ลมหนาวพัดผ่านกลับมาทักทายบ้านเราอีกแล้ว
ขอให้คนอ่านที่น่ารักของเราทุก
ๆ คนดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงโดยถ้วนหน้า
เราจะไม่จน ไม่เจ๊ง
ไม่เจ็บ ไม่จ๋อยไปพร้อม ๆ กันเนอะ ^^
สุขสันต์วันปีใหม่ของพี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีนทุก
ๆ ท่านค่ะ
ใครได้อั่งเป่าเราก็ยินดีด้วย
ส่วนใครไม่ได้เงินขวัญถุงใด ๆ
ก็เดินเข้ามารับอ้อมกอดสุดอุ่นจากเราไปทดแทนนะคะ...
แจกฟรีไม่มีอั้น เพื่อคุณผู้อ่านที่น่ารักทุก
ๆ คนเล้ยยย!
รักคนอ่านทุก ๆ
ท่านอย่างที่สุด จุ๊บ ๆ
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
The 09th
Bonding
แนนของพี่ริน
“แว่น... ตื่นมาทำอะไรแต่เช้า?
แล้วจะรีบอาบน้ำแต่งตัวไปทำไม... คาบแรกมันเก้าโมงไม่ใช่เหรอ?” คำถามแรกของวันถูกเปรยออกจากปากของแฝดพี่ทันทีที่เหลือบเห็นแผ่นหลังในชุดนักศึกษาถูกระเบียบเป๊ะของเพื่อนหัวไข่ห่อลู่จนดูน่าเป็นห่วง
“ทำไมพี่ฌานออกจากสมาธิเร็วจังครับ?
ผมทำเสียงดังเหรอ?” ฝั่งชายผู้ครอบครองโซฟาหน้าทีวีใจกลางห้องรับแขกถึงกับหน้าซีดปากสั่นด้วยไม่นึกฝันว่าร่างทรงหนุ่มจะทำกิจวัตรช่วงหลังตื่นนอนเสร็จเร็วกว่าเวลาปกติราวเกือบชั่วโมง...
แล้วอย่างนี้เขาจะยังปักหลักรอสารินอยู่ที่ห้องโดยไม่ดูมีพิรุธได้อย่างไร?!
“เปล่า
พอดีเมื่อตีสี่พี่ฌานเห็นนิมิตเลยรู้สึกตัวตื่นเร็วกว่าปกติ พอออกสตาร์ทเร็วก็เลิกไวเป็นธรรมดา”
ฌานเอ่ยเสียงเรียบพลางกระชับพื้นที่เข้าใกล้โซฟาพร้อมถามหาคำอธิบายจากอีกฝ่ายที่เปลี่ยนอิริยาบทเป็นนั่งเหยียดหลังตรงคอตั้งอย่างเกร็ง
ๆ ภายในชั่วพริบตาเดียว “แล้วนี่จะตอบพี่ฌานได้หรือยัง? นั่งทำอะไรตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่?”
“ผมว่าจะแวะเอาข้าวเช้าไปให้เจเรมีที่หอก่อนเข้าไปเรียนน่ะครับ
เลยตื่นแต่เช้ามาจัดการตัวเองให้พร้อมแต่เนิ่น ๆ ” แม้คู่สนทนาจะไม่ได้นั่งประจัญหน้าจนเห็นท่าทางของหลานอาม่าแบบเต็ม
ๆ ทว่าเหตุผลที่สกลอ้างอิงใช้โดยเม้มใจความจริงส่วนที่เกี่ยวข้องกับรุ่นพี่ต่างคณะเอาไว้
กลับทำให้ฌานประหลาดใจหนักข้อยิ่งกว่าเดิม
“ลุกขึ้นมาเตรียมพร้อมตั้งแต่หกโมงครึ่งเนี่ยนะ?!”
“ครับ!”
“เรอะ?!” สกลพยักหน้าหงึกหงักสนับสนุนคำพูดของตนอย่างแข็งขัน
จนเพื่อนสนิทเผลอยกมือขึ้นกอดอกพลางยืนใคร่ครวญสิ่งที่เพิ่งได้ยินด้วยความคลางแคลงใจอยู่เบื้องหลัง
“ก็ถ้าพร้อมแล้วทำไมยังไม่ไปหาเจเรมีมันอีกล่ะ? จะมานั่งเหม่อทำมิวสิคอะไรอยู่?
หรือกำลังรอให้ใครมารับ?”
“เปล๊า! เปล่าเลยครับพี่ฌาน คือ
เมื่อกี๊ผมกำลังนั่งนึกอยู่ว่าต้องเอาอะไรใส่กระเป๋าไปเรียนอีกหรือเปล่า... แต่ตอนนี้เรียบร้อยแล้ว ผมไปก่อนนะครับ!
เจอกันที่คณะครับพี่ฌาน!” คำถามของฌานไม่ต่างจากสายฟ้าผ่าลงกลางใจ
ยังดีที่พอจะรวบรวมสติได้ หนุ่มแว่นจึงรีบผุดตัวลุกขึ้น แล้วเดินเลี่ยงสายตาเจ้าของห้องชุดไปยังประตูโดยไม่คิดเหลียวหลัง
ด้วยรู้ว่าหากยังขืนอ้อยอิ่งประวิงเวลานานกว่านี้... อีกฝ่ายต้องจับเด็กเลี้ยงแกะได้คาหนังคาเขาเป็นแน่
“เดี๋ยววว!” เสียงเรียกเพียงแผ่วทว่าทรงพลังเหลือร้ายในความรู้สึกฉุดขาตะเกียบใต้กางเกงสแล็คพอดีตัวให้เดินวกกลับมาหยุดตรงที่เดิมอย่างน่าอัศจรรย์
“ว่าไงเหรอครับพี่ฌาน?”
ชายหัวไข่พร้อมสีหน้าสงสัยติดหมัดซึ่งเจ้าตัวแอบปั้นแต่งในชั่วเสี้ยววินาทีแหงนมองสบตากับเพื่อนรักอย่างซอฟท์ใสไม่รู้อิโหน่อิเหน่
“จะไม่เอา ‘นั่น’ ไปด้วยเหรอ?” ฌานพยักเพยิดส่งสัญญาณให้มนุษย์สี่ตาผินหน้าตามไปมองดูวัตถุสีสันสดใสขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ที่วางหราอยู่บนโต๊ะหน้าโซฟา
“ว้า! แย่จัง ลืมจนได้!” หลานอาม่าแสร้งยกปลายนิ้วชี้ทั้งสองขึ้นจิ้มแก้มพลางเอียงหัวปั้นยิ้มในองศาสุดแบ๊ว
แล้วจึงวิ่งไปฉวยซองอาหารหมาบนโต๊ะติดมือก่อนจะแว่บผ่านหน้าไป
พลางตะโกนโบกมือโบกไม้ให้กับลมกับฟ้าโดยไม่ยอมหันหน้ากลับไปสบตากับแฝดพี่เลยสักครั้ง
“เจอกันที่คณะนะครับพี่ฌาน!”
แย่แล้ว...
ทำไงล่ะทีนี้?!
.
.
จะไปรอเจอที่หอในเลยก็ไม่ได้...
แต่ถ้าปล่อยให้หมีขาวมาเคาะห้อง
เดี๋ยวก็โดนแฝดจับถลกหนังกันพอดี!
.
.
แต่ถ้าเคาะเรียกต้องดูเห่อ
ดูอยากเจอมากแน่ ๆ
โอ๊ยกลุ้ม!... เอาไงดีว้า?!
เด็กเต็กหน้าแว่นบ่นกับตัวเองระหว่างเดินคิดใคร่ครวญวนเป็นวงกลมจนพรมทางเดินหน้าห้องจวนจะสึก
แค่ต้องรับมือว่าที่นายสัตวแพทย์แบบตัวต่อตัว...
หัวใจเขาก็ยักแย่ยักยันหวาดหวั่นหวามไหวเต็มที แต่ครั้นจะปล่อยให้หนุ่มรุ่นพี่จากต่างคณะพูดคุยกับเพื่อนสนิททั้งผองของตนโดยไม่มีคนกลางคอยกันซีน
สารินก็อาจจะกลัวจนหลบลี้หนีหน้า หายสาปสูญหลุดจากสารบบชีวิตเขาไปตลอดกาลเลยก็เป็นได้
นึกออกแล้ว!
ทิ้งอาหารหมาเอาไว้ก็สิ้นเรื่อง
คิดได้ดังนั้น
เด็กสถาปัตย์จึงก้มตัวลงเพื่อวางถุงอาหารสุนัขไว้ตรงหน้าประตูห้องของชายหนุ่มผู้ยิ้มเรี่ยราด
แต่ยังไม่ทันที่ร่างกายจะได้กลับขึ้นเหยียดตรงอีกครั้ง
บานประตูห้องตรงข้ามนิวาสถานปัจจุบันก็เปิดกว้างทันกันพอดิบพอดีราวกับมีใครคอยให้คิว
“คิดว่าแอบย่องมาเงียบ
ๆ แล้วจะหนีพี่พ้นหรือไงครับ?”
“เฮ่ย!” หลานอาม่าใหญ่อุทานด้วยความตกใจหลังจากได้ยินเสียงเคียงภาพปลายเท้าทั้งสิบของใครสักคนผ่านเข้าสู่ประสาทตาและหูโดยพร้อมเพรียงกัน
“ทำไมไม่เคาะประตูเรียกพี่ดี
ๆ ล่ะครับ?” หากสกลฟังไม่ผิด ดูเหมือนเมื่อกี๊เสียงนุ่ม ๆ ที่เริ่มจะเคยคุ้น ฟังกระด้างแปร่งหูผิดไปจากทุกที
จากที่คิดว่าจะทิ้งของกลางไว้แล้วหายตัวเข้ากลีบเมฆไปอย่างเงียบเชียบ
เสียงเรียบ ๆ คล้ายไม่พอใจก็ทำให้เขายอมลุกขึ้นยืนประจัญหน้ากับอีกฝ่ายที่ยังอยู่ในชุดนอนเต็มยศได้ไม่ยากนัก
“ก็แค่คืนของ
ไม่เห็นต้องเคาะเรียกให้เสียมารยาทเลยนิ” เด็กเต็กเถียงข้าง ๆ คู ๆ
พร้อมกับยกมือขึ้นเกาหัวเกาหูกลบเกลื่อนไม่ให้อีกฝ่ายมองใบหน้ากระดากอายของตนได้อย่างชัดเจน
“พี่เคยบอกแล้วไงว่าไม่ต้องเกรงใจพี่...
ถ้าเป็นเรา เรียกพี่ได้ทุกเวลา” อาการขวยอายส่อเค้าไม่มั่นใจที่น้องเผลอไผลแสดงออกตำตา
ขจัดความรู้สึกขุ่นมัวเพราะกลัวโดนเบี้ยวนัดช่วงเช้าจนหายวับลับลืม จะเหลือก็เพียงความรู้สึกเอ็นดูจนอยากจะแกล้งหยอกให้ใบหน้าของรุ่นน้องสถาปัตย์ยกระดับความแดงยิ่ง
ๆ ขึ้นไปเท่านั้น
“คนเขามีสมบัติผู้ดีเหอะ!” สารินทำเป็นไม่สนใจก้มลงหยิบถุงอาหารเม็ดบนพื้นพร้อมกับโต้ตอบด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“อยู่กับพี่...
ต่อให้เรามาแต่ตัวไม่มีสมบัติอะไร พี่ก็ยินดีรับเลี้ยงอยู่แล้วล่ะครับ” ว่าที่นายสัตวแพทย์คลี่ยิ้มพิมพ์ใจตบท้าย
ก่อนจะฉุดข้อมือเด็กสี่ตาหน้าคว่ำให้เดินตามกันเข้าห้อง “เข้ามานั่งรอพี่อาบน้ำแต่งตัวแป๊บนึงนะครับ
แล้วเราค่อยออกไปหาเจเรมีพร้อมกัน”
“ไม่เอา! ปล่อยยย!” สกลจิกส้นเท้าลงบนพรมหน้าห้องพลางขืนตัวร้องไม่ยอมท่าเดียว
ทว่าฝ่ายผู้หน่วงเหนี่ยวกลับตัดกำลังด้วยประโยคทีเล่นทีจริงเข้าให้อย่างจังเบอร์
“เถอะครับ ถ้าเราไม่อนุญาต...
พี่ไม่ทำอะไรเราหรอก สัญญาเลย”
“เฮ่ย! จะบ้าเรอะ?! ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยนะ!” ทั้งสองยื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่พักใหญ่
สุดท้าย... สารินที่เริ่มจะทนสงสารอีกฝ่ายไม่ได้ก็เปลี่ยนการตัดสินใจเอาเสียดื้อ ๆ
“ครับ ครับ...
ไม่เข้าห้องพี่ก็ได้ครับ แต่เรากลับห้องไปรอพี่ก่อนได้ไหม เดี๋ยวอีกสิบนาทีพี่จะมารับ”
จากออกแรงลากน้องเข้าห้องตัวเอง
กลายเป็นจูงเด็กสถาปัตย์เดินกลับไปหยุดตรงหน้าห้องของฝาแฝดปีสองอย่างกระฉับกระเฉงไปเสียฉิบ
กระนั้น จังหวะที่ชายหนุ่มรุ่นพี่ง้างกำปั้นทำท่าจะเคาะประตูตามมารยาท
สกลก็ประกาศจุดยืนใหม่ที่แปรผันไปตามสถานการณ์โดยไม่คิดหน้าคิดหลัง
“แค่นั่งเฉย ๆ
ใช่ไหม?... ผมไปนั่งรอคุณในห้องก็ได้!” ไม่ทันขาดคำ หนุ่มแว่นก็กลับลำเดินนำหน้าลากฝ่ามือใหญ่ของหมีขาวให้เจ้าตัวรีบก้าวผ่านประตูที่เปิดค้างอยู่เข้าสู่ด้านใน
ก่อนจะออกคำสั่งชุดใหญ่เพื่อกระตุ้นอีกฝ่ายหลังบานประตูใหญ่งับสนิท “เข้าไปอาบน้ำเร็ว
ๆ สิ!... จิ๊!
เร็ว ๆ
เดี๋ยวไม่รอเลยนิ!”
“หึ หึ...
ครับ ครับ” สารินรับคำพลางผายมือส่งสัญญาณไฟเขียวแก่ชายหนุ่มรุ่นน้องพร้อมเอ่ยเชื้อเชิญด้วยรอยยิ้มอย่างอารี
“ตามสบายนะครับ คิดว่าที่นี่เป็นห้องตัวเองได้เลยนะ รอพี่เดี๋ยวนึงนะครับ”
“ไปอาบน้ำได้แล้ว
รำคาญ!” สกลโบกมือไล่หนุ่มรุ่นพี่อย่างไม่เห็นหัวพลางทิ้งตัวลงนั่งหันหลังให้อีกฝ่ายบนโซฟาใหญ่ซึ่งดูจะนั่งสบายกว่าตัวที่ห้องของฝาแฝดหลายเท่านัก
จวบจนเมื่อได้ยินเสียงบานประตูห้องนอนใหญ่ปิดลงพร้อม
ๆ กับเสียงเสียดสีของชุดนอนยามเคลื่อนไหวดังห่างออกไปแล้วนั่นแหละ ความรู้สึกผ่อนคลายไร้กังวลถึงจะยอมกลับมาเยี่ยมเยือนเรือนใจของเด็กสถาปัตย์เป็นครั้งแรกของวัน...
ไม่อยากนึกเลยว่า หากเขาตัดสินใจช้ากว่านี้เพียงเสี้ยววินาที เรื่องที่ต้องการปกปิดทั้งหลาย
คงจะถึงหูแฝดพี่โดยที่ฝ่ายนั้นแทบไม่ต้องออกแรงให้เหนื่อย
หลังจากเรียบเรียงความคิดอยู่ครู่ใหญ่
ชายหนุ่มหัวไข่ก็เริ่มไล่สายตากวาดมองไปรอบ ๆ ห้องด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามประสาขาเผือก
อย่างไรก็ดี... ทันทีที่รู้สึกว่าการมองเห็นของตนเริ่มถึงขีดจำกัด ร่างผอมสูงน้อง
ๆ เสาไฟฟ้าจึงสลัดก้นพ้นจากโซฟาน่านั่งเพื่อออกสำรวจไปรอบ ๆ ระหว่างที่เจ้าของยังจัดการตนเองอยู่ในห้องส่วนตัว
เป็นพวกระเบียบจัดหรอกเหรอ?
หึ! เนี๊ยบเหลือเกิน แอบซุกเมียเอาไว้หรือเปล่าเนี่ย?
แม้โครงสร้างจะคล้ายคลึงกับห้องของฝาแฝดที่ตนร่วมอาศัย
แต่บรรยากาศภายในอันเป็นผลมาจากการตกแต่ง โทนสี และความเป็นระเบียบกลับทำให้ที่พักของว่าที่นายสัตวแพทย์ดูเนี๊ยบเรียบกริ๊บผิดกับห้องของเหล่าเด็กสถาปัตย์ปีสองลิบลับ เรียกได้ว่าน่าอยู่สูสีกับเพนท์เฮาส์ของเต๋อเลยทีเดียว
อีกฟากของห้องฝั่งข้าง
ๆ ระเบียงกว้างมีชั้นหนังสือสูงใหญ่จรดเพดานกั้นพื้นเป็นสัดส่วนสำหรับอ่านหนังสือและทำงานโดยเฉพาะ
ตำราปกแข็งซึ่งดูคล้ายกับหนังสือรวบรวมภาพถ่ายงานสถาปัตยกรรมจากทั่วโลกที่เหล่าเด็กเต็กคุ้นเคยมากมายหลายเล่ม
ดึงดูดให้หนุ่มแว่นเร่งฝีเท้าปราดเข้าไปสอดส่องรสนิยมในการอ่านของว่าที่นายสัตวแพทย์อย่างลืมตัว
สกลเอนหัวขนานกับพื้นเพื่อไล่อ่านชื่อเรื่องตรงสันปกด้วยความสนอกสนใจ
เด็กสัตว์แพทย์ต้องอ่านหนังสือเกี่ยวกับหมาเยอะขนาดนี้เลยเหรอ?
สงสัยที่พี่สิงห์พูดนี่ท่าจะไม่ผิด...
คงจะรักน้องมากเลยสินะ
.
.
หืม... ทำไมมุมนี้มีแต่หนังสีอเกี่ยวกับเกรทเดน?
อันที่จริง หลานอาม่าซิ้วงิ้งคงไม่นึกเอะใจอะไรหากชั้นหนังสือตรงหน้าจะเต็มไปด้วยตำราเกี่ยวกับสัตว์ทั่ว
ๆ ไปโดยไม่เจาะจงสัตว์สายพันธุ์ กระนั้น...
หนังสือภาษาอังกฤษเล่มใหญ่ว่าด้วยการเลี้ยงดูสุนัขพันธุ์ใหญ่อย่างเกรทเดนจำนวนไม่ต่ำกว่าสิบเล่มนั่นกลับทำให้สกลอดแปลกใจไม่ได้
แม้จะตงิดใจกับบรรดาเพื่อน
ๆ ของปีเตอร์ในแบบฉบับรูปเล่มบนชั้นหนังสือ แต่สมุดบันทึกในสภาพสมบุกสมบันราวกับถูกใช้งานไม่เว้นแต่ละวันบนโต๊ะทำงานตัวใกล้
ๆ กันนั่นต่างหาก ที่กวักมือไหว ๆ เรียกร้องให้เขาเดินเข้าไปเผือกใกล้ ๆ
โดยไม่สนใจว่าการแอบอ่านไดอารี่เท่ากับการละลาบละล้วงเรื่องของคนอื่นอย่างที่สุด
“เบื่อเหรอครับถึงได้แอบเดินเก็บข้อมูลพี่เสียทั่วห้องเลย?”
เสียงกระซิบข้าง ๆ ใบหูทำให้เด็กสถาปัตย์ถึงกับผงะ พลางรีบชักมือกลับแทบไม่ทัน
“จะบ้าเหรอ?! ใครอยากรู้เรื่องคุณกัน?” ทันทีที่ตั้งสติได้ คนอ่อนวัยกว่าก็หันไปพูดจาสรรเสริญเจ้าของห้องด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้นเพื่อปกปิดความผิดของตนอย่างแนบเนียน
แต่หนุ่มผู้มีศักดิ์เป็นพี่กลับยิ้มตาหยีแล้วเอ่ยตอบเสียงหวานจนคู่สนทนาสะท้านไปทั้งใจ
“อยากรู้อะไรก็ถามพี่ตรง
ๆ เถอะครับ พี่รอตอบคำถามของเราอยู่ตลอดนะ รู้ใช่ไหม?”
“เสร็จแล้วก็ไปเสียทีสิ
เดี๋ยวเจเรมีก็หิวตายก่อนพอดี!” เด็กเต็กก็หมุนตัวเดินดุ่ม ๆ ออกจากห้องไปโดยไม่รั้งรอทันทีที่พูดจบ
สารินจึงผลุนผลันตามไปประกบอีกฝ่ายเพราะไม่อยากให้คลาดสายตา
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
“ทำไมเราถึงชอบหมาล่ะ?”
ว่าที่หมอหมาเปิดประเด็นซักถามระหว่างที่เด็กแว่นขยำไปตามเนื้อตัวของเจ้าสี่ขาสีสลิดประจำตึกยี่สิบบีอันเป็นที่พักเดิมของหนุ่มสถาปัตย์อย่างรักใคร่
“จริง ๆ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร...
รู้แต่ว่าตั้งแต่เด็ก ๆ ผมมีเพื่อนแค่คนเดียว” สกลพูดกลั้วยิ้มพลางนวดเฟ้นสะกิดเกาเหนียงใต้คางเจเรมีเบา
ๆ จนเจ้าตูบหน้าเดียวค่อย ๆ เลื้อยไหลทิ้งตัวใส่พื้นหญ้าคล้ายก้อนไขมันโดนความร้อน
“เวลาบ๊วยไม่ว่างเล่นด้วย
ผมก็จะไปเล่นกับหมาของลุงภารโรงที่โรงเรียน
คบหาเป็นเพื่อนกันได้ไม่ถึงสองปี มันก็ชิงแก่ตายไปก่อน หลังจากนั้นผมก็ตกหลุมรักหมาทุกตัวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตโดยไม่คิดหาเหตุผล
เนอะเจเรมีของพี่” หลานอาม่าใหญ่พยักหน้าหงึกหงักอย่างรู้กันให้เจเรมีซึ่งไม่มีอารมณ์ร่วมใด
ๆ ทั้งสิ้น
“น่ารักดีนะครับ”
ท่าทีสบาย ๆ กับคำตอบไหลลื่นไร้วาจาจิกกัดของอีกฝ่ายทำให้สารินฉวยโอกาสหยอดใส่โดยไม่เว้นช่องไฟให้เสียจังหวะ
“ฟังแล้วพี่อยากจะเป็นหมามั่งเลย”
“อย่าเป็นเลย...
เดี๋ยวจะไปดึงมีนสายพันธุ์ให้ยิ่งตกต่ำไปกันใหญ่... สงสารเจเรมีและผองเพื่อน” เด็กสถาปัตย์ย้อนนุ่ม
ๆ โดยไม่ละสายตาจากหน้าเซื่อง ๆ ของสัตว์สี่ขาหน้าขนที่ตนเฝ้าลูบไล้ ปฏิกิริยาแปลกใหม่ซึ่งคนเป็นน้องแสดงออกทำให้สารินอารมณ์ดีเสียจนไม่อาจกลั้นขำทำหน้านิ่งได้อย่างเคย
“แล้วนอกจากหมา
เราชอบสัตว์อะไรอีกครับ?” หนุ่มรุ่นพี่ยิงคำถามต่อเนื่องหลังจากหัวเราะจนพอใจ
“จริง ๆ
ก็ทุกอย่างนะครับ แต่เพราะรักหมามากที่สุด เลยต้องวางตัวกับสัตว์ชนิดอื่นแบบเว้นระยะมากหน่อยเพราะไม่อยากให้หมาเสียใจ”
สารินหัวเราะร่วนไปกันใหญ่เมื่อคำตอบของอีกฝ่ายเกินความคาดหมายไปไกลโพ้น ก่อนจะวกกลับมาตั้งข้อสังเกตเข้าหาเรื่องของตัวเองจากข้อมูลล่าสุดที่คนนั่งยอง
ๆ อยู่ตรงข้ามยอมเปิดเผย
“หึ หึ หึ... กับคนแปลกหน้าก็ด้วยสินะครับ”
รุ่นน้องต่างคณะทำหูทวนลมจนเด็กสัตว์แพทย์ต้องเจาะลึก “เราไม่ชอบเวลาต้องพบเจอกับผู้คนใหม่
ๆ อย่างนั้นเหรอ?” คำถามดังกล่าวลอยลมไปหาคนฟังพร้อมกับสายตาลึกซึ้งของผู้เป็นพี่
“ก็ไม่ใช่กับทุกคน”
สกลตอบอย่างแห้งแล้งก่อนจะแสร้งทำตีมึนไม่สนใจความหมายโดยนัยที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ
สารินจึงต้องรื้อฟื้นเรื่องที่ตนจับสังเกตได้ระหว่างมื้อค่ำเมื่อวานมาใช้เป็นหลักฐานประกอบคำอธิบายทันที
“แต่เห็นเมื่อวานได้ยินคนตัวเล็ก
ๆ บอกว่ากลุ่มเพื่อนเราไม่ค่อยคบใคร
งั้นก็แสดงว่าเราก็เป็นแบบนั้นกับเกือบทุกคนเลยสิถึงไม่ค่อยมีคนมาคบด้วย?”
ถึงจะช้าไปสักนิด
แต่นับจากเหตุการณ์หน่วงหัวใจเมื่อคืนวาน ว่าที่นายสัตวแพทย์ก็เริ่มสงสัยว่า หนุ่มแว่นมีปัญหากับการเฝ้าโผล่มาเสนอหน้าตลอดสามเวลาก่อนอาหารของตนบ้างไหม?
หรือจริง ๆ แล้วท่าทางร้ายกาจ ไม่เป็นมิตรอย่างที่เขาเคยประสบ คือ การแสดงออกตามปกติของอีกฝ่ายต่อบุคคลแปลกหน้าโดยทั่วไปกันแน่?
“ไม่ใช่แบบนั้นเสียหน่อย
ผมทำตัวไม่รับแขกใส่ใครเรื่อยเปื่อยเสียที่ไหน อย่าเหมารวมคิดเองเออเองจะได้ไหมล่ะ?!” สกลบอกปัดด้วยน้ำเสียงติดรำคาญ หนึ่ง คือ ตั้งแต่เข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย เด็กเต็กก็ไม่เคยทำตัวมนุษยสัมพันธ์แย่ใส่เพื่อนใหม่ทั้งในและนอกคณะ
เนื่องจากไม่มีใครจ้องจะหาเรื่องแกล้งเขาเหมือนเมื่อครั้งยังเด็กอีกแล้ว และสอง... การโดนสารินใช้คารมไล่ต้อนไปพร้อมกับต้องคอยทำเมินสายตาหวานหยดที่ส่งมามองกันถี่
ๆ อย่างไม่ปรานีปราศรัยนั้น ก็ใช่ว่าจะรับมือกันง่าย ๆ
อนิจจา... คำตอบที่ว่ากลับทำให้สารินผู้รอบคอบฉุกคิดเรื่องสำคัญบางอย่างขึ้นมาได้
“หรือว่า...
ที่เราทำแบบนี้กับพี่แค่คนเดียว?!” แววตาของสารินพราวระยับด้วยความตื่นเต้นเป็นล้นพ้น
“ใช่ที่ไหนกัน?!
เดี๋ยวเหอะ! เดี๋ยวบอกให้เจเรมีกัดเลยนิ!” หนุ่มแว่นปฏิเสธพัลวัน... ทว่าถึงจะพูดว่าไม่อีกสักกี่ล้านครั้ง
ก็ไม่อาจลบล้างบิดเบือนความจริงที่ตนเพิ่งสารภาพกับอีกฝั่งได้แต่อย่างใด คำพูดที่มัดตัวเองเสียแน่นของหลานอาม่าใหญ่จึงกลายเป็นยาดีของสารินไปโดยปริยาย
“ทำไมครับ?...
เราไม่อยากลองทำความรู้จักคนใหม่ ๆ ... คนที่ซื่อสัตย์ จงรักภักดี รักและหวงเราจนไม่อยากให้ใครเข้าใกล้
แถมยังเลี้ยงง่าย กับข้าวก็ทำได้ งานบ้านก็ทำดี ใจเย็นเป็นที่หนึ่ง ชอบเอาอกเอาใจ
พึ่งพาอาศัยได้ และมักจะคิดถึงเราเป็นอันดับแรกดูหน่อยเหรอครับ?” ว่าที่นายสัตวแพทย์โฆษณาตัวเองเต็มที่ด้วยน้ำเสียงขยี้ใจผู้ฟัง
ตามด้วยรอยยิ้มจนตาเป็นขีดที่ทั้งหวานและน่ามองเสียเหลือเกิน ฝ่ายเด็กสถาปัตย์ผู้เอาแต่จ้องหมาแก่ที่เพลิดเพลินกับการนวดกดจุดด้วยขวยเขินจนหน้าไหม้ก็ไม่วายสวนกลับด้วยวาจาร้ายกาจ
“ที่พูดมานั่นคนหรือหมา?”
“ก็ต้องคนสิ
หมาที่ไหนจะทำงานบ้านกับทำอาหารเป็นบ้างล่ะครับ... ใช่ไหมเจเรมี? พี่หมอพูดถูกหรือเปล่า?”
พอเห็นสี่ตาของน้องมองค้อนขวับ สารินจึงหัวเราะรับเสียยกใหญ่
“มีแต่พวกหลงตัวเองเท่านั้นแหละที่จะกล้าอวดอ้างคุณสมบัติตัวเองเสียยาวเหยียดเป็นคำขวัญจังหวัดแบบนี้”
สกลเหน็บพลางมองแรงด้วยความหมั่นไส้ แต่พอรู้ตัวว่าแพ้สายตาของอีกฝ่าย เด็กเต็กหัวไข่จึงรีบเบนความสนใจกลับไปหาหมาไม่สนโลกอย่างว่องไวพอกัน
“เห็นด้วยไหมครับเจเรมี?... ถ้าเห็นด้วยให้ทำปากจู๋ ไหน...ไหนทำปากจู๋ซิ”
.
.
.
.
.
.
“พี่ก็ว่าจะเลิกหลงตัวเองแล้วมาหลงเรานี่แหละครับ
ไม่รู้ว่าพอจะแทนกันได้ไหม?” สกลถึงกับค้างท่าปากจู๋อยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเห่าใส่หนุ่มรุ่นพี่ด้วยคำด่าที่อ่อนโยนยิ่งกว่าเด็กป.ห้าทะเลาะกันเสียอีก
“ปัญญาอ่อน!” ถึงปากจะบริภาษแว้ด ๆ แต่เจ้าตัวกลับไม่อาจเชิดหน้าทำซ่าประกอบการแผดเสียงแหวได้... เรื่องอะไรถึงต้องยอมให้สารินเห็นใบหน้าตัวเองตอนเขินง่าย
ๆ ล่ะ!
“เจเรมี...
พี่เขาไม่ตอบคำถามพี่หมออ่ะครับ แล้วอย่างนี้พี่หมอจะเลิกหลงตัวเองได้เมื่อไรครับเนี่ย?” คนโตกว่าทั้งอายุและขนาดร่างกายจึงรีบใช้สิทธิยืมตัวช่วย
“อย่าไปฟังคนเพ้อเจ้อนะเจเรมี!” หนุ่มแว่นรุ่นน้องปิดหูเจเรมีที่ทำกระทั่งตอนนี้ก็ยังหน้ามึนนอนอ้าขาให้ว่าที่หมอหมาที่นั่งยงโย่ยงหยกอยู่อีกฝั่งเกาพุงอย่างสุขสำราญ
ยิ่งได้เห็นหลานอาม่าใหญ่มีปฏิกิริยาตอบโต้ต่อคำพูดของตนไปเสียทุกที
เด็กสัตว์แพทย์จึงยิ่งเอ็นดูระคนชื่นใจอย่างที่ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้ ไหน ๆ น้องก็อารมณ์ดีแถมยังให้ความร่วมมือตอบคำถามโดยไม่เรรวน...
เขาจะยอมเทประเด็นอ่อนไหวที่ยังคาใจให้ตกไปก่อนก็แล้วกัน
“ถึงตอนเด็กเราจะเพื่อนน้อย
แต่ตอนนี้พี่เห็นเพื่อนเราออกจะเยอะแยะแล้วนี่ครับ...
ต้องคอยดูแลทั้งเพื่อนทั้งเจเรมีแล้วก็เจ้าตัวนั้นตัวนี้ทั้งมหาลัย
เราไม่เหนื่อยแย่เหรอ?”
“ผมชินแล้ว อีกอย่าง...
ผมก็ไม่ได้ต้องดูแลพวกเด็กๆ ตลอดเวลาเสียหน่อย มีเวลาว่างเมื่อไรผมถึงค่อยมา
แต่ส่วนใหญ่ผมก็ฝากอาหารเอาไว้กับพี่แม่บ้าน ไม่ก็ลุงภารโรงแทน เด็ก ๆ จะได้ไม่อด”
หลังเปลี่ยนประเด็นสนทนา รุ่นน้องหัวไข่ก็ดูจะหายใจหายคอโล่งขึ้นทันตา สารินจึงโพล่งคำถามที่ตนอยากรู้ที่มาที่ไปมาตลอดหลายปีกับอีกฝ่ายโดยไม่รอช้า
“แล้วทำไมตอนเราเป็นเด็ก
เราถึงไม่ค่อยมีเพื่อนล่ะครับ?”
.
.
.
.
.
.
.
.
แทนที่จะได้ยินคำตอบที่เฝ้ารอคอย
คนอายุน้อยกว่าหนึ่งขวบปีกลับลุกหนีไปยังก็อกน้ำใกล้ ๆ โดยไม่พูดไม่จาก่อนจะเปิดน้ำแล้วตั้งหน้าตั้งตาล้างมืออย่างเอาเป็นเอาตาย
กระนั้น... การประทุษร้ายฝ่ามือตนเองกลับถึงคราวต้องหยุดชะงักลงกลางคันเมื่อคนที่เพิ่งเดินตามาสมทบคว้ามือทั้งสองข้างไปค่อย
ๆ ล้าง ค่อย ๆ ถูคราบสกปรกทั้งหลายให้อย่างทนุถนอม
“ถ้าไม่อยากตอบพี่ก็บอกพี่ตรง
ๆ สิครับ อย่าแอบมาทำร้ายตัวเองแบบนี้ ดูสิเนี่ย... มือแดงแจ๋เลย แล้วอย่างนี้จะจับดินสอวาดรูปไหวหรือเปล่าครับ?”
ด้วยความเป็นห่วง คนโตกว่าที่เอ็ดน้องไม่ขาดปากก็ลากสายตาสำรวจฝ่ามือของน้องอย่างละเอียดถี่ถ้วนโดยไม่ทันตระหนักว่าสัมผัส
ณ ปัจจุบันขณะ จะทำให้อีกฝ่ายใจเต้นไม่เป็นจังหวะคล้าย ๆ หัวใจใกล้จะล้มเหลวอยู่รอมร่อ
“พอ ๆ
ไม่ต้องล้างแล้ว!” สกลทั้งท้วงทั้งยื้อฝ่ามือคืน กระนั้นสารินที่เพิ่งจะไหวตัวทันกลับฝืนไม่ยอมปล่อยแถมยังตอบด้วยเหตุผลที่ชวนให้คนฟังอยากจะต่อยหน้าให้หงายเข้าให้อีกต่างหาก
“แต่มือพี่ยังไม่สะอาดเลยนี่ครับ”
“ก็มือผมสะอาดแล้วนิ! ปล่อยเลย! ปล่อยเดี๋ยวนี้!” เมื่อเห็นสกลเริ่มโวยวาย ชายหนุ่มรุ่นพี่จึงละมือข้างหนึ่งเอื้อมไปปิดก็อกน้ำ
ในขณะที่มืออีกข้างกำรวบมือทั้งสองของเด็กแว่นเอาไว้ด้วยกันอย่างไม่รู้ไม่ชี้
“สรุปว่าพี่ถามเราเรื่องนี้ไม่ได้ใช่ไหมครับ?
ต่อไปพี่จะได้ระวัง ไม่เผลอเซ้าซี้เราด้วยเรื่องนี้อีก” ว่าที่นายสัตวแพทย์โน้มใบหน้าต่ำลงจนใกล้กับปลายจมูกคนฟัง
อีกฝั่งจึงผินหน้าเบือนหนีหลบพร้อมกลบความประหม่าด้วยการส่งเสียงฮึดฮัดขัดใจไม่มีขาดช่วง
“ว่ายังไงครับ?” สารินคาดคั้นอย่างนุ่มนวล
.
.
.
.
.
“...ผมบอกก็ได้
แต่ห้ามล้อนะ...”
เด็กสถาปัตย์ทำหน้าหงอยพร้อมกับเอ่ยเสียงอ่อยจนดูน่าสงสาร หนุ่มรุ่นพี่บีบมือคู่สนทนาเบา ๆ ผิดกับน้ำเสียงที่เขาใช้รับคำที่หนักแน่นจนคนฟังใจชื้น
“ครับ
ไม่ล้อครับ”
.
.
.
.
“...ผมอายชื่อเล่น...”
“เพราะชื่อเล่นทำให้ไม่ค่อยมีเพื่อนเหรอครับ?”
“อือ ก็โดนคนอื่นล้อตั้งแต่อยู่อนุบาล
ไม่มีวันไหนไม่โดน... ตอนนั้นเลยไม่ค่อยกล้าคุยกับใคร” คำตอบซึ่งสะท้อนเรื่องราวน่าเศร้าใจพรั่งพรูออกจากปากของเด็กเต็กหัวไข่คล้ายน้ำป่าที่ไหลบ่าอย่างรุนแรง
“แล้วรู้ไหมทำไมเขาถึงชอบล้อครับ?”
สกลพยักหน้ารับทั้ง
ๆ ที่ยังกดคางชิดอก หนุ่มแว่นสูดลมหายใจเข้าปอดหนัก ๆ อยู่หลายครั้งพลางตั้งสติ
กับคำถามนี้...
เขาควรจะบอกอีกฝ่ายไปตามตรง... อย่างนั้นใช่ไหม?
เขาจะเชื่อใจคน
ๆ นี้ได้จริง ๆ หรือเปล่า?
.
.
.
.
.
.
“...ก็ชื่อเหมือนผู้หญิง ใคร ๆ ก็บอก...” แม้จะอ้อมแอ้ม แต่สุดท้าย... หลานอาม่าใหญ่ก็ยอมแย้มพรายปมปัญหาใหญ่เกี่ยวกับชื่อเล่นที่ตัวเขาไม่เคยบอกใคร
นอกจากเพื่อนรักในวัยเด็กอย่างชายกลาง
“ชื่ออะไรเหรอครับ?
บอกพี่ได้ไหม?”
คำถามล่าสุดของสารินทำให้ฝ่ามือทั้งสองที่ตนกอบกุมกระตุกแผ่วคล้ายจะบอกใบ้ว่าเจ้าของอวัยวะกำลังเครียดเคร่ง น้องคงหนักใจไม่อยากบอก แต่นี่คือก้าวแรกที่เขาทั้งสองจะต้องผ่านมันไปให้ได้
ว่าที่นายสัตวแพทย์จึงส่งสายตาแน่วแน่ มั่นคง
พร้อมกับส่งกำลังใจไปให้อีกฝ่ายพร้อมกับหยอกเอินเพื่อลดความตึงเครียดให้บางเบา
“พี่ไม่ล้อหรอก
ถ้าจะล้อ... พี่ถามชื่อพ่อแม่เราไม่ดีกว่าเหรอ?”
“ลามปาม!” หลานอาม่าซิ้วงิ้งแหวพลางถลึงตาใส่อย่างขัดอกขัดใจ
แต่เจ้าตัวกลับปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาเผลอลืมคำถามชวนหนักใจไปในชั่วพริบตา กระนั้น
สารินกลับยิ่งยั่วหยอกไม่หยุดยั้ง
“เราก็อย่าทำหน้าเครียดสิครับ”
“ไม่ได้เครียด
แต่เกลียดเลยต่างหาก!”
“อย่าเพิ่งเกลียดพี่ตอนนี้เลยครับ
ถ้าอยากให้พี่ทุรนทุราย... เราต้องทำให้พี่รักเราจนหัวปักหัวปำ แล้วค่อยขยี้ขยำเหยียบย่ำหัวใจพี่ทิ้งอย่างไร้ค่า
รับรองเลยครับว่า พอถึงตอนนั้น พี่ต้องตายทั้งเป็นแน่ ๆ ”... ถ้าไม่เสี่ยวเสียตั้งแต่ตอนนี้
แล้วจะเสี่ยวอีกทีเอาตอนไหน?!
“หืยยย น้ำเน่าชะมัด!” หนุ่มรุ่นน้องทำหน้าขยะแขยงเสียเต็มประดา
แต่ก่อนที่สารินจะอ้าปากตบมุกให้ยิ่งสนุกสนาน สกลก็จิกตาใส่พลางดักคอว่องไวอย่างรู้เท่าทัน
“อย่า! อย่าเล่นมุกต่อนะ ไม่งั้นไม่คุยด้วยแล้ว!”
“ก็ได้ครับ
ก็ได้... ว่าแต่เราเถอะ จะบอกชื่อเล่นพี่ได้หรือยัง... หืมมม?” ทันทีที่บรรยากาศหนักอึ้งเมื่อสักครู่เริ่มคลี่คลาย
ว่าที่นายสัตวแพทย์ก็รีบฉวยโอกาสทวงคำตอบโดยไม่ลังเล
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“...แนน ชื่อแนน...” สุดท้าย ชายหนุ่มหัวไข่ก็เลือกจะให้โอกาสชายหนุ่มห้องตรงข้ามได้ทำความรู้จักกับตัวตนที่แท้จริงอย่างที่ไม่เคยเป็นกับผู้ใด
ฝ่ายคนที่ได้รู้ชื่อเล่นที่ถูกซ่อนเร้นเอาไว้เสียดิบดีก็ถึงกับยิ้มกว้างอย่างปลื้มปีติ
“น่ารักดีออกครับ
ไม่ซ้ำใครดี พี่ชอบ... ถ้างั้นต่อจากนี้พี่จะเรียกเราว่าแนนดีไหม?” สารินออดอ้อนพลางโยกหน้าตามไปจ้องดวงเนตรใสใต้แว่นทรงม้อดที่ขยันหลบซ้าย
ย้ายขวาเป็นที่หนึ่ง
“ไม่เอา!
ผมชอบให้เรียกสกลมากกว่า!” ถึงจะงอแงแต่เด็กน้อยของสารินกลับไม่คิดจะดึงมือทั้งสองของตนกลับไปเหมือนช่วงแรก
ๆ อีกต่อไปแล้ว คนเป็นพี่จึงบีบฝ่ามือทั้งสองข้างเป็นจังหวะเนิบ ๆ เพื่อเร่งเร้าทางอ้อมพร้อมหว่านล้อมเจ้าของชื่อ
“แต่พี่ไม่อยากเรียกเราซ้ำกับคนอื่นนี่ครับ”
“จิ๊!
แล้วจะเร้าหรือทำไมเนี่ย?!” เด็กสถาปัตย์ทำหน้าไล่แขกแจกความสดใสให้แก่อีกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง
“เถอะนะครับ...
ขอพี่เรียกชื่อนี้แค่คนเดียวได้ไหม?” สกลผ่อนลมหายใจพรูคล้ายจะไว้อาลัยให้ตัวเองไปพร้อม
ๆ กับยอมใจในความหน้ามึนและช่างตื๊อของหมีขาวที่คอยหาเรื่องเอาเปรียบเขาอยู่เสมอ
จะอะไรกันนักหนา...
บ้าหรือเปล่า?
คนอื่นเอาแต่ล้อ
นึกยังไงถึงอยากจะเรียกเราแบบนี้...
สติยังดีอยู่ไหม?
“เออ ๆ !
อยากเรียกอะไรก็เรียก” หลานอาม่าสรุปอย่างไม่ยี่หระโดยกล่อมตัวเองซ้ำ
ๆ ว่า สารินไม่ได้สิทธิพิเศษอื่นใด เพราะอย่างไรเสีย พวกเพื่อน ๆ ของเขาก็เรียกชื่อเล่นดังกล่าวอยู่ไม่เว้นแต่ละวัน
“ขอบคุณนะครับ...
ไปครับ ไปกินข้าวกัน” เด็กสัตว์แพทย์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเริงร่าก่อนจะออกเดินนำหน้าหนุ่มแว่นจากคณะสถาปัตย์ไปยังที่จอดรถภายในหอ
“บ้าหรือเปล่า?!... แค่ผมยอมให้คุณเรียกผมเหมือนกับที่พวกเพื่อน
ๆ เรียกนี่มันน่าดีใจตรงไหน?” อาการหน้าบานเป็นจานเชิงกับทีท่าฟินสุดลิ่มทิ่มประตูที่สารินแสดงออก
ทำให้สกลยังไม่ยอมขยับเขยื้อนเรือนกายไปตามฝ่ามือที่ถูกคนโตกว่าจับจูง
“จะไม่ให้พี่ดีใจได้ยังไงล่ะครับ...
...ก็คนอื่นน่ะได้เรียกเราว่า
‘แนน’ ในฐานะเพื่อน...
...แต่พี่ไม่ได้คิดจะเป็น ‘แค่เพื่อน’ กับเรามาตั้งแต่แรก
พี่ก็ต้องพิเศษกว่าคนอื่นอยู่แล้วน่ะสิ...
.
.
...ไปครับ...
ไปกินข้าวเช้ากัน!”
สารินรวบตึงพลางคลี่ยิ้มกว้างแล้วกลายร่างเป็นหมีขาวตาหยีในบัดดล ก่อนจะนำคนที่เขินจนสมองประมวลผลไม่ทันให้เดินตามหลังตนไปต้อย
ๆ อย่างเงียบเชียบเรียบร้อยผิดปกติ
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
“เดี๋ยวพี่ฌานกับฌอนจะแวะไปรับอิ๊กแล้วจะตรงกลับห้อง บ๊วยล่ะ...
จะให้พี่ฌานวนรถไปส่งที่หอเลยหรือเปล่า?” ฌานหยุดเดินก่อนจะเอี้ยวตัวหันไปมองหน้าเพื่อนรักตัวน้อยที่เพิ่งจะก้าวพ้นบันไดขั้นสุดท้ายตามหลังกันมาไว
ๆ พร้อม ๆ กับสกลและน้องชายฝาแฝด
“ไม่เป็นไรครับพี่ฌาน
เดี๋ยวอีกครึ่งชั่วโมงพี่หมีก็มารับแล้ว” ชายกลางตอบพลางชำเลืองดูเวลาบนหน้าปัดมือถือของตนอีกครั้ง
“อยากให้พี่ฌานนั่งรอเป็นเพื่อนไหม?”
ร่างทรงหนุ่มเสนอตัวเพราะไม่อยากปล่อยให้เพื่อนสนิทนั่งเหงารอแฟนเพียงลำพัง อีกอย่างช่วงนี้ยังไม่มีงานต้องเร่งส่ง
พวกเขาจึงพอมีเวลาเหลือให้ใช้เถลไถลอยู่บ้าง กระนั้นสหายหัวไข่กลับเสนอทางออกให้แก่พวกเขาแบบเสร็จสรรพ
“ไม่ต้องก็ได้ครับพี่ฌาน
เดี๋ยวผมอยู่เป็นเพื่อนบ๊วยเอง”
“อ้าวแว่น!
แว่นไม่ได้จะกลับห้องพร้อมพี่ฌานหรอกเหรอ?” แฝดพี่ทักท้วงด้วยสีหน้าแปลกใจ และค่อนข้างจะสงสัยอยู่ไม่น้อย
เพราะตลอดทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมา สกลมักจะหายจ้อยไปกับสายลมหลังจากหมดคาบเรียนสุดท้าย
และกว่าคุณชายจะโผล่หน้ากลับมาที่ห้อง... ก็ต้องรอจนหลังสามทุ่มไปแล้วโน่นแหละ
“วันนี้ผมต้องไปรับซิลเวสเตอร์ออกจากโรงบาลน่ะครับ”
ทั้งที่ตั้งใจจะไม่โป้ปดคดโกงเพื่อนรักทั้งหลาย แต่ฝ่ายที่มีชนักปักอยู่กลางแผ่นหลังกลับพลั้งปากยกเมฆเข้าให้อีกคำรบ
“พี่ฌานแวะไปส่งได้นะ
เอาไหม?”
“ไม่เป็นไรครับพี่ฌาน
เดี๋ยวผมไปเอง” ความเอื้อเฟื้อและเอาใจใส่อย่างเสมอต้นเสมอปลายที่ฌานหยิบยื่นให้
ฉุดใจของหนุ่มแว่นให้ยิ่งรู้สึกผิดจนคิดจะสารภาพความตามจริง ทว่าดวงตาคมที่จับจ้องทุก
ๆ อิริยาบทของเขานิ่ง ๆ มาตั้งแต่ต้นของแฝดน้องทำให้สกลต้องสลัดความคิดดังกล่าวทิ้งไปโดยไม่ต้องเสียเวลา
“หึ!” ฌอนเยาะห้วน ๆ โดยไม่พูดพล่ามคำใดด้วยแน่ใจว่าเพื่อนหัวไข่กำลังหวาดระแวงอย่างเต็มที่...
แค่นี้ก็ตลกมากแล้ว
“งั้นเดี๋ยวค่อยไลน์คุยกันอีกทีแล้วกันว่าจะไปกินข้าวเย็นที่ไหน”
ฌานสรุปแล้วจึงพยักหน้าเรียกฝาแฝดของตนที่ยังจ้องตากับสกลไม่เลิก “ไปน้องชาย!”
“ไปก่อนนะบ๊วย
เดี๋ยวเย็นนี้เจอกัน” พอนัดแนะกับบ๊วยจบ ฌอนก็หันไปทิ้งหางตาพร้อมยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ใส่หลานอาม่าจนขนเส้นบาง
ๆ ทั่วทั้งร่างของอีกฝ่ายลุกเกรียว
“นายไม่ต้องอยู่รอเป็นเพื่อนเราก็ได้
ไปโรงพยาบาลเลยเถอะ” ชายกลางเอ่ยอย่างเกรงใจระหว่างหย่อนตัวนั่งยังม้ายาวในโรงอาหารประจำคณะ
หนุ่มแว่นทรุดตัวลงตรงที่ว่างข้าง ๆ กันก่อนจะตอบคำเพื่อนรักด้วยน้ำเสียงเจือกังวล
“ไม่เป็นไร
แค่ครึ่งชั่วโมงเอง เราไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบเมื่อกลางวันอีก” สกลจ้องหน้าบ๊วยด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใยหลังจากเห็นเพื่อนสนิทถูกนักศึกษาชายจากคณะอื่นพูดจาถากถางและให้ร้ายใส่อยู่ฝ่ายเดียวระหว่างทั้งสองกำลังต่อแถวซื้อข้าวมื้อกลางวัน
“นี่คณะเรานะสกล
ใครจะทำอะไรเราได้” ลูกแม่บัวพยายามให้เหตุผลเพื่อเกลี้ยกล่อมให้เพื่อนสนิทคลายความกังวลกับเรื่องเข้าใจผิดดังกล่าว
“ใครจะรู้บ๊วย...
ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่าจะต้องมานั่งเสียใจกันทีหลัง” หลานอาม่าใหญ่ให้เหตุผลก่อนจะอ้างอิงคนกลางที่เป็นต้นเหตุของทุก
ๆ อย่างเพื่อโน้มน้าวเพื่อนรัก “แล้วนี่ไม่คิดจะบอกพี่หมีหน่อยเหรอ?
ปล่อยไว้แบบนี้ คนที่จะลำบากใจที่สุดคือนายคนเดียวเลยนะ”
“เรื่องเล็กแค่นี้
เราจัดการได้... ตอนนี้พวกเขาคงแค่กำลังเสียใจที่รู้ว่าพี่หมีไม่โสดอีกแล้วเท่านั้น
เดี๋ยวอีกหน่อยพอพวกเขาเห็นเรากับพี่หมีจนชินตา พวกเขาคงเลิกไปเองนั่นแหละ”
บ๊วยอธิบายอย่างเข้าอกเข้าใจด้วยใบหน้าระบายยิ้มที่ไม่ได้ช่วยให้เพื่อนหัวไข่สบายใจได้เลยสักนิด
“แต่เราว่าอย่างน้อยนายควรจะบอกพี่ฌานกับฌอนนะ
เผื่อว่าเกิดอะไรขึ้นจะได้ช่วยเหลือกันทัน” สกลอ้างอิงชื่อของมือดีทั้งสองที่สามารถจัดการทุก
ๆ ปัญหาน้อยใหญ่ของผองเพื่อนได้อย่างรวดเร็ว เด็ดขาดและมหัศจรรย์เป็นที่สุด
“ไม่ต้องหรอก...
อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ เชื่อเราเถอะว่าเดี๋ยวมันก็ซา” ชายกลางยื้อเวลาด้วยเชื่อว่าตนเองน่าจะพอรับมือกับปัญหาดังกล่าวได้
กระนั้น... เพื่อความสบายใจ บ๊วยก็ไม่ลืมเสนอตัวเลือกที่ทั้งตัวเองและเพื่อนหน้าแว่นน่าจะทำใจยอมรับได้ขึ้นมาต่อรอง
“เอางี้ก็ได้...
ถ้าถึงสิ้นเดือนแล้วสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น เราจะบอกฝาแฝดเอง ตกลงไหม?” ชายกลางชิงถามเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาโดยไม่รอคำตอบจากสกลแต่อย่างใด
“แล้วนายล่ะ ที่บอกว่าอยู่เป็นเพื่อนเรานี่ จริง ๆ คือกำลังรอพี่รินอยู่ใช่ไหม?”
อาจเพราะเจ้าของคำถามไม่ใช่ฝาแฝด หรือใครอื่น จึงทำให้ปฏิกิริยาของหลานอาม่าซิ้วงิ้งแปลกไปจากทุกที สายตาซึ่งบ่งบอกว่าอีกฝ่ายรู้จักตัวเขาเป็นอย่างดี สายตาที่เต็มไปด้วยความเมตตาปรานี ไร้ซึ่งอคติหรือความคิดร้าย ๆ เจือปนที่สบตรงอย่างสงบคู่นั้น ทำให้สกลไม่คิดจะเฉไฉ หรือโกหกต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ อย่างที่เคยทำ
แนนกดหน้าต่ำเร็ว
ๆ แทนการพูดยอมรับ ความรู้สึกอับอายเมื่อต้องเปิดเผยเรื่องราวระหว่างตนกับชายห้องตรงข้ามให้บุคคลที่สามล่วงรู้เป็นครั้งแรก
ทำให้ใบหน้าขาวซีดหลังแว่นทรงม้อดเปลี่ยนเป็นสีแดงแป๊ดโดยที่เจ้าของไม่ทันรู้ตัว
“นัดพี่รินไว้กี่โมง?”
“ก็น่าจะพร้อม
ๆ กัน” สกลประหม่าจนพูดจาอ้อมแอ้มผิดไปจากทุกที ส่วนคนที่เฝ้ามองอาการแปลก ๆ
ทั้งหลายมาตั้งแต่เมื่อกี๊ก็ได้แต่นั่งอมยิ้มให้กับมุมน่าเอ็นดูของเพื่อนรักที่นาน
ๆ จะได้ชื่นชมสักครั้ง
“พี่เขาดูเป็นคนใจดีนะ
ที่สำคัญ... ใจเย็นน่าดูเลย” บ๊วยชมรุ่นพี่ผู้ถูกพาดพิงอย่างซื่อ ๆ จนเพื่อนหัวไข่ผิวปากหวือก่อนพูดจาคาดคั้นอย่างไม่ใคร่จะจริงจังนัก
“ถูกจ้างมาเชียร์หรือเปล่าเนี่ย?
ได้ข่าวว่าเพิ่งเจอกันไม่กี่ครั้งเองไม่ใช่เหรอ?”
“เปล่าเสียหน่อย
เราเห็นยังไงเราก็พูดอย่างนั้นน่ะแหละ” คนรักของอดีตเดือนมหาลัยยิ้มให้พร้อมกับส่ายหัวดิก
จากนั้นจึงอธิบายความคิดของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา “นี่... รู้ไหม เวลาเราเห็นนายอยู่กับพี่เขาทีไร
เราอดดีใจไม่ได้ทุกที...นายกับพี่เขาเหมาะสมกันดีนะ”
“หึ!”เพื่อนสนิทหัวไข่ใช้หัวไหล่ดันกระทบไหล่เพื่อนรักจนร่างกายขนาดย่อมกว่าเสียการทรงตัวไปชั่วขณะ
“ไหนบอกไม่อวยไง?”
“นายก็รู้ว่าเราพูดอวยใครเป็นเสียที่ไหน...
คนจริงใจออกหน้าออกตาแบบพี่เขา แค่เราใช้สายตามองยังดูออกเลยนะ” ลูกแม่บัวใช้บ่าดันลำตัวของสกลจนโงนเงนคืนบ้างพลางซักถามเพื่อเปิดโอกาสให้สหายรักได้ระบายความรู้สึกที่เจ้าตัวเก็บกักไว้ภายใน
“ว่าแต่นายเถอะ รู้สึกยังไงกับพี่ริน?”
“ไม่รู้ดิ” คนเห็นผีปรารภเสียงอ่อนเพราะไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี
“อย่ากั๊กดิ...
นายก็รู้ว่าเรารู้จักนายดีพอ ๆ กับรู้จักตัวเองไม่ใช่เหรอ?” คนพูดคลี่ยิ้มละไมให้กำลังใจเพื่อนสนิท
”จิ๊!” สกลแสร้งทำฮึดฮัดเพื่อบอกปัดกลาย ๆ ทว่าบ๊วยกลับไม่ยอมละสายตาไปไหนง่าย
ๆ นั่นจึงเป็นเหตุผลทำให้ชายหนุ่มหัวไข่ยอมรับกับอีกฝ่ายตรง ๆ ในท้ายที่สุด “ก็ดี...
มั้งงง”
“เวลาอยู่ด้วยกัน
สบายใจไหม?”
“ถ้าไม่รวมเรื่องพูดมาก
ก็ถือว่าพอใช้ได้” หลานอาม่าวิจารณ์สารินไปก็ลอบยิ้มไปไม่ได้ขาด
“ไม่ชอบให้คนอื่นพูดมากกว่าตัวเองล่ะสิ”
“ก็มันเสียเชิงนิ!” เพื่อนหัวไข่เสียงเขียวหลังจากโดนชายกลางจับทางได้
อีกฝ่ายกลับหัวเราะชอบใจก่อนจะเสนอทางออกง่าย ๆ ให้เขาเผื่อนำไปใช้ในอนาคต
“หึ
หึ หึ... เรื่องแค่นี้เอง ทำไมไม่บอกพี่เขาล่ะ?
เราว่าพี่เขาน่าจะชอบฟังมากกว่าชอบพูดนะ”
“โหยยย! น้อยไปสิ ตอนอยู่กับเรานะพูดไม่เคยหยุดปากเลยอ่ะ!” สกลบ่นกระปอดกระแปดเมื่อเผลอนึกถึงอาการพูดน้ำไหลไฟดับของหมีขาวขึ้นมา
“หืมมม?! อย่าบอกนะว่าที่พี่รินพูดได้เกือบตลอดเวลาเพราะนายเอาแต่เล่นตัวไม่ยอมคุยกับเขาน่ะ?”
บ๊วยชี้หน้าเพื่อนรักพลางส่งสายตาล้อเลียนอย่างรู้แกว
“บ้า! เล่นเลิ่นอะไรเล่า!”
“อ๋ออออ...
รู้แล้ว ถ้าไม่ได้เล่นตัวก็แสดงว่าเขินพี่เขาล่ะสิ... ใช่ไหม?” แฟนอดีตเดือนมหาลัยจี้จุดพลางกระหน่ำยิ้มกรุ้มกริ่มใส่หน้าเพื่อนรัว
ๆ เพราะนับพันนับหมื่นชั่วโมงที่รู้จักกันมา เขาย่อมรู้ดีว่า อาการเขินอายจนทำอะไรไม่ถูกของอีกฝ่ายเป็นเช่นไร
“เราไม่รู้ต่างหากล่ะว่ามาไม้ไหน
เราเลยต้องระวังตัวเป็นพิเศษเหอะ!” หลานอาม่าใหญ่กระแทกเสียงใส่พร้อมกับกอดอกเล่นใหญ่เพื่อกลบเกลื่อนด้านอ่อนไหวของตัวเองแบบจัดเต็ม
“ระวังตัวได้นะ
แต่อย่าโกหกความรู้สึกตัวเอง เพราะคนที่จะเจ็บที่สุดคือนาย ไม่ใช่พี่ริน” ลูกแม่บัวเตือนสติเพื่อนรักด้วยความหวังดี
จนคนฟังยอมโอนอ่อนเผยจุดยืน
“ก็ดู
ๆ กันไปก่อนนั่นแหละ ถ้าดีจริง... เราก็ไม่ได้จะห้ามอะไรเสียหน่อย”
“ดี
ดี... เราจะได้เตรียมคิดเมนูพิเศษสำหรับงานปาร์ตี้รับขวัญพี่รินในฐานะแฟนเพื่อนสนิทเอาไว้ตั้งแต่ตอนนี้เลย”
บ๊วยตบมือเปาะแปะด้วยความดีอกดีใจหลังจากได้ยินคำสารภาพของเพื่อนเกลอไปหมาด ๆ จนสกลต้องเอนตัวกระทบไหล่ผอมอีกครั้งเพื่อรั้งไม่ให้เพื่อนเพ้อฝันคิดการณ์ใหญ่เร็วเกินไปนัก
“หึ
หึ หึ... เพ้อเจ้อใหญ่แล้วนะ”
“คอยดูก็แล้วกัน”
บ๊วยพูดท้าทายด้วยน้ำเสียงหนักแน่นพอกัน “เอ... หรือไม่ต้องคอยกันนะ”
“หืมม...
ทำไม?!” หนุ่มแว่นที่เอาแต่นั่งก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเองระหว่างใจลอยไปถึงคนที่ตนนัดเอาไว้เอ่ยถามด้วยความแปลกใจเมื่อได้ยินคำพูดกลับไปกลับมาของเพื่อนรัก
“ก็โน่นไง...
คนดีที่เราให้การสนับสนุนวิ่งกระหืดกระหอบมาโน่นแล้ว มาก่อนพี่หมีอีก... สงสัยไม่อยากให้นายรอนาน
น่ารักดีเนอะ” สกลถลึงตาใส่เพื่อนรักไซส์พกพาที่ยังคงยิ้มล้อเลียนไม่จบไม่สิ้นทั้งที่สารินใกล้จะเดินมาถึงยังโต๊ะที่พวกเขาทั้งสองนั่งอยู่เต็มที
“แนน...
รอพี่นานไหมครับ?” อารามตกใจ บ๊วยเกือบจะหลุดปากอุทานอย่างเสียมารยาท... แนนเหรอ? เรียกเพื่อนเขาว่าแนนอย่างนั้นน่ะเหรอ?!!
“ใครรอ?
รอใคร?! ...
นี่นั่งรอพี่หมีเป็นเพื่อนบ๊วยอยู่ต่างหากล่ะ” สรรพนามที่รุ่นพี่ต่างคณะใช้เรียกเพื่อนหัวไข่ซึ่งใส่หน้ากากเก็กขรึมเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้า
ไม่ได้ทำให้ชายกลางอึ้งจนกู่ไม่กลับได้มากเท่าท่าทียอมรับคำเรียกดังกล่าวอย่างเนียน
ๆ ของสกล
“ถ้างั้นขอพี่นั่งรอพี่หมีเป็นเพื่อนด้วยอีกคนแล้วกันนะ...
ได้ไหมครับบ๊วย?” แม้เจ้าตัวจะกำลังขออนุญาตกับบ๊วย แต่ว่าที่นายสัตวแพทย์กลับเอาแต่จ้องเสี้ยวหน้าด้านข้างของหนุ่มแว่นไม่วางตา
จึงไม่แปลกอะไรหากคนรักของธันวาจะรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นไม้ประดับไปในชั่วอึดใจ
“ครับ
เชิญครับ”
“หิวหรือเปล่าครับ?
พี่ซื้อคุกกี้มาฝาก... กินรองท้องกันก่อนไหม?” รุ่นพี่ปีสามยื่นขนมในห่อใสให้ทั้งสองหนุ่มด้วยรอยยิ้มสว่างไสวไม่ต่างไปจากทุกที
“ไม่เป็นไรครับ
เดี๋ยวผมรอไปกินขนมกับพี่หมี พอดีนัดกันไว้”
“แนนครับ
กินเลยเถอะครับ... กว่าจะได้กินข้าวเย็นก็อีกตั้งนาน เดี๋ยวหมดแรงไปเสียก่อนจะทำยังไง”
สารินคะยั้นคะยอคนนั่งข้าง ๆ อย่างไม่ลดละ
“ไหนบอกจะพูดน้อย
ๆ ไง?” สกลโต้ตอบด้วยน้ำเสียงกระด้างกระเดื่องอันเป็นปกติวิสัยซึ่งมักจะเกิดขึ้นระหว่างที่ทั้งเขาและสารินไม่ได้อยู่กันตามลำพัง
“กับเรื่องอื่นพี่ไม่พูดก็ได้ครับ
แต่กับเรื่องห่วงเรานี่ พี่ขอนะครับ” คำตอบที่สะท้อนความเป็นห่วงเป็นใยเรียกเสียงจิ๊ปากจากหนุ่มแว่นหัวไข่ได้เป็นอย่างดี
ทว่ายังไม่ทันที่เด็กเต็กสี่ตาจะพูดจาหาเรื่องว่าที่หมอหมาให้วุ่นวาย หนุ่มรูปงามขวัญใจของชายกลางก็โผล่เข้ามายืนซ้อนหลังร่างผอมเข้าเสียก่อน
“บูบู้...
บูบู้รอเค้านานไหมครับ?”
“ไม่นานครับ”
“ไปกันเถอะ
เค้าอยากไปกินติมกับบูบู้แล้วล่ะ” อริยะตรัยผู้น้องไม่พูดพล่ามทำเพลงให้ยิ่งพิรี้พิไร
อดีตเดือนมหาลัยฉวยข้อมือแฟนตัวน้อยให้ลุกขึ้นยืน แล้วจึงโอบเอวเดินนำชายกลางลงจากใต้คณะไปพร้อม
ๆ กัน
กลายเป็นลูกแม่บัวเสียอีกที่เดือดร้อนกับความไม่มีสัมมาคารวะของหนุ่มวิศวะรูปหล่อ บ๊วยกระตุกชายเสื้อช็อปของอีกฝ่ายก่อนจะบุ้ยใบ้ส่งซิกให้แฟนหนุ่มหันไปบอกลาสารินอย่างเป็นกิจลักษณะ
“อ้อ... เอ้อ! พี่ริน หวัดดีครับ... ไปก่อนนะครับ
ไว้เจอกันเย็นนี้” เก็กตะโกนล้งเล้งจนคนในอ้อมกอดบ่นหงุงหงิงไปตลอดทางกระทั่งบิ๊กไบค์คันงามแล่นห่างออกไป
“คู่นี้น่ารักดีนะครับ
ท่าทางเก็กน่าจะรักบ๊วยมากทีเดียว” ว่าที่หมอหมาชมเปาะอย่างอารมณ์ดีจนคนฟังอดหมั่นไส้ไม่ได้
“จิ๊! จะไปกันหรือยังล่ะ?
ผมไม่อยากให้ซิลเวสเตอร์ต้องคอยนาน”
“อ้าว! พี่นึกว่าเราเปลี่ยนใจจะไม่ไปเยี่ยมซิลเวสเตอร์แล้วเสียอีก
เห็นเมื่อกี๊บอกว่าไม่ได้นั่งรอพี่”
“กวนประสาท!”
“แล้วเมื่อกี๊แนนโกหกบ๊วยทำไมล่ะครับ?”
สารินซักไซ้ด้วยสายตา สีหน้า และน้ำเสียงจริงจังจนคนฟังพูดไม่ออก
“...”
“ไม่อยากให้เพื่อนรู้เหรอว่าไปไหนมาไหนกับพี่?
แนนอายเวลาที่พี่อยู่ใกล้ ๆ แนนเหรอครับ?”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“...ไม่ได้อาย
แค่ไม่อยากให้พวกนั้นแซวเฉย ๆ ...”
“ใครกล้าแซวแนน...หืม?
ไหนบอกพี่สิ? เดี๋ยวพี่ไปคุยให้... เพื่อน ๆ จะได้เลิกแซว
แล้วเราก็จะได้ไม่ต้องโกหกเพื่อนอีกไงครับ” ท่าทางขึงขังของพ่อหมีขาวทำเอาสกลกลัวใจ
เพราะหากสารินเกิดบ้าเลือดเดินเข้าไปเปิดอกคุยกับเหล่าสมุนเลวทั้งหลายอย่างเอาจริงเอาจัง
ทางเขานี่แหละที่จะลำบากกับความจริงทั้งหมดอย่างหาใครเปรียบไม่ได้
“ไม่ต้อง! จะไม่โกหกแล้วก็ได้!”
“สัญญานะครับ?”
สิ้นคำ คนโตกว่าก็ทำให้หนุ่มแว่นหัวใจเต้นตึกตักอีกครั้งหลังจากเห็นนิ้วก้อยของอีกฝ่ายเลื่อนมากระดิกยิก
ๆ อยู่ตรงหน้า แต่ถึงจะทำท่าหงุดหงิด ส่งเสียงฮึดฮัด ทำสะบัดหน้าไล่ใส่จนแทบจะมึนหัวตาย
จนแล้วจนรอดปลายนิ้วสัญญาก็ไม่เลื่อนหลบไปไหนเสียที
“เออน่า! คนอะไร... วุ่นวายชะมัด!” สกลหลับหูหลับตาพร้อมกับยื่นปลายนิ้วที่สั้นที่สุดไปเกี่ยวเข้ากับนิ้วมือของอีกฝ่าย
แล้วจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาก่อนจะโดนรอยยิ้มเต็มหน้าของสารินทำร้ายจนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวยิ่งไปกว่านี้
“แล้วนี่จะไปได้ยัง? ซิลเวสเตอร์รอแย่แล้วเนี่ย”
“ยังไปไม่ได้ครับ” สารินยื้อปลายก้อยของน้องเอาไว้กับตัวจนเจ้าของเริ่มสะบัดข้อมือเหยง
ๆ ทว่าไม่เป็นผล
“อ้าว! ทำไมอีกล่ะ?
ก็บอกว่าจะไม่โกหกแล้วไง... คุณจะเอาอะไรอีก?”
“เย็นวันพรุ่งนี้หลังจากไปเยี่ยมซิลเวสเตอร์ที่โรงพยาบาล
แนนเลยไปทำธุระเป็นเพื่อนพี่หน่อยได้ไหมครับ?”
“เฮ่ย! ทำไมผมต้องไปด้วยล่ะ? ธุระของคุณ
คุณก็ไปจัดการคนเดียวสิ!” หลานอาม่าซิ้วงิ้งขึ้นเสียงด้วยความไม่พอใจ...
ได้คืบจะเอาศอกหรือไงไอ้หมีขาว?!
“แล้วถ้าพี่บอกว่า
ธุระของพี่คือการไปช่วยรุ่นพี่ป้อนนมลูกหมากำพร้าแม่ห้าตัว
แนนก็จะไม่เปลี่ยนใจใช่ไหมครับ?” อาการคัดค้านหัวชนฝาของชายหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่าทำให้ว่าที่นายสัตวแพทย์ยอมเฉลยความลับที่ตั้งใจจะอุบเอาไว้เพื่อทำเซอร์ไพรส์อีกฝ่ายโดยไม่มีทางเลือก
“ที่ไหน?
ยังไง? เมื่อไร? ไป ๆ ให้ผมไปด้วยนะ!” ท่าทางดีอกดีใจจนออกนอกหน้าของเด็กสถาปัตย์เรียกรอยยิ้มให้กลับมาประดับใบหน้าหล่อเหลาของสารินให้ยิ่งน่ามองไปกันใหญ่
“หึ
หึ... เดี๋ยวไว้พี่ค่อยบอกรายละเอียดระหว่างทางไปเยี่ยมซิลเวสเตอร์ก็แล้วกันครับ”
ว่าแล้ว ผู้เป็นพี่ก็ลุกขึ้นเตรียมตัวออกเดินไปยังรถยนต์ที่จอดอยู่ไม่ไกลเพื่อสนับสนุนบทสรุปของตัวเองทันที
“แต่ผมอยา...”
“ไม่มีแต่ครับ
ไปครับ ไปขึ้นรถ... พอขึ้นรถแล้วก็กินนี่เสียด้วยนะครับ เดี๋ยวเจอหน้าซิลเวสเตอร์ก็ลืมกินกันพอดี”
สารินรวบรัดเสียงเข้มจนคนเดินตามทำหน้ามุ่ย
“ไม่”
“หรือเราจะเดินไปกินไปพลาง
ๆ แล้วให้พี่จูงมืออีกข้างเดินไปขึ้นรถดีครับ?” สกลพยายามจะแย้งตามนิสัย
แต่อาการปากไวกลับใช้ไม่ได้ผลในสถานการณ์ที่คนโตกว่าเป็นต่อเช่นนี้ ส่วนสารินก็กวาดตามองไปรอบ ๆ คล้ายจะเตือนสติให้เด็กน้อยของเขาตระหนักว่า
หากตนเผลอทำรุ่มร่ามกับอีกฝ่ายจริงดังคำขู่ คนที่จะอับอายจนไม่อาจสู้หน้าใคร ย่อมต้องเป็นนักศึกษาเจ้าถิ่น...
ไม่ใช่เด็กสัตว์แพทย์ปีสามอย่างเขาแต่อย่างใด
“ฮึ่ย! ก็เดินไปเร็ว ๆ สิ มัวแต่พล่ามอะไรอยู่ได้!”
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
“มาเคาะทำไมแต่เช้า?
แล้ววันนี้จะไม่ไปหาเจเรมีด้วยกันหรอกเหรอ?”
สารินอดสงสัยไม่ได้ว่านี่หรือคือประโยคแรกที่ควรใช้ทักทายแขกที่มาเคาะประตูหน้าห้องตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ของวันอย่างนั้นน่ะเหรอ...
แต่เพราะคนพูดเป็นเด็กน้อยที่เขาหมายตา คำว่า ‘ไม่เหมาะไม่ควร’
จึงลอยวับหายไปทันทีที่ได้เห็นแก้มใส
ๆ ที่อยากจะยิ้มแต่กลับอมเก็บไว้จนเต่งของอีกฝ่ายปรากฏอยู่ตรงหน้า
“คือพอดีคลาสนี้อาจารย์เลื่อนเวลาสอนแล้วแกเพิ่งแจ้งเมื่อสิบนาทีที่แล้วครับ
พี่เลยรีบมาบอก” คำอธิบายของสารินทำให้คนฟังอดใจแป้วพลางบ่นกับตัวเองไม่ได้...
ไหนบอกว่าจะเอาข้าวไปให้เจเรมีพร้อมกันไง? ทำไมอาจารย์เอาแต่ใจแบบนี้ล่ะ?!
“งั้นก็ไปเรียนสิ
เดี๋ยวเช้านี้ผมไปคนเดียวก็ได้” สกลฝืนพูดตรงข้ามกับใจ แต่นั่นกลับไม่ได้ทำให้ใบหน้ายุ่ง
ๆ ของชายหนุ่มจากห้องตรงข้ามดูปลอดโปร่งขึ้นเลยสักนิด
“มันไม่ใช่แค่นั้นสิครับ...
คือ อาม่าพี่โทรมาบอกว่าอยากให้กลับบ้านอาทิตย์นี้...
หมายถึงเย็นวันนี้เลยน่ะครับ” ว่าที่นายสัตวแพทย์หนุ่มอธิบายด้วยสีหน้าวุ่นวายใจ
แม้นี่จะเป็นคำสั่งโดยตรงจากผู้นำขาใหญ่ที่บ้านแต่สารินกลับไม่ชอบใจเลยที่ตนเองจะไม่ได้เจอหน้าน้องไปอีกเกือบสามวัน
“แล้วไง?
คุณก็กลับบ้านไปหาอาม่าสิ ผมไม่ได้ห้ามคุณไว้เสียหน่อย!”...เป็นอีกครั้งที่เด็กเต็กหัวไข่ปากกับใจไม่ตรงกัน
ดีว่ายังสั่งตัวเองไม่ได้เผลอทำเสียงสั่นได้ทันการ ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายคงจับได้แน่
ๆ ว่า เขาเริ่มไม่อยากให้หมีขาวกลับบ้านเสียแล้วสิ
“พี่ขอโทษนะครับที่พี่ไม่ได้อยู่ช่วยแนนรับตัวซิลเวสเตอร์ออกจากโรงพยาบาล แล้วก็เรื่องนัดเย็นวันนี้ด้วย”
“คุณพูดจบแล้วใช่ไหม?
ผมจะได้ไปทำอย่างอื่นเสียที” ยิ่งฟังก็ยิ่งหงุดหงิด สกลเลยตัดบทโดยไม่คิดรักษาน้ำใจคนฟังเลยสักนิด
“ครับ
จบแล้วครับ... แต่วันอาทิตย์พี่จะรีบกลับมาหาแนนนะครับ... รอพี่นะครับแนน” สารินอ้อนวอนอย่างหมดท่า
เพราะจวบจนตอนนี้เข้าก็ยังไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดอาม่าของอีกฝ่ายจึงอยากให้เขากลับกรุงเทพฯ
ตั้งแต่เย็นวันนี้
“คุณก็ลองมาเคาะเรียกดูแล้วกัน
ถ้าผมอยู่ก็เจอ ถ้าผมไม่อยู่... ก็ตามนั้น” แม้จะอยากรับปากอีกฝ่ายให้เป็นมั่นเป็นเหมาะสักแค่ไหน
แต่เด็กสี่ตาท่ามากก็ยังเลือกที่จะทำเป็นไม่ยี่หระ
ไม่ใส่ใจตอบแทนคำขอของสารินอยู่ดี
“งั้นพี่ขอเบอร์แนนหน่อยได้ไหมครับ?
เผื่อพี่คิดถึง พี่จะได้โทรมาฟังเสียง”
“หมดธุระแล้วก็ไปได้แล้ว! ไม่ต้องรีบไปเรียนหรือไง?” ถึงจะตื่นเต้นกับประโยคที่เพิ่งได้ยิน
ทว่าเสียงเรียกของฌานที่ดังมาจากด้านในก็ทำให้คำขอของสารินไม่ได้รับความสนใจไปโดยปริยาย
ด้วยสกลไม่อยากให้แฝดพี่ตามมาถึงหน้าประตูเหมือนเมื่อวันก่อน
“แต่เบอร...”
“วันอาทิตย์ก็รีบกลับมาแล้วกัน
ผมไม่ได้ไปไหน... ไปได้แล้ว เดี๋ยวก็เข้าเรียนสายหรอก!” หนุ่มแว่นละล่ำละลักเผยความตั้งใจดั้งเดิมแก่อีกฝ่ายก่อนจะโบกมือไล่คนตัวใหญ่จากห้องตรงข้ามหย็อย
ๆ จนสารินต้องปล่อยให้เด็กน้อยของเขาวิ่งกลับเข้าห้องไปทั้งที่ยังไม่ได้เบอร์ติดต่อจากเจ้าตัว
“ครับ
ๆ พี่ไปก่อนนะครับ” ว่าที่นายสัตวแพทย์พูดกับบานประตูห้องด้วยความเซ็งสุดขีด แล้วอย่างนี้เขาจะเอาหลักฐานอะไรไปยืนยันความคืบหน้าของแผนการจีบหลานชายคุณย่าข้างบ้านกับอาม่าทั้งสองกันล่ะ?!
«♥»------------------------------------ TBC ------------------------------------ «♥»
No comments:
Post a Comment