เรามาแล้ว วะฮ่า
ฮ่า...
ถ้าอ่านรายละเอียดปลีกย่อยของตอนนี้ย่อมต้องรู้ว่า
เราไม่เหลือสต็อกตอนต่อไปอีกแล้ว
ตอนนี้เป็นการเขียนไปถ่ายทอดสดไป
เพราะฉะนั้นมุกต่าง ๆ จะทันเหตุการณ์มั่ก ๆ ฮ่า ฮ่า ฮ่า
อย่างไรก็ดี
หากเราสามารถ เราจะรวบตอบความเห็นทุก ๆ ท่านพร้อมกันภายในวันนี้
แต่ถ้าไม่...
พรุ่งนี้ตามมาอ่านส่วนตอบความเห็นกันได้นะจ๊ะ
คิดอ่านประการใด...
ฝากข้อความแทนใจเอาไว้ให้เราอ่านหน่อยโนะ ^^
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
The 13th
Bonding
อันของสูงแม้ปองต้องจิต...
ถ้าไม่คิดปีนป่ายจะได้หรือ?!
“สวัสดีครับ”
หลานอาม่ามุ่ยฟ้าเอ่ยทักทายคนปลายสายด้วยน้ำเสียงรื่นหู...
ไม่รู้ว่าเวลาคุยโทรศัพท์กัน
สุ้มเสียงของอีกฝ่ายจะน่าฟังขนาดไหน
แต่ต่อให้สำเนียงก้าวร้าวกรรโชก
โหวกเหวกโวยวาย หรือจะอย่างไรก็แล้วแต่ ขอแค่ให้คนที่คุยด้วยเป็นเด็กแว่น
จะเสียงแบนเสียงหนาสารินก็ยังอยากสนทนาด้วยอยู่วันยันค่ำ
(ฮัลโหล?!)
“ขอบคุณนะครับที่ยอมให้เบอร์พี่”
อารามดีใจหลังได้ยินเสียงคู่สนทนาดังแว่วผ่านลำโพง
ว่าที่นายสัตวแพทย์ก็โพล่งใจความสำคัญที่อยากจะพูดกับคนปลายสายเป็นที่สุดด้วยความกระตือรือล้นทันที คิดแล้วก็เสียดาย... หากเขารู้แต่เนิ่น ๆ ว่าเด็กน้อยแอบกดเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อตอนเย็น
ว่าที่หมอหมาคงได้โอกาสซักไซ้ไล่เรียงเจ้าของเบอร์จนอายม้วนชวนชมอีกคำรบก่อนปล่อยกลับห้องเป็นแน่
(หืม?!)
“แนนโดนเพื่อนว่าหรือเปล่าครับที่กลับถึงห้องดึก?
มีใครแซวอะไรไหมครับ?” เสียงขลุกขลักฟังชอบกลราวกับคนปลายสายกำลังกระแอมกลั้วหัวเราะในลำคอทำให้สารินเริ่มอยู่ไม่สุข
“...แนน!... แนนครับ!...”
.
.
.
.
.
.
.
(หึ หึ เพื่อนผมยอมให้เบอร์พี่รินแล้วเหรอครับ?
ยินดีด้วยนะครับพี่)
“นั่นใครพูดครับ?!” แทนที่ความรู้สึกว้าวุ่นของหนุ่มรุ่นพี่จะได้รับการปัดเป่าให้เบาบาง
ประโยคที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นกึ่งยียวนของปลายสายกลับทำให้คนฟังชะงักค้างพลางตั้งคำถามอย่างอดไม่ได้...
คนที่กำลังคุยอยู่กับเขาเป็นใคร? แฝดพี่ แฝดน้อง หรือไม่ใช่ทั้งสองคน?
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
(ผมฌานครับ
แว่นมันเพิ่งเข้าไปอาบน้ำ อีกสักสิบนาทีก็น่าจะออกมาแล้วล่ะครับ) หลังจากเว้นวรรคพักหายใจเสียยืดยาวราวกับจงใจ
ร่างทรงหนุ่มก็เฉลยตัวตนด้วยอย่างเชื่องช้าคล้ายจะซื้อเวลาเพื่อฆ่าให้คนโตกว่าอกแตกตาย...
แน่นอน สารินย่อมสัมผัสได้ถึงเจตนาไม่ดีไม่ร้ายของฝาแฝดผู้พี่
แต่ความเกรงใจที่มีให้เพื่อนสนิทคนนี้ของน้อง ไม่เกี่ยวข้องกับความสนิทชิดเชื้อที่ทำให้ฌานรับสายแทนหลานอาม่าใหญ่ได้อย่างไม่ประดักประเดิด
“น้องลืมโทรศัพท์ทิ้งไว้ที่ห้องฌานเหรอครับ?”
ว่าที่นายสัตวแพทย์ถามเสียงเข้ม ถึงน้องจะเต็มใจให้เพื่อนรับโทรศัพท์แทนตัวจริง แต่เพื่อความชัวร์... ขอเขาถามดูสักรอบก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร
(เปล่าครับ
ผมกับแว่นนอนห้องเดียวกัน) ปลายสายตอบด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ... แม้สารินจะไม่ใช่พวกชอบจับผิดจนติดเป็นนิสัย
แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า หางเสียงอวดโอ่นิด ๆ ตอนท้าย ๆ ของฌานทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดได้อย่างไม่มีเหตุผล
“น้องนอนห้องเดียวกับฌานเหรอครับ?”
เพราะมัวแต่จดจ่อรอฟังคำตอบของเด็กเต็กอยู่ทุกขณะจิต
เจ้าของประโยคคำถามดังกล่าวจึงไม่ทันรู้ตัวว่า ขณะนี้ ใบหน้าของตนเริ่มจะมู่ทู่ยู่ยี่ตามหัวคิ้วหนาที่ขมวดเป็นปมล่วงหน้าไปเสียแล้ว
กลับเป็นฌานเสียอีกที่จับสังเกตอารมณ์พลุ่งพล่านของสารินผ่านน้ำเสียงเรียบ
ๆ ได้แม่นยำราวกับตาเห็น ร่างทรงหนุ่มจึงฉวยโอกาสงาม
ๆ ที่หล่นลงตรงหน้าล้อเล่นกับความรู้สึกของว่าที่นายสัตวแพทย์หนุ่มอย่างไม่คิดละเว้น
หรือนึกเอ็นดู
.
.
.
.
.
.
.
.
.
(ครับ เรานอนห้องเดียวกัน
นอนเตียงเดียวกันมาตั้งแต่วันแรกที่ย้ายเข้ามาที่นี่แล้วครับ...
.
.
.
...พี่รินยังสงสัยอะไรอีกหรือเปล่าครับ?)
หากรุ่นพี่สัตว์แพทย์มีโอกาสได้เห็นหน้าคู่สนทนา ป่านนี้คงได้กระอักเลือดตาย
เนื่องจากในขณะนี้ ร่างทรงหนุ่มผู้ทำหน้าตายอยู่เป็นนิจกำลังพรายยิ้มแผ่เต็มใบเมื่อใช้วาจาบั่นทอนกำลังใจของคนฟังให้ลดลงได้อย่างอักโข
“พี่ไม่สงสัยอะไรแล้วครับ”
สารินรับคำอย่างขมขื่น เพราะแม้เจ้าตัวจะรู้ซึ้งถึงเนื้อแท้อันดีงามของเด็กน้อยหน้าใส
ทว่าว่าที่นายสัตวแพทย์หนุ่มกลับไม่สำเหนียกถึงพื้นเพนิสัยใจคอของเหล่าสหายสนิทของหนุ่มแว่นหัวไข่เลยสักนิด
จึงไม่ผิดแปลกที่จะโดนฝาแฝดผู้พี่หลอกอำจนแทบล้มคว่ำคะมำหงายไปเต็ม ๆ
อย่างไรก็ดี...
นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งหวาดระแวงเพื่อนสนิทของน้องให้ต้องยิ่งกังวล
เห็นทีว่า
คงไม่มีหนทางอื่นที่จะช่วยบรรเทาความรู้สึกร้อนรุ่มเหมือนสุมไฟเพราะไม่อยากให้น้องนอนร่วมห้องกับใครอื่นได้
นอกไปเสียจากทำให้เงื่อนไขที่สองของอาม่าบรรลุผลภายในวันศุกร์ที่กำลังจะมาถึงให้จงได้
“แต่ฌานคงไม่ขัดข้องใช่ไหมครับถ้าหลังจากคืนนี้น้องจะย้ายมาอยู่ห้องพี่?”
จริงอยู่ แม้คำถามของหนุ่มรุ่นพี่จะสะท้อนความยอมรับนับถือและเกรงอกเกรงใจผู้ฟังมากพอสมควร
กระนั้น เหตุผลที่ชวนให้สารินเปรยเรื่องนี้กับฌาน ไม่ใช่เพราะต้องการขออนุญาต
หากแต่เพื่อประกาศความต้องการของตนเพื่อดูท่าทีของคู่สนทนาเสียมากกว่า
(หึ หึ หึ ผมจะไม่มีปัญหาอะไรเลยครับ
ถ้าเพื่อนผมเป็นคนออกปากว่าอยากจะย้ายไปอยู่กับพี่ต่อหน้า ‘ทุก ๆ คน’) ที่สุดแล้วแฝดพี่ก็ยอมแย้มพรายเงื่อนไขสำคัญซึ่งจะทำให้พวกเขาทั้งหมดยินยอมปล่อยให้เพื่อนหัวไข่ขยับขยายย้ายถิ่นฐานไปอยู่กับ
‘คนนอก’
อย่างสาริน
“ถ้าอย่างนั้นฌานตอบคำถามพี่อีกสักข้อสองข้อได้ไหมครับ?”
รุ่นพี่หลับตา สูดลมหายใจเข้าปอดอย่างช้า ๆ พลางใคร่ครวญถึงทางออกของปัญหาเร่งด่วนอยู่คนเดียวในใจจนระบบความคิดวุ่นวายไปหมด
(ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับพี่ริน
เชิญครับ)
“ขอแค่น้องยอมพูดออกมาให้ทุกคนฟัง...
ต่อให้น้องจะพูดยังไง หรือพูดด้วยอารมณ์... อาการไหนก็ถือว่าโอเคใช่ไหมครับ?” สารินพูดไปก็ปลอบใจตัวเองไปว่า ถ้าได้ลองนั่งจับเข่าคุยกับเด็กน้อยท่ามกลางบรรยากาศเหมาะ
ๆ ตนน่าจะตะล่อมอีกฝ่ายให้ยอมเอ่ยปากว่าอยากย้ายมาอยู่ด้วยกันได้ แน่นอนว่าในระหว่างนั้น
เขาจะแอบอัดเสียงหลานอาม่าใหญ่เพื่อใช้เป็นหลักฐานยืนยันต่อหน้าฌานและคนอื่น ๆ
รวมทั้งย่าทั้งสองในภายหลัง
(ครับ
แค่แว่นยอมรับกับ ‘ทุก ๆ คน’ ว่าอยากไปอยู่กับพี่ริน ผมก็ยินดีด้วยครับ) แฝดพี่ตอบรับทันควันเหมือนกับรู้ว่าสารินกำลังวางแผนอะไรอยู่
“ถ้าเย็นพรุ่งนี้พี่จะขอให้ฌานนัดรวมตัว
‘ทุก
ๆ คน’ เหมือนอย่างวันนี้อีก
ฌานจะสะดวกไหมครับ?” ค่าที่เผลอมโนสภาพการนอนร่วมห้องของน้องกับร่างทรงหนุ่มไปถึงไหน
ๆ แท้ ๆ ที่ทำให้ว่าที่นายสัตวแพทย์กลัดกลุ้มจนไม่อาจผลัดวันประกันพรุ่งได้อีกต่อไป
.
.
.
.
.
.
.
.
.
(ขอผมเช็คกับพวกพี่เต๋อก่อน
แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะไลน์ไปบอกพี่อีกทีก็แล้วกันครับ) ระหว่างรับปากอย่างแบ่งรับแบ่งสู้อยู่นั้น
ฌานก็เริ่มพิมพ์ข้อความลงในไลน์กลุ่มเฉพาะกิจซึ่งไม่นับรวมเพื่อนหัวไข่และว่าที่นายสัตวแพทย์เป็นสมาชิกอย่างรวดเร็วเพื่อระดมสมองของทุก
ๆ คนแบบทันควัน ปล่อยให้รุ่นพี่ที่ปลายสายนั่งทอดถอนใจกับสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพียงลำพัง
“รบกวนด้วยนะครับฌาน”...เอาเถอะ
หากการเจรจาแบบผู้มีอารยะกับเด็กน้อยไม่เป็นผล ถึงตอนนั้น
ค่อยเปลี่ยนแผนการเป็นพูดจาสัพยอกหยอกล้อให้น้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
ก่อนจะหลอกล่อให้หลุดปากพูดประโยคทีเด็ดด้วยโทสะก็ได้... คงไม่ยากเกินไปล่ะมั้ง
(ด้วยความยินดีครับพี่ริน) ร่างทรงหนุ่มกล่าวปิดท้ายแล้วจึงกดวางสายใส่รุ่นพี่ต่างคณะอย่างไม่มีเยื่อใย
ก่อนจะหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจเมื่อเห็นว่า‘ทุก ๆ คน’พร้อมยื่นมือให้ความช่วยเหลือแก่ว่าที่สมาชิกใหม่ของกลุ่มด้วยความยินดี
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
“หึ! เด็กแลนด์อย่างพวกมึงนี่ว่างนักหรือไงวะ? ถ้ารู้ว่าว่างขนาดมีเวลามารังควาญพวกกูถึงห้องได้ทุกวัน
ๆ กูคงไม่เรียนเต็กให้เหนื่อยสายตัวแทบขาดแบบนี้แน่
ๆ” ตรินบ่นพึมพำหลังจากกวาดตามองดูรุ่นน้องปีสองที่นั่งระเกะระกะรายรอบโต๊ะตัวกลางของห้องนั่งเล่นในเพนท์เฮาส์ของตัวเขาเป็นรอบที่ร้อยเห็นจะได้
“โห่ววว พี่เต๋อก็! พวกก็เรามาช่วยพี่เต๋อตัดโมแล้วนี่ไงครับ ไม่เอา...
ไม่งอแงต่อหน้าน้อง ๆ นะครับ เดี๋ยวคนอื่นจะไม่นับถือเอารู้ไหม?” สกลละสายตาจากกระดาษชานอ้อยในมือแล้วยกปลายคัตเตอร์ขึ้นชี้รุ่นพี่ร่างหมีพลางยิ้มเผล่ใส่ให้อารมณ์ตีเสมอกลาย
ๆ จนโดนอีกฝ่ายแจกกล้วยซึ่ง ๆ หน้าพร้อมกับถลึงตาคาดโทษ
“เดี๋ยวมึงจะโดน!” แม้จะหงุดหงิดกับความปีนเกลียวของรุ่นน้องหัวไข่
แต่เจ้าบ้านกลับไม่อาจทำตัวปากว่ามือถึงได้ง่าย ๆ เนื่องจากตนเองก็กำลังสาละวนอยู่กับการตัดชิ้นส่วนโมเดลไม่ต่างไปจากเด็กปีสองร่วมคณะทั้งสี่
“อาทิตย์หน้าพวกเราก็ไม่น่าจะเหลือเวลาเที่ยวเล่นอีกแล้วล่ะครับพี่เต๋อเพราะอาจารย์กลับมาสอนกันครบแล้ว”
ก่อนมวยคู่เอกจะถือกำเนิด ลูกแม่บัวก็กุลีกุจอเปิดปากแจ้งเหตุผลที่ทำให้บรรดาปีสองยกขโยงกันมายึดครองพื้นที่รับรองแขกของเต๋อตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดิน
แล้วจึงหันกลับไปปรามอดีตเดือนมหาลัยซึ่งนั่งซ้อนหลังพลางป้อนมันฝรั่งแผ่นเข้าปากเขาราวกับเครื่องยนต์ยัดเยียดของกินอัตโนมัติ
“พี่หมี... พอแล้วครับ ไม่ต้องป้อนเค้าแล้ว... พี่หมีเองก็กินเองบ้างเถอะครับ”
“ตัดเสร็จแล้วประกอบเลยหรือเปล่าครับพี่เต๋อ?”
แฝดพี่ส่งเสียงถามกลบถ้อยคำตัดพ้อดังหงุงหงิงของธันวาจนมิด พลางจัดแจงและ จำแนกชิ้นส่วนโมเดลให้ง่ายต่อการประกอบ
สลับกับมองหาหลอดพริทท์ไปพร้อม ๆ กัน
“เหอะ! มึงไม่ต้องประกอบหรอก งานนี้กว่าจะส่งก็วันพฤหัสโน่น...
กูว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้กูจะเก็บงานเองอีกที เผื่อต้องตัดแก้บางชิ้นใหม่” ตรินโบกมือไหว
ๆ ส่งให้รุ่นน้องเพื่อให้ทยอยเก็บข้าวของให้เป็นที่... นับว่าการมาเยือนของเหล่าสมุนเลวหนนี้เป็นคุณแก่เจ้าบ้านยิ่งกว่าทุกครั้ง
เนื่องจากมืออาชีพปีสองทั้งสี่ช่วยเนรมิตรให้งานเดี่ยวชิ้นดังกล่าวเสร็จเร็วกว่าที่หนุ่มร่างหมีกะระยะเวลาเอาไว้หลายเท่าตัว
“โห! พี่เต๋อ พ่อทูนหัวของน้องทำไมถึงขยันแบบนี้?
แบบก็เขียนไว๊ไว แถมยังตัดโมเสร็จตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่อีกต่างหาก น้องล่ะปลื๊มปลื้มอยากจะหยิบยืมมาควงแขนสักวันสองวัน!” หลานอาม่าใหญ่เล่นหูเล่นตาพลางจีบปากจีบคอประจ๋อประแจ๋คล้ายจะแก้มือจากความผิดพลาดในรอบที่แล้ว
แต่รุ่นพี่ร่างเล็กผู้ซึ่งเพิ่งเดินออกมาจากครัวกลับไม่เปิดโอกาสให้หนุ่มแว่นทำคะแนนได้
“วิญญาณกลับเข้าร่างถูกแล้วเหรอไงไอ้แนน
ฮึ? หรือไอ้ที่สงบเสงี่ยมเจียมตัวเมื่อสองสามวันก่อนคือตัวตนที่แท้จริง แต่ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมามึงโดนสัมภเวสีสิงสู่มาตั้งแต่แรกเกิดคนอื่นเลยไม่รู้ว่ามึงมันหงิม?”
หลังจากวางจานเปลอัดแน่นด้วยของกินเล่นชุดใหญ่ลงบนโต๊ะ อริยะตรัยผู้พี่ก็ปรายหางตาชำเลืองจิกรุ่นน้องหัวไข่อย่างไม่ไว้หน้า
ฝ่ายสกลผู้พร้อมจะกลับมาทวงบัลลังก์สุดยอดเจ้าปากหมาคืนจากทุก ๆ คนก็เชิดหน้าจ้องตาสู้กับกรกฏอย่างไม่มีลดราวาศอก
“เฮียฟูพูดเหมือนรู้เลยนะครับว่าธรรมชาติของสัมภเวสีเป็นยังไง...
หรือช่วงวันพระวันโกนเฮียยังไปต่อไลน์บุฟเฟ่ต์ตามทางสามแพร่งกินอยู่บ่อย ๆ
กันเอ่ย?”
“ไอ้สัดแนน!!”
“พี่เต๋อออ
พี่เต๋อช่วยน้องด้วยยย น้องโดนผีเร่ร่อนทำร้าย ผีเร่ร่อนจะมากินตับไตไส้พุงน้อง!”
จังหวะที่กังฟูขึ้นวะขึ้นโว้ยพร้อมดีดตัวพุ่งเข้าใส่เด็กเต็กหัวไข่
เป็นช่วงเดียวกันกับที่อีกฝ่ายผุดลุกขึ้นพลางส่งเสียงร้องวุ้ยว้ายด้วยจริตนางร้ายแถวหน้าพลางฉีกขาวิ่งไปหาเต๋อหมายจะยั่วยุรุ่นพี่วิศวะให้โมโหหึงจนหน้ามืด
แต่แล้วที่หมายปลายทางร่างหมีกลับสลัดแขนผอม ๆ ของสกลทิ้งอย่างไม่ใยดีแล้วจึงหลีกไปโอบเอวคนรักร่างเล็กเพื่อพาไปนั่งยังโซฟาตัวที่ยังว่าง
จนคนเห็นผีต้องโผไปซบแฝดพี่แก้เก้อเสียอย่างนั้น
“แล้วที่พวกมึงมาสุมหัวกันที่ห้องกูวันนี้นี่มีอะไร?
จะหาเรื่องฉลองอะไรกันอีกล่ะ?” เต๋อถามลอย ๆ พลางตบเบาข้าง ๆ ให้แฟนหนุ่มอีกหนึ่งหน่อที่เพิ่งเดินหล่อออกจากครัวพร้อมกับจานของกินเล่นอีกใบมานั่งลงเสียด้วยกัน
“เรื่องนี้ต้องให้สกลเป็นคนอธิบายครับพี่เต๋อ...
จริงไหมแนน?” ฌอนที่เพิ่งจัดการเก็บเศษซากกระดาษเหลือใช้ทิ้งจนไม่เหลือซากเป็นฝ่ายเปิดประเด็น
“อธิบายอะไร?! พูดดี ๆ นะฌอนศรี!” หนุ่มแว่นหันไปเห่าใส่เพื่อนสนิทคิดคดที่มักจะเล่นบทโหดหักหลังตัวเองอยู่เป็นประจำ
“เรื่องอะไร?
หรือว่า?!”คำด่ายังไม่ทันห่างกาย
พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยก็ทำหน้าล้อเลียนพลางแสยะยิ้มร้ายกาจให้สกลทันควัน
“หรือว่าเรื่องริน หือ... ยังไงไอ้แนน? มึงจะเปิดตัวเหรอออ?”
“อย่าซึนได้ป่ะแนนซี่
ฉันรู้นะว่าจริง ๆ แล้วนายก็มีใจให้ฮยอง*อยู่เหมือนกัน” คนอื่น ๆ ถึงกับเหวอเมื่อจู่ ๆ อคิราซึ่งก่อนหน้านี้ยังนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้กับเหล่าผู้ชายในไอแพดอยู่ตรงมุมห้องย้ายมวลร่างกายมาโผล่ข้าง
ๆ แฝดน้องภายในชั่วพริบตาเดียว (ฮยอง* : พี่ชาย (ภาษาเกาหลี))
“ยอมรับมาเหอะน่า
ฮยองน่ะออกจะงานดีขยี้ใจ... ขืนชักช้าไม่รีบตีตราจองให้ไว เดี๋ยวก็มีคนมางาบฮยองไปไม่รู้ด้วย!” อิ๊กยังคงข่มขู่อย่างต่อเนื่อง แต่ก่อนที่คนเห็นผีจะได้ตอบโต้
เสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าใหม่ก็ทำให้ใบหน้าบอกบุญไม่รับของสกลยิ่งดูเลิ่กลั่กจนน่าสงสัย
เด็กเต็กหัวไข่ยกมือขึ้นทำท่าขอเวลานอกสลับกับส่งสายตาอ้อนวอนขอความเห็นใจจากชาวคณะทั้งหมด
“เอ่อ...
เดี๋ยวขอเวลาผมแป๊บนึงได้ไหมครับ คือ... พอดี...” หลานอาม่าใหญ่ประวิงเวลาพลางกลอกตาแอบไล่อ่านข้อความบางส่วนที่แสดงบนหน้าจออย่างลับ
ๆ ล่อ ๆ หารู้ไม่ว่าความพยายามดังกล่าวกลับกลายเป็นหายนะอันน่าอับอายครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดที่ชายหนุ่มเคยพานพบมาก่อน
“เร็วไอ้อิ๊ก ไอ้เก็ก! จับมัน! ไอ้หัวจุก แย่งมือถือมันมา! ไอ้ตัวบอส... หาอะไรอุดปากมันให้แน่น ๆ อย่าให้มันส่งเสียงได้!” กังฟูสั่งการเร็วรี่ ส่วนเหล่าสมุนเลวก็ดีเหลือใจเพราะทันทีที่ได้รับคำสั่ง
ทั้งหมดเว้นแต่ก็เพียงชายกลางต่างลงมือได้อย่างแคล่วคล่องว่องไวคล้ายกับซักซ้อมคิวมาเป็นอย่างดี
“...อื้อ!!... อื้ออออ!!... อ่อยยย!!....” หลังจากกัดฟันดิ้นรนต่อสู้เพื่ออิสรภาพทางกายอยู่พักใหญ่
ๆ สุดท้ายหนุ่มแว่นซึ่งโดนเพื่อน ๆ กอดรัดจนไม่อาจกระดิกกระเดี้ยไปไหนได้ก็จำใจทิ้งน้ำหนักนอนแบ็บทอดตัวเหนือหน้าตักของฝาแฝดและหนุ่มหล่อประจำคณะวิศวะพลางจับจ้องมองดูอุปกรณ์สื่อสารไร้สายของตัวเองที่ตกอยู่ในมือของรุ่นพี่จอมวายร้ายอย่างหมดอาลัยตายอยาก
“บูบู้บอกรหัสเข้าเครื่องไอ้แนนมาเดี๋ยวนี้!” กรกฏคาดคั้นชายกลางที่นั่งทำหน้าไม่ถูกอยู่อีกฟาก
แต่คนรักของน้องชายกลับปฏิเสธด้วยคำวิงวอนด้วยอดสงสารเพื่อนสนิทไม่ได้
“เฮียครับ
อย่าทำแบบนี้เลยครับ คืนโทรศัพท์ให้สกลไปเถอะครับเฮีย” ถึงลูกแม่บัวจะทัดทานความต้องการของหนุ่มวิศวะร่างเล็ก
แต่ปลายนิ้วมือของรุ่นพี่กลับซุกซนไม่สนเสียงใคร
“บูบู้ไม่บอกก็ไม่เป็นไรเพราะมันไม่ได้ใส่รหัส
หึ หึ” อริยะตรัยผู้พี่กดเลือกกล่องข้อความล่าสุดอย่างถือวิสาสะ ก่อนจะอ่านออกเสียงให้ทั้งหมดได้ยินโดยทั่วกันโดยไม่ลืมเสริมฟังก์ชั่นทำเสียงอ่อนเสียงหวานให้เหมาะสมกับความรู้สึกสิเน่หาของคนต้นทาง
“เลิกเรียนแล้วครับ เดี๋ยวอีกยี่สิบนาทีเจอกันนะครับ... คิดถึงแนนจัง”
“เฮียครับ
พอเถอะครับ!” ยิ่งชายกลางห้ามปราม พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยก็ยิ่งล่วงล้ำพื้นที่ส่วนตัวสุดหวงแหนของหนุ่มแว่นหนักมือขึ้นเรื่อย
ๆ
“ขอบคุณนะครับที่ยอมให้เบอร์กับพี่
ทีนี้พี่จะได้ไม่ต้องคิดถึงแนนโดยที่แนนไม่รู้ตัวอีกแล้ว” ขาดคำ อคิราที่นั่งจับปลายเท้าของหลานอาม่าใหญ่ก็ส่งเสียงกรีดร้องก้องรับจนฌอนผู้ประคองลำตัวท่อนกลางของเพื่อนหัวไข่ถึงกับถลึงตาใส่คนรักอย่างอดไม่ได้
แต่เด็กบริหารกลับมิได้นำพา
“มีอีก ๆ ยังไม่หมด!”
“อ่านเลยครับตั่วเฮีย!” ศัตรูตลอดกาลปาวสานผู้ผันตัวเป็นลูกคู่ชั่วคราวยุยงส่งเสริมกังฟูตัวจี๊ดให้ยิ่งเหิมเกริมไปกันใหญ่
“พี่ขอโทรไปปลุกแนนได้ไหมครับ?
อยากได้ยินเสียงแนนเป็นเสียงแรกของวันจังเลย...
...ราตรีสวัสดิ์ครับ
อย่าคิดถึงพี่จนนอนไม่หลับนะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าเราก็ได้เจอกันแล้ว...
...หัดเรียกพี่ตามที่สัญญาไปพลาง
ๆ นะครับ เดี๋ยวพอเราเจอกันแนนค่อยลองเรียกพี่รินหวาน ๆ ให้พี่ชื่นใจอีกทีดีไหม?...
...มื้อไหนไม่ได้เห็นหน้าแนน...
พี่กินข้าวไม่อร่อยเลย กลางวันนี้ขอพี่ไปกินข้าวด้วยคนนะครับ”
“โอ้ยยย!
ฮยอง...
ฮยองหวานเว่อร์!!” สีหน้าปลื้มปริ่มราวกับได้ลองลิ้มละเลียดกล้ามหน้าอกคิมทันของอคิราคือที่มาของเสียงกระแอมเหมือนโดนก้างปลาทิ่มคอแบบที่ฌอนกำลังทำอยู่
“พี่มีทำแลบฯถึงหกโม...”
“ฟู...พอเถอะครับ เต๋อไม่เห็นว่าจะมีอะไรน่าสนใจเลยสักนิด”
ตรินขัดขึ้นเพราะเห็นว่าคนรักเล่นสนุกพอแล้ว แต่กรกฏกลับยังไม่ยอมเลิกราง่าย ๆ
“หึ หึ หึ ใช่!
มันจะไปน่าสนใจได้ยังไงล่ะเต๋อ...
ก็ฟูน่ะ ยังไม่ได้อ่านส่วนที่น่าสนใจที่สุดให้เต๋อฟังเลยนิ”
“หืม?!” ไม่ใช่แค่หนุ่มร่างหมีเท่านั้นที่ออกอาการสงสัย
ชายหนุ่มที่เหลือต่างก็เหลียวมองกันไปมาอย่างสับสนอลหม่าน
“พวกมึงตั้งสติแล้วจงฟังให้ดี
ๆ ต่อไปนี้คือคำตอบที่เพื่อนมึงเขียนตอบเด็กสัตว์แพทย์ไป”
“อื้อออ!
ฮื่อออ!!!” เสียงอู้อี้ของหนุ่มแว่นเปรียบดังสัญญาณแจ้งการเริ่มอ่านของเด็กวิศวะปีสาม
กังฟูกระแอมพอเป็นพิธีเพื่อทิ้งจังหวะให้ผู้ฟังได้ตั้งสติกันโดยถ้วนหน้า
“จริง ๆ
ผมก็อยากให้เบอร์คุณนานแล้ว แต่ถ้าให้เร็วไป... เดี๋ยวคุณจะหาว่าผมง่ายน่ะสิ” นี่นับเป็นอีกครั้งที่คำพูดคำจาของอริยะตรัยผู้พี่สามารถเรียกเสียงดังอิ๊งอ๊างคล้ายคนคุ้มคลั่งให้เล็ดลอดออกจากปากของลูกคู่ชั่วคราวอย่างอิ๊กได้
“ไม่ต้องโทรมาปลุกผมหรอก
เดี๋ยวผมโทรไปหาคุณเองดีกว่า... แค่มาเดินเล่นอยู่ในฝันผมทั้งคืน คุณก็น่าจะเหนื่อยพอแล้ว”
ยิ่งได้ยินเสียงเชียร์ของอคิรา กรกฏก็ยิ่งตั้งหน้าตั้งตาอ่านข้อความของสกลด้วยความย่ามใจ
“ฝันดีครับ อยากให้พรุ่งนี้มาถึงเร็ว ๆ จัง”
แทนที่รอบนี้จะได้ยินเสียงหวีดจากอดีตเดือนบริหาร
กลายกลับเป็นฌานที่ส่งเสียงแหยะด้วยความขยะแขยง เพราะหลานอาม่าใหญ่อาศัยกระบวนท่าชิวหาพาสยองเลียฝ่ามือแฝดพี่จนเฉอะแฉะเพื่อที่ริมฝีปากจะได้เป็นอิสระ
“เฮียฟูจะบ้าเหรอครับ? ผมเขียนอะไรลิเกแบบนั้นเสียที่ไหน?!” หนุ่มแว่นหัวไข่แผดเสียงค้านหัวชนฝา
“เออ
กูมั่ว! แล้วมึงจะทำไม?” กังฟูยืนเท้าเอวลอยหน้าลอยตายอมรับอย่างไม่มีสลด อีกฝ่ายจึงตะโกนเถียงอย่างไม่ยอมลดละแบบเพียบพร้อมไปด้วยโทสะล้วน
ๆ
“มโนแจ่มขนาดนี้ไปเอาดีด้านเขียนนิยายเถอะครับ!”
“กูจะทำอะไรมันก็เรื่องของกู
แต่ตอนนี้ถึงตามึงอธิบายแล้วว่ามึงกับรินนี่ยังไง?” รุ่นพี่ร่างเล็กยืนจังก้ายกมือขึ้นกอดอกมองหน้าเด็กเต็กหัวไข่ด้วยสายตาที่เหนือกว่า
ท่าทางมั่นอกมั่นใจคล้ายกับผู้ชนะที่กรกฏแสดงออก ตอกย้ำให้สกลรู้ว่า จะอย่างไร...
วันนี้เขาคงต้องคายความลับที่เฝ้าเก็บงำเอาไว้ให้ทุก ๆ คนในที่นี้ได้รับรู้เป็นแน่แท้
“จะบอกดี ๆ
หรือจะให้กูมโนเขียนประโยคเลี่ยน ๆ ส่งไปหารินแทนมึงดีล่ะ? กูสามารถนะ...
มึงก็รู้นิ” ระหว่างรัวปลายนิ้วลงบนแป้นพิมพ์ พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยก็บอกใบ้ข้อความที่ต้องการจะส่ง
สลับกับปรายตามองรุ่นน้องหัวไข่อย่างจงใจไปพร้อม ๆ กัน “รีบ... มา... นะ...ครับ...พี่...ริน...แนน...คิด...ถึง...พี่...ริน...จน...จะ...ทน...ไม่...ไหว...อยู่...แล้ว...
โอ๊ะ! มือลั่...”
“บอกครับ! ผมยอมบอกแล้วครับเฮียฟู! ขอโทรศัพท์ผมคืนได้ไหมครับ?!” เด็กสถาปัตย์หน้าแว่นยับยั้งความตั้งใจของรุ่นพี่ต่างคณะได้ทันควัน
แต่นั่นกลับไม่ใช่สิ่งที่กรกฏต้องการ
“ไม่ได้!
มึงต้องสารภาพให้กูฟังก่อน!”
“บ๊วย...ช่วยเราด้วย
โทรศัพท์...” คนเห็นผีพยายามขอตัวช่วยด้วยการอ้อนวอนเพื่อนรักสลับกับมองมือถือในมือกังฟู
จนวิญญูที่นั่งเงียบมาตั้งแต่แรกต้องยอมออกโรงช่วยเหลือสกลเพราะทนสงสารรุ่นน้องไม่ไหว
“ฟูครับ คืนโทรศัพท์สกลให้บ๊วยไปก่อนครับฟู”
กรกฏจิ๊ปากอย่างหงุดหงิด กระนั้น แทนที่เจ้าตัวจะคืนโทรศัพท์ให้บ๊วยแต่โดยดี เด็กปีสามร่างเล็กกลับยื่นสมาร์ทโฟนส่งให้อดีตเดือนบริหารที่หายตัวไปยืนตระหง่านอยู่เบื้องหลังของพี่ชายคนรักเก่าเป็นที่เรียบร้อย
“กูเลิกยุ่งกับโทรศัพท์มึงแล้ว
ทีนี้มึงจะบอกกูได้หรือยัง?”
“ใช่ ๆ
บอกมาเดี๋ยวนี้นะ อย่ามาลีลา!!” ใครเลยจะรู้ว่า กรกฏจะมาไม้นี้... จริงอยู่ที่เจ้าตัวยอมรามือจากโทรศัพท์ของสกลตามคำขอของคนรัก
แต่กลับกลายเป็นคนยืนข้าง ๆ ที่ตั้งท่าโบกมือถือเจ้าปัญหาไปมาเพื่อข่มขู่หลานอาม่าใหญ่ไม่ให้บิดพลิ้วเฉไฉแทนเสียนี่
“มึงคิดยังไงกับสาริน?”
กังฟูคาดคั้นจนจำเลยสุดจะทานทน
“ก็แล้วเฮียคิดว่าผมคิดยังไงกับพี่รินล่ะ?”
“กูถามมึง
ไม่ใช่ให้มึงมาย้อนถามกู! ไอ้อิ๊ก... จัดการ!” เมื่อไม่สบอารมณ์กับคำตอบของเด็กเต็กหัวไข่
อริยะตรัยผู้พี่ก็หันไปหามือขวาที่พร้อมน้อมรับคำบัญชาอย่างขยันขันแข็ง
“เดี๋ยว
ๆๆๆ ! ยอมแล้ว! ผมยอมแล้ว! ผมชอบพี่ริน ผมชอบพี่ริน ผมชอบพี่ริน! เฮียฟูจะคืนโทรศัพท์มาให้ผมได้หรือยัง?!”
.
.
.
.
.
.
.
.
“หึ! ก็แค่เนี้ย ทำเป็นเล่นตัวอยู่ได้ตั้งนานสองนานนะแนนซี่!” ประโยคของฌอนดังขึ้นพร้อม ๆ กับอิสรภาพทางกาย สกลที่เพิ่งโดนฝาแฝดจัดท่าทางเปลี่ยนจากนอนเป็นนั่งพิงพนักโซฟาลากสายตามองตามเพื่อน
ๆ และรุ่นพี่ด้วยความสับสน
“หึ หึ หึ... เสียงดังฟังชัดดีนะแว่น
ถ้าพี่รินรู้ พี่รินคงจะดีใจแย่” แฝดพี่กระเซ้าพลางตบหัวไหล่เพื่อนหัวไข่เบา ๆ อย่างผ่อนคลายราวกับเมื่ออึดใจก่อนหน้าไม่มีเรื่องน่าวิตกใด
ๆ เกิดขึ้น
“เฮียของเก็กนี่เก่งจริง
ๆ เลย” ธันวาเดินข้ามฟากไปสวมกอดคนรักตัวน้อยของตนเอาไว้พลางพูดจาประจบเอาใจพี่ชายเสียงดังฟังชัด
แต่กลับขัดหูผู้เป็นพี่อย่างที่สุด
“หึ! มึงไม่ต้องมาชมกูแก้เก้อ มึงแค่จะเข้ามาปลอบขวัญไอ้บูบู้...
กูรู้ทันหรอก” กังฟูยกนิ้วขึ้นชี้หน้าน้องชายร่วมสายเลือด พลางถลึงตาใส่อีกฝ่ายอย่างรู้เท่าทัน
แต่กลับเป็นคิวท์บอยคนล่าสุดที่ช่วยสนับสนุนคำพูดของอดีตเดือนมหาลัยให้ยิ่งมีน้ำหนักมากกว่าเดิม
“ฮื่อ
ไม่จริง... ฟูเก่งจริง ๆ นะครับ ขนาดด้วงยังแอบรู้สึกกดดันแทนสกลเลย”
.
.
.
.
.
.
.
.
“เดี๋ยวนะครับ?! นี่มันอะไรกันครับทุกคน? บรรยากาศชื่นมื่นสะท้านโลกายิ่งกว่าลีโอนาโดได้ออสการ์นี่หมายความว่าอะไร?” สกลโพล่งถามคนอื่น ๆ มันโต้ง ๆ เพราะแม้จะพยายามจับต้นชนปลายสักแค่ไหน
ทว่าเขากลับไม่อาจขับไล่อาการงงเป็นไก่ตาแตกให้พ้นไปได้เสียที
“โธ่ โธ โถ
แนนซี่... ที่ถามนี่ไม่รู้จริง ๆ หรอกเหรอ?” อคิราเดาะลิ้นทำเสียงยียวนพลางเลิกคิ้วมองหน้าเด็กเต็กสี่ตาอย่างกวนประสาทเต็มพิกัด
“ทีนี้พี่เต๋อก็รู้แล้วใช่ไหมครับว่าพวกเรามารวมตัวกันเพื่อเลี้ยงฉลองเรื่องอะไร?”
บ๊วยเอ่ยถามพี่รหัสเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ
“เรื่องที่ไอ้แนนมันจะมีผัวเป็นตัวเป็นตนแล้วน่ะเหรอ?”
ตรินจึงพูดลอย ๆ พร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่มพลางเหลือบหางตามองไปยังใบหน้าแดงแจ๋ของคนเห็นผีที่เพิ่งรู้ว่าอะไรเป็นอะไรไปเมื่ออึดใจที่แล้วนี่เอง
“ยังเสียหน่อยครับพี่เต๋อ
น้องยังไม่มี.....” สกลเถียงด้วยเสียงอ้อมแอ้มจนเก็กอดแซะไม่ได้
“ยังไม่มีอะไรเหรอหนูแนน?”
“...ก็ยังไม่มี...
นั่นแหละ!!...”
“แหน่ะ!
เดี๋ยวนี้มีสะดีดสะดิ้งนะอีหนู!” หนุ่มรูปงามประจำคณะวิศวะคลี่ยิ้มพร้อมกับส่งสายตาล้อเลียนเพื่อนสนิทคนรัก
ส่วนคนโดนแซวก็เริ่มจะรู้สึกอับอายขึ้นมาอีกระลอกจนไม่เป็นอันได้ยินเสียงออดตรงหน้าประตูที่เรียกให้เจ้าบ้านร่างหมีปลีกตัวลุกออกจากวงสนทนาไป
“ยินดีด้วยนะ”
ชายกลางคลี่ยิ้มอย่างจริงใจพลางเอื้อมมือไปบีบไหล่เพื่อนรักเบา ๆ
.
.
.
.
.
.
“บ๊วย... เราอายว่ะ”
หลานอาม่าใหญ่พึมพำคล้ายจะกักเสียงพูดไม่ให้หลุดจากลำคอ
“ไม่เห็นน่าอายเลย
เราว่าน่าดีใจออกที่ทุก ๆ คนเป็นห่วงนายถึงขนาดลงทุนทำอะไรแบบนี้เพื่อนายคนเดียวเลยนะ”
ที่สุดแล้ว เด็กเต็กหัวไข่ก็ได้รับฟังที่มาที่ไปของเหตุการณ์ระทึกขวัญสะท้านใจครั้งหนึ่งในชีวิตจากปากเพื่อนรักเสียที...
นี่ทุกคนร่วมมือกันทำเพื่อตัวเขาเพียงคนเดียวจริง ๆ น่ะหรือ?!
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“ไม่รู้ดิ... จะยังไงเราก็อายอยู่ดีนั่นแหละ”
ยิ่งคิดถึงเรื่องเมื่อสักครู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ยิ่งรู้สึกเคอะเขินเกินทนไหว... ถ้าไม่ติดว่านั่งอยู่ต่อหน้ารุ่นพี่ปีสามล่ะก็
ป่านนี้สกลคงได้ม้วนตัวขดเป็นก้อนกลม ๆ ไปแล้วแน่ ๆ
“นายก็คิดเสียว่าซ้อมเอาไว้ก่อน
เวลาที่นายบอกชอบพี่ริน นายจะได้ไม่เขินมากไง” ชายกลางปลอบใจสหายรักด้วยรอยยิ้มและความรู้สึกปรารถนาดีที่ส่งผ่านแววตา
“หึ! ผ่านเมื่อกี๊ไปได้ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวแล้ว”
ฌอนสำทับ แต่คราวนี้เขากลับไม่ได้รับวาจานุ่มนวลเป็นรางวัลตอบแทนจากเพื่อนซี้หัวไข่เช่นเดียวกันกับบ๊วยแต่อย่างใด
“สิบปีล้างแค้นก็ยังไม่สาย!
ระวังเอาไว้เถอะ
ทั้งฌอนศรีทั้งงูเห่านั่นแหละ!”
“ใจคอพวกมึงนี่จะไม่เดือดร้อนออกหน้าไปเอาพิซซ่าที่พวกมึงสั่งเอาไว้หน่อยเหรอ?
เห็นกูเป็นตู้เอทีเอ็มเคลื่อนที่ได้หรือยังไง?” เต๋อบ่นพลางเดินถือกล่องพิซซ่าขนาดใหญ่ร่วมสิบกล่องฝ่าเข้ามากลางวง
กลิ่นหอม ๆ ของอาหารเย็นพร้อมกับความปลอดโปร่งโล่งใจทำให้เด็กปีสองหัวไข่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาออกอาละวาดได้อีกครั้ง
“เฮียฟูครับ พี่ด้วงครับ
รอบนี้พี่เต๋อคงถึงคราวตกอับจริง ๆ แล้ว... ผมว่า ทางที่ดีเฮียฟูกับพี่ด้วงรีบชิ่งก่อนจะต้องกัดก้อนเกลือกินจะดีกว่า!” หลานอาม่าใหญ่แสร้งพูดเอาใจรุ่นพี่วิศวะทั้งสอง
จากนั้นจึงตั้งท่าอ้าวงแขนกว้างกางออกเพื่อรับขวัญพี่รหัสเพื่อนรักพร้อมกับพูดจาเชื้อเชิญด้วยใบหน้าสุดฟิน
“มาครับ! เดี๋ยวน้องจะรับเซ้งพี่เต๋อต่อเอง!!”
“ใครบอกว่าแค่เลี้ยงพิซซ่าพวกมึงแค่นี้แล้วกูสะเทือน?! กูด่าพวกมึงที่สั่งกันแบบไม่รู้สำนึกต่างหาก!...
.
.
...ถ้าพวกมึงแดกไม่หมด
กูจะเอาพิซซ่าที่เหลือพร้อมกล่องมาปาหัวพวกมึงให้แตก...
...มึงจะได้รับเกียรติจากกูเป็นคนแรกเลยไอ้สัดกล!”
“แล้วใครบอกเราว่าพวกพี่จะเลิกกันง่าย
ๆ ?” วิญญูรับช่วงต่อจากตรินทันทีเมื่อสบโอกาส “ถึงเต๋อไม่มี... พี่ก็เลี้ยงทั้งเต๋อทั้งฟูได้สบาย
ๆ ... ไม่เต๊าะแฟนพี่จะดีกว่าไหมครับแนน?” คิวท์บอยเผยออร่าเย็นยะเยือกพลางส่งสายตาอาฆาตมาดร้ายยากูซ่าสไตล์ไปให้รุ่นน้องหัวไข่อย่างไม่นึกหวง
“อุ่ย!
น้องไม่ยุ่งครับน้องไม่ยุ่ง!
จากนี้เป็นต้นไป
น้องก็ขอให้พวกพี่ ๆ ครองรักกันจนแก่เฒ่า ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชรกันเลยนะครับ”
“หึ หึ หึ...
แว่นเอ๊ย รนหาที่แท้ ๆ!”
แฝดพี่ซึ่งยืนพิงโซฟาอยู่ข้างหลังสกลยื่นมือไปโยกหัวไข่ ๆ ของเพื่อนรักเบา ๆ ... บังเอิญเหลือเกินที่ภาพการหยอกล้อระหว่างเด็กสถาปัตย์ทั้งสองกระแทกหัวใจผู้มาใหม่เข้าอย่างจัง
ว่าที่นายสัตวแพทย์กระแอมไอแล้วจึงลอบส่งสายตาดุ
ๆ ไปจับจ้องฌานอย่างเป็นกิจลักษณะ พอเห็นท่าทีหวงก้างของคนเป็นพี่ ผู้อ่อนอาวุโสกว่าจึงระบายยิ้มบาง
ๆ ก่อนจะขยี้หัวหนุ่มแว่นอีกครั้งส่งท้าย ซึ่งถือเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ใครต่อใครต่างส่งเสียงอุทานด้วยความตกใจเมื่อเห็นสารินปรากฏกายขึ้นในห้องพร้อมกับกล่องของกินเครื่องเคียงที่มาพร้อมกับออเดอร์พิซซ่าสิบกว่าถาดเมื่อสักครู่
“อ้าว!?!”
“กูเจอสารินหน้าห้องตอนรอคนส่งพิซซ่าทอนตังค์น่ะ
กูเลยชวนเข้ามา” หนุ่มร่างหมีอธิบายสั้น ๆ พลางแจกจ่ายอุปกรณ์ให้แก่ทุก ๆ คน
“แล้วพี่รินรู้ได้ยังไงครับว่าพวกเราอยู่ห้องพี่เต๋อ?”
ธันวาซักไซ้
“คุณกังฟูส่งข้อความไปบอกพี่น่ะครับ” ทันทีที่ได้ยินคำตอบของว่าที่หมอหมา
สกลก็หันขวับไปจิกตาใส่กรกฏกับอคิราพร้อมกับระเบิดออร่าพร้อมจะไฝว้ ทว่าพี่ชายอดีตเดือนมหาลัย
กับลูกคู่งูเห่ากลับทนทายาดมาตรว่าแมลงสาบยังต้องซูฮก
“ก็กูบอกมึงแล้วไงว่ามือกูลั่น”
“อุ๊ปซี่!” อิ๊กลอยหน้าลอยตาร้องอุทานพลางยกมือขึ้นปิดปากทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
ใบหน้าขึ้นสีที่ดูจะเป็นเพราะความโกรธมากกว่าความกระดี๊กระด๊าดีใจของรุ่นน้องหัวไข่ทำให้เจ้าของห้องต้องออกหน้าไกล่เกลี่ยโดยไม่รอช้า
“กิน กิน กิน!
พวกมึงรีบกินกันตอนร้อน
ๆ จะได้ไม่มีข้ออ้างว่าพิซซ่าไม่อร่อย พอโดนกูปาพิซซ่าใส่หัว กูจะได้หัวเราะได้เต็มเสียงหน่อย”
เต๋อประกาศเสียงดังฟังชัด พร้อม ๆ กับชี้มือชี้ไม้บอกพิกัดเครื่องดื่ม “เบียร์อยู่ในตู้เย็น
ส่วนใครจะกินมากกว่าเบียร์ก็หยิบขวดตรงชั้นเหนือเตาแก๊สมาจัดการกันเอาเอง
ขออย่างเดียว ห้ามเมาจนทำห้องกูเละเทะเป็นอันขาด ไม่งั้นศพพวกมึงไม่สวยแน่”
“คร๊าบบบ!” สิ้นเสียงร้องของเหล่ารุ่นน้องทั้งหลาย หนุ่มร่างหมีหน้าคมก็หันไปสบตากับวิญญูเหมือนรู้ความต้องการของอีกฝ่ายอย่างทะลุปรุโปร่ง...
พ่อบ้านใจกล้าย่อมเข้าใจวิถีแห่งการทำความสะอาดบ้านของกันและกันได้ดีอย่างไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนอีกแล้ว
“นี่ริน... ผมขอถามอะไรหน่อยสิ”
หลังจากพิซซ่าและเครื่องเคียงพร่องไปได้กว่าสองในสาม แกนนำกลุ่มพันธมิตรคนอวดผัวก็ออกวาดลวดลายสุดเร้าใจอีกครั้ง
“จะถามอะไรผมเหรอครับคุณกังฟู?”
“ รินจีบไอ้แนนมันเหรอ?”
คำถามของกรกฏทำเอาสกลสะดุดลมหายใจจนสำลัก ว่าที่นายสัตวแพทย์จึงเบนความสนใจทั้งหมดไปพยาบาลหนุ่มแว่นด้วยการหันไปป้อนน้ำลูบแผ่นหลังของอีกฝ่ายเป็นการใหญ่
จนเมื่อเด็กน้อยของเขากลับสู่สภาพปกติ สารินจึงให้คำตอบแก่คนรอฟังอย่างสุภาพทว่าหนักแน่นเป็นที่สุด
“ครับ”
“ถามจริง?!”
“ครับ
ผมกำลังจีบน้องอยู่” เด็กสัตว์แพทย์เอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำจนแก้มของเด็กน้อยที่นั่งข้าง
ๆ กายเริ่มจะซับสีแดงระเรื่อขึ้นอีกครา
“คิดดีแล้วใช่ไหม?
รู้หรือเปล่าว่าปากไอ้แนนมันร้ายอย่างกับอะไร?” ถึงถ้อยคำจะฟังไม่เข้าหู
แต่อริยะตรัยผู้พี่กลับเอ่ยด้วยความปรารถนาดีต่อเพื่อนร่วมชั้นปีจากต่างคณะเป็นล้นพ้น
ทว่าคนที่จิตใจแน่วแน่มาตั้งแต่ไหนแต่ไรอย่างสารินกลับไม่ไหวหวั่นกับกิตติศัพท์อันลือลั่นของหลานอาม่าใหญ่
“เวลาอยู่กับผมน้องก็พูดจาน่ารักดีนะครับ
และผมเชื่อว่าผมเลือกคนไม่ผิด”
“เรอะ?!” พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยสะบัดหางเสียงใส่คู่สนทนาพลางส่งสายตาท้าทายอย่างเปิดเผย
.
.
.
.
.
.
สารินฉวยโอกาสที่อีกคนเงี่ยหูรอฟังคำตอบ
นั่งนิ่งเฉยแล้วไตร่ตรองใคร่ครวญกับตัวเองอีกครั้งก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าฟังตามเคย
“ถ้างั้นผมถามคุณคืนบ้างได้ไหมครับ?”
เมื่อเห็นกังฟูพยักหน้าตอบรับ ว่าที่นายสัตวแพทย์จึงเสริมต่อ “นอกจากเรื่องปากเสียแล้ว...
แนนยังมีข้อเสียอะไรอีก?” คราวนี้หนุ่มปีสามจากคณะสัตวแพทย์หันหน้าไปสบตากับคนอื่น
ๆ ที่เหลือพร้อมกับพูดเชื้อเชิญอย่างโจ่งแจ้ง “ผมถามทุก ๆ คนเลยก็ได้ครับ
ช่วยบอกข้อเสียของน้องให้ผมรู้อย่างละข้อ... แต่ขอให้ไม่ซ้ำกันนะครับ”
“มันปากโคตรเสีย!” กรกฏลั่นวาจาโดยไม่ต้องเสียเวลายั้งคิด ในขณะที่คนอื่น
ๆ ต่างเริ่มขมวดคิ้วพลางครุ่นคิดถึงนิสัยเสื่อมทรามอย่างไม่น่าทำตามของหนุ่มแว่น เว้นเสียก็แต่บ๊วยที่นั่งอมยิ้มน้อย
ๆ เพราะเข้าใจถึงสิ่งที่ว่าที่นายสัตวแพทย์ต้องการจะสื่อได้อย่างถึงแก่น
“แล้วคนอื่นล่ะครับ
ว่ายังไง?” สารินทวงถาม
.
.
.
.
.
.
“ปีนเกลียวรุ่นพี่...
ในบางที” ผู้ได้รับผลกระทบจากการลามปามไม่รู้จักสัมมาคารวะของเด็กเต็กอย่างด้วงให้ข้อมูลเพิ่มเติมหลังจากทบทวนเรื่องต่าง
ๆ มาเป็นอย่างดี
“แล้วคุณเต๋อล่ะครับ
ว่ายังไง?” ตรินส่งยิ้มให้พลางส่ายหัวน้อย ๆ คล้ายจะบอกใบ้ว่า ที่สุดแล้วตัวเขาก็รู้ทันความคิดของสารินเป็นที่เรียบร้อย
ว่าที่หมอหมาจึงเบนเข็มไปหาเด็กรุ่นน้องแทน “คนอื่น ๆ ล่ะครับ?”
“ถ้าน้องมีข้อเสียแค่ปากไม่ดีกับปีนเกลียว
ผมก็ถือว่า ผมโชคดีที่เจอคนที่ดีพร้อมมากที่สุดคนหนึ่งแล้วล่ะครับ” ทันทีที่เด็กปีสองทุกคนพร้อมใจกันส่ายหัวยอมรับโดยดุษณี
หลานอาม่ามุ่ยฟ้าก็สรุปสั้น ๆ อย่างได้ใจความโดยไร้คำคัดค้านใด ๆ ต่อการตัดสินใจของตัวเขาในครั้งนี้
“ฮยองงง! ซารางฮัมนีดา... โอ๊ยยย! โอปป้าอ่ะ... หึงเค้าแรงเรื่อยเลย!!” ค่าที่บอกรักชายอื่นต่อหน้าต่อตา อคิราจึงโดนฝาแฝดคนเล็กเช็คคลื่นสมองด้วยการนวดขมับอย่างรุนแรงและไร้เมตตาอยู่กว่านาทีได้
“หึ หึ หึ
เข้าใจพูด เอาเป็นว่าผมไม่ติดใจแล้วล่ะว่าทำไมคุณถึงชอบไอ้แนนมัน” กรกฏถอนหายใจด้วยสีหน้าเหม็นเบื่อใส่ลูกคู่ผู้ซึ่งถึงฆาตไปหมาด
ๆ ด้วยน้ำมือของเด็กเต็กหัวจุก ก่อนจะหันไปทำตัวเจ้ากี้เจ้าการใส่หนุ่มแว่นอีกครั้ง
“แล้วมึงล่ะแนน มึงคิดยังไงกับริน? เขาออกจะพูดชัดเสียขนาดนี้แล้ว มึงจะทำเป็นเฉย
ๆ ไม่ตอบโต้อะไรไม่ได้นะ!”
“เฮียฟูจะเซ้าซี้ให้ได้อะไรขึ้นมาครับ?
หรือชีสบนหน้าพิซซ่ามันละลายสมองเฮียจนหมดปัญญาจะจำอะไรได้แล้ว?” อย่านึกนะว่า ความอับอายจะทำให้ชายหนุ่มผู้มีวาจาเป็นอาวุธอย่างเขาหงอจนยอมสงบเสงี่ยมเจียมบอดี้ไปได้...หึ! ไม่มีวันเสียล่ะ
“แว่น!”
“สกล!”
“ไอ้สัดกล!”
“หึ หึ หึ... ช่างมึง!
มึงอยากจะยึกยักก็ยึกยักให้พอใจ
กูถือว่ากูให้โอกาสมึงได้พูดในส่วนของมึงแล้ว” พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยโบกมือหยอย ๆ ให้กับเจ้าของเสียงห้ามปรามและเตือนสติสกลทั้งหลาย
พร้อมกับแจกจ่ายรอยยิ้มและความสดใสอันอำมหิตโหดร้ายให้ทุกฝ่ายโดยทั่วถึงกัน...
ปล่อยให้หมาเด็กสายตาสั้นมันลำพองใจไปก่อน
เพราะความเลวร้ายซ้ำซ้อนกำลังจะบังเกิดขึ้นกับมันในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้านี้แล้ว!!
“ไอ้อิ๊ก! ส่งมือถือกูมา!” กังฟูหันไปสั่งลูกคู่ด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด แล้วจึงปรับเสียงให้ซอฟท์ใสลงอีกหลายเบอร์เพื่อคุยกับเด็กสัตว์แพทย์หลังจากได้เครื่องมือสื่อสารส่วนตัวจากอคิรามาแล้ว
“ริน... ผมมีคลิป ๆ นึงอยากให้รินดู ดูจบแล้วรินบอกผมด้วยแล้วกันว่ารินชอบไหม?”
“เฮียฟู!
อย่านะครับเฮีย!
ผมขอร้อง!!
เฮียฟูเลิกเล่นเถอะครับ!
เฮียฟูอย่าทำแบบนั้นกับผมเลย!!” หลานอาม่าใหญ่ถึงกับนั่งไม่ติดเมื่อเห็นอริยะตรัยผู้พี่หยิบยื่นมือถือส่งให้ว่าที่นายสัตวแพทย์ด้วยสีหน้าราวกับราชาเหรียญทองโอลิมปิกก็ไม่ปาน
“พี่ริน!
พี่รินห้ามดูนะ!
ถ้าพี่รินดูแนนจะไม่พูดกับพี่รินอีกเลยตลอดชีวิต” ด้วยกลัวว่าความลับจะรั่วไหลเป็นที่สุด เด็กเต็กหัวไข่จึงหลุดปากออกคำสั่งกับหมีโพลาร์อย่างเด็ดขาดโดยไม่ทันรู้ว่า
ตนเผลอพูดสรรพนามที่ยังไม่คุ้นลิ้นออกมาอีกครั้ง ฝั่งสารินก็นั่งมองหน้าคนรักของเต๋อสลับกับหลานอาม่าใหญ่อย่างจนใจ
นั่นจึงเป็นสาเหตุให้กรกฏรวบรัดตัดสินใจแทนพวกเขาไปโดยปริยาย
“ไอ้แนน กูให้โอกาสมึงเป็นครั้งสุดท้าย...
มึงตอบมาเสียดี ๆ ว่ามึงคิดยังไงกับริน!”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“...เอ่อ...
อ่า...” สกลอ้ำอึ้งพลางมองมือถือของรุ่นพี่วิศวะด้วยสายตาท้อแท้ และแม้ว่าเขาจะสิ้นหวังจนล้มประดาตายลงต่อหน้าพี่ชายอดีตเดือนมหาลัย
ก็ไม่มีวันที่กรกฏจะให้โอกาสอยู่ดี
“เร็ว!
เดี๋ยวมือกูลั่นอีกแล้วมึงจะเสียใจ!” ฝ่ายที่ถือไพ่เหนือกว่าเร่งรัดอย่างเอาเป็นเอาตายจนชายหนุ่มรุ่นน้องต้องจำยอมกล้ำกลืนความอับอาย
แล้วเปิดปากบอกความในใจออกมาอีกครั้งอย่างขมขื่น
“ผมชอบพี่ริน!”
“มึงชอบรินแบบไหน?”
“ก็ชอบแบบที่เฮียชอบพี่เต๋อกับพี่ด้วงชอบนั่นแหละ!”
“กูไม่ได้ชอบเต๋อกับด้วง...
แต่กูรัก เพราะฉะนั้นมึงต้องตอบใหม่! มึงชอบรินแบบไหน?” กรกฏผู้ไร้เทียมทานยังคงเซ้าซี้เด็กเต็กปีสองอย่างสนุกสนาน
“ก็ผมบอกเฮียฟูไปแล้วนี่
เฮียฟูจะยังคาดคั้นผมให้ได้อะไรขึ้นมาอีกล่ะ?!” สกลทุ่มเถียงกับอีกฝ่ายอย่างหน้าดำหน้าแดง
สำหรับสารินผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ใด
ๆ แม้แรก ๆ จะรู้สึกตกใจที่ได้ยินคำสารภาพของน้องแบบไม่คาดฝัน แต่เมื่อมองดูภาพรวมของสถานการณ์ตรงหน้า
เขาก็รู้โดยพลันว่าเด็กน้อยกำลังถูกรุ่นพี่กลั่นแกล้งโดยไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปห้ามปราม...
อย่างนี้แล้ว เขาจะเพิกเฉยปล่อยให้กังฟูทำตัวเอาแต่ใจใส่น้องต่อไปได้อย่างไรกัน?!
“คุณกังฟูครับ
ถ้าคุณกังฟูไม่ลำบาก... เรื่องนี้ ขอให้ผมคุยกับน้องตามลำพังวันหลังดีกว่าไหมครับ?
พอดีผมหวง ผมไม่อยากให้ใครเห็นน้องตอนพูดความในใจที่มีให้ผมน่ะครับ”
“หึ หึ หึ ก็ได้”
คำพูดและน้ำเสียงชวนฟังไม่ได้ทำให้เด็กวิศวะยอมยั้งมือ ทว่าเป็นเพราะแววตาและสีหน้าจริงจังจนต้องยำเกรงของสารินต่างหากที่ซื้อชีวิตของสกลไปจากอริยะตรัยตนโตไปแบบง่าย
ๆ
“แต่ผมขอเตือนรินไว้อย่าง...
ถ้ารินไม่อยากให้ผมตั้งโต๊ะสอบสวนไอ้แนนแบบวันนี้อีก อย่าลืมว่า... หลังจากตกลงคบกันเป็นเรื่องเป็นราว
รินต้องบอกให้พวกผมทุกคนร่วมรับรู้โดยพร้อมเพรียงกัน... โอเคไหม?” คำพูดทิ้งท้ายของกังฟูทำให้สารินฉุกคิดและเข้าใจจุดประสงค์ของทั้งหมดในชั่วพริบตา
ว่าที่นายสัตวแพทย์จึงปรับเปลี่ยนท่าทีกลับสู่มาดอบอุ่นตามเดิม
“ตกลงครับ ผมรับปาก”
สารินรับคำเป็นมั่นเหมาะจนกรกฏและชายหนุ่มที่เหลือล้วนแล้วแต่พออกพอใจไปตาม ๆ กัน
“ดี! แล้วพวกผมจะรอ”
“แนนครับ
พอดีพี่มีเรื่องอยากจะคุยกับแนนสักหน่อยน่ะครับ” สารินฉวยโอกาสที่คนอื่น ๆ เริ่มจะแยกกันพุดคุยเป็นกลุ่มย่อย
ๆ เพื่อเกริ่นเรื่องย้ายห้องกับน้องที่นั่งนั่งนิ่งไม่พูดไม่จาอยู่ข้าง ๆ
เขาตลอดเวลาที่เหล่าปีสามสนทนากันอยู่พักใหญ่
“รายยย?!” ทนที่จะได้ทาบทามเด็กน้อยอย่างเป็นกิจลักษณะ หนุ่มแว่นที่เพิ่งตวัดใบหน้าหันมาเบิกตามองเขาราวกับเป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับล่าสุด
ก็ส่งเสียงอ้อแอ้พร้อมกับค่อย ๆ เลื้อยตัวลงนอนแผ่กับพื้นอย่างเชื่องช้า
“แนน?! แนนเมาแล้วเหรอครับ?” อีกฝ่ายยกหัวขึ้นค้างกลางอากาศพลางส่งยิ้มหวานหยาดเยิ้มมาให้
แล้วจึงพยักหน้าหงึกหงักรับรองความเป็นไปที่ไม่ปกติของตัวเองอย่างแข็งขัน “บ๊วยครับ...
เมื่อกี๊น้องไม่ได้กินน้ำเปล่าหรอกเหรอครับ?”
“พวกผมพยายามห้ามเต็มที่แล้วครับพี่ริน
ขอโทษด้วยนะครับ” ชายกลางว่าพลางผายมือไปยังขวดเครื่องดื่มดีกรีแรงขนาดใหญ่ที่บรรจุของเหลวสีใสไม่ต่างจากน้ำไว้ภายในซึ่งขณะนี้เหลือไม่ถึงหนึ่งในสี่ของภาชนะ
“แล้วนี่น้องกินไปเยอะหรือเปล่าครับ?”
“ก็ถ้าไม่ได้น้องชายกับเก็กช่วยไว้
ขวดใหญ่ทั้งขวดนั่นแว่นมันก็น่าจะซดหมดคนเดียวไปแล้วล่ะครับ” ฌานตอบคำถามของสารินแทนบ๊วยที่หันกลับไปประคบประหงมคนรักของตัวเองเสียแล้ว
“แนน! แนนได้ยินพี่ไหมครับ?”
“งื่อออ
ไม่เอา! พี่พลายยย!
พี่สกลกลัวแล้วก๊าบบบ!” คนเมานอนยกมือกราบไหว้ลมไหว้ฟ้าปลก ๆ จนดูน่าตลกและน่าสมเพชระคนกัน
“พี่ว่าพี่พาแนนไปนอนก่อนดีกว่าครับ
ขืนปล่อยให้นั่งอยู่แถวนี้นาน ๆ น้องอาจจะทำห้องคุณเต๋อเลอะเทอะไปกันใหญ่ก็ได้” สารินรวบตึงด้วยความเป็นห่วงเด็กน้อยอย่างที่สุด
“ผมไปด้วยดีกว่าครับ”
ฌานพูดเสียงเรียบ “ไม่งั้นพี่รินจะเข้าไปส่งสกลที่ห้องผมได้ยังไง”
และแล้ว ความหวังที่จะได้พาหลานอาม่าใหญ่กลับไปดูแลต่อที่ห้องต้องมีอันพับไปเมื่อแฝดพี่เสนอความช่วยเหลือโดยสารินไม่ทันได้เอ่ยขอ
แม้จะรู้สึกหึงหวงคนเมาจนไม่อาจบอกกล่าวเป็นคำพูดได้ แต่ในเมื่อตนเองไม่สามารถทำตามเงื่อนไขของฝาแฝดได้
ว่าที่นายสัตวแพทย์จึงทำได้แค่เอ่ยคำร่ำลากับชายหนุ่มบางส่วน ก่อนจะประคองร่างเหลวเป๋วเป็นขี้ผึ้งต้องไฟทุลักทุเลตามหลังฌานออกจากห้องเต๋อไปทันที
“ฌานครับ...
เดี๋ยวพอฌานเปิดห้องให้พี่เรียบร้อยแล้ว ฌานจะขึ้นมาสังสรรค์กับเพื่อน ๆ
ต่อเลยก็ได้นะครับ เดี๋ยวพี่จะส่งน้องเข้านอนเอง” ระหว่างโดยสารลิฟท์ สารินก็แสดงความจำนงอย่างชัดแจ้ง
กระนั้น ฌานกลับใช้ศักดิ์และสิทธิของการเป็นเจ้าของห้องปฏิเสธอย่างนุ่มนวลในทันทีทันใด
“เดี๋ยวผมดูแลแว่นเองก็ได้ครับพี่ริน
ผมว่าผมน่าจะหยิบจับอะไรได้คล่องกว่า”
“ถ้างั้นฌานจะนั่งอยู่เป็นเพื่อนระหว่างที่พี่ส่งน้องเข้านอนก็ได้ครับ
พี่จะได้ถามฌานอีกทีว่าอะไรอยู่ตรงไหน” หนุ่มรุ่นพี่มองร่างทรงหนุ่มอย่างไม่ยอมพ่ายแพ้ง่าย
ๆ แต่ก่อนที่จะได้ข้อสรุป ทั้งสองก็พาคนเมาเดินมาถึงยังหน้าบานประตูของห้องทั้งสองที่หันประจันกันเป็นที่เรียบร้อย
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“พี่รินส่งแว่นมาให้ผมประคองเถอะครับ
พี่รินจะได้เปิดประตูให้ผมได้” แฝดพี่เป็นฝ่ายเริ่มทำลายความเงียบลงหลังจากเล่นเกมจ้องตากับสารินอยู่นานสองนาน
“ฌานเปิดประตูห้องเถอะครับ
พี่ประคองน้องคนเดียวได้ครับ... จะได้ไม่ต้องเปลี่ยนมือไปมา” จะอย่างไร ว่าที่หมอหมาก็ไม่คิดจะปล่อยให้
‘คนอื่น’ แตะต้องน้องของเขาตามอำเภอใจอีกเป็นอันขาด
“แต่ผมไม่มีกุญแจห้องพี่รินนี่ครับ
แล้วผมจะเปิดประตูห้องให้พี่รินได้ยังไง? ให้ผมประคองแว่นน่ะน่าจะสะดวกกับพี่รินมากกว่า จริงไหมครับ?”
“หืม?!”
“หึ หึ หึ” กว่าจะรู้ตัวว่ารุ่นน้องพูดอะไร
สารินก็ต้องอาศัยเวลาสักพักเพื่อละวางอคติลง จากนั้นเจ้าตัวจึงจะสามารถเผยรอยยิ้มกว้างจนตาเป็นขีดออกมาได้อีกครั้งด้วยความเบิกบานใจอย่างแท้จริง
“กุญแจห้องพี่อยู่ในช่องซิปด้านหน้าสุดของเป้พี่ครับ”
ว่าแล้ว เด็กสัตว์แพทย์ก็เบี่ยงตัวเพื่ออำนวยความสะดวกให้แฝดพี่หยิบกุญแจห้องของตนได้อย่างถนัดถนี่
“ขอบคุณนะครับที่ไว้ใจพี่” สารินละล่ำละลักกับเพื่อนสนิทของน้องหลังจากอีกฝ่ายช่วยไขกุญแจ
แล้วเปิดประตูห้องของตนให้
“คืนนี้ผมยอมให้พี่เป็นพิเศษแค่คืนเดียวเท่านั้นนะครับ
ตราบใดที่เพื่อนผมยังไม่พูดว่าอยากจะอยู่กับพี่
ก็ไม่มีวันที่แว่นจะย้ายออกไปนอนค้างอ้างแรมที่อื่นเป็นอันขาด”
“ครับ
พี่เข้าใจ” น่าประหลาดที่หลังจากกระชับร่างเหลวเป๋วไร้รูปทรงจนแนบใกล้ น้ำเสียงข่มขวัญของอีกฝ่ายก็ไม่อาจสั่นคลอนความมั่นใจของสารินได้เหมือนเมื่อแรกได้ยินอีกต่อไป ว่าที่นายสัตวแพทย์จึงตอบรับคำพูดตอกย้ำของฌานด้วยความปลอดโปร่งโล่งใจผิดไปจากเมื่อคืนวาน
.
.
.
.
.
.
.
.
“ที่ผ่านมา ถึงจะเมาลืมโลกแค่ไหนแต่แว่นไม่เคยโดดเรียนเพราะแฮงค์เลยสักครั้ง...
.
.
...เพราะฉะนั้น...
ถ้าพรุ่งนี้แว่นไปเรียนไม่ได้เพราะร่างกายเกิดจะไม่สมประกอบขึ้นมาเฉียบพลัน...
...พี่รินอย่าได้หวังว่าหลังจากนี้พวกผมจะยอมให้พี่เจอหน้าแว่นอีกเป็นอันขาด...
...พี่รินเข้าใจใช่ไหมครับ?”
หนุ่มรุ่นน้องเอ่ยทุก ๆ ถ้อยคำให้สารินรับฟังอย่างช้า ๆ ชัด ๆ โดยไม่ละสายตาที่สบประสานกันสักวินาที
จนคนเป็นพี่รู้แจ้งแก่ใจถึงความเป็นห่วงเป็นใยในสวัสดิภาพของเพื่อนรักที่เด็กเต็กกลุ่มนี้มีให้ต่อกัน
“ครับ พรุ่งนี้ก่อนเก้าโมงพี่จะพาน้องไปส่งที่หน้าคณะนะครับ”
“แล้วพวกผมจะรอครับ”
แฝดพี่พูดพลางยื่นพวงกุญแจส่งคืนให้เจ้าของห้องโดยไม่ลืมกำชับใจความสำคัญอีกครั้ง
“ฝันดีครับพี่ริน... ฝากดูแลเพื่อนผมอย่างดีด้วย”
“พี่ฝากฌานขอบคุณและขอโทษทุก
ๆ คนอีกครั้งด้วยนะครับที่ต้องเสียมารยาทกลับก่อน”
“หึ หึ หึ...
ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมบอกทุกคนให้”
“ขอบคุณมากนะครับฌาน”
สารินเอ่ยพร้อมส่งยิ้มจริงใจให้หนึ่งในเพื่อนสนิทของเด็กน้อย แต่ก่อนที่อีกฝ่ายจะผละจาก
ฌานก็ฝากข้อความทิ้งท้ายชวนให้ว่าที่นายสัตวแพทย์หนุ่มใจไม่ดี
“อ้อ! เกือบลืมแน่ะ!...
...ตอนเมาไม่ได้สติ
เพื่อนผมมักจะอยู่ไม่ค่อยจะสุขเท่าไรหรอกนะครับพี่ริน...
.
.
...ขอให้พี่รินโชคดีนะครับ
หึ หึ หึ” ขาดคำ แฝดพี่ก็หมุนตัวเดินลิ่ว ๆ ตรงเข้าไปในลิฟท์ที่เปิดประตูกว้างรอเจ้าตัวอย่างน่าอัศจรรย์
ปล่อยให้หลานอาม่าใหญ่กลายเป็นภาระน่าหนักใจของหลานอาม่าเล็กไปตลอดทั้งคืน
«♥»------------------------------------ TBC ------------------------------------ «♥»
อิ๊ก: ตั่วเฮีย...
ตั่วเฮียอัดคลิปแบล็กเมล์แนนซี่เอาไว้ด้วยเหรอ? *ทำหน้าสงสัย*
กังฟู: เปล่า!
อิ๊ก: อ้าว! แล้วเมื่อกี๊ตั่วเฮียจะเปิดคลิปอะไรให้ฮยองดูล่ะ?
*ทำหน้าสงสัยยิ่งกว่าเดิม*
กังฟู: คลิปลูกหมาวิ่งหน้าคว่ำ *ตอบหน้าตาย*
อิ๊ก: ตั่วเฮียแม่ง!! *พูดคำว่า ‘เฮี่ย’ เบา ๆ ไม่ให้มีเสียง*
กังฟู: ก็แล้วมันเวิร์คไหม? *ถามหน้าตายพร้อมกับกดเปิดคลิปให้อิ๊กดู*
อิ๊ก: อุ๊ย! น่ารักเนอะตั่วเฮีย!! *ทำเป็นไม่สนใจแล้วนั่งดูน้องหมาอย่างเพลิดเพลิน*
กังฟู: เออ! กูโคตรชอบเลย *สุมหัวนั่งจ้องน้องหมาไปพร้อม ๆ กัน*
เก็ก: ฌอน... มึงดูดิ เฮียกูกับฮอบบิทแลกเปลี่ยนเหากันแล้วว่ะ
*พยักเพยิด*
ฌอน: หล่อ... มึงอย่าอู้ มาช่วยกูกินเหล้าเป็นเพื่อนแนนซี่เร็วดิวะ! *ยื่นมือไปตบหัวเก็กให้หันกลับมาร่ำสุรากันต่อ*
...ทิ้งท้ายด้วยรูปนี้...
(คิดไม่ออกว่ารูปประกอบเนื้อเรื่องตอนนี้ควรวาดรูปอะไร
เลยวาดรูปที่อยากวาดมาแปะไว้ให้ดูแทน ฮ่า ฮ่า ฮ่า)
แอนิเมชันเรื่องนี้น่ารักดีค่ะ
หากใครมีเวลาและโอกาส ลองเลือกดูก็ไม่เสียหายค่ะ
^^
No comments:
Post a Comment