หนุ่มหัวไข่แผดเสียงร้องด้วยความตกใจเมื่อรู้ว่าใต้ผ้าไม่มีอาภรณ์ห่มท่อนบน ก่อนจะพ่นไฟใส่คนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างก้าวร้าว “เมื่อคืนพี่รินทำอะไรแนน?

“แล้วแนนคิดว่าพี่ทำอะไรแนนล่ะครับ?”

คำถามของสารินไม่ได้รับการเหลียวแลเพราะอีกฝ่ายยักแย่ยักยันหยัดตัวขึ้นจากโปงผ้าก่อนจะยงโย่ยงหยกขยับบั้นเอวและลำตัวท่อนล่างขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างถ้วนทั่วทุกองศาเพื่อท้าพิสูจน์ความอ่อนล้าของช่วงล่าง... โดยเฉพาะด้านหลัง

“เปล๊า!! ไม่ได้คิดอะไรเล้ย... เหวอออ!” กระทั่งเมื่อแน่ใจว่าตนไม่ได้เสียอธิปไตยให้ผู้ชายหล่อล่ำหน้าหม่ำไปในยามไม่มีสติ เด็กเต็กก็ปฏิเสธเสียงหลงพลางทิ้งตัวลงโดยไม่ทันระวัง จากที่จะได้นั่งจุมปุ๊กลงกับฟูกอย่างสวยสดงดงาม กลายเป็นต้องไหลตามน้ำถลาไปนั่งตักคนโตกว่าที่ฉุดมือเอาไว้ได้ทันก่อนที่ร่างก๋องแก๋งนั้นจะหงายตกเตียง

“มึนหัวหรือเปล่าครับ?” สารินอดเป็นห่วงเด็กน้อยในอ้อมกอดไม่ได้ “ปวดหัวไหม? แฮงค์หรือเปล่า?” ตั้งแต่คำถามเมื่อครู่ รุ่นน้องสถาปัตย์ก็เอาแต่ส่ายหัวโดยไม่ตอบคำใด คนเป็นพี่จึงเอื้อมมือไปหยิบแว่นตรงหัวนอนมาส่งให้โดยไม่ลีลา “ไม่เป็นไรก็ดีแล้วครับ อ่ะ... นี่ครับ ใส่แว่นก่อนแล้วค่อยลุกดีกว่าครับจะได้ไม่มึนหัว”

แล้วนี่จะปล่อยได้หรือยัง?” สกลตั้งท่าจะดันตัวเองให้หลุดจากวงแขนและหน้าตักของอีกคน แต่กลับโดนยื้อเอาไว้

“ยังดีกว่าครับ พี่มีเรื่องจะคุยกับแนนสักหน่อย”

“จะคุยอะไร? นั่งข้างล่างก็คุยได้นี่” สารินตีหน้านิ่งแล้วส่ายหัวไม่ยอมท่าเดียว ก่อนจะยิงคำถามใส่อีกฝ่ายด้วยความรวดเร็วและจริงจัง  

“แนนจำได้ไหมครับว่าเมื่อคืนแนนคุยอะไรกับพี่บ้าง?”
.
.
.
.
.
.
.
หลังจากนั่งนึกอยู่นานสองนาน เด็กน้อยด้านบนก็อดโพล่งออกมาไม่ได้  “เมื่อคืนนี้เราคุยกันด้วยเหรอ?”  

“ครับ แนนลุกขึ้นมาคุยกับพี่นานเลยล่ะครับ...
.
...ถามพี่แบบนี้แสดงว่าแนนจำอะไรไม่ได้เลยสินะครับ” จากสีหน้าว่างเปล่าและอากัปกิริยาไม่ได้รู้เหนือรู้ใต้ใด ๆ ก็ทำให้หลานอาม่ามุ่ยฟ้าสรุปสถานะความจำของอีกฝ่ายได้อย่างไม่ยากเย็น “ไม่เป็นไรครับ งั้นพี่ถามแนนตอนนี้อีกทีก็ได้ครับ”

“...อะไร... พี่รินจะถามอะไร?” หนุ่มแว่นออกอาการลังเลกับอดีตบทสนทนาเมื่อชั่วข้ามคืนที่ผ่านซึ่งจะหวนย้อนมาหลอกหลอนเขาอีกครั้ง ยิ่งสารินออกอาการอ้ำอึ้งไม่สบตา ไม่จ้องหน้า เด็กเต็กก็ยิ่งว้าวุ่นใจจนใกล้เตลิด...

ตอนเมาเขาพูดอะไรกับสารินบ้างนะ?
หรือว่าเขาจะเผลอทำตัวรุ่มร่าม ทำลามปาม ทำตัวถ่อยใส่จนอีกฝ่ายทนไม่ไหวแล้วคิดจะเปลี่ยนใจไม่จีบเขาแล้ว?!!  
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“แนนมองเห็นบางอย่างที่คนอื่นมองไม่เห็นเหรอครับ?”  ความโล่งใจหาได้มาเยือนเรือนใจของเด็กเต็กหัวไข่ไม่ เพราะแม้คำถามข้อนี้จะห่างไกลจากสิ่งที่เฝ้าพะวงเอาไว้หลายช่วงตัว แต่ความน่ากลัวของมันกลับไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลยให้ตาย!

เมื่อคืนแนนบอกพี่รินแบบนั้นเหรอ?!!

“ครับ แนนบอกพี่ว่าแนนเห็นพี่กุ๊กกู๋มาตั้งแต่เด็กแล้วครับ” คนโตกว่ากระชับอ้อมกอดเมื่อรับรู้ได้ว่าน้องเริ่มจะเหม่อลอยพลางนั่งโยกตัวไปมาราวกับยอมรับความจริงไม่ได้

โอยยย! ตาย ตาย! ทำไมถึงปากพล่อยแบบนี้นะ?!” เด็กปีสองพึมพำพลางตีอกชกหัวตัวเองเป็นการใหญ่จนชายหนุ่มรุ่นพี่ต้องรวบข้อมือทั้งสองเอาไว้ด้วยกันก่อนจะบรรเทาความกังวลของน้องด้วยคำพูดรับรองอย่างหนักแน่นของตัวเอง

“แนนไม่ต้องคิดมากหรอกครับ เพราะไม่ว่าแนนจะเป็นยังไงพี่ก็รับสิ่งที่แนนเป็นได้ทุก ๆ อย่างแหละครับ”

จริงเหรอ?! ไม่ได้แกล้งพูดให้แนนตายใจใช่ไหม?” นับเป็นครั้งแรกที่หนุ่มแว่นเพิ่งจะเคยได้ยินประโยคดังกล่าวถูกเอ่ยออกจากปากของ คนอื่นนอกจากเหล่าเพื่อนสนิท... ที่ถามย้ำ ไม่ได้หมายความว่า เขาไม่ดีใจที่อีกฝ่ายยอมรับความผิดปกติประการนี้ได้  

แต่มันดีจนเหลือเชื่อเกินจริงไปหน่อยไหม?
ใครจะยอมรับคนที่มองเห็นวิญญาณได้ง่าย ๆ กัน?
.
.
.
.
.
“ครับ”



จริงเหรอ? รับได้จริง ๆ น่ะเหรอ?



“แน่นะ?!

“แน่สิครับ”

“จริงอ่ะ?” หลานอาม่าใหญ่หรี่ตามองจับผิดอีกฝ่ายโดยไม่ลืมถามย้ำอีกครั้ง “พี่รินไม่กลัวแนนจริง ๆ เหรอ?”

“ครับ ไม่กลัวสักนิดเลยครับ เพราะถ้ากลัว พี่คงไม่กอดแนนแน่นแบบนี้หรอกครับ” สารินยิ้มกว้างให้กับเจ้าของเรือนร่างขาวผ่องยวนตาที่กำลังดีใจจนลืมไปว่าตัวเองอยู่ในสภาพน่าดูชมมากแค่ไหน.... อืม ผิวน้องเนียนจัง  

“อือ... ก็จริง!” สกลพยักหน้าหงึกหงักอยู่พักใหญ่กว่าจะเพิ่งรู้สึกตัวว่าโดนอีกฝ่ายลูบไล้แผ่นหลังอย่างถือวิสาสะ “เฮ่ย! ปล่อยเลย... จะสนุกเกินไปแล้ว!” แต่บทจะหน้ามึน สารินก็ไม่เป็นสองรองใคร

“หึ! ยังไม่ปล่อยครับ เพราะพี่ยังอยากจะฟังคำตอบของเรื่องสำคัญอีกเรื่องที่เราคุยค้างกันไว้เมื่อคืน”

“คราวนี้เรื่องอะไรล่ะ?” สกลแสร้างถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายพร้อมกับสะบัดหางเสียงใส่เพื่อกลบเกลื่อนการที่ตนยอมให้ว่าที่นายสัตวแพทย์ทำตามใจตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
.
.
.
.
.
.
.
“แนนครับ แนนย้ายมาอยู่กับพี่เถอะนะครับ”

?!!

“ถึงพี่จะเชื่อใจ ไว้ใจแนน แถมยังนับถือน้ำใจและความเป็นสุภาพบุรุษของฌาน...
.
...แต่แนนรู้ไหมครับ พี่ไม่สบายใจทุกครั้งที่รู้ว่าแนนกับฌานนอนเตียงเดียวกัน” หลังจากประโยคแรกถูกเปล่งออกไป ความในใจทั้งหลายของสารินก็หลั่งไหลท่วมท้นจนคนฟังเริ่มหน้าขึ้นสี ยิ่งเมื่อได้ยินประโยคที่เอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเว้าวอนแบบนี้ใกล้ ๆ ด้วยแล้ว “อยากรู้ไหมครับว่าอะไรที่ทำให้พี่ไม่สบายใจแบบนี้?”

“...ก็พูดมาสิ  ใครมันจะไปห้ามปากพี่รินได้ล่ะ...” เด็กสถาปัตย์ปีสองหรุบสายตามองต่ำด้วยรู้ตัวว่าไม่อาจสู้สายตากับหมีโพลาร์ได้

“พี่หวงแนน พี่ไม่อยากให้แนนใกล้ชิดกับคนอื่น...
.
... ยิ่งคนอื่นที่ไม่ใช่พี่ พี่ยิ่งหวงไปกันใหญ่...
...แนนเข้าใจความรู้สึกของพี่ไหมครับ?”
.
.
.
.
.
.
“...อือ! เข้าใจก็ได้...”

“ถ้าอย่างนั้น แนนย้ายมาอยู่กับพี่ได้ไหมครับ?” สารินรุกหนักเมื่อคนฟังออกอาการอึกอักคล้ายแบ่งรับแบ่งสู้จนดูคล้ายเริ่มโอนอ่อน

“ไม่ดีหรอก มันเร็วไป... แล้ว... แล้ว.. แล้วอีกอย่าง  เราก็ยังไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย” พูดจบ หลานอาม่าใหญ่ก็ก้มหน้างุดเพราะอดเขินกับคำพูดของตัวเองไม่ได้... ก็ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอก แต่มันจะไม่เร็วไปหน่อยเหรอ? คนอื่นจะไม่มองว่าเขาใจเร็วด่วนได้เกินไปใช่ไหม?  

“แต่พี่พร้อมจะเป็นทุกอย่างให้แนนแล้วนะครับ... นะครับ เห็นใจพี่เถอะ แค่เห็นคนอื่นอยู่ใกล้ ๆ แนนพี่ก็ร้อนใจจนคิดอะไรไม่ออกไปเสียทุกที”

“...”

“แล้วยิ่งถ้าคืนนี้พี่ต้องปล่อยให้แนนกลับไปนอนกับฌาน พี่คงจะนอนไม่หลับอีกเลย... แนนไม่สงสารพี่เหรอครับ?”

ทันทีที่คนโตกว่าโน้มตัวกระซิบถ้อยคำหว่านล้อมผ่านน้ำเสียงออดอ้อนชวนละลายใกล้ ๆ ใบหู อาการขนลุกซู่จนวูบวาบไปทั้งร่างก็ทำให้เด็กน้อยซึ่งถูกจู่โจมไม่ทันตั้งตัวออกอาการใจเต้นไม่เป็นส่ำจนเผลอรวนใส่ว่าที่นายสัตวแพทย์ตรงข้ามกับความรู้สึกนึกคิดไปเสียได้


“พี่รินจะนอนหลับหรือนอนไม่หลับ แล้วมันเกี่ยวกับแนนตรงไหนกันเล่า?” ขณะที่คนเป็นพี่ตั้งท่าจะแย้ง เสียงปลุกของนาฬิกาในอีกสิบห้านาทีให้หลังก็ทำให้เด็กเต็กถือโอกาสล้มกระดานโดยพลัน ก่อนจะถลันลุกขึ้นจากเตียงวิ่งหายเข้าห้องน้ำไปซ่อนใบหน้าแดงก่ำให้พ้นจากสายตาของสาริน “พอ พอ พอเลย... แนนไม่คุยด้วยแล้ว! แนนไม่อยากไปเรียนสาย!









“ขอโทษด้วยนะครับที่วันนี้พี่พาไปกินข้าวเช้าที่โรงอาหารไม่ทัน แนนหาอะไรใต้คณะกินไปก่อนก็แล้วกันครับ” หลานอาม่าเล็กเอ่ยกับหนุ่มแว่นร่างผอมสูงที่ยังยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ข้าง ๆ รถโดยไม่ผละไปไหนทั้งที่พวกเขามาถึงคณะสถาปัตย์ได้สักพักแล้ว

“ไม่เป็นไร พี่รินไม่ต้องห่วงแนนหรอก... เดี๋ยวแนนไปแย่งขนมบ๊วยกินเอาก็ได้” สกลซื้อเวลาอย่างละล้าละลัง

“ไม่เอาแบบนั้นสิครับ ถ้าแนนรีบขึ้นคณะไปตอนนี้น่าจะยังมีเวลาให้ซื้อขนมข้างล่างขึ้นไปกินได้ กินอะไรรองทองเสียหน่อยนะครับ กลางวันจะได้ไม่หิวมาก” พอได้ยินคำตอบแบบขอไปที ว่าที่หมอหมาก็อดเป็นห่วงระบบย่อยอาหารของเด็กน้อยไม่ได้

“อือออ!... พี่รินก็เหมือนกัน อย่าลืมหาอะไรกินด้วยล่ะ!” เจ้าของประโยคหน้าแดงแข่งกับมะเขือเทศสุกได้สบาย ๆ ... สภาพของคนตรงหน้ากอปรกับคำพูดที่สะท้อนความเป็นห่วงเป็นใยทำให้หลานอาม่ามุ่ยฟ้าอดครึ้มใจไม่ได้

“หึ หึ... ครับ งั้นเดี๋ยวกลางวันนี้พี่แวะมากินข้าวที่คณะด้วยคนนะครับ” พอเห็นว่า หนุ่มแว่นพยักหน้ารับรู้แต่โดยดี ชายหนุ่มรุ่นพี่จึงไม่โอ้เอ้ให้อีกฝ่ายต้องล่าช้าจนเสียเวลาหาขนมรองท้อง“งั้นพี่ไปเรียนก่อนนะครับ”

เดี๋ยว! คนที่ยังยืนนิ่งไม่ไปไหนเอื้อมคว้ามือใหญ่ที่กำลังจะเลื่อนกลับจับพวงมาลัยของหมีโพลาร์เอาไว้แน่น สารินถึงกับชะงักมองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจเพราะโดยปกติหลานอาม่าใหญ่แทบจะวิ่งลงจากรถแล้วหนีขึ้นตึกไปทันทีที่เจ้าสี่ล้อของเขาจอดสนิท

“พี่ริน... ตรงซอกคอพี่ริน ใช่รอยฟันหรือเปล่า?” เด็กเต็กจับจ้องมองรอยแดงตรงซอกคอของคนเป็นพี่ไม่วางตา
.
.
.
.
.
.
“เอ่อ... คือ...”

“ของแนนใช่ไหม?” เป็นเพราะอาการอ้ำอึ้งของสารินแท้ ๆ ที่ทำให้เด็กสถาปัตย์จับสังเกตได้จนเริ่มจะใช้เสียงและใบหน้าไม่พอใจเข้าช่วยคาดคั้น “ใช่ไหม?

“ครับ แต่แนนไม่ต้องคิดมากนะ พี่ไม่เจ็บแล้วล่ะครับ” ฝ่ามือใหญ่ลูบหลังมือของสกลเบา ๆ โดยที่เจ้าของสัมผัสอันอบอุ่นนั้นกำลังส่งยิ้มปลอบใจไปพร้อม ๆ กัน
.
.
.
.
.
.
“...แนนขอโทษนะ แนนทำพี่รินเจ็บ...” ไม่รู้ว่าสำนึกผิดตอนนี้จะทันไหม แต่เขาก็แก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว

“ฮื่อ... อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ ถึงตอนโดนกัดพี่อาจจะเจ็บนิดหน่อย... แต่พอดูชัด ๆ พี่ก็เริ่มจะชอบรอยฟันของแนนมากขึ้นเรื่อย ๆ ” ท่าทางโศกสลดจนดูเผิน ๆ คล้ายกับใบหน้าแว่น ๆ นั่นหดเหลือสองนิ้วทำให้เด็กสัตว์แพทย์อดใจเสียไม่ได้  คนโตกว่าจึงยอมเผยความในใจหลังจากพิจารณาแผลนี้ด้วยความภาคภูมิใจ ไม่ใช่ความรู้สึกอับอายเมื่อต้องพลาดพลั้งเสียเชิง “มันเหมือนแนนตีตราจองพี่เอาไว้เป็นของแนนคนเดียวยังไงล่ะครับ”

ประสาท! ไปเลย! รีบไปเรียนเดี๋ยวให้พ้น ๆ เลย!

“หึ หึ หึ ครับ ครับ... กลางวันนี้เจอกันนะครับ” สารินยิ้มกว้างเมื่อเห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างของเด็กน้อยขึ้นสีแดงจัดอีกครั้ง... อย่างน้อย ๆ รอยกัดก็ให้อะไรมากกว่าที่คิดแฮะ




 «»------------------------------------ TBC ------------------------------------ «»




No comments:

Post a Comment