Monday, January 11, 2016

«♥» บน บานฯ สาน รัก «♥» The 05th Bonding|| 11.01.2016



ขอเสียงคนที่รอคู่หลักของช่วงต้นภาคน้ำตาลคว่ำหน่อยยยยย!!!  
 เพราะจากนี้ไปอีกหลายตอนจะเป็นเรื่องราวการสร้างความสัมพันธ์ของสองหนุ่มรินแนนแล้วล่ะค่ะ

แม่ยกคู่อื่น ๆ ก่อนหน้านี้ทำใจร่ม ๆ หน่อยนะคะ
แต่ถ้าหากช่วงเวลาในท้องเรื่องไปประจวบเหมาะกับความเคลื่อนไหวของคู่หรือคี่ไหน
เราก็จะดึงเรื่องราวของหนุ่ม ๆ คู่นั้น ๆ ขึ้นมาเล่าให้ฟังเป็นหนังโฆษณาแล้วกันนะคะ

รักคนอ่านทุกท่าน... หากวันนี้มีแรง เราจะแอบมาแก้ที่พิมพ์ผิดหรือตกหล่นเนอะ
แต่ถ้าไม่... ขอผลัดไปวันพรุ่งนี้แล้วกันค่ะ...



«»------------------------------------------------------------------------------------«»








The 05th Bonding
 อาม่า และ น้าหนวด... รักนี้มีเบื้องหลัง




“ม่าแนน พี่เม่ย หวัดดีครับ” หลังประคองย่าของตนมาใกล้โต๊ะไม้ฝังมุกทรงกลมใจกลางห้องรับประทานอาหารอันเป็นจุดนัดพบของทั้งหมดในบ่ายวันนี้  ชายหนุ่มก็กล่าวทักทายพลางประนมมือก่อนค้อมตัวไหว้เจ้าของชื่อทั้งสองอย่างนอบน้อม  ทว่าผู้อาวุโสสูงสุดกับมือขวาคนสนิทกลับไม่ได้รับไหว้ดังเช่นทุกทีด้วยกำลังจดจ่ออยู่กับกิจกรรมตรงหน้าเป็นที่สุด  

“อามุ่ยฟ้า อาลิง ไล้... ไล้ จ๋อ จ๋อ!
(มุ่ยฟ้า ริน มา... มา! นั่ง นั่ง!)  ประโยคชักชวนภาษาแต้จิ๋วผ่านน้ำเสียงกระตือรือล้นถูกเอ่ยออกจากปากเจ้าบ้านหญิงที่เอาแต่จับจ้องมองการเคลื่อนไหวฝ่ามือทั้งสองข้างของเม่ยจนแทบไม่กะพริบตา

แม้ตลอดช่วงสี่ห้าปีให้หลัง อาคันตุกะสตรีจะคุ้นเคยกับบรรยากาศตรงหน้าเป็นอย่างดี แต่ท่าทางตื่นเต้นเหมือนเด็กได้ของเล่นของหญิงชราผู้ที่หล่อนให้การนับถือไม่ผิดจากพี่สาวร่วมอุทรมักจะแสดงออกไปเสียทุกครั้งยามที่จตุรมิตรศิษย์ไพ่ตองสำนักม่าซิ้วงิ้งมารวมตัวกันจนกลายเป็นภาพเจนตานั้น ทำให้ม่ารินไม่อาจกลั้นขำระหว่างพูดหยอกเอินคนโตกว่าออกหน้าไมค์ได้


“ฟ้ายังไม่ทันมืดเลยนะคะเจ่เจ้” อาม่ามุ่ยฟ้าคลี่ยิ้มเต็มหน้าพลางลดตัวลงนั่งถัดจากพี่เลี้ยงหลานชายอีกครัวเรือนเพื่อขอคำปรึกษาระหว่างร่วมกิจกรรมสุดโปรดของพี่สาวต่างตระกูล

“อั๊วบ่อซึ่ง อาเม่ยอีเกี๊ยะอั๊วซึ่ง เอ้าเม่ย... แหม่แม่ ปุงไป๊!
(อั๊วเปล่านะ อาเม่ยตังหากที่ชวนอั๊วเล่น เม่ย... แจกไพ่!) นี่ถือเป็นครั้งแรกของวันที่แกนนำกลุ่มไพ่ตองประจำซอยยอมละสายตาจากการล้างไพ่ที่กำลังดำเนินอยู่ แล้วหันไปสบตากับผู้มาเยือนพลางโบ้ยความผิดให้เด็กในบ้านอย่างเจ้าเล่ห์แสนกล ก่อนจะโบกไม้โบกมือเร่งเร้าคนทำไพ่เป็นรายถัดไป

“ม่าแนนไม่ต้องเร่งพี่เม่ยก็ได้ครับ เย็นนี้ผมกับม่าจะขอมาฝากท้องด้วยสักหน่อยน่ะครับ”  สารินหวังว่าคำพูดของตนจะลดความร้อนแรงของอาม่าเจ้าบ้านลงได้บ้าง อย่างน้อย ๆ พี่เลี้ยงของแนนก็ไม่ต้องรีบจัดไพ่เพื่อเอาใจคุณย่าจนมือเป็นระวิงอยู่แบบนี้

“ฮ่อ ฮ่อ! อั๊วเกี๊ยะลื้อไหล่ซึ่ง กิงแม้มักโบ่ยเสียบ เหม็งตึ๋งหลาย!
(ดี ดี! ถ้าคืนนี้ไม่ง่วงก็ไม่ต้องกลับบ้านนะ!)  เจ้าของนามซิ้วงิ้งตบโต๊ะดังฉาดด้วยความถูกอกถูกใจที่สองสมาชิกจากอีกสกุลวางแผนจะใช้เวลาหลังจากนี้ร่วมกันไปจนดึกดื่น  เพราะกว่าบุตรชายและสะใภ้จะเดินทางกลับจากงานมงคลของเจ้าสัวบริษัทคู่ค้าที่ระยอง ทั้งคู่ก็น่าจะถึงบ้านราวเที่ยงคืนได้

“หึ หึ... อย่าหักโหมเลยเจ่เจ้  วันหลังยังมี” สตรีสูงวัยผู้มีศักดิ์เป็นน้องถึงกับต้องเอ่ยปรามแต่เนิ่น ๆ เพราะรู้กิตติศัพท์ดีว่า หากไม่มีใครตั้งท่าคัดค้าน แกนนำท่านนี้เคยนำพาสมาชิกทั้งสามเล่นไพ่ตองยันฟ้าสางมาหลายครั้งหลายหน  ฝ่ายคนเป็นพี่พอได้ยินแบบนี้ก็ถึงกับเดือดร้อนจนไม่อาจนอนใจ

“อู๋กู้จิกจั่ว หยวนน่า! ซึ่งน่า! มิงก็นั้งไล้อยู่กู้เจี๊ยะล้าย ลื้อซุ้ยอั่ว เจี่ยก่อโหลยป่ายอาลิงอีบ่อตึ๋งหลาย”
(นาน ๆ กว่าจะชวนกันครบสักที! เอาน่า!  ตามใจอั๊วหน่อย อาทิตย์แล้วรินก็ไม่กลับบ้าน) คนโดนจับไต๋ได้ยู่หน้าพลางโบกมือไล่คำพูดของม่ารินให้ลอยผ่านหูทุก ๆ คนไป

คนคุ้นเคยสองวัยจากต่างบ้านก็พากันอมยิ้มชอบใจในคารมและอารมณ์รื่นเริงเป็นนิสัยของม่าแนนที่มักจะเกิดขึ้นเสมอยามขาไพ่ทัดทานการละเล่นลับสมองประลองปัญญาที่หล่อนมักจะหาโอกาสจัดขึ้นบ่อยเท่าที่โอกาสจะนำพา หรือเมื่อรวบรวมขาได้อย่างน้อยสี่คน.... ซึ่งหากวัดสถิติกันตามจริง แกนนำหญิงท่านนี้โทรตามขาให้มารวมตัวแทบจะทุกอาทิตย์เลยก็ว่าได้

ทว่าก่อนที่คุณย่าของเพื่อนรักในอดีตจะร่าเริงถึงขีดสุด สารินก็มักจะอาศัยจังหวะนั้นเองพูดเบรกอารมณ์ผู้อาวุโสแล้วปรับจูนคลื่นความถี่เสียงในฟิล์มให้กลับสู่ภาษาไทยสำเนียงจีนเข้มข้นอยู่ไม่ขาด...  เพราะยิ่งพอมีอาม่าของเขามาร่วมวงสนทนาด้วยอย่างเวลานี้ ดูเหมือนภาษาแม่ของผู้ใหญ่แห่งบ้านตึกหลังนี้จะยิ่งสตรองจนบางครั้งเขาเองยังต้องใช้เวลาแปลอยู่สักพักทีเดียว


“ม่าแนนครับ แนนบอกว่ายังไงครับ?” ชายหนุ่มถึงกับต้องเกร็งหน้าเพื่อจะได้ไม่หลุดยิ้มระหว่างสวมมาดเคร่งขรึมจ้องหน้าอาม่าคนที่สองของตน แต่มีหรือที่หญิงชราจะหวาดหวั่นกับการยกประกาศิตเพียงข้อเดียวของหลานชายสุดที่รักมาอ้างลอย ๆ ไปเมื่ออึดใจก่อนหน้า

“อีเกี๊ยะอั๊วไม๊ต๊าตึ่งอ่วย อาโซ๊ยตี๋อีบ่อต๋อ อั๊วต่าติ๊เกี้ยะ”
(ตี๋เล็กห้ามอั๊วพูดภาษาจีน แต่อีไม่อยู่ พูดนิดพูดหน่อยเองน่ะ) ม่าแนนยักคิ้วหลิ่วตาด้วยไม่อยากให้เด็กหนุ่มถือสากับภาษาพูดของตน แต่คนฟังกลับมีเหตุผลที่หนักแน่นจนหล่อนต้องยอมรับฟัง

“แต่พี่เม่ยจะไม่เข้าใจเอานะครับม่า”

“หมุ่ยเหลาะ อาเม่ยอีโอ่ยจาย... ซีหมีอาเม่ย?”
(หยวน ๆ น่า เม่ยรู้เรื่องหรอก... ใช่ไหมเม่ย?) ศูนย์รวมจิตใจของบ้านหันไปยิ้มหวานเอาใจพี่เลี้ยงหลานชาย ซึ่งหลังจากเด็กชายสกลเติบใหญ่จนเปลี่ยนคำนำหน้าเป็นนาย หญิงสาววัยสามสิบปลาย ๆ ผู้นี้ก็ได้กลายเป็นคู่หูคนใหม่นอกเหนือจากย่าของสารินไปเสียแล้ว

“ค่ะม่า” เม่ยยิ้มรับอย่างสุภาพแม้โดยส่วนใหญ่หล่อนจะไม่เข้าใจภาษาแต้จิ๋วของเจ้านายผู้อารีได้ถึงครึ่งก็ตาม

“แหม่แม่ แหม่แม่ จั่วไป๊!
(งั้นก็แจกไพ่เลย เร็ว!)  คำสั่งที่มาพร้อมท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือเป็นที่สุดของม่าแนนทำเอาขาไพ่ที่เหลือหลุดหัวเราะจนเต็มเสียง

“อาทิตย์นี้แนนก็ไม่กลับบ้านอีกแล้วเหรอครับม่า?” ระหว่างเรียงไพ่ สารินก็โพล่งคำถามติดปากออกมา...

ดูเอาเถิด... กระทั่งบ่ายวันเสาร์ เพื่อนสมัยเด็กซึ่งไม่ได้เห็นหน้ากันมาเกือบสิบปีก็ยังไม่ปรากฏกายให้เขาได้ยลโฉมเป็นบุญตาเลยสักครั้งนับตั้งแต่อาหารค่ำมื้อสุดท้ายหลังการผจญภัยเล็ก ๆ ในวันนั้น  ยิ่งคืนนี้อาม่าต้องอยู่โยงเฝ้าบ้านลำพัง แนนก็ยังจะไม่รู้สึกอนาทรร้อนใจสักหน่อยเชียวหรือ?!

และก็เหมือนกับทุกครั้งที่เขาเผลอคิดย้อนไปถึงช่วงเวลาสุดท้ายที่ได้เจอกัน  
ชายหนุ่มมักจะเอาแต่คิดวนเวียนซ้ำ ๆ ว่า เพราะเหตุใดอีกฝ่ายถึงหายตัวไปราวกับไม่เคยมีตัวตน

ดูเหมือนไพ่ใบเล็ก ๆ ในมือจะไม่ได้จัดการยากเท่ากับความดื้อรั้นของหลานชายตัวเอง เพราะพอได้ยินคำถามดังกล่าว แกนนำกลุ่มไพ่ตองก็ทิ้งไพ่เปิดแล้วคว่ำหน้าไพ่ที่เหลือในมือลงอย่างรวดเร็วหลังจากใช้เวลาจัดเพียงชั่วพริบตา แล้วจึงผินหน้ามาสบตากับอาตั่วตี๋ของหล่อน


“อย่าไปพูกถึงอาโซ๊ยตี๋เลย เคาก่องถ่าอั๊วหม่ายบกอีว่าจายกสงบักให้อาปีเต้อ อีคงหม่ายยมกับมาอยู่บั้งหลกมั้ง”
(อย่าไปพูดถึงตี๋เล็กเลย คราวก่อนถ้าไม่บอกอีว่าจะยกสมบัติให้ปีเตอร์ อีคงไม่ยอมกลับมาอยู่บ้านหรอกมั้ง) ที่สุดแล้วประมุขชราประจำบ้านก็ยอมกลับมาพูดไทยเป็นหลักเพราะหล่อนไม่อยากให้เม่ยเสียสมาธิในการเล่นไพ่ 

วาจาตัดพ้อกับหางเสียงน้อยอกน้อยใจปิดไม่มิดหากแต่ทำสัพยอกกลบเกลื่อน ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกปวดร้าวและเห็นใจหญิงชราไม่มีใครเสมอเหมือน  กระนั้น... สารินกลับรู้ดีว่า ส่วนหนึ่งของความเจ็บปวดดังกล่าว มาจากความรู้สึกผิดหวังที่ตอกย้ำว่า เขาได้กลายเป็นเพียงเสี้ยวความทรงจำของเด็กชายอีกคนไปเสียแล้ว...

ช่วงปีแรก ๆ  คนเป็นพี่มักจะคอยแวะเวียนมาถามเม่ยไม่ก็อาม่าถึงช่วงเวลาที่จะได้เจอกับอาตี๋เล็กอีกครั้งอย่างสม่ำเสมอ ทว่านานวันเข้า คำตอบที่ว่า... อาทิตย์นี้เด็กชายแนนจะอยู่โยงเฝ้าโรงเรียนพร้อมเพื่อนสนิทเพราะไม่อยากให้เพื่อนเหงา รวมไปจนถึง ปิดเทอมนี้หลานชายหัวแก้วหัวแหวนจะพาอาม่ากับพี่เลี้ยงไปตากบรรยากาศที่บ้านไร่ในอำเภอปากช่องของสหายรักก็ทำให้อาตั่วตี๋ของม่าแนนถอนตัวจากทำเนียบแขกประจำของบ้านไปในที่สุด 

เพิ่งจะมาช่วงขวบปีหลัง ๆ นี่เอง ที่คุณย่าของทั้งสองบ้านเริ่มเข้ากลุ่มออกกำลังกายกับบรรดาผู้สูงอายุในละแวกเดียวกัน สารินจึงได้หวนกลับมาทวงตำแหน่งหลานชายอีกคนของอาม่าซิ้วงิ้งอีกครั้ง ซึ่งรอบนี้... ว่าที่นายสัตวแพทย์น่าจะทำคะแนนแซงหน้าหลานชายตัวจริงผู้ไม่ค่อยจะกลับมาอยู่บ้านไปหลายช่วงตัว


“น้องอาจจะยุ่งกับงานที่คณะก็ได้นะครับ”  ไม่ว่าอาม่าแนนจะตำหนิบุคคลที่สามด้วยเจตนาใด  อย่างไรเสีย... สารินก็มักจะพยายามแก้ต่างแทนเพื่อนรักอย่างไม่ว่างเว้นราวกับเป็นโฆษกส่วนตัวของอีกฝ่ายอย่างไรอย่างนั้น

“อั๊วก็หม่ายลุเหมิงกังว่าอีเลียงหนักม้าย ไอ้คะนะสะถาปักอาไลขงอีเนี่ย...
...เห็งอีเอาแต่นั่งวากลูบอยู่ได้ท้างวัง อั๊วก็หม่ายเห็งว่างังมังจะหนักตงหนาย”
(ม่าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแนนเรียนหนักไหม ไอ้คณะสถาปัตย์อะไรของเขาเนี่ย...
...เห็นเอาแต่นั่งวาดรูปอยู่ได้ทั้งวัน ม่าก็ไม่เห็นว่างานมันจะหนักตรงไหน) ถึงอาม่าซิ้วงิ้งจะกำลังกวาดสายตาประหนึ่งเหยี่ยวออกล่าเหยื่อเพื่อมองไปรอบ ๆ วงคล้ายกับรอคอยจังหวะ ทว่าหล่อนกลับโต้ตอบได้อย่างฉับไวจนน่านับถือ

“ผมได้ยินว่าคณะนี้งานเยอะครับม่า ยิ่งช่วงไหนต้องทำงานส่งนี่แทบไม่ได้นอนกันเลย” หากให้สารภาพกันตรง ๆ นักศึกษาคณะสัตว์แพทย์ผู้ไม่มีเพื่อนฝูงมากมายอย่างเขาก็ไม่รู้หรอกว่าเด็กเต็กยุ่งขนาดไหน  แต่เพื่อความสบายใจของอาม่าที่จะเผื่อแผ่ไปถึงการไม่ดุด่าหลานชายผู้หายสาปสูญอีกทอดหนึ่ง สารินก็คิดว่าน่าจะคุ้มค่ากับการพูดโกหกในแต่ละครั้ง  แต่ดูเหมือนหญิงชราผู้ร่าเริงจะรู้ทัน  

“ลื้อหม่ายต้งมาแก้ตัวแทงอีหลก อีติกเพิ่งหยั่งกะอาไล ยิ่งพอเข้ามาหาลายเลี้ยว...
...อียิ่งมีเพิ่งเยอะขึ้ง อีเลยไม่ค่อยจากับมาหาอั๊ว... ผ่ง!!
(รินไม่ต้องมาแก้ตัวแทนน้องหรอก แนนติดเพื่อนอย่างกับอะไร ยิ่งพอเข้ามหาลัยแล้ว...
น้องก็ยิ่งมีเพื่อนเยอะขึ้น เลยไม่ค่อยจะกลับบ้านมาหาม่า... ผ่อง!!) ถึงทักษะด้านภาษาที่สองจะไม่โดดเด่น แต่พอเป็นเรื่องไพ่ตอง ม่าแนนถือว่าเป็นหนึ่งในตองอูก็ว่าได้  หล่อนยิ้มกริ่มแล้วจึงหงายไพ่ในที่เมื่อมือรวมกับไพ่จั่วใหม่ของเม่ยจะครบชุดพอดี ก่อนจะทิ้งไพ่หนึ่งใบออกจากมือด้วยท่าทีเฉียบขาดก่อนจะต่อบทสนทนากับหลานชายจากอีกบ้านอย่างไม่มีสะดุด

“ตงอยู่มาหาลาย ลื้อเคยเจออีบั้งหลือเป่าอาลิง?”
(ตอนอยู่มหาลัย เคยเจอน้องบ้างหรือเปล่าริน?)  พอหลานแท้ ๆ หายไปจากวงโคจรของเจ้าหล่อน ซิ้วงิ้งจึงติดเรียกสารินตามเพื่อนรุ่นน้องไปโดยปริยาย ทว่าด้วยความที่หล่อนลิ้นแข็งจนเกินไป การออกเสียงตัวอักษรที่ละเอียดอ่อนและต้องการความใส่ใจมากเป็นพิเศษจึงถูกละเลย  เพราะสำหรับคนฟังแล้ว... สำเนียงที่ถูกต้องมีความสำคัญเพียงกระผีกริ้นเมื่อเทียบกับความหมายที่หญิงชราต้องการจะสื่อ

“ไม่นะครับ หรือถ้าเคยบังเอิญเจอ... ผมว่าทั้งผมและน้องคงจะจำหน้ากันไม่ได้แล้วล่ะครับม่า” ชายหนุ่มตอบตามตรง...

คงเป็นเรื่องน่าประหลาด หากเขาสามารถจดจำเด็กหนุ่มต่างคณะได้ทันทีหลังจากไม่ได้เห็นหน้าอีกฝ่ายมาเกือบศตวรรษ เพราะลำพังตัวเขา ถึงเค้าโครงหน้าตาจะดูไม่ผิดไปจากเด็กชายสารินวัยสิบเอ็ดขวบสักเท่าใด หากแต่ขนาดร่างกายที่เจริญเติบใหญ่ผิดไปเป็นคนละคน บวกกับอุปนิสัยชอบเดินหลบตาไม่มองหน้าใครกับการใส่หูฟังตลอดเวลายามที่อยู่มหาลัยคงช่วยส่งเสริมให้เขากลายเป็นคนไม่น่าจดจำสักเท่าไรหรอกมั้ง  

ในทางกลับกัน... สารินก็ทึกทักเอาเองว่า รูปลักษณ์ของแนนเองก็คงจะเปลี่ยนไปมากพอสมควร ดีไม่ดีอาจจะตัวใหญ่กว่าเขาเสียด้วยซ้ำ เพราะเท่าที่ดูจากรูปร่างของสมาชิกในตระกูลพงษ์พินิจรุ่งโรจน์แล้ว ฝั่งนั้นน่าจะมีแววเป็นพวกโครงใหญ่ไม่แพ้คุณพ่อ แต่คำตอบของอาม่ากลับทำให้ชายหนุ่มชักไม่มั่นใจ


“อาโซ๊ยตี๋อียางเหมิงเลิมนะ”
(ตี๋เล็กยังเหมือนเดิมนะ) แกนนำวงไพ่ตบท้ายด้วยการยิ้มมุมปากพร้อมกับยักคิ้วจึ้ก ๆ ให้หลานชายอีกคน


เหมือนเดิม?! เหมือนเดิมคือยังไง?
เหมือนเดิมกับเมื่อสมัยก่อนโดยที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยน่ะเหรอ?
จะเป็นไปได้เหรอ?!


“น้องยังน่ารักเหมือนเดิมน่ะเหรอครับ?” ไวเท่าความคิด สารินก็หลุดปากส่งผ่านความรู้สึกเบื้องลึกออกมาให้หญิงชราประจำสกุลได้รับทราบโดยไม่ทันรู้สึกตัว    

“หม่าย... อีฉี่โบ่ยตั่ว อีเหล่าแหล่ เหล่าแล้ อีบ่อจ้อมิไก๊ ไฉจี๊ตั่ว”
(เปล่า... อีโตแต่ตัว ขี้อ้อน เอาแต่ใจ ทำอะไรไม่เป็น แถมยังใช้เงินเก่ง) ม่าแนนส่ายหัวอ่อนใจพลางร่ายคุณสมบัติของหลานชายตัวเองออกมาเป็นชุดจนขาไพ่ผู้มีภูมิต้านทานภาษาแต้จิ๋วติดไฟทั้งสองหลุดหัวเราะด้วยความขำขัน... นี่ม่ากำลังตบมุกด้วยการเผาหลานชายตัวเองอยู่ชัด ๆ !  

“สงสัยเจ่เจ้คงต้องหาคนมาช่วยดัดนิสัยอาโซ๊ยตี๋ดูแล้วละมั้งคะ” มาถึงตรงนี้ ม่ารินผู้ที่แม้จะคร่ำหวอดในวงไพ่ตองกับเจ้าของบ้านมาตั้งแต่ยุคบุกเบิกทว่าฝีมือยังอยู่ในระดับเริ่มต้นยอมผละจากกุนซือเม่ยเพื่อแทรกความคิดเห็นเป็นครั้งแรกหลังเริ่มเกม  ท่วงท่าสนุกสนานผ่านน้ำเสียงกลั้วหัวเราะอย่างเป็นธรรมชาติของคนเป็นย่าทำให้สารินไม่ทันได้สังเกตประกายวิบวับในแววตาของมุ่ยฟ้าที่แอบส่งให้หญิงชราอีกคนแบบลับ ๆ   

ส่วนอีกคนที่เข้าใจความหมายของท่าทางและคำพูดเป็นอย่างดี ก็รีบฉวยจังหวะนี้เพื่อเริ่มดำเนินแผนการที่หล่อนกับม่ารินสมคบคิดกันมาเป็นแรมปีเป็นครั้งแรก


“อาลิง  วังไหนลื้อวั่งแวะมากิง... ((Rrrrrrrrrrrr Rrrrrrrrrrrr Rrrrrrrrrrrr...))” 
(ริน วันไหนว่าง ๆ แวะมากิน...) หญิงชราส่งเสียงจิ๊กจั๊กด้วยความขัดใจ หลังจากเสียงเรียกเข้าของมือถือเครื่องที่หล่อนห้อยอยู่กับคอดังขัดช่วงเวลาสำคัญอย่างพอดิบพอดี  แต่พอหรี่ตามองชื่อของคนปลายสาย อารมณ์งุ่นง่านไม่พอใจของหล่อนก็หายไปในพริบตา

“ฮาโหล ฮาโหล... ว่ายังงายอาโซ๊ยตี๋?”
(ฮัลโหล ฮัลโหล... ว่ายังไงตี๋เล็ก?)  ย่าแนนยกยิ้มกรุ้มกริ่มด้วยความถูกใจก่อนจะส่งสัญญาณมือบอกให้ขาทั้งหลายเล่นไพ่รอไปพลาง ๆ

อาจเป็นเพราะคนปลายสายพูดเสียงดัง หรือจะเป็นเพราะเครื่องมือสื่อสารตั้งเสียงลำโพงให้ดังระดับแม็กซ์ประจวบกับบรรยากาศในห้องที่เงียบสงัดไร้เสียงคุยแทรก ทำให้แม้คู่สนทนาของหญิงชราจะอยู่อีกที่หนึ่ง แต่สมาชิกอีกสามคนกลับได้ยินสรรพเสียงต่าง ๆ  จากอีกฟากฝั่งอย่างชัดเจน


((ม่าคร๊าบบบบบ! แนนคิดถึงม่าที่สุดเลยคร๊าบบบบบบบ!)) กลายเป็นว่า ตอนนี้ขาไพ่ทั้งวงต่างก็กำลังอมยิ้มตามแกนนำไปติด ๆ

“ลื้อหม่ายต้งทำมาเป็งพูกลีเลย ลื้อหม่ายล่ายคิกถึงอั๊วหลก... ถ้าลื้อคิกถึงอั๊วจิง ลื้อต้งกับมาบั้งทุก ๆ อาทิกซี่”
(ไม่ต้องทำมาเป็นพูดดีเลย เราไม่ได้คิดถึงม่าหรอก... ถ้าเราคิดถึงม่าจริง เราต้องกลับมาบ้านทุก ๆ อาทิตย์สิ) รอยยิ้มกว้างขวางบนใบหน้าเจ้าบ้านลบล้างน้ำหนักของประโยคต่อว่าดังกล่าวไปเสียสิ้น... น่าเสียดายที่คนปลายสายไม่มีโอกาสได้ชื่นชม

((โห่ ไม่จริงเลยม่า! อาทิตย์นี้พี่ฌานกับฌอนเพิ่งย้ายเข้าห้องใหม่ แนนเลยต้องอยู่ช่วยขนของ ช่วยทำความสะอาดห้องครับ ของเย้ออออมากเลยนะม่า ถ้าแนนไม่อยู่ช่วย... เพื่อน ๆ ต้องขนของเข้าห้องใหม่กันไม่เสร็จแน่ ๆ เชื่อแนนสิครับ แนนหลานม่าไม่เคยโกหกม่าเลยน้าาาาาาาาาา)) เสียงพูดออดอ้อนอ่อนหวานของคนเป็นหลานกลับกลายเป็นการแก้ตัวในความรู้สึกของคนฟังไปเสียฉิบ

“โกหก! ลื้อลักเพิ่งมักกว่าลักม่า ลักอาป๊า ลักอาม้า ลักอาปีเต้อก็ยมลับมาลี ๆ เถอะ”
(โกหก! รักเพื่อนมากกว่ารักม่า รักป๊า รักม้า รักอาปีเตอร์ก็ยอมรับมาดี ๆ เถอะ)

((ฮือออออออออ ม่า แนนรักม่านะครับ รักม่ามาก ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มากที่สุดในโลก รองลงมาก็ป๊า ม้า พี่เม่ย ส่วนปีเตอร์ แนนรักเป็นอันดับสุดท้ายเลยครับ!)) สิ้นคำหลานรัก คนทั้งวงก็เห็นม่าแนนแลบลิ้นก่อนจะคลี่ยิ้มร้ายคล้ายกับกำลังสมใจที่แกล้งอำเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ ๆ ได้ลงคอ

“หึ หึ หึ... ลื้อฉุ่ยไม๊คะตี! ลื้อออล่ออาม่า ลื้ออ๊ายเม๊ะก๊าย”  
(หึ หึ หึ... ปากหวาน! คราวนี้จะเอาอะไร อยากได้อะไร)  มาถึงตรงนี้ ขาไพ่ทั้งสามต่างก็วางมือจากไพ่ด้วยต้องรอให้แกนนำจั่วหรือทิ้งไพ่อีกครั้ง  ฝ่ายอาม่าก็ตัดฉับเข้าสู่ใจความหลักของบทสนทนาทำนองนี้ที่หล่อนคุ้นเคยเป็นอย่างดีตลอดเกือบสองปีที่ผ่านมาหลังหลานย่าย้ายไปเรียนและพำนักในมหาวิทยาลัยไกลกว่าเขตปริมณฑล

((ม่าช่วยบอกป๊าให้โอนเงินเข้าบัญชีเพิ่มให้แนนหน่อยได้ไหมครับ อาทิตย์นี้แนนจะพาซิลเวสเตอร์ไปทำหมันน่ะครับ... นะครับม่า เดี๋ยววันศุกร์หน้าแนนจะกลับไปกินข้าวเย็นกับม่าให้ได้เลย!!)) หลานชายให้คำมั่นเพื่อแลกกับเงินหลายหลักในบัญชีที่จะโอนเข้าในพริบตาหลังตนวางสายตากอาม่าคนดีที่หนึ่งในโลกโดยแทบไม่ต้องรอให้คนเป็นพ่อมาจัดการ

“ลื้อเหยียะบ่อเอ่ง  อาโซ๊ยตี๋ฉ่วยสื่อเสี่ยจี๊!  ลื้อคื้อติ่ก่อเจี่ยอาซิงเจอร์ไล้?!
(เรานี่มันเหลือเกิน หาแต่เรื่องเสียเงินนะตี๋เล็ก! แล้วอาซิงเจอร์มันโผล่มาจากไหนอีกล่ะ?!) ม่าแนนบ่นด้วยภาษาบ้านเกิดเสียงขรมจนสมาชิกร่วมวงจากต่างบ้านแอบเหลือบมองหน้ากัน ก่อนจะแลกเปลี่ยนรอยยิ้มบาง ๆ ให้อีกฝ่าย... คนเป็นย่าดูจะโล่งอกที่สารินเป็นเด็กใช้จ่ายอดออมมากกว่าหลานชายของเจ่เจ้มากทีเดียว  

((แนนก็ไม่รู้เหมือนกันครับม่า  แนนก็เพิ่งเห็นซิลเวสเตอร์หลงเข้ามาในมอเมื่อเช้านี้เอง...
.
.
...เดี๋ยวพอป๊าโอนเงินมาให้ พรุ่งนี้แนนจะพาซิลเวสเตอร์ไปส่งที่โรงพยาบาลในมหาลัยให้เขาช่วยทำหมันให้มันอีกที...
...ม่าตกลงช่วยซิลเวสเตอร์มันแล้วนะครับ ม่าอย่าเบี้ยวล่ะ เดี๋ยวซิลเวสเตอร์จะชิงสุกก่อนห่ามเสกลูกเข้าท้องน้องหมาตัวอื่นไปเสียก่อน)) แม้น้ำเสียงจะฟังแผ่วลงนิดหน่อยในช่วงต้น แต่คนปลายสายที่รู้ตัวดีว่าเป็นที่รักของใครต่อใครในบ้านก็สลดได้ไม่นาน เพราะการบริบาลสวัสดิภาพของหมาทั่วมอคืองานอดิเรกที่เจ้าตัวให้ความสำคัญไม่น้อย ซึ่งหญิงชราผู้อยู่ทางนี้ก็ไม่คิดจะขัดขวางความสุขหลาน

“เออ ๆ ม้ายหมึ่งกิ๊ติก ไหล่กะอาม่าเจี่ยปึ่งนา”
(เออ ๆ อย่าลืมกลับบ้านมากินข้าวกับม่าล่ะ)

((ครับม่า! แนนรักม่าที่สุดเล้ยยยยยยยยย!!)) คำหวานของหลานชายทำให้อาม่ายิ้มกว้างได้อีกครั้ง แต่ด้วยความเกรงใจขาไพ่ต่างสกุล  หล่อนจึงรวบตึงบทสนทนาดังกล่าวโดยพลัน

“เจี๊ยแซ เจี๊ยแซ อาม่าคื๊อสึงจั่วไป๊”
(แค่นี้นะ ม่าจะกลับไปเล่นไพ่)

((จุ๊บ จุ๊บครับม่า... เจอกันวันศุกร์นะคร๊าบบบบบบบบ!!)) คุณย่าของบ้านหัวเราะชอบใจพลางกดตัดสายหลานชายขาอ้อนของหล่อนก่อนจะฟอร์มบ่นอย่างไม่จริงจังนักด้วยไม่อยากให้น้องสาวต่างสายเลือดคิดว่าหล่อนตามใจหลานชายจนเหลิง

“อาโซ๊ยตี๋ อีเตี่ยมเตี่ยมเจี๊ยะแซ ผะเตี่ยงไล้ขื่อไหล่กะอัวเคี๊ยะจี๊!
(เป็นอย่างนี้ตลอดแหละตี๋เล็กเนี่ยะ โทรมาทีไรเป็นต้องได้ขอแต่เงินทุกที!)

“วัยรุ่นก็อย่างนี้แหละเจ่เจ้   เรื่องกินเรื่องเที่ยวยิบย่อยไปหมด”

“ลื้อล่ะอาลิง ลื้อช้ายเงิงเยอะเหมิงอาโซ๊ยตี๋อีหลือเป่า?”
(รินล่ะ ใช้เงินเยอะเหมือนตี๋เล็กหรือเปล่า?) แม้ความเห็นของมุ่ยฟ้าจะช่วยกล่อมให้หล่อนเบาใจ แต่อาม่าซิ้วงิ้งกลับอยากได้ยินความเห็นจากคนในวัยเดียวกันกับหลานชาย

“ผมว่าน้องคงไม่ได้ใช้เงินเยอะแยะหรอกครับ น้องคงใช้เฉพาะเท่าที่จำเป็นมากกว่า เพราะบางที บางวิชาผมก็ต้องจ่ายเงินค่าอุปกรณ์เสริมเยอะแยะไปครับม่า” อาม่าของอีกบ้านฟังคำสารินแล้วก็ส่ายหัวอย่างอ่อนใจกับทั้งนิสัยใช้เงินมือเติบของหลานในไส้ และการให้ท้ายน้องของเด็กหนุ่มตรงหน้า ที่ไม่ว่าจะวันวานหรือวันนี้ก็ยังเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนผัน

“หึ! เงิงอาโซ๊ยตี๋อีหมกไปกะหมาแมวทั้งนั้ง ขอเพิ่มแต่ละทีก็เพาะหมาเพาะแมวนั่งแหละ”
(หึ
! เงินตี๋เล็กหมดไปกับหมาแมวทั้งนั้น ขอเพิ่มแต่ละทีก็เพราะหมาเพราะแมวนั่นแหละ)

“ก็ดีนะเจ่เจ้ ฟังเจ่เจ้พูดถึงโซ๊ยตี๋แต่ละที อั๊วก็เห็นแต่เจ่เจ้บอกว่าอีใจบุญกับหมาแมว...
.
...หลานเราไม่ได้ทำเรื่องเสียหาย เราคอยสนับสนุนก็ถูกแล้ว” ย่ารินปลอบใจผู้เป็นพี่เพราะไม่อยากให้คิดมาก จริงอยู่ที่หลานของอีกบ้านมักจะมีเรื่องต้องใช้เงินอยู่บ่อย ๆ แต่เท่าที่รับฟังมาโดยตลอด ดูเหมือนผู้สนับสนุนทั้งสามของบ้านก็ไม่ได้เดือดร้อนกับการสมทบเงินเสริมให้   ที่สำคัญ... นิสัยใจบุญกับเพื่อนร่วมโลกอันเป็นคุณสมบัติติดกายแนนมาตั้งแต่ยังเล็กก็ไม่ได้เป็นพิษภัยกับผู้ใด  ตรงข้าม... หล่อนกลับเห็นว่ามันช่วยจรรโลงให้สังคมน่าอยู่ขึ้นเสียด้วยซ้ำ

“เลิ่งเงิงน่ะหม่ายท่าวไหล่หลกอามุ่ยฟ้า แต่อั๊วไม่สบายใจเวลาเห็งแผเป็งหม่าย ๆ ตามแขงขาอีทั่วปายหมกน่ะซี... ถก!
(เรื่องเงินน่ะไม่เท่าไรหรอกมุ่ยฟ้า แต่อั๊วไม่สบายใจเวลาเห็นแผลเป็นใหม่ ๆ ตามแขนขาอีทั่วไปหมดน่ะสิ... ถก!) ผู้อาวุโสสูงสุดในที่นั้นกรีดไพ่วางลงตรงหน้าตักด้วยรอยยิ้มที่ช่างขัดแย้งกับถ้อยคำสะท้อนความเป็นห่วงหลานชายเสียนี่กระไร... ช่วยไม่ได้ที่เรื่องกินเงินขาไพ่จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในเวลานี้

สาเหตุที่ทุก ๆ คนในวงจ่ายเงินตามยอดที่เม่ยเป็นคนคิดให้โดยไม่มีอิดออดเป็นเพราะเงินทั้งหมดที่หมุนเวียนอยู่ในที่นี้เป็นเงินของตัวตั้งตัวตีผู้มีอายุขัยมากที่สุดทั้งสิ้น  ครั้งแรกที่สารินรู้ความต้องการของม่าแนน เขาก็อดสงสัยไม่ได้ว่ามันจะต่างจากการเล่นไพ่แบบไม่กินเงินที่ตรงไหนแถมการไม่มีเงินมาเกี่ยวข้องยังปลอดภัยไม่เข้าข่ายการกระทำผิดกฏหมายอีกต่างหาก  แต่พอเห็นว่าขาไพ่อาวุโสทั้งสองดูจะตื่นเต้นและลุ้นเสียทุกครั้งไป ชายหนุ่มก็ยอมทำไม่รู้ไม่ชี้กับเรื่องนี้ได้ในไม่ช้า   


“ม่าคะ เดี๋ยวหนูไปเอาไพ่สำรับใหม่ก่อนนะคะม่า  อันนี้มันเยินแล้ว ไม่เล่นแล้วเนอะ” เม่ยขอตัวทันทีที่เห็นสภาพไพ่ที่ดูไม่น่าเล่น ฝ่ายหญิงชราก็กลัวว่าขาจะขาด หล่อนเลยยิงคำถามแกมหยอกสวนกลับทันควัน

 “อาเม่ย... ลื้อซูเจี๊ย ลื้อเจ้าเหลี่ยวเหลอ?”
(เม่ย... เสียไพ่ จะหนีแล้วเหรอ?)

“เปล่าเสียหน่อยค่ะม่า นี่ก็เงินม่าทั้งนั้น  หนูหมดตัวม่าก็ให้หนูใหม่อยู่ดี”

จริงอย่างที่พี่เลี้ยงหลานชายว่าทุกประการ เพราะพอกองเงินตรงหน้าตักของใครหมด คุณย่าผู้ใจดีก็มักจะเติมเงินให้ไม่ได้ขาด ซึ่งผู้อาวุโสไม่เคยตำหนิหากใครจะเก็บเงินเหล่านั้นติดกระเป๋ากลับไปใช้เมื่อวงแตก  แต่ทุกคนมักจะเก็บเงินที่ได้มาใส่กระปุกเรียงกันไว้ที่บ้านเพื่อให้การตั้งวงครั้งหน้าม่าแนนจะได้ไม่ต้องควักเนื้อซ้ำแล้วซ้ำเล่า


“แหมแม่ขื่อ แหมแม่ไล้ เดี๋ยวอั๊วบ่อหนั่งกะอั๊วซึ่ง!
(รีบไปรีบมา เดี๋ยวไม่มีคนมาเล่นไพ่กับอาม่า!) ทันทีที่เจ้านายพูดจบ ร่างท้วมของเม่ยก็วิ่งไปทางหลังบ้านคล้ายกับไม่อยากละเมิดคำสั่งของอีกฝ่ายให้คุณย่าเสียอารมณ์  สารินจึงฉวยโอกาสพักผ่อนดังกล่าว ขออนุญาตผู้ใหญ่ทั้งสองไปทักทายเจ้าลูกหมาลายวัวตัวล่าสุดของบ้านเสียหน่อย

“งั้นเดี๋ยวขอผมออกไปหาปีเตอร์แป๊บนึงนะครับม่า เมื่อกี๊เข้ามายังไม่ได้แวะไปทักมันเลย”

“รินไปเถอะ เดี๋ยวม่าให้เม่ยไปตามนะ”

“ครับม่า” ชายหนุ่มเดินค้อมตัวละจากโต๊ะไปโดยไม่ทันได้เห็นว่าอาม่าทั้งสองต่างมองหน้ากันด้วยสายตามีเลศนัยน่าสงสัยยิ่งนัก

«»------------------------------------------------------------------------------------«»


“อ่ะ ชีทเทอมสองทั้งหมดของพี่ว่าน พี่เจน แล้วก็ของพี่” สารินยื่นกระดาษปึกใหญ่ให้น้องรหัสที่ร่ำร้องขอเอกสารประกอบการเรียนของเขาเพื่อใช้ในเทอมที่สองของปีการศึกษามาตั้งแต่วันแรกที่เปิดเทอมมา  

“แล้วไอ้ปึกที่เย็บมุมสีเขียวนี่ล่ะพี่ริน?” หญิงสาวรูปร่างพกพาที่ดูเตี้ยไปถนัดตาเมื่อต้องมายืนแหงนคอคุยกับพี่รหัสสูงร้อยเก้าสิบกว่าซักอีกฝ่ายเกี่ยวกับชีทในมือซึ่งไม่มีชื่อวิชากำกับ

“นิวโรอนาโตมี อ่านดี ๆ โดยเฉพาะหัวข้อที่ไฮไลท์”

“ขอบคุณและก็ขอโทษพี่รินด้วยนะคะ เพราะเอ้แท้ ๆ เลย พี่รินเลยต้องลำบากกลับไปเอาชีทให้ถึงที่บ้าน” แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายใจดีที่หนึ่ง  แต่หล่อนก็อดเกรงใจไม่ได้ เพราะนอกจากจะคอยจิกสารินเรื่องชีทอยู่ยิก ๆ นับตั้งแต่เมื่อต้นอาทิตย์ที่แล้ว  หล่อนยังกล้าขอให้เขาขนมันมาให้ที่คณะในวันอาทิตย์ ทั้งที่อีกฝ่ายติดบ้าน ติดห้องแถมยังไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใครโดยไม่จำเป็นแท้ ๆ

“หึ! ออกตัวก่อนเพราะไม่อยากโดนบ่นใช่ไหมล่ะ?” คนโตกว่าอมยิ้มล้อเลียน

“แหะ แหะ... พี่รินก็ รู้ทันเอ้เรื่อยเลย! แต่จริง ๆ เอ้ว่าพี่รินก็ไม่น่าจะบ่นเอ้ได้เต็มปากหรอกนะคะ” คำพูดที่ฟังกลับไปกลับมาของน้องร่วมสายทำให้สารินเผลอขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เอ้จึงรีบไขข้อข้องใจให้กระจ่างในทันตา “ก็พี่รินน่ะกลับบ้านทุกอาทิตย์อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น... ชีทพวกนี้ก็เป็นแค่ผลพลอยได้จากการกลับบ้านเฉย ๆ เองนี่เนอะ”  พอเห็นสีหน้าทะเล้นของรุ่นน้อง  ผู้พี่จึงอดแหย่ไม่ได้

“งั้นปีหน้าพี่รวมชีทกับหนังสือทั้งปีให้เราทีเดียวเลยแล้วกัน แต่ละเทอมจะได้ไม่ต้องรอพี่”

“เฮ่ยยยย!! ไม่เอางั้นดิพี่ริน ขอทีละเทอมแบบนี้แหละดีแล้ว หอเอ้ไม่กว้างเหมือนห้องพี่รินสักหน่อย เก็บชีททีละเยอะ ๆ ไม่ได้หรอกค่ะ เดี๋ยวเมทเอ้ก็แอบเอาไปชั่งกิโลขายกันพอดี” เอ้โวยวายเสียงดังไปตามประสาเพราะหล่อนรู้ว่าถึงพี่รหัสจะเป็นพวกหล่อพูดน้อยหน้านิ่ง แต่พอได้ทำความรู้จักกับอีกฝ่ายจนเห็นเนื้อแท้กันจริง ๆ  หล่อนก็พบว่า พี่สารินขี้เล่นและอ่อนโยนกับคนรอบข้างมาก โดยเฉพาะกับผู้หญิงและเจ้าตูบ

“หึ หึ หึ... แสบเอ๊ย!” ว่าที่นายสัตวแพทย์ยกชีททั้งปึกบางวางลงบนหัวน้องรหัสจนอีกฝ่ายต้องรีบประคองให้วุ่นวาย แต่พอตั้งตัวได้  สายรหัสปีสองของเขาก็ยิงคำถามใหม่ขึ้นมาเพราะรู้ว่าวัตถุประสงค์ของการพบกันในวันนี้ลุล่วงโดยสมบูรณ์แล้ว

“แล้วเดี๋ยวพี่รินไปไหนต่ออ่ะคะ? กลับห้องเลยเหรอ?”

“อืม เราล่ะ?”

“เดี๋ยวเอ้จะแวะไปชมรมหน่อยค่ะ แต่ว่าจะเดินออกไปส่งพี่รินที่รถก่อน... นาน ๆ จะได้เจอพี่รหัสทั้งที ต้องใช้เวลาด้วยกันให้คุ้ม ๆ ” หญิงสาวแซวพลางวางชีททั้งปึกลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวังก่อนจะออกเดินนำหน้าคนโตกว่าไปยังที่จอดรถข้าง ๆ คณะ อันเป็นที่จอดร่วมของโรงพยาบาลสัตว์

“แล้วน้องรหัสเราล่ะ... ยังปีนเกลียวอยู่หรือเปล่า?” สารินถามไถ่ถึงน้องเฟรชชี่ที่อยู่ในความดูแลอย่างใกล้ชิดของเอ้ ซึ่งคำถามดังกล่าวทำเอาพี่รหัสดีเด่นผู้เดินข้าง ๆ ถึงกับหน้าแดงไปทั้งแถบ

“...ก็... ไม่แล้วอ่ะค่ะ” ยิ่งเอ้อ้อมแอ้ม คนเป็นพี่ก็ยิ่งสนุกที่ได้แกล้งแหย่น้องรหัสให้ยิ่งอายม้วนต้วนจนแทบจะเดินไม่ตรงทาง

“ไม่ปีนเกลียวเพราะจีบเราติดแล้วใช่ไหม? / ง่า... พี่รินก็!!

ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะบิดตัวเป็นเกลียวโปเต้  เสียงพูดคุยซึ่งมาพร้อมเสียงฝีเท้าจากฝั่งโรงพยาบาลสัตว์ประจำคณะก็เรียกความสนใจของพี่น้องร่วมสายได้เสียก่อน   เพียงไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น... คนคุ้นตาจำนวนหนึ่งก็ปรากฏสู่คลองจักษุของทั้งคู่  ทว่าร่างผอมสูงขาวสว่างของคนแปลกหน้าที่ดูเหมือนรุ่นพี่ทั้งกลุ่มต่างพร้อมใจเดินไปส่งยังที่จอดรถนั้นกลับสะดุดตาสารินเข้าอย่างจัง   

ดูเหมือนว่า หนึ่งในบรรดารุ่นพี่จะรู้สึกถึงน้ำหนักสายตาของทั้งสารินและน้องรหัสได้ รุ่นพี่คนดังกล่าวจึงหันมาส่งยิ้มให้แล้วโบกมือโบกไม้สั่งด้วยท่าทางให้ทั้งสองหยุดรอ  ก่อนจะร่ำลาแล้วปล่อยให้กลุ่มคนที่ว่าเดินฉีกนำหน้าไปยังลานจอดรถคณะ


“พี่เจน หวัดดีครับ / ป้ารหัสขาาาาาาาา” สารินและเอ้ยกมือไหว้รุ่นพี่ปีสี่ร่วมสาย ระหว่างที่อีกฝ่ายวิ่งเหยาะ ๆ ตรงมาหาพวกเขา เจ้าของร่างเพรียวซึ่งดูคล้ายชายหนุ่มหุ่นแบบบางจากมุมไกล ๆ แท้ที่จริงแล้วเป็นหญิงสาวห้าวที่วางตัวไม่ต่างจากชายหนุ่มคนอื่น ๆ หล่อนชี้หน้าหลานรหัสด้วยสายตาเคียดแค้นก่อนจะเปล่งวาจาล้อเลียนเสียดังลั่น

“ไม่ต้องเลยไอ้เอ้ ไอ้สมภารกินไก่วัด!

“ง่าาาาาาาาาาา ป้าเจนญาณทิพย์ของเอ้ อย่าว่าเอ้เลยนะ เอ้โดนเด็กยั่วเอ้เลยหลวมตัวไปชั่ววูบ!

“อย่ามา!” คราวนี้คนเป็นป้ารหัสถึงกับเลื่อนนิ้วที่ใช้ชี้หน้าเมื่อครู่มาผลักเหม่งเอ้จนหน้าหงายด้วยความหมั่นไส้ที่อีกฝ่ายรวบหัวรวบหางเหลนรหัสรูปหล่อเกาหลีของหล่อนไปเป็นสมบัติส่วนตัวได้สำเร็จ  

“แล้วพี่เจนมาทำอะไรที่โรงบาลเหรอครับ?” สารินรีบหย่าศึกระหว่างพี่น้องร่วมสายก่อนที่เจนจะขยี้หัวน้องรหัสตนเองจนฟูสูสีกับรังนก

“พอดีวันนี้พวกพี่ว่าง ๆ เลยมาทำตัวให้เป็นประโยชน์แก่คณะเสียหน่อย... เออริน พี่มีเรื่องจะบอกริน เดี๋ยวอยู่คุยกับพี่แป๊บนะ” เจนสั่งความโดยไม่รามือจากหัวเอ้เลยสักวินาที  ดีหน่อยที่รอบนี้จากที่ยีเส้นไหมสีอ่อน พี่ปีสี่ยอมเปลี่ยนเป็นลูบผมน้องให้เข้าทรงแล้ว

“ครับ... แล้วเมื่อกี๊ใครเหรอครับพี่เจน?” สารินหวังให้ไม่มีใครจับได้ว่า ภายใต้ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ของตน คือ ความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับบุคคลที่เขาเพิ่งถามถึงล้วน ๆ

“ก็หนุ่มแว่นในตำนานที่พวกพี่ปีหกร่ำลือกันไง” เจนโอ่อย่างออกนอกหน้า ซึ่งชื่อที่เพิ่งได้ยินก็ทำให้เด็กปีสองตาลุกด้วยความตื่นเต้น

“หนุ่มแว่นในตำนานที่เป็นพ่ออุปถัมภ์หมาจรจัดทั้งมหาลัยคนนั้นน่ะเหรอคะ?!

“ก็เออดิ! โชคดีชะมัดที่วันนี้ตามพี่โก้มาโรงบาล ในที่สุดก็ได้เจอตัวเป็น ๆ เสียที” พี่ปีสี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคลิบเคลิ้มราวกับสาวน้อยริรัก ก่อนจะพรรณนาถึงคุณสมบัติอันดีงามของคนดังรวมทั้งสาวไส้เพื่อนร่วมกลุ่มให้น้องได้รับฟังอย่างถึงพริกถึงขิง “คนอะไรก็ไม่รู้  ใจดีแถมหน้าตายังถูกสเปคพวกชอบตี๋ ๆ ไปเสียอีก  ก่อนออกมาพวกไอ้ปอนด์นี่แย่งกันเดินไปส่งจนแทบจะฆ่ากันตายเลยนะ”

“หือ?! อย่าบอกนะว่าพี่เจนก็เอากับเขาด้วย? นั่นผู้ชายไม่ใช่เหรอพี่เจน?!!” น้ำเสียงและท่าทางอิจฉาระคนเสียดายของป้ารหัสทำให้เอ้รีบแซะ แต่ระดับเจนแล้ว... แค่นี้สิว ๆ

“แล้วยังไง?! ทอมจะเห่อผู้ชายนิสัยดีเอื้ออารีต่อสัตว์ร่วมโลกไม่ได้เลยเหรอ?”

“เดี๋ยวเอ้จะฟ้องพี่มินท์! / อยากให้พี่แฉเรื่องเรากับไอ้เหลนรหัสก็ลองดู!” สารินเลิกคิ้วมองหน้าพี่และน้องรหัสตัวเองอย่างงง ๆ  ก่อนจะแอบถามถึงคนดังในหมู่นักศึกษาสัตวแพทย์อย่างแนบเนียน

พักหนึ่งแล้วที่ชายหนุ่มเริ่มสังเกตความผิดปกติของตัวเอง ที่มักจะเกิดขึ้นทุกครั้งที่ได้ยินเรื่องของหนุ่มแว่นในตำนาน  ยิ่งเมื่อคราวก่อนที่เพิ่งได้คุยกับอีกฝ่ายสั้น ๆ ท่าทางรั้น ๆ เข้าขั้นไม่เป็นมิตรกับผู้คน ทั้งที่ชอบทำตัวน่ารักเหลือล้นเวลาอยู่กับเจ้าจเรขนสีสลิดนั่น  ก็ยิ่งทำให้เขาหวั่นไหวไปเสียทุกครั้งที่เผลอใจคิดถึง


“พี่เจนทิ้งพวกพี่ปอนด์มาแบบนี้ หนุ่มแว่นในตำนานเขาจะไม่รู้สึกแปลก ๆ เอาเหรอครับ?” ใจจริง หากทำได้... เขาอยากจะวิ่งตามรุ่นพี่กลุ่มนั้นไปมากกว่าจะมายืนซักไซ้พี่รหัสอยู่ตรงนี้เป็นไหน ๆ  แต่คำตอบของเจนก็ทำให้เขาแอบยิ้มกับตัวเองในใจอย่างมีความสุข  

“หึ หึ หึ ไม่ต้องห่วงหรอก ท่าทางพวกมันคงต้องกินแห้ว  เพราะพี่ว่า น้องเขาไม่น่าจะชอบผู้ชายว่ะ”


ไม่ชอบผู้ชายก็ดี... จะได้ไม่มีคู่แข่ง!


“งั้นพี่เจนก็ไม่มีหวังเหมือนกันน่ะสิ!” เอ้ได้ทีก็ถล่มใส่ป้ารหัสอย่างไม่ไว้หน้าโดยไม่ทันได้สำนึกเลยว่าฝ่ามือของคนโตกว่ากำลังกระชับอยู่เหนือศรีษะ

“วิถีแห่งติ่งไม่คิดเลยเถิดกับไอดอลฉันใด  พี่ก็ยินดีชื่นชมหนุ่มแว่นในตำนานอยู่ห่าง ๆ ฉันนั้น” เจนเอ่ยด้วยท่าทางภาคภูมิพลางโยกหัวรุ่นน้องสองปีจนหัวสั่นหัวคลอน

“ป้ารหัสเอ้นี่องุ่นเปรี้ยวชะมัดเลย!”  สายรหัสชั้นปีที่สี่ทำหูทวนลมก่อนจะผลักเอ้ให้ไปยืนพิงน้องปีสามสุดตี๋ก่อนจะกดชัตเตอร์จับภาพคู่ของทั้งสองคนด้วยความไวแสง 

“เฮ่ย! พี่เจน พี่เจนถ่ายรูปเอ้กับพี่รินทำไมอ่ะ?” แม้จะขยันโวยวาย แต่น้องเล็กกลับวิ่งเข้าใส่ป้ารหัสเพื่อเช็คสภาพหนังหน้าเมื่อสักครู่ของตนจนพบว่าตัวเองเปื่อยไม่มีชิ้นดี ในขณะที่พี่รหัสปังแม้ไม่ได้ตั้งตัว  ทว่าก่อนที่เอ้จะได้ขอให้อีกฝ่ายลบรูปตราบาปรูปนั้นทิ้งให้สิ้นซาก เจนกลับโพสต์หลักฐานแห่งความอัปยศลงในเฟซบุ๊คส่วนตัวพร้อมแท็กผู้เกี่ยวข้องอย่างว่องไว

“ก็จะส่งไปให้เหลนรหัสรีบกลับมารับเราไปเก็บเร็ว ๆ ยังไงล่ะ หึ หึ” เจนหัวเราะอย่างร้ายกาจเพราะถือคติที่ว่า แค้นนี้สิบปียังไม่สาย... รุ่นพี่ปีสี่จึงไม่ได้ตอบโต้วาจาสามหาวของอีกฝ่ายเมื่อไม่กี่อึดใจก่อนหน้า  จากนั้นจึงลอบสร้างโอกาสทำลายความสุขของหลานรหัสอย่างถนัดถนี่ด้วยหนทางนี้นี่เอง เพราะไม่มีผู้ชายคนไหนสบายใจหากแฟนของตัวเองอยู่ใกล้ ๆ กับสาริน ชายผู้ที่กินตำแหน่งตี๋หล่อสุดเพอร์เฟคของคณะ... ถึงจะเป็นน้องร่วมสายรหัสที่หน้าตาดีสูสีกันก็เถอะ


“ผมกลับก่อนนะพี่เจน... เอ้”  ชายหนุ่มเพียงคนเดียวในที่นั้นรีบบอกลาทั้งพี่และน้องรหัสอย่างรีบเร่งแล้วปล่อยให้เอ้และเจนถกเถียงกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องต่อไป  ช่วงขายาวทั้งสองก้าวยาว ๆ ตามกลุ่มคนเมื่อครู่ไปเพราะเริ่มจะใจไม่ดีที่บรรดารุ่นพี่ปีสี่ยังไม่เดินกลับมา อีกทั้งยังอยากจะตามไปพบหน้าชายหนุ่มที่ตนแลกเปลี่ยนบทสนทนาในความมืดด้วยผู้นั้นเต็มที


«»------------------------------------------------------------------------------------«»


หลังจากแบกความผิดหวังจากที่จอดรถของคณะซมซานกลับมาถึงห้อง  ราว ๆ ห้าโมงเย็น สารินก็ฉวยอาหารแมวติดมือแล้วเดินอ้อมกำแพงด้านหลังอพาร์ทเมนท์เพื่อเข้าไปยังมุมอับของซอยซึ่งเป็นจุดที่สามารถพบแมวจรได้บ่อยพอ ๆ กับเจอเซเว่นเกือบทุก ๆ หน้าปากซอยในกรุงเทพฯ  

จังหวะที่ร่างสูงใหญ่ยังเดินไม่พ้นมุมกำแพงนั้น โสตประสาทกลับได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของผู้ชายดังขึ้นเสียก่อน สารินจึงผ่อนฝีเท้าแล้วแอบหลบเพื่อมองหาต้นเสียงจากปลายทางที่เขากำลังมุ่งไป


“โอ๊ย!!! ซี๊ดดดดดส์...  แกนี่มันแย่จริง ๆ เลยนะแคทเธอรีนเดอะไนน์เธอะ!... แกตอบแทนคนให้ข้าวให้น้ำแกด้วยการตะปบแขนพี่เหรอ?!  แล้วนั่นจะเข้าไปหลบทำไม?  ออกมากินข้าวเร็วเข้าสิ... เดี๋ยวพวกมดก็แห่มาขึ้นอาหารแกจนกินไม่ได้หรอก! มี้ มี้ มี้ มี้ มี้ มี้ มี้”



จากที่คิดว่าคงหมดหวัง  ขนาดขับรถตระเวนตามหาก็ยังไม่มีวี่แวว  
แต่บทจะเจอกัน... ก็ดันโผล่ตัวขึ้นต่อหน้า ตรงแถว ๆ ที่พักของตัวเขานี่เอง...

ร่างที่เขาเฝ้ามองหาเมื่อไม่ถึงชั่วโมงก่อนหน้ากำลังอยู่ในท่วงท่าที่น่าเอ็นดูยิ่งไปกว่าครั้งสุดท้ายที่ทั้งสองได้พบกัน  ชายหนุ่มผอมสูงผิวกายขาวผ่องไว้ผมทรงรองหวีเหมือนเด็กนักเรียนมอต้นคู้ตัวลงแนบกับพื้น ยื่นแขนเข้าไปด้านในซอกตึก... คงจะเพื่อไล่คว้าอะไรสักอย่าง ซึ่งเมื่อเดาจากอาหารแมวที่เทใส่จานกระดาษข้าง ๆ ท่าทางว่าหนุ่มแว่นในตำนานคงจะกำลังห้ำหั่นกับเจ้าเหมียวอยู่แน่ ๆ  

โดยไม่ทันรู้ตัว สารินก็ลากขาเข้าไปใกล้อีกฝ่ายแล้วส่งเสียงไปทักทายจนร่างผอมเก้งก้างนั่นดีดตัวขึ้นยืนแทบจะทันตา พร้อมกับส่งสีหน้าตื่น ๆ ระคนไม่ไว้ใจมาให้เขาทันที


“ปล่อยมันไปเถอะครับ ต่อให้คุณบังคับมันให้ตาย มันก็ไม่ยอมกินอาหารของคุณหรอก”  ดวงตาใสมองลอดแว่นสายตาหนาเตอะมาสำรวจเขาอย่างหวาดระแวง  ท่าทางไม่ไว้ใจแถมดูจะไม่ยอมเชื่อกันง่าย ๆ ทำให้สารินร้อนรน “ถ้าคุณไม่เชื่อ... จะลองพิสูจน์ดูก็ได้นะครับ”

“ยังไง?” เด็กหนุ่มต่างคณะทำท่าถือดีพลางปรายตามองแบบหยาม ๆ  สารินจึงไม่พูดพล่ามทำเพลง  เด็กสัตว์แพทย์ออกแรงฉุดข้อมือจนอีกคนต้องออกเดินตามไปหลบในซอกเล็ก ๆ ที่ผู้ใหญ่เพียงคนหนึ่งยืนได้อย่างพอดีตัว...

แต่นี่มีกันสองหน่อ แถมขนาดตัวของทั้งคู่ยังพอฟัดพอเหวี่ยงกับนักกีฬารูปร่างกำยำ แม้ลำตัวของหนึ่งในนั้นจะไม่หนามากนัก  ผลสุดท้าย ชายหนุ่มทั้งสองจึงต้องยืนซ้อนหลังกันเฝ้ามองไปยังซอกฝั่งตรงข้ามด้วยท่าทางล่อแหลมจนหนุ่มแว่นออกอาการไม่พอใจ  


“เฮ่ยคุณ?! คุณจะทำอะไรเนี่ย?!! ทำไมต้องมาอัดกันอยู่ตรงนี้ด้วยล่ะ? ปล่อยผม!!! / ชู่ว์ววววววววว!” สารินทำหน้าพยักเพยิดไปอาหารแมวที่ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนในจาน   เพียงไม่นาน... แมวส้มที่หลบเข้าไปมุดอยู่ในซอกกำแพง ก็ค่อย ๆ คืบคลานออกมาจัดการอาหารสุดโอชะอย่างระมัดระวัง

“ฮึ่ม! แคทเธอรีนเดอะไนน์เธอะหยิ่งนักเหรอ?... จำไว้เลยนะ!” หนุ่มแว่นในตำนานพึมพำกับตัวเองก่อนจะเบือนหน้าไปถามคนข้าง ๆ ด้วยความสนอกสนใจ “แล้วคุณรู้ได้ไงว่ามันจะยอมออกมา?”   

“เมื่อกี๊มันคงตกใจกลัวคุณอยู่น่ะ ยิ่งถ้าเข้าไปหลบมุมเสียลึกแบบนั้นแสดงว่ามันคงไม่คุ้นกับสภาพแวดล้อมสักเท่าไร... ผมว่ามันน่าจะหลงมาจากที่ไหนสักแห่งนะ” สารินสันนิษฐานจากบริบทเท่าที่เห็น เพราะเขาไม่รู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น  เด็กต่างคณะกับแมวเผชิญหน้ากันด้วยมารยาทระดับไหน... แต่เท่าที่เขาจับสังเกตได้ อีกฝ่ายน่าจะเป็นคนรักหมามากกว่าทาสแมว

“แล้วจะปล่อยเอาไว้อย่างนี้น่ะเหรอ?” ความเป็นห่วงสัตว์หน้าขนที่เพิ่งทำร้ายตนเองไปหมาด ๆ ซึ่งเจือมาในน้ำเสียงแผ่ว ๆ ของคนดังประจำคณะตน ทำให้สารินไม่อาจหุบยิ้มเพราะคนข้างหน้าได้เลยสักอึดใจ

“แมวเป็นสัตว์รักอิสระและเอาตัวรอดได้ดีครับ เผลอ ๆ พอกลับมาดูพรุ่งนี้ เราอาจไม่เจอมันแล้วก็ได้”

กว่าจะตระหนักได้ว่า ใบหน้าขาวแต้มพราวไปด้วยละอองเหงื่อของอีกฝ่ายลอยเข้ามาใกล้จนน่าตกใจ สารินก็ทำให้หนุ่มแว่นในตำนานผงะหงายจนเซล้มก้นจ้ำเบ้า  เมื่อเขารุดเข้าไปช่วย คนใจดีกลับหยัดตัวลุกขึ้นเต็มความสูงก่อนจะวิ่งหนีเข้าคอนโดไป จนว่าที่นายสัตวแพทย์ต้องรีบกวดตามไปแต่อีกฝ่ายกลับปลาสนาการไปคล้ายกับหมอกควัน

ทว่าจังหวะที่ชายหนุ่มกำลังยืนหมุนไปหมุนมาเพื่อมองหาคนที่วิ่งหนีหาย  ร่างกึ่งใสกึ่งทึบของลูกหมาพันธุ์เซนต์เบอร์นาร์ดที่ไม่รู้หลบไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนชั่วคราวก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าแล้วระดมเห่าใส่เขาไม่ยั้ง


โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง!!

น้าหนวด! น้าหนวดหายไปไหนมา?! พาฉันไปหาหนุ่มแว่นในตำนานอีกทีสิ... วิ่งหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้?เป็นเพราะท่าทางลุกลี้ลุกลนของเจ้าวิญญาณหมาที่รบกวนใจเขาตลอดเวลานับตั้งแต่กลับมาถึงห้อง   จนสุดท้ายต้องคว้าอาหารแมวลงมาข้างล่างนี่แหละที่ทำให้สารินสรุปได้ว่า เจ้าหน้าขนที่ไม่มีผู้ใดมองเห็นนอกจากเขาตัวนี้ สามารถจับพิกัดของหนุ่มแว่นคนนั้นได้อย่างแม่นยำ

โฮ่ง โฮ่ง!เจ้าตัวดีนั่งเห่าพลางเหล่มองไปยังทิศของลิฟท์  ชายหนุ่มจึงออกวิ่งไปกดเรียกลิฟท์โดยไม่รอช้า แต่อนิจจา ลิฟท์อีกตัวที่ควรจะกลับลงมากลับค้างเติ่งอยู่ชั้นห้า ซึ่งก็หมายความว่ามีคนอื่นกำลังใช้ลิฟท์ตัวนั้นอยู่แน่ ๆ

ไม่ทันแล้ว! ลิฟท์อีกตัวคงลงมาไม่ทัน! ฉันว่าเราวิ่งขึ้นบันไดไปดักหน้าเขาดีไหม? หืม... น้าหนวดว่าไง?สารินหารือกับวิญญาณหมาในใจ แต่อีกฝ่ายกลับนั่งจุมปุ๊กปักหลักไม่ยอมเคลื่อนย้ายตัวเองไปไหนแล้วเห่าอย่างเอาเป็นเอาตายอีกครั้ง

โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง!!!!!!น้าหนวดเสยหน้ามองตัวเลขบอกชั้นของลิฟท์ตัวที่ดิ่งขึ้นไม่วางตา ซึ่งท่าทางมุ่งมั่นของเจ้าผีหมาทำให้สารินนึกเอะใจ...  และเลขบอกชั้นสุดท้ายที่กล่องเหล็กโดยสารไปหยุดนิ่งอยู่นั้น ก็ช่วยทำให้ใบหน้าเครียดขึ้งผ่อนคลานแล้วจึงระบายยิ้มในตอนจบ

อย่างนี้นี่เอง... เข้าใจแล้ว น้าหนวด... ขอบคุณมากนะ!!

โฮ่ง!!ร่างกึ่งใสกึ่งทึบเห่าตอบแข็งขันเหมือนจะบอกว่า ไม่เป็นไร ไม่ต้องเกรงใจ   นั่นจึงทำให้การโดยสารลิฟท์กลับขึ้นไปยังห้องของตัวเองของสารินในรอบนี้ช่างน่าอภิรมย์ผิดกับขาลงมายิ่งนัก   

ทว่าก่อนที่ชายหนุ่มจะลิงโลดใจจนใกล้บ้า แรงสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่องของโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงก็สั่งให้เขาต้องรีบกดรับสาย เพราะมีคนสำคัญเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะโทรหาเขาเป็นประจำ


“ครับม่า” ชายหนุ่มยิ้มมุมปากระหว่างรอฟังเสียงหวาน ๆ ของอาม่าที่จะทักทายมาผ่านประโยคแรกของวัน

((ริน เสาร์นี้รินกลับบ้านหรือเปล่า?)) คำถามของคนปลายสายทำให้ว่าที่นายสัตวแพทย์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเพราะแม้อาม่าจะถามคำถามนี้กับเขาเป็นประจำทุกอาทิตย์  แต่นี่เขาเพิ่งกราบลาอีกฝ่ายเมื่อตอนเที่ยงเองนะ... หรืออาม่าจะมีเรื่องด่วนกวนใจ?!  

“กลับครับ จริง ๆ ถ้าไม่ติดอะไร รินว่าจะขับรถกลับบ้านตั้งแต่คืนวันศุกร์เลยครับม่า ม่ามีอะไรหรือเปล่า?”

((เปล่าหรอก เห็นม่าแนนเพิ่งบอกม่าว่า สองสามวันก่อน... เจ้าปีเตอร์มันชอบตื่นมาไอค่อกแค่ก บ้านโน้นเลยอยากให้รินแวะไปดูมันหน่อย มันตัวใหญ่... เจ่เจ้แกกลัวอาเชาว์อุ้มอีขึ้นรถไม่ไหวน่ะ))

คำบอกเล่าของย่าทำให้สารินงุนงงว่าทำไมอาม่าแนนถึงไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเขาตั้งแต่เมื่อวาน
ที่สำคัญ... เท่าที่ตรวจร่างกายตามความรู้ที่พอมีไปเมื่อวาน สุขภาพของเจ้าปีเตอร์ก็อยู่ในขั้นดีถึงดีมากแท้ ๆ


“กว่ารินจะกลับไปดูมันได้ก็อีกตั้งสองวัน   รินโทรไปบอกรุ่นพี่ให้เข้าไปดูปีเตอร์พรุ่งนี้เลยดีไหมครับม่า?” ชายหนุ่มพยายามเสนอแนะทางออก เพราะยิ่งเป็นหมาของแนน... เขาก็ไม่อยากจะเอาชีวิตมันไปแขวนบนเส้นด้ายอีกครั้งโดยไม่จำเป็น

((ไม่เป็นไร เจ่เจ้บอกม่าว่าอยากให้รินมาตรวจปีเตอร์เอง ม่าว่าแกคงไม่ไว้ใจหมอคนอื่นเสียล่ะมั้ง))

“แต่ปีเตอร์จะรอไหวเหรอครับม่า?”

((น่าจะไหวนะ ก็ทางโน้นเขาบอกมาแบบนี้นี่)) เสียงของอาม่าบอกให้เขารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังหนักใจที่ต้องมาเป็นคนกลางให้หมอกับเจ้าของหมาตกลงกันให้ได้  สุดท้ายความวิตกเพราะไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของอาการเจ้าหมาลายวัวตัวใหญ่ก็ทำให้สารินได้ข้อสรุปที่ดีที่สุดให้กับตัวเองและอาม่าของทั้งสองบ้าน

“เดี๋ยวรินโทรไปถามม่าแนนดูอีกทีดีกว่าครับ รินไม่อยากปล่อยเอาไว้นาน ๆ เลย”

((ก็ได้ ก็ได้... ตามใจรินเถอะ ม่าวางก่อนนะ อาจูตั้งสำรับเสร็จแล้ว... รินก็อย่าลืมหาอะไรกินด้วยล่ะ))

“ครับม่า ผมรักม่านะครับ”

((ม่าก็รักรินนะลูก))

“หวัดดีครับม่า” ทันทีที่คนปลายสายวางหูไป ชายหนุ่มก็กดโทรออกหาอาม่าใหญ่โดยพลัน แต่ปลายทางที่เขากำลังเรียกอยู่นั้นกลับไม่ว่างพูดคุย ซึ่งสารินต้องรอไปจนถึงวันศุกร์โน่นแหละที่หญิงชราผู้ร่าเริงจะยอมรับโทรศัพท์ของเขาเพื่อบอกแค่ว่าอาการเจ้าปีเตอร์ดีขึ้นมาก แต่หล่อนก็ยังอยากให้เขาเข้าไปตรวจเจ้าลูกหมาในเช้าตรู่ของวันเสาร์อยู่ดี


«»------------------------------------------------------------------------------------«»



ขณะเดียวกันกับที่มุ่ยฟ้าต่อสายถึงหลานชาย อาม่าของอีกตระกูลก็กริ๊งกร๊างหาเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเช่นกัน
หนุ่มหัวไข่ที่เพิ่งทำแผลเสร็จก็รีบวิ่งตาลีตาเหลือกไปกดรับสายด้วยไม่อยากให้เสียงเรียกเข้าทำลายสมาธิของเจ้าของห้องนอนที่เขาหน้ามึนไปขอสิงสู่อยู่ด้วยตั้งแต่เมื่อคืนวานเป็นต้นมา


“ม่าคร๊าบบบบบ ที่ม่าโทรมาเพราะทนคิดถึงแนนไม่ไหวใช่ไหมล่า?” พอคว้ามือถือได้ร่างก๋องแก๋งก็ถลาออกไปคุยกับย่าของตนที่ระเบียงกว้างเพราะการสนทนาทุกครั้ง เขามักพูดกับอาม่าตัวเองเสียงดังเพื่อช่วยให้อีกฝ่ายรับฟังข้อความได้ชัด ๆ นั่นเอง

“แนนอยู่ห้องพี่ฌานครับ รอกินข้าวพร้อมกันอยู่เนี่ย...
.
.
...แนนไม่ลืมหรอกครับม่า เดี๋ยววันศุกร์แนนจะนั่งรถตู้กลับไปเลยทันทีที่เรียนเสร็จ...
...ไม่อู้ ไม่อืดอาด ไม่เบี้ยวแน่ ๆ ครับม่า... สัญญาด้วยเกียรติของหลานอาม่าเลยก็ได้!” หลานชายตะเบ๊ะกับตัวเองอย่างแข็งขัน แต่ความฮึกเหิมของคนทางนี้กลับฝ่อลงไปทันทีที่ได้ยินคำขอร้องบางอย่างจากคนปลายทาง  

“ม่าจะให้แนนอยู่ถึงเย็นวันอาทิตย์เลยเหรอ? แล้วแนนจะกลับยังไงอ่ะครับ?...
.
...ก็ตอนเย็น ๆ รถตู้บริการมันชอบเต็มอ่ะ...
...จะให้พี่เชาว์ขับมาส่งเหรอ? ไม่ต้องหรอกม่าสงสารพี่เชาว์...
...แนนกลับวันอาทิตย์ตอนเช้า ๆ ก็ได้ สบายดี รถไม่ติดด้วย” หนุ่มหน้าแว่นกระเง้ากระงอดตามประสาหลานรักเพียงคนเดียวที่ต้องได้มาในสิ่งที่พึงพอใจไปเสียทุกเรื่อง  

“ทำไมไม่ได้ล่ะม่า? วันอาทิตย์จะให้แนนกินข้าวกลางวันด้วยเหรอ?...
.
.
...ก็แนนจะกินข้าวกับม่าตั้งแต่วันศุกร์เลยไง แล้วหลังจากนั้นก็จะกินข้าวด้วยทุกมื้อเลย เพราะฉะนั้น วันอาทิตย์ก็ไม่ต้องกินข้าวด้วยกันแล้วก็ได้เนอะ” สกลพยายามยกเหตุผลทั้งหลายทั้งมวลมาโน้มน้าวให้อาม่าที่ดูจะสตรองผิดไปจากทุกทียอมเปลี่ยนใจ

“เหอะ! เย็นวันอาทิตย์ไม่ดีหรอกม่า! แนนไม่อยากแย่งที่บนรถตู้กับคนอื่นนี่นา!!!” ทำไปทำมาหลานอาม่าก็ชักจะออกอาการไม่พอใจกับคำขอที่ดูจะหนักแน่นยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ... ทำไมวันอาทิตย์ม่าต้องอยากให้เขากินข้าวกลางวันด้วยกันนักนะ?!!

“ม่าจะนัดพี่ลิงมากินข้าวด้วย แล้วจะให้แนนติดรถพี่ลิงกลับมาที่มอพร้อมกัน?” และแล้ว ชายหนุ่มก็ได้คำตอบ...

อาพี่ลิง หลานคนใหม่ของอาม่านี่เองที่เป็นตัวต้นเหตุ
อาพี่ลิงคนดีที่เรียนมอเดียวกับเขาแต่ดันขยันกลับบ้านมันทุกอาทิตย์
อาพี่ลิงคนโปรดที่รักอาม่าตัวเองยังไม่พอ ยังจะมาขอแบ่งความรักของม่าเขาไปอีก
อาพี่ลิงที่กลายเป็นหมอประจำตัวของปีเตอร์นับตั้งแต่ที่เขาผันตัวมาเป็นเด็กหอประจำมหาลัยแห่งนี้โดยสมบูรณ์...
เฮอะ! ต่อให้เป็นอาพี่ลิงกังกะละมังแตกโป๊ะก็เถอะ จะมาบังคับให้เขาต้องกลับมอเย็นย่ำค่ำมืดจนต้องพลาดมื้อเย็นกับเพื่อน ๆ น่ะเหรอ? ฝันเอาท่าจะง่ายกว่า!


“เหยยยยย! ไม่ดีมั้งม่า แนนเกรงใจเขาน่ะ... ถึงม่าจะบอกว่าพี่ลิงใจดี แต่แนนไม่เคยเจอพี่ลิงของม่ามาก่อนเลยนะ จะให้แนนนั่งรถเขากลับมาสองคนแบบนั้น เขาจะไม่อึดอัดตายกันพอดีเหรอ?” เด็กเต็กหัวไข่อ้างไปเรื่อยเปื่อยเพราะไม่อยากเหนื่อยกับการต้องพยายามหาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาชวนคนแปลกหน้าพูดคุยตลอดการเดินทางกลับจากบ้านมายังวิทยาเขตนั่นอย่างไร

และเมื่อความต้องการของสองฝ่ายไม่ตรงกัน
หลานชายจึงออกอาการดึงดันและตีรวนคุณย่าเข้าเต็ม ๆ


“ไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้... ไว้วันอาทิตย์ตอนเช้าค่อยคิดอีกทีนะม่า รักม่านะครับ บั๊บบายยยยยย!!” ขาดคำคนทางนี้ก็ชิงตัดสายใส่อาม่าทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่นิสัย ช่วยไม่ได้... เอาไว้กลับไปเขาจะกล่อมอาม่าให้ยอมเปลี่ยนความตั้งใจกันอีกที








“เป็นอะไร?” แฝดพี่ที่โดนเสียงตะโกนโหวกเหวกของเพื่อนซี้หน้าแว่นรบกวนการนั่งสมาธิช่วงเย็นไปสด ๆ ร้อน ๆ อดถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้ ฝ่ายคนที่เพิ่งเดินกลับเข้ามาในห้องก็แค่ถอนหายใจสั้น ๆ แล้วรีบปรับสีหน้าให้สดใสเพื่อทำให้คำบอกปัดเรื่องกวนใจเพียงเล็กน้อยของตนฟังดูมีน้ำหนัก

“เปล่าครับพี่ฌาน”

“ไม่เป็นอะไรก็ดี ไปกินข้าวกัน!” ได้ยินดังนั้น เจ้าของห้องจึงชักชวนกาฝากกิตติมศักดิ์โดยไม่รอช้า เพราะเข้าใจว่าหากได้เปลี่ยนบรรยากาศ สกลอาจจะหายเครียดจากบทสนทนาเมื่อครู่   แต่ดูเหมือนการกระทำดังกล่าวจะเป็นการเปิดช่องให้อีกฝ่ายมโนแจ่มไปถึงไหนต่อไหนได้อีกหน

“แหม พี่ฌานล่ะก็! จะซึนไปถึงไหนก็ไม่รู้! รักน้อง หลงน้อง ห่วงน้องก็ยอมรับมาตรง ๆ แมน ๆ เถอะ น้องสแตนด์บายรอนานแล้วนะ!” สกลจีบปากจีบคอตอบพลางเล่นหูเล่นตาอย่างสะดีดสะดิ้ง จนแฝดพี่หมุนตัวเดินออกจากห้องแทบไม่ทัน

“เฮ่อออออ! พี่ฌานออกไปรอข้างนอกนะ ป่านนี้อิ๊กกับฌอนคงน่าจะกลับมาแล้ว” ร่างสูงใหญ่ที่เห็นเพียงแผ่นหลังตะโกนสั่งความหลังจากทิ้งให้เพื่อนจอมลามปามยืนยิ้มชอบใจอยู่ในห้องเพียงลำพัง

“รอน้องด้วยสิครับพี่ฌาน!!!” สุดท้าย หลานอาม่าซิ้วงิ้งก็สลัดคำขอแปลก ๆ ของผู้เป็นย่าทิ้งไปอย่างไม่คิดใส่ใจ แล้วจึงวิ่งหูตูบตามเพื่อนออกไปด้วยความร่าเริง




«»------------------------------------ TBC ------------------------------------ «»




เหตุเกิดเมื่อวันอีฟที่ผ่านมา (สำหรับคนที่เคยอ่านในเพจแล้วก็ให้ข้ามหัวข้อนี้ไปได้เลยนะจ๊ะ)

สาริน :น้องทำอะไรของน้องเนี่ย?! *หน้าเหวอ*
สกล : ก็วันนี้วันคริสมาสต์ แนนเลยจับเด็ก ๆ มาแต่งตัวให้เข้ากับเทศกาลไงพี่ริน *ลอยหน้าลอยตาตอบไม่รู้ไม่ชี้ มือไม้ยังวุ่นวายกับเครื่องหัวของลูกหมาเคราะห์ร้ายไม่เลิกรา*
สาริน :พี่เคยเห็นหมาแมวแต่งตัวเป็นซานตา ไม่ก็กวางเรนเดียร์... แต่นี่อะไรครับ?! *ยังเหวอไม่หาย ยิ่งกวาดตามองไปทั่วทั้งร้านก็ยิ่งตกใจระคนสงสารลูก ๆ สี่ขาของทั้งสอง*
สกล : ไหน ๆ คริสมาสต์ปีนี้ก็ใกล้กับช่วงประกวดมิสยูนิเวิร์ส แนนเลยโหนกระแสควันหลงมงฯผิดคนมันเสียเลย... ยิงปืนนัดเดียวได้นกตั้งสองตัว น้องฉลาดไหมพี่ริน? *ยิ้มมุมปาก ทำท่าเบ่งพลางกอดอกยืนมองผลงานตัวเองอย่างภาคภูมิใจ*
สาริน :โธ่ แม็กกี้ สตีฟ นาธาน สามเซ่อ บาร์บี้ ปูติน... เสียหมาหมดแล้ว! *พึมพำเสียอ่อน หลังจากชำเลืองมองลูกหมาทั้งหกในชุดประจำชาติของนางงามประเทศต่าง ๆ เป็นรอบที่สิบ*
สกล : พี่ริน! แนนบอกกี่ทีแล้วว่าให้เรียกชื่อเต็ม ชื่อเต็ม... ขืนพี่รินเรียกแบบนี้จนติดปาก เวลาแนนเรียกชื่อจริง... แม็คมิลเลียน สเตฟาน นาธาเนียล ไคเซอร์เดอะเติ๊ด บาร์นาบี้ วลาดิเมียร์ก็ไม่ฟังคำสั่งแนนกันพอดีอ่ะ... เสียการปกครอง เสียสายพันธุ์หมด!! *กระเง้ากระงอดระดับจวนจะกระทืบเท้าเหมือนด็ก*
สาริน :แต่พวกมันชอบชื่อเล่นที่พี่ตั้งให้มากกว่าชื่อฝรั่งของน้องเยอะเลยนะครับ! ลูกค้าก็เรียกง่ายกว่า... เห็นเขาว่ากันอย่างนั้นนะ *พยายามตะล่อม*
สกล : แหน่ะ! ยังจะเถียงอีก... เดี๋ยวคืนนี้แนนให้นอนท่องชื่อจริงเด็ก ๆ ข้างนอกคนเดียวเลยนิ! *ขู่*
สาริน :พี่นอนข้างนอกห้องก็ได้ ถ้าตอนถอดชุดประจำชาติ มิสไทยแลนด์ของพี่ไม่อายแม็คมิลเลียน สเตฟาน นาธาเนียล ไคเซอร์เดอะเติ๊ด บาร์นาบี้ วลาดิเมียร์มัน *กระซิบแผ่ว ๆ ข้างหู*
สกล : พี่รู้?!!!! *เลิ่กลั่ก ทำอะไรไม่ถูก ตาแอบเหลือบมองทะลุผนังไปยังห้องลับที่ซ่อนคอสตูมนับร้อยเป็นระยะ ๆ *
สาริน :หึ หึ... เจ็กส่งรูปตอนน้องลองชุดมาให้พี่ดูเมื่อวาน เห็นแล้วก็อยากเลิกอาชีพหมอหมา...
สกล : ????? *ตวัดสายตามองแรง ไม่เป็นหมอหมาแล้วลูกเมียจะเอาอะไรยาไส้?’*
สาริน :ก็พี่อยากปิดคลินิกมาขี่ตุ๊ก ๆ ทุกวันน่ะสิครับ *หมีขาวยิ้มพิฆาต*
สกล : !!!!!!!!! *หน้าแดงแข่งกับสีปากมิสเวียดนาม*





No comments:

Post a Comment