เราต้องขอโทษทุก ๆ
คนด้วยค่ะที่ปล่อยให้รอนานจนถึงวันนี้
รายงานตัวก่อนเนอะว่าตอนนี้เราหายดีแล้วค่ะ
(เราเป็นไข้เพราะต้องกลายร่างเป็นมนุษย์เมนส์อ่ะค่ะ
แหะ แหะ)
ตอนนี้กับตอนหน้าจะสั้นหน่อย
ขออภัยด้วยค่ะ
รักชอบโกรธเกลียดเราสักแค่ไหน...
ฝากข้อความแทนใจเอาไว้ได้เลยค่ะ
เรายินดีน้อมรับทุกประการ ^^
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
The 11th
Bonding
ข้อเสียยักษ์ใหญ่ของเด็กน้อย
“นี่ไอ้แนน...
ถ้ามึงง่วงมึงก็ไปนอนไป๊ คนอื่นจะได้นั่งมั่งไอ้โซฟาเนี่ย!” ประโยคจิกกัดของกรกฏกระชากสติของรุ่นน้องที่ล่องลอยเพ่นพ่านขณะกายหยาบกำลังนั่งเหม่ออยู่ใจกลางห้องให้กลับมาประทับร่างได้อย่างรวดเร็ว
“เฮียฟู?!” สุ้มเสียงของพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยทำให้สกลหลุดปากอุทานเสียงดังพลางเหลียวมองเลิ่กลั่กไปรอบ
ๆ จนพบว่ามีอาคันตุกะปีสามยืนค้ำหัวประหนึ่งเจ้ากรรมนายเวรอยู่เยื้องไปทางด้านหลังโซฟา
“เฮียฟู พี่เต๋อ พี่ด้วง... พวกพี่ ๆ มาทำอะไรกันครับ?!”
“ไอ้ตัวบอสมันขึ้นไปลากพวกกูลงมา
เห็นบอกว่าวันนี้จะมีปาร์ตี้ฉลองขึ้นบ้านใหม่อะไรของแม่งนี่แหละ” เต๋ออธิบายแกน ๆ
“แต่เช้าเลยเหรอครับ?!” สิ่งที่เพิ่งได้ยินทำหลานอาม่าใหญ่ตกอกตกใจไม่น้อยเพราะไม่คิดว่าเพื่อนรักจะนึกอุตริจัดงานรื่นเริงกันตั้งแต่ฟ้าสางเช่นนี้
อริยะตรัยผู้พี่จึงช่วยสงเคราะห์เบิกเนตรรุ่นน้องต่างคณะให้อย่างจะแจ้งแรงเว่อร์
“เช้ากับผีมึงสิไอ้แนน! นี่มันสิบเอ็ดโมงแล้วเว่ย! มึงนั่งทำซากอะไรอยู่ได้ตั้งนาน... ไม่ได้แหกตาดูเวลามั่งเลยหรือไง?”
หากไม่ได้คำพูดของกังฟูช่วยเอาไว้
สกลคงไม่มีทางรู้ว่าตัวเองเผลอทอดอารมณ์จมอยู่ในห้วงความผลาญเวลาทิ้งขว้างไปกว่าสามชั่วโมงนับตั้งแต่อาหารมื้อเช้าสิ้นสุดลง...
บ้าจริง! นี่เขามัวแต่คิดถึงคนที่ไม่ได้เจอหน้ามากว่าสองวันจนไม่เป็นอันทำอะไรอีกแล้วหรือ?
เมื่อวานก็ทั้งวันแล้วนะ!
“ฮื่อ... ฟู
คุยกับน้องดี ๆ สิ” วิญญูปรามเสียงอ่อนพลางจูงมือพากรกฏไปนั่งยังโซฟาตัวเดี่ยวโดยมีตรินคอยเดินประกบไม่ห่างราวกับบอดี้การ์ดร่างยักษ์ประจำตัวหนุ่มร่างเล็กก็ไม่ปาน
“นั่งก่อนเถอะครับ ใจเย็น ๆ “
“แล้วนี่มึงอยู่ห้องคนเดียวเหรอ?”
สภาพสงบจนเงียบสงัดของห้องทำให้เต๋ออดสงสัยไม่ได้ “ไอ้หัวจุกล่ะ?”
“เอ่อ...
คงยังไม่ตื่นมั้งครับ” ระหว่างสกลพยายามตีหน้านิ่งเดาส่งเดชด้วยไม่อยากให้กลุ่มรุ่นพี่ขุดคุ้ยเรื่องตัวเองขึ้นมานั้นเอง
เสียงเปิดประตูหน้าห้องกับเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ก็เรียกความสนใจของทั้งสี่ให้หันกลับไปมองยังผู้มาใหม่โดยพร้อมเพรียง
“พี่เต๋อ
พี่ด้วง เฮียฟู หวัดดีครับ” ชายกลางยิ้มหวานให้คนคุ้นเคยทั้งสี่ หากไม่ติดว่าสองมือกำลังหิ้วขนมถุงใหญ่
เจ้าตัวคงได้กล่าวทักทายพวกพี่ ๆ พร้อม ๆ กับกระพุ่มมือไหว้ตามพื้นนิสัยไปเป็นที่เรียบร้อย
“เฮียหิวยัง? ถ้าหิวก็กินหนมรอไปก่อน
เดี๋ยวเก็กจะเข้าไปช่วยบูบู้ทำกับข้าวอย่างไวเลย” ธันวารุนหลังพลางพยักเพยิดบอกแฟนตัวน้อยให้วางถุงขนมลงบนโต๊ะเล็ก
ๆ หน้าโซฟา ก่อนจะพากันเดินกระหนุงกระหนิงเข้าห้องครัวไปโดยไม่พูดพล่ามทำเพลงด้วยหากปล่อยให้ชายหนุ่มวัยเปี่ยมด้วยฮอร์โมนเกือบสิบชีวิตหิ้วท้องจนไส้กิ่ว
ไม่ใครก็ใครคงได้ตีกันตายเพราะโมโหหิวก่อนเป็นแน่
“ฟูกินเลย์ไหมครับ?
เดี๋ยวด้วงไปเอาน้ำมาให้” คิวท์บอยก้มหน้าต่ำเพื่อซักไซ้ใคร่เสนอบริการระดับเอ็กซคลูซีฟแก่สุดที่รักด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานเป็นอันดับแรก
ก่อนจะหันไปถามแฟนอีกคนที่แยกไปนั่งตัวใหญ่เกยที่พักแขนของโซฟาอีกฝั่ง “เต๋อมึงเอาอะไร?
โค๊ก สไปรท์ หรือเบียร์?”
“เรื่องอะไรต้องไปทำเองล่ะด้วง
ใช้ไอ้แนนมันสิ... มันอยู่ห้องนี้ก็ต้องดูแลแขกเหรื่อให้สมกับเป็นเจ้าของบ้านบ้าง”
อริยะตรัยคนพี่แย้งพลางชำเลืองหางตามองเหยียดเด็กแว่นที่ดีแต่ทำหน้าเอ๋ออย่างไม่มีจุดสิ้นสุด
ทว่าก่อนที่รุ่นพี่วิศวะตัวจ้อยจะได้สาวไส้ทุกขดสกลออกมาให้ชาวโลกได้ชื่นชม อัศวินอคิราผู้โบกหน้าเสียขาวจ๋องหวองก็ออกมาช่วยชีวิตไพร่ฟ้าหน้าแว่นผู้ทุกข์ตรมเอาไว้ได้อย่างทันท่วงที
“หึ! นั่งก้นยังไม่ทันร้อนยังมีหน้าจิกหัวใช้เจ้าของห้องเขาอีกเนอะ...
.
...คำว่ามารยาทน่ะสะกดเป็นไหมครับตั่วเฮีย?
หรือไม่เคยรู้จัก?”
“ไอ้เหี้ยอิ๊ก!”
“ทำไม
ทำไม? ตั่วเฮียจิกเรียกผมทำไม? หรือตั่วเฮียจะเอา?!” ก่อนที่คนหน้าผ่องตัวหอมฉุยซึ่งตั้งท่าตีฝีปากกับกรกฏอย่างไม่ลดราวาศอกจะเปิดศึกอีกระลอก
อิ๊กก็โดนแฝดน้องที่เพิ่งเดินตามหลังออกจากห้องอุ้มเข้าไปเก็บในครัวอย่างรวดเร็วหลังจากร่างทรงหนุ่มส่งสายตาคาดโทษไปมองหน้าเด็กเต็กหัวจุกที่คลานตามกันมาติด
ๆ เพียงชั่วอึดใจเดียว
“เฮียฟูเอาน้ำอะไรครับ
เดี๋ยวผมทำให้” แฝดหนุ่มมากบารมีรีบประจบเอาใจพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยด้วยหวังจะลดอารมณ์ขุ่นมัวที่กำลังปะทุคุกรุ่นจนฟ้องชัดบนใบหน้าของรุ่นพี่ต่างคณะ
ทว่ากลับกลายเป็นตรินที่เสนอทางออกที่ดีที่สุดให้แก่ฌานโดยแทบไม่เสียเวลาคิด
“มึงมีอะไรก็ยกออกมาวางรวมไว้ตรงนี้แล้วกัน
ส่วนเบียร์ก็แช่ไว้ก่อน ใครอยากกินก็ให้เดินไปหยิบกันเอาเอง” แกนนำสมุนเลวพยักหน้าน้อย
ๆ รับคำสั่ง ก่อนจะหมุนตัวออกเดินไปยังห้องครัว เมื่อไม่เหลือเพื่อนคนใดคอยช่วยเบี่ยงเบนความสนใจของคี่รักปีสาม
หนุ่มแว่นก็พลันรู้สึกถึงอันตรายอีกครั้ง หลานอาม่าใหญ่จึงรีบดีดตัวตั้งฉากกับพื้น
แล้วซอยเท้าวิ่งตามแผ่นหลังของฌานไปติด ๆ
“ผมช่วยครับพี่ฌาน”
“แว่น... เป็นอะไร?
ทำไมวันนี้เงียบ ๆ ?” ฌานโพล่งเมื่อเห็นว่าพวกเขาทั้งหมดไม่ได้อยู่ในกรอบสายตาของรุ่นพี่ทั้งสามอีกต่อไป
ส่วนแฝดน้องที่มือยังว่างเพราะไม่รู้จะทำอะไรหลังเด็กบริหารเริ่มติดใจกับหน้าที่ซูเชฟก็เข้ามายืนพิงผนังรอฟังคำตอบของเพื่อนหัวไข่ด้วยอีกคน
“เปล่าครับ?”
“เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เช้าแล้วเหรอครับพี่ชาย?”
น้ำเสียงอ้อมแอ้มกับสายตาที่เอาแต่จับจ้องมองพื้นทำให้น้องชายของร่างทรงหนุ่มตั้งคำถามอย่างคร่ำเครียด
ยิ่งเมื่อคนเป็นพี่พยักหน้ารับ ฝาแฝดทั้งสองจึงพากันแสดงอาการหนักใจผ่านสีหน้าโดยไม่ต้องนัดแนะ
“สกล...
มีเรื่องอะไรหรือเปล่า? บอกพี่ฌานได้นะ เห็นสกลซึม ๆ แบบนี้แล้วพี่ฌานไม่ชอบเลย” ฌานเอ่ยอย่างจริงจังพลางละมือจากขวดน้ำอัดลมแล้วเปลี่ยนท่วงท่าเป็นยืนกอดอกวางสายตานิ่งบนใบหน้าของเพื่อนสนิท...
การปรับเปลี่ยนท่วงท่าอย่างกะทันหันของร่างทรงหนุ่มทำให้หลานอาม่าใหญ่ไหวตัว
“แหม่
พี่ฌานครับ... ผมจะเป็นอะไรได้ล่ะครับ อยู่กับพี่ฌานทุก ๆ วัน นอนกอดพี่ฌานทุก ๆ
คืนแบบนี้ ผมยิ่งจะดีใจเสียล่ะไม่ว่า” คนเห็นผีปะเหลาะแฝดพี่ไปเรื่อยเจื้อยจนบุคคลที่สามเริ่มจะอดรนทนดูการแสดงปาหี่ตรงหน้าต่อไปไม่ไหว
“หึ! เอาดี ๆ แนนซี่... หรืออยากให้น้องพลายแฉ?” ฌอนหรี่ตามองจับผิดชายหัวไข่
ฝ่ายหลานอาม่าที่รู้ตัวดีว่าถูกเพื่อนสนิทต้อนจนหลังชนฝาก็งัดเอามุกยั่วยุให้โทสะปะทุมาใช้หลอกล่อให้อีกฝ่ายหลุดประเด็นไหลไปตามน้ำเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“ฌอนศรีนี่ก็ดีแต่ยืมมือคนอื่นมาข่มขู่เพื่อนอยู่นั่น...
ที่บ้านยังบูชาฟ้าฝนต้นไม้อยู่หรือไง ถึงได้เอะอะอะไรก็พึ่งพาไสยศาสตร์ยันเต?
ถ้าไม่มีน้องพลายคอยให้การช่วยเหลือแล้วจะทำอะไรด้วยตัวเองได้มั่งไหมเนี่ย?!” หนุ่มแว่นมองหน้าเพื่อนหัวจุกด้วยสายตาเหยียดหยันประมาณตัวโกงยังต้องลาตายเพื่อเพิ่มดีกรีความน่าหมั่นไส้อย่างชั่วร้ายให้แก่ใจความเมื่อสักครู่ไปอีกสามเบอร์...
น่ายินดีเหลือเกินที่ความมุ่งหวังของสกลสำเร็จดังตั้งใจภายในชั่วพริบตา
ทว่าน่าเสียดาย
เหตุผลซึ่งทำให้หางคิ้วของแฝดน้องกระตุกริก ๆ ด้วยโทสะหาใช่มาจากคำพูดกระทบกระแทกแดกดันเมื่อกี๊ไม่
หากแต่เป็นเพราะเจตนาที่จะเฉไฉไม่พูดความจริงของเจ้าตัวต่างหาก
“แนนซี่”
แฝดน้องกดเสียงต่ำทำหน้าคุกคามสหายหัวไข่อย่างไม่ลดละ คนเป็นพี่จึงเอื้อมมือไปตบบ่าน้องชายอยู่สองสามครั้งเพื่อให้ฌอนยั้งมือ
ก่อนจะรวบตึงหน้าที่ผู้ป้อนคำถามมาทำเสียเอง
“ว่าไงสกล สรุปเป็นอะไร?”
“ไม่มีอะไรหรอกครับพี่ฌาน
ผมก็แค่หมดมุก ไม่รู้จะแซวอะไรใคร...
.
.
...อีกอย่างฌอนศรีก็เอาแต่มัวเมาล้วงลูกงูเห่าอยู่แต่ในห้องจนลืมวันลืมคืน
เกิดผมจ้อคนเดียวไม่หยุด พี่ฌานไม่ต้องต่อสายตรงถึงกรมสุขภาพจิตเพราะผมหรอกเหรอครับ?!” แม้จะได้โอกาสกลับตัวกลับใจอีกครั้ง แต่หลานอาม่าใหญ่กลับเลือกที่จะปิดบังความรู้สึกวุ่นวายใจหลังจากไม่เห็นหน้าว่าที่นายสัตวแพทย์มากว่าสี่สิบแปดชั่วโมงจากฝาแฝดอยู่ดี
เด็กเต็กสี่ตาสวมหน้ากากเริงร่าระหว่างพ่นคำโกหกออกจากปากเป็นว่าเล่น
เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการกระทำดังกล่าว
หลัก ๆ แล้วน่าจะเป็นเพราะความรู้สึกคลางแคลงใจกับรสนิยมอันแปลกประหลาดผิดมนุษย์มนาของสาริน
ที่ทำให้ตัวเขาไม่กล้าแบ่งปันเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ครั้งนี้กับใคร
ลองให้เขาสลับร่างกับอีกฝ่ายดูสิ... ป่านนี้เขาคงรี่ไปสีคนหน้าตาดีประจำคณะต่าง ๆ แทนการตามตื๊อเร้าหรือยัดเยียดตัวเองให้คนจืดจางอย่างนายสกล
พงษ์พินิจรุ่งโรจน์เป็นไหน ๆ
ส่วนอีกเหตุผลที่จะทำลืม
ๆ ไปเสียไม่ได้เห็นจะเป็น ความรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั่งสรรพางค์เมื่อเห็นสีหน้าพร้อมจะ
‘เอาคืนให้กระอักเลือดตาย’
ของเพื่อนฝูงรอบกายซึ่งล้วนแล้วแต่เคยโดนเขาทำปากเปรี้ยวใส่เอาไว้อย่างทารุณมาโดยตลอดนั่นเอง
“นี่พูดจริงนะ?”
เด็กสถาปัตย์ผู้มากบารมีทำเมินสายตาโต้แย้งของฌอน ก่อนจะหลับหูหลับตาถามย้ำเพื่อนหัวไข่อีกครั้งด้วยความเป็นห่วง
“จริงสิครับพี่ฌาน
เดี๋ยวคอยดูผลงานวันนี้ของน้องได้เลย!” สกลออดอ้อนพลางไถหน้าลงบนต้นแขนแน่น ๆ ของแฝดพี่ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างน่าหมั่นไส้
ฌอนจึงอาศัยจังหวะที่หลานอาม่าเผลอตัวเล่นใหญ่ดีดเหม่งหนุ่มแว่นเข้าให้อย่างจังจนอีกฝ่ายครางอู้อ้าด้วยความเจ็บปวด
“พี่เต๋อนั่งหัวโต๊ะฝั่งโน้นก็ได้ครับเดี๋ยวผมนั่งอีกฝั่งเอง”
ฌานที่ยืนประจำที่อยู่ตรงเก้าอี้หัวโต๊ะอีกฝั่งจัดแจงที่นั่งให้แก่พี่รหัสของบ๊วย
จากนั้นจึงแอบส่งสายตาบอกฝาแฝดของตนให้ช่วยลากอิ๊กไปนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งเดียวกันกับตัวที่จัดสรรไว้สำหรับกรกฏและวิญญูโดยเฉพาะเพื่อป้องกันไม่ให้ทั้งสองฝ่ายทะเลาะเบาะแว้งกันจนบรรยากาศดี
ๆ ระหว่างมื้ออาหารระเหยหายไปก่อนเวลาอันควร
“อุ๊ย! ตรงนี้ว่างพอดีเลย ขอน้องนั่งได้ไหมครับพี่เต๋อ!” สกลผู้ไม่ดูอีร้าค่าอีรมใด ๆ วิ่งร่าด้วยสีหน้ารื่นเริงใจปรี่เข้าไปหมายจะหย่อนก้นลงตรงที่ว่างฝั่งขวามือของตริน
แต่ก็โดนแฝดพี่กันซีนได้อย่างทันท่วงที
“แว่น...
มานั่งนี่! มา มา!
นั่งข้างพี่ฌานนี่! เดี๋ยวตรงนั้นให้บ๊วยนั่ง
พี่รหัสน้องรหัสเขาจะได้คุยกันมั่ง”
“อะไรกัน
แค่นี้ก็ต้องหึงน้องออกสื่อดั้วะ! พี่ฌานนี่ล่ะก็... โชว์หวานกับน้องเรื่อยเลย
กลัวคนอื่นไม่รู้เหรอครับว่าเราเป็นอะไรกัน?!” หนุ่มแว่นจีบปากจีบคอจ้อไม่หยุดในขณะที่ร่างทรงหนุ่มฌานถอนหายใจพรูพลางกลอกตาแล้วทรุดตัวลงนั่ง
“บูบู้มานั่งตรงนี้ครับ”
เก็กกุลีกุจอจัดแจงทำเลให้แก่คนรักตามข้อสรุปของแฝดพี่ตามที่กลุ่มพ่อเสือได้พูดคุยกันมาตั้งแต่เมื่อตอนรุ่งเช้า
สุดท้ายจึงกลายเป็นว่า เก้าอี้ตัวตรงกลางระหว่างธันวากับหลานอาม่าใหญ่ไร้เงาเจ้าของ
“อ้าว!
แล้วจะเว้นที่เอาไว้ทำไมล่ะครับ?
จะเล่นมอญซ่อนผ้าก่อนกินข้าวกันหรือยังไง? จัดที่นั่งแบบนี้แลดูไร้มารยาทยังไงชอบกลนะครับพี่ฌาน...
เดี๋ยวผมเอาเก้าอี้ไปเก็บก่อนดีกว่...”
ยังไม่ทันที่สกลจะขยับตัวตามลมปาก
เสียงออดหน้าห้องก็ดังขัดจังหวะขึ้นอย่างพอดิบพอดี เพื่อไม่ทำให้ทุกคนมองชิ่งกันไปมาแบบงง
ๆ เจ้าของห้องคนโตจึงผลุนผลันออกไปจัดการกับธุระที่อยู่ตรงหน้าประตูโดยไม่ต้องรอให้ใครสั่ง
“เดี๋ยวผมไปดูเองครับ”
“พวกมึงมีแขกเหรอ?” ตรินหลุดปากออกมาทันทีที่ฌานคล้อยหลังไป
แฝดน้องจึงรับหน้าที่ไขความกระจ่างให้แก่ชายร่างหมีอย่างไม่ให้ความร่วมมือเท่าใดนัก
“ไม่ใช่แขกหรอกครับพี่เต๋อ
คนกันเองนี่แหละ” ฌอนตอบพลางยกยิ้มมุมปากข้างเดียวพาลให้รุ่นพี่ร่วมคณะอยากจะเหนี่ยวแฝดผู้น้องสักสองสามดอกให้หายซ่า
“ก็แล้วมันใครล่ะวะไอ้หัวจุก...
พูดให้มันเคลียร์ ๆ น่ะเป็นไหม?”
“หึ หึ...
เดี๋ยวพี่เต๋อก็รู้ครับ” คนพูดยังคงคอนเซปต์คลุมเครือเป็นนิจเอาไว้อย่างเหนียวแน่น
และก่อนที่จะมีการวางมวยเพราะความคั่งแค้น ฌานก็นำหน้าชายหนุ่มจากต่างคณะผู้เป็นเจ้าของหุ่นสูง
ขาว หนาละม้ายหมีโพลาร์ให้เดินตามมาร่วมโต๊ะเสียด้วยกัน
“ขอโทษทุกคนด้วยนะครับที่ผมมาช้า”
สารินก้มหัวขอโทษขอโพยพร้อมแจกจ่ายรอยยิ้มจริงใจให้กับคนโน้นคนนี้ไปทั่วก่อนจะเลื่อนสายตาไปวางพักยังใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อของเด็กเต็กสี่ตาผู้ซึ่งหลุกหลิกเป็นกำลัง
“พี่รินนั่งเลยครับ...
ตรงนี้ว่าง” ดวงตาเรียวใต้แว่นหนาทรงม้อดแทบจะถลนออกจากเบ้าเมื่อเหลือบไปเห็นอดีตเดือนมหาลัยจัดแจงเลื่อนเก้าอี้เจ้าปัญหา
ก่อนจะผายมือเชื้อเชิญว่าที่นายสัตวแพทย์ด้วยรอยยิ้มการค้า แล้วจึงย่ำยีบีฑาความรู้สึกหนุ่มแว่นด้วยการผินหน้ามาแสยะยิ้มกับยักคิ้วโชว์เหนือให้แฝดน้องและตัวเขาอย่างจงใจ
จริงอยู่ แม้การปรากฏกายของสารินตัวเป็น
ๆ จะช่วยปัดเป่าความรู้สึกว้าวุ่นใจตลอดกว่าสองวันที่ผ่านให้ปลาสนาการไปในชั่วพริบตา
ทว่าความปีติจนหัวใจพองฟูกับความแค้นฝังหุ่นหนุ่มรูปงาม กับผู้สมรู้ร่วมคิดหัวจุกจิตทรามก็ถือเป็นคนละเรื่องกันอยู่วันยันค่ำ...
อย่าให้ถึงทีเขาบ้างแล้วกัน พ่อจะเอาคืนให้ร้องไม่ออกเลยทีเดียว!
“หวัดดีครับคุณเต๋อ”
เด็กสัตว์แพทย์กล่าวทักทายเพื่อนใหม่ต่างคณะตรงหัวโต๊ะอีกฝั่งด้วยรอยยิ้ม
“เฮ่ย! ไม่ต้องสุภาพขนาดนั้นก็ได้ครับ เรียกผมเต๋อเฉย ๆ
เถอะ... หรือถ้าจะขึ้นมึงขึ้นกู ผมก็โอเค แต่เดี๋ยวกินไปคุยไปก็ได้ครับ
เรายังมีเวลาคุยกันอีกนาน” ตรินพยักเพยิดให้อีกฝ่ายเบนความสนใจมายังเมนูอาหารมากมายตรงหน้า
“ครับ ๆ ” สารินรับคำเต๋อตามมารยาท
จากนั้นจึงโน้มตัวไปกระซิบเบา ๆ ข้างหูหนุ่มแว่นพร้อมรอยยิ้มหวานหยดย้อยจนน้ำอ้อยยังจืด
“พี่มาแล้วนะครับ”
“ฮื่อ! เห็นแล้ว! กินข้าวไป!” สกลกระซิบขู่เสียงต่ำโดยทำเมินใส่คู่สนทนาหน้าแป้นแล้นอย่างไร้เยื่อใยจนว่าที่นายสัตวแพทย์จำต้องก้มหน้าก้มตากินข้าวตามบัญชาอย่างไม่มีทางเลือก
“บูบู้กินเยอะ
ๆ นะ ลูก ๆ ของเราจะได้แข็งแรงโตไว ๆ
ยังไงล่ะครับ” มือหนาตักกับข้าวอย่างละนิดอย่างละหน่อยแล้วค่อย ๆ บรรจงราดลงบนจานตรงหน้าบ๊วยก่อนจะเอ่ยหยอกเย้าคนรักทิ้งท้ายจนอีกฝ่ายร้องตำหนิเสียงหลง
“พี่หมี!”
“ถ้าแนนอยากกินอะไรฝั่งนี้บอกพี่นะครับ
เดี๋ยวพี่ตักให้” ท่าทางเอาอกเอาใจชายกลางตามปกติวิสัยที่หนุ่มหล่อดีกรีเดือนมหาลัยแสดงออกทำให้สารินค้นพบวิธีเรียกร้องความสนใจจากเด็กแว่นหน้าใสเข้าให้แล้ว
“พูดมากจริง!”
แม้สกลจะเป็นฝ่ายเปล่งวาจาตัดรอน
แต่อาการก้มหน้าซ่อนริ้วสีแดงบนพวงแก้ม แถมด้วยการเขี่ยนับเม็ดข้าวอย่างเลื่อนลอย ก็ทำให้คนคุ้นเคยซึ่งนั่งตรงข้ามถึงกับตาลุกวาวเป็นประกาย
เพราะโอกาสดี ๆ เช่นนี้ หาไม่ได้บ่อยครั้ง
“หูยยย!
พี่รินนี่น่ารักจังเลยครับ
มีตักกับข้าวให้แนนซี่ด้วย ดูแลเอาใจกันสุด ๆ อ้ะ!” อคิราแสร้งพูดชื่นชมสารินอย่างออกหน้าออกตา
แล้วจึงดำเนินแผนกลั่นแกล้งชายหัวไข่ในทันใดโดยเริ่มต้นจากการแอบส่งสายตาเรียกพันธมิตรเฉพาะกิจให้ช่วยร่วมเออออผสมโรง
“นั่นสิ...
น่าอิจฉาแนนมันจริงจริ้งงง!” หลังจากจีบปากจีบคอตอกย้ำความดีงามของสารินให้ยิ่งเว่อร์วังไปกันใหญ่
และหลังจากที่พอใจเมื่อเห็นชายหัวไข่ในสภาพไม่อาจโงหัวขึ้นสู้หน้าใครได้อีก กรกฏก็ชำเลืองหางตาไปทางอดีตเดือนบริหารแทนการแปะมือทันที
“ฌอนครับ... อิ๊กอยากกินผัดผักตรงฝั่งโน้นจังเลย
ตักให้อิ๊กหน่อยซี่ อิ๊กตักไม่ถึงอ่ะครับ”
“ด้วง
ฟูอยากกินไก่ทอดจังเลย ด้วงตักให้ฟูนะครับ... ไม่ใช่... ไม่เอาชิ้นนั้นซี่
เอาชิ้นตรงขอบจานเลยครับ”
บรรยากาศคนอวดผัวกลั้วอารมณ์เสียดสีย่อม
ๆ ยังไม่ทันเสื่อมคลาย
ฝ่ายทำลายล้างชั้นดีก็ออกวาดลวดลายโดยไร้ความปรานี
“แนนซี่...
เป็นอะไรอีกล่ะ? ทำไมถึงไม่ยอมกินข้าวสักที? วันนี้บ๊วยฝีมือตกเหรอ?”
“นั่นสิ!” ฌอนกระทุ้งตามด้วยธันวาที่ละสายตาจากชายกลางเพื่อเตรียมเผานั่งยางหลานอาม่าร่างผอมสูง
“กินข้าวกันเถอะครับเพื่อนฌอน
พี่หมี เดี๋ยวกับข้าวจะชืดไปเสียก่อนเนอะ” สกลพูดรอดไรฟันตอบกลับทั้งสองหนุ่มอย่างสุภาพผิดไปจากทุกทีจนสองหล่อเพื่อนซี้ถึงกับต้องกลั้นหัวเราะจนตัวสั่นคลอน
“เออ ว่าแต่รินรู้จักกับพวกนี้ได้ยังไงเหรอ?”
ตรินชิงถามเพื่อนใหม่เสียงดังเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศพร้อมกับเตือนให้ทุกคนระลึกถึงมารยาทการร่วมโต๊ะอาหารที่ดี
“ผมรู้จักกับแนนก่อนน้อง
ๆ คนอื่น ๆ น่ะครับ พอดีผมเจอน้องที่โรงพยาบาลสัตว์อยู่บ่อย ๆ ก็เลยพยายามหาโอกาสทำความรู้จักด้วย”
“มึงมีโรคประจำตัวเรื้อรังเหรอไอ้แนนถึงต้องไปหาหมออยู่เรื่อย?”
อริยะตรัยผู้พี่ถามจิกหลานอาม่าใหญ่ทันทีที่ได้ยินข้อมูลชุดใหม่ล่าสุดไปเมื่อสักครู่
แต่คำพูดที่ไม่เข้าหูดังกล่าวกลับทำให้สารินไม่อาจจะทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ได้
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ
แนนเขาพาหมาจรจัดในมอไปหาหมอบ้าง ไปทำหมันบ้างน่ะครับ คุณ... เอ่อ คุณ” เด็กสัตว์แพทย์อึกอักเพราะยังไม่รู้จักกับเด็กวิศวะปีสามอย่างเป็นทางการ
“กังฟู” กรกฏตอบเรียบ
ๆ อย่างไว้เชิง
“เออใช่
ผมลืมไป... คราวที่แล้วก็มัวแต่แนะนำตัวเอง ไม่ทันได้แนะนำแฟนผมทั้งสองคนให้คุณได้รู้จัก”
ตรินค้อมศรีษะขอโทษขอโพยพร้อมกับชิงเอ่ยแนะนำคนรักทั้งสองพลางบีบมือกรกฏเบา ๆ
พร้อมกับส่งยิ้มให้วิญญูอย่างเท่าเทียม “คนนี้กังฟูครับ ส่วนนั่นก็ด้วง...
วิศวะปีสามทั้งคู่”
“แฟน?! ทั้งสองคนเลยเหรอครับ?”
“หึ หึ...
ครับ สองคนเลย” หนุ่มร่างหมีหัวเราะเต็มเสียงเมื่อเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่ายพร้อมกับยืนยันด้วยสีหน้าภูมิอกภูมิใจที่ดูกลาย
ๆ คล้ายกับการอวดอ้างสรรพคุณอยู่ในที
“ขอโทษนะครับที่เมื่อกี๊ผมทำท่าประหลาดใจจนดูเสียมารยาท”
เด็กสัตว์แพทย์พูดอย่างลนลาน
“ไม่เป็นไร
ไม่เป็นไร... ถ้าคุณไม่ประหลาดใจสิผมคงว่าแปลก”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณกังฟู
คุณด้วง” หลังจากส่งยิ้มตอบรับคำทักทายของชายหน้าตี๋ร่างสูงใหญ่อย่างพอเป็นพิธี กังฟูก็ตั้งหน้าตั้งตาโจมตีคนเห็นผีต่ออย่างไม่ลดละ
“แล้วทำไมอยู่ดี
ๆ รินถึงอยากรู้จักกับไอ้แนนมันล่ะ?”
“ฮื่อ ฟู” คิวท์บอยพยายามห้ามปรามคนรักตามประสาแฟนหนุ่มผู้ตามใจ
“ก็ฟูอยากรู้นิด้วง!” พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยแหวใส่คนรักอย่างไม่เห็นหัว
ก่อนจะหันไปหาสมัครพรรคพวกร่วมสกรัมสกลแบบรัว ๆ ให้พินาศวอดวายมันลงในวันนี้
“นี่พวกมึง... ไม่มีใครอยากรู้เหมือนกูหน่อยเหรอ?”
“ผมครับ!
ผมก็อยากรู้ครับเฮีย...
อยากม๊ากมากเลย” อิ๊กวางช้อนแล้วจึงยกมือขึ้นเหนือหัวด้วยความแข็งขัน และนั่น...
ทำให้กรกฏอวดรอยยิ้มแห่งผู้ชนะได้อย่างผ่าเผยและผึ่งผายระหว่างที่ลากสายตาไปจับจ้องใบหน้าของสารินเพื่อรอฟังคำตอบ
ว่าที่นายสัตวแพทย์ชำเลืองมองคนนั่งข้าง
ๆ เพื่อหาจังหวะส่งสัญญาณขออนุญาต
ทว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายเอาแต่กดคางชิดอกโดยไม่ยอมมองหน้าใคร
สารินจึงตอบคำถามของกังฟูไปตามความรู้สึกประทับใจที่มีต่อเด็กแว่นหัวไข่โดยไม่ได้ปรุงแต่ง
“ไม่เป็นไรเลยครับ
ผมตอบได้...
.
.
...สาเหตุที่ผมอยากทำความรู้จักกับแนน
น่าจะเป็นเพราะ...
...อืม
เป็นเพราะ ผมอยากรู้ว่า จริง ๆ แล้ว
คนใจดีที่คอยดูแลหมาทั่วทั้งมหาลัยเป็นคนแบบไหน...
...เขาจะน่ารัก
และจะใจดีกับผมเหมือนเวลาที่เขาดูแลเจ้าตูบพวกนั้นราวกับเป็นพี่เป็นน้องของตัวเองหรือเปล่าน่ะครับ”
“โหหห!
นี่ถ้าไม่ได้ยินกับหูตัวเอง
กูต้องคิดว่ามึงจ้างรินมาแหง ๆ ไม่ก็... คนที่รินพูดถึงต้องเป็นคนอื่น
ไม่มีทางเป็นมึงไปได้หรอกไอ้แนน!” หนุ่มวิศวะร่างเล็กสาดคำพูดร้ายกาจใส่รุ่นน้องต่างคณะด้วยความสะใจจนเด็กหัวไข่สลดเสียหมดสง่าราศี
หนุ่มรุ่นพี่จากสัตว์แพทย์จึงออกโรงงัดข้อกับพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยโดยไม่ต้องให้ใครบอกบท
“เขาถึงได้บอกยังไงล่ะครับคุณกังฟู
ว่าเราไม่ควรตัดสินคนที่หน้าตาหรือจากคำพูดของเขาที่เราได้ยิน เพราะสิ่งที่เราเห็น
อาจไม่ใช่ตัวตนทั้งหมดที่เขาเป็นก็ได้” แม้จะเป็นการตอบโต้อย่างละมุนละม่อม แต่ใบหน้าเครียดเคร่งไร้ซึ่งรอยยิ้มก็ทำให้รุ่นน้องทั้งหลายพร้อมจะเกรงใจสารินอย่างไม่มีข้อแม้
“แนวคิดเท่ ๆ มันใช้ไม่ได้กับทุกคนหรอกนะริน” กรกฏแย้ง
“แต่สำหรับผม...
คนที่อ่อนโยนและมีเมตตากับเพื่อนร่วมโลกผู้ยากไร้ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ ผมจะไม่มีทางจัดคน
ๆ นั้นอยู่ในจำพวกบุคคลอันตราย หรือ ร้ายกาจได้หรอกครับ” ว่าที่นายสัตวแพทย์สรุปเสียงเข้ม
“เฮียฟูครับ เฮียฟูชิมเขียวหวานผัดแห้งหรือยังครับ?
คราวนี้ผมลดเผ็ดลงแล้วก็ใส่กุ้งใหญ่ไปเยอะมากเลย เฮียน่าจะชอบนะครับ
รบกวนพี่เต๋อตักให้เฮียฟูหน่อยสิครับ” บ๊วยชิงพูดเบี่ยงความสนใจของพี่ชายคนรักขึ้นทันทีที่เห็นรุ่นพี่ร่างกะทัดรัดตั้งท่าจะซัดกับสารินต่ออีกยก...
และก็เหมือนกับทุก ๆ ทีที่น้ำเสียงเย็น ๆ ฟังรื่นหูของลูกแม่บัวจะทำให้อริยะตรัยจอมเหวี่ยงใจเย็นลงได้ในชั่วพริบตาอย่างไม่น่าเชื่อ
“ไม่เห็นต้องทำถึงขนาดนี้เลยบูบู้...
เดี๋ยวคนอื่นจะไม่อร่อยไปเปล่า ๆ ”
“ถึงจะปรับสูตรแล้วแต่ก็ยังอร่อยเหมือนเดิมน่าเฮีย
เก็กรับรอง...
.
.
...ฝีมือบูบู้ทั้งคนจะไม่อร่อยไปได้ยังไง
ใช่ไหมครับบูบู้?” แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ชายหนุ่มรูปงามเอ่ยคำชื่นชมตนเองต่อหน้าคนหมู่มาก
แต่บ๊วยกลับไม่อาจจัดการกับความรู้สึกเก้อเขินดังที่เป็นอยู่ ณ
ปัจจุบันขณะได้เลยสักนิด
“เอ้า ๆ
! พวกมึงก็กินกันให้เต็มที่
น้องรหัสกูจะได้ดีใจ” หนุ่มร่างหมีตัดบทด้วยความรำคาญธันวาผู้หลงเมียไม่มีใครเกิน ก่อนจะหันไปอ้อนวอนขอความร่วมมือจากสารินและกรกฏเป็นการเฉพาะ“เดี๋ยวไว้อิ่มแล้วค่อยคุยกันต่อนะครับ”
อย่างไรก็ดี ในท้ายที่สุดแล้ว
คำพูดของเด็กเต็กปีสามกลับไม่เป็นไปตามนั้น เพราะทันทีที่อาหารกลางวันถูกชายหนุ่มทั้งสิบกวาดลงกระเพาะจนสิ้นซาก
ว่าที่นายสัตวแพทย์ก็เอ่ยคำลาขอปลีกตัวออกจากงานเลี้ยงสังสรรค์โดยเพื่อไปทำธุระด่วนพร้อมกับลากหนุ่มแว่นสี่ตาผู้ที่ไม่พูดไม่จาอะไรสักคำให้เดินตามหลังกันไปต้อย
ๆ
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
“เป็นอะไรไปครับ?
เหนื่อยเหรอ? หรือจริง ๆ แล้วแนนไม่อยากมากับพี่?” เมื่อเห็นว่าตุ๊กตาหน้ารถไม่ยอมปริปากทั้ง
ๆ ที่ออกรถมาได้พักใหญ่ ๆ ร่างสูงใหญ่หลังพวงมาลัยจึงไม่อาจทนนิ่งเฉยได้อีกต่อไป
“เปล่า” หลานอาม่าใหญ่ตอบโดยไม่ยอมละสายตาจากทิวทัศน์ข้างจนสารินเริ่มใจไม่ดี
“แล้วแนนเป็นอะไร?
ไหนบอกพี่สิครับ”
“คุณตั้งใจขับรถเถอะ”
คำพูดตัดบทห้วน ๆ ของสกลคือสาเหตุที่คนโตกว่าตัดสินใจจอดรถเพื่อซักไซ้อีกฝ่ายอย่างเป็นกิจลักษณะ
“พี่ให้แนนเลือกระหว่างหาที่นั่งคุยกันให้เป็นเรื่องเป็นราว
หรือจะคุยกันตรงนี้ดีครับ?” สารินเอี้ยวตัวนั่งมองเสี้ยวหน้าเด็กแว่นด้วยสายตาคาดคั้นจนโดนเจ้าตัวเหวี่ยงใส่
แต่ว่าที่นายสัตวแพทย์กลับหนักแน่นไม่หวั่นไหวเพราะท่าทางเหมือนลูกแมวขู่เงาตัวเองในกระจกของหนุ่มแว่นแต่อย่างใด
“จิ๊!
จะไม่ไปป้อนนมลูกหมาแล้วเหรอ?”
“ก็ขึ้นอยู่กับว่าแนนจะยอมคุยกับพี่เมื่อไรนั่นแหละครับ”
“ผมจะเป็นอะไรนี่มันคอขาดบาดตายถึงขนาดต้องคุยกันให้รู้เรื่องมันวันนี้เดี๋ยวนี้เลยหรือไง?
เป็นบ้าหรือไงคุณ?” รุ่นน้องสถาปัตย์ชักสีหน้าพลางพรั่งพรูถ้อยคำด้วยน้ำเสียงติดรำคาญ...
เมื่อไรจะหยุดขุดคุ้ยเรื่องที่เขาไม่อยากพูดถึงนี่เสียที? แค่ปล่อยให้เขาใช้เวลาปรับอารมณ์เงียบ
ๆ สักพักมันยากนักหรือไง?!
“อะไรที่เกี่ยวกับแนนเป็นเรื่องใหญ่สำหรับพี่ทั้งนั้นครับ”
สกลถึงกับจนคำพูดเมื่อได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย “สรุปเลือกได้หรือยัง...
หรืออยากให้พี่เลือกให้?” คำถามผ่านน้ำเสียงหนักแน่นกับแววตาที่บรรจุภาพใบหน้าย่อส่วนของเขาเอาไว้ภายในอยู่เต็มสองหน่วย
เปลี่ยนใจหลานอาม่าใหญ่ได้ในพริบตา
“ยังไงก็จะคุยให้ได้ใช่ไหม?”
หนุ่มแว่นถามพลางระบายลมหายใจออกอย่างช้า ๆ ขณะพยายามทำใจยอมรับสภาพ
“ครับ
เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง”
“งั้นก็ไปหาที่คุยให้มันจบ
ๆ ผมจะได้ไปป้อนนมลูกหมาเสียที” ได้ยินดังนั้น ชายหนุ่มรุ่นพี่จึงออกรถอีกครั้งก่อนจะหักเลี้ยวเข้าจอดพักรถยังร้านกาแฟแห่งนึงซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลนัก
เด็กสัตว์แพทย์เปิดฉากถามทันทีที่เครื่องดื่มและขนมถูกพนักงานประจำร้านจัดเรียงลงบนโต๊ะตัวกลางของชุดเก้าอี้บริเวณมุมด้านในสุดของร้านอันเป็นชัยภูมิในการสนทนา
“จะบอกพี่ได้หรือยังครับว่าทำไมวันนี้แนนถึงเงียบผิดปกติ?”
ดูเหมือนสารินจะนึกอะไรได้กลางคัน เจ้าตัวจึงรีบแก้ไขใจความเสียใหม่ “ไม่สิ...
ถ้าพี่ดูไม่ผิด แนนเงียบตั้งแต่คุณกังฟูถามเรื่องพี่ พี่เข้าใจถูกใช่ไหมครับ?”
“...”
“ไหนสัญญากับพี่แล้วไงว่าจะตอบคำถามพี่ทุกข้อ
ยังไงครับแนน?” ว่าที่หมอหมายกข้อสัญญาระหว่างกันขึ้นมาทวงสิทธิโดยชอบธรรมในการคาดคั้นอีกฝ่ายได้ตามแต่ต้องการ
จนหลานอาม่าใหญ่ถึงกับยู่หน้าพลางถอนหายใจยาวเหยียดด้วยความหนักใจ...
ใช่ว่าไม่ซาบซึ้งกับการยืนหยัดปกป้องเขาจากคมเขี้ยวของพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยและสมุนเลวบางส่วน
กลับกัน...
คำพูดทุกคำของสารินทำให้ใบหน้าของเด็กเต็กร้อนวูบวาบ
ใจเต้นตูมตามดังลั่นจนเขาไม่กล้าเสี่ยงเชิดหน้าขึ้นสบตาใคร ๆ ไปตลอดมื้ออาหาร
ทว่าเพราะสกลรู้แจ้งแก่ใจเป็นอย่างดีว่า
การกระทำของคนอื่น ๆ คือผลพวงจากฝีปากฉกาจฉกรรจ์ของตัวเขาแทบทั้งสิ้น
แล้วอย่างนี้รุ่นพี่สัตวแพทย์จะมัวแต่เสียเวลาตอบโต้กับพวกนั้นไปเพื่ออะไรกัน?
“คุณไม่เห็นต้องแก้ตัวแทนผมแบบนั้นเลย ปล่อยให้เฮียฟูกับคนอื่น ๆ เข้าใจผมไปตามเดิมยังจะดีเสียกว่า”
หนุ่มแว่นหลบตาอีกฝ่ายระหว่างอ้อมแอ้มอธิบาย
“แต่พี่ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คุณกังฟูพูดนี่ครับ
หรือพี่อธิบายความจริงตามที่พี่เข้าใจกับคุณกังฟูไม่ได้?” สารินแย้งทันควัน
.
.
.
.
.
“...ก็เปล่า...”
“แล้วมันยังไงล่ะครับ?”
“ไม่มีใครเชื่อเรื่องที่คุณพูดหรอก”
“คนอื่นไม่เชื่อ
ก็ไม่ได้แปลว่าสิ่งดี ๆ ที่แนนทำมาตลอดจะจับต้องไม่ได้สักหน่อยนี่ครับ แล้วยิ่งมีคนมาพูดไม่ดีเกี่ยวกับแนนต่อหน้าต่อตาพี่...
พี่คงทนฟังอยู่เฉย ๆ ไม่ได้แน่ ๆ ” สารินโต้สวนอย่างรวดเร็ว... ใครกันจะทนนิ่งเฉยยอมให้บุคคลที่สามพูดจาให้ร้ายคนที่ตัวเองหมายตาได้โดยไม่ทำอะไรสักอย่างล่ะ?!
“แต่ผมจัดการของผมได้
ยิ่งคุณออกรับ ยิ่งคุณแก้ตัวแทนผมมากเท่าไร ผมก็ยิ่งดูน่าสมเพชเข้าไปทุกที!” เด็กสถาปัตย์ปีสองยังคงยืนกรานกับความตั้งใจเดิมของตัวเองโดยไม่คิดเปลี่ยนใจ...
เขาจะยอมให้สารินรู้ไม่ได้ว่าอะไรคือสาเหตุของเรื่องทั้งหมด!
อนิจจา... สกลคงกลัวกรรมเก่าจนหลงลืมไปว่า
รุ่นพี่สัตว์แพทย์ไม่ได้เก่งแค่เรื่องวิชาการเท่านั้น
การสอบปากคำเด็กอมพะนำล้ำเลิศก็เป็นอีกสิ่งที่สารินทำได้ดีอย่างเหลือเชื่อ
“งั้นแนนบอกพี่ได้ไหมครับว่าปกติแล้วแนนจัดการกับคำพูดทำนองนี้ของคนอื่น
ๆ ยังไง?” หนุ่มรุ่นพี่วางแก้วกาแฟเย็นลงบนโต๊ะพลางสาดสายตาจับจ้องใบหน้าขาวเนียนที่ดูหงอยลงอย่างเห็นได้ชัด
“...”
จริงอย่างที่อาม่าซิ้วงิ้งบอกเอาไว้ไม่มีผิด...
แม้พวกเขาจะเติบใหญ่ แต่นิสัยบางประการของหลานชายสุดที่รักเพียงคนเดียวแห่งบ้านตึกหลังใหญ่กลับคงเดิมเฉกเช่นเมื่อเก้าปีก่อน
อาทิ แกล้งทำเฉไฉกลบเกลื่อน... ก่อนจะปิดท้ายด้วยการลั่นดาลงับริมฝีปากเสียแน่นหนาในยามที่ต้องการซุกซ่อนบางอย่าง...
โดยเฉพาะความผิดของตัวเอง
ยิ่งพอสารินได้ลองนึกย้อนกลับไปถึงบรรยากาศการร่วมโต๊ะอาหารกลางวันเมื่อไม่ถึงชั่วโมงก่อนอีกครั้ง
ชายหนุ่มรุ่นพี่ก็เริ่มจะเอะใจกับท่าทีผิดปกติที่เพื่อนร่วมโต๊ะอาหารกว่าค่อนแสดงต่อเด็กน้อยของเขา
“หรือเพราะแนนพูดจาไม่ดีกับคนอื่นก่อน
คนอื่นถึงไม่คิดจะถนอมน้ำใจแนนเลยสักนิด... ใช่ไหมครับ?”
“...”
“หนักกว่าที่เคยพูดกับพี่อีกใช่ไหม?”
“...”
“ใช่ไหมครับ?”
“...”
]ลองว่าไม่พูดไม่จาแบบนี้คงไม่พ้นยอมรับกลาย
ๆ
ถึงว่าสิ...
เวลากังฟูพูดกับบ๊วยก็ดูจะปกติดี ออกจะเป็นห่วงเป็นใยเสียด้วยซ้ำ
ถ้าน้องไม่ทำคนอื่นก่อน
ใครล่ะจะพูดจาพล่อย ๆ บ่อนทำลายหัวใจคนฟังได้ตลอดเวลา?
“ถ้าไม่ตอบพี่จูบนะ!” สารินเล่นที่เผลอโดยการยื่นหน้าข้ามฝั่งพุ่งเข้าไปใกล้ใบหน้ามึนงงของอีกฝ่ายโดยไม่บอกไม่กล่าว
“เฮ่ย!
จะบ้าเหรอ?!
นี่มันที่สาธารณะนะ
หัดเกรงใจคนอื่นบ้างสิ!” เด็กน้อยที่เหวอจนหลุดปากโวยวายหลังเงียบไปนานทำให้คนเป็นพี่กลั้นขำแทบไม่ทัน...
หากไม่ติดว่าเรื่องสำคัญยังค้างคาใจ เขาคงได้ถามอีกฝ่ายไปแล้วว่า ถ้าไม่มีคนอื่น แปลว่าจูบได้...
อย่างนั้นใช่หรือไม่?
“แล้วแนนจะตอบพี่ได้หรือยังล่ะครับ?”
ว่าที่หมอหมาวกกลับเข้าหัวข้อหลักแม้จะยังเสียดายโอกาสอยู่ไม่น้อย
“เออ ๆ !
ผมเริ่มก่อนเองนั่นแหละ!” หนุ่มแว่นตัดรำคาญด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้น “ถึงได้บอกไงว่าไม่ต้องอธิบาย
ใครมันจะเชื่อลงล่ะว่าคนปากเสียอย่างผมจะทำดีกับเขาก็เป็น!”
“แล้วทำไมแนนถึงต้องพูดจาไม่ดีกับคนอื่นด้วยล่ะครับ?”
“ไม่รู้... สงสัยจะติดมาตั้งแต่เด็กล่ะมั้ง”
เนื่องจากไม่เคยตั้งคำถามถึงความปากดีของตัวเองอย่างเป็นจริงเป็นจังเลยสักครั้ง กอปรกับความรู้สึกอับอายเมื่อต้องเผยด้านร้ายกาจของตัวเองให้แก่สารินได้รับรู้เข้าถาโถมจนแทบปั้นหน้าไม่ถูก
ผู้มีอาวุโสด้อยกว่าจึงอาศัยคำพูดประชดประชันฟาดฟันคู่สนทนาให้ยอมรามือ
“ติดมา? ติดจากไหนครับ?
พี่ไม่เห็นบ๊วยพูดไม่ดีกับใครเลยสักคน”
“...” สีหน้าบอกบุญไม่รับของสกลทำให้ว่าที่นายสัตวแพทย์นึกถึงเด็กเล็ก
ๆ ขณะโดนแม่บังคับให้กลืนข้าวที่แอบอมเอาไว้พร้อมกับแนบข้าวช้อนใหม่จ่อติดริมฝีปากแบบคำต่อคำ...
จะขำก็ไม่ได้ จะสงสารก็ใช่เรื่อง
“แนน
แนนฟังพี่นะครับ... ต่อให้แนนจะโกรธ จะพาลพี่ให้ตายยังไง พี่ก็จะนั่งอยู่ตรงนี้
และก็จะรอจนกว่าแนนพร้อมจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้พี่ฟังดี ๆ
แนนเข้าใจพี่แล้วใช่ไหมครับ?”
สายตาแน่วแน่ที่ทิ้งน้ำหนักลงบนทุก
ๆ อณูทั่วหน้าทำให้เด็กเต็กสี่ตาถอนหายใจพรูติด ๆ กันอีกหลายต่อหลายครั้ง...
จ้องกันจนหน้าจะทะลุเสียขนาดนี้
คงจะยอมให้เขาพูดจาบ่ายเบี่ยงซื้อเวลาไปเรื่อยเปื่อยได้หรอกมั้ง!
เอาวะ! ถ้าจะรับกันไม่ได้เสียตั้งแต่วันนี้ ก็ดีกว่ามาขอเลิกกันตอนที่เปิดใจคบหาไปแล้วล่ะมั้ง
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงชอบพูดจาไม่ดีกับเพื่อน
ๆ หรือพวกพี่ ๆ ที่สนิทกัน”
พอสบโอกาสได้บอกเล่าเรื่องราวฝังใจ
ภาพความทรงจำอันโหดร้ายสำหรับจิตใจเด็กชายแนน ก็ไหลหลั่งกลับมามีชีวิตชีวาในหัวของหลานอาม่าใหญ่อีกครั้ง...
กระทั่งทุกวันนี้
สกลก็ยังไม่เข้าใจตรรกะของเด็กหัวโจกในการเลือกเฟ้นเหยื่อผู้โชคร้ายเอาไว้แหย่หยามยามว่างเลยสักนิด
เพราะถ้านับกันตามจริง เขาไม่ได้เป็นเด็กแว่นตัวเซียว ๆ ท่าทางเซื่อง ๆ แลดูแกล้งง่ายกว่าใคร
ๆ ในรุ่นเดียวกันอยู่คนเดียวเสียหน่อย หรือแค่เกิดมาเป็นเด็กชายชื่อไม่แมนที่มักจะเผลอพูดคุยกับภูตพรายอยู่บ่อย
ๆ มันทำให้เขาผิดจนต้องโดนล้อโดนแหย่ไปตลอดชีวิตเลยหรือไร?
“ทั้ง ๆ
ที่ตอนแรก ๆ ผมก็ไม่ชอบฟังเวลาคนอื่นแดกดันหรือพูดจาร้าย ๆ ใส่ตัวเองสักเท่าไร
แต่พอได้ยินพวกนั้นพูดแบบนั้นจนชินโดยไม่โดนด่า ไม่โดนครูดุ... ผมก็เลย... เลย” คนพูดชะงักด้วยความลังเลล่อกแล่กพิกลจนสารินอดสงสัยไม่ได้
“เลยอะไรครับ?”
“ผมเลยเผลอคิดว่า
ถ้าพูดจาแบบนั้นบ้างคนรอบข้างจะสนใจผมมากขึ้นเหมือนพวกเด็กหลังห้องที่ต่อให้พูดจาแย่แค่ไหน
คนอื่น ๆ ก็พร้อมจะไม่ถือสาหาความ แถมยังดูเท่ ได้รับการยอมรับไปเสียอีก” หลังจากนิ่งฟังและนึกภาพตาม ประกอบกับหวนระลึกถึงตัวตนของคนเล่าเรื่องเมื่อครั้งยังเป็นเด็กชายแนนวัยสิบเอ็ดปีผู้มีเพื่อนฝูงแค่เพียงคนเดียว
ว่าที่นายสัตวแพทย์ก็ถึงบางอ้อได้ไม่ยากนัก
“เอาล่ะ
พี่เข้าใจแล้วครับ”
“เข้าใจว่ายังไง?
ทำไมเข้าใจง่ายจัง?!”
รุ่นน้องสถาปัตย์ถึงกับโน้มตัวแล้วชะโงกหน้าข้ามโต๊ะตัวกลางเพื่อสอบถามคู่สนทนาด้วยสีหน้าไม่เชื่อใจ...
เป็นไปไม่ได้! เพิ่งเห็นหน้าแค่ไม่กี่วันจะมาเที่ยวบลัฟกันแบบมันง่ายไป!
“ก็เข้าใจว่าทำไมใคร
ๆ
ถึงตกใจหลังจากได้ยินพี่เล่าเรื่องของแนนให้พวกเขาฟัง...
.
..แล้วก็ยังเข้าใจอีกว่า
กับคนสนิท หรือคนที่แนนรักใคร่ แนนมักจะไม่ระมัดระวังคำพูด ทั้งที่ไม่มีเจตนาร้ายกับใครก็ตามที่เผลอพาดพิง
พี่เข้าใจถูกแล้วใช่ไหมครับ?” ผู้มีศักดิ์เป็นพี่เลิกคิ้วพลางกวาดตามองใบหน้าถอดสีของเด็กน้อยนิ่ง
ๆ ระหว่างรอฟังคำตอบ
“...อืม...
ก็ประมาณนั้น” สกลอ้อมแอ้มแกล้มรอยยิ้มแหย ๆ เมื่อต้องยอมแพ้ให้กับเหตุผลอันตรงเผงของอีกคนที่นั่งดื่มกาแฟอยู่ตรงเก้าอี้ตัวตรงข้าม
.
.
.
.
.
“แต่ถึงพี่จะเข้าใจ
พี่ก็คงยอมให้ใครว่าแนนต่อหน้าพี่ไม่ได้จริง ๆ ครับ” สารินแสดงจุดยืนหลังจากเปิดโอกาสให้หลานอาม่าใหญ่ได้นั่งหายใจหายคออยู่ครู่หนึ่ง
“อ้าว!
ทำไมล่ะคุณ?!”
“แนนอยากให้พี่พูดถึงซิลเวสเตอร์หรือเจเรมีในทางเสียหายหรือเปล่าล่ะครับ?”
ทันทีที่ได้ยินคำถามของรุ่นพี่ สกลถึงกับงงจนไปไม่เป็นด้วยเชื่อเสมอว่าคงไม่มีใครบ้าบอลุกขึ้นมาทำอะไรแบบนั้น
แต่ว่าที่นายสัตวแพทย์กลับเสริมความทำให้ตัวอย่างดังกล่าวกลายเป็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
“เช่น เจเรมีเป็นหมาวายร้ายที่ชอบใช้ใบหน้าไม่สื่ออารมณ์ล่อลวงให้คนเข้าใจว่ามันป่วยเป็นโรคไตระยะสุดท้าย
จนต้องพามันไปกรูมมิ่ง พาไปเข้าสปาอะไรทำนองนี้น่ะครับ”
“ฮะ ฮะ ฮะ ฮ่า
บ้าไปแล้วเหรอคุณ?! คุณพูดแบบนั้นเจเรมีเสียหมาหมด!” หนุ่มแว่นหัวเราะร่วนกับเนื้อความน่าชวนหัวที่สารินเอื้อนเอ่ยหน้าตาย
“ทีนี้เข้าใจหัวอกพี่หรือยังครับ?”
“อือ ๆ ...เข้าใจก็ได้!” รุ่นน้องสถาปัตย์พูดรับปากด้วยการกระแทกหางเสียงเพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าโดนอีกฝ่ายเอาตัวเองไปเปรียบกับหมาอยู่หลัด
ๆ ส่วนพี่ปีสามหน้าตี๋ที่ได้คลายข้อข้องใจก็พร้อมจะออกเดินทางไปยังที่หมายในทันที
“ดีครับ
ทีนี้เราก็ไปเยี่ยมลูกหมากันได้เสียทีเนอะ”
“เดี๋ยว!” หนุ่มแว่นยกฝ่ามือขึ้นพร้อมกับเอ่ยรั้งจนเด็กสัตว์แพทย์ทำหน้างุนงง
“หืม?
มีอะไรอีกเหรอครับ?”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“คุณรับได้เหรอที่ผมไม่ได้เป็นคนดีสักเท่าไรน่ะ?”
คำถามที่เผยให้คนฟังรับรู้ถึงอาการ
‘แคร์ความรู้สึก’
ของผู้พูดเป็นครั้งแรก
เรียกรอยยิ้มกว้างให้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาหมีเกาหลีด้วยความดีใจเป็นที่สุด ถ้าตีความจากคำพูดของน้อง... แปลว่า เด็กน้อยกำลังหวั่นใจ
กลัวเขารับไม่ได้กับข้อเสียที่ร้ายกาจในความรู้สึกของเจ้าตัวอยู่แน่ ๆ แต่เพื่อความชัวร์...
ถามดีกว่า
“แนนกลัวพี่จะรับแนนไม่ได้เหรอครับ?”
.
.
.
.
.
“อือ... ก็...
นิดหน่อย” ใบหน้าที่เดี๋ยวก็ขึ้นสีแดงก่ำสลับกับซีดเผือดไม่ได้ว่างเว้นยิ่งชวนมองไปกันใหญ่เมื่อเจ้าของเขินอายจนไม่อาจยกสายตาขึ้นมาประสานกัน
หลานอาม่าเล็กจึงคั่นช่วงเวลาตกประหม่าด้วยการเปลี่ยนเรื่องมันเสียเลย
“อึดอัดไหมครับเวลาไม่ได้ตอบโต้คนอื่นเพราะมัวแต่เกรงใจพี่?”
“คันปากยิบ ๆ
เลยล่ะ” เด็กน้อยรับคำพลางพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วยสุด ๆ สารินจึงรีบพูดสำทับรับรองเพื่อความสบายใจของอีกฝ่ายโดยไม่รอช้า
“ต่อไปถ้าแนนอยากจะพูดอะไรกับเพื่อนก็พูดไปตามธรรมชาติเถอะครับ
คิดเสียว่าพี่เป็นเพื่อน เป็นพี่คนนึงก็แล้วกัน”
“แต่ผมปากร้ายนะ!” แม้จะเชื่อคำพูดของสารินไปเกินกว่าครึ่ง ทว่าคนเห็นผีกลับยังอดพะวงถึงอนาคตไม่ได้...
เกิดวันไหนเขาพลั้งปากปล่อยหมาออกอาะวาดโดยพร้อมเพรียงกัน
วันนั้นจะกลายเป็นวันสุดท้ายที่อีกฝ่ายเลือกอยู่กับคนปากมอมอย่างเขาหรือเปล่า?!
โชคดีเหลือเกินที่สารินเข้าอกเข้าใจความกังวลของเด็กหัวไข่เป็นอย่างดี
ผู้เป็นพี่จึงรีบตอกย้ำและสร้างความมั่นใจให้กับรุ่นน้องต่างคณะแบบที่ไม่ต้องเสียเวลาใคร่ครวญ
“พี่จะไม่ไปไหน
แต่ถ้าแนนล้ำเส้นคนอื่นเกินไป... พี่คงต้องห้าม แนนเข้าใจพี่นะครับ”
“...อือ...”
“เข้าใจก็ดีแล้วครับ
ไปครับ... ไปหาลูกหมากัน!” สารินยิ้มหวานพลางหยัดตัวลุกยืนแล้วส่งมือให้กับคนปากร้ายที่ว่าง่ายเหลือเกิน
ฝ่ามือเรียวชื้นเหงื่อที่วางพาดลงมาอย่างเงอะงะไม่ได้ทำให้ว่าที่นายสัตวแพทย์ต้องชะงักรอ
หากแต่เป็นเพราะแรงกระตุกเบา ๆ หลังจากนั้นต่างหากที่เรียกให้เขาต้องหันกลับไปมองหน้าน้องที่ยังปักหลักอยู่ที่เดิม
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
.
.
.
.
.
“ไม่ว่าผมจะปากร้ายยังไง
คุณก็จะไม่ไปไหนแน่ๆ นะ... ผมเชื่อคุณได้ใช่ไหม?” เด็กสัตว์แพทย์ออกแรงฉุดแขนอีกฝ่ายเพียงแผ่วเบาเพื่อให้เจ้าตัวเตรียมพร้อมที่จะออกเดินทางอีกครั้ง
พร้อมกับอาศัยจังหวะที่หนุ่มแว่นไม่ทันตั้งตัว กระซิบใจความสำคัญที่สุดเพื่อทั้งยืนยันให้เด็กน้องของเขาคลายใจไปพร้อม
ๆ กับบอกใบ้ความนัยที่อีกฝ่ายอาจจะหลงลืม
“พี่ไม่เคยไปไหน
และพี่จะไม่ไปไหนโดยไม่มีแนนอีกแล้วครับ... พี่สัญญา”
“ให้มันจริงเถอะ!” อารามดีใจผนวกกับเขินอายใบหน้าของรุ่นพี่ปีสามที่ลอยห่างออกไปแค่ไม่กี่เซนติเมตร
ทำให้สกลหูอื้อตาลายจนไม่ทันได้จับใจความประโยคของสารินมาขบคิดให้ถ่องแท้อีกคำรบดังที่ควรจะเป็น
วินาทีนั้น...
เขาคิดเพียงว่า แค่อ้าปากพูดจาท้าทายอีกฝ่ายได้ด้วยท่าทางปกติ นั่นก็ถือว่ารักษาฟอร์มได้ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว
«♥»------------------------------------ TBC ------------------------------------ «♥»
No comments:
Post a Comment