ขอโทษด้วยค่ะที่เรามาช้าไปหนึ่งวัน...
แต่เราก็มาแล้ว...
และมาพร้อมกับการเผชิญหน้ากันอย่างดุเดือดของหลานอาม่าทั้งสอง
เราขอข้ามเนื้อหาส่วนที่สารินเจอแนนครั้งแรกไปก่อนนะคะ...
เพราะเราวางโครงเรื่องให้มีโมเมนท์ที่พระเอกเป็นคนเล่าเรื่องด้วยค่ะ
ถึงอย่างนั้น
เราขอรับรองเลยว่า... แม้พวกเราทั้งหมดจะไม่รู้เหตุการณ์ครั้งนั้น หรือครั้งไหน ๆ
จะไม่มีผลกระทบใด ๆ
ต่ออารมณ์หรือความรู้สึกของสกลที่มีต่อพี่รินแน่นอนค่ะ
เอาล่ะค่ะ
มาอ่านความเห็นของสกลที่มีต่อชายแปลกหน้าผู้มาพร้อมพิรุธมากมายกันเลยค่ะ
ปล.
ใครยังไม่ได้อ่านตอนพิเศษเมื่อวันเสาร์ ตามลิงค์นี้ไปนะคะ ^^
รักชอบประการใด...
ฝากข้อความแทนใจเอาไว้ได้เลยค่ะ ^^
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
The 06th
Bonding
เรื่องบังเอิญจะเยอะเกินไปไหม?!
“คุณ?!”
ทันทีที่ก้าวขาเข้าสู่ห้องฝากและพักฟื้นประจำโรงพยาบาลสัตว์
หนุ่มสถาปัตย์หัวไข่ก็หลุดปากทักร่างสูงใหญ่เป็นยักษ์ปักหลั่นซึ่งกำลังนั่งยอง
ๆ อยู่ด้านหน้ากรงของหมาจรตัวล่าสุดที่ตนอุปการะดูแล ใบหน้าเรียบเฉยของคนแปลกหน้าที่เปลี่ยนเป็นลิงโลดใจในชั่วพริบตาภายหลังเสียงอุทานดังก้อง
ทำให้คนส่งเสียงร้องนึกอยากจะตบปากตัวเองสักร้อยทีค่าที่ลืมตัวแหกปากทั้งที่ไม่จำเป็น
ภาพใบหน้าในระยะเผาขนของเด็กต่างคณะที่เด้งขึ้นในหัวชักจะทำให้เขารู้สึกยุกยิกแปลก
ๆ
ยิ่งเมื่อระยะทางระหว่างตนกับอีกฝ่ายลดลงเหลือห่างกันเพียงไม่กี่ช่วงก้าว
เขาก็ยิ่งประหม่าจนวางหน้าไม่ถูก
เท่านั้นยังแย่ไม่พอ...
เพราะดูเหมือนผลพวงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่ออาทิตย์ก่อนตรงด้านหลังอพาร์ทเมนท์ใหม่ของฝาแฝด จะทำให้กรอบสายตาของหนุ่มสถาปัตย์โดนฟิลเตอร์ที่ชื่อว่าอคติบดบังจนมองภาพทั้งหลายด้วยจิตเป็นปฏิปักษ์กับหนุ่มร่างยักษ์ไปโดยไม่รู้ตัว
ช่วยไม่ได้
หากท่าทางดีอกดีใจอออกนอกหน้าของเด็กหนุ่มต่างคณะ ที่ตอนนี้เปลี่ยนมายืนยืดตัวเต็มความสูงเพื่อต้อนรับการมาของคนเห็นผีอย่างกระตือรือล้นจะกลายเป็นการประจบสอพลอในสายตาหนุ่มแว่นไปโดยปริยาย
กระนั้น... แม้สกลจะหวาดหวั่นและเฝ้าระวังชายแปลกหน้าสักเท่าใด ที่สุดแล้ว... ความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยเพื่อนร่วมโลกสี่ขาที่นอนปรือตามองหน้าพวกเขาสองคนจากด้านในกรงก็ทำให้เด็กเต็กหัวไข่ปัดความรู้สึกวุ่นวายขัดแย้งจนยุกยิกในใจทิ้งไปโดยพลัน
เพื่อสวมมาดนางฟ้าผู้พิทักษ์เดินหน้าปกปักรักษาสวัสดิภาพให้แก่ลูกชายตัวใหม่ด้วยการแหวใส่คนไม่คุ้นเคยอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม
“คุณมาทำอะไรที่นี่?
แล้วนั่นจะทำอะไรซิลเวสเตอร์?!”
“ผมเปล่า!” ชายหนุ่มผู้ที่พักนี้มักจะโผล่ไปให้เด็กเต็กเจอหน้าค่าตาตามสถานที่ต่าง
ๆ บ่อยกว่ารุ่นพี่ในคณะบางคนปฏิเสธอย่างลนลาน ทว่าเพียงไม่นาน... เจ้าตัวกลับฉุกคิดอะไรบางอย่างได้จนต้องยิงคำถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจเสียใหญ่โต
“คุณจำผมได้เหรอครับ?!”
แทนที่จะรักษามารยาท
เด็กสถาปัตย์กลับมองสารินเป็นเพียงอากาศธาตุ ไม่ก็ฝุ่นละอองเท่านั้น...
ถึงสารินจะมีฐานะเป็นคู่สนทนา
กระนั้นสายตาใต้กรอบแว่นหนาทรงม้อดกลับลากผ่านตัวเขาไปจบลงที่เจ้าตูบสี่ขาที่นอนอยู่ในกรงขนาดใหญ่อย่างไม่เห็นหัว
“โอ๋ โอ๋ ซิลเวสเตอร์
เป็นไงมั่ง?... พี่มาเยี่ยมแล้วนะ แผลที่คุณหมอเย็บให้ติดดีแล้วหรือยัง?
ทำไมเซื่องจังครับ? ไม่อยากคุยกับพี่เหรอ?” สกลย่อตัวลงนั่งยอง ๆ คุยกับเจ้าซิลเวสเตอร์อย่างอ่อนหวานดังที่มักจะทำไปเสียทุกครั้งที่เปิดปากสนทนากับบรรดาหมา
ๆ ทั้งหลายโดยไม่ใส่ใจสายตาตัดพ้อของคนที่เพิ่งลดตัวลงนั่งไม่ห่าง
“ที่ยังเซื่องซึมอยู่น่าจะเป็นผลจากยาสลบน่ะครับ
แต่ที่น่าเป็นห่วงมากกว่า คือ ตั้งแต่เมื่อตอนบ่ายที่มันเริ่มรู้สึกตัว มันก็เริ่มเลียแผลเสียยกใหญ่”
สารินรายงานอาการคร่าว ๆ
เท่าที่เขาจับสังเกตพฤติกรรมของเจ้าซิลเวสเตอร์ได้เมื่อราว ๆ ครึ่งชั่วโมงที่แล้วให้แก่ผู้รับสมอ้างเป็นเจ้าของให้แก่หมาไร้บ้านทั่วทั้งวิทยาเขต
แต่ดูเหมือนว่าความปรารถนาดีของเขาจะฟังไม่เข้าหูอีกฝ่ายเอาเสียเลย
“เขาชื่อซิลเวสเตอร์
กรุณาอย่าเรียกด้วยสรรพนามอื่นตามใจชอบ หวังว่าคงจะเข้าใจนะครับคุณ!” เด็กเต็กเรียกร้องความเท่าเทียมให้แก่ลูกชายตัวใหม่ด้วยน้ำเสียงเหน็บแนมโดยไม่คิดแม้แต่จะหันไปมองหน้าคนฟังให้เสียสายตา จากนั้นจึงใช้หมาเป็นกันชนเพื่อหลีกเลี่ยงการเจรจากับคนข้าง
ๆ ตรง ๆ
“ซิลเวสเตอร์เลียแผลทำไมครับ?
แผลเหวอะนี่เรื่องใหญ่เลยนะ เดี๋ยวก็โดนคุณหมอกักตัวนานกว่านี้หรอก
อยู่โรงพยาบาลนาน ๆ ไม่ดีน้า พี่คิดถึงรู้ไหม?” พูดมาถึงตรงนี้ ความวิตกต่ออาการหลังผ่าตัดของซิลเวสเตอร์ทำให้สกลเผลอกระเง้ากระงอดใส่เจ้าหน้าขนที่นอนมองคนทั้งสองตาแป๋วจนเด็กต่างคณะคลี่ยิ้มตามอย่างห้ามตัวเองไม่ได้
“จริง ๆ
ถ้าคุณอยากรู้อะไรคุณถามผมก็ได้นะครับ... ซิลเวสเตอร์คงตอบคุณไม่ได้หรอกว่าแผลมัน
เอ๊ย! แผลเขาหายดีหรือยังน่ะ”
คำพูดเสนอความช่วยเหลืออย่างแข็งขันดังกล่าวทำเอาสกลลากสายตามองสารินตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความไม่ไว้วางใจ
ซึ่งหลังจากประเมินหนังหน้าของอีกฝ่ายในใจด้วยความรวดเร็ว
เด็กเต็กหัวไข่ก็เหยียดปากยิ้มเยาะคนนั่งใกล้แล้วปฏิเสธอย่างไม่ใยดีนัก
“ขอบคุณ
แต่ไม่ดีกว่าครับ!”
สิ้นคำและสายตาปรามาส ถ้อยแถลงที่หวานหูปานน้ำผึ้งเดือนห้าก็ดังตามมาติด ๆ ...
แน่นอนว่า นั่นไม่ใช่วาจาที่เปล่งเพื่อบันเทิงเริงโสตประสาทของสารินแต่อย่างใด “ไหน...
เป็นไงมั่งซิลเวสเตอร์ หายมึนยาสลบแล้วหรือยัง?”
คนพูดแหย่ปลายนิ้วชี้เข้าไปในกรงเพื่อลูบขนตรงหน้าแงกล่อมหมาหนุ่มวัยหย่อนปีให้ปิดตาลง
“สัญญากับพี่ได้ไหมว่าจะไม่เลียแผล...
.
.
...พี่เป็นห่วงจริง
ๆ นะ ถ้าเลียแผลมาก ๆ คุณหมอต้องจับใส่จานดาวเทียม...
...พอใส่ดาวเทียม...
ซิลเวสเตอร์ก็จะเครียดแถมยังนอนไม่สะดวกอีกต่างหาก...
...เชื่อพี่เถอะ...
พี่ไม่เคยโกหก”
“ผมว่ายังไงซิลเวสเตอร์คงต้องได้ใส่คอลลาร์จนกว่าแผลจะติดดี
อย่างน้อย ๆ ก็สักสองสามวันแล้วค่อยดูอาการกันอีกทีน่ะครับ” ประโยคอธิบายแนวทางป้องกันปัญหาดังกล่าวที่เด็กสัตวแพทย์เอ่ยด้วยความปรารถนาดีหากแต่ไม่เจริญใจ
นำพาสายตาขุ่นเคืองให้ปรากฏหลังเลนส์หนาได้อีกครั้ง
“นี่คุณ ถามจริงเถอะ...
คุณเป็นหมอหรือไงถึงได้เที่ยวมาทำนายอาการของซิลเวสเตอร์อย่างนั้นอย่างนี้น่ะ?” สกลระบายลมหายใจหนักหน่วงอย่างเชื่องช้าพลางจิกตามองขวางซ้ำ
ๆ อย่างไม่ไว้ชีวิต
“เปล่าครับ
แต่... / ถ้าคุณไม่ใช่หมอ
ผมก็ไม่จำเป็นต้องฟังคำแนะนำจากคุณหรอกครับ”
หนุ่มหัวไข่อกไก่ผอมเป็นไม้เสียบผีแทรกกลางปล้องจนว่าที่นายสัตวแพทย์อ้าปากพงาบ ๆ
เพราะเถียงไม่ทัน ที่สำคัญ... ดูท่าแล้ว สกลคงไม่คิดจะเปิดโอกาสให้เขาได้แสดงความเห็นใด
ๆ อีกเลย
“ซิลเวสเตอร์น่ะรู้ประสา
แค่พูดคุยกับเขาดี ๆ บอกให้เข้าใจ เขาก็จะยอมให้ความร่วมมือไม่ดื้อไม่ซน
เนอะซิลเวส...อ้าว!
หลับเสียแล้วซิลเวสเตอร์ของพี่ คงจะเพลียเพราะเสียเลือดล่ะสินะ... พักผ่อนเยอะ ๆ
นะซิลเวสเตอร์ แล้วพรุ่งนี้พี่จะมาเยี่ยมใหม่” ว่าแล้วก็เลื่อนปลายดัชนีลูบไปทั่วหน้าหมาหนุ่มอย่างอ่อนโยนเสียหนึ่งรอบก่อนจะลุกขึ้นแล้วจ้ำออกไปโดยไม่ร่ำลาคู่สนทนาเลยสักคำ
“คุณ! เดี๋ยวสิคุณ!!”
เสียงเรียกเจือเสียงลมหายกระหืดกระหอบไม่ได้ทำให้สกลยอมหยุดฟังความต้องการของอีกฝ่าย...
สัมผัสตรงข้อศอกซึ่งยื้อตัวเขาเอาไว้ต่างหากล่ะที่ทำให้เด็กเต็กจำยอมหันกลับไปคุยกับคนแปลกหน้าอย่างไม่มีทางเลือกอื่น
เพราะเมื่อลองสะบัดมือกาวนั่นให้หลุดออกอยู่สองสามที
ก็รู้ว่าแรงที่มีคงงัดกับอีกคนได้ยากเย็นเหลือเกิน
“อะไรของคุณอีกล่ะครับ?”
ในเมื่อพยายามต่อต้านแล้วไม่ได้ผล
หนุ่มแว่นจึงเปลี่ยนมาใช้สายตากดดันคนตัวโตกว่าให้หยุดยื้อยุดฉุดแขนเขาเสีย ทว่านอกจากจะไม่ให้ความร่วมมือ
สารินยังถือโอกาสยื่นข้อแลกเปลี่ยนอย่างว่องไว
“ผมขอรบกวนเวลาคุณเดี๋ยวเดียว...
นะครับ”
“เออ ๆ
คุณอยากจะพูดอะไรก็พูดมา ผมให้เวลาคุณห้านาที” ชายหัวไข่รับคำอย่างตัดรำคาญ...
ทว่าข้างในนั้นกลับพร่ำบอกตัวเองว่า น้ำเสียงออดอ้อนที่อีกฝ่ายเอื้อนเอ่ยก่อนหน้า เป็นเพียงมารยาของชายนิรนามผู้นี้เท่านั้น...
ส่วนเหตุผลแท้จริงที่ทำให้เขาต้องตัดใจยอมฟังชายหนุ่มตรงหน้าอย่างเสียไม่ได้เป็นเพราะแขนซ้ายยังไม่ได้รับอิสระนั่นอย่างไร
“ผมเข้าใจว่าคุณน่าจะเป็นคนรักสัตว์
พอดีวันพรุ่งนี้ที่ตัวเมืองมีจัดงานเพ็ทโชว์วันสุดท้าย
ถ้าคุณไม่ติดอะไร... คุณสนใจจะไปดูประกวดน้องหมาตอนบ่ายสามด้วยกันไหมครับ?”
รู้จักกันรึก็ไม่?
ทำไมถึงกล้าชวนเราไปเที่ยว?
คิดอะไรกับเราหรือเปล่า?...
.
.
ไม่หรอก!
เข้ามาอีหรอบนี้แสดงว่าต้องหวังอะไรบางอย่างอยู่แน่
ๆ !
หรือว่าจะท้าพนันกับใครมา? คิดจะหลอกให้ตายใจแล้วค่อยมาหัวเราะเยาะใส่ทีหลังใช่ไหม?
“ทำไมผมไม่เคยรู้ว่าจังหวัดนี้มีเพ็ทโชว์มาก่อนเลยล่ะ?
คุณแกล้งอำผมหรือเปล่าเนี่ย?” เป็นอีกครั้งที่เขาโดนความรู้สึกยุกยิกอยู่ไม่สุขข้างในอกยั่วยุจนหลุดปากถามซอกแซกทั้งที่ความรู้สึกไม่ไว้วางใจอีกฝ่ายยังไม่คลี่คลายเสียด้วยซ้ำ
แน่นอนว่า ประโยคที่เพิ่งโพล่งออกไปนั้น
สื่อความหวาดระแวงของเขาได้เป็นอย่างดีจนคนเชื้อเชิญรีบเท้าความถึงที่มาที่ไปโดยไม่ต้องให้ใครชี้นำ
“ที่คนทั่วไปยังไม่รู้จักงานนี้สักเท่าไร
เพราะมันเพิ่งถูกจัดขึ้นเป็นปีแรกครับ” พอเห็นว่าเด็กเต็กยอมตั้งใจฟังอยู่นิ่ง ๆ
สารินจึงให้เหตุผลเพิ่มเติมไม่รอช้า “พวกรุ่นพี่ที่จบไปแล้วรวมตัวกันเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงจัดกันขึ้นมาเลยมีแต่เด็กสัตว์แพทย์เท่านั้นที่รู้เกี่ยวกับงานนี้ดีเป็นพิเศษน่ะครับ”
“ไม่รบกวนดีกว่าครับ...
ขอบคุณมากที่อุตส่าห์ชวน” เด็กสถาปัตย์ปฏิเสธอย่างสุภาพขัดกับระดับการแกว่งแขนอันรุนแรงที่เจ้าตัวแอบทำในจังหวะที่อีกคนไม่ทันไหวตัว
ความลำพองใจด้วยคิดว่าตนจะได้อิสระทางกายภาพคืนมาถูกทำลายลงในพริบตาเมื่อคนแปลกหน้ายิ่งกำฝ่ามือรอบต้นแขนแน่นกว่าเดิมเสียอีก
“เดี๋ยวครับคุณ!”
“จิ๊! อะไรอีกล่ะ?!” สกลชักสีหน้าพร้อมกระชากหางเสียงใส่เพราะเริ่มจะหงุดหงิดจนฉุดไม่อยู่...
นับ ๆ ดู อีกฝ่ายน่าจะใช้เวลาเกินห้านาทีไปมากโข แถมยังจับแขนเขาไม่ยอมปล่อยเสียที...
คนอะไรวะนี่ ไม่รู้จักหัดมีความเกรงใจคนอื่นเลยสักนิด!
“ถึงผมจะยังไม่ได้เป็นนายสัตวแพทย์
แต่คุณเชื่อที่ผมบอกได้จริง ๆ นะ” สารินอ้อนวอน... ซึ่งเมื่อได้อธิบายตัวเองจนพอใจ
ชายหนุ่มก็ยอมปล่อยมือเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจต่ออีกฝ่ายอย่างเป็นรูปธรรม
“เรื่องนั้นไว้รอให้ซิลเวสเตอร์ใส่ไอ้ลำโพงนั่นก่อนก็แล้วกันครับ
แต่ตอนนี้... ผมขอตัว” หนุ่มแว่นในตำนานตัดจบอย่างเฉียบขาดก่อนผละจากด้วยท่าทีไม่ยี่หระ
ปล่อยให้อีกฝ่ายมองตามอย่างละห้อยหา
แม้ประโยคและภาษากายเมื่อสักครู่ของคนแปลกหน้าจะทำให้ชายหนุ่มหัวไข่รู้สึกผิดขึ้นมานิด
ๆ ทว่าคำทำนายพล่อย ๆ
เกี่ยวกับอาการของลูกชายกลับทำให้ทิฐิกับอคติปิดหูปิดตาเขาจนไม่อาจสัมผัสไมตรีจิตรที่สารินหยิบยื่นให้ได้
ชะรอยว่า ต่อจากนี้เป็นต้นไป...
เขาจะต้องเพิ่มความระมัดระวังหนุ่มนิรนามคนนี้ให้มากขึ้นเสียแล้วสิ
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
“พี่ฌานครับ...
พรุ่งนี้เรียนเสร็จแล้วพี่ฌานว่างหรือเปล่า? น้องอยากชวนพี่ฌานไปเดินเล่นในเมืองสักหน่อย”
หนุ่มหน้าแว่นโยนหินถามทางเพื่อนรักทันทีที่เจ้าตัวกลับมาถึงห้อง
“ไปทำอะไร?” แฝดพี่ถามโดยไม่ละสายตาจากซีรีย์ซอมบี้ในจอทีวีขนาดใหญ่ใจกลางห้องรับแขก
“มันมีงานเพ็ทโชว์จัดเป็นครั้งแรกที่ตัวเมืองอ่ะครับ
วันสุดท้ายแล้วด้วย... น้องอยากไปจังเลย” สกลทำเป็นเมินท่าทีสนใจแบบแกน ๆ
ของฌานแล้วขายฝันต่ออย่างระริกระรี้ทั้งที่ไม่มีข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับอีเวนท์ที่ว่าเลยสักนิด
“หึ! ไม่เอาดีกว่า พี่ฌานจะนั่งสมาธิว่ะ
ช่วงนี้วุ่นวายแต่กับเรื่องนั้นเรื่องนี้จนแทบไม่มีเวลา ไหน ๆ
ก็ยังไม่มีโปรเจคต้องรีบส่ง พี่ฌานเลยจะนั่งทางในเสียหน่อย” ร่างทรงหนุ่มบอกแผนการคร่าว
ๆ อย่างชัดถ้อยชัดคำ จริง ๆ เหตุที่ฌานไม่ได้บอกปัดเพื่อนหน้าแว่นไปตั้งแต่ทีแรก
เป็นเพราะเขาอยากแน่ใจว่ากิจกรรมที่อีกฝ่ายตั้งใจชักชวนจะสนุกสนานคุ้มค่ากับการเบี้ยวช่วงเวลาเพ่งมองจิตที่ควรฝึกฝนเป็นกิจวัตรหรือไม่
“ว้า! เหรอครับพี่ฌาน... แล้วน้องจะไปยังไงล่ะเนี่ย? เฮ่อ!” คนพูดทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ เพื่อนรักอย่างไร้เรี่ยวแรง
ซึ่งท่าทางหมดอาลัยตายอยากของเพื่อนผู้ร่าเริงอยู่เป็นนิจทำให้แฝดพี่แนะนำตัวเลือกอื่นที่จะช่วยบันดาลความสุขให้แก่หนุ่มหน้าแว่นได้...
หรืออีกนัยหนึ่ง มันคือการผลักภาระให้แก่ผู้โชคร้ายคนอื่นอย่างไรล่ะ
“ถ้าอยากไปขนาดนั้น
ทำไมสกลไม่ลองชวนน้องชายกับอิ๊กดูล่ะ? /
อะไรเหรอครับพี่ชาย?”
ฌอนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จซักไซ้พี่ชายเมื่อตัวเองกับแฟนถูกพาดพิงลอย ๆ ไปต่อหน้าต่อตา
ซึ่งเมื่อเห็นทีท่าสนอกสนใจระคนสงสัยของฝาแฝดที่เพิ่งเดินเข้ามาสมทบ
ประกายความหวังก็ผุดขึ้นในแววตาเรียวเล็กหลังแว่นทรงม้อดอีกครั้ง
“ฌอนศรี
พรุ่งนี้เลิกเรียนแล้วฌอนศรีพาคุณอิ๊กไปพักผ่อนในเมืองกันไหม?” คำพูดล่อลวงกับท่าทางประจ๋อประแจ๋เกินพอดีของเพื่อนหน้าแว่นทำให้แฝดคนพี่เผลอตัวไปชั่ววูบ
“ทำไมไม่บอกไปล่ะว่าอยากไปเพ็ทโชว์แต่ไม่มีใครขับรถให้เลยต้องมาตามหาพลขับให้วุ่นอยู่เนี่ย?
/ โห่! พี่ฌานอ้ะ!! ทำไมทำกับน้องแบบนี้ล่ะครับ?
เดี๋ยวฌอนศรีก็ไม่ยอมให้น้องติดรถเข้าเมืองไปด้วยพอดีน่ะสิ!” คนเห็นผีบ่นกระปอดกระแปดเมื่อโดนแฝดพี่แฉจุดประสงค์ซ่อนเร้นของตนต่อหน้าเหยื่อรายที่เคี้ยวยากที่สุดในบรรดาสมุนเลวทั้งหมด
“หึ หึ... เก่งนี่
รู้ด้วยว่าจะไม่สำเร็จ” ฌอนหลิ่วตาพลางส่งความรู้สึกสมน้ำหน้าไปให้เพื่อนหัวไข่โดยไม่อ้อมค้อม
นั่นไง!
ผิดไปจากที่คิดเสียเมื่อไร
แต่ไม่มีใครรับมือกับดราม่าระดับออสการ์ของเราได้หรอก
หึ หึ
“ผมนี่มันเจ็บไม่เคยจำ!” สกลยู่หน้าพลางขมวดหัวคิ้วเข้าหากันจนเหม่งยับไปทั้งแถบก่อนจะแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงปิ่มว่าจะขาดใจด้วยหวังจะพลิกการตัดสินใจของอีกฝ่ายให้กลับตรงข้าม
“ทั้งที่ก็รู้ว่าไว้ใจไม่ได้ แต่ผมก็ยังหลวมตัวฝากความหวังเอาไว้กับคนใจร้ายอย่างฌอนศรีจนต้องเจ็บปวดหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า...
.
.
...แต่ถ้าฌอนศรีไม่อยากให้ใครว่าเอาได้
จะเปลี่ยนใจตอนนี้ก็ยังทันอยู่นะ” หลานอาม่าซิ้วงิ้งปิดท้ายด้วยการเกลี้ยกล่อมอย่างแนบเนียน
แต่ใบหน้าคมเข้มที่ส่ายไปมาคล้ายจะเยาะเย้ยและล้อเลียนไปพร้อม ๆ กัน กลับบอกใบ้ความต้องการของของแฝดน้องได้แจ่มแจ้งดีเหลือใจ
“สาธุ! ขอให้พรุ่งนี้คุณอิ๊กไม่ว่างจนไม่ได้เล่นมอญซ่อนผ้ากันอย่างที่แอบหวังเอาไว้!“ อารามขัดใจกอปรกับทำอะไรไม่ได้...
หนุ่มแว่นหัวไข่จึงยกมือพนมขึ้นเหนือหัวก่อนจะเปล่งวาจาแช่งชักหักกระดูกเพื่อนเสียเลย
ไม่ทันขาดคำ
ผู้สมรู้ร่วมคิดเพียงหนึ่งเดียวของฌอนก็เปิดประตูผางก่อนจะเดินเข้าห้องอย่างร่าเริงพร้อมกับประโยคทักทายที่เจ้าตัวจำมาใช้จากการ์ตูนญี่ปุ่นที่ตนชอบดูในวัยเด็ก
“กลับมาแล้ว! แล้วนี่นั่งทำอะไรกันอยู่?” อคิรากวาดสายตามองสมาชิกสามหน่อด้วยความงุนงง...
ทั้ง ๆ ที่นั่งกองสุมอยู่รวมกันอย่างแน่นแฟ้นแท้ ๆ แต่กลับไม่มีใครมองหน้าคนอื่น...
เอาแต่ชมนกชมไม้ไม่ก็ชมภาพเคลื่อนไหวในจอข้างหน้า ซึ่งแน่นอนว่า
แฝดน้องไม่มีทางปล่อยให้คนรักเกิดความสงสัยจนไม่เป็นอันทำอะไรอยู่แล้ว
“ก็กำลังรออิ๊กกลับมานี่ไงล่ะ
จะได้ออกไปกินข้าวพร้อมกัน” ทันทีที่เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดว่าจบ สกลก็ทำหน้าทำตาพลางลอกเลียนแบบคำพูดคำจาตามหลังแฝดน้องด้วยความหมั่นไส้
ฝ่ายหนุ่มบริหารผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ใด ๆ
ก็หลุดเข้าไปในโลกส่วนตัวสีม่วงปนชมพูของตนเป็นที่เรียบร้อย
“หึ หึ... จริง
ๆ คือรอบ๊วยกับพวกไอ้เฮียมากกว่าใช่ไหม?” อิ๊กดักคอด้วยน้ำเสียงหยอกเอินพลางหย่อนตัวลงนั่งลงเหนือตักฌอนก่อนจะคล้องแขนโอบร่างใหญ่ให้แนบใกล้โดยไม่สนใจสายตาเชือดเฉือนที่หนุ่มแว่นส่งให้ฌอนเลยสักนิด
“แฟนฌอนฉลาดจัง
/ แน่นอน!
เพราะฉะนั้น...
คืนนี้ต้องตบรางวัลให้หนัก ๆ เลยนะ!”
“หึ หึ... อย่ามาร้องให้ได้ยินก็แล้วกัน!
/ กลัวที่ไหน คึ
คึ” สีหน้าท้าทายระคนยินดีของอดีตเดือนบริหารทำให้แฝดน้องปรายตามองเย้ยสกลอีกคำรบเพราะตั้งแต่มีห้องหับเป็นส่วนตัว
ช่วงเวลานัวเนียสุดหฤหรรษ์ของสองหนุ่มก็เกิดได้ทุกเมื่อโดยไม่ต้องอาศัยฤกษ์งามยามดีอีกต่อไป
“ไปเก็บของเถอะอิ๊ก
จะได้ลงไปรอพวกนั้นข้างล่าง / เฮอะ!”
แฝดพี่กดปิดทีวีแล้วออกปากแยกวงของทุกฝ่ายออกจากกัน ส่วนหลานอาม่าผู้ไม่ได้ดั่งใจนั้นกลับทำได้แค่ส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอแทนการต่อว่าเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดออกมาโต้ง
ๆ
ถึงจะกระเง้ากระงอดจนหน้าหงิก
แต่เมื่อเห็นว่าคนอื่น ๆ ทยอยเตรียมความพร้อมตามคำสั่งล่าสุดจากจ่าฝูง
สกลก็รีบดีดตัวขึ้นจากโซฟาแล้ววิ่งหน้าตั้งไปยังทิศห้องน้ำพลางสั่งความกับฝาแฝดอย่างร้อนรน
“งั้นเดี๋ยวผมไปเข้าห้องน้ำก่อน”
ทว่าบทเรียนครั้งแล้วครั้งเล่าก็สั่งให้เขาซอยเท้ากลับมาย้ำชัดกับร่างทรงหนุ่มด้วยน้ำเสียงเว้าวอน
“พี่ฌาน พี่ฌานอย่าทิ้งน้องอีกนะครับ”
“เออ ๆ ... ไม่ทิ้งหรอกน่า
ไป ๆ ไปเข้าห้องน้ำเสียทีเถอะ!” ฌานรับปากส่งเดชพลางโบกมือไล่เพื่อนหน้าแว่นให้พ้นหูพ้นตา และเมื่อแน่ใจว่าสกลคล้อยหลังเข้าห้องน้ำไปแล้ว แฝดพี่ก็หันไปส่งสายตาให้ผู้เป็นน้องพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บ่งบอกแผนการชั่วร้าย
ฝ่ายคนหน้าเหมือนผู้เกิดช้ากว่าก็รับลูกด้วยการวิ่งถลาไปลากแฟนออกจากห้องนอน ก่อนที่ทั้งสามจะแอบลงไปข้างล่างอย่างเงียบเชียบดังที่มักจะทำกับสกลอยู่ไม่เว้นแต่ละวัน
ไม่ถึงสิบนาทีให้หลัง
ชายหนุ่มอาภัพผู้ที่มักจะถูกทอดทิ้งให้ปิดห้องหับเพียงลำพังเป็นครั้งที่พันนับตั้งแต่เก็บข้าวของย้ายเข้ามาอยู่ในฐานะอาคันตุกะซึ่งเจ้าของไม่ได้อัญเชิญก็เดินมุ่งหน้าไปยังลิฟท์พร้อมก่นด่าเพื่อนรักใจร้ายไม่ได้ขาดปาก
ทว่าเมื่อเหลือบไปเห็นประตูกล่องเหล็กขาลงค่อย ๆ งับปิดหลังจากมีร่างหนึ่งก้าวเข้าด้านใน
สกลก็รีบใส่ตีนหมาพลางส่งเสียงโหวกเหวกนำหน้าไปจับจองพื้นที่โดยสารอย่างไม่คิดชีวิต
“เดี๋ยวครับ! รอด้วยครับ!”
เป็นธรรมดาที่เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
หลังจากที่สามารถยึดครองมุมใดมุมหนึ่งของลิฟท์ตัวที่เราเพิ่งเรียกให้หยุดรอได้สำเร็จ
เราก็มักจะพักสูดลมหายใจสั้น ๆ แล้วจึงค่อย
ๆ เบือนหน้าหันไปส่งยิ้มพร้อมกล่าวขอบคุณให้กับคนใจดีที่อุตส่าห์มีน้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ทว่าในกรณีของสกลนั้น...
เปลี่ยนใจเป็นไม่เข้าลิฟท์เอาตอนนี้
จะทันไหม?!
“เฮ่ย!” ใบหน้าตี๋ ๆ ที่ยืนส่งยิ้มอิ่มเอิบมาให้ทำเอาเด็กเต็กหลุดเหวอ
“คุณอีกแล้วเรอะ?!” เพียงอึดใจก่อนที่สกลจะดริฟท์หนีออกจากลิฟท์ไปนั้นเอง
ชายแปลกหน้าผู้อารีก็คลี่ยิ้มหวานส่งให้พลางจรดปลายนิ้วกดปิดประตูเหล็กทั้งสองบานอย่างฉับไวจนเด็กสถาปัตย์ใจแป้ว
ทำไงดี? โผล่มาที่นี่ได้ยังไง?
บังเอิญ?
หรือจะเป็น... สตอล์คเกอร์?!!!
โธ่เว้ย!
กับผียังไม่ยุ่งยากขนาดนี้เลยให้ตาย!!
“ครับ...
บังเอิญจังเลยนะครับ” คนตัวโตกว่าหัวเราะแห้ง ๆ แล้วจึงเกาต้นคอตบท้ายเพราะไม่รู้จะเอามือไปวางที่ไหนด้วยกำลังเคอะเขิน
ทว่าคู่สนทนากลับเห็นเป็นอีกอย่าง...
แค่วูบเดียวที่เหลือบมองหน้าชายแปลกหน้าผู้มาพร้อมกับพิรุธมากมาย
หนุ่มหัวไข่ก็รู้สึกยะเยือกหัวใจราวกับถูกขังลืมร่วมกับฆาตกรอำมหิตที่ปลิดชีวิตเพื่อนมนุษย์ได้ด้วยสายตา
อคติซึ่งสนธิกำลังกับความหวาดระแวงทำให้ร่างสูงผอมเป็นเสาโทรเลขยืนเกร็งพลางจดจ้องตัวเลขบอกชั้นที่ลดจำนวนลงอย่างช้า
ๆ ไม่วางตา ทว่าในขณะเดียวกันนั้นเอง ขาทั้งสองข้างกลับค่อย ๆ เขยิบเลื่อนไปฝังสีข้างผสานเป็นเนื้อเดียวกับผนังลิฟท์อีกฝั่งอย่างแนบเนียน
จริงอยู่ แม้สารินจะสัมผัสได้ถึงความไม่ไว้วางใจจากอีกฝ่าย
แต่เขากลับไม่ยอมปล่อยให้ช่วงเวลาส่วนตัวระหว่างทั้งคู่ต้องเสียเปล่า
“เอ่อ คุณครับ”
ว่าที่นายสัตวแพทย์หนุ่มยังคงพูดต่อแม้จะไม่อาจจับสัญญาณชีพใด ๆ ของอีกฝ่ายได้เลยก็ตาม
“คุณได้ไปดูเจ้าเหมียวที่วันก่อนคุณเอาข้าวไปให้มันบ้างไหมครับ?
สรุปว่ามันไม่ใช่แมวจรจัดหรอกนะครับ เมื่อวันผมลองถามยามข้างล่างดู เห็นพี่เขาบอกว่าบ้านมันอยู่ท้ายซอย
เจ้าของเขาเลี้ยงแบบปล่อยเพราะเห็นมันเป็นตัวผู้น่ะครับ รู้อย่างนี้ก็สบายใจได้แล้วเนอะ”
แย่! นี่มันแย่มาก ๆ !
เหลืออีกตั้งห้าชั้นกว่าจะถึงล็อบบี้
ทำไงดี?
ทำไงดี?
เอางี้แล้วกัน...
“ใคร? /
ก็คุณไง
วันนั้นคุณดูเป็นห่วงมันออก / ใครถาม?” จากที่หลงดีใจว่าความพยายามชวนคุยสัมฤทธิ์ผลดั่งที่หวังเอาไว้
ทว่าคำพูดตอกกลับจนหน้าหงายของชายหน้าแว่นก็ทำให้สารินถึงกับอึ้งไปหลายวินาที
ถึงอย่างนั้น... เขากลับไม่คิดถอดใจเลิกล้มความคิดไปง่าย
ๆ
“ถึงไม่มีใครถาม
แต่ผมคิดว่าน่าจะมีคนแถวนี้อยากรู้... จริงไหมครับ?”
“จิ๊!” เด็กสถาปัตย์แสร้งทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่
พลางสูดลมหายใจลึก ๆ ซ้ำไปซ้ำมาพร้อมกับภาวนาให้ตู้โดยสารดิ่งลงถึงชั้นล่างโดยเร็ว
แต่แทนที่ความสงบจะช่วยสยบความเคลื่อนไหว
อีกฝ่ายกลับจ้อต่อโดยไม่สนว่าใครจะเดือดร้อนรำคาญใจหรือไม่...
ไม่เลยสักนิด
“เพราะฉะนั้น
คุณจะเรียกมันว่าแคธเทอรีนที่เก้าไม่ได้แล้วนะครับ เพราะเจ้าตัวนั้นน่ะตัวผู้ครับ”
สารินว่าพลางคลี่ยิ้มอบอุ่น แต่คนที่เริ่มจะหมดความอดทนกลับไม่ได้เห็นพ้องต้องกัน...
ทั้งที่ไม่อยากฟัง
แต่พอต้องถูกขังอยู่ในที่รโหฐานกับชายแปลกหน้าผู้ตั้งหน้าตั้งตาหาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาคุยแบบน็อนสต็อปราวกับหายใจทางผิวหนัง
สกลก็เผลอพลั้งปากต่อความยาวสาวความยืดด้วยจนได้...
ถึงจะด้วยจุดประสงค์ที่จ้องทำลายขวัญกำลังใจ
รวมถึงขับไล่คนไม่น่าไว้ใจให้ตีตัวออกห่างไปโดยเร็วก็เถอะ
“เคยมีใครบอกไหมว่าคุณพูดมาก?”
“เหรอครับ?” สีหน้าเหลอหลาประกอบคำถามด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจของสาริน
กลายเป็นการกวนตีนเข้าเส้น... เด็กเต็กจึงแทบจะเต้นเร่า ๆ ด้วยความโมโหเพราะปักใจไปแล้วว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นพวกปลิ้นปล้อนหลบใน
หน้ามึน...
หน้ามึนจนน่าหงุดหงิด!
ผีเจาะปากมาหรือไง?
พล่ามคนเดียวก็ได้ แถมด่าแล้วยังไม่สลด... สติดีเปล่าเนี่ย?!
“ใช่! พูดมาก มาก มาก มาก มาก มาก มาก!”
“สารภาพเลยครับว่า
คุณเป็นคนแรกที่บอกผมแบบนี้” ภาพของหนุ่มหน้าแว่นขณะกำลังหลับหูหลับตาตะโกนใส่หน้าเขาซ้ำ
ๆ เมื่อสักครู่ทำให้สารินอดเอ็นดูไม่ได้ และมันคงไม่ผิดอะไรหากเขาจะยกยิ้มให้อีกฝ่ายไปอีกหลาย
ๆ หนทั้งที่ตนเองเป็นคนหน้าเดียวมาตลอด... ซึ่งสกลไม่ซึ้งด้วย
“คนอื่นคงจะโกหกคุณมาตลอดล่ะสิท่า!” หนุ่มสถาปัตย์หวังว่าคำพูดไม่รักษาน้ำใจกับมารยาทที่ไม่ไหวจะเคลียร์ของตนจะทำให้อีกคนเพลียจนยอมล่าถอย
แต่ผิดคาด... เพราะยิ่งถ่อยใส่ ชายแปลกหน้าก็ยิ่งยิ้มร่าเหมือนชอบอกชอบใจเป็นที่สุด
“คงไม่หรอกครับ
จริง ๆ แล้วผมชอบฟังมากกว่าพูดนะคุณ แต่เพราะคุณไม่พูดอะไรกับผมสักอย่าง ผมเลยต้องพูดให้คุณฟังแทนยังไงล่ะ”
สารินอธิบายนิสัยส่วนตัวให้คู่สนทนาได้รับฟังอย่างสุภาพและใจเย็น... แน่นอน
พร้อมรอยยิ้มอบอุ่นที่ชวนให้คนมองขุ่นขึ้งในอารมณ์ได้ทุก ๆ ครั้งที่ปรายตาผ่าน
“จิ๊! แล้วทำไมผมต้องพูดกับคุณด้วยล่ะ? รู้จักก็ไม่รู้จักเสียหน่อย!”
“ถ้าอย่างนั้นเรามาทำความรู้จักกันให้เป็นเรื่องเป็นราวเลยดีไหมครับ?”
ว่าที่นายสัตวแพทย์ยังคงรักษาระดับอารมณ์และความนิ่งได้เป็นอย่างดีระหว่างเอื้อนเอ่ยความต้องการให้ผู้ฟังได้ทำความเข้าใจเสียแต่เนิ่น
ๆ แต่คนถือดีกลับไม่ได้ให้ความร่วมมือเท่าที่ควร
“ไม่จำเป็น
เพราะยังไงเราคงจะไม่ได้เจอหน้ากันอีกแน่
ๆ ” สกลประกาศกร้าวก่อนจะซอยเท้าวิ่งออกจากลิฟท์ไปส่งเสียงล้งเล้งใส่เพื่อนร่วมห้องที่ทิ้งตัวเองเอาไว้ให้ต้องผจญชะตากรรมอันโหดร้ายกับชายแปลกหน้าเพียงลำพัง
“บ๊วย...
ทำไมทำหน้าแบบนั้น? ใครทำอะไรบ๊วยหรือเปล่า?... บอกพี่ฌานได้นะ” สีหน้าไม่สู้ดีของชายกลางทำให้แฝดพี่อดเป็นห่วงไม่ได้
ก่อนหน้าจะไปเลือกซื้ออาหารก็ยังดี ๆ
อยู่แท้ ๆ ไหงขากลับมาที่โต๊ะถึงได้ทำท่าเหมือนโดนเท้าแชร์เชิดเงินหนีได้ล่ะ
“เปล่าครับ! ไม่มีอะไร... ผมแค่ปรุงก๋วยเตี๋ยวเปรี้ยวไปหน่อย
ปรุงแก้เท่าไรก็ไม่หายน่ะครับ” บ๊วยละล่ำละลักตอบพลางรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติจนคนฟังยอมเชื่อตามคำบอกอย่างง่าย
ๆ
“ทน ๆ
กินไปหน่อยก็แล้วกันนะ เรื่องนี้พี่ฌานก็ช่วยอะไรไม่ได้เหมือนกันว่ะ”
“ไม่เป็นไรครับพี่ฌาน
ขอบคุณนะครับ” สิ้นคำบ๊วย ก็เป็นจังหวะพอดีกับที่รุ่นพี่ทั้งสามเดินตามมาถึงโต๊ะพร้อมอาหารและเครื่องดื่มครบมือ
“อีกแล้วนะมึง! วันนี้กูนั่งกับฟู
มึงไปนั่งฝั่งตรงข้ามเดี๋ยวนี้เลยด้วง!” เต๋อวางจานข้าวทั้งสองลงพลางยกมือชี้หน้าด่าด้วงที่ทำเนียนแอบมานั่งประกบอีกข้างของกังฟูทั้งที่ข้อตกลงระหว่างกัน
คือ อริยะตรัยคนพี่จะนั่งกินข้าวข้าง ๆ กายสองหนุ่มสลับกันวันเว้นวันเพื่อไม่ให้ใครเสียสิทธิลวนลามแฟนตัวเล็กมากกว่า...
ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่า คนที่ไม่พอใจกับไอเดียนี้เป็นที่สุด หนีไม่พ้นวิญญูผู้ขยันลูบคลำกรกฏจนแทบจะเฉามือตายอยู่รอมร่อ
“มึงก็เห็นนิว่าที่มันไม่พอ...
เก็กมันยังไม่มานั่งอีกตั้งคนนะเว่ย!” คิวท์บอยยังมีหน้ามาแถแม้จะรู้ว่าความพ่ายแพ้อยู่ห่างแค่มือเอื้อม
“ด้วง!
อย่านึกว่ากูไม่รู้นะว่าระหว่างวันมึงตอดฟูไปกี่ที!” ตรินสวนกลับอย่างเหลืออด ซึ่งข้อพิพาทดังกล่าวก็ถึงคราวยุติลงทันทีที่พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยออกโรงให้แนวทางแก้ปัญหาอย่างน่าชื่นชม
“ด้วง...
ถ้าด้วงดื้อ ทั้งอาทิตย์ฟูจะนั่งตักเต๋อกินข้าวทุกมื้อเลยนะ! / ฟู!!”
“หึ หึ หึ...
เอาซี่ เอาเลย... มื้อนี้กูยอมมึงก็ได้ กำไรกูล่ะ! / จิ๊!”
หนุ่มร่างหมีแสยะยิ้มพลางฉุดข้อมือเล็กให้หย่อนตัวนั่งข้าง ๆ ตนโดยไม่สนใจคนรักหน้าตูมซึ่งยอมกลับไปนั่งฝั่งตรงข้ามแต่โดยดีในท้ายที่สุด
“บูบู้... เค้าสั่งนมเย็นให้แล้วนะ” ธันวาส่งเสียงนำหน้ามาอย่างร่างเริง ก่อนจะปราดเข้าไปนั่งประกบสีข้างคนรักร่างผอมไม่ห่าง
“อ้าว!
นี่รอผมอยู่คนเดียวเลยเหรอครับ?! ไม่ต้องเกรงใจ กินเลย ๆ !” สิ้นเสียงเชื้อเชิญของอดีตเดือนมหาลัย
ชายหนุ่มเกือบทั้งโต๊ะก็ก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารตรงหน้าทันที...
กระนั้นกลับมีอยู่หนึ่งราย ที่เลื่อนสายตาไปหากรกฏอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“เฮียฟูของน้องงง!” หนุ่มแว่นชิมลางด้วยคำทักทายเสียงหวาน และรางวัลตอบแทนที่เขาได้รับคือคำถากถางผ่านสเต็ปการด่าจนหูดับอันแคล่วคล่องคะนองปาก
“กูมีน้องคนเดียว
และไม่ใช่มึงแน่ ๆ ไอ้แนน!”
“ฮื่อออ
ไม่เอาอย่างนี้สิ ไม่เกรี้ยวกราด นั่งดี ๆ แล้วตั้งใจฟังข้อเสนอของน้องให้ถี่ถ้วนก่อนนะครับเฮียยย”
สกลกึ่งโอดกึ่งตะล่อมอย่างนอบน้อมจนกังฟูรู้สึกถึงความผิดปกติ
“มึงเป็นเหี้ยอะไรของมึงอีกล่ะไอ้แนน?”
“เปล่าเลยครับเฮีย...
.
...คืองี้...
น้องแนนคิดว่า คงดีถ้าพรุ่งนี้พี่เต๋อจะพาเฮียฟูและคุณพี่ด้วงไปซ้อมฮันนิมูนกันในตัวเมือง...
...น้องได้ข่าวว่า
มีที่แฮงเอาท์สุดโรแมนติกแห่งใหม่เหมาะสำหรับคู่รักเป็นพิเศษ ที่สำคัญ...ใช้เวลาขับรถไม่ถึงยี่สิบนาที...
...น้องแนนเลยอยากจะแนะนำให้เฮียและพวกพี่
ๆ ได้ไปสร้างประสบการณ์แห่งความสุขร่วมกันในบรรยากาศอันน่ารื่นรมย์น่ะครับ” เมื่อผิดพลั้งซ้ำซากจากฝาแฝด
ชายผู้รักหมาสุดชีวิตจึงฝากความหวังที่ยังพอเหลือเอาไว้ที่พี่น้องอริยะตรัยและตรินอย่างจนตรอก
“ก่อนที่กูจะกระทืบมึงให้ไส้แตก
กูให้เวลามึงคิดอีกทีแล้วยอมรับมาเสียดี ๆ ว่า มึงกำลังวางแผนอะไรอยู่” หนุ่มวิศวะร่างเล็กชี้หน้าเด็กเต็กหัวไข่แล้วจิกตาใส่อย่างไม่ลดละ
ซึ่งช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้
ช่างหอมหวานเหมาะแก่การกลั่นแกล้งหนุ่มหน้าแว่นให้แดดิ้นเสียนี่กระไร
“แนนซี่อยากไปเพ็ทโชว์ในเมืองน่ะครับเฮียฟู
แต่หาราชรถไม่ได้ เลยกำลังล่อลวงให้พวกพี่ ๆ กลายเป็นเหยื่ออยู่ครับ” ทักษะการย่อความอันเป็นเลิศของแฝดน้องทำให้กระทั่งสกลยังทึ่งเสียจนต้องร้องสรรเสริญชื่อเพื่อนรักออกหน้าไมค์ด้วยเสียงคำรามและใบหน้าที่ง้ำงอเกินพิกัด
“ฌอนศรี!” ทว่าก่อนที่หลานอาม่าจะได้คิดบัญชีกับเพื่อนรักหัวจุก
สายตากินเลือดกินเนื้อกับประโยคอาฆาตแค้นจากพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยก็เรียกความสนใจของเด็กแว่นได้เสียก่อน
“หึ หึ หึ...
มึงคิดจะหลอกใช้พวกกูเหรอแนน? เร็วไปล้านปีแล้วสัด!” เสียงหักนิ้วดังกรอบแกรบช่างเขย่าขวัญของคนดีแต่ปากได้ชะงัดดีเหลือเกิน
“น้องแนนไม่ได้คิดจะหลอกลวงเฮียฟูเลยนะครับ
น้องแค่อยากจะส่งเสริมความรักของพวกเฮีย ๆ ให้ผลิบานในเร็ววัน
แลกกับค่าตอบแทนเป็นการติดรถเข้าไปในเมืองด้วยเท่านั้นเอง” สกลลนลาน... ถ้าคลานเข้าไปคลอเคลียแข้งขาของพี่ชายธันวาได้
ชายหนุ่มหัวไข่คงลงมือไปนานแล้ว
“งั้นมึงก็หาทางไปเองแล้วกัน”
กรกฏเปรยด้วยน้ำเสียงดุดัน ก่อนจะหันไปออดอ้อนคนรักที่ตนนั่งแอบอิงจนเกือบจะสิงกัน
“เต๋อ เย็นพรุ่งนี้เราดูหนังกันดีไหม? เต๋อมีงานต้องรีบส่งหรือเปล่า?”
“ไม่นะครับ
พรุ่งนี้ก็ไม่น่าจะมีการบ้านด่วนหรอกมั้ง / งั้นปิดห้องดูหนังกันดีกว่าเนอะ / เอาสิ... มึงไม่ต้องมาค้อนกูด้วง
ทีฟูนั่งกับมึงกูยังไม่งอแงเลย!”
ถ้อยคำปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยของกังฟูกับบรรยากาศอบอวลไปด้วยความรักของสามหนุ่มรุ่นพี่ไม่ได้ทำให้เจ็บจี๊ดที่ขั้วหัวใจได้เท่ากับน้ำเสียงนุ่มนิ่มที่กังฟูใช้พูดคุยกับคนรักร่างหมีเมื่อไม่กี่อึดใจก่อน หนุ่มแว่นเบือนหน้าเสตาหลบภาพหวานของคี่รักพลางปลงกับตัวเองว่า
ในเมื่อหวังพึ่งพาครัวเรือนนี้ไม่ได้... คงต้องงัดไพ่ใบสุดท้ายขึ้นมาเสียกระมัง
“พี่หม... /
บูบู้... อ้ามมมม”
สกลถอนใจพร้อมไว้อาลัยให้กับความหวังสุดท้ายที่ปลิวหายไปเมื่อตระหนักได้ว่า โลกสีม่วงของอดีตเดือนมหาลัยและชายกลางถูกล้อมด้วยกำแพงทั้งสูงทั้งหนายิ่งกว่าโลกใบอื่น
ๆ เสียอีก
คนพี่สองมาตรฐาน
แถมยังเลือกปฏิบัติ!
คนน้องก็หน้ามืดตามัว
หลงเพื่อนเขาจนโงหัวไม่ขึ้น...
สงสัยจะไม่ได้ไปแล้วล่ะมั้งไอ้เพ็ทโชว์เนี่ย!
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
“รอด้วยครับ!” เสียงเรียกพร้อมเสียงฝีเท้าที่กระชั้นเข้าใกล้
ก่อนจะเงียบหายไปพร้อมน้ำหนักที่ถ่วงให้ลิฟท์ต่ำลงนิดหน่อยทำให้สกลค่อย ๆ
เงยหน้าแอบสำรวจคนที่เพิ่งตามเข้ามาโดยสารลิฟท์พร้อมกับพวกเขาในนาทีสุดท้าย... ซึ่งใบหน้าตี๋
ๆ ที่จำได้ขึ้นใจแม้จะอยู่ในเวอร์ชันชุ่มเหงื่อหัวเหอยุ่ง ก็ยังทำให้เด็กสถาปัตย์หัวไข่ยุกยิกในใจไปพร้อม
ๆ กับหงุดหงิดได้ทันตาไม่ผิดไปจากทุกที
ยิ่งเมื่อชายแปลกหน้ากล่าวขอบคุณตรินโดยไม่ได้กดเลือกชั้นปลายทาง
แถมยังตั้งท่าพร้อมเดินออกจากกล่องโดยสารทันทีที่ลิฟท์กำลังจะขึ้นสู่ชั้นห้องพักปัจจุบันของตน สกลก็ตั้งใจจ้องหน้าสารินด้วยแววตาพร้อมเข่นฆ่าอย่างไม่อ้อมค้อม
“พี่ฌาน
เดี๋ยวผมตามเข้าไปนะครับ... อยู่ดี ๆ ก็อยากกินติมล้างปาก ทำไมก็ไม่รู้ครับ” จังหวะที่ประตูลิฟท์เปิด
หนุ่มหน้าแว่นก็แสร้งปดเพื่อปลีกตัวจากกลุ่มเพื่อนชั่วคราว
“อืม
รีบไปรีบมาล่ะ / ครับ”
สกลรอให้รูมเมททั้งสามเดินออกจากลิฟท์ก่อน
แล้วจึงบอกลาครอบครัวของรุ่นพี่ที่มีห้องอยู่ชั้นบนสุดของอาคาร แล้วจึงเดินผ่านประตูเหล็กออกไป
น่าแปลกที่ดูเหมือนชายต้องสงสัยจะค่อย ๆ เยื้องย่างออกจากลิฟท์ในเวลาไล่เลี่ยกับเขาคล้ายกำลังรอท่าอยู่เช่นกัน
เมื่อเห็นว่าประตูลิฟท์ปิดสนิทดีแล้ว
เด็กเต็กผู้มีความสามารถในการเห็นผีก็รีบเดินตามไปกระชากชายเสื้อด้านหลังของสารินเพื่อให้ชะลอฝีเท้า
พร้อมกระซิบสั่งอีกฝ่ายเบา ๆ รั้งให้อยู่สะสางเรื่องคาใจกับตนก่อน ซึ่งระหว่างนั้น... สกลก็ได้แผ่นหลังกว้างกับร่างสูงใหญ่ยิ่งกว่าใคร
ๆ ที่เขารู้จักเป็นที่กำบังกายจากสายตาซอกแซกของฝาแฝด
“เพื่อนคุณเข้าห้องไปหมดแล้วครับ”
ได้ยินดังนั้น หนุ่มแว่นที่ย่อตัวแอบส่องมองเพื่อน ๆ ผ่านช่องว่างเล็ก ๆ ระหว่างแขนกับลำตัวของสาริน
ก็หยัดยืนตรงแล้วจึงหลับตานับหนึ่งถึงสิบช้า ๆ ในใจเพื่อตั้งสติพร้อมกับโปรเจคเสียงโทนน่าเกรงขามในลำคอ
“คุณต้องการอะไรกันแน่?”
สกลเปิดประเด็นสอบสวนชายผู้เปี่ยมไปด้วยพิรุธมากมายพลางจับตามองใบหน้าของอีกฝ่ายโดยไม่ยอมให้คลาดสายตา
“คุณหมายความว่ายังไงครับ?”
ว่าที่นายสัตวแพทย์หนุ่มไม่ได้ต่อต้านหรือตกใจกับท่าทีคุกคามพร้อมขย้ำของเด็กต่างคณะ...
ถ้าจะพูดให้ถูก ดูเหมือนว่า... เขาจะให้ความร่วมมือกับหนุ่มแว่นในตำนานดีเกินไปเสียด้วยซ้ำ
“ก็ที่คุณตามผมต้อย
ๆ มาถึงที่นี่ยังไงล่ะ... คุณเป็นพวกโรคจิตหรือไงถึงได้คอยตามคุกคามคนอื่นเป็นว่าเล่นน่ะ?!”
“เดี๋ยวครับคุณ...
ถึงผมจะดีใจที่คุณคุยกับผมก่อน แต่ช่วยอธิบายได้ไหมว่าผมไปทำตัวโรคจิตคุกคามคุณตอนไหน?”
ยิ่งสารินยิ้มย่องผ่องใสแถมยังโต้ตอบสบาย ๆ สกลก็ยิ่งเดือดเนื้อร้อนใจจนต้องกอดอกแล้วลากสายตามองเหยียดหยามชายนิรนามตั้งแต่หัวจรดเท้าคล้ายกับจะข่มให้จมดิน
“ไม่ต้องมาซึน! คุณตามผมทั้งวันจริง ๆ นะ ผมยืนยันได้!”
“ยังไงครับ?”
คนอะไรโคตรพลิ้ว!
สงสัยจะผ่านมาเยอะสินะ...
แบบนี้ยิ่งไว้ใจไม่ได้ไปกันใหญ่เลย!
“อย่างเมื่อเช้านี้ก็ทีนึง...
คุณก็ตัดหน้าไปให้อาหารเจเรมีก่อนผม!” เด็กสถาปัตย์อ้างอิงถึงช่วงเหตุการณ์ที่ทำให้ตนแน่ใจว่าอีกฝ่ายจงใจสะกดรอยตามเขาไปทุกที่ด้วยวาจาฉะฉาน
และนั่นทำให้อีกฝ่ายเริ่มจะหวาดหวั่นจนหลุดมาดยิ้มยั่วชวนหงุดหงิดได้เป็นครั้งแรก
“คุณรู้ได้ยังไงว่าผมไปหาจเรมาเมื่อเช้า?”
สารินดูจะตกใจไม่น้อยกับความช่างสังเกตของคนตัวเล็กกว่า... เขาแน่ใจว่าเมื่อเช้าตรู่เขาไม่ได้เจอใครระหว่างที่ให้อาหารเจ้าสีสลิดที่หอแน่
ๆ กระนั้นสิ่งที่ได้ยินกลับทำให้เด็กสัตว์แพทย์ต้องกลั้นขำจนแทบสำลักน้ำลาย
“ไม่มีใครให้อาหารเม็ดเจเรมีนอกจากผมกับคุณ...
และของผมอร่อยกว่า ผมจำรสชาติได้!”
“นี่ คุณ
แย่ง ข้าว จเร เหรอ?! ที่มันหิวอยู่ตลอดเวลาก็เพราะคุณนี่เอง!” จนถึงตอนนี้ เจ้าของประโยคก็ยังไม่อาจหุบยิ้มได้ลง
สงสัยว่าคุยกันจบ...
เขาคงต้องหาอะไรอุ่น ๆ มาประคบแก้มทั้งสองข้างที่ยิ้มจนปวดนี่เสียหน่อย
อารมณ์ดีนักหรือไง?
เมากัญชามาเรอะ?
แล้วเมื่อกี๊เรียกเจเรมีว่าอะไร?
จเร?
หนอย... เรียกว่าจเรงั้นเหรอ?!
“เจเรมี!... ชื่อเจเรมี! ไม่ใช่จเร!! แล้วก็เขา... ไม่ใช่มัน!!” สกลในยามนี้เหมือนเด็ก ๆ ที่โดนคนโตกว่าแกล้งแหย่...
และถึงจะพยายามทำร้ายอีกฝ่ายแก้มือสักเท่าใด จนแล้วจนรอดก็ดันทำไม่สำเร็จ ซึ่งเรื่องที่น่าเจ็บใจยิ่งไปกว่าความล้มเหลวก็คือ
การที่อีกฝ่ายยอมอ่อนข้อให้ด้วยความเต็มใจนี่สิ
“ครับ ๆ เจเรมีก็เจเรมี
เขาก็เขา” สารินถอนหายใจให้กับธรรมเนียมในการเรียกชื่อหมาของคนตรงหน้า... พร้อมกับบอกตัวเองให้ระมัดระวังคำพูดคำจาทุกครั้งที่อยู่ต่อหน้าเด็กหนุ่มใส่แว่นคนนี้
ซึ่งท่าทางทอดถอนใจที่คนตัวใหญ่กว่าเผลอตัวแสดงทำให้สกลรีบขุดเหตุผลสนับสนุนข้ออื่นขึ้นมาโจมตีอีกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง
“แล้วก็ที่โรงพยาบาลอีก! คุณแอบไปหาซิลเวสเตอร์ลับหลังผม!”
“ใจเย็นก่อนคุณ
อย่าเพิ่งเสียงดังไป... เอาอย่างนี้ เรามาเคลียร์กันทีละเรื่องดีไหมครับ?” ว่าที่นายสัตวแพทย์พยายามตะล่อมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลไม่ผิดไปจากทุกที
แต่มีหรือที่คนกำลังพาลจะยอมให้ความร่วมมือง่าย
ๆ
“ไม่! เคลียร์มันทีเดียวนี่แหละ เพราะจะเรื่องไหน ๆ
คุณก็ปฏิเสธข้อหาโรคจิตไม่ได้หรอก!”
“โอเค โอเค...
คุณบอกว่าผมเอาข้าวไปให้เจเรมี กับไปหาซิลเวสเตอร์ก่อนคุณใช่ไหม?” แม้จะได้ยินประโยคก่อนหน้าอย่างชัดเจนจนเข้าใจถึงเจตนาซ่อนเร้น
ทว่าความรู้สึกหงุดหงิดระคนยุกยิกในหัวใจ บวกกับความรู้สึกไม่ไว้ใจคนแปลกหน้า
สกลก็ยังตั้งหน้าตั้งตาหาเรื่องอีกคนต่อไปโดยไม่อิงเหตุผล
“ใช่! เพราะคุณแท้ ๆ วันนี้เจเรมีเลยไม่ยอมทักทายผมเหมือนปกติ! และก็เพราะคุณอีกนั่นแหละที่ยุยงส่งเสริมให้ซิลเวสเตอร์เลียแผล!”
เพราะนายนั่นแหละที่ทำให้ทั้งเจเรมีและซิลเวสเตอร์ทำตัวแย่
แล้วยิ้มแบบนั้นหมายความว่าไง?
ยอมรับความผิด หรือจะโกหกว่าไม่ใช่?
.
.
.
โอ๊ย... เกิดมาก็เพิ่งเคยเจอคนที่รับมือยากขนาดนี้!
“ถ้าอย่างนั้นแล้วคุณจะหาว่าผมสะกดรอยตามคุณได้ยังไง?...
.
.
...คุณไปทีหลัง...
คุณต่างหากล่ะที่สะกดรอยตามผมทั้งวัน...
...จริง ๆ ผมควรต้องกลัวคุณมากกว่าอีก
คุณว่าจริงไหมครับ?!”
พูดจบสารินก็หมุนตัวออกเดินไปยังประตูของทั้งสองห้องที่ประจัญหน้ากันพอดิบพอดี ทว่าสกลในโหมดหวาดระแวงเต็มที่กลับปรี่เข้าไปขวางชายแปลกหน้าผู้ไม่ประสงค์ดีต่อเขาและเพื่อน
ๆ เอาไว้ แล้วจึงตบท้ายด้วยการกล่าวหาอีกฝ่ายอย่างเผ็ดร้อนอีกคำรบ
“นี่ไง!
ที่คุณทำอยู่นี่ไงที่ฟ้องว่าคุณคอยตามผม!” เด็กเต็กทำตาโตพลางชี้หน้าคู่กรณีอย่างเอาเรื่อง
“แค่เดินหันหลังให้คุณนี่น่ะเหรอครับ?
ถ้าอย่างนั้นคนทั้งโลกก็เป็นโรคจิตกันไปหมดแล้วสิ” สารินพยายามให้เหตุผล แต่อีกคนกลับโดนโมหะบังตาจนเข้าใจผิดไปกันใหญ่
“โธ่เว้ย! นี่คุณพูดไม่รู้เรื่อง หรือผมบ้าที่ยังทู่ซี้คุยกับคนอย่างคุณกันแน่เนี่ย?!!!” สกลโพล่งอย่างเดือดดาล... คน ๆ นี้ร้ายกาจกว่าฌอนศรีกับเฮียฟูรวมกันเป็นล้าน
ๆ เท่าเห็นจะได้!
“ผมพูดรู้เรื่องครับไม่งั้นเราคงไม่คุยกันนานขนาดนี้หรอก
แต่คุณเป็นบ้าไหม... คงต้องอาศัยเวลาดูกันให้นาน ๆ “
กวนตีน
ตอบแบบนี้คือจ้องจะกวนตีนกันชัด ๆ... บ้าเอ๊ย!
“คุณต้องการอะไรจากผมกันแน่?
ทำไมไม่ปล่อยให้ผมมีชีวิตสงบสุขเสียที?!”
“ถ้าคุณอยากจะใช้ชีวิตสงบสุข
คุณก็ทำได้เลยนะครับ ผมพร้อมสนับสนุน” ว่าที่นายสัตวแพทย์พูดเสียงนุ่มเป็นจังหวะจะโคนจนคนฟังแทบกระอักเลือดตาย
คำพูดเรียบง่ายแต่ตอบคำถามทุกประเด็นของสารินทำเอาสกลถึงกับทึ้งหัวตัวเองแบบไม่ส่งเสียงอยู่พักใหญ่
ก่อนจะหลับตาแล้วอัดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ อยู่หลายครั้ง
“โอ๊ยยยย!!
คุณนี่มัน!” หนุ่มหัวไข่บ่นพึมพำกับตัวเองระหว่างนับถอยหลังเพื่อตั้งสติ
“ใจเย็น ๆ
ครับ... หายใจเข้าลึก ๆ ค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจ เวลานี้หัวใจและชีพจรคุณกำลังเต้นเร็วและแรงมาก
อุณหภูมิในร่างกายกำลังพุ่งจนคุณรู้สึกร้อนรุ่มไปหมด ขืนคุณยังเต้นเร่า ๆ อยู่แบบนี้
ดีไม่ดีคุณอาจจะเป็นลมหมดสติไปก่อนได้” คนตัวโตเอ่ยอย่างเป็นห่วงเป็นใย แต่ความปรารถนาดีที่มีให้
กลับส่งไปไม่ถึงใจของอีกฝ่ายไปเสียนี่
“เรียนแค่สัตวแพทย์
อย่ามาเที่ยวเดาอาการคนอื่นสุ่มสี่สุ่มห้าเลยจะดีกว่า!” เจ้าของร่างผอมเก้งก้างเหน็บเพราะไม่เชื่อน้ำยา
ซึ่งแน่ล่ะ... บทสรุปทำนองนี้เป็นผลจากน้ำมือของอคติบังตาล้วน ๆ
“ผมไม่ได้มั่วนะคุณ
ผมเรียนมา... อาการโกรธจนควันออกหูนี่
จะสัตว์โลกน่ารักหรือสัตว์ประเสริฐเดินสองเท้าก็แสดงออกไม่ต่างกันสักเท่าไรหรอกครับ
/ ก็ถ้ารู้ว่าโกรธ
แล้วทำไมไม่ตอบคำถามผมมาสักทีล่ะ?!” สกลแหวใส่อย่างเหลืออดเป็นรอบที่เท่าไรก็ไม่รู้
และดูเหมือนท่าทางเหนื่อยหอบจนตัวโยนของเด็กต่างคณะจะทำให้สารินเองยอมใจอ่อนกับเจ้าของวาจาร้ายกาจเข้าให้แล้ว
“คุณอยากรู้จริง
ๆ เหรอครับว่าผมมาที่นี่ทำไม? / ก็เออสิ! คุณคิดว่าที่ผมโกรธเป็นผีบ้าอยู่นี่เพราะผมอยากทำนักหรือไง?!”
“โอเค โอเค ผมจะตอบคำถามคุณก็ได้...
แต่คุณต้องสัญญาอะไรกับผมสักอย่างได้ไหมครับ? / อะไร?!” ถึงจะยังไม่รู้ว่าเงื่อนไขของอีกคนคืออะไร แต่คุณสมบัติปากไวและขี้เสือกของหนุ่มสถาปัตย์ก็ยังไม่หลงลืมหน้าที่...
แม้สีหน้าในตอนนี้ของเจ้าตัวจะฉายความไม่ไว้ใจคู่สนทนาอย่างออกนอกหน้าก็เถอะ
“ถ้าพรุ่งนี้ซิลเวสเตอร์ถูกจับใส่คอลลาร์
เราจะไปงานเพ็ทโชว์ด้วยกัน ตกลงไหมครับ?”
พนันได้ปัญญาอ่อนมาก! กล้าพูด!... ได้ข่าวว่ายังไม่ได้เป็นหมอไม่ใช่ไง?
ถ้าซิลเวสเตอร์ไม่ได้เลียแผลอะไรมากมาย
หมอไม่ใส่คอลลาร์ให้แน่ ๆ
.
แล้วนี่จะอยากไปเพ็ทโชว์กับเราทำไมนักหนา?
บ้าหรือเปล่า?
แต่ไม่มีทางที่นายจะชนะเรากับซิลเวสเตอร์ได้หรอก!
“หึ!
ก็ได้! แต่คุณคงไม่มีหวัง เพราะซิลเวสเตอร์เชื่อฟังคำสั่งผมที่สุด!” สกลรับปากหนักแน่นด้วยน้ำเสียงดูแคลน พลางตีความท่าค้อมหัวน้อย ๆ ของคนฟังเป็นการแสดงความยอมรับนับถือในวาทะอันศักดิ์สิทธิ์ของตนจนอดลำพองใจไม่ได้...
หารู้ไม่ ความจริงจากอีกฝั่งกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น...
ว่าที่นายสัตวแพทย์หนุ่มจงใจใช้ท่วงท่าดังกล่าวช่วยทำให้คู่สนทนาคลายใจและยอมรับเงื่อนไขเดิมพันของตนแต่โดยดีต่างหาก
“ครับ ครับ
เชื่อครับเชื่อ ขนาดผมยังเชื่อฟังคุณเลย” แม้จะได้ยินอีกฝ่ายรับปากเป็นมั่นเหมาะไปหมาด
ๆ ทว่าสายตาเคลือบแคลงแฝงแววเจ้าเล่ห์หลังแว่นทรงม้อดกลับทำให้เขาต้องเอ่ยปากกำชับกำชาอย่างแม่นมั่นอีกรอบ
“เอาเป็นว่าพรุ่งนี้บ่ายสี่โมงเจอกันที่โรงพยาบาล... ห้ามตุกติกล่ะคุณ!”
“นี่คุณเห็นผมเป็นพวกกลับกลอกหรือไง?
คำไหนคำนั้นอยู่แล้วน่ะผมน่ะ!” หนุ่มแว่นในตำนานโอ่อย่างเหนือชั้น ซึ่งมันทำให้สารินเบาใจ
“ดีครับ แต่ถ้าสุดท้ายบ่ายสามโมงพรุ่งนี้ผมไม่เจอคุณที่โรงบาลคณะ
ผมจะชิงเอาอาหารเช้ากลางวันเย็นไปให้เจเรมีลืมหน้าคุณไปเลย... ผมไม่ได้ขู่นะคุณ
ผมพูดจริงทำจริง” ขาดคำ ร่างสูงใหญ่ใกล้สองเมตรก็เดินมุ่งหน้าไปยังประตูห้องอีกครั้ง...
คราวนี้ เขาไม่ผ่อนฝีเท้าเพื่อรอคนที่กระหืดกระหอบตามหลังแต่อย่างใด
“เดี๋ยวคุณ!
แล้วนั่นคุณจะไปไหน?” สกลโวยวายพลางจ้ำอ้าวคนแปลกหน้าที่เดินทิ้งห่างไปหลายช่วงตัว
“เฮ่ย! คุณ! ตอบคำถามผมก่อนว่าคุณมาที่นี่ทำไม?
คุณต้องการอะไร?!”
ถามแล้วทำไมไม่ตอบ?
ไหนบอกว่าอยากให้พูดด้วยไง?
แล้วนั่นไปหยุดหน้าห้องพี่ฌานทำไม?
อย่าบอกนะว่าจงใจจะแฉกัน?!
“คุณรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ห้องนี้?! หรือว่านี่คือคำตอบของคุณ? ยอมรับมาเสียดี ๆ ว่าคุณเป็นโรคจิตจริง
ๆ ใช่ไหม?!”
เด็กสถาปัตย์คาดคั้นด้วยเสียงหอบเหนื่อย กระนั้น... สารินกลับแค่ล้วงหยิบบางอย่างในกระเป๋าหลังแล้วยื่นให้
“อย่าลืมสัญญาของเรานะครับ!” ว่าที่นายสัตวแพทย์ย้ำเตือนพลางไขกุญแจเปิดประตูห้องตรงข้ามด้วยความเคยชิน
“อ้อ! แล้วผมก็ไม่ได้คอยตามคุณต้อย
ๆ เลยนะ คุณต่างหากล่ะที่ตามผมมาถึงหน้าห้อง... หึ หึ ราตรีสวัสดิ์ครับ”
และแล้วความบังเอิญครั้งสุดท้ายของวันก็ทำให้สกลกลายเป็นฝ่ายยืนมองแผ่นหลังใหญ่หายลับไปได้เป็นคราวแรกในสภาพอึ้งแดกและหน้าแหกไปพร้อม
ๆ กัน กระนั้น... สิ่งที่ทำให้ยิ่งหงุดหงิดและคันยุกยิกในหัวใจ
หาใช่ความรู้สึกพ่ายแพ้จนหมดรูป ทว่ากลับเป็นโบรชัวร์โฆษณางานเพ็ทโชว์ที่จะสิ้นสุดลงในวันพรุ่งนี้
ซึ่งรายละเอียดต่างไม่ได้รบกวนใจเขาได้เท่ากับรูปหมาใส่คอลลาร์ที่วาดด้วยลายเส้นอ่อนด๋อยตรงที่ว่างมุมบนขวานั่นอย่างไร
«♥»------------------------------------ TBC ------------------------------------ «♥»
No comments:
Post a Comment