Monday, February 15, 2016

«♥» บน บานฯ สาน รัก «♥» The 10th Bonding || 16.02.2016



เรามาดึก... เราเลยจะพูดน้อย ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ก่อนอ่าน... โปรดทราบว่าการเล่าเรื่องในตอนนี้
เป็นการเล่าย้อนเวลาตัดสลับกันไปมาระหว่างปัจจุบันกับอดีตโดยพี่รินนะคะ
ตั้งต้นกันที่ปัจจุบัน (พี่รินหนีกลับบ้านทิ้งน้องให้อยู่เดียวดายที่มหาลัยเพียงลำพัง นี่หนังดราม่าเหรอ?)
แล้วค่อยย้อนไปถึงตอนที่หายไป... อันเป็นช่วงเวลาที่ทุก ๆ คนสงสัยนั่นแหละค่ะ
ไม่งงเนอะ ^^ ถ้างงก็ด่าได้ค่ะ เราไม่ว่า แต่อย่าด่าแรงนะ... เพราะเราทนไหว (เดี๋ยว!!)

ขออนุญาตตอบความเห็นทั้งหมดทั้งมวลกับแก้ไขคำผิดและพิมพ์เกินในวันพรุ่งนี้นะคะ
ส่วนวันนี้... ราตรีสวัสดิ์ค่ะ คร่อกกกก!


รักชอบประการใด... เมนท์ทิ้งไว้ให้เค้าอ่านย้อมใจนิดนึงนะตัวเอง ม๊วฟ!!




«»------------------------------------------------------------------------------------«»




The 10th Bonding
สาริน กับ เรื่องราวที่หายไป




“ริน เป็นยังไงบ้าง? ไหวหรือเปล่าลูก?” น้ำเสียงเป็นห่วงกับสัมผัสเบา ๆ จากฝ่ามือตรงข้อศอกของม่าทำให้ผมยอมละสายตาจากบรรดากลุ่มคนผู้รักสุขภาพที่บ้างวิ่งบ้างเดินผ่านหน้า เพื่อรีบหันกลับไปตอบม่าด้วยท่าทาง พยายามเป็นปกติ เพราะไม่อยากให้ม่าต้องเป็นห่วง

“ผมโอเคครับม่า” หวังว่าการฉีกยิ้มจะช่วยทำให้ม่าสบายใจและปล่อยให้ผมได้คิดอะไรเรื่อยเปื่อยตามลำพังเสียที แต่ฝ่ามือที่เคยลูบเบา ๆ จะเปลี่ยนมาลงน้ำหนักบนต้นแขนผมดังเพี๊ยะนั้นช่วยยืนยันว่าผมคงมองโลกในแง่ดีเกินไปหน่อย

“ตาโหลขนาดนี้ยังจะโกหกม่าอีก นอนไม่หลับหรือยังไงเรา?” คำพูดของม่าจบลงแค่นั้น แต่สายตาตำหนิที่ย้ำว่า อย่าเที่ยวโกหกจนติดเป็นนิสัยสั่งให้ผมเปิดปากเผยถึงสิ่งที่รบกวนจิตใจจนเมื่อคืนแทบไม่ได้หลับตาแก่คน ๆ เดียวบนโลกที่เลี้ยงดูผมอย่างใกล้ชิดตั้งแต่หม่าม้าจากไป

“ผมเป็นห่วงน้องน่ะครับม่า” หางเสียงผมสั่น... อีกนานเลยกว่าที่ผมจะควบคุมตัวเองไม่ให้ประหม่าเวลาพูดเรื่องน้องต่อหน้าม่าแบบเมื่อกี๊นี้  แต่ก่อนที่ม่าจะได้พูดอะไร เสียงของอาม่าใหญ่ก็ลอยเข้าหู

“ฮื่อออ ลื้ออ่ะยังเห่าแซ มั้ยเสียคะโจ่ย... ลื้อเทียอั่ว เดี๋ยวอยู่ฮ่อ”
(ฮื่อออ ยังหนุ่มยังแน่น อย่าเที่ยวคิดมาก... เชื่อม่า เดี๋ยวดีเอง!) อาม่าใหญ่ตะโกนพลางยืดเส้นยืดสายอย่างกระฉับกระเฉงก่อนจะกวักมือเรียกม่าของผมให้กลับไปรวมกลุ่ม

“ไหลขื่อ ไหลขื่อ! มุ่ยฟ้า คะนั้งไหล่ผั่วอ่วยคะโจ่ยเดี๋ยวบ่อคื้อไทเก็ก”
(ไป! มุ่ยฟ้า เดี๋ยวพอพวกนั้นมาอีจะตั้งวงเม้าท์จนไม่เป็นอันรำไทเก็กกันพอดี)

“เดี๋ยวรินวิ่งเสร็จก็มาหาม่าแล้วกันนะ” ผมพยักหน้ารับคำแล้วยืนมองจนแน่ใจว่าอาม่าทั้งสองเดินไปเข้าร่วมก๊วนกับเพื่อน ๆ วัยเดียวกันเป็นที่เรียบร้อย ผมจึงหันหลังก่อนจะค่อย ๆ ออกวิ่งเหยาะ  ๆ ไปตามทางลาดยางที่มีตัวเลขบอกระยะกำกับอย่างไม่รีบร้อน  

นั่นคือจุดเริ่มต้นของการออกกำลังกายในวันนี้ แต่จุดปล่อยตัวที่ทำให้ผมต้องมาวิ่งดับความรู้สึกว้าวุ่นใจเพราะมัวแต่ห่วงเด็กน้อยผู้ติดเพื่อนและติดหมาที่มหาวิทยาลัยจนไม่ยอมกลับบ้านกลับช่อง เห็นทีว่าคงต้องเล่าย้อนไปถึงเหตุการณ์ช่วงเช้าของเมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้วเสียล่ะมั้ง  







“พี่เม่ย หวัดดีครับ” ผมยกมือขึ้นไหว้พี่เลี้ยงของทั้งน้องและอาม่าตามความเคยชิน แม้จะคุ้นกับรอยยิ้มกว้างจนเห็นฟันเกือบครบทุกซี่ของพี่สาวผู้นี้... แต่ไม่รู้สิ ยิ้มของพี่เม่ยเมื่อครู่นี้ฟ้องว่า เจ้าตัวกำลังอารมณ์ดีผิดไปจากทุกวัน หรือผมจะเข้าใจผิดไปเอง?

“หวัดดีจ้า ปีเตอร์นอนอยู่หลังบ้านเหมือนเดิมแหละ คุณรินเข้าไปได้เลย” พี่เม่ยชี้ไปทางหลังบ้านก่อนจะเดินไปหยิบร่มคันเก่งของเจ้าตัวที่เก็บรวมกันกับร่มคันอื่น ๆ ตรงมุมโรงรถ

“ขอบคุณครับ... แล้วอาม่าล่ะครับ?” ผมอดสงสัยไม่ได้เพราะเมื่อกวาดตามองไปรอบ ๆ กลับไม่เห็นอาม่าใหญ่ออกมาเดินดูต้นไม้ หรือยืนกำชับคนงานให้ทำโน่นทำนี่ตามประสาคุณย่าสุดขยันแต่อย่างใด

“คุณเคี้ยงพาม่าไปกินติ่มซำค่ะ” 

“แล้วนี่พี่เม่ยจะออกไปข้างนอกเหรอครับ?”

“ค่ะ พี่ว่าพี่จะออกไปแถววัดดอนเสียหน่อย น้องแนนบ่นอยากกินหมูกรอบกับก๋วยจั๊บตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” พี่เม่ยในสภาพพร้อมรบกับอากาศช่วงสิบโมงกว่า ๆ ยิ้มกว้างยิ่งกว่าทุกทีเมื่อเจ้าตัวเอ่ยถึงภารกิจสุดพิเศษประจำอันเป็นผลจากความต้องการของแก้วตาดวงใจของทุกคนในบ้าน

“วันนี้น้องอยู่บ้านเหรอครับ?” ผมถามเรียบ ๆ พลางมองพี่เม่ยอย่างไม่ยินดียินร้าย

“ค่ะ เพิ่งกลับมาเมื่อวานตอนเย็น แต่ยังไม่ตื่นหรอกค่ะ ต้องเที่ยง ๆ โน่นแหละ... พี่ไปก่อนนะคะ เดี๋ยวน้องลงมาแล้วจะไม่มีอะไรกิน”  คำว่า ไม่มีอะไรกิน ดูจะเป็นการประเมินคลังอาหารของอาม่าใหญ่ต่ำเกินไป ผมว่าบ้านนี้มีของกินเยอะพอเลี้ยงคนทั้งซอยให้อิ่มหนำสำราญได้อย่างสบาย ๆ เผลอ ๆ อาจจะมีแถมให้กลับไปกินที่บ้านต่อได้อีกสักมื้อสองมื้ออีกต่างหาก


“ครับ ครับ” ผมรับคำพี่เม่ยโดยเร็วเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องเผชิญกับอากาศร้อนช่วงใกล้เที่ยงโดยไม่จำเป็น ก่อนจะแอบเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเมื่อเผลอนึกถึง หลานชายตัวดีที่เป็นต้นเหตุของความลำบากของพี่เลี้ยงผู้ใจดีที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมา

เมื่อก่อนผมเคยคิดว่า ถ้าผมได้มีโอกาสเจอหน้าน้องอีกสักครั้ง ผมคงจะทั้งตื่นเต้นและประหม่าจนวางตัวไม่ถูก แต่เอาเข้าจริง... ผมกลับรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเสียเฉย ๆ เมื่อรู้ว่าเด็กน้อยผู้ปล่อยปละละเลยอาม่ายอมกลับมาบ้านเป็นครั้งแรกในรอบเดือนกว่า ๆ นับจากครั้งสุดท้ายที่ผมได้ยินอาม่าใหญ่เล่าให้ฟัง


โผล่หน้ามาแค่วันสองวัน แต่คนทั้งบ้านต้องคอยเอาอกเอาใจหาโน่นหานี่มาประเคนให้จนเดือดร้อนกันไปหมด...
เอาแต่ใจตัวเองเกินไปหรือเปล่า?


ความคิดกรุ่น ๆ ถูกโยนทิ้งไปในทันทีที่เด็กน้อยสี่ขาวัยเกือบสองขวบที่สูงราว ๆ หน้าท้องของผมกระโดดเกาะรั้วสูงที่เจ้าของบ้านใช้กั้นสร้างอาณาเขตอยู่อาศัยสำหรับเจ้าลูกหมาลายวัวตัวใหญ่โดยเฉพาะ  ปีเตอร์เป็นหมาที่ไม่เห่าเพราะอาม่าจ้างครูฝึกมาสอนเจ้าตัวเล็กตั้งแต่ยังไม่รู้ประสาเนื่องจากไม่อยากให้มันส่งเสียงรบกวนใคร ๆ จนโดนปองร้ายไปอีกตัว  

หลังจากกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันจนหนำใจ ผมก็เปิดกระเป๋าหยิบเครื่องมือเท่าที่จำเป็น พร้อมกับค้นมาสก์ขึ้นมาสวม ก่อนจะใส่ถุงมือยางแล้วเข้าไปหาปีเตอร์ที่ยืนกระดิกหางจ้องผมตาใส


“ใจเย็น ใจเย็น เด็กดี... ไม่บ่นนะครับ เดี๋ยวพี่แนนตื่นลงมาดุเอารู้ไหม?” ผมกำชับหมาเด็กไม่ให้ส่งเสียงครางงึมงำแบบที่มันชอบทำเวลามีใครลูบไล้ไปตามเนื้อตัว ก่อนจะทึกทักเอาเองว่าการกะพริบตาของเจ้าตัวใหญ่คือความเห็นชอบ

“ไหน ขอพี่หมอตรวจดูหน่อยสิว่าวันนี้อาการเป็นยังไง?” ผมคว่ำฝ่ามือสั่งลูกหมาตัวใหญ่ให้นั่ง เจ้าตัวดีก็ฉลาดสมสายพันธุ์และชั่วโมงการฝึกฝนอันยาวนาน เพราะปีเตอร์ยอมนั่งนิ่ง ๆ ทันทีตามขอพร้อมกับยอมให้ผมเปิดปากสังเกตเหงือกและฟันอย่างว่าง่าย

แต่นิ่งได้ไม่ทันครบนาที เด็กน้อยลับดีดตัวลุกขึ้นแล้ววิ่งไปนั่งกระดิกหางรอคอยอะไรบางอย่างตรงหน้าบานประตูที่กั้นระหว่างพื้นที่ในตัวบ้านกับส่วนเปิดโล่งด้านหลัง  ท่าทางกระตือรือล้นเต็มไปด้วยความคาดหวังของลูกหมาลายวัวทำให้ผมตั้งใจเงี่ยหูฟังจนได้ยินเสียงเรียกชื่อพี่เลี้ยงประจำบ้านดังออกมาจากข้างในก่อนจะเงียบหายไป จนผมสรุปเอาเองว่าผมคงเผลออุปาทานหูแว่วตามหมาไปเป็นที่เรียบร้อย

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาในการวินิจฉัยอาการของปีเตอร์ ผมจึงย้ายตัวเองตามไปนั่งตรวจร่างกายเด็กน้อยลายจุดตรงด้านหน้าบานประตูหลังบ้านมันเสียเลย


“ปีเตอร์!
“งี๊ด งี๊ด!!” เจ้าหมาเด็กส่งเสียงในลำคอด้วยความดีใจจนออกนอกหน้า หางยาว ๆ ของมันกวัดแกว่งไปมาอย่างรวดเร็ว
“คิดถึงพี่ไหม?!

น้ำเสียงร่าเริงของคนมาใหม่ที่เพิ่งเปิดประตูหลังบ้านออกมาทำให้ลูกหมาตัวใหญ่อยู่ไม่เป็นสุข แทนที่ผมจะได้ตรวจสภาพผิดปกติของร่างกายเด็กน้อยตามคำบอกเล่าของอาม่าใหญ่เมื่อเย็นวาน ปีเตอร์กลับวิ่งไปกระโดดเกาะอกของคนที่เพิ่งเดินพ้นประตูออกมายังบริเวณหลังบ้านไปเสียนี่

แต่การที่คนไข้วิ่งเตลิดหนีไปต่อหน้าต่อตา กลับไม่ได้ทำให้ผมประหลาดใจได้มากเท่าเด็กแว่นที่ส่งเสียงคิกคักสลับกับยิ้มร่าขณะปล่อยให้หมาลายวัวเลียหน้าเลียตาตัวเองจนทั่วเลยสักนิด...

ชัดเจน! รูปร่างหน้าตากับการแสดงออกต่อหมาแบบนั้น คงเป็นคนอื่นไปไม่ได้
หนุ่มแว่นในตำนาน คือ หลานอาม่าใหญ่ที่เขาเคารพรักไม่ต่างจากม่าตัวเองอย่างนั้นน่ะเหรอ?!


“ฮื่อออออ อย่าเลียเซ่! ฮ่า ฮ่า ฮ่า... ไม่เอา ดูสิเนี่ย แว่นพี่เละหมดแล้ว!! ปล่อยก่อน... ขอพี่ถอดแว่นก่อน เดี๋ยวพี่ให้เลียจนหนำใจเลย!

สิ่งที่เห็นทำให้หัวใจผมเต้นตึงตังจนไม่ต้องใช้สเต็ทโตสโคปช่วยฟังก็ยังได้ยิน คือ การที่หนุ่มแว่นในตำนานประจำคณะซึ่งเดิมทียืนค้ำหัวผมระหว่างเล่นกับปีเตอร์ค่อย ๆ ลดตัวลงนั่งตรงขั้นบันไดทางลงหลังบ้านพลางถอดแว่นวางไว้ด้านในบ้านแล้วปล่อยให้เจ้าลูกหมาลายวัวเข้าคลุกวงในแสดงความรักกับตัวเองได้อย่างเต็มที่ด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะสดใส  


“ฮ่า ฮ่า ฮ่า... จั๊กจี๋น่าปีเตอร์!!

จากที่ไม่เคยคิดว่าจะมีอะไรน่าสนใจมากไปกว่าอาม่าทั้งสอง ตำราเรียน และบรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลาย แต่วินาทีที่ใบหน้าขาว ๆ ไร้แว่นบดบังคลี่ยิ้มกว้างอย่างสุขเปี่ยมล้น เด็กหน้าใสที่นั่งห่างออกไปไม่ถึงสองคืบคนนั้นก็ดึงความสนใจของผมไปได้จนหมดสิ้น

หน้าตาไม่เปลี่ยนเหมือนที่อาม่าบอกจริง ๆ ด้วย
แต่ทำไมผมกลับรู้สึกว่าน้องน่ารักขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะเลยล่ะ?

น้องน่ารัก... น่ารักไปหมดทุกส่วน ทั้งตา จมูก ปาก... แก้ม
น่ารักจนอยากจะสัมผัสแก้มทั้งสองนั่นเสียเอง!
แต่เดี๋ยวนะ... ผมว่าปีเตอร์ชักจะเลียหน้าน้องเยอะเกินไปแล้วล่ะ


“อ่ะแฮ่ม!” เพราะไม่รู้จะทำอย่างไร ผมเลยกระแอมใส่ทั้งนายทั้งหมาเพื่อห้ามปรามอาการลามปามของเจ้าลูกหมาทันที...  เมื่อกี๊น้องคงไม่ทันเห็นผมเขม่นตาใส่เจ้าลูกหมาลายวัวหรอกมั้ง

“อ้าว! ขอโทษครับ พอดีผมไม่ได้เจอปีเตอร์นาน อดใจเล่นกับมันไม่ไหว เลยไม่ทันได้ทักทาย... พี่ลิงใช่ไหมครับ?” เด็กน้อยของผมต่อว่าตัวเองพอเป็นพิธีพลางหยีตาเพ่งมอง ชื่อที่อีกฝ่ายเพิ่งเอ่ยออกมาทำผมสับสนจนไม่กล้าตอบโต้

“พี่ลิงที่อาม่าบอกว่าคอยมาตรวจปีเตอร์ให้อยู่ตลอดจนมันตัวใหญ่ขนาดนี้... ใช่พี่หรือเปล่าครับ?” พอฟังคำอธิบายเพิ่มเติมของน้อง ผมก็เริ่มจะเอะใจ...


พี่ลิง? ผมเนี่ยน่ะพี่ลิง?
นี่น้องเข้าใจว่าผมชื่อลิงอยู่ตลอดเลยเหรอ?!
สงสัยอาม่าใหญ่จะเล่าถึงผมให้น้องฟังบ่อยจนน้องติดเรียกผมว่าลิงตามอาม่าไปแน่ ๆ  

แต่นั่นแปลว่าน้องจำผมไม่ได้?!
ได้ไง? ขนาดผมยังจำน้องได้ไม่ลืมเลยนะ... ไม่สิ! ถ้าผมไม่เจอเด็กน้อยของผมที่นี่ วันนี้ ผมก็ไม่มีทางรู้หรอกว่า น้องกับหนุ่มแว่นในตำนานที่ผมสนอกสนใจเป็นคน ๆ เดียวกัน

แทนที่จะแก้ไขความเข้าใจผิดของเด็กน้อย บางอย่างกลับบอกให้ผมปล่อยให้น้องเชื่อไปทั้งอย่างนั้น  และทันทีที่ตัดสินใจได้ ผมก็รีบยกมือขึ้นเช็คหน้ากากอนามัยที่ใส่อยู่ก่อนจะดึงให้ส่วนที่เป็นเนื้อผ้าใยสังเคราะห์ปกคลุมใบหน้าให้ได้มากที่สุดระหว่างตอบน้อง


“ครับ ใช่ครับ”

“หวัดดีครับพี่... ผมแนน หลานม่าน่ะครับ ขอบคุณพี่มาก ๆ เลยที่ช่วยดูแลปีเตอร์ให้” หนุ่มแว่นในตำนานที่ถอดแว่นทิ้งจนกลายกลับไปเป็นเด็กน้อยเดินตามผมต้อย ๆ เมื่อเก้าปีก่อนยกมือไหว้ก่อนส่งยิ้มที่ไม่ว่าดูมุมไหนก็ถอดแบบมาจากอาม่าใหญ่แบบไม่มีผิดเพี้ยน... จะต่างกันก็ตรงที่รอยยิ้มของอาม่า ไม่ได้ทำให้ตาหูผมพร่าจนใจเต็นเป็นบ้าเป็นหลังได้เท่ากับรอยยิ้มที่อยู่บนหน้าน้องเลยสักนิด  

“ยินดีครับ”

“ม่าบอกว่าพี่เรียนอยู่ที่เดียวกับผมเหรอครับ?” ทำไงดี... ผมเลิกจ้องหน้าน้องไม่ได้?! โอย... เด็กน้อยของพี่ อย่ายิ้มเยอะสิครับ พี่ใกล้จะละลายอยู่แล้วนะ

“ครับ”

“มีแต่คนบอกว่าเด็กสัตว์แพทย์มอเรานี่เก่งที่สุด พอเห็นปีเตอร์แข็งแรงเพราะได้พี่ดูแล... ผมก็ชักจะเชื่อหมดใจแล้วล่ะครับ” ผมแอบใจหายพอเห็นว่าน้องเอื้อมมือเข้าไปคว้าของที่อยู่ข้างในบ้าน... ถ้าให้เดา ผมว่าน้องจะเอาแว่น อย่าเพิ่งรีบใส่แว่นเลย... ขอพี่มองหน้าให้ชื่นใจอีกหน่อยได้ไหม?

“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ” ผมหลุดยิ้มที่เจ้าลูกหมาลายวัวเริ่มเลียแก้มน้องอย่างเมามันอีกครั้งจนน้องต้องยอมวางมือจากแว่นสายตาไปชั่วคราว... เห็นว่าทำตัวมีประโยชน์ พี่หมอจะยอมให้ปีเตอร์เลียหน้าเด็กน้อยของพี่หมอเป็นกรณีพิเศษก็แล้วกัน

“แล้วเมื่อกี๊พี่กำลังทำอะไรอยู่เหรอครับ? ให้ผมช่วยไหม?” เด็กน้อยกลั้นหัวเราะพลางเอามือกุมปากเจ้าหมาลายวัวเอาไว้จนมันส่ายหัวดุ๊กดิ๊กคล้ายเริ่มรำคาญแล้วจึงหันมาหยีตามองมาทางผมอีกครั้ง... อาม่าใหญ่ครับ ผมขอโทษที่ทำให้น้องต้องเพ่งสายตาโดยไม่จำเป็น ถ้าหลังจากนี้น้องต้องตัดแว่นใหม่ ผมสัญญาว่าผมจะพาน้องไปเองครับ  

“ได้ครับ... งั้นแนนช่วยจับปีเตอร์ให้ยืนนิ่ง ๆ สักสองสามนาทีได้ไหมครับ พี่จะวัดไข้ปีเตอร์ดูเสียหน่อย” ผมฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายยังไม่ใส่แว่นเขยิบเข้าใกล้เจ้าของที่จับลูกหมาตัวใหญ่เพื่อตรวจเจ้าสี่ขาให้สำเร็จตามความตั้งใจไปพร้อม ๆ กับลอบสำรวจเด็กน้อยที่ห่างหายกันไปเกือบสิบปีอย่างถ้วนถี่ดูอีกสักครั้ง

“ครับ ๆ ” ระหว่างรอให้ปรอทไฟฟ้าบอกอุณหภูมิของลูกหมาตัวยักษ์ ผมก็ไม่อาจละสายตาจากรอยยิ้มน้อย ๆ บนใบหน้าของเจ้าของหมาขณะกำลังกอดและลูบคอปีเตอร์อย่างทนุถนอมได้สักวินาที  จนกระทั่งเจ้าตูบตัวดีเริ่มจะยุกยิกแล้วนั่นแหละ ผมจึงจำใจสั่งให้ตัวเองปฏิบัติหน้าที่อย่างไม่มีทางเลือก

“เอาล่ะ ไม่มีไข้... ไหนขอพี่หมอตรวจเหงือกหน่อยนะปีเตอร์” เด็กน้อยหน้าใสกระเถิบตัวเอี้ยวหลบเปิดทางให้ผมเขยิบเข้าใกล้ลูกหมาได้อย่างสะดวก... หารู้ไม่ว่า ช่องว่างทางกายภาพที่หดเล็กลงกะทันหันโดยที่น้องรู้เห็นเป็นใจ ทำให้ผมตื่นเต้นจนต้องคอยหักห้ามตัวเองไม่ให้สนใจน้องมากกว่าเจ้าสี่ขาตรงหน้าจนสมาธิแตกซ่าน  

สมองผมพยายามนึกทบทวนถึงเรื่องจริงจังอื่น ๆ ไปจนถึงจรรยาบรรณของสัตวแพทย์อยู่พักใหญ่ ๆ  สุดท้ายข้อกังขาเกี่ยวกับอาการของลูกหมาวัยเกือบสองปีที่อาม่าเฝ้ากรอกหูผมผ่านโทรศัพท์มาตลอดอาทิตย์ก็เอาชนะใบหน้าด้านข้างของน้องได้อย่างขาดลอย


“เอ... เหงือกก็ดูปกติดีนิ แล้วทำไมถึงไอล่ะ?” สีและสภาพสมบูรณ์ของเหงือกทำให้ผมเผลอหลุดปากพึมพำกับตัวเองด้วยความไม่เข้าใจ

“ปีเตอร์ไม่ไอนะครับพี่ ใครบอกพี่เหรอครับว่าปีเตอร์ไอ?” สีหน้างุนงงของเด็กน้อยที่นั่งข้าง ๆ ทำให้ผมเอะใจ... หรือการที่ผมถูกผู้อาวุโสรบเร้าให้มาที่นี่ในวันที่ไม่มีใครอยู่ในบ้านนอกจากน้อง จะเป็นความตั้งใจของอาม่าใหญ่ที่ได้ม่าของผมเป็นฝ่ายสนับสนุนกันนะ?!  ถ้าอย่างนั้น การไม่พาดพิงถึงอาม่าใหญ่น่าจะช่วยให้เด็กน้อยเอาแต่ใจกลับไปซักไซ้อาม่าให้ต้องเหนื่อยกันไปทั้งสองฝ่าย

“ตอนพี่เข้ามาพี่ได้ยินปีเตอร์ไอน่ะครับ... สงสัยหูพี่คงฝาดไปเอง” ผมตอบพร้อมส่งสัญญาณบอกปีเตอร์ให้นอนลงเพื่อจะได้แนบสเต็ทโตสโคปลงฟังเสียงหัวใจของลูกหมาลายวัวตรงซอกขาหน้าด้านซ้ายได้อย่างชัดเจน จนเมื่อพอใจกับเสียงตึกตักที่ได้ยิน ผมก็หันไปชวนคนมือว่างคุยเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายกลับไปสนใจแว่นสายตา

“เรียนสถาปัตย์เป็นไงครับ? เหนื่อยไหม?”

“โหพี่! เหนื่อยน่ะน้อยไปครับ ยังดี... สองอาทิตย์แรกนี่อาจารย์ที่บินไปดูงานยังกลับมาสอนไม่ครบ ไม่งั้นผมคงไม่ได้กลับมาบ้านแน่ ๆ ” เด็กน้อยพูดไปยิ้มไปด้วยความสุขจนคนมองตามอย่างผมพลอยยิ้มตามไปอีกคน

“งานเยอะเหรอครับ?”

“ครับ... เดี่ยวมั่ง กลุ่มมั่ง แต่ส่วนใหญ่ก็ตัวคนเดียว บางวิชานี่เถียงกับอาจารย์ยับเลยก็มี” น้องหัวเราะเสียงใส

“ดูแนนสนุกกับวิชาที่เรียนมากเลยนะครับ”

“ครับพี่ ถึงงานจะเยอะ แต่ผมชอบที่ได้คิด ได้ทำ ได้วาดโน่นนี่ ได้ประกอบความคิดให้เป็นรูปเป็นร่างจับต้องได้ แถมเพื่อน ๆ ผมก็ดีมาก ผมว่าผมก็โชคดีกว่าหลาย ๆ คนที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรน่ะครับ”

อาจเป็นเพราะทุกทีที่เจอกัน เด็กน้อยของผมมักจะทำหน้าตาเดเดเดกบึ้งตึงให้เห็นเป็นประจำ พอได้มีโอกาสคุยกันดี ๆ  ได้สังเกตอากัปกิริยาของน้องใกล้ ๆ ยิ่งในระหว่างที่เจ้าตัวพูดถึงสิ่งที่ชอบแบบตอนนี้ รอยยิ้มกับแววตาใสแจ๋วเป็นประกายบนใบหน้าขาวเนียนนั่นก็ทำให้ผมหวั่นไหวจนจิตใจชักจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัว...


ผมว่า ผมชอบน้องแบบจริง ๆ จัง ๆ เสียแล้วล่ะ


“เอ่อ พี่ลิงครับ... อย่าหาว่าผมอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะครับ”  อยู่ ๆ เด็กน้อยก็ทำหน้ายุ่งยากใจจนผมไม่อาจอยู่นิ่งเฉย

“อะไรเหรอครับ?”  
.
.
.
.
“คือ... พรุ่งนี้น่ะครับ ผมว่าจะกลับมอตั้งแต่เช้า... ผมเลยจะอยู่กินข้าวกลางวันกับพี่ไม่ได้ พี่ไม่ว่าผมใช่ไหมครับ?” แค่หน้าน้องหมองลงนิดเดียวผมก็ใจแป้วจะแย่ ถ้าแค่พรุ่งนี้ไม่ได้กินข้าวด้วยกัน ผมยอมก็ได้... เดี๋ยวนะ?! เมื่อกี๊น้องบอกว่ากินข้าวกลางวันด้วยกันงั้นเหรอ?!!

ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า ที่อาม่าใหญ่บอกว่าอยากให้ผมกับม่ามาช่วยชิมกระเพาะปลาสูตรใหม่ล่าสุดตอนมื้อเที่ยงวันพรุ่งนี้ เป็นเพียงข้ออ้างบังหน้าอย่างนั้นน่ะสิ? พวกอาม่าต้องการอะไรกันแน่?


“อ๋อออ! เรื่องนั้นเอง... ไม่ต้องเครียดไปครับ พี่ก็กำลังจะมาบอกม่าว่าพี่ติดธุระด่วนช่วงบ่ายพอดีเหมือนกันครับ” ผมรีบเออออเพื่อทำให้น้องสบายใจพร้อมกับคิดวางแผนถึงสิ่งที่ต้องทำในเร็ววันเพื่อสะสางเรื่องคั่งค้างใจทั้งหลายอย่างคร่าว ๆ

“จริงเหรอครับพี่?!

“ครับ”

“เฮ่อ! ค่อยยังชั่วหน่อย ผมจะได้ไม่รู้สึกผิดเท่าไร” เด็กน้อยคลี่ยิ้มอย่างโล่งอก... นี่คงจะดีใจที่หว่านล้อมผมให้ยอมร่วมมือได้ สงสัยจะไม่ชอบให้ใครบังคับขนาดกับอาม่าใหญ่ยังกล้าแผลงฤทธิ์ใส่... ดื้อกว่าเมื่อก่อนเยอะเหมือนกันแฮะ

“แล้วเราติดธุระอะไรที่มอเหรอครับ? พี่ถามได้ไหม?” ผมรีบออกตัวเพื่อความสบายใจกันทั้งสองฝ่ายพลางส่งสัญญาณมือให้เจ้าสี่ขาลุกขึ้นนั่งเพื่อจะได้ทั้งดึงและกดตรวจสอบความยืดหยุ่นของผิวหนังเพื่อเช็คภาวะบวมหรือขาดน้ำระหว่างเงี่ยหูรอฟังคำตอบของเด็กน้อยด้วยความตั้งใจ

“คืองี้ครับพี่ ผมว่าจะพาหมาที่คณะตัวนึงไปทำหมันน่ะครับ พอดีเมื่ออาทิตย์ที่แล้วฝนตก ไม่รู้มันแอบไปหลบฝนอยู่ที่ไหน ผมเลยไม่ได้พามันไปโรงบาลเสียที” ดีว่าผมกำลังง่วนกับหลังคอเจ้าปีเตอร์ ไม่อย่างนั้นผมคงลืมตัวเอื้อมมือไปลูบหว่างคิ้วของเด็กน้อยเพื่อให้ปมตรงเหนือดวงตาคลายไปแน่ ๆ

“หมาที่คณะแนนนี่โชคดีนะครับที่มีแนนคอยดูแลแบบนี้” น้องยิ้ม... แล้วก็ยิ้มอีกซ้ำ ๆ  เมื่อได้ยินคำพูดผม จนผมชักอยากจะหาโอกาสเอ่ยชมน้องตลอดทั้งวันทั้งคืนเพื่อจะได้เฝ้ามองรอยยิ้มที่ทำให้ใจอ่อนยวบแบบไม่จำกัดเสียจริง ๆ

“หึ หึ หึ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับพี่! ผมก็แค่ทำเท่าที่ทำได้... ตอนงานผมเยอะ ๆ ผมก็ไม่ได้โผล่หน้าไปดูหมาที่ไหนเหมือนกันนั่นแหละ แค่จะหาข้าวกินยังขี้เกียจเลยครับ... อยากจะนอนยาว ๆ มากกว่า”

“แล้วทำไมไม่หาใครคอยดูแลล่ะครับ? เขาว่าเด็กสถาปัตย์เนื้อหอมไม่ใช่เหรอ?” แย่แล้ว! เมื่อกี๊ผมเผลอพูดอะไรไป... ถ้าคิดจะแอบชมน้องทำไมไม่ทำให้มันเนียนกว่านี้ล่ะสาริน?!

“หอมเหิมอะไรล่ะพี่? สามวันอาบน้ำทียังเคยมาแล้ว” โชคดีที่เด็กหน้าใสไม่ได้คิดอะไรมาก เจ้าตัวเลยส่ายหัวดุ๊กดิ๊กเสริมคำพูดจนผมอดหัวเราะด้วยความเอ็นดูไม่ได้ “เพื่อน ๆ ผมน่ะมีคนดูแลกันเกือบหมดแล้วครับ ส่วนผม... อยู่ให้เพื่อนดูแลดีกว่า สบายใจ แถมยังไม่ต้องกลัวอกหักอีกต่างหาก”


ถ้าเด็กน้อยพูดชัดขนาดนี้ก็น่าจะยังไม่มีแฟน... ดีเลย!


“กลัวอกหักด้วยเหรอ? พี่ว่าอย่างแนนน่าจะหาแฟนได้สบาย ๆ เลยนะ” ผมเพิ่งสังเกตว่าเวลาอยู่กับน้อง ปากผมมักจะไวพอ ๆ กับความคิด... กว่าสติจะตามทัน ผมก็ดันพูดจาไร้สาระอย่างที่ไม่คิดจะพูดกับใครไปเสียแล้ว

“โห่พี่ลิงครับ! ใครมันจะอยากมาคบกับคนโลว์โปรไฟล์อย่างผม ขนาดตอนไม่ใส่แว่นยังไม่หล่อ ตอนใส่แว่นยิ่งดูหน้าตาท้อแท้ไปกันใหญ่!

“คนที่ไม่สนใจเรื่องหน้าตาน่าจะยังพอมีอยู่นะ พี่ว่า” ผมเริ่มจะมั่นใจว่า เวลาอยู่ใกล้ ๆ น้อง ผมคงไม่อาจควบคุมตัวเองให้สำรวมได้แล้วล่ะครับ อย่างครั้งนี้ก็เหมือนกัน... ทั้งที่เพิ่งจะโพล่งคำถามไม่เข้าท่าไปแท้ ๆ

“แต่ถึงจะมีจริง ๆ ก็ยากแหละพี่ ช่างเถอะ! อยู่อย่างนี้ก็สบายดีแล้วล่ะครับ” ผมกำลังจะพูดแทรกแต่กลับไม่ทันเด็กน้อยที่ชิงพูดเปลี่ยนเรื่องจนผมต้องยอมไหลตามน้ำ “แล้วสรุปว่า ปีเตอร์มีอาการผิดปกติอะไรหรือเปล่าครับพี่? ผมต้องพาปีเตอร์ไปหาหมอไหม?”

“เอ่อ... ปีเตอร์ปกติดีครับ ไม่มีอาการผิดปกติอะไร” พอได้ยินคำตอบของผม เด็กน้อยก็ร้องเพลงด้วยเสียงเล็กเสียงน้อยเหมือนเด็ก ๆ พลางเล่นสลับกับจูบหอมหมาเด็กเป็นว่าเล่นจนผมอดอิจฉาเจ้าลายวัวสี่ขาไม่ได้

“ปีเตอร์ของพี่... แข็งแรงดีอย่างกับม้ากั๊บ ๆ ”

“ถ้างั้นพี่ขอตัวเลยแล้วกันนะครับ” แม้จะนึกโกรธปีเตอร์ขึ้นมานิด ๆ  แต่เพราะมีเรื่องที่ต้องรีบสะสาง ผมจึงจำใจบอกลาน้องด้วยความรีบร้อน

“เชิญครับพี่ ขอบคุณมากนะครับพี่ลิง” ยิ้มหวานตบท้ายของเด็กน้อยทำให้ผมตัดใจเดินจากมาด้วยความเสียดายพลางปลอบตัวเองว่าไม่เป็นไร เพราะถ้าผมตกลงกับอาม่าใหญ่ได้ผลตามที่ต้องการ ผมจะทำให้น้องยิ้มให้หวานยิ่งกว่านี้อีกเป็นร้อยเท่าพันเท่า


«»------------------------------------------------------------------------------------«»


“เติมข้าวอีกหน่อยสิริน”

“ผมอิ่มแล้วครับม่า” ผมปฏิเสธคำชวนของม่าอย่างสุภาพ ความรู้สึกห่วงหาเด็กน้อยหน้าแว่นที่ต้องไปรับซิลเวสเตอร์ออกจากโรงพยาบาลลำพังทำให้ผมไม่รู้สึกอยากอาหารเลยสักนิด แต่อาม่าใหญ่กลับไม่คิดเช่นกัน

“เฮี้ยวแม่อยู่ป้า ลื้อเจี่ยโจ่ย ๆ เดี๋ยวเม่ยจ๊อเกี๊ยมอีอู่เสียซิม”  
(ทำไมอิ่มเร็ว? กินเยอะ ๆ สิริน เดี๋ยวเม่ยเสียใจกันพอดี) อาม่าใหญ่พูดพลางคีบเนื้อปลาขาว ๆ ก้อนใหญ่วางลงในจานเปล่าของผมโดยไม่ยอมฟังเสียง

“ผมกินไม่ไหวแล้วล่ะครับม่า ขอโทษครับ” ขาดคำผมก็รวบช้อนเพื่อบอกปัดความหวังดีของคุณย่าทั้งสองโดยสิ้นเชิงจนอาม่าใหญ่ขมวดคิ้วพลางส่ายหัวด้วยความไม่ชอบใจ

“เฮ่อออ! อั่วไม่ได้โห่ยลือไหลเซียโท่ย เลี้ยวอยู่เก็กซิม”
(เฮ่อออ! ม่าไม่ได้ยอมให้จีบหลานม่าแล้วมาทำท่ากลุ้มใจแบบนี้นะ)

“ผมขอโทษครับม่า แต่ผมอดเป็นห่วงน้องไม่ได้...  วันนี้น้องต้องไปรับหมาออกจากโรงพยาบาลคนเดียว ผมไม่อยู่... ไม่รู้น้องจะลำบากมากหรือเปล่า” รถก็ไม่มี วันก่อนน้องก็ดันโกหกเพื่อนเสียอีก แล้วอย่างนี้จะมีใครพาน้องไปที่คณะแทนผมไหม? แล้วที่ผมกำชับพวกเพื่อน ๆ ของเด็กน้อยเอาไว้ก่อนจะกลับมาบ้าน... จะมีใครช่วยดูแลน้องตามคำขอของผมบ้างหรือเปล่า?

“อามุ่ยฟ้า... อั่วบ่อเตี่ยเตี๊ยะ อั๊วโห่ยลีหน่อนั้งเซียโท่ย”
(อามุ่ยฟ้า... ฉันชักไม่แน่ใจแล้วสิว่า เราตัดสินใจถูกหรือเปล่าที่สนับสนุนหลานเราให้ได้กันเนี่ย!)

“เจ่เจ้ เจ่เจ้ช่วยทำอะไรสักอย่างทีสิคะ” พอได้ยินอาม่าใหญ่บ่นกระปอดกระแปด ม่าผมก็เริ่มจะหน้าเสีย

“ลื้อเจี่ยป่าป้า เดี๋ยวอาม่าพะเตี๋ยงฉ่วยอาแนนโห่ยหลื่อ... อิ๊งเซ้งบ้อ?”
(ถ้ารินยอมเติมข้าว ม่าจะโทรหาน้องให้เดี๋ยวนี้... ตกลงไหม?)

“ก็ได้ครับม่า”

ผมรับข้อเสนอของอาม่าใหญ่ที่ลงทุนตักข้าวเพิ่มให้ผมด้วยตัวของท่านเอง แน่ล่ะ... ผมยังไม่ลงมือแตะต้องอาหารพูนจานจนกว่าผู้อาวุโสกดโทรออกและได้ยินเสียงของคนปลายสายที่ผมคิดถึงจนแทบขาดใจดังลอดลำโพงออกมาให้ชื่นใจก่อนแล้วนั่นแหละ  ช่วงเวลาที่ผมนั่งฟังเสียงเด็กน้อยคุยเจื้อยแจ้วกับอาม่าใหญ่ด้วยเรื่องสัพเพเหระอยู่นั้น ผมก็อดนึกย้อนไปถึงที่มาของความร่วมมือของอาม่าทั้งสองอย่างที่เป็นอยู่นี่ไม่ได้  

คิดแล้วก็น่าตลก... เพราะกระทั่งผม ผมยังไม่รู้เลยสักนิดว่า หลังจากคุณย่าแห่งทั้งสองบ้านรับฟังความในใจของผม นอกจากที่พวกท่านจะไม่ทักท้วง อาม่าใหญ่และอาม่าของผมยังพร้อมจะให้การสนับสนุนด้วยความยินดีไปเสียอีก









“ม่าแนนครับ... ผมมีเรื่องจะบอก” ผมประหม่าจนออกอาการอึกอัก ยิ่งเมื่อเห็นสายตาทั้งสองคู่ที่มองจ้องมาอย่างสนอกสนใจด้วยแล้ว ผมก็ยิ่งหวาดหวั่น

“ลื่อจ๊ะหนี่ โก๋ก๊วย โก๋ก่วย?”
(เป็นอะไร? ทำไมทำท่าแปลก ๆ ?) อาม่าใหญ่วางมือจากกองไพ่ที่ท่านกำลังถอดเพื่อหันมาคุยกับผมด้วยสีหน้าจริงจัง  ความกล้าที่เคยมีจึงหลบหนีไปจนผมต้องอาศัยการพูดเกริ่นนำด้วยอารัมภบทที่ไม่เกี่ยวข้องกับใจความหลักเสียทีเดียวเข้าช่วยระหว่างกอบกู้ความรู้สึกฮึกเหิมเมื่อไม่กี่ชั่งโมงก่อนให้กลับมาดังเดิม

“ม่าครับ พรุ่งนี้ถ้าน้องอยากกลับมหาลัยแต่เช้า ม่าก็อย่าห้ามน้องเลยนะครับ”

“อ้าว! ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ? รินก็รู้ไม่ใช่เหรอลูกว่าน้องไม่ได้กลับมาบ้านบ่อย ๆ ” คราวนี้เป็นม่าผมเองที่ตั้งคำถาม ผมจึงทำใจดีสู้เสือตอบความท่านไปตามจริง

“คือ... วันนี้ผมเจอกับน้องแล้วครับ”

“ไล้เซียวหง่อก็ฮ่อ จะได้โบ่ยเกียเตี่ย”
(เจอกันแล้วก็ยิ่งดีไปกันใหญ่... พรุ่งนี้ตอนกินข้าวด้วยกันจะได้ไม่ตื่นเต้น) พอเห็นอาม่าใหญ่ตบมือพลางกระหยิ่มยิ้มย่องด้วยความดีใจไปพร้อม ๆ กับการยอมรับถึงแผนการที่จะจัดให้ผมเจอกับน้องระหว่างมื้อเที่ยงวันพรุ่งนี้แบบซึ่ง ๆ หน้า ผมก็เริ่มจะแน่ใจว่า การเจรจาของผมน่าจะประสบผลสำเร็จไม่ยากนัก  

“แต่ผมยังไม่พร้อมจะเจอน้องวันพรุ่งนี้น่ะครับ”
“ยังไงของเราฮึริน? ม่าไม่เข้าใจ?”
“เตี๊ยะ เตี๊ยะ เตี๊ยะ!
(นั่นน่ะสิ!)

คำขอร้องของผมทำให้อาม่าทั้งสองแทบจะแข่งกันพูดด้วยเสียงสูงปรี๊ด เมื่อเดาจากสีหน้าไม่พอใจของทั้งอาม่าเล็กและใหญ่ พวกท่านคงหมายมั่นปั้นมือกับผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นภายหลังจากมื้อเที่ยงวันพรุ่งนี้สิ้นสุดลงมากพอสมควร...

ไม่รู้สิ แต่ผมว่าผมเจอผู้ให้การสนับสนุนรายใหญ่โดยไม่ตั้งใจเสียแล้วล่ะ
และถ้าผมไม่ฉวยโอกาสนี้เอาไว้ ผมคงโง่จนไม่เหมาะจะเป็นหลานชายของท่านทั้งสองแน่ ๆ   


“ม่าครับ... สัญญากับผมก่อนได้ไหมครับว่าถ้าม่าฟังสิ่งที่ผมกำลังจะบอกม่า ม่าจะดุจะว่าผมยังไงก็ได้... แต่ผมขออย่างเดียว ม่าอย่าบอกเรื่องนี้กับน้องได้ไหมครับ?” 

“นี่เรากำลังจะบอกอะไรม่า?”

“ลื้ออู่แมไก๊ ลื้อกะอั้วต่า อั่วเทียหลื่อ”
(อยากพูดอะไรก็พูดมาเถอะริน ม่าจะรับฟัง) พอเห็นอาม่าใหญ่ยิ้มมุมปากคล้ายให้กำลังใจ ผมก็ไม่ลังเลอะไรอีกแล้ว

“...ผม... เอ่อ... ผม ผมคิดว่าผมชอบน้องครับ”

“ชอบเหรอ?! แล้วรินชอบน้องแบบไหน?” ม่าผมดูตื่นเต้นและดีใจอย่างเห็นได้ชัด เผลอ ๆ คราวนี้อาจจะมากกว่าตอนที่ม่ารู้ว่าผมได้เข้าเรียนในคณะสัตวแพทย์ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศตามความตั้งใจเสียด้วยซ้ำ ในขณะที่อาม่าใหญ่แค่คลี่ยิ้มบาง ๆ ให้เท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ท่านทั้งสองเข้าใจเจตนาของผมคลาดเคลื่อน ผมจึงรีบระบุจุดมุ่งหมายให้พวกท่านได้รับทราบโดยไม่รอช้า

“คือ...  ถ้าม่าไม่ขัดข้อง ผมอยากจะจีบน้องให้เป็นเรื่องเป็นราวครับ”

เจ่เจ้!” อาม่าใหญ่ถึงกับต้องเอื้อมมาไปตบแขนม่าผมเบา ๆ เพื่อเตือนให้สงบจิตสงบใจ ส่วนผมกลับทำได้แค่ส่งยิ้มแห้ง ๆ ไปให้อาม่าตัวเอง เพราะแม้จะสารภาพความรู้สึกของตัวเองออกไปอย่างหมดเปลือกแล้วก็ตาม แต่ในฝั่งของพวกท่าน... ผมกลับยังไม่รู้อะไรเลยสักนิด  

“ม่าจะอนุญาตให้ผมจีบน้องหรือเปล่าครับ?”

“อู่แมะสื่อลื้อถึงจะโบ่ยขื่อหง่ออาแนนม้าคี่”
(แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการไม่ยอมเจอหลานม่าวันพรุ่งนี้?) อาม่าใหญ่ซักไซ้ บนใบหน้าของท่านไม่มีรอยยิ้มใจดีประดับไว้อย่างที่เคยจนผมนึกหวั่น  แต่เพราะผมเดินมาไกลมากแล้ว... ผมจะไม่ถอดใจหรือเดินกลับหลังจนกว่าจะได้ฟังคำตอบของอาม่าทั้งสองด้วยตัวของตัวเอง ไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็ตาม

“ถ้าม่าเปิดโอกาสให้ผมจีบน้องได้  ผมก็อยากให้น้องรู้จักตัวตนของผมในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง ผู้ชายคนที่อยากอยู่กับน้องในฐานะคนรัก ไม่ใช่คนที่คอยดูแลปีเตอร์ หรือเป็นแค่หลานของเพื่อนอาม่าน่ะครับ”

ผมบอกให้ผู้อาวุโสทั้งสองท่านได้ทราบถึงบทสรุปที่ผมเพิ่งคิดได้หลังจากใช้เวลากับตัวเองอยู่หลายชั่วโมงนับตั้งแต่ได้เจอกับน้องไปเมื่อช่วงสายของวัน... นี่แหละ คือ เหตุผลที่ผมยอมปล่อยให้น้องเข้าใจผิดว่าตัวผมเป็นพี่ลิงหมอหมา ไม่ใช่พี่รินเพื่อนเก่าเมื่อเก้าปีก่อน เพราะผมอยากจะทำความรู้จักกับเด็กน้อยของผมอีกครั้งในฐานะที่แตกต่างออกไปจากในอดีตอย่างสิ้นเชิง...

ผมไม่อยากเป็นแค่เพื่อนกับน้องแล้วล่ะ...
ผมอยากเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง... อยากเป็นโลกทั้งใบของหลานอาม่าใหญ่ครับ


“แต่ถ้าเรากับน้องเจอกัน ทุกอย่างมันจะง่ายขึ้นนะริน... ม่าสองคนก็จะได้ช่วยพูดกับน้องให้รินได้อีกทาง” สุดท้าย คำพูดโน้มน้าวของอาม่าก็ทำให้ผมเข้าใจถึงความต้องการของผู้อาวุโสทั้งสองได้อย่างกระจ่างแจ้ง แต่หากผมยอมเจอกับน้องตามนัดหมายเดิมจริง ๆ ... ใครล่ะจะยืนยันได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างผมสองคนจะเป็นไปตามภาพที่อาม่าวาดหวังกันเอาไว้ในเมื่ออีกฝ่ายเอาแต่ใจและไม่ชอบให้ใครบังคับจิตใจออกเสียขนาดนั้น?

“ถ้าเป็นอย่างนั้น น้องจะไม่คิดว่าม่าพยายามยัดเยียด พยายามจับคู่น้องกับรินหรอกเหรอครับ? รินว่าอย่าดีกว่าครับม่า รินไม่อยากเสี่ยงจนผิดใจกับน้องไปเปล่า ๆ ”

“ลื่อเจี๊ยหนี่จ่อกอฮ่อ อั๊วต๋อหลื่อ”
(รินจะทำอย่างนั้นก็ได้ ม่าตามใจริน)

“แต่เจ่เจ้คะ!” อาม่าใหญ่ยกมือขึ้นปรามก่อนจะยื่นหมูยื่นแมวกับผมตามประสานักธุรกิจในสายเลือด  

“อั๊วซุ้ยหลื่อเหลี่ยวนา อาม่าก็อู่เตี่ยวเกี๋ย  แต่หลื่อต้องซุ้ยอาม่านา”
(ม่าจะยอมทำตามที่รินขอ แต่อาม่าก็มีข้อแม้ที่รินจะต้องทำตามอาม่าเหมือนกัน)

“อะไรเหรอครับม่า?”

“อาม่าโห่ยลือจ๊อแม้ไก๊ ลื้อซุ้ยอั่วไม๊แซขี่ เอ๊งเซ้งน้า?”
(ถ้าม่าบอกให้รินทำอะไร... รินก็ต้องทำ...  ห้ามโมโห รินตกลงไหม?) อาม่าใหญ่หรี่ตามองผมคล้ายท่านกำลังวัดใจ ส่วนตัวผมซึ่งไม่คิดจะถอยง่าย ๆ ก็ไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไปเช่นกัน

“แต่ม่าจะไม่ขอให้ผมเปลี่ยนใจจากน้องใช่ไหมครับ?” มาถึงขั้นนี้แล้ว สิ่งเดียวที่ผมต้องการ คือ ความยินยอมพร้อมใจจากตัวแทนผู้ใหญ่แห่งทั้งสองครอบครัวเพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาใหญ่อื่น ๆ ที่อาจจะกระทบต่อความสัมพันธ์ของผมกับเด็กน้อยในระยะยาวเกิดขึ้นตามมา และคำตอบผ่านน้ำเสียงชัดเจนของอาม่าใหญ่ก็ทำให้ความรู้สึกกระอักกระอ่วนปลิวหายไปจากใจได้อย่างไม่น่าเชื่อ

“ปั่กเอี่ย ลื้อเหม็งเอ็งเสี่ยคะโจ่ย อาม่าก็ไม่อยากจะปั่กนั้งเซียงฮ่อ กะอารินขื่ออั๊วก็ฮัวฮี่!
(เรื่องอื่นไม่ต้องเป็นห่วง... ม่าเองก็ไม่อยากฝากหลานม่าไว้กับใครนอกจากรินเหมือนกัน!)

“จริงเหรอครับม่า?!” อาม่าทั้งสองยิ้มกว้างพลางพยักหน้าให้ผม “แต่ถ้าผมทำให้น้องรักผมได้... ป๊ากับม้าของน้อง แล้วก็ป๊า จะยอมเข้าใจเหรอครับม่า?”

“ทีนี้ล่ะเพิ่งจะมาห่วงนะตาริน! ทีตอนบอกว่าจะจีบน้องยังพูดเสียเต็มปากเต็มคำ... น่าตีจริงเชียวหลานม่าคนนี้นิ! ม่าผมต่อว่าอย่างไม่จริงจังนัก เพราะม่าคงจะสมใจเสียจนเก็กหน้าดุไม่ออกอย่างทุกที ฝ่ายอาม่าใหญ่ที่ดูจะปลื้มใจไม่แพ้กันก็รีบตอบคำถามให้ผมหมดข้อสงสัยโดยเร็ว  

“หึ หึ หึ... อาเคี้ยงอีเสี่ยลื้อตั้งแต่โซ้ยโส่ย อีก็โห่ยอาแนนจ๊อเส่งยิ้ง อีเตี่ยมฉ่วยบ่อจิกหนั่งกะลือแป่ฮ่อไหล่โถยหูอาแนน”
(หึ หึ หึ... อาเคี้ยงอีอยากจะยกแนนให้รินไปตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ แล้วล่ะ  อีบ่นอยู่ทุกวันว่าจนป่านนี้ยังหาใครดูแลแนนได้ดีเท่ารินไม่ได้เลยสักคน)

“จริงเหรอครับม่า?!” อาม่าใหญ่ใช้รอยยิ้มกับการขยิบตาปริบ ๆ แทนคำตอบรับ ผมจึงหันกลับไปถามย่าตัวเองผ่านสายตาไม่แน่ใจเพื่อรับฟังแนวทางการรับมือกับป๊าเอาไว้ล่วงหน้า

“หึ หึ ม่าเชื่อว่า ป๊าเราจะให้โอกาสน้องเหมือนที่ม่ากับอากงให้มอบความสุขที่สุดในชีวิตให้ป๊าเป็นการแต่งงานกับม้าของรินยังไงล่ะ” และแล้ว คำตอบของม่าเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมยิ้มจนปวดแก้มได้เป็นครั้งแรกของเย็นวันนั้น

“ขอบคุณนะครับม่า... ผมขอบคุณม่าทั้งสองคนมากจริง ๆ ”

“ลื้อเหม็งเอ็งไหล่โจ่ยเสี่ยอั่ว ลื้อหน่อนั๊งไหล่เซียงฮ่อ เจี๊ยไหล่โจ่ยเสี่ยอาม่า”
(ยังไม่ต้องรีบขอบคุณม่าตอนนี้ก็ได้ ไว้จีบหลานม่าติดเมื่อไร ค่อยพากันมาขอบคุณม่าพร้อมหน้าพร้อมตากันทีเดียวเลย) ทันทีที่อาม่าใหญ่พูดจบ คุณย่าจากทั้งสองบ้านก็หันไปหลิ่วตาให้อีกฝ่ายก่อนจะเปล่งเสียงหัวราะประสานกันอย่างน่าฟัง


«»------------------------------------------------------------------------------------«»


โฮ่ง!

“มีอะไรเหรอน้าหนวด?”

โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง

“หึ! เพิ่งอิ่มข้าวเอง จะให้รีบอาบน้ำทำไม?” ผมยิ้มกริ่มพลางเล่นเกมจ้องตากับเซนต์เบอร์นาร์ดตัวโปร่งแสงที่ไม่ได้เป็นแค่วิญญาณหมา แต่ทำหน้าที่เป็นเหมือนแม่เข้าไปทุกที... มีอย่างที่ไหนที่ผีจะคอยตายจ้ำจี้จำไชให้มนุษย์ไม่ลืมชำระร่างกายตามสุขบัญญัติที่ดีทั้งสิบประการแบบที่เจ้าตัวนี้ทำบ้าง

“น่า... ขอนั่งต่ออีกนิดแล้วกัน  น้าหนวดก็รู้นิว่าฉันคิดถึงน้องแค่ไหน  นี่ไม่ได้ยินเสียงน้องมาจะยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วนะ” เนื่องจากแน่ใจว่าน้าหนวดไม่มีทางรู้เรื่องที่อาม่าใหญ่โทรไปหาเด็กน้อยเมื่อตอนเย็น ผมจึงกล้าอำเจ้าตัวกึ่งขุ่นกึ่งใสไปเรื่อยเปื่อย... เพราะแม้น้าหนวดจะคอยติดตามผมเป็นเงา แต่เมื่อไรก็ตามที่ผมกับน้องเข้าใกล้กันในระยะสายตา หรือทุกครั้งที่เข้าไปในบ้านตึกหลังงาม น้าหนวดจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ก่อนจะโผล่ออกมาอีกครั้งเมื่อมันพอใจ  

รอบนี้น้าหนวดไม่เห่าตอบโต้ มันได้แต่เพียงทำท่าฟึดฟัดถอนหายใจหนัก ๆ หลาย ๆ ครั้งระหว่างที่มองหน้าคนขี้เกียจอาบน้ำชั่วคราวอย่างผมด้วยสายตาเอาเรื่อง


“มันก็ใช่... เมื่อก่อนไม่ได้ยินก็ไม่เป็นอะไร แต่พอได้เจอน้องแล้ว... ก็ไม่อยากอยู่ห่างจากน้องอีกเลยน่ะสิ” พอพูดผัดผ่อนจบ วิญญาณเจ้าตูบก็ครางรับเสียงอ่อนที่ผมแปลได้ว่ามันกำลังเหนื่อยใจกับความดื้อดึงของผมอย่างที่สุด แต่ไหน ๆ ผมก็ไม่พร้อมจะทำอย่างอื่นนอกเหนือไปจากคิดถึงน้องให้บ้าตาย ผมจึงลากน้าหนวดให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของช่วงเวลาแห่งความทรมานนี่เสียเลย  

“แต่ยังไงก็ขอบใจน้าหนวดมากเลยนะ... ถ้าไม่ได้น้าหนวดคอยช่วย ทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมาคงไม่ได้เจอหน้าน้องแน่ ๆ” ผมถือโอกาสนี้ขอบคุณน้าหนวดหลังจากอีกฝ่ายคอยบอกใบ้และให้สัญญาณระบุความเคลื่อนไหวของน้องเพื่อให้ผมคอยสอดส่อง และแอบสะกดรอยตามดู รวมทั้งหาจังหวะโผล่หน้าไปคุยกับน้องได้อย่างเหมาะเจาะกับช่วงเวลาและสถานที่ไปเสียทุกครั้ง

เมื่อไรก็ตามผมพูดจาทำนองนี้ วิญญาณเจ้าตูบที่อยู่กับผมมายาวนานเกือบจะครึ่งชีวิต ก็มักจะบ้ายอจนหลงคุยเรื่องน้องกับผมไปอีกนานสองนาน

โฮ่ง!

“ใช่ ๆ ได้คุยกับเพื่อนน้องแล้วก็ดี... พอรู้ตารางสอน รู้เวลาว่างของน้องคร่าว ๆ ก็วางแผนทุกอย่างง่ายขึ้น อีกอย่าง... เพื่อนน้องก็นิสัยดีกันทุกคน” ทันทีที่พูดถึงบรรดาเพื่อนสนิทของเด็กน้อย ผมก็หวนนึกถึงครั้งแรกของการเผชิญหน้ากับพ่อเสือทั้งห้าตามลำพังขึ้นมาอีกจนได้








“พี่รินต้องการอะไรกันแน่ครับ?” เด็กลูกครึ่งหัวจุกที่น่าจะชื่อฌอนกำลังประเมินผมผ่านสายตา ผมรู้ว่าคำตอบนี้จะชี้ชะตาและสามารถชี้ชัดว่า อนาคตแบบไหนกำลังรอผมอยู่

“พี่กำลังจีบแนนอยู่ครับ” ดูเหมือนว่าคำตอบหนักแน่นของผมจะทำให้ทั้งหมดประหลาดใจไม่น้อย เพราะส่วนใหญ่ต่างแสดงอาการตกใจ แต่เด็กฝาแฝดลูกครึ่งทั้งสองกลับมองตากันแล้วส่งยิ้มพึงพอใจให้อีกฝ่ายอยู่นานหลายนาทีโดยที่แทบไม่กระพริบตา

ห๊ะ?!

“ใจคอจะไม่อ้อมค้อมหน่อยเหรอครับ?” ฝาแฝดอีกคน... คงจะเป็นฌานเอ่ยถามผมด้วยรอยยิ้มที่ดูน่าเกรงขามอยู่ในที แต่เพราะผมไม่มีอะไรต้องปกปิด ผมเลยไม่ติดใจอะไรกับบรรยากาศหนัก ๆ ที่แผ่ออกมาจากรุ่นน้องคนนี้สักเท่าไร

“ไม่ล่ะครับ พี่รอมานานเกินไปแล้ว... พี่ไม่อยากจะเสียเวลาอีกแล้วครับ”

“พี่รินพูดเหมือนรู้จักกับเพื่อนของพวกเรามาก่อนเลยนะครับ” คราวนี้เป็นรุ่นน้องตัวเล็กเจ้าของชื่อที่ผมเคยได้ยินทั้งอาม่าใหญ่และเด็กน้อยพูดถึงไม่ขาดปากมาโดยตลอดยิงคำถามบ้าง...

ฟังจากน้ำเสียงและดูจากแววตาของบ๊วยแล้ว ผมเชื่อสนิทใจเลยว่า เด็กคนนี้รักและเป็นห่วงน้องของผมด้วยความบริสุทธิ์ใจไม่มีใครเทียบเท่า ผมจึงกล้าเล่าเรื่องราวของผมกับแนนให้อีกฝ่ายฟังได้โดยไม่ต้องคิดหน้าคิดหลังให้เสียเวลา


“ครับ พี่เคยรู้จักกับน้องตั้งแต่เมื่อเก้าปีก่อน”

“แล้วนึกยังไงถึงเพิ่งโผล่มาจีบเพื่อนผมเอาตอนนี้ล่ะครับ?” บ๊วยยังไม่หายสงสัย แต่ที่น่าขำคือสายตาไม่พอใจของเด็กคนข้าง ๆ ที่แนะนำตัวเองว่าเป็นแฟนบ๊วยอย่างเต็มปากเต็มคำนั่นอย่างไร... อย่าบอกนะว่าหึงผมกับบ๊วย?!

“ตั้งแต่น้องขึ้นมัธยม พี่ก็ไม่เคยมีโอกาสเจอน้องเลยสักครั้ง  แต่ระหว่างไม่เจอหน้ากัน... พี่ก็เกิดสนใจเด็กแว่นที่คอยพาหมาจรจัดทั่วทั้งมหาลัยไปหาหมอที่โรงบาลสัตว์จนต้องคอยมองตามอยู่ตลอด” ผมทำเป็นไม่สนใจสายตาอาฆาตของเก็กที่ส่งมาเป็นระยะ ๆ ระหว่างตอบคำถามของเพื่อนรักของน้องไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ ระหว่างที่ผมเว้นวรรคเพื่อสูดลมหายใจ เด็กหน้าหวานจนดูคล้ายผู้หญิงที่ชื่ออิ๊กก็ชิงถามแทรกขึ้นเสียก่อน

“แล้วไงต่อครับพี่?!

“จนเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา พี่ก็เพิ่งจะได้รู้ว่า คนที่พี่สนใจ... คือ คน ๆ เดียวกันกับเด็กน้อยที่ทำให้พี่มีความสุขในวันที่พี่เศร้าที่สุดเมื่อเก้าปีก่อนคนนั้นน่ะครับ” ห้วงคำนึงถึงเด็กน้อยและสิ่งดี ๆ ที่เขาทำเรียกรอยยิ้มของผมได้อีกแล้ว  

“อื้อหือ! โรแมนติกเหลือเกินครับพี่ชาย!... โอ๊ย!” ผมเห็นอิ๊กถูกฌอนนวดขมับเข้าให้ทันทีที่อิ๊กทำตาเพ้อฝันหลังจากได้ฟังคำอธิบายของผมไปหมาด ๆ ... พอได้คุยกับทุก ๆ คนโดยไม่มีน้องอยู่ด้วย ผมสัมผัสได้ว่า บรรดาเพื่อน ๆ ของน้องดูจะไม่ใช่คนธรรมดาทั่ว ๆ ไปอย่างที่เผลอเข้าใจเสียล่ะมั้ง

“สนใจ ก็ไม่ได้แปลว่าชอบพอเสียหน่อยนี่ครับ... พี่รินอาจจะแค่ประทับใจด้านดี ๆ ของเพื่อนผมจนเผลอเข้าใจผิดไปเองก็ได้” คำถามกับสายตาข่มขวัญของฌอนดูจะยืนยันสมมติฐานล่าสุดของผมได้เป็นอย่างดี... ถ้าฌอนไม่ได้คบหากับอิ๊กแบบออกหน้าออกตา ผมคงต้องพะวงเรื่องน้ำตาลใกล้มด ไม่ก็ฝากปลาย่างไว้กับแมวจนวัน ๆ ไม่เป็นอันทำอะไรแน่ ๆ


ในเมื่อผมผ่านด่านอาม่าทั้งสองมาได้แล้ว...
ท่าทางข่มกันเป็นเด็ก ๆ ไม่ได้ทำให้ผมหวั่นไหวเลยสักนิด



“พี่ไม่ได้อยากกลับไปเป็นแค่พี่ชาย และพี่ก็ใจไม่กว้างพอที่จะทนเห็นน้องเป็นแฟนกับคนอื่นได้หรอกครับ” ดูเหมือนคำตอบของผมจะถูกใจอิ๊กเอามาก ๆ เพราะรายนั้นนั่งยิ้มตาเยิ้มไม่พูดไม่จาอะไรไปเสียแล้ว  ส่วนเก็กก็ถึงกับยกมือขึ้นปิดหูบ๊วยเพราะไม่อยากให้ฟังคำตอบของผมแต่อย่างใด... ผมควรจะเห็นใจบ๊วยดีไหมที่ได้แฟนขี้หวงจนไม่เป็นอันทำอะไรแบบนี้?

“แต่เพื่อนผ...”

“เอาเป็นว่าพวกผมไม่ติดใจกับความรู้สึกของพี่รินแล้วล่ะครับ   แต่ขอเตือนว่า... ถ้าพี่รินไม่อยากมีปัญหา อย่าเที่ยวจีบเพื่อนผมทิ้งขว้างเป็นอันขาด ถึงแว่นจะไม่เคยคบใคร... แต่แว่นก็ไม่ใช่ของเล่นฆ่าเวลาของคนอื่นเหมือนกัน” ยังไม่ทันที่ฝาแฝดหัวจุกจะคัดค้าน ฌานก็ตัดบทอย่างเฉียบขาดจนฌอนต้องยอมฟังอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง

“ไม่ต้องเป็นห่วงครับ เพราะถ้าไม่จริงจัง... พี่คงไม่จำเป็นต้องอธิบายตัวเองกับพวกเราตั้งแต่ยังจีบน้องไม่ติดหรอก" ผมจะจดจำว่า ในบรรดาเพื่อน ๆ ทั้งหลายของเด็กน้อย คนที่ไม่ควรยุ่งด้วยมากที่สุด คือ ฝาแฝดผู้พี่ ชายหนุ่มซึ่งสามารถพูดอนุญาตได้อารมณ์เดียวกันกับการข่มขวัญอย่างร้ายกาจทั้ง ๆ ที่หน้ายิ้มและเสียงนุ่มนิ่มน่าฟังเป็นที่สุด

“แต่ปากไอ้หนูแนนมันร้ายกาจมากนะครับพี่ริน... ผมว่าพี่ลองคิดดูให้ดี ๆ อีกสักรอบเถอะ ที่ผมเตือนเพราะผมเห็นแก่อนาคตอันสดใสของพี่เลยนะครับ” ผมได้ยินเสียงบ๊วยบ่นแฟนหนุ่มของตัวเองเบา ๆ หลังจากที่รุ่นน้องวิศวะพูดกับผมจบ...

“ขอบคุณครับ แต่ไม่เป็นไร... พี่เชื่อว่าน้องคือคนที่พี่รอมาตลอดครับ” สำหรับเก็ก... ผมว่าผมจะจัดเพื่อนของน้องคนนี้ลงในหมวดหมู่เด็กเรียกร้องความสนใจก็แล้วกัน เพราะแม้อีกฝ่ายจะปรารถนาดี แต่การพูดถึงน้องของผมในด้านติดลบ ไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากฟังเลยให้ตาย

“แล้วพี่จะเอายังไงต่อครับ?” ฌานถามผมด้วยรอยยิ้มหยั่งเชิงจนผมยอมหงายไพ่ทุก ๆ ใบให้เหล่าพ่อเสือทั้งหลายได้เชยชมโดยไม่มีข้อแม้เพื่อแลกกับความช่วยเหลือจากวงในเพื่อช่วยให้แผนการจีบน้องเป็นไปอย่างราบรื่นและง่ายดายยิ่ง ๆ ขึ้นไป

“ยังมีอีกหลายเรื่องเกี่ยวกับน้องที่พี่ยังไม่รู้ ถ้าไม่ลำบาก... พี่คงต้องขอให้พวกเราช่วยแนะนำพี่หน่อยน่ะครับ”

“หึ หึ... เอาสิครับ พี่รินอยากรู้อะไรก็ถามมาได้เลย”




 ทีมพ่อเสือ


น้องเป็นยังไงมั่งครับวันนี้?
READ 09.13 PM

Charles:
ทำไมพี่รินไม่โทรคุยเองล่ะครับ? 09.15 PM
Shaun:
แนนซี่ยังไม่ให้เบอร์พี่รินครับพี่ชาย 09.15 PM
Geg:
หือ? จริงดิ?
หนูแนนมันแน่จริง ๆ ว่ะ! 09.16 PM
Charles:
ถึงว่า วันนี้แว่นดูเซื่อง ๆ  09.17 PM

น้องเป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ?!
READ 09.18 PM

Geg:
ใจเย็นครับพี่ 09.18 PM
Shaun:
ผมว่าพี่รินทำถูกแล้วล่ะครับที่หายไป
รับรองว่าพรุ่งนี้มีเฮแน่ครับ 09.18 PM

พี่ฝากดูแลน้องด้วยนะครับ
READ 09.19 PM
ถ้ามีเรื่องด่วน
โทรหาพี่ได้ตลอดนะครับ
READ 09.19 PM


Charles:
ได้ครับ เดี๋ยวพวกเราจะดูแว่นให้เอง09.20 PM
Shaun:
ยังไงพี่รินก็รีบกลับมาแล้วหน่อยกันครับ
แนนซี่จะได้ยิ้มบ้าง 09.21 PM

ครับ ๆ แล้วพี่จะรีบกลับนะครับ
READ 09.22 PM




ผมปิดหน้าจอก่อนจะวางมือถือลงตรงโต๊ะข้างเตียงพลางถอนหายใจยาว  แม้สิ่งที่เพิ่งได้อ่านจะพอทำให้โล่งอกได้บ้าง แต่ผมก็ยังไม่หายห่วงเสียทีเดียว ถึงอย่างนั้น... หลังจากแน่ใจว่า ที่มหาลัยยังมีพวกเพื่อน ๆ ของเด็กน้อยคอยดูแลและเป็นหูเป็นตาให้ผมอยู่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง  คืนนี้ผมคงจะนอนหลับได้อย่างสบายใจกว่าเมื่อวานหลายเท่าตัว

คิดไม่ผิดจริง ๆ ที่วันนั้นตัดสินใจคุยเปิดอกกับรุ่นน้องอย่างตรงไปตรงมา
เพราะพ่อเสือทั้งห้าช่วยทำให้ชีวิตของเขาง่ายดายขึ้นได้จริง ๆ


โฮ่ง!

ก็จะไปอาบน้ำแล้วนอนเลยน่ะสิ พรุ่งนี้ต้องกลับมอแต่เช้า... น้องรออยู่ผมตอบน้าหนวดที่เห่าถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นผมลุกขึ้นเดินมุ่งหน้าไปยังห้องน้ำแบบกะทันหัน จังหวะก่อนที่ผมจะเดินเข้าห้องน้ำไป... สาบานได้ผมว่าผมเห็นวิญญาณหมาแอบทำหน้าเบื่อหน่ายกลอกตาใส่ แต่ผมจะสนอะไรล่ะ ในเมื่ออีกไม่กี่ชั่วโมงผมก็จะได้เจอหน้าเด็กน้อยของผมให้หายคิดถึงแล้ว!



«»------------------------------------ TBC ------------------------------------ «»




No comments:

Post a Comment