เรามาดึก...
เราเลยจะพูดน้อย ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ก่อนอ่าน...
โปรดทราบว่าการเล่าเรื่องในตอนนี้
เป็นการเล่าย้อนเวลาตัดสลับกันไปมาระหว่างปัจจุบันกับอดีตโดยพี่รินนะคะ
ตั้งต้นกันที่ปัจจุบัน
(พี่รินหนีกลับบ้านทิ้งน้องให้อยู่เดียวดายที่มหาลัยเพียงลำพัง – นี่หนังดราม่าเหรอ?)
แล้วค่อยย้อนไปถึงตอนที่หายไป...
อันเป็นช่วงเวลาที่ทุก ๆ คนสงสัยนั่นแหละค่ะ
ไม่งงเนอะ ^^ ถ้างงก็ด่าได้ค่ะ
เราไม่ว่า แต่อย่าด่าแรงนะ... เพราะเราทนไหว (เดี๋ยว!!)
ขออนุญาตตอบความเห็นทั้งหมดทั้งมวลกับแก้ไขคำผิดและพิมพ์เกินในวันพรุ่งนี้นะคะ
ส่วนวันนี้...
ราตรีสวัสดิ์ค่ะ คร่อกกกก!
รักชอบประการใด... เมนท์ทิ้งไว้ให้เค้าอ่านย้อมใจนิดนึงนะตัวเอง
ม๊วฟ!!
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
The 10th
Bonding
สาริน
กับ เรื่องราวที่หายไป
“ริน
เป็นยังไงบ้าง? ไหวหรือเปล่าลูก?” น้ำเสียงเป็นห่วงกับสัมผัสเบา ๆ จากฝ่ามือตรงข้อศอกของม่าทำให้ผมยอมละสายตาจากบรรดากลุ่มคนผู้รักสุขภาพที่บ้างวิ่งบ้างเดินผ่านหน้า
เพื่อรีบหันกลับไปตอบม่าด้วยท่าทาง ‘พยายามเป็นปกติ’ เพราะไม่อยากให้ม่าต้องเป็นห่วง
“ผมโอเคครับม่า”
หวังว่าการฉีกยิ้มจะช่วยทำให้ม่าสบายใจและปล่อยให้ผมได้คิดอะไรเรื่อยเปื่อยตามลำพังเสียที
แต่ฝ่ามือที่เคยลูบเบา ๆ จะเปลี่ยนมาลงน้ำหนักบนต้นแขนผมดังเพี๊ยะนั้นช่วยยืนยันว่าผมคงมองโลกในแง่ดีเกินไปหน่อย
“ตาโหลขนาดนี้ยังจะโกหกม่าอีก
นอนไม่หลับหรือยังไงเรา?” คำพูดของม่าจบลงแค่นั้น แต่สายตาตำหนิที่ย้ำว่า ‘อย่าเที่ยวโกหกจนติดเป็นนิสัย’ สั่งให้ผมเปิดปากเผยถึงสิ่งที่รบกวนจิตใจจนเมื่อคืนแทบไม่ได้หลับตาแก่คน
ๆ เดียวบนโลกที่เลี้ยงดูผมอย่างใกล้ชิดตั้งแต่หม่าม้าจากไป
“ผมเป็นห่วงน้องน่ะครับม่า”
หางเสียงผมสั่น... อีกนานเลยกว่าที่ผมจะควบคุมตัวเองไม่ให้ประหม่าเวลาพูดเรื่องน้องต่อหน้าม่าแบบเมื่อกี๊นี้ แต่ก่อนที่ม่าจะได้พูดอะไร เสียงของอาม่าใหญ่ก็ลอยเข้าหู
“ฮื่อออ
ลื้ออ่ะยังเห่าแซ มั้ยเสียคะโจ่ย... ลื้อเทียอั่ว เดี๋ยวอยู่ฮ่อ”
(ฮื่อออ
ยังหนุ่มยังแน่น อย่าเที่ยวคิดมาก... เชื่อม่า เดี๋ยวดีเอง!) อาม่าใหญ่ตะโกนพลางยืดเส้นยืดสายอย่างกระฉับกระเฉงก่อนจะกวักมือเรียกม่าของผมให้กลับไปรวมกลุ่ม
“ไหลขื่อ
ไหลขื่อ! มุ่ยฟ้า คะนั้งไหล่ผั่วอ่วยคะโจ่ยเดี๋ยวบ่อคื้อไทเก็ก”
(ไป! มุ่ยฟ้า เดี๋ยวพอพวกนั้นมาอีจะตั้งวงเม้าท์จนไม่เป็นอันรำไทเก็กกันพอดี)
“เดี๋ยวรินวิ่งเสร็จก็มาหาม่าแล้วกันนะ”
ผมพยักหน้ารับคำแล้วยืนมองจนแน่ใจว่าอาม่าทั้งสองเดินไปเข้าร่วมก๊วนกับเพื่อน ๆ
วัยเดียวกันเป็นที่เรียบร้อย ผมจึงหันหลังก่อนจะค่อย ๆ ออกวิ่งเหยาะ ๆ ไปตามทางลาดยางที่มีตัวเลขบอกระยะกำกับอย่างไม่รีบร้อน
นั่นคือจุดเริ่มต้นของการออกกำลังกายในวันนี้
แต่จุดปล่อยตัวที่ทำให้ผมต้องมาวิ่งดับความรู้สึกว้าวุ่นใจเพราะมัวแต่ห่วงเด็กน้อยผู้ติดเพื่อนและติดหมาที่มหาวิทยาลัยจนไม่ยอมกลับบ้านกลับช่อง
เห็นทีว่าคงต้องเล่าย้อนไปถึงเหตุการณ์ช่วงเช้าของเมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้วเสียล่ะมั้ง
“พี่เม่ย
หวัดดีครับ” ผมยกมือขึ้นไหว้พี่เลี้ยงของทั้งน้องและอาม่าตามความเคยชิน แม้จะคุ้นกับรอยยิ้มกว้างจนเห็นฟันเกือบครบทุกซี่ของพี่สาวผู้นี้...
แต่ไม่รู้สิ ยิ้มของพี่เม่ยเมื่อครู่นี้ฟ้องว่า เจ้าตัวกำลังอารมณ์ดีผิดไปจากทุกวัน
หรือผมจะเข้าใจผิดไปเอง?
“หวัดดีจ้า ปีเตอร์นอนอยู่หลังบ้านเหมือนเดิมแหละ
คุณรินเข้าไปได้เลย” พี่เม่ยชี้ไปทางหลังบ้านก่อนจะเดินไปหยิบร่มคันเก่งของเจ้าตัวที่เก็บรวมกันกับร่มคันอื่น
ๆ ตรงมุมโรงรถ
“ขอบคุณครับ...
แล้วอาม่าล่ะครับ?” ผมอดสงสัยไม่ได้เพราะเมื่อกวาดตามองไปรอบ ๆ กลับไม่เห็นอาม่าใหญ่ออกมาเดินดูต้นไม้
หรือยืนกำชับคนงานให้ทำโน่นทำนี่ตามประสาคุณย่าสุดขยันแต่อย่างใด
“คุณเคี้ยงพาม่าไปกินติ่มซำค่ะ”
“แล้วนี่พี่เม่ยจะออกไปข้างนอกเหรอครับ?”
“ค่ะ
พี่ว่าพี่จะออกไปแถววัดดอนเสียหน่อย
น้องแนนบ่นอยากกินหมูกรอบกับก๋วยจั๊บตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” พี่เม่ยในสภาพพร้อมรบกับอากาศช่วงสิบโมงกว่า
ๆ ยิ้มกว้างยิ่งกว่าทุกทีเมื่อเจ้าตัวเอ่ยถึงภารกิจสุดพิเศษประจำอันเป็นผลจากความต้องการของแก้วตาดวงใจของทุกคนในบ้าน
“วันนี้น้องอยู่บ้านเหรอครับ?”
ผมถามเรียบ ๆ พลางมองพี่เม่ยอย่างไม่ยินดียินร้าย
“ค่ะ
เพิ่งกลับมาเมื่อวานตอนเย็น แต่ยังไม่ตื่นหรอกค่ะ ต้องเที่ยง ๆ โน่นแหละ... พี่ไปก่อนนะคะ
เดี๋ยวน้องลงมาแล้วจะไม่มีอะไรกิน” คำว่า ‘ไม่มีอะไรกิน’ ดูจะเป็นการประเมินคลังอาหารของอาม่าใหญ่ต่ำเกินไป
ผมว่าบ้านนี้มีของกินเยอะพอเลี้ยงคนทั้งซอยให้อิ่มหนำสำราญได้อย่างสบาย ๆ เผลอ ๆ
อาจจะมีแถมให้กลับไปกินที่บ้านต่อได้อีกสักมื้อสองมื้ออีกต่างหาก
“ครับ ครับ” ผมรับคำพี่เม่ยโดยเร็วเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องเผชิญกับอากาศร้อนช่วงใกล้เที่ยงโดยไม่จำเป็น
ก่อนจะแอบเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเมื่อเผลอนึกถึง ‘หลานชายตัวดี’ ที่เป็นต้นเหตุของความลำบากของพี่เลี้ยงผู้ใจดีที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมา
เมื่อก่อนผมเคยคิดว่า
ถ้าผมได้มีโอกาสเจอหน้าน้องอีกสักครั้ง ผมคงจะทั้งตื่นเต้นและประหม่าจนวางตัวไม่ถูก
แต่เอาเข้าจริง... ผมกลับรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเสียเฉย ๆ
เมื่อรู้ว่าเด็กน้อยผู้ปล่อยปละละเลยอาม่ายอมกลับมาบ้านเป็นครั้งแรกในรอบเดือนกว่า
ๆ นับจากครั้งสุดท้ายที่ผมได้ยินอาม่าใหญ่เล่าให้ฟัง
โผล่หน้ามาแค่วันสองวัน
แต่คนทั้งบ้านต้องคอยเอาอกเอาใจหาโน่นหานี่มาประเคนให้จนเดือดร้อนกันไปหมด...
เอาแต่ใจตัวเองเกินไปหรือเปล่า?
ความคิดกรุ่น
ๆ ถูกโยนทิ้งไปในทันทีที่เด็กน้อยสี่ขาวัยเกือบสองขวบที่สูงราว ๆ หน้าท้องของผมกระโดดเกาะรั้วสูงที่เจ้าของบ้านใช้กั้นสร้างอาณาเขตอยู่อาศัยสำหรับเจ้าลูกหมาลายวัวตัวใหญ่โดยเฉพาะ
ปีเตอร์เป็นหมาที่ไม่เห่าเพราะอาม่าจ้างครูฝึกมาสอนเจ้าตัวเล็กตั้งแต่ยังไม่รู้ประสาเนื่องจากไม่อยากให้มันส่งเสียงรบกวนใคร
ๆ จนโดนปองร้ายไปอีกตัว
หลังจากกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันจนหนำใจ
ผมก็เปิดกระเป๋าหยิบเครื่องมือเท่าที่จำเป็น พร้อมกับค้นมาสก์ขึ้นมาสวม ก่อนจะใส่ถุงมือยางแล้วเข้าไปหาปีเตอร์ที่ยืนกระดิกหางจ้องผมตาใส
“ใจเย็น
ใจเย็น เด็กดี... ไม่บ่นนะครับ เดี๋ยวพี่แนนตื่นลงมาดุเอารู้ไหม?” ผมกำชับหมาเด็กไม่ให้ส่งเสียงครางงึมงำแบบที่มันชอบทำเวลามีใครลูบไล้ไปตามเนื้อตัว
ก่อนจะทึกทักเอาเองว่าการกะพริบตาของเจ้าตัวใหญ่คือความเห็นชอบ
“ไหน ขอพี่หมอตรวจดูหน่อยสิว่าวันนี้อาการเป็นยังไง?”
ผมคว่ำฝ่ามือสั่งลูกหมาตัวใหญ่ให้นั่ง เจ้าตัวดีก็ฉลาดสมสายพันธุ์และชั่วโมงการฝึกฝนอันยาวนาน
เพราะปีเตอร์ยอมนั่งนิ่ง ๆ ทันทีตามขอพร้อมกับยอมให้ผมเปิดปากสังเกตเหงือกและฟันอย่างว่าง่าย
แต่นิ่งได้ไม่ทันครบนาที
เด็กน้อยลับดีดตัวลุกขึ้นแล้ววิ่งไปนั่งกระดิกหางรอคอยอะไรบางอย่างตรงหน้าบานประตูที่กั้นระหว่างพื้นที่ในตัวบ้านกับส่วนเปิดโล่งด้านหลัง ท่าทางกระตือรือล้นเต็มไปด้วยความคาดหวังของลูกหมาลายวัวทำให้ผมตั้งใจเงี่ยหูฟังจนได้ยินเสียงเรียกชื่อพี่เลี้ยงประจำบ้านดังออกมาจากข้างในก่อนจะเงียบหายไป
จนผมสรุปเอาเองว่าผมคงเผลออุปาทานหูแว่วตามหมาไปเป็นที่เรียบร้อย
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาในการวินิจฉัยอาการของปีเตอร์
ผมจึงย้ายตัวเองตามไปนั่งตรวจร่างกายเด็กน้อยลายจุดตรงด้านหน้าบานประตูหลังบ้านมันเสียเลย
“ปีเตอร์!”
“งี๊ด งี๊ด!!” เจ้าหมาเด็กส่งเสียงในลำคอด้วยความดีใจจนออกนอกหน้า
หางยาว ๆ ของมันกวัดแกว่งไปมาอย่างรวดเร็ว
“คิดถึงพี่ไหม?!”
น้ำเสียงร่าเริงของคนมาใหม่ที่เพิ่งเปิดประตูหลังบ้านออกมาทำให้ลูกหมาตัวใหญ่อยู่ไม่เป็นสุข
แทนที่ผมจะได้ตรวจสภาพผิดปกติของร่างกายเด็กน้อยตามคำบอกเล่าของอาม่าใหญ่เมื่อเย็นวาน
ปีเตอร์กลับวิ่งไปกระโดดเกาะอกของคนที่เพิ่งเดินพ้นประตูออกมายังบริเวณหลังบ้านไปเสียนี่
แต่การที่คนไข้วิ่งเตลิดหนีไปต่อหน้าต่อตา
กลับไม่ได้ทำให้ผมประหลาดใจได้มากเท่าเด็กแว่นที่ส่งเสียงคิกคักสลับกับยิ้มร่าขณะปล่อยให้หมาลายวัวเลียหน้าเลียตาตัวเองจนทั่วเลยสักนิด...
ชัดเจน!
รูปร่างหน้าตากับการแสดงออกต่อหมาแบบนั้น
คงเป็นคนอื่นไปไม่ได้
หนุ่มแว่นในตำนาน
คือ หลานอาม่าใหญ่ที่เขาเคารพรักไม่ต่างจากม่าตัวเองอย่างนั้นน่ะเหรอ?!
“ฮื่อออออ
อย่าเลียเซ่!
ฮ่า ฮ่า ฮ่า... ไม่เอา ดูสิเนี่ย แว่นพี่เละหมดแล้ว!! ปล่อยก่อน... ขอพี่ถอดแว่นก่อน เดี๋ยวพี่ให้เลียจนหนำใจเลย!”
สิ่งที่เห็นทำให้หัวใจผมเต้นตึงตังจนไม่ต้องใช้สเต็ทโตสโคปช่วยฟังก็ยังได้ยิน
คือ การที่หนุ่มแว่นในตำนานประจำคณะซึ่งเดิมทียืนค้ำหัวผมระหว่างเล่นกับปีเตอร์ค่อย
ๆ ลดตัวลงนั่งตรงขั้นบันไดทางลงหลังบ้านพลางถอดแว่นวางไว้ด้านในบ้านแล้วปล่อยให้เจ้าลูกหมาลายวัวเข้าคลุกวงในแสดงความรักกับตัวเองได้อย่างเต็มที่ด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะสดใส
“ฮ่า ฮ่า
ฮ่า... จั๊กจี๋น่าปีเตอร์!!”
จากที่ไม่เคยคิดว่าจะมีอะไรน่าสนใจมากไปกว่าอาม่าทั้งสอง
ตำราเรียน และบรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลาย แต่วินาทีที่ใบหน้าขาว ๆ ไร้แว่นบดบังคลี่ยิ้มกว้างอย่างสุขเปี่ยมล้น
เด็กหน้าใสที่นั่งห่างออกไปไม่ถึงสองคืบคนนั้นก็ดึงความสนใจของผมไปได้จนหมดสิ้น
หน้าตาไม่เปลี่ยนเหมือนที่อาม่าบอกจริง
ๆ ด้วย
แต่ทำไมผมกลับรู้สึกว่าน้องน่ารักขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะเลยล่ะ?
น้องน่ารัก...
น่ารักไปหมดทุกส่วน ทั้งตา จมูก ปาก... แก้ม
น่ารักจนอยากจะสัมผัสแก้มทั้งสองนั่นเสียเอง!
แต่เดี๋ยวนะ...
ผมว่าปีเตอร์ชักจะเลียหน้าน้องเยอะเกินไปแล้วล่ะ
“อ่ะแฮ่ม!” เพราะไม่รู้จะทำอย่างไร ผมเลยกระแอมใส่ทั้งนายทั้งหมาเพื่อห้ามปรามอาการลามปามของเจ้าลูกหมาทันที...
เมื่อกี๊น้องคงไม่ทันเห็นผมเขม่นตาใส่เจ้าลูกหมาลายวัวหรอกมั้ง
“อ้าว! ขอโทษครับ พอดีผมไม่ได้เจอปีเตอร์นาน
อดใจเล่นกับมันไม่ไหว เลยไม่ทันได้ทักทาย... พี่ลิงใช่ไหมครับ?” เด็กน้อยของผมต่อว่าตัวเองพอเป็นพิธีพลางหยีตาเพ่งมอง
ชื่อที่อีกฝ่ายเพิ่งเอ่ยออกมาทำผมสับสนจนไม่กล้าตอบโต้
“พี่ลิงที่อาม่าบอกว่าคอยมาตรวจปีเตอร์ให้อยู่ตลอดจนมันตัวใหญ่ขนาดนี้...
ใช่พี่หรือเปล่าครับ?” พอฟังคำอธิบายเพิ่มเติมของน้อง ผมก็เริ่มจะเอะใจ...
พี่ลิง? ผมเนี่ยน่ะพี่ลิง?
นี่น้องเข้าใจว่าผมชื่อลิงอยู่ตลอดเลยเหรอ?!
สงสัยอาม่าใหญ่จะเล่าถึงผมให้น้องฟังบ่อยจนน้องติดเรียกผมว่าลิงตามอาม่าไปแน่
ๆ
แต่นั่นแปลว่าน้องจำผมไม่ได้?!
ได้ไง? ขนาดผมยังจำน้องได้ไม่ลืมเลยนะ...
ไม่สิ! ถ้าผมไม่เจอเด็กน้อยของผมที่นี่
วันนี้ ผมก็ไม่มีทางรู้หรอกว่า น้องกับหนุ่มแว่นในตำนานที่ผมสนอกสนใจเป็นคน ๆ เดียวกัน
แทนที่จะแก้ไขความเข้าใจผิดของเด็กน้อย
บางอย่างกลับบอกให้ผมปล่อยให้น้องเชื่อไปทั้งอย่างนั้น และทันทีที่ตัดสินใจได้ ผมก็รีบยกมือขึ้นเช็คหน้ากากอนามัยที่ใส่อยู่ก่อนจะดึงให้ส่วนที่เป็นเนื้อผ้าใยสังเคราะห์ปกคลุมใบหน้าให้ได้มากที่สุดระหว่างตอบน้อง
“ครับ
ใช่ครับ”
“หวัดดีครับพี่...
ผมแนน หลานม่าน่ะครับ ขอบคุณพี่มาก ๆ เลยที่ช่วยดูแลปีเตอร์ให้” หนุ่มแว่นในตำนานที่ถอดแว่นทิ้งจนกลายกลับไปเป็นเด็กน้อยเดินตามผมต้อย
ๆ เมื่อเก้าปีก่อนยกมือไหว้ก่อนส่งยิ้มที่ไม่ว่าดูมุมไหนก็ถอดแบบมาจากอาม่าใหญ่แบบไม่มีผิดเพี้ยน...
จะต่างกันก็ตรงที่รอยยิ้มของอาม่า ไม่ได้ทำให้ตาหูผมพร่าจนใจเต็นเป็นบ้าเป็นหลังได้เท่ากับรอยยิ้มที่อยู่บนหน้าน้องเลยสักนิด
“ยินดีครับ”
“ม่าบอกว่าพี่เรียนอยู่ที่เดียวกับผมเหรอครับ?”
ทำไงดี... ผมเลิกจ้องหน้าน้องไม่ได้?! โอย... เด็กน้อยของพี่ อย่ายิ้มเยอะสิครับ พี่ใกล้จะละลายอยู่แล้วนะ
“ครับ”
“มีแต่คนบอกว่าเด็กสัตว์แพทย์มอเรานี่เก่งที่สุด
พอเห็นปีเตอร์แข็งแรงเพราะได้พี่ดูแล... ผมก็ชักจะเชื่อหมดใจแล้วล่ะครับ” ผมแอบใจหายพอเห็นว่าน้องเอื้อมมือเข้าไปคว้าของที่อยู่ข้างในบ้าน...
ถ้าให้เดา ผมว่าน้องจะเอาแว่น อย่าเพิ่งรีบใส่แว่นเลย... ขอพี่มองหน้าให้ชื่นใจอีกหน่อยได้ไหม?
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ”
ผมหลุดยิ้มที่เจ้าลูกหมาลายวัวเริ่มเลียแก้มน้องอย่างเมามันอีกครั้งจนน้องต้องยอมวางมือจากแว่นสายตาไปชั่วคราว...
เห็นว่าทำตัวมีประโยชน์ พี่หมอจะยอมให้ปีเตอร์เลียหน้าเด็กน้อยของพี่หมอเป็นกรณีพิเศษก็แล้วกัน
“แล้วเมื่อกี๊พี่กำลังทำอะไรอยู่เหรอครับ?
ให้ผมช่วยไหม?” เด็กน้อยกลั้นหัวเราะพลางเอามือกุมปากเจ้าหมาลายวัวเอาไว้จนมันส่ายหัวดุ๊กดิ๊กคล้ายเริ่มรำคาญแล้วจึงหันมาหยีตามองมาทางผมอีกครั้ง...
อาม่าใหญ่ครับ ผมขอโทษที่ทำให้น้องต้องเพ่งสายตาโดยไม่จำเป็น ถ้าหลังจากนี้น้องต้องตัดแว่นใหม่
ผมสัญญาว่าผมจะพาน้องไปเองครับ
“ได้ครับ...
งั้นแนนช่วยจับปีเตอร์ให้ยืนนิ่ง ๆ สักสองสามนาทีได้ไหมครับ
พี่จะวัดไข้ปีเตอร์ดูเสียหน่อย” ผมฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายยังไม่ใส่แว่นเขยิบเข้าใกล้เจ้าของที่จับลูกหมาตัวใหญ่เพื่อตรวจเจ้าสี่ขาให้สำเร็จตามความตั้งใจไปพร้อม
ๆ กับลอบสำรวจเด็กน้อยที่ห่างหายกันไปเกือบสิบปีอย่างถ้วนถี่ดูอีกสักครั้ง
“ครับ ๆ ” ระหว่างรอให้ปรอทไฟฟ้าบอกอุณหภูมิของลูกหมาตัวยักษ์
ผมก็ไม่อาจละสายตาจากรอยยิ้มน้อย ๆ บนใบหน้าของเจ้าของหมาขณะกำลังกอดและลูบคอปีเตอร์อย่างทนุถนอมได้สักวินาที
จนกระทั่งเจ้าตูบตัวดีเริ่มจะยุกยิกแล้วนั่นแหละ
ผมจึงจำใจสั่งให้ตัวเองปฏิบัติหน้าที่อย่างไม่มีทางเลือก
“เอาล่ะ
ไม่มีไข้... ไหนขอพี่หมอตรวจเหงือกหน่อยนะปีเตอร์” เด็กน้อยหน้าใสกระเถิบตัวเอี้ยวหลบเปิดทางให้ผมเขยิบเข้าใกล้ลูกหมาได้อย่างสะดวก...
หารู้ไม่ว่า ช่องว่างทางกายภาพที่หดเล็กลงกะทันหันโดยที่น้องรู้เห็นเป็นใจ ทำให้ผมตื่นเต้นจนต้องคอยหักห้ามตัวเองไม่ให้สนใจน้องมากกว่าเจ้าสี่ขาตรงหน้าจนสมาธิแตกซ่าน
สมองผมพยายามนึกทบทวนถึงเรื่องจริงจังอื่น
ๆ ไปจนถึงจรรยาบรรณของสัตวแพทย์อยู่พักใหญ่ ๆ สุดท้ายข้อกังขาเกี่ยวกับอาการของลูกหมาวัยเกือบสองปีที่อาม่าเฝ้ากรอกหูผมผ่านโทรศัพท์มาตลอดอาทิตย์ก็เอาชนะใบหน้าด้านข้างของน้องได้อย่างขาดลอย
“เอ... เหงือกก็ดูปกติดีนิ
แล้วทำไมถึงไอล่ะ?” สีและสภาพสมบูรณ์ของเหงือกทำให้ผมเผลอหลุดปากพึมพำกับตัวเองด้วยความไม่เข้าใจ
“ปีเตอร์ไม่ไอนะครับพี่
ใครบอกพี่เหรอครับว่าปีเตอร์ไอ?” สีหน้างุนงงของเด็กน้อยที่นั่งข้าง ๆ ทำให้ผมเอะใจ...
หรือการที่ผมถูกผู้อาวุโสรบเร้าให้มาที่นี่ในวันที่ไม่มีใครอยู่ในบ้านนอกจากน้อง จะเป็นความตั้งใจของอาม่าใหญ่ที่ได้ม่าของผมเป็นฝ่ายสนับสนุนกันนะ?! ถ้าอย่างนั้น
การไม่พาดพิงถึงอาม่าใหญ่น่าจะช่วยให้เด็กน้อยเอาแต่ใจกลับไปซักไซ้อาม่าให้ต้องเหนื่อยกันไปทั้งสองฝ่าย
“ตอนพี่เข้ามาพี่ได้ยินปีเตอร์ไอน่ะครับ...
สงสัยหูพี่คงฝาดไปเอง” ผมตอบพร้อมส่งสัญญาณบอกปีเตอร์ให้นอนลงเพื่อจะได้แนบสเต็ทโตสโคปลงฟังเสียงหัวใจของลูกหมาลายวัวตรงซอกขาหน้าด้านซ้ายได้อย่างชัดเจน
จนเมื่อพอใจกับเสียงตึกตักที่ได้ยิน ผมก็หันไปชวนคนมือว่างคุยเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายกลับไปสนใจแว่นสายตา
“เรียนสถาปัตย์เป็นไงครับ?
เหนื่อยไหม?”
“โหพี่! เหนื่อยน่ะน้อยไปครับ ยังดี... สองอาทิตย์แรกนี่อาจารย์ที่บินไปดูงานยังกลับมาสอนไม่ครบ
ไม่งั้นผมคงไม่ได้กลับมาบ้านแน่ ๆ ” เด็กน้อยพูดไปยิ้มไปด้วยความสุขจนคนมองตามอย่างผมพลอยยิ้มตามไปอีกคน
“งานเยอะเหรอครับ?”
“ครับ...
เดี่ยวมั่ง กลุ่มมั่ง แต่ส่วนใหญ่ก็ตัวคนเดียว บางวิชานี่เถียงกับอาจารย์ยับเลยก็มี”
น้องหัวเราะเสียงใส
“ดูแนนสนุกกับวิชาที่เรียนมากเลยนะครับ”
“ครับพี่
ถึงงานจะเยอะ แต่ผมชอบที่ได้คิด ได้ทำ ได้วาดโน่นนี่ ได้ประกอบความคิดให้เป็นรูปเป็นร่างจับต้องได้
แถมเพื่อน ๆ ผมก็ดีมาก ผมว่าผมก็โชคดีกว่าหลาย ๆ คนที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรน่ะครับ”
อาจเป็นเพราะทุกทีที่เจอกัน
เด็กน้อยของผมมักจะทำหน้าตาบึ้งตึงให้เห็นเป็นประจำ พอได้มีโอกาสคุยกันดี ๆ ได้สังเกตอากัปกิริยาของน้องใกล้ ๆ
ยิ่งในระหว่างที่เจ้าตัวพูดถึงสิ่งที่ชอบแบบตอนนี้ รอยยิ้มกับแววตาใสแจ๋วเป็นประกายบนใบหน้าขาวเนียนนั่นก็ทำให้ผมหวั่นไหวจนจิตใจชักจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัว...
ผมว่า
ผมชอบน้องแบบจริง ๆ จัง ๆ เสียแล้วล่ะ
“เอ่อ
พี่ลิงครับ... อย่าหาว่าผมอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะครับ” อยู่ ๆ เด็กน้อยก็ทำหน้ายุ่งยากใจจนผมไม่อาจอยู่นิ่งเฉย
“อะไรเหรอครับ?”
.
.
.
.
“คือ...
พรุ่งนี้น่ะครับ ผมว่าจะกลับมอตั้งแต่เช้า... ผมเลยจะอยู่กินข้าวกลางวันกับพี่ไม่ได้
พี่ไม่ว่าผมใช่ไหมครับ?” แค่หน้าน้องหมองลงนิดเดียวผมก็ใจแป้วจะแย่ ถ้าแค่พรุ่งนี้ไม่ได้กินข้าวด้วยกัน
ผมยอมก็ได้... เดี๋ยวนะ?! เมื่อกี๊น้องบอกว่ากินข้าวกลางวันด้วยกันงั้นเหรอ?!!
ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า
ที่อาม่าใหญ่บอกว่าอยากให้ผมกับม่ามาช่วยชิมกระเพาะปลาสูตรใหม่ล่าสุดตอนมื้อเที่ยงวันพรุ่งนี้
เป็นเพียงข้ออ้างบังหน้าอย่างนั้นน่ะสิ? พวกอาม่าต้องการอะไรกันแน่?
“อ๋อออ! เรื่องนั้นเอง... ไม่ต้องเครียดไปครับ
พี่ก็กำลังจะมาบอกม่าว่าพี่ติดธุระด่วนช่วงบ่ายพอดีเหมือนกันครับ” ผมรีบเออออเพื่อทำให้น้องสบายใจพร้อมกับคิดวางแผนถึงสิ่งที่ต้องทำในเร็ววันเพื่อสะสางเรื่องคั่งค้างใจทั้งหลายอย่างคร่าว
ๆ
“จริงเหรอครับพี่?!”
“ครับ”
“เฮ่อ! ค่อยยังชั่วหน่อย ผมจะได้ไม่รู้สึกผิดเท่าไร” เด็กน้อยคลี่ยิ้มอย่างโล่งอก...
นี่คงจะดีใจที่หว่านล้อมผมให้ยอมร่วมมือได้ สงสัยจะไม่ชอบให้ใครบังคับขนาดกับอาม่าใหญ่ยังกล้าแผลงฤทธิ์ใส่...
ดื้อกว่าเมื่อก่อนเยอะเหมือนกันแฮะ
“แล้วเราติดธุระอะไรที่มอเหรอครับ?
พี่ถามได้ไหม?” ผมรีบออกตัวเพื่อความสบายใจกันทั้งสองฝ่ายพลางส่งสัญญาณมือให้เจ้าสี่ขาลุกขึ้นนั่งเพื่อจะได้ทั้งดึงและกดตรวจสอบความยืดหยุ่นของผิวหนังเพื่อเช็คภาวะบวมหรือขาดน้ำระหว่างเงี่ยหูรอฟังคำตอบของเด็กน้อยด้วยความตั้งใจ
“คืองี้ครับพี่
ผมว่าจะพาหมาที่คณะตัวนึงไปทำหมันน่ะครับ พอดีเมื่ออาทิตย์ที่แล้วฝนตก
ไม่รู้มันแอบไปหลบฝนอยู่ที่ไหน ผมเลยไม่ได้พามันไปโรงบาลเสียที” ดีว่าผมกำลังง่วนกับหลังคอเจ้าปีเตอร์
ไม่อย่างนั้นผมคงลืมตัวเอื้อมมือไปลูบหว่างคิ้วของเด็กน้อยเพื่อให้ปมตรงเหนือดวงตาคลายไปแน่
ๆ
“หมาที่คณะแนนนี่โชคดีนะครับที่มีแนนคอยดูแลแบบนี้” น้องยิ้ม... แล้วก็ยิ้มอีกซ้ำ
ๆ เมื่อได้ยินคำพูดผม จนผมชักอยากจะหาโอกาสเอ่ยชมน้องตลอดทั้งวันทั้งคืนเพื่อจะได้เฝ้ามองรอยยิ้มที่ทำให้ใจอ่อนยวบแบบไม่จำกัดเสียจริง
ๆ
“หึ หึ หึ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับพี่! ผมก็แค่ทำเท่าที่ทำได้... ตอนงานผมเยอะ ๆ
ผมก็ไม่ได้โผล่หน้าไปดูหมาที่ไหนเหมือนกันนั่นแหละ
แค่จะหาข้าวกินยังขี้เกียจเลยครับ... อยากจะนอนยาว ๆ มากกว่า”
“แล้วทำไมไม่หาใครคอยดูแลล่ะครับ?
เขาว่าเด็กสถาปัตย์เนื้อหอมไม่ใช่เหรอ?” แย่แล้ว! เมื่อกี๊ผมเผลอพูดอะไรไป... ถ้าคิดจะแอบชมน้องทำไมไม่ทำให้มันเนียนกว่านี้ล่ะสาริน?!
“หอมเหิมอะไรล่ะพี่?
สามวันอาบน้ำทียังเคยมาแล้ว” โชคดีที่เด็กหน้าใสไม่ได้คิดอะไรมาก เจ้าตัวเลยส่ายหัวดุ๊กดิ๊กเสริมคำพูดจนผมอดหัวเราะด้วยความเอ็นดูไม่ได้
“เพื่อน ๆ ผมน่ะมีคนดูแลกันเกือบหมดแล้วครับ ส่วนผม... อยู่ให้เพื่อนดูแลดีกว่า
สบายใจ แถมยังไม่ต้องกลัวอกหักอีกต่างหาก”
ถ้าเด็กน้อยพูดชัดขนาดนี้ก็น่าจะยังไม่มีแฟน...
ดีเลย!
“กลัวอกหักด้วยเหรอ?
พี่ว่าอย่างแนนน่าจะหาแฟนได้สบาย ๆ เลยนะ” ผมเพิ่งสังเกตว่าเวลาอยู่กับน้อง ปากผมมักจะไวพอ
ๆ กับความคิด... กว่าสติจะตามทัน ผมก็ดันพูดจาไร้สาระอย่างที่ไม่คิดจะพูดกับใครไปเสียแล้ว
“โห่พี่ลิงครับ! ใครมันจะอยากมาคบกับคนโลว์โปรไฟล์อย่างผม ขนาดตอนไม่ใส่แว่นยังไม่หล่อ
ตอนใส่แว่นยิ่งดูหน้าตาท้อแท้ไปกันใหญ่!”
“คนที่ไม่สนใจเรื่องหน้าตาน่าจะยังพอมีอยู่นะ
พี่ว่า” ผมเริ่มจะมั่นใจว่า เวลาอยู่ใกล้ ๆ น้อง ผมคงไม่อาจควบคุมตัวเองให้สำรวมได้แล้วล่ะครับ
อย่างครั้งนี้ก็เหมือนกัน... ทั้งที่เพิ่งจะโพล่งคำถามไม่เข้าท่าไปแท้ ๆ
“แต่ถึงจะมีจริง
ๆ ก็ยากแหละพี่ ช่างเถอะ! อยู่อย่างนี้ก็สบายดีแล้วล่ะครับ” ผมกำลังจะพูดแทรกแต่กลับไม่ทันเด็กน้อยที่ชิงพูดเปลี่ยนเรื่องจนผมต้องยอมไหลตามน้ำ
“แล้วสรุปว่า ปีเตอร์มีอาการผิดปกติอะไรหรือเปล่าครับพี่?
ผมต้องพาปีเตอร์ไปหาหมอไหม?”
“เอ่อ...
ปีเตอร์ปกติดีครับ ไม่มีอาการผิดปกติอะไร” พอได้ยินคำตอบของผม เด็กน้อยก็ร้องเพลงด้วยเสียงเล็กเสียงน้อยเหมือนเด็ก
ๆ พลางเล่นสลับกับจูบหอมหมาเด็กเป็นว่าเล่นจนผมอดอิจฉาเจ้าลายวัวสี่ขาไม่ได้
“ปีเตอร์ของพี่...
แข็งแรงดีอย่างกับม้ากั๊บ ๆ ”
“ถ้างั้นพี่ขอตัวเลยแล้วกันนะครับ”
แม้จะนึกโกรธปีเตอร์ขึ้นมานิด ๆ แต่เพราะมีเรื่องที่ต้องรีบสะสาง
ผมจึงจำใจบอกลาน้องด้วยความรีบร้อน
“เชิญครับพี่ ขอบคุณมากนะครับพี่ลิง”
ยิ้มหวานตบท้ายของเด็กน้อยทำให้ผมตัดใจเดินจากมาด้วยความเสียดายพลางปลอบตัวเองว่าไม่เป็นไร
เพราะถ้าผมตกลงกับอาม่าใหญ่ได้ผลตามที่ต้องการ ผมจะทำให้น้องยิ้มให้หวานยิ่งกว่านี้อีกเป็นร้อยเท่าพันเท่า
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
“เติมข้าวอีกหน่อยสิริน”
“ผมอิ่มแล้วครับม่า”
ผมปฏิเสธคำชวนของม่าอย่างสุภาพ ความรู้สึกห่วงหาเด็กน้อยหน้าแว่นที่ต้องไปรับซิลเวสเตอร์ออกจากโรงพยาบาลลำพังทำให้ผมไม่รู้สึกอยากอาหารเลยสักนิด
แต่อาม่าใหญ่กลับไม่คิดเช่นกัน
“เฮี้ยวแม่อยู่ป้า
ลื้อเจี่ยโจ่ย ๆ เดี๋ยวเม่ยจ๊อเกี๊ยมอีอู่เสียซิม”
(ทำไมอิ่มเร็ว?
กินเยอะ ๆ สิริน เดี๋ยวเม่ยเสียใจกันพอดี) อาม่าใหญ่พูดพลางคีบเนื้อปลาขาว ๆ ก้อนใหญ่วางลงในจานเปล่าของผมโดยไม่ยอมฟังเสียง
“ผมกินไม่ไหวแล้วล่ะครับม่า
ขอโทษครับ” ขาดคำผมก็รวบช้อนเพื่อบอกปัดความหวังดีของคุณย่าทั้งสองโดยสิ้นเชิงจนอาม่าใหญ่ขมวดคิ้วพลางส่ายหัวด้วยความไม่ชอบใจ
“เฮ่อออ!
อั่วไม่ได้โห่ยลือไหลเซียโท่ย
เลี้ยวอยู่เก็กซิม”
(เฮ่อออ! ม่าไม่ได้ยอมให้จีบหลานม่าแล้วมาทำท่ากลุ้มใจแบบนี้นะ)
“ผมขอโทษครับม่า
แต่ผมอดเป็นห่วงน้องไม่ได้... วันนี้น้องต้องไปรับหมาออกจากโรงพยาบาลคนเดียว ผมไม่อยู่...
ไม่รู้น้องจะลำบากมากหรือเปล่า” รถก็ไม่มี วันก่อนน้องก็ดันโกหกเพื่อนเสียอีก แล้วอย่างนี้จะมีใครพาน้องไปที่คณะแทนผมไหม?
แล้วที่ผมกำชับพวกเพื่อน ๆ ของเด็กน้อยเอาไว้ก่อนจะกลับมาบ้าน... จะมีใครช่วยดูแลน้องตามคำขอของผมบ้างหรือเปล่า?
“อามุ่ยฟ้า...
อั่วบ่อเตี่ยเตี๊ยะ อั๊วโห่ยลีหน่อนั้งเซียโท่ย”
(อามุ่ยฟ้า...
ฉันชักไม่แน่ใจแล้วสิว่า เราตัดสินใจถูกหรือเปล่าที่สนับสนุนหลานเราให้ได้กันเนี่ย!)
“เจ่เจ้
เจ่เจ้ช่วยทำอะไรสักอย่างทีสิคะ” พอได้ยินอาม่าใหญ่บ่นกระปอดกระแปด ม่าผมก็เริ่มจะหน้าเสีย
“ลื้อเจี่ยป่าป้า
เดี๋ยวอาม่าพะเตี๋ยงฉ่วยอาแนนโห่ยหลื่อ... อิ๊งเซ้งบ้อ?”
(ถ้ารินยอมเติมข้าว
ม่าจะโทรหาน้องให้เดี๋ยวนี้... ตกลงไหม?)
“ก็ได้ครับม่า”
ผมรับข้อเสนอของอาม่าใหญ่ที่ลงทุนตักข้าวเพิ่มให้ผมด้วยตัวของท่านเอง
แน่ล่ะ... ผมยังไม่ลงมือแตะต้องอาหารพูนจานจนกว่าผู้อาวุโสกดโทรออกและได้ยินเสียงของคนปลายสายที่ผมคิดถึงจนแทบขาดใจดังลอดลำโพงออกมาให้ชื่นใจก่อนแล้วนั่นแหละ
ช่วงเวลาที่ผมนั่งฟังเสียงเด็กน้อยคุยเจื้อยแจ้วกับอาม่าใหญ่ด้วยเรื่องสัพเพเหระอยู่นั้น
ผมก็อดนึกย้อนไปถึงที่มาของความร่วมมือของอาม่าทั้งสองอย่างที่เป็นอยู่นี่ไม่ได้
คิดแล้วก็น่าตลก...
เพราะกระทั่งผม ผมยังไม่รู้เลยสักนิดว่า หลังจากคุณย่าแห่งทั้งสองบ้านรับฟังความในใจของผม
นอกจากที่พวกท่านจะไม่ทักท้วง อาม่าใหญ่และอาม่าของผมยังพร้อมจะให้การสนับสนุนด้วยความยินดีไปเสียอีก
“ม่าแนนครับ...
ผมมีเรื่องจะบอก” ผมประหม่าจนออกอาการอึกอัก ยิ่งเมื่อเห็นสายตาทั้งสองคู่ที่มองจ้องมาอย่างสนอกสนใจด้วยแล้ว
ผมก็ยิ่งหวาดหวั่น
“ลื่อจ๊ะหนี่
โก๋ก๊วย โก๋ก่วย?”
(เป็นอะไร?
ทำไมทำท่าแปลก ๆ ?) อาม่าใหญ่วางมือจากกองไพ่ที่ท่านกำลังถอดเพื่อหันมาคุยกับผมด้วยสีหน้าจริงจัง
ความกล้าที่เคยมีจึงหลบหนีไปจนผมต้องอาศัยการพูดเกริ่นนำด้วยอารัมภบทที่ไม่เกี่ยวข้องกับใจความหลักเสียทีเดียวเข้าช่วยระหว่างกอบกู้ความรู้สึกฮึกเหิมเมื่อไม่กี่ชั่งโมงก่อนให้กลับมาดังเดิม
“ม่าครับ
พรุ่งนี้ถ้าน้องอยากกลับมหาลัยแต่เช้า ม่าก็อย่าห้ามน้องเลยนะครับ”
“อ้าว! ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ?
รินก็รู้ไม่ใช่เหรอลูกว่าน้องไม่ได้กลับมาบ้านบ่อย ๆ ” คราวนี้เป็นม่าผมเองที่ตั้งคำถาม ผมจึงทำใจดีสู้เสือตอบความท่านไปตามจริง
“คือ... วันนี้ผมเจอกับน้องแล้วครับ”
“ไล้เซียวหง่อก็ฮ่อ
จะได้โบ่ยเกียเตี่ย”
(เจอกันแล้วก็ยิ่งดีไปกันใหญ่...
พรุ่งนี้ตอนกินข้าวด้วยกันจะได้ไม่ตื่นเต้น) พอเห็นอาม่าใหญ่ตบมือพลางกระหยิ่มยิ้มย่องด้วยความดีใจไปพร้อม
ๆ กับการยอมรับถึงแผนการที่จะจัดให้ผมเจอกับน้องระหว่างมื้อเที่ยงวันพรุ่งนี้แบบซึ่ง
ๆ หน้า ผมก็เริ่มจะแน่ใจว่า การเจรจาของผมน่าจะประสบผลสำเร็จไม่ยากนัก
“แต่ผมยังไม่พร้อมจะเจอน้องวันพรุ่งนี้น่ะครับ”
“ยังไงของเราฮึริน?
ม่าไม่เข้าใจ?”
“เตี๊ยะ
เตี๊ยะ เตี๊ยะ!”
(นั่นน่ะสิ!)
คำขอร้องของผมทำให้อาม่าทั้งสองแทบจะแข่งกันพูดด้วยเสียงสูงปรี๊ด
เมื่อเดาจากสีหน้าไม่พอใจของทั้งอาม่าเล็กและใหญ่ พวกท่านคงหมายมั่นปั้นมือกับผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นภายหลังจากมื้อเที่ยงวันพรุ่งนี้สิ้นสุดลงมากพอสมควร...
ไม่รู้สิ แต่ผมว่าผมเจอผู้ให้การสนับสนุนรายใหญ่โดยไม่ตั้งใจเสียแล้วล่ะ
และถ้าผมไม่ฉวยโอกาสนี้เอาไว้
ผมคงโง่จนไม่เหมาะจะเป็นหลานชายของท่านทั้งสองแน่ ๆ
“ม่าครับ... สัญญากับผมก่อนได้ไหมครับว่าถ้าม่าฟังสิ่งที่ผมกำลังจะบอกม่า
ม่าจะดุจะว่าผมยังไงก็ได้... แต่ผมขออย่างเดียว
ม่าอย่าบอกเรื่องนี้กับน้องได้ไหมครับ?”
“นี่เรากำลังจะบอกอะไรม่า?”
“ลื้ออู่แมไก๊
ลื้อกะอั้วต่า อั่วเทียหลื่อ”
(อยากพูดอะไรก็พูดมาเถอะริน
ม่าจะรับฟัง) พอเห็นอาม่าใหญ่ยิ้มมุมปากคล้ายให้กำลังใจ ผมก็ไม่ลังเลอะไรอีกแล้ว
“...ผม...
เอ่อ... ผม ผมคิดว่าผมชอบน้องครับ”
“ชอบเหรอ?!
แล้วรินชอบน้องแบบไหน?”
ม่าผมดูตื่นเต้นและดีใจอย่างเห็นได้ชัด เผลอ ๆ คราวนี้อาจจะมากกว่าตอนที่ม่ารู้ว่าผมได้เข้าเรียนในคณะสัตวแพทย์ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศตามความตั้งใจเสียด้วยซ้ำ
ในขณะที่อาม่าใหญ่แค่คลี่ยิ้มบาง ๆ ให้เท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ท่านทั้งสองเข้าใจเจตนาของผมคลาดเคลื่อน
ผมจึงรีบระบุจุดมุ่งหมายให้พวกท่านได้รับทราบโดยไม่รอช้า
“คือ... ถ้าม่าไม่ขัดข้อง
ผมอยากจะจีบน้องให้เป็นเรื่องเป็นราวครับ”
“เจ่เจ้!” อาม่าใหญ่ถึงกับต้องเอื้อมมาไปตบแขนม่าผมเบา ๆ เพื่อเตือนให้สงบจิตสงบใจ
ส่วนผมกลับทำได้แค่ส่งยิ้มแห้ง ๆ ไปให้อาม่าตัวเอง เพราะแม้จะสารภาพความรู้สึกของตัวเองออกไปอย่างหมดเปลือกแล้วก็ตาม
แต่ในฝั่งของพวกท่าน... ผมกลับยังไม่รู้อะไรเลยสักนิด
“ม่าจะอนุญาตให้ผมจีบน้องหรือเปล่าครับ?”
“อู่แมะสื่อลื้อถึงจะโบ่ยขื่อหง่ออาแนนม้าคี่”
(แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการไม่ยอมเจอหลานม่าวันพรุ่งนี้?)
อาม่าใหญ่ซักไซ้ บนใบหน้าของท่านไม่มีรอยยิ้มใจดีประดับไว้อย่างที่เคยจนผมนึกหวั่น
แต่เพราะผมเดินมาไกลมากแล้ว...
ผมจะไม่ถอดใจหรือเดินกลับหลังจนกว่าจะได้ฟังคำตอบของอาม่าทั้งสองด้วยตัวของตัวเอง
ไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็ตาม
“ถ้าม่าเปิดโอกาสให้ผมจีบน้องได้ ผมก็อยากให้น้องรู้จักตัวตนของผมในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง
ผู้ชายคนที่อยากอยู่กับน้องในฐานะคนรัก ไม่ใช่คนที่คอยดูแลปีเตอร์
หรือเป็นแค่หลานของเพื่อนอาม่าน่ะครับ”
ผมบอกให้ผู้อาวุโสทั้งสองท่านได้ทราบถึงบทสรุปที่ผมเพิ่งคิดได้หลังจากใช้เวลากับตัวเองอยู่หลายชั่วโมงนับตั้งแต่ได้เจอกับน้องไปเมื่อช่วงสายของวัน...
นี่แหละ คือ เหตุผลที่ผมยอมปล่อยให้น้องเข้าใจผิดว่าตัวผมเป็นพี่ลิงหมอหมา ไม่ใช่พี่รินเพื่อนเก่าเมื่อเก้าปีก่อน
เพราะผมอยากจะทำความรู้จักกับเด็กน้อยของผมอีกครั้งในฐานะที่แตกต่างออกไปจากในอดีตอย่างสิ้นเชิง...
ผมไม่อยากเป็นแค่เพื่อนกับน้องแล้วล่ะ...
ผมอยากเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง...
อยากเป็นโลกทั้งใบของหลานอาม่าใหญ่ครับ
“แต่ถ้าเรากับน้องเจอกัน
ทุกอย่างมันจะง่ายขึ้นนะริน... ม่าสองคนก็จะได้ช่วยพูดกับน้องให้รินได้อีกทาง” สุดท้าย คำพูดโน้มน้าวของอาม่าก็ทำให้ผมเข้าใจถึงความต้องการของผู้อาวุโสทั้งสองได้อย่างกระจ่างแจ้ง
แต่หากผมยอมเจอกับน้องตามนัดหมายเดิมจริง ๆ ... ใครล่ะจะยืนยันได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างผมสองคนจะเป็นไปตามภาพที่อาม่าวาดหวังกันเอาไว้ในเมื่ออีกฝ่ายเอาแต่ใจและไม่ชอบให้ใครบังคับจิตใจออกเสียขนาดนั้น?
“ถ้าเป็นอย่างนั้น
น้องจะไม่คิดว่าม่าพยายามยัดเยียด พยายามจับคู่น้องกับรินหรอกเหรอครับ? รินว่าอย่าดีกว่าครับม่า
รินไม่อยากเสี่ยงจนผิดใจกับน้องไปเปล่า ๆ ”
“ลื่อเจี๊ยหนี่จ่อกอฮ่อ
อั๊วต๋อหลื่อ”
(รินจะทำอย่างนั้นก็ได้
ม่าตามใจริน)
“แต่เจ่เจ้คะ!” อาม่าใหญ่ยกมือขึ้นปรามก่อนจะยื่นหมูยื่นแมวกับผมตามประสานักธุรกิจในสายเลือด
“อั๊วซุ้ยหลื่อเหลี่ยวนา
อาม่าก็อู่เตี่ยวเกี๋ย แต่หลื่อต้องซุ้ยอาม่านา”
(ม่าจะยอมทำตามที่รินขอ
แต่อาม่าก็มีข้อแม้ที่รินจะต้องทำตามอาม่าเหมือนกัน)
“อะไรเหรอครับม่า?”
“อาม่าโห่ยลือจ๊อแม้ไก๊
ลื้อซุ้ยอั่วไม๊แซขี่ เอ๊งเซ้งน้า?”
(ถ้าม่าบอกให้รินทำอะไร...
รินก็ต้องทำ... ห้ามโมโห รินตกลงไหม?) อาม่าใหญ่หรี่ตามองผมคล้ายท่านกำลังวัดใจ
ส่วนตัวผมซึ่งไม่คิดจะถอยง่าย ๆ ก็ไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไปเช่นกัน
“แต่ม่าจะไม่ขอให้ผมเปลี่ยนใจจากน้องใช่ไหมครับ?”
มาถึงขั้นนี้แล้ว สิ่งเดียวที่ผมต้องการ คือ ความยินยอมพร้อมใจจากตัวแทนผู้ใหญ่แห่งทั้งสองครอบครัวเพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาใหญ่อื่น
ๆ ที่อาจจะกระทบต่อความสัมพันธ์ของผมกับเด็กน้อยในระยะยาวเกิดขึ้นตามมา
และคำตอบผ่านน้ำเสียงชัดเจนของอาม่าใหญ่ก็ทำให้ความรู้สึกกระอักกระอ่วนปลิวหายไปจากใจได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“ปั่กเอี่ย
ลื้อเหม็งเอ็งเสี่ยคะโจ่ย อาม่าก็ไม่อยากจะปั่กนั้งเซียงฮ่อ กะอารินขื่ออั๊วก็ฮัวฮี่!”
(เรื่องอื่นไม่ต้องเป็นห่วง...
ม่าเองก็ไม่อยากฝากหลานม่าไว้กับใครนอกจากรินเหมือนกัน!)
“จริงเหรอครับม่า?!” อาม่าทั้งสองยิ้มกว้างพลางพยักหน้าให้ผม “แต่ถ้าผมทำให้น้องรักผมได้...
ป๊ากับม้าของน้อง แล้วก็ป๊า จะยอมเข้าใจเหรอครับม่า?”
“ทีนี้ล่ะเพิ่งจะมาห่วงนะตาริน!
ทีตอนบอกว่าจะจีบน้องยังพูดเสียเต็มปากเต็มคำ...
น่าตีจริงเชียวหลานม่าคนนี้นิ!” ม่าผมต่อว่าอย่างไม่จริงจังนัก เพราะม่าคงจะสมใจเสียจนเก็กหน้าดุไม่ออกอย่างทุกที
ฝ่ายอาม่าใหญ่ที่ดูจะปลื้มใจไม่แพ้กันก็รีบตอบคำถามให้ผมหมดข้อสงสัยโดยเร็ว
“หึ หึ หึ...
อาเคี้ยงอีเสี่ยลื้อตั้งแต่โซ้ยโส่ย อีก็โห่ยอาแนนจ๊อเส่งยิ้ง อีเตี่ยมฉ่วยบ่อจิกหนั่งกะลือแป่ฮ่อไหล่โถยหูอาแนน”
(หึ หึ หึ...
อาเคี้ยงอีอยากจะยกแนนให้รินไปตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ แล้วล่ะ อีบ่นอยู่ทุกวันว่าจนป่านนี้ยังหาใครดูแลแนนได้ดีเท่ารินไม่ได้เลยสักคน)
“จริงเหรอครับม่า?!” อาม่าใหญ่ใช้รอยยิ้มกับการขยิบตาปริบ ๆ แทนคำตอบรับ
ผมจึงหันกลับไปถามย่าตัวเองผ่านสายตาไม่แน่ใจเพื่อรับฟังแนวทางการรับมือกับป๊าเอาไว้ล่วงหน้า
“หึ หึ ม่าเชื่อว่า
ป๊าเราจะให้โอกาสน้องเหมือนที่ม่ากับอากงให้มอบความสุขที่สุดในชีวิตให้ป๊าเป็นการแต่งงานกับม้าของรินยังไงล่ะ” และแล้ว
คำตอบของม่าเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมยิ้มจนปวดแก้มได้เป็นครั้งแรกของเย็นวันนั้น
“ขอบคุณนะครับม่า...
ผมขอบคุณม่าทั้งสองคนมากจริง ๆ ”
“ลื้อเหม็งเอ็งไหล่โจ่ยเสี่ยอั่ว
ลื้อหน่อนั๊งไหล่เซียงฮ่อ เจี๊ยไหล่โจ่ยเสี่ยอาม่า”
(ยังไม่ต้องรีบขอบคุณม่าตอนนี้ก็ได้
ไว้จีบหลานม่าติดเมื่อไร ค่อยพากันมาขอบคุณม่าพร้อมหน้าพร้อมตากันทีเดียวเลย) ทันทีที่อาม่าใหญ่พูดจบ
คุณย่าจากทั้งสองบ้านก็หันไปหลิ่วตาให้อีกฝ่ายก่อนจะเปล่งเสียงหัวราะประสานกันอย่างน่าฟัง
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
‘โฮ่ง!’
“มีอะไรเหรอน้าหนวด?”
‘โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง’
“หึ! เพิ่งอิ่มข้าวเอง
จะให้รีบอาบน้ำทำไม?” ผมยิ้มกริ่มพลางเล่นเกมจ้องตากับเซนต์เบอร์นาร์ดตัวโปร่งแสงที่ไม่ได้เป็นแค่วิญญาณหมา
แต่ทำหน้าที่เป็นเหมือนแม่เข้าไปทุกที... มีอย่างที่ไหนที่ผีจะคอยตายจ้ำจี้จำไชให้มนุษย์ไม่ลืมชำระร่างกายตามสุขบัญญัติที่ดีทั้งสิบประการแบบที่เจ้าตัวนี้ทำบ้าง
“น่า...
ขอนั่งต่ออีกนิดแล้วกัน น้าหนวดก็รู้นิว่าฉันคิดถึงน้องแค่ไหน
นี่ไม่ได้ยินเสียงน้องมาจะยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วนะ”
เนื่องจากแน่ใจว่าน้าหนวดไม่มีทางรู้เรื่องที่อาม่าใหญ่โทรไปหาเด็กน้อยเมื่อตอนเย็น
ผมจึงกล้าอำเจ้าตัวกึ่งขุ่นกึ่งใสไปเรื่อยเปื่อย... เพราะแม้น้าหนวดจะคอยติดตามผมเป็นเงา
แต่เมื่อไรก็ตามที่ผมกับน้องเข้าใกล้กันในระยะสายตา หรือทุกครั้งที่เข้าไปในบ้านตึกหลังงาม
น้าหนวดจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ก่อนจะโผล่ออกมาอีกครั้งเมื่อมันพอใจ
รอบนี้น้าหนวดไม่เห่าตอบโต้
มันได้แต่เพียงทำท่าฟึดฟัดถอนหายใจหนัก ๆ หลาย ๆ ครั้งระหว่างที่มองหน้าคนขี้เกียจอาบน้ำชั่วคราวอย่างผมด้วยสายตาเอาเรื่อง
“มันก็ใช่...
เมื่อก่อนไม่ได้ยินก็ไม่เป็นอะไร แต่พอได้เจอน้องแล้ว...
ก็ไม่อยากอยู่ห่างจากน้องอีกเลยน่ะสิ” พอพูดผัดผ่อนจบ วิญญาณเจ้าตูบก็ครางรับเสียงอ่อนที่ผมแปลได้ว่ามันกำลังเหนื่อยใจกับความดื้อดึงของผมอย่างที่สุด
แต่ไหน ๆ ผมก็ไม่พร้อมจะทำอย่างอื่นนอกเหนือไปจากคิดถึงน้องให้บ้าตาย ผมจึงลากน้าหนวดให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของช่วงเวลาแห่งความทรมานนี่เสียเลย
“แต่ยังไงก็ขอบใจน้าหนวดมากเลยนะ... ถ้าไม่ได้น้าหนวดคอยช่วย
ทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมาคงไม่ได้เจอหน้าน้องแน่ ๆ” ผมถือโอกาสนี้ขอบคุณน้าหนวดหลังจากอีกฝ่ายคอยบอกใบ้และให้สัญญาณระบุความเคลื่อนไหวของน้องเพื่อให้ผมคอยสอดส่อง
และแอบสะกดรอยตามดู รวมทั้งหาจังหวะโผล่หน้าไปคุยกับน้องได้อย่างเหมาะเจาะกับช่วงเวลาและสถานที่ไปเสียทุกครั้ง
เมื่อไรก็ตามผมพูดจาทำนองนี้ วิญญาณเจ้าตูบที่อยู่กับผมมายาวนานเกือบจะครึ่งชีวิต
ก็มักจะบ้ายอจนหลงคุยเรื่องน้องกับผมไปอีกนานสองนาน
‘โฮ่ง!’
“ใช่
ๆ ได้คุยกับเพื่อนน้องแล้วก็ดี... พอรู้ตารางสอน รู้เวลาว่างของน้องคร่าว ๆ
ก็วางแผนทุกอย่างง่ายขึ้น อีกอย่าง... เพื่อนน้องก็นิสัยดีกันทุกคน” ทันทีที่พูดถึงบรรดาเพื่อนสนิทของเด็กน้อย
ผมก็หวนนึกถึงครั้งแรกของการเผชิญหน้ากับพ่อเสือทั้งห้าตามลำพังขึ้นมาอีกจนได้
“พี่รินต้องการอะไรกันแน่ครับ?”
เด็กลูกครึ่งหัวจุกที่น่าจะชื่อฌอนกำลังประเมินผมผ่านสายตา ผมรู้ว่าคำตอบนี้จะชี้ชะตาและสามารถชี้ชัดว่า
อนาคตแบบไหนกำลังรอผมอยู่
“พี่กำลังจีบแนนอยู่ครับ”
ดูเหมือนว่าคำตอบหนักแน่นของผมจะทำให้ทั้งหมดประหลาดใจไม่น้อย เพราะส่วนใหญ่ต่างแสดงอาการตกใจ
แต่เด็กฝาแฝดลูกครึ่งทั้งสองกลับมองตากันแล้วส่งยิ้มพึงพอใจให้อีกฝ่ายอยู่นานหลายนาทีโดยที่แทบไม่กระพริบตา
“ห๊ะ?!”
“ใจคอจะไม่อ้อมค้อมหน่อยเหรอครับ?”
ฝาแฝดอีกคน... คงจะเป็นฌานเอ่ยถามผมด้วยรอยยิ้มที่ดูน่าเกรงขามอยู่ในที แต่เพราะผมไม่มีอะไรต้องปกปิด
ผมเลยไม่ติดใจอะไรกับบรรยากาศหนัก ๆ ที่แผ่ออกมาจากรุ่นน้องคนนี้สักเท่าไร
“ไม่ล่ะครับ
พี่รอมานานเกินไปแล้ว... พี่ไม่อยากจะเสียเวลาอีกแล้วครับ”
“พี่รินพูดเหมือนรู้จักกับเพื่อนของพวกเรามาก่อนเลยนะครับ”
คราวนี้เป็นรุ่นน้องตัวเล็กเจ้าของชื่อที่ผมเคยได้ยินทั้งอาม่าใหญ่และเด็กน้อยพูดถึงไม่ขาดปากมาโดยตลอดยิงคำถามบ้าง...
ฟังจากน้ำเสียงและดูจากแววตาของบ๊วยแล้ว
ผมเชื่อสนิทใจเลยว่า เด็กคนนี้รักและเป็นห่วงน้องของผมด้วยความบริสุทธิ์ใจไม่มีใครเทียบเท่า
ผมจึงกล้าเล่าเรื่องราวของผมกับแนนให้อีกฝ่ายฟังได้โดยไม่ต้องคิดหน้าคิดหลังให้เสียเวลา
“ครับ
พี่เคยรู้จักกับน้องตั้งแต่เมื่อเก้าปีก่อน”
“แล้วนึกยังไงถึงเพิ่งโผล่มาจีบเพื่อนผมเอาตอนนี้ล่ะครับ?”
บ๊วยยังไม่หายสงสัย แต่ที่น่าขำคือสายตาไม่พอใจของเด็กคนข้าง ๆ ที่แนะนำตัวเองว่าเป็นแฟนบ๊วยอย่างเต็มปากเต็มคำนั่นอย่างไร...
อย่าบอกนะว่าหึงผมกับบ๊วย?!
“ตั้งแต่น้องขึ้นมัธยม
พี่ก็ไม่เคยมีโอกาสเจอน้องเลยสักครั้ง
แต่ระหว่างไม่เจอหน้ากัน... พี่ก็เกิดสนใจเด็กแว่นที่คอยพาหมาจรจัดทั่วทั้งมหาลัยไปหาหมอที่โรงบาลสัตว์จนต้องคอยมองตามอยู่ตลอด”
ผมทำเป็นไม่สนใจสายตาอาฆาตของเก็กที่ส่งมาเป็นระยะ ๆ ระหว่างตอบคำถามของเพื่อนรักของน้องไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ
ระหว่างที่ผมเว้นวรรคเพื่อสูดลมหายใจ เด็กหน้าหวานจนดูคล้ายผู้หญิงที่ชื่ออิ๊กก็ชิงถามแทรกขึ้นเสียก่อน
“แล้วไงต่อครับพี่?!”
“จนเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
พี่ก็เพิ่งจะได้รู้ว่า คนที่พี่สนใจ... คือ คน ๆ
เดียวกันกับเด็กน้อยที่ทำให้พี่มีความสุขในวันที่พี่เศร้าที่สุดเมื่อเก้าปีก่อนคนนั้นน่ะครับ” ห้วงคำนึงถึงเด็กน้อยและสิ่งดี ๆ
ที่เขาทำเรียกรอยยิ้มของผมได้อีกแล้ว
“อื้อหือ! โรแมนติกเหลือเกินครับพี่ชาย!... โอ๊ย!” ผมเห็นอิ๊กถูกฌอนนวดขมับเข้าให้ทันทีที่อิ๊กทำตาเพ้อฝันหลังจากได้ฟังคำอธิบายของผมไปหมาด
ๆ ... พอได้คุยกับทุก ๆ คนโดยไม่มีน้องอยู่ด้วย ผมสัมผัสได้ว่า บรรดาเพื่อน ๆ
ของน้องดูจะไม่ใช่คนธรรมดาทั่ว ๆ ไปอย่างที่เผลอเข้าใจเสียล่ะมั้ง
“สนใจ
ก็ไม่ได้แปลว่าชอบพอเสียหน่อยนี่ครับ... พี่รินอาจจะแค่ประทับใจด้านดี ๆ
ของเพื่อนผมจนเผลอเข้าใจผิดไปเองก็ได้” คำถามกับสายตาข่มขวัญของฌอนดูจะยืนยันสมมติฐานล่าสุดของผมได้เป็นอย่างดี...
ถ้าฌอนไม่ได้คบหากับอิ๊กแบบออกหน้าออกตา ผมคงต้องพะวงเรื่องน้ำตาลใกล้มด ไม่ก็ฝากปลาย่างไว้กับแมวจนวัน
ๆ ไม่เป็นอันทำอะไรแน่ ๆ
ในเมื่อผมผ่านด่านอาม่าทั้งสองมาได้แล้ว...
ท่าทางข่มกันเป็นเด็ก
ๆ ไม่ได้ทำให้ผมหวั่นไหวเลยสักนิด
“พี่ไม่ได้อยากกลับไปเป็นแค่พี่ชาย
และพี่ก็ใจไม่กว้างพอที่จะทนเห็นน้องเป็นแฟนกับคนอื่นได้หรอกครับ” ดูเหมือนคำตอบของผมจะถูกใจอิ๊กเอามาก
ๆ เพราะรายนั้นนั่งยิ้มตาเยิ้มไม่พูดไม่จาอะไรไปเสียแล้ว ส่วนเก็กก็ถึงกับยกมือขึ้นปิดหูบ๊วยเพราะไม่อยากให้ฟังคำตอบของผมแต่อย่างใด...
ผมควรจะเห็นใจบ๊วยดีไหมที่ได้แฟนขี้หวงจนไม่เป็นอันทำอะไรแบบนี้?
“แต่เพื่อนผ...”
“เอาเป็นว่าพวกผมไม่ติดใจกับความรู้สึกของพี่รินแล้วล่ะครับ แต่ขอเตือนว่า...
ถ้าพี่รินไม่อยากมีปัญหา อย่าเที่ยวจีบเพื่อนผมทิ้งขว้างเป็นอันขาด ถึงแว่นจะไม่เคยคบใคร...
แต่แว่นก็ไม่ใช่ของเล่นฆ่าเวลาของคนอื่นเหมือนกัน” ยังไม่ทันที่ฝาแฝดหัวจุกจะคัดค้าน
ฌานก็ตัดบทอย่างเฉียบขาดจนฌอนต้องยอมฟังอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
“ไม่ต้องเป็นห่วงครับ
เพราะถ้าไม่จริงจัง... พี่คงไม่จำเป็นต้องอธิบายตัวเองกับพวกเราตั้งแต่ยังจีบน้องไม่ติดหรอก" ผมจะจดจำว่า ในบรรดาเพื่อน ๆ
ทั้งหลายของเด็กน้อย คนที่ไม่ควรยุ่งด้วยมากที่สุด คือ ฝาแฝดผู้พี่ ชายหนุ่มซึ่งสามารถพูดอนุญาตได้อารมณ์เดียวกันกับการข่มขวัญอย่างร้ายกาจทั้ง
ๆ ที่หน้ายิ้มและเสียงนุ่มนิ่มน่าฟังเป็นที่สุด
“แต่ปากไอ้หนูแนนมันร้ายกาจมากนะครับพี่ริน...
ผมว่าพี่ลองคิดดูให้ดี ๆ อีกสักรอบเถอะ ที่ผมเตือนเพราะผมเห็นแก่อนาคตอันสดใสของพี่เลยนะครับ”
ผมได้ยินเสียงบ๊วยบ่นแฟนหนุ่มของตัวเองเบา ๆ หลังจากที่รุ่นน้องวิศวะพูดกับผมจบ...
“ขอบคุณครับ
แต่ไม่เป็นไร... พี่เชื่อว่าน้องคือคนที่พี่รอมาตลอดครับ” สำหรับเก็ก...
ผมว่าผมจะจัดเพื่อนของน้องคนนี้ลงในหมวดหมู่เด็กเรียกร้องความสนใจก็แล้วกัน เพราะแม้อีกฝ่ายจะปรารถนาดี
แต่การพูดถึงน้องของผมในด้านติดลบ ไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากฟังเลยให้ตาย
“แล้วพี่จะเอายังไงต่อครับ?”
ฌานถามผมด้วยรอยยิ้มหยั่งเชิงจนผมยอมหงายไพ่ทุก ๆ ใบให้เหล่าพ่อเสือทั้งหลายได้เชยชมโดยไม่มีข้อแม้เพื่อแลกกับความช่วยเหลือจากวงในเพื่อช่วยให้แผนการจีบน้องเป็นไปอย่างราบรื่นและง่ายดายยิ่ง
ๆ ขึ้นไป
“ยังมีอีกหลายเรื่องเกี่ยวกับน้องที่พี่ยังไม่รู้
ถ้าไม่ลำบาก... พี่คงต้องขอให้พวกเราช่วยแนะนำพี่หน่อยน่ะครับ”
“หึ
หึ... เอาสิครับ พี่รินอยากรู้อะไรก็ถามมาได้เลย”
ทีมพ่อเสือ
น้องเป็นยังไงมั่งครับวันนี้?
READ 09.13 PM
Charles:
ทำไมพี่รินไม่โทรคุยเองล่ะครับ? 09.15 PM
Shaun:
แนนซี่ยังไม่ให้เบอร์พี่รินครับพี่ชาย 09.15 PM
Geg:
หือ? จริงดิ?
หนูแนนมันแน่จริง ๆ ว่ะ! 09.16 PM
Charles:
Charles:
ถึงว่า
วันนี้แว่นดูเซื่อง ๆ 09.17 PM
น้องเป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ?!
READ 09.18 PM
Geg:
ใจเย็นครับพี่ 09.18 PM
Shaun:
ผมว่าพี่รินทำถูกแล้วล่ะครับที่หายไป
รับรองว่าพรุ่งนี้มีเฮแน่ครับ
09.18 PM
พี่ฝากดูแลน้องด้วยนะครับ
READ 09.19 PM
ถ้ามีเรื่องด่วน
โทรหาพี่ได้ตลอดนะครับ
READ 09.19 PM
Charles:
ได้ครับ
เดี๋ยวพวกเราจะดูแว่นให้เอง09.20 PM
Shaun:
ยังไงพี่รินก็รีบกลับมาแล้วหน่อยกันครับ
แนนซี่จะได้ยิ้มบ้าง 09.21 PM
ครับ ๆ แล้วพี่จะรีบกลับนะครับ
READ 09.22 PM
ผมปิดหน้าจอก่อนจะวางมือถือลงตรงโต๊ะข้างเตียงพลางถอนหายใจยาว
แม้สิ่งที่เพิ่งได้อ่านจะพอทำให้โล่งอกได้บ้าง
แต่ผมก็ยังไม่หายห่วงเสียทีเดียว ถึงอย่างนั้น... หลังจากแน่ใจว่า ที่มหาลัยยังมีพวกเพื่อน
ๆ ของเด็กน้อยคอยดูแลและเป็นหูเป็นตาให้ผมอยู่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง คืนนี้ผมคงจะนอนหลับได้อย่างสบายใจกว่าเมื่อวานหลายเท่าตัว
คิดไม่ผิดจริง
ๆ ที่วันนั้นตัดสินใจคุยเปิดอกกับรุ่นน้องอย่างตรงไปตรงมา
เพราะพ่อเสือทั้งห้าช่วยทำให้ชีวิตของเขาง่ายดายขึ้นได้จริง
ๆ
‘โฮ่ง!’
“ก็จะไปอาบน้ำแล้วนอนเลยน่ะสิ
พรุ่งนี้ต้องกลับมอแต่เช้า... น้องรออยู่” ผมตอบน้าหนวดที่เห่าถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นผมลุกขึ้นเดินมุ่งหน้าไปยังห้องน้ำแบบกะทันหัน
จังหวะก่อนที่ผมจะเดินเข้าห้องน้ำไป... สาบานได้ผมว่าผมเห็นวิญญาณหมาแอบทำหน้าเบื่อหน่ายกลอกตาใส่
แต่ผมจะสนอะไรล่ะ
ในเมื่ออีกไม่กี่ชั่วโมงผมก็จะได้เจอหน้าเด็กน้อยของผมให้หายคิดถึงแล้ว!
«♥»------------------------------------ TBC ------------------------------------ «♥»
No comments:
Post a Comment