ไม่ต้องตกใจไป...
ที่เข้ามาวันนี้คือการปิดฉากภาคด้วยตอนพิเศษในวันพิเศษจริง ๆ
(ไหน ๆ ก็เป็นตอนพิเศษตอนสุดท้าย
เราเลยรีบเขียนรีบลงเพื่อให้สมกับความพิเศษกันไปเลย
ถือว่าต้อนรับวันหยุดยาวของทุก
ๆ คนนะคะ ^^ ขอให้วันพ่อนี้ได้ใช้เวลากับคุณพ่อจนแฮปปี้กันทั้งบ้านเลยค่ะ
-
ส่วนตอนพิเศษอื่น ๆ ที่ต๊ะเอาไว้นั้น
เราจะเข้ามาเขียนให้อ่านกันเนือง ๆ เมื่อมีเวลาและอารมณ์ค่ะ ฮ่า ฮ่า)
ก่อนจากกัน... ขอฝากภาคสองของเรื่องเอาไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ
แต่น แตน แต๊น... «♥» บน บานฯ สาน รัก «♥»
(เดี๋ยวไว้จะเอาลิงค์มาแปะให้อีกทีเนอะ)
ขอบคุณสำหรับการติดตามอย่างเหนียวแน่น
และความรักที่มีให้กันมาโดยตลอด
เจอกันใหม่ในภาคสองที่จะมาลงจอให้ได้อ่านกันในวันจันทร์ที่สองของเดือนนี้นะค้า
รักคนอ่านที่สุดในโลกหล้าเลยค่ะ
เราขออนุญาตไม่ตอบความเห็นหลังจากนี้แล้วเนอะ ส่วนความเห็นของตอนที่แล้ว...
เราตอบเอาไว้ข้างล่างนี่แล้วค่ะ
(บวกเป็นและโหวตให้แล้วค่ะ)
Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ
The Special
Blessing#03
สู่วันข้างหน้า
|| ก่อนกำเนิดคี่รักรุ่นพี่ ณ
ที่ประชุมของเหล่าสมุนเลว ||
‘ แสดงว่าเจ้าพ่อมีใครในใจอยู่แล้วใช่ไหมครับ?’
‘อืม...
นั่นแหละคือสิ่งที่ข้าจะต้องตกลงกับพวกเจ้าให้รู้เรื่อง...
.
...โดยเฉพาะเจ้า
กับพี่ชายฝาแฝดของเจ้า’
“หรือว่าเจ้าพ่อจะ
/ ใช่... การครั้งนี้คงจะสำเร็จได้ยาก หากไม่ได้เจ้ากุมารทองของพวกเจ้าช่วยไว้อย่างไรล่ะ”
คำถามของฌอนถูกคำอธิบายของเจ้าพ่อไทรทองขัดขึ้นจนเจ้าตัวต้องนิ่งฟัง
“เจ้าพ่อจะให้พ่อพลายทำอะไรเหรอครับ?”
สังหรณ์บางอย่างกำลังบอกว่า แผนการครั้งนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับแฝดสาม โดยเฉพาะดวงจิตของเจ้าดวงใจ...
ที่สุดแล้ว หัวเรือใหญ่ของเหล่าสมุนเลวจึงออกโรงซักถามเทวบุตรสุดชิคถึงแผนการในใจของอีกฝ่าย...
เหตุใด
เจ้าพ่อจึงต้องดึงกุมารทองประจำตัวน้องชายให้มาร่วมสังฆกรรมกับแผนการรอบนี้ด้วย?!
“ข้าจะให้เจ้ากุมารช่วยมาเป็นมือที่สามให้กับความรักของเจ้ากังฟูอย่างไรล่ะ”
เจ้าพ่อสายบู๊เฉลยด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ด้วยไม่ประสงค์ให้เหล่าลูกมนุษย์ทั้งหลายปริวิตกโดยไม่จำเป็น ทว่าคิ้วหนาของแฝดพี่ที่ขมวดมุ่นเป็นปมทำให้องค์เทพปลอบประโลมชายหนุ่มเป็นกรณีพิเศษ
“ไม่ต้องเป็นห่วงน้องชายของเจ้าไปหรอกเจ้าร่างทรง
ข้าจะแยกจิตของเจ้ากุมารออกเป็นสามดวงเหมือนเมื่อคืนบูชาเจ้าแม่คงคานั่นอย่างไร”
อนิจจา...
บุตรแห่งองค์มหาเทพกลับมิได้รู้เลยว่า ความปลอดภัยของน้องชาย
เทียบไม่ได้กับความเป็นห่วงเป็นใยในสวัสดิภาพของดวงจิตของแฝดคนสุดท้องที่เจ้าพ่อเพิ่งพูดถึงไปหยก
ๆ เลยสักนิด
“ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าพวกเราจะได้เจอกับน้องพลับเหมือนเมื่อตอนไปกินไอติมเหรอครับ?”
“ไม่ใช่แค่จิตของเจ้าพลับแต่เพียงดวงเดียวหรอกเจ้าแว่น
คราวนี้ข้าจะเสกกายเนื้อสองร่างเพื่อให้จิตสองดวงได้สถิตย์ในคราวเดียว”
สกลแอบยกหลังมือขึ้นปาดเม็ดเหงื่อบนหน้าผากพลางถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินคำอธิบายของเจ้าพ่อไทรทอง
เพราะแม้เจ้าพ่อจะเกริ่นถึงเด็กวิเศษก็จริง
แต่ที่สุดแล้ว...
ดวงจิตที่พวกเขาจะต้องวิสาสะด้วยก็ไม่ใช่พี่พลายแห่งสำนักละครลิงอย่างที่นึกหวั่น...
ค่อยยังชั่ว! อย่างน้อยก็เบาใจไปเปลาะหนึ่งว่า
ตัวเขาจะไม่มีทางโดนหวายหวดจนปวดไปทั้งตัวเหมือนเมื่อครั้งก่อนนั้นล้านเปอร์เซนต์
“หมายความว่าจะมีมือที่สามเข้าหาพี่เต๋อกับพี่ด้วงทีเดียวพร้อมกันสองคนเหรอครับเจ้าพ่อ?”
เก็กรับไม้ยิงคำถามใส่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งย่านปทุมวันต่อจากสกลโดยไม่รอช้า
“ถูกต้อง...
ข้าไม่อยากให้เกิดการเปรียบเทียบหรือความเหลื่อมล้ำ ที่สำคัญ...
เจ้ากังฟูจะได้รู้ใจตัวเองไว ๆ เสียที”
จากเมื่อครู่ที่เอาแต่หมกมุ่นเกี่ยวกับความปลอดภัยทางร่างกายและจิตใจของตัวเองอย่างไม่ลืมหูลืมตา
แต่พอเข้าใจจุดประสงค์ของเจ้าพ่ออย่างถ่องแท้แน่นอน
หนุ่มสถาปัตย์หัวไข่ก็ไม่อาจสะกดกลั้นความปรารถนาลึก ๆ อันรุนแรงของตัวเองเอาไว้ได้อีกต่อไป
“เจ้าพ่อไม่คิดจะทาบทามคนแถว
ๆ นี้มาเล่นบทมือที่สามจำเป็นดูบ้างเหรอครับ?...
...ในวิสัยทัศน์อันชาญฉลาดของผม
ผมว่ายังมีคนที่เหมาะสมกับหน้าที่นี้ยิ่งกว่าผู้ใดหลงเหลืออยู่นะครับเจ้าพ่อ...
...โดยเฉพาะหนุ่มรูปงามผู้มีความเข้าใจแผนการของพวกเราอย่างทะลุปรุโปร่ง
แถมยังมีมนุษยสัมพันธ์ดีเลิศจนใครต่อใครต่างพากันหลงใหลได้ปลื้ม” คนพูดยิ้มมุมปากพลางพยายามขมิบเบ้าหน้าจนดูหล่อแบบลับ
ๆ ล่อ ๆ ให้พอเหมาะกับคำใบ้ที่ไม่โจ่งแจ้งจนเกินไปนัก
“หึ! พูดเสียเห็นภาพเป็นฉาก ๆ ขนาดนี้ ไม่เสนอชื่อตัวเองออกมาเสียเลยล่ะ”
หากมนุษย์ทั้งโลกเกิดจะซื่อบื้อจนสมองไม่อาจตีความเนื้อหาที่หนุ่มหน้าแว่นสอดไส้เอาไว้จริง
ๆ ... แฝดน้องคือคนเดียวที่พร้อมจะตีแผ่ความจริงนั้นให้โลกได้ประจักษ์
“แล้วนอกจากน้องพลับแล้ว
อีกคนจะเป็นฝาแฝดคนไหนเหรอครับเจ้าพ่อ?” บ๊วยรีบถามแทรกขึ้นเพราะไม่อยากให้บรรยากาศในที่ประชุมกลายเป็นสนามมวยลุมพินีไปเสียก่อน
“ก็คงต้องเป็นเจ้าพลุ...
เพราะเจ้าพลายต้องประกบเจ้าแฝดน้องไม่ห่าง... หรือเจ้าคิดเห็นอย่างอื่น เจ้าฌอน?”
“จัดการตามนั้นก็ได้ครับเจ้าพ่อ
ผมสะดวกทุกอย่าง” ฌอนละสายตาเชือดเฉือนจากใบหน้าของอาตี๋สี่ตาชั่วขณะเพื่อหันไปตอบรับเจ้าพ่อทั้งสองอย่างมีสัมมาคารวะ
“นั่นก็แสดงว่า
กายเนื้อที่เจ้าพ่อจะสร้างให้ดวงจิตทั้งสองก็ต้องเป็นร่างของคนวัยเดียวกับพวกเราสินะครับ”
เก็กสรุปตามความน่าจะเป็น กระนั้น... แทนที่บุตรแห่งเทพจะได้จำนรรจา สกลก็ป้อนคำถามกึ่งชี้นำทางเลือกลัดคิวขึ้นโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม
“แล้วกายเนื้อที่จะเสกให้น้องพลุกับน้องพลับจะมีหน้าตาเป็นยังไงเหรอครับเจ้าพ่อ?...
.
...เจ้าพ่อมีต้นแบบในใจแล้วหรือยังครับ?...
...ถ้าไม่...
จะใช้เรือนร่างผมเป็นต้นแบบก็ได้นะครับ ผมยอมเสียสละอัตลักษณ์ของตัวเองเพื่อให้แผนการของพวกเราสำเร็จลุล่วงโดยไม่คิดหวงห้าม!!” สกลพูดพลางกรีดกรายปลายนิ้วและวงแขนพรีเซนท์สารร่างตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความภาคภูมิใจไม่มีใครเกิน
กระทั่งเสียงถอนหายใจพรู กับใบหน้ายู่ ๆ ของสมุนเลวทั้งหลายยังทำร้ายเด็กเต็กหัวไข่ไม่ได้เลยสักกระผีกริ้น
“เจ้าพ่อท่านจะทำให้เฮียฟูหึงหวงพี่เต๋อพี่ด้วง ซึ่งแว่นไม่ได้มีคุณสมบัตินั้น...
แว่นเข้าใจที่พี่ฌานอธิบายใช่ไหมครับ?” แฝดพี่ถึงกับกุมขมับระหว่างค่อย ๆ อธิบายอย่างช้า
ๆ คล้ายกำลังสื่อสารกับเด็กเล็ก ๆ ที่ยังไม่รู้ประสีประสาอย่างไรอย่างนั้น
ซึ่งสำหรับสกลแล้ว...
ดาเมจของการพูดจาตะล่อมดี ๆ อย่างที่ฌานเพิ่งทำไปหมาด ๆ
ร้ายแรงกว่าโดนเทียนลนคาง
เอาน้ำมนต์สาดร่าง ตบท้ายด้วยปาข้าวสารเสกใส่รัว ๆ เป็นไหน ๆ
“โห่พี่ฌานอ้ะ! ชอบพูดจาทำร้ายจิตใจน้องเรื่อยเลย!!”
“ไม่ต้องห่วงไป...
ข้าจะเสกให้เจ้าสองแฝดนั่นมีรูปลักษณ์ใกล้เคียงกับเจ้ากังฟูมากที่สุด...
.
.
...ข้ารับรองเลยว่า
เจ้ากังฟูจะต้องรู้สึกอิจฉาและหึงหวงทันทีที่ได้พบหน้ามือที่สามทั้งสองของข้าเป็นแน่”
ท่าทางมั่นอกมั่นใจที่เทพสายบู๊แสดงผ่านสีหน้า แววตา และคำพูดคำจาฟังหนักแน่นไม่หวั่นไหวต่อข้อเสนอแนะของสกล
ส่งผลให้สมุนเลวสี่ในห้าคล้อยตามแผนการของเจ้าพ่อไทรทอง อย่างไร้ข้อกังขา
“แล้วพวกเราจะเริ่มแผนการกันเมื่อไรดีล่ะครับเจ้าพ่อ?”
อดีตเดือนมหาลัยผู้เป็นเดือดเป็นร้อนกับภาวะเศร้าซึมของพี่ชายรวมทั้งสถานะครึ่ง ๆ กลาง
ๆ ยกระดับความสัมพันธ์ให้ชัดเจนไม่ได้ของตัวเองถึงกับโพล่งข้อคำนึงออกมาโดยไม่ได้กลั่นกรอง
“พรุ่งนี้เลยเป็นไร...
พวกเจ้าเห็นชอบด้วยไหม?” เหตุผลที่เทวบุตรสุดชิคเร่งวันเวลาไม่ใช่เพื่อธันวาหรือพี่ชาย
หากแต่เป็นเพราะไม่อยากเห็นเทพอีกองค์ต้องทรมานใจด้วยไม่อาจประทานพรให้บ๊วยได้ทันเส้นตายที่กระชั้นเข้ามาเต็มที
“เดี๋ยวครับเจ้าพ่อ!... ก่อนจะเริ่มแผนการ
ผมมีเงื่อนไขที่อยากจะขอกับเจ้าพ่อสักหนึ่งข้อจะได้ไหมครับ?” ร่างทรงหนุ่มเหยียบเบรกตัวโก่งจนสหายผู้ร่วมขบวนการทั้งหมดต้องหยุดฟัง
“เอาล่ะ...ว่าเงื่อนไขของเจ้ามาสิ
เจ้าฌาน” โฮลี่ฮิปสเตอร์ทำทีนิ่งเฉยกับเจตนารมณ์ที่แท้จริงของฝาแฝดคนพี่ด้วยไม่อยากสร้างสถานการณ์ชวนให้ต้องลำบากใจกันไปเปล่า
ๆ ลำพังแค่ต้องตีหน้ายักษ์สั่งสอนบุตรแห่งเทพอีกองค์อยู่ตลอดเวลาก็หนักหนาพอดู
ฌานนึกขอบคุณในความเมตตาของเจ้าพ่อห่อไหล่ในใจอยู่หลายครั้ง
ด้วยเพราะอีกฝ่ายไม่ได้ซักไซ้อะไรมากมาย
ไม่อย่างนั้น
สมุนเลวคนอื่น ๆ คงจับไต๋ได้ว่า ที่จริง... ข้อแม้ที่ตนกำลังจะนำเสนอมาจากความรู้สึกเป็นห่วง
และหวงหึงดวงจิตของแฝดคนที่สามเหนืออื่นใด
“ตลอดเวลาที่ฝาแฝดทั้งสองกลายร่างเป็นคน
ทั้งคู่จะต้องพักอยู่ที่ห้องพี่เต๋อ ไม่อย่างนั้น... ผมจะเปลี่ยนให้พลับไปเฝ้าน้องชายแล้วให้พลายมาเล่นละครแทน”
ฌานยื่นคำขาดเสียงแข็ง... ไม่รู้ล่ะ ที่ผ่านมาใครอยากจะทำอะไรเขาก็ไม่เคยคิดขวาง เพราะฉะนั้น...
พอถึงทีของเขาบ้าง ใครหน้าไหนก็ขัดไม่ได้เหมือนกัน
“เฮ่ย! ได้ไงอ่ะพี่ฌาน!! ผมไม่ยอมหรอกนะ!!!” เมื่อชื่อของคู่กรณีถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็น
หนุ่มหน้าแว่นจึงเห็นควรที่จะประท้วงอย่างไม่ไว้หน้าใคร
ในเมื่อสกลไม่เคยเห็นหัวใคร...
ก็อย่าหวังว่าคน
หรือเทพเจ้าจะให้ความสำคัญกับชายหนุ่มเป็นการตอบแทน
“เรื่องที่จะให้เจ้าแฝดไปพักค้างอ้างแรมที่ไหน...
พวกข้าจะให้พวกเจ้าทั้งหมดไปตัดสินใจกันเอาเองนะ เพราะข้าแน่ใจว่า... จะอย่างไร
พวกเจ้าก็จะหาทางออกให้กับความต้องการข้อนี้ของเจ้าได้อยู่ดี” เจ้าพ่อสายบุ๋นผู้ดูแลทุกข์สุขประจำมหาวิทยาลัยเมินความเดือดร้อนของเด็กเต็กสี่ตาแล้วหันไปสั่งความกับผู้มีศักดิ์เป็นหัวเรือใหญ่ด้วยทีท่าผ่อนคลาย
คล้ายจะบอกใบ้ให้ฌานสบายใจได้ว่า... เงื่อนไขที่ปรารถนาจะได้รับการตอบสนองในไม่ช้านี้
แต่ก่อนที่สมัครพรรคพวกจะคิดเตลิดกันไปคนละทิศละทางหลังจากประโยคสรุปความของเจ้าพ่อห่อไหล่เมื่อสักครู่
อดีตเดือนมหาลัยก็ยกประเด็นสำคัญที่ไม่มีใครพูดถึงขึ้นมาขอคำตอบจากบุตรแห่งเทพทั้งสองทันที
“แล้วอย่างนี้พวกเราจะรู้ได้อย่างไรล่ะครับว่าพลุกับพลับหน้าตาเป็นยังไง?
ทั้งคู่จะมาเจอกับพวกเรากันตอนไหน? พวกเราจะแยกแยะสองคนนั่นจากคนอื่น ๆ ได้ยังไง ในเมื่อพวกเราไม่เคยเจอทั้งสองในร่างมนุษย์มาก่อนเลยน่ะครับเจ้าพ่อ?”
“ใจเย็น
ๆ เจ้าเก็ก พรุ่งนี้.... เจ้าเต๋อกับเจ้าด้วงจะนำฝาแฝดทั้งสองมาให้พวกเจ้าได้ทำความรู้จักเอง หมดธุระของข้าแล้ว...ข้าไปก่อนนะ ‘ป็อบ!’” โฮลี่ฮิปสเตอร์ผู้อยู่ในโหมดบึ้งตึงกว่าปกติหายตัวไปทันทีที่ให้คำตอบเท่าที่จำเป็นจบ
ฝ่ายเจ้าพ่อไทรทองที่กำลังง้อเทพผู้เป็นที่รักอยู่อย่างเอาเป็นเอาตายจึงไม่อาจเอ้อระเหยได้อีกต่อไป
“ต้องเป็นเพราะเจ้าพ่อไทรทองทำรุ่มร่ามกับเจ้าพ่อห่อไหล่เมื่อวานแน่
ๆ เลย วันนี้เจ้าพ่อห่อไหล่ถึงได้ดุ๊ดุ”
“อยากให้พี่ฌานเรียกเจ้าพ่อท่านกลับมาแช่งแว่นดูหน่อยไหมล่ะ?”
“อุ๊ย! พวกเรามาตกลงกันเรื่องห้องนอนของน้องพลุกับน้องพลับกันดีกว่านะครับพี่ฌาน
ไม่งั้นคืนนี้จะกลับไปดูวอล์คกิงเดดรีรันไม่ทันเอาน้า” น้ำเสียงเข้มกับสีหน้าเอาจริงเอาจังของแฝดพี่ทำให้สกลกลับลำหันมาประจบเอาใจอีกฝ่ายคล้ายกิ้งก่าเปลี่ยนสี
ฝ่ายคนเป็นพี่แต่ในนามจึงได้แต่โคลงหัวอย่างระอาก่อนจะเริ่มเกลี้ยกล่อมเหล่าสมุนเลวที่เหลือด้วยความเหนือชั้น
“ก็อย่างที่พี่ฌานบอกไปแล้วนั่นแหละ...
.
.
...พี่ฌานอยากให้ฝาแฝดไปนอนห้องพี่เต๋อด้วยกัน
เพราะพี่ฌานเป็นห่วงสองคนนั่น...
...ถ้าจะพาไปนอนด้วยกันที่หอในก็ไม่น่าจะดี
เพราะลองว่าเจ้าพ่อตั้งใจจะเสกให้สองคนนั่นหน้าตาคล้าย ๆ เฮียฟู...
...พี่ฌานว่าแบบนั้นท่าจะเรียกความสนใจของพวกผู้ชายในหอได้เยอะจนเรื่องอาจจะบานปลายกลายเป็นปัญหาของพวกพี่
ๆ หัวหน้าตึก ไหนจะอาจารย์ประจำหออีก ส่วนทางพี่เต๋อกับพี่ด้วงก็จะกลายเป็นว่าไม่มีใครไปคอยตามเฝ้าสังเกตพฤติกรรมไปโดยปริยาย” ร่างทรงหนุ่มให้เหตุผลที่ตระเตรียมมาล่วงหน้าเพราะไม่อยากให้ใครจับได้ว่าแอบวางแผนอะไรอยู่...
จะปล่อยให้ใครรู้ไม่ได้ว่า
เขาไม่อยากให้พลับอยู่ห่างสายตา...
ลำพังแค่คิดว่าจะมีคนอื่นอยากทำความรู้จักกับคนของเขามากสักแค่ไหนเวลาที่ไม่ได้คอยอยู่เฝ้า
ความรู้สึกหึงหวงก็ทำให้แฝดพี่แทบจะกลายเป็นบ้าในทันใด
“แต่เราจะยัดเยียดให้ฝาแฝดไปนอนกับพี่เต๋อพี่ด้วงกันอีท่าไหนล่ะครับพี่ฌาน
เจ้าพ่อเล่นไม่บอกอะไรเลยว่าเราจะเจอน้องพลุกับน้องพลับได้ยังไงหรือเมื่อไร
แล้วอย่างนี้พวกเราจะรับมือถูกได้ยังไงล่ะครับ?” สกลอดกังวลไม่ได้เพราะรอบนี้
พวกเขาทั้งหมดยังไม่ได้คุยถึงแผนการโดยละเอียดเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา...
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่า
เจ้าพ่อห่อไหล่ไม่อยู่ในมู้ดที่พร้อมจะเสวนากับใครเป็นพิเศษด้วยล่ะมั้ง
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง...
พวกเราก็แค่ตกลงเนื้อเรื่องกันให้จบเสียก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้ตอนรุ่งสาง
พี่ฌานจะอัพเดทข้อสรุปของพวกเราให้เจ้าพ่อท่านทราบแล้วค่อยเคลียร์ทุก ๆ ประเด็นที่คั่งค้างกับพวกท่านโดยละเอียดอีกที”
เหตุที่แฝดพี่ยังรักษาอาการไม่ให้เต้นตามเพื่อนสนิทหัวไข่เป็นเพราะยังพอเบาใจอยู่ว่า อย่างไรเสีย...
พวกเขาทั้งห้ายังเหลือฝาแฝดคนโตอย่างพลายที่จะคอยช่วยเสริมข้อมูลส่วนที่ขาดหายให้ในภายหลัง
“ถ้าจะให้พี่เต๋อกับพี่ด้วงยอมช่วยเหลือง่าย
ๆ ผมว่าใช้มุกคนรู้จักของพวกเรามาเยี่ยมดีไหมล่ะครับ...
พวกเราจะได้ฝากฝังฝาแฝดเอาไว้กับพี่ ๆ ทั้งสองคนได้แบบเนียน ๆ ” เก็กนำเสนอไอเดียที่ดูจะเป็นไปได้มากที่สุด
ซึ่งฌานก็รีบอุดช่องโหว่ของแผนดังกล่าวทันที
“ฮื่อ...
ถ้าเป็นคนรู้จักของพวกเราโดยตรงคงไม่ดีเท่าไรหรอก เพราะพวกเราแต่ละคนก็มีห้องที่หอที่พออยู่กันอย่างสบาย
ๆ ”
“ถ้าบอกว่าเป็นญาติผมล่ะครับพี่ฌาน?”
คนเห็นผีเสนอตัวบ้าง... เอาเถอะ ถึงจะไม่ได้เล่นบทมือที่สามให้สาสมใจ แต่ถ้าได้รับสมอ้างว่าเป็นญาติโกโหติกาของผู้ชายที่จะทำให้พี่รหัสเพื่อนไขว้เขว
ก็ถือว่าเก๋ไก๋ไม่หยอกทีเดียว
“อย่าเลยแว่น...
พี่ฌานไม่อยากให้แว่นโดนถามว่าที่บ้านเก็บแว่นมาเลี้ยงหรือเปล่าน่ะ”
ร่างทรงหนุ่มทัดทานด้วยความหวังดีต่อแผนการของพวกเขาเป็นหลัก
แต่เพื่อนรักหัวไข่กลับทำตัวร้ายกาจอาจเอื้อมเกินกว่าที่ใครจะคาดเดาหลายเท่านัก
“ว้าย! พี่ฌานว่าบ๊วยแหละ!! / แนน! / ชะอุ่ย!!! ” สกลชิ่งคำด่ากระทบบ๊วยด้วยการขยี้ปมเรื่องที่หน้าตาไม่เหมือนใครในบ้านอย่างคึกคะนอง
ซึ่งนั่นแทบจะทำให้เก็กลากคนปากพล่อยออกไปกระทืบให้ม้ามแตกไส้อ่อนไหลออกมากองเสียจริง
ๆ
“ฌอนรู้แล้วครับพี่ชายว่าจะให้เป็นคนรู้จักของใครดี”
ที่แฝดน้องชิงพูดเปลี่ยนเรื่องขึ้นมานั้น ไม่ใช่เพราะอยากจะช่วยชีวิตสกลเอาไว้จากกรงเล็บหมี
หากแต่เพราะเฉยเมยจนไม่คิดจะสนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรเลยต่างหาก
Ħ------------------------------------------------------------------------Ħ
|| คืนแรกที่ญาติอิ๊กมาเยี่ยม ||
หลังจากงับประตูห้องรับรองแขกให้ปิดลงอย่างเงียบเชียบ
ปลายเท้าทั้งสองก็ค่อย ๆ จรดลงบนพื้นกระเบื้องทีละก้าว... ละก้าวราวกับลูกเนื้อทรายตื่นไพร
ยิ่งต้องมาอยู่ในร่างของมนุษย์ก็ยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังทุกครั้งที่เคลื่อนไหวให้จงหนัก
เพราะหากเกิดไปชนหรือเตะอะไรเข้า เขาคงได้กลายเป็นต้นเสียงปลุกให้ชายหนุ่มทั้งสามที่นอนเรียงกันเป็นตับตรงหน้าโซฟาต้องตื่นขึ้นมากลางดึก...
ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าตัวต้องการเลยสักนิด
ใช่ว่าการฝังจิตลงในกายเนื้อวิเศษจะเป็นคุณเพียงอย่างเดียว...
ยามที่ฝังจิตอยู่ภายในเนื้อหนังเช่นนี้ทำให้พลับไม่สามารถใช้อิทธิฤทธิ์เฉกเช่นตอนที่เป็นเพียงเศษเสี้ยวของดวงจิตกุมารได้
จึงไม่แปลกอะไรหัวแม่เท้าของหากมนุษย์ชั่วคราวอย่างเขาจะวาดไปเตะโดนแง่งของอะไรสักอย่างที่อยู่
ๆ ก็นึกจะมาตั้งขวางทางเขาท่ามกลางเงาตะคุ่ม ๆ ของบรรดาเครื่องเรือนทั้งหลายที่ถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดของราตรีกาล
“โอ๊ย!!... ซี๊ดดดดดดดดด...” ยังไม่ทันจะได้เขย่งยงโย่ยงหยกยกปลายเท้าขึ้นมาบีบนวดให้คลายความเจ็บปวด
ร่างเล็กก็ถูกมือดีลากเข้าไปกกกอด แทนที่เจ้าตัวจะตกใจ... ความอบอุ่นและสัมผัสอันคุ้นเคยที่ประคองทั้งร่างของเขาเอาไว้นั่นแหละที่ทำให้แฝดคนเล็กยอมเอนกายเข้าสู่อ้อมอกของคนที่เร้นหลบซบเงาทันที
“ออกมาทำไมครับตัวเล็ก?” แฝดพี่กระซิบข้างหูแล้วกดปลายจมูกดอมดมกลิ่นกายวิเศษที่หอมกรุ่นเย้ายวนใจไปพลาง
ๆ
“พลับมาหาฌาน”
คนในวงแขนช่างสื่อความปรารถนาได้ตรงไปตรงมาดีเหลือเกิน
“แล้วไม่ง่วงเหรอ?
หืม?” ถึงใจนึงจะห่วงใยอีกฝ่ายเพราะไม่ยอมหลับยอมนอน แต่ฌานก็อดปลื้มไม่ได้ที่ทั้งเขาและคนตัวเล็กคิดตรงกันแม้จะไม่ได้นัดแนะกันล่วงหน้า...
เพราะนั่นสะท้อนให้เขารับรู้ได้ว่า แฝดคนสุดท้องคงรู้สึกกระวนกระวายใจจนไม่อาจข่มตาลงได้ซึ่งไม่ผิดไปจากเขาเลย
“ดูตาพลับสิ
ใสแป๋วอย่างนี้ก็แปลว่าไม่ง่วงแล้ว”
คนพูดผินหน้าเชิดขึ้นสบตากับหนุ่มสถาปัตย์แล้วกระพริบตาปริบ ๆ อย่างน่าเอ็นดูเป็นหลักฐานประกอบ
“ฌานนั่นแหละ ทำไมยังไม่นอนอีกครับ?”
“ยังต้องให้ฌานบอกอีกเหรอว่าใครทำให้ฌานหวงจนนอนไม่หลับ?”
อีกฝ่ายจึงตอบคำถามด้วยคำถามเข้าให้ก่อนจะซุกไซ้ปลายจมูกไล้ไปตามลาดไหล่ของคนฟังอย่างถือวิสาสะ
“แต่พลับต้องนอนกับอิ๊กกับพลุนี่นา
/ ก็ยังนอนกับคนอื่นอยู่ดีนั่นแหละ!!” แฝดพี่ท้วงเสียงเข้ม
“พลับก็ออกมาหาแล้วนี่ยังไงล่ะ...
ทีนี้จะนอนได้หรือยังครับคนขี้หวง?” หลังจากตัดพ้อขอความเห็นใจพอเป็นพิธี
แฝดหัวสีก็รีบปัดเป่าความหงุดหงิดในเนื้อเสียงคนโตกว่าให้หายไปผ่านการกดริมฝีปากย้ำความรู้สึกห่วงหาไปตามเรียวนิ้วของฝ่ามือใหญ่
“ไม่นอนได้ไหมคนดี?...
เราไปนั่งคุยกันทั้งคืนเถอะนะ ตัวเล็กรู้ไหม...ฌานมีเรื่องอยากคุยกับตัวเล็กเยอะแยะไปหมดเลยครับ”
แฝดพี่อ้อนวอนพลางกระหวัดแขนทั้งสองรัดร่างของอีกฝ่ายให้ยิ่งแนบใกล้แล้วจึงพรมจูบไปทั่วผิวอ่อนที่โผล่พ้นผ้า
“ถ้าพลับอยู่ในรูปกายละเอียด...
เราจะไม่นอนกันกี่คืนก็ได้ แต่ถ้าอยู่ในร่างนี้... วันพรุ่งกายเนื้อนี่จะตื่นไม่ไหวเอานะฌาน”
พลับผละออกห่างพลางเตือนสติถึงขีดจำกัดของตัวเองซึ่งอาจกระทบกับแผนการทั้งหมดเป็นวงกว้าง “เปลี่ยนเป็นให้พลับนอนกอดฌานแล้วค่อย ๆ หลับไปพร้อม
ๆ กันได้ไหม? พลับอยากเห็นฌานก่อนหลับตา... แล้วก็อยากตื่นมาเห็นฌานเป็นคนแรกเหลือเกิน”
แฝดสามคนเล็กหว่านล้อมเสียงอ่อนเสียงหวานจนฌานต้องยอมตามใจ
“ก็ได้ครับ”
“ดีมาก! งั้นพลับนอนเลยนะ!” คนตัวเล็กกว่าขืนตัวเองออกจากอ้อมกอดแล้วดันร่างของแฝดพี่ให้เดินถอยหลังกลับไปยังเบาะที่นอนว่างที่เจ้าของปูเตรียมเอาไว้ทว่ากลับยังไม่ได้ใช้งานตามหน้าที่ของมัน
และก่อนที่หนุ่มสถาปัตย์จะตั้งสติได้ทัน พลับก็โถมตัวเข้ากอดอีกฝ่ายจนล้มลงไปกองบนฟูกที่ปูรออยู่กันทั้งสองคน
“ฮ่า
ฮ่า ฮ่า ฮ่า / ...ชู่ว์!... / ชู่ว์วววว!” เสียงหัวเราะเอร็ดอร่อยด้วยความลืมตัวของพลับทำเอาคนโตกว่ายกมือขึ้นจุปากนำขบวนชวนให้คนตัวเล็กกว่าทำท่าและเสียงเลียนแบบโดยพลัน
“....งืม
งืม... แจ๊บ ๆ ... ฮื่อ....ปีเตอร์....อย่าเลียยยย....แง่ม ๆ ....” และแล้วแฝดผมแดงก็เข้าใจว่าทำไมแฝดพี่ถึงไม่อยากให้เขาส่งเสียงดังเกินเหตุ
เพราะหนุ่มหัวไข่ที่นอนอยู่บนฟูกหลังติด ๆ กันดันมีปฏิกิริยาตอบสนองดีเยี่ยมต่อเสียงรบกวนรอบข้าง แต่ทั้งที่พยายามจะรักษาความสงบแทบตาย เสียงงึมงำกับท่าละเมอเหวี่ยงหน้าไปมาของสกลก็ทำให้ทั้งคู่ต้องกลั้นหัวเราะหนักไปกันใหญ่
.
.
.
.
.
.
“ตัวเล็กรู้ไหม...
คืนนี้ฌานจะไม่ยอมหลับตาเลยคนดี ฌานจะนอนรอจนกว่าตัวเล็กจะลืมตาอีกครั้ง บอกตรง ๆ ...
ฌานไม่อยากเสียเวลาสักนาทีที่จะได้อยู่กับตัวเล็กไปเลยสักนิด” ร่างทรงหนุ่มเอ่ยกระซิบความนัยกับชายหนุ่มอีกคนที่นอนทอดกายประกบอยู่บนแผ่นอกของตนราวคล้ายกับลูกแมวตัวเล็ก
ๆ
“ฮื่อออ
ฌานอย่าดื้อสิ... พลับบอกให้นอน ฌานก็ต้องเชื่อพลับนะ” พลับเชิดคอขึ้นเพื่อสบตากับอีกฝ่าย...
แต่ถึงจะจ้องหนุ่มสถาปัตย์จนตาแทบจะถลนออกจากเบ้า
ก็ยังไม่มีเค้าว่าคนที่อุทิศตนเป็นเบาะให้เขาจะยอมพักผ่อนง่าย ๆ “ฌานจะไม่ยอมนอนพร้อมพลับใช่ไหม?”
“ก็บอกแล้วไงว่าฌานจะเฝ
(จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ)...” แทนที่ฌานจะได้ตอกย้ำจุดยืนของตน พลับกลับยกตัวขึ้นแล้วพรมรจูบซ้ำ
ๆ ลงบนเปลือกตาของคนขื้ดื้อถี่ ๆ จนแฝดพี่ไม่อาจเปิดเปลือกตาได้อีกต่อไป
“...หึ หึ หึ... คิดว่าทำแบบนี้แล้วฌานจะยอมนอนด้วยดี ๆ เหรอ หืม?” คนตัวโตกว่าปิดตาถามขู่แกมหยอกแต่รอยยิ้มกว้างที่ผุดขึ้นมาอยู่ตลอดเวลานั่นกลับทำให้ความรู้สึกน่าเกรงขามของถ้อยคำแทบไม่มีความหมาย
“เปล่า...
แต่อีกเดี๋ยวพลับก็จะเหนื่อย (จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ)... ถึงตอนนั้น ฌานก็จะสงสารแล้วยอมนอนเพราะฌานไม่อยากให้พลับเหนื่อย...
ใช่ไหมครับคนดี? (จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ จุ๊บ)”
“ถ้างั้นฌานรอให้ตัวเล็กเหนื่อยก่อนดีไหม?
บังคับฌานให้นอนด้วยวิธีนี้ ฌานชอบนะ... พลับไม่รู้เหรอ?” พอได้ยินวาจาเจ้าเล่ห์ของแฝดพี่แบบเต็ม
ๆ คนกล่อมเลยหมดอารมณ์เล่นเกมปิดเปลือกตาฌานไปเสียฉิบ
“ฮื่ออออ
ไม่เอาสิ อย่ารวนกันแบบนี้... ถ้าอยากจูบกันก็ขอดี ๆ สิที่รัก ไม่เห็นต้องแกล้งพลับให้เหนื่อยเลย”
ถึงจะงอแงแต่ช่องที่แฝดผมแดงเปิดกว้างเอาไว้ให้นั้นก็ช่างเย้ายวนเสียเหลือเกิน
“ถ้างั้น...
ฌานขอจูบคนดีให้ชื่นใจสักหน่อยได้ไหมครับ?”
คำถามนี้ไม่มีคำตอบในรูปเสียง...
จะมีก็แค่เพียงใบหน้านวลในแสงวอมแวมที่กดต่ำน้อย ๆ พลางยั่วยิ้ม
หนุ่มสถาปัตย์ประคองแผ่นหลังบาง
พลิกตะแคงข้างโดยจับร่างของอีกฝ่ายให้เปลี่ยนมานอนตะแคงก่อนจะค่อย ๆ โน้มตัวเข้าหาใบหน้าเนียนที่ลอยอยู่ไม่ห่าง
(คร่อออออออออออกกกกกกกกกกกกกกก)
ณ จังหวะที่ริมฝีปากของทั้งสองกำลังจะต้องกัน
เสียงสวรรค์ดังก้องน้อง
ๆ โรงสีข้าวที่หนุ่มหน้าตี๋ตัวขาวเป็นผีจูออนนอนข้าง ๆ ได้สร้างสรรค์ออกมานั้นก็ทำลายจังหวะเข้าด้ายเข้าเข็มดังกล่าวไปเสียสิ้น
จากที่จะได้สัมผัสกลีบปากอันอ่อนนุ่มของอีกฝ่าย
คนตัวเล็กกว่าก็หดคอเพื่อหัวร่องอหายจนน้ำหูน้ำตาไหล
แฝดพี่จึงหยิบหมอนใบที่ไม่ได้ใช้ไปวางปิดหน้าเพื่อนหัวไข่หมายจะช่วยลดอำนาจทำลายล้างของเสียงกรนให้เบาบาง
เมื่อบรรยากาศทั้งห้องกลับสู่ภาวะเกือบเงียบ
ฌานก็ค่อย ๆ ช้อนฝ่ามือยกท้ายทอยของอีกฝ่ายเข้าหาแล้วส่งผ่านความรู้สึกทั้งหลายทั้งมวลที่ใกล้จะทะลักล้นเต็มทีผ่านกลีบปากทั้งสองอย่างละมุนละไม
แต่ดูเหมือนว่าเจ้าที่จะไม่เป็นใจ
เพราะแค่ขบเม้มความอ่อนโยนหวานฉ่ำได้ไม่เท่าไร
คนนอนที่รู้สึกเหมือนจะขาดใจตายก็ดิ้นพราดพลางส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายเสียยกใหญ่
“...เฮ่ย!!!... พี่ฌาน พี่ฌาน....ผมฝันร้าย ผมฝันว่าผมหายใจไม่ออก!!” สกลเวอร์ชันไม่ใส่แว่นเขย่าแผ่นหลังของแฝดพี่ที่นอนตะแคงใส่ด้วยน้ำเสียงตกใจ ฝ่ายผู้ร้ายที่อยู่เบื้องหลังวินาทีเฉียดตายของเพื่อนรักก็ฟอร์มว่าตนกำลังหงุดหงิดและงัวเงียเพราะโดนปลุกให้ตื่นขึ้นกลางดึก
“ฮื่ออออออออแว่น
อย่าเสียงดังดิวะ... คนจะหลับจะนอน” ฌานตำหนิพลางรวบร่างบางของคนรักเอามากอดไว้แนบชิดโดยหวังให้เพื่อนสนิทไม่ทันได้สังเกตว่ามีใครมาอาศัยนอนฟูกเดียวกับเขาเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน
“โห่! พี่ฌานอ้ะ!! / เงียบหน่อยดิวะแว่น!”
เป็นที่รู้กันระหว่างเหล่าสมุนเลวว่า
ถ้าไม่อยากอายุสั้น...
ก็อย่าดั้นด้นปลุกคนนอนที่ดุกว่าเสืออย่างฌานให้ตื่นขึ้นกลางคัน
ซึ่งเมื่อได้ยินน้ำเสียงรำคาญของเพื่อนรักผู้มากบารมีเต็มสองรูหู
หนุ่มแว่นหน้าตี๋จึงล้มตัวลงนอนอีกครั้งพลางส่งเสียงบ่นหงุงหงิงสั้น
ๆ ก่อนจะเงียบเสียงไปในอีกไม่กี่อึดใจให้หลัง
เมื่อมองไม่เห็นลู่ทางของการสร้างบรรยากาศสวีทหวานท่ามกลางเพื่อนฝูงของอีกฝ่าย
เจ้าของเรือนผมสีแดงจึงฉวยโอกาสปิดการขายด้วยการขโมยจูบคนตัวใหญ่อย่างเต็มรักก่อนจะซุกหน้าเข้าหาแผ่นอกกว้างของฌานทันที
“ฝันดีครับตัวเล็กของฌาน”
แฝดพี่เอ่ยเบา ๆ หลังจากกดจูบซ้ำ ๆ จนทั่วใบหน้าน้อง
ก่อนจะนอนมองภาพแห่งความสุขในอ้อมอกแล้วค่อย ๆ ปิดเปลือกตาลงอย่างช้า ๆ
“เจ้าประสงค์สิ่งใดกันเจ้าร่างทรง
ถึงได้ตั้งจิตเรียกพวกข้าทั้งสองมาถึงในห้วงนิมิตเช่นนี้?” เจ้าพ่อห่อไหล่ตวัดเสียงถามแฝดพี่อย่างฉุน
ๆ เมื่อประเมินจากสายตา
แฝดพี่ก็เดาได้ว่าบุตรแห่งเทพประจำมหาวิทยาลัยคงจะยังโกรธกริ้วฉิวเทพองค์ข้าง ๆ ไม่หาย...
ฌานจึงไม่พิรี้พิไรให้โฮลี่ฮิปสเตอร์ยิ่งต้องโมโห
“เจ้าพ่อครับ...
หากไม่มีอะไรผิดพลาด อีกสองวันพี่ ๆ ทั้งสามน่าจะตกลงกันได้...
...หลังจากนั้น ผมอยากจะขออนุญาตเจ้าพ่อใช้เวลากับพลับต่ออีกสักหน่อย
อย่างน้อย ๆ ก็ให้ครบสองสัปดาห์ตามที่พลับบอกได้หรือไม่ครับ?”
“พวกข้าคงจะทำตามความปรารถนาของเจ้าไม่ได้หรอกเจ้าฌาน” เทวบุตรแห่งมหาวิทยาลัยเอ่ยด้วยความหนักใจเพราะรู้อยู่เต็มอกว่าร่างทรงหนุ่มประสงค์สิ่งใด
กระนั้น...
เจ้าพ่อห่อไหล่กลับไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำเสียทีเดียว
“แต...
/ แต่อย่าเพิ่งเสียใจไป จริงอยู่ที่ข้ากับเจ้าพ่อไทรทองไม่อาจมอบช่วงเวลาสองอาทิตย์ให้แก่พวกเจ้าทั้งสอง
แต่ข้าหวังว่า ช่วงเวลานับจากนี้จนเมื่อแสงแรกของวันอาทิตย์มาถึง เจ้าจะใช้เวลากับเจ้าพลับอย่างคุ้มค่า”
“ขอบคุณมากครับเจ้าพ่อห่อไหล่
ขอบคุณจริง ๆ ครับ!!” แฝดพี่กระพุ่มมือไหว้บุตรแห่งเทพสายบุ๋นด้วยความดีอกดีใจ...
อย่างน้อย ๆ การที่เขายอมข่มตาหลับทั้งที่อยากจะนอนมองคนรักจนรุ่งสางเพื่อเจรจาต่อเวลากับเจ้าพ่อทั้งสองก็ไม่ขาดทุนเสียทีเดียว
เพราะสองสามวันย่อมดีกว่าต้องรออีกห้าปีกว่าจะได้เจอหน้ากับอีกฝ่ายในร่างของเด็กทารก
“แต่ข้ามีข้อแม้อยู่ประการหนึ่งที่เจ้าต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด”
โฮลี่ฮิปสเตอร์แทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังจนคนฟังต้องยอมพักความรู้สึกลิงโลดใจเอาไว้ก่อน
“ข้อแม้อะไรหรือครับเจ้าพ่อ?”
“กายทิพย์ทั้งสองที่ข้าเสกมาเพื่อการณ์ในครั้งนี้เป็นธาตุบริสุทธิ์ ดังนั้น... ข้าขอห้ามไม่ให้เจ้าเสพสังวาสกับเจ้าพลับขณะครองร่างนี้เป็นอันขาด
เจ้าจะสามารถรับปากกับข้าทั้งสองได้หรือไม่?”
“ครับ...
ได้ครับเจ้าพ่อ” ถึงจะตอบรับปาว ๆ แต่ฌานก็ยังเป็นกังวลอยู่ดีว่าตัวเองจะสามารถอดกลั้นได้อย่างที่รับปากเจ้าพ่อห่อไหล่ไปหรือไม่...
แต่มีหรือที่บุตรแห่งเทพที่อ่านใจได้จะปล่อยให้คำสัญญาดังกล่าวกลายเป็นเพียงคำพูดพล่อย
ๆ ที่ลอยผ่านหูแล้วเลยลับไป
“เจ้าต้องไม่ลืมว่าคำพูดเป็นนายของเจ้า
และหากเจ้าละเมิดเงื่อนไขของข้า... ผลของการกระทำในครั้งนี้จะทำให้กว่าที่เจ้าจะได้สมสู่กับเจ้าพลับในฐานะลูกมนุษย์
คือ จนกว่าเจ้าพลับจะล่วงเข้าสู่วัยเบญจเพส”
“ครับ
ผมสัญญาว่าจะไม่ผิดคำพูดเป็นอันขาดครับ” แค่ได้ยินยังไม่อยากจะจินตนาการตาม... หากเขาต้องถนอมความบริสุทธิ์เอาไว้อีกเป็นสิบ
ๆ ปี วันแรกที่จะได้ลงสนามกับพลับ มีหวังเขาคงต้องได้ตามรถพยาบาลมารอเผื่อหัวใจวายไปก่อนแหง
ๆ
“ดีมาก...
งั้นข้าไปก่อนล่ะ” กำชับกำชาจบ เจ้าพ่อห่อไหล่ก็หายตัวไปโดยไม่คิดจะรอเทวบุตรอีกองค์เหมือนอย่างทุกที
“ไม่ต้องเป็นห่วงไปนะเจ้าร่างทรง...
.
.
...ตราบใดที่ไม่มีอวัยวะใดของร่างกายเจ้าล่วงล้ำผ่านเข้าภายในกายทิพย์เชิงเสพสม
ก็ถือว่าไม่ผิดกติกา...
...ข้าขอให้พวกเจ้าใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้เต็มที่และมีความสุขนะ”
เหตุผลจริงแท้ที่รั้งไม่ให้เจ้าพ่อไทรทองรีบตามติดจิตของเจ้าหัวใจไปในทันที
ก็เพราะบุตรแห่งเทพองค์นี้ต้องการจะเผยความลับแห่งสวรรค์ให้แก่ลูกมนุษย์ผู้มีหัวอกเดียวกันได้รับทราบนั่นเอง
“ขอบคุณครับเจ้าพ่อไทรทอง!!”
“ไม่เป็นไร...
ข้าเข้าใจเจ้าดี หึ! บางทีอาจจะดีมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ!” เทวบุตรสุดชิคตบบ่าฌานเพื่อให้กำลังใจ
ซึ่งหากแฝดพี่มองไม่ผิด... ดูเหมือนไอ้สถานะดูด้วยตามืออย่างต้องของจะเสียนี่น่าจะแทงใจเจ้าพ่อไทรทองอย่างที่สุด
จนอีกฝ่ายไม่อาจทนเห็นลูกมนุษย์ในสังกัดต้องดำเนินรอยตามไปโดยไม่มีทางเลือกที่ดีกว่าอย่างไรอย่างนั้น
“ขอบคุณครับเจ้าพ่อ!!” ร่างทรงหนุ่มพนมมือขึ้นเหนือหัวเพื่อแสดงความเคารพอย่างสุดซึ้งแก่อีกฝ่าย
ก่อนที่เจ้าพ่อสายบู๊จะอันตรธานไปโดยเหลือไว้แค่เพียงเสียงก้องที่บอกใบ้ให้รู้ถึงภาระอันยิ่งใหญ่ที่ฝ่ายรุกผู้หลงเมียทั้งหลายต้องแบกรับอย่างไม่มีทางเลือก
“ข้าไปล่ะ
เดี๋ยวต้องไปตามง้อแฟนก่อน!”
Ħ------------------------------------------------------------------------Ħ
|| คืนสุดท้าย ||
เป็นเพราะคนที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนที่นอนของตัวเองในยามหัวค่ำนี่แหละ
ที่ทำให้แฝดพี่ร้อนรนจนต้องรีบบอกลาบรรดาสมุนเลวทั้งหลายที่สนามกีฬาทันทีที่ส่งข้าวส่งน้ำให้อดีตเดือนมหาลัยเสร็จ
ฌานค่อย ๆ ทิ้งน้ำหนักลงนอนจับจองพื้นที่ว่างข้าง
ๆ ร่างของอีกฝ่าย แล้วส่งปลายนิ้วไปสัมผัสใบหน้ายามหลับไหลของพลับราวกับจะจารึกความรู้สึกนี้เอาไว้กับตัวจนกว่าทั้งสองจะได้เจอกันอีกครั้ง
“อือออ...
ฌานกลับมาแล้ว” คนที่เพิ่งตื่นจากนิทรายิ้มหวานให้ทั้งที่ตายังไม่ลืมดี นิ้วเรียวไล่คว้าฝ่ามือหนากว่ามาประทับแนบแก้มเพื่อจะได้กดจมูกและริมฝีปากลงบนฝ่ามืออบอุ่นนั้นได้ตามอำเภอใจ
“ครับ
ฌานกลับมาแล้ว” คนพูดเอ่ยพลางนอนอมยิ้มมองเด็กขี้เซาค่อย ๆ กระพือแพขนตายาวเบา ๆ ราวผีเสื้อแสนสวยสยายปีกเตรียมโผบิน
แต่ดูเหมือนภารกิจการเที่ยวตะลอนซ้อนท้ายบิ๊กไบค์เล่นกับโซ๊ยเจ็กในอนาคตตลอดช่วงบ่ายจะทำให้อีกฝ่ายเพลียจนยังไม่ยอมลืมตาขึ้นมามองหน้ากันแต่โดยดี
“ทุกอย่างโอเคแล้วใช่ไหม?”
พลับงึมงำเสียงอู้อี้เพราะมัวแต่ประกบริมฝีปากจูจุ๊บอุ้งมือคนฟังอย่างไม่นึกแหนงหน่าย
“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วล่ะ
ป่านนี้ไอ้เก็กมันคงเอาคืนบ๊วยจนไม่เป็นอันทำอย่างอื่นแล้วล่ะมั้ง” ฌานสรุปสั้น ๆ ตามความเข้าใจ
เพราะจังหวะที่เหล่าสมุนเลวทั้งสามผละจากสนามกีฬามาก็เห็นจักรยานคันคุ้นตาของเพื่อนรักปั่นสวนทางไปยังสถานที่นัดของธันวาอย่างเร่งรีบ
“แต่ก็ช่างเถอะ... ตัวเล็กนอนต่อดีไหม?” ร่างทรงหนุ่มตัดบทเพราะไม่อยากให้คนรักต้องฝืนตัวเองจนเกินไป
ทว่าอีกฝ่ายกลับยิ่งทำให้เขาตกหลุมรักลึกไปกันใหญ่
เมื่อสุดท้าย
ฝ่ามือนิ่มที่เคยจับมือเขาเอาไว้ก็ถูกเลื่อนไปขึงรั้งคิ้วทั้งสองข้างขึ้นสูงเพื่ออาศัยแสงไฟในห้องให้ช่วยแยงตาจนยอมตื่นขึ้นมาดังที่เจ้าตัวตั้งใจเอาไว้ก่อนจะเผลองีบ
“ฮื่อ...
ไม่เอา คืนนี้พลับจะอยู่กับฌานจนถึงเช้าเลย” คนตาเหลือกด้วยน้ำมือตัวเองปฏิเสธอย่างแข็งขันจนฌานอดรู้สึกเอ็นดูไม่ได้
“ขอบคุณนะครับคนดี”
ขาดคำคนเป็นพี่ก็ป้อนจูบเพิ่มพลังให้คนฟังไปหนึ่งรอบ
“ถ้าอย่างนั้น... ลุกเลยดีไหม ฌานมีอะไรจะให้พลับด้วยนะ” ว่าแล้วฌานก็หยัดตัวขึ้นนั่งพิงผนังแล้วจัดแจงแงะร่างเหลวเป็นแผ่นบนที่นอนให้ลุกขึ้นนั่งซ้อนด้านหน้ากลางหว่างขาตัวเอง
“หืม?!!” คนขี้เซาถึงกับตื่นเต็มตาเมื่อเห็นว่ามีถุงผ้ากำมะหยี่เล็ก
ๆ ห้อยอยู่ตรงหน้าตัวเอง แฝดพี่ลดถุงผ้าลงแล้วล้วงเอาแหวนเกลี้ยงวงหนึ่งออกมาถือไว้แล้วเริ่มอธิบายให้คนในอ้อมกอดฟัง
“พอดีเพิ่งได้มาวันนี้...
อยากให้ลองใส่ดูก่อน ตอนใช้จริงจะได้ไม่ต้องเปลี่ยนใหม่” พูดไปก็สวมแหวนคล้องนิ้วนางข้างซ้ายของอีกฝ่ายอย่างเบามือ
“พอดีเลย! ขอบคุณนะครับ!!” แฝดผมแดงอุทานอย่างชอบใจ
แต่เมื่อฉุกคิดได้ว่าวันหนึ่งข้างหน้าสรีระของเขาอาจจะทำให้ใส่แหวนวงนี้ไม่ได้อีกต่อไป...
พลับจึงไม่อาจเก็บงำความสงสัยเอาไว้กับตัวได้อีกแล้ว “แต่ฌานไม่กลัวพลับจะมือใหญ่กว่านี้เหรอ?”
“ถ้าถึงตอนนั้นแล้วเกิดจะล่ำเป็นหมีเหมือนพี่เต๋อ
ฌานก็จะคล้องเอาไว้กับสร้อยแล้วบังคับให้คนดีใส่ติดตัวตลอดเวลา
ใครถามจะได้ตอบว่ามีเจ้าของแล้ว... และเจ้าของหวงมากด้วย!” ร่างทรงหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังจนคนตัวเล็กกว่าต้องรีบประท้วงพร้อมอธิบาย
“ถึงเวลานั้นแล้วค่อยซื้อใหม่ไม่ได้เหรอ?
รีบให้ตั้งแต่ตอนนี้... พลับกลัวว่าพลับจะใส่ไม่ได้น่ะ”
“ใครเขาเปลี่ยนแหวนหมั้นบ่อย
ๆ กัน... หืมตัวเล็ก?” ถึงเจ้าตัวจะพูดด้วยน้ำเสียงติดฉิว แต่คำสรรพนามที่ใช้เรียกแหวนวงที่คล้องมืออยู่
กับการบรรจงจูบตรงตำแหน่งที่มีเครื่องประดับแทนใจอย่างนุ่มนวลนั้นก็ทำเอาเด็กหนุ่มหัวแดงอดตกใจไม่ได้
“แหวนหมั้น?!!”
“หึ
หึ หึ ใช่แล้วคนดี...แหวนวงนี้เป็นแหวนหมั้นที่ฌานอยากมอบให้คนดีเอาไว้แทนหัวใจของฌานนะ...
...ทำไงได้ล่ะ
ก็ฌานน่ะเผลอรักพลับไปแล้วหมดใจทั้งที่กว่าจะได้เจอหน้ากันก็อีกตั้งหลายปี...
.
.
...ถ้าฌานไม่จองเอาไว้ก่อน
มีหวังถึงตอนนั้นตัวเล็กคงลืมฌานกันพอดีน่ะสิ”
“แต่ฌานก็รู้นิว่าพลับจะจำเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดตอนนี้ไม่ได้...
ทั้งเรื่องพ่อฟู ป๋า แด๊ด... กระทั่งเรื่องของเราก็เถอะ” พลับท้วงเสียงอ่อนด้วยอดสงสารคนที่ต้องเฝ้ารออย่างโดดเดี่ยวอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้
แต่นั่นกลับไม่ใช่สาเหตุของความรู้สึกหนักอึ้งที่กำลังก่อตัวขึ้นอย่างช้า
ๆ ภายในใจเขา ณ เวลานี้...
ยังมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าเรื่องรูปร่างหน้าตา
แหวนหมั้น หรือคำสัญญาอื่นใดที่เขาและอีกฝ่ายต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันเสียก่อนที่จะต้องจากลา
และดูเหมือนว่า ฌานจะไม่ระแคะระคายถึงเรื่องกวนใจที่ว่าเลยสักนิด
“ถึงความจำที่เกิดขึ้นในชาตินี้จะถูกลบไป
แต่สัญญาระหว่างเราก็จะยังคงอยู่ไม่ใช่เหรอ?...
...ไม่อย่างนั้นตอนนี้เราจะหากันเจอได้ยังไง?...
.
.
...อีกอย่าง
ถึงตัวเล็กจะจำฌานไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะหลังจากที่เราเจอกัน ฌานจะทำให้ตัวเล็กรักคนอื่นไม่เป็นอีกเลย...
...ดีไหมครับคนดีของฌาน?”
“ฌานพูดแล้วต้องห้ามเบี้ยวนะ...
ฌานต้องมาหาพลับ ต้องมาทำให้พลับรักฌานคนเดียวให้ได้นะ!” ช่องว่างระหว่างกายถูกเติมเต็มด้วยผิวสัมผัสนุ่มและอุ่นหลังจากคนตัวเล็กกว่าบดเบียดแผ่นหลังชิดใกล้ราวกับอยากจะผสานร่างให้เป็นหนึ่ง
ฝ่ายฌานเองก็ไม่ขัดศรัทธา
วงแขนกล้าแกร่งโอบรัดอีกฝ่ายให้กระชับแน่นขึ้นเพื่อย้ำเตือนว่าจะไม่คิดปล่อย
“สัญญาด้วยลมหายใจของฌานเลยครับคนดี”
แฝดพี่กดจูบแก้มเนียนซ้ำ ๆ อย่างไม่รู้เบื่อโดยไม่ทันได้รู้ว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าหนักใจเพียงใด...
พลับไม่แน่ใจเลยว่าสิ่งที่ตนกำลังจะเอ่ยจะทำให้คนรักคลุ้มคลั่งเพียงไหน...
แต่เพื่อความสุขของฌาน และรอยยิ้มของครอบครัวเขาในอนาคต... แฝดผมแดงก็ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้
“พลับจะรอ...
จะรอวันที่เราได้พบกันในอีกสิบปีข้างหน้า” คนตัวเล็กกว่ากลั้นใจเอ่ยพลางภาวนาให้คนฟังไม่โมโหจนปึงปังไม่ฟังเหตุผลไปเสียก่อน
“ห๊ะ?!! เมื่อกี๊พลับว่ายังไงนะ?!!!
เราไม่ได้จะเจอกันอีกห้าปีนับจากนี้หรอกเหรอ?” อ้อมกอดที่คลายลงทันตาพร้อม
ๆ กับสีหน้าตกอกตกใจของหนุ่มสถาปัตย์ทำเอาพลับต้องสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อรวบรวมความกล้าก่อนจะสาธยายเหตุผลส่วนตัวอันโหดร้ายต่อใจคนฟังด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“ฟังพลับก่อนนะครับที่รัก...
ที่พลับขอฌานแบบนี้ ก็เพราะพลับอยากให้ฌานออกไปใช้ชีวิตให้เต็มที่ก่อน... แล้วฌานค่อยกลับมาเจอพลับอีกทีหลังจากที่พลับโตพอที่จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้วได้ไหม?”
“ทำไมล่ะตัวเล็ก?
ทำไมฌานต้องทำแบบนั้นด้วย?!
ทำไมฌานต้องทนอยู่ห่างจากหัวใจตัวเองไปอีกตั้งห้าปีด้วยล่ะครับ?!” แฝดพี่โต้ระหว่างจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายด้วยหมายจะค้นใจให้รู้ซึ้งถึงเหตุและปัจจัยที่ทำให้พลับสร้างเงื่อนไขสุดทรมานนี้ขึ้น
“การที่พลับขอร้องฌานแบบนี้
เพราะพลับอยากให้ฌานได้เห็นโลกกว้างให้ได้มากที่สุด...
.
...พลับอยากให้ฌานค้นพบความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง
อยากให้ฌานได้ลองทำทุกอย่างตามที่ใจเรียกร้อง...
...และเหนือสิ่งอื่นใด
พลับอยากให้ฌานรู้ว่า... สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเรา
ใช่ความรู้สึกถูกตาต้องใจกันแค่เพียงรูปกาย หากแต่เกิดจากหัวจิตหัวใจของเราผูกพันกันด้วยความรักที่แท้จริง”
“แต่ตัวเล็กก็รู้นิว่าฌานรักตัวเล็กจริง
ๆ รักมาตั้งแต่ชาติไหนแล้วก็ไม่รู้ อยู่ดี
ๆ ตัวเล็กจะมาผลักไสให้เราต้องอยู่ห่างกันไปอีกทำไมกันล่ะครับ?!!” แฝดพี่จี้ถูกจุด... ใช่
เขากับพลับคือเนื้อคู่ที่ผูกพันกันด้วยคำมั่นสัญญามาแต่ชาติปางก่อน
แน่นอนว่าย่อมไม่มีอะไรจะมาพรากหรือเปลี่ยนความต้องการในตัวอีกฝ่ายไปได้ง่าย ๆ
ถึงอย่างนั้น
เด็กหนุ่มหัวแดงกลับไม่เสียกำลังใจ
เพราะการตัดสินใจเลือกหนทางนี้
คือ หนทางที่ดีที่สุด ทั้งต่อคนรัก... และต่อบิดาทั้งสามของเขาในอนาคต
“ฌาน...
ฌานครับ...
...พลับเชื่อหมดใจเลยนะว่า
พลับจะรักมั่นและฝังใจแต่กับฌาน และหลังจากที่เราเจอกันในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า...
...พอเราเจอกัน
พลับจะหาทางเหนี่ยวรั้งและครอบครองฌานเอาไว้แต่ผู้เดียวอย่างไม่ต้องสงสัย” คนพูดเอ่ยพลางช้อนฝ่ามือของคนฟังขึ้นมาประทับจูบเบา
ๆ ไปตามหลังมืออย่างเอาอกเอาใจ ก่อนจะอธิบายเหตุผลต่อไปด้วยน้ำเสียงใส ๆ ชวนฟัง
“แต่ฌานต้องอย่าลืมสิครับว่า...
เวลาช่วงขวบปีแรก ๆ หลังจากลืมตาดูโลกในฐานะของลูกป๋า...
...พลับจะเป็นเพียงแค่ลูกมนุษย์ที่ชุดฟันน้ำนมยังขึ้นไม่ครบ
แล้วเราจะสื่อสาร เราจะทำความเข้าใจกันยังไง?...
...ที่สำคัญ
ช่วงอายุของเราต่างกันเกินไป... ฌานจะต้องเจอกับการต่อต้านอย่างรุนแรงของป๋าอย่างไม่ต้องสงสัย...
.
.
...ฌานก็รู้นิว่า
อีกห้าปีข้างหน้า... ฌานกำลังก้าวเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ทั้งร่างกายและจิตใจ...
...ในขณะที่พลับกลับเป็นเพียงเด็กวัยที่เพิ่งเรียนรู้การตั้งไข่
วัยที่ยิ้มและนอนหลับได้เพราะโมบายที่ห้อยอยู่เหนือเปล...
...แล้วฌานว่า
ป๋าจะไม่หาทางกีดกันเราสองคนออกจากกันอย่างนั้นเหรอครับ?...
...ฌานจะไม่คิดว่าป๋าจะหาว่าฌานเป็นตาเฒ่าตัณหากลับไปเสียก่อนที่จะได้คุยกันดี
ๆ อย่างนั้นน่ะเหรอ?”
เพราะพลังในตอนนี้ทำให้พลับเห็นอนาคตอย่างชัดเจน
ซึ่งหากคนรักปักหลักเกาะติดครอบครัวในอนาคตของพวกเขาประหนึ่งเงา
นอกจากคุณพ่อร่างหมีผู้ยึดหลักเหตุและผลจะออกโรงต่อต้านความรักของพวกเขาจนถึงที่สุดแล้ว
พ่อฟูกับดี๊ด้วงคงน่าสงสารมากที่จะไม่ได้ใช้เวลาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยกับพวกเขาทั้งสามในช่วงขวบปีแรก
ๆ ของชีวิต...
อันเป็นวัยของเด็กทารกที่พ่อแม่ทั้งหลายต่างลงความเห็นตรงกันว่า
เป็นระยะเวลาที่ดีที่สุด และน่าประทับใจที่สุดเท่าที่พ่อแม่แต่ละคนจะมีได้
“...เฮ่อออออออออออออ...”
สิ่งที่เพิ่งได้ยินทำเอาร่างทรงหนุ่มถึงกับถอนหายใจยาวด้วยความจนใจ
เพราะเมื่อมองมุมกลับอย่างเข้าอกเข้าใจ
ฌานก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหตุผลของพลับมีน้ำหนักมากจริง ๆ ...
แม้จะมั่นใจว่าหลังเกิดใหม่
คนรักจะจำตัวเองได้ทันทีหลังแรกสบตา
ทว่าช่วงแรกเกิดจนถึงจังหวะที่ยังเป็นเด็กน้อยไม่รู้ประสานี่สิ...
เขาจะทนวางเฉยไม่ล่วงเกินอีกฝ่ายได้อย่างไร?!!
“พลับอยากให้ฌานไปเรียนรู้โลก
เก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้ได้มากที่สุด...
...และเมื่อฌานกลับมา...
สิ่งที่เคยผ่านมาในขวบปีที่เราต้องอยู่ห่าง สายตาที่ฌานใช้มองทุกสิ่ง จะเติมเต็มความรู้เกี่ยวกับโลกที่ขาดหายไปของพลับ
ฌานจะช่วยทำให้พลับกลายเป็นคนที่คู่ควรกับฌานได้ในระยะเวลาไม่นานยังไงล่ะ” แฝดผมแดงเอาน้ำเย็นเข้าลูบพลางจรดปลายจมูกคลอเคลียข้างแก้มสากไม่ห่าง
“แต่สิบปีมันนานมากเลยนะครับคนดี...
ฌานว่า ฌานคงได้ขาดใจตายไปก่อนแน่ ๆ ...
...อีกอย่าง
ถ้าสุดท้าย พวกป๋า ๆ ของพลับไม่เห็นด้วย ยังไงฌานก็ไม่รอดจากข้อหาเฒ่าหัวงูอยู่ดี...
.
...ถ้าอย่างนั้น
ฌานยอมเป็นเฒ่าหัวงูไปตั้งแต่ตัวเล็กเกิดแล้วได้อยู่ใกล้ ๆ กันไปเรื่อย ๆ ไม่ดีกว่าหรือยังไง?”
แม้จะสัมผัสได้ว่าคนตัวเล็กกว่าจะยืนหยัดกับข้อเสนอดังกล่าวโดยไม่ไหวหวั่น
และเขาก็เริ่มจะโอนอ่อนผ่อนตามขึ้นเรื่อย ๆ แต่เพราะไม่มีอะไรจะเสีย ขอเขาตั้งป้อมออกเสียงคัดค้านดูอีกสักรอบเป็นไร...
ก็สิบปีน่ะใช่เวลาสั้น ๆ เสียที่ไหนกัน?!
“ฮื่อ...
ที่รัก เชื่อเถอะครับว่าสิบปีน่ะเป็นเวลาที่ดีที่สุดแล้ว...
.
.
...รับรองเลยว่าระหว่างที่เราไม่ได้เจอกัน
พลับจะทำให้ป๋ายอมรับฌานให้ได้โดยที่ป๋าไม่ตัดฌานออกจากตัวเก็งลูกเขยแน่ ๆ ”
ท่าทางนิ่งฟังทั้งที่ถอนหายใจไม่ขาดสายทำให้หนุ่มผมแดงระดมจูบและหอมจนทั่วใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายคล้ายกับจะทำให้มึนเมาก่อนจะเป่าหูซ้ำ
ๆ ตามข้อสรุปที่ตนเชื่อว่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดต่อความสัมพันธ์ในอนาคตของพวกเขาทั้งสอง
“เชื่อพลับนะ... สิบปีน่ะ ดีที่สุดแล้ว”
ร่างสูงใหญ่ไม่ได้ตอบคำใด
หากแต่ทิ้งตัวลงนอนอย่างหมดอาลัยตายอยาก
ฌานพยายามซ่อนสายตาเจ็บปวดกับคำพิพากษาอนาคตของพวกเขาที่คนรักเพิ่งเอ่ยย้ำเอาไว้หลังเปลือกตา...
สิบปี...
อีกตั้งสิบปีเชียวหรือกว่าที่เขาทั้งคู่จะได้กลับมาอยู่ด้วยกัน?!!
“ฮื่อออออ
ฌาน... อย่าทำแบบนี้สิครับ ลุกขึ้นมาก่อน... ไม่อยากกอดพลับแล้วเหรอ?” พลับออดอ้อนพลางฉุดแขนของคนหมดแรงให้ลุกขึ้นนั่ง...
ยิ่งอีกฝ่ายแสดงท่าทางพ่ายแพ้อย่างหมดรูป เขาก็ยิ่งเสียใจ
“...เฮ่อ...
ขอเวลาทำใจแป๊บนึงได้ไหมครับตัวเล็ก ตอนนี้ฌานหมดแรงแล้ว” ได้ยินคนตัวโตกว่าพูดแบบนั้น แฝดสามคนสุดท้องจึงล้มตัวลงนอนข้าง
ๆ วางคางพาดตรงเนินอกระหว่างกอดร่างใหญ่เอาไว้แน่นแล้วจึงเอ่ยช้า
ๆ อย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ฌานหมดแรงได้นะ...
แต่ต้องห้ามหมดรักพลับ ตกลงไหมครับคนดี?”
.
.
.
.
.
.
.
.
“ถ้าฌานดื้อ
ฌานไม่ยอมทิ้งพลับกับครอบครัวไปไหนล่ะ?” คนพูดเปล่งเสียงถามทั้ง ๆ ที่ยังหลับตา
ฝ่ายคนฟังก็สวนออกมาด้วยประโยคอุปมาจนเห็นภาพอย่างทันท่วงที
“รับรองเลยว่าป๊ะป๋าต้องเจื๋อนตุ้มฌานทิ้งแน่
ๆ ... ฌานอยากให้พลับเป็นหม้ายเหรอครับคนดี? / ไม่มีตุ้มเฉย ๆ เองครับ... ไม่ได้จะ ตายเสียหน่อย” รู้ทั้งรู้ว่าประโยคที่พูดสวนออกไปเป็นเพียงเครื่องมือที่ใช้เอาชนะคะคานอีกฝ่ายคล้าย
ๆ เด็กเถียงกัน แต่เพราะยังทำใจยอมรับกับสิบปีที่ไม่มีอีกฝ่ายเคียงข้างกาย
ร่างทรงหนุ่มเลยอดทำตัวงอแงแถเถียงไม่ได้
แต่มีหรือที่ประเด็นนี้จะถูกมองเลยข้ามไป...
ในเมื่อใจความสำคัญคือปัญหาระดับชาติที่บั่นขาเตียงของคู่รักมานักต่อนักแล้ว
“แล้วฌานว่า...
ถ้าฌานไม่มีตุ้ม พลับจะไม่แห้งเหี่ยวตายก่อนเหรอครับ?” จากที่นอนกอดอยู่ดี ๆ ตอนนี้คนตัวเล็กกว่ากลับขยับขึ้นมานั่งคร่อมหน้าท้องของแฝดพี่เอาไว้ระหว่างพูดจาเตือนสติให้อีกฝ่ายได้ครุ่นคิด
“ฌาน ฌานจะได้แฟนเด็กกว่าตั้งสองรอบเลยนะ ฌานไม่คิดจะทำการบ้านบ่อย ๆ หน่อยเหรอ?
ที่พลับบอกว่าป๋าเฉือนตุ้มทิ้งน่ะ ไปหมดทั้งพวงนะ ไม่ได้ขู่”
“ถึงมีตุ้มอยู่กับตัวตอนนี้ก็ไม่ได้ใช้อยู่ดีนั่นแหละ!” พอวกกลับมาคิดเรื่องตุ้มก็ยิ่งหงุดหงิดไปกันใหญ่ ทำไปทำมา... หนุ่มสถาปัตย์เลยเผลอตัวบ่นระบายความอัดอั้นตันใจ ค่าที่โดนเจ้าพ่อห่อไหล่สั่งห้ามลวนลามอีกฝ่าย ทั้ง
ๆ ที่ได้อาศัยนอนกอดกายนุ่มนิ่มคลายความหนาวใจมาหลายคืนติด ๆ กันแท้ ๆ
“แล้วใครบอกฌานล่ะว่าจะไม่ได้ใช้?
หึ หึ หึ” เสียงหัวเราะในลำคอยิ่งฟังหวานหูไปกันใหญ่เมื่อมันดังก้องอยู่ใกล้ ๆ กับใบหน้าของคนฟังระหว่างที่ร่างบางค่อย
ๆ ปลดเปลื้องอาภรณ์ของร่างที่นอนอยู่ด้านใต้ออกช้า ๆ ทีละชิ้น... ละชิ้น ก่อนจะละเลียดชิมรสชาติความเป็นชายที่อีกฝ่ายครอบครองอย่างช้า
ๆ ตามท่วงทำนองแห่งรักเท่าที่พวกเขาจะสามารถบรรเลงร่วมกันได้
“ฌาน...
พลับรักฌานนะครับ” เจ้าของร่างเปลือยเปล่าขาวยวนตาที่นอนคว่ำเหนือร่างใหญ่ในชุดวันเกิดพร่ำบอกความรู้สึกของตนเป็นครั้งที่เท่าไร...
กระทั่งคนพูดเองก็แทบจะนับไม่ถ้วน
แน่นอนว่า
ฌานไม่เคยปล่อยให้คำรักของอีกฝ่ายลอยผ่านหูไปโดยไม่ได้เอื้อนเอ่ยความในใจของตนเป็นการตอบแทน
เพราะทุก
ๆ ครั้งที่ได้ฟังคำรักจากออกจากริมฝีปากหวานฉ่ำ
ร่างทรงหนุ่มก็มักจะตอกย้ำความรู้สึกไม่ผิดแผกไปจากกันคล้ายกับต้องการให้มันแทรกซึมเข้าไปถึงจารึกอยู่ในจิตวิญญาณของอีกฝ่ายอย่างไรอย่างนั้น
ทว่าสิ่งที่ดูจะผิดแปลกไปจากการบอกรักครั้งอื่น
ๆ เห็นจะเป็นถ้อยคำที่สะท้อนความรู้สึกอาลัยอาวรณ์อย่างสุดซึ้ง
ด้วยยามนี้ท้องฟ้าเริ่มจะถูกแสงสีทองอร่ามของช่วงเวลารุ่งอรุณทาทับจนแสงสุกสกาวของดวงดาว
และพระจันทร์เริ่มจะจางหาย...
ซึ่งนั่นก็หมายความว่า
ช่วงเวลาสุดท้ายที่จะมีกันและกันในอ้อมแขน ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว
“ฌานรักตัวเล็กครับ...
รักมาก ๆ รักจนไม่อยากปล่อยมือไปไหนเลย”
“สัญญานะครับว่าจะทำตามที่พลับขอ” คนตัวเล็กหยัดตัวขึ้นเพื่อทวงถามผ่านทั้งคำพูดและสายตา...
น้ำเสียงออดอ้อนออเซาะของอีกฝ่ายทำเอาชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง...
แต่คราวนี้
มันคือสัญญาณของการยอมรับสภาพแต่โดยดี
เอาเถอะ...
ไหน ๆ อีกฝ่ายก็ลงทุนยกเหตุผลโน่นนี่ขึ้นมาหว่านล้อมเขาเสียมากมาย
จะต้องรอห้าปี
หรือสิบปีก็คงไม่ต่างกันสักเท่าไรหรอกมั้ง
ถ้าต้องให้ตอบจริง
ๆ ลำพังตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจว่า
พลับในวัยห้าขวบจะสื่อสารกับตนรู้เรื่องหรือไม่
แถมถ้าเจอตอนเป็นเด็กน้อย...
ฝ่ายเขาคงไม่มีทางอดใจทำตัวเป็นผู้ใหญ่ที่ดีต่อหน้าอีกฝ่ายผู้ใสซื่อบริสุทธิ์ราวกับผ้าขาวได้แน่
ๆ
อาการเหม่อลอยตกอยู่ในห้วงแห่งความคิดของแฝดพี่ทำเอาพลับร้อนรนจนไม่อาจอดทนรอฟังคำตอบได้ดังตั้งใจ
คนตัวเล็กกว่าเปลี่ยนท่าเป็นนั่งคร่อมหน้าท้องของอีกฝ่ายเอาไว้
ก่อนจะเหนี่ยวต้นคอหนาของอีกฝ่าย รั้งเรือนกายงามสง่าสมชายชาตรีจนแฝดพี่ยอมลุกขึ้นนั่งสนทนากันแต่โดยดี
“ฮื่อ...
ที่รัก รับปากดี ๆ ก่อนสิครับ พลับจะได้ชื่นใจ”
“สัญญาครับ”
ฌานทาบหน้าผากจรดกับหน้าผากมนของคนรักแล้วออกปากสั่งความด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ตัวเล็กเองก็เหมือนกันนะ...
ดูแลตัวเองให้ดี ๆ แล้วก็รีบ ๆ โต... เราสองคนจะได้อยู่ด้วยกันเร็ว
ๆ ตกลงไหมครับคนดีของฌาน?”
“พลับสัญญาครับ...
พลับจะทำทุกอย่างเพื่อให้เราได้เป็นของกันและกันโดยเร็วที่สุด” สิ้นคำ ริมฝีปากของทั้งสองก็ถ่ายเทความรู้สึกทั้งหวานชื่นและขื่นขมให้แก่อีกฝ่ายอย่างเชื่องช้าและโหยหาเป็นที่สุด...
ฝ่ายหนึ่งหวังจะฝากรอยรักเอาไว้ในจิตใจส่วนลึกของร่างเล็ก
เพื่อให้ความรู้สึกถวิลหาจนอาดูร...
นำพาให้พวกเขากลับมาพบกันใหม่ และยังจำกันได้ไม่มีเปลี่ยน
ส่วนอีกคน
ก็หวังให้สัมผัสนี้เป็นเครื่องรางชั้นดีที่จะคอยปลอบประโลมให้ฝ่ายต้องเฝ้ารอ ก้าวผ่านช่วงเวลาที่ต้องอยู่เพียงลำพังไปได้
“ฌาน...
ฌานต้องกลับมาหาพลับนะ ฌานต้องกลับมารับพลับนะที่รัก” หนุ่มผมแดงละล่ำละลักทั้งที่ยังคงดื่มด่ำในรสจูบของอีกฝ่าย...
อีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า เขาจะต้องกลับไปยังที่ ๆ จากมาแล้ว
“ฌานจะไม่มีวันปล่อยตัวเล็กไปเป็นอันขาด”
คนตัวโตกว่าละจากริมฝีปากตรงหน้าก่อนจะบรรจงจุมพิตลงบนนิ้วนางข้างซ้ายของเจ้าดวงใจที่มีแหวนเกลี้ยงแทนใจและสัญญาวงนั้นประดับอยู่
“ดูแลตัวเองให้ดีนะที่รัก
สัญญาสิว่าใช้ชีวิตให้เต็มที่ / ครับ” ฝ่ามือเล็ก ๆ ประคองแก้มสากของคนรักขึ้นมาให้จับจ้องกัน
ดวงตาใสกวาดมองไปทั่วใบหน้าคมเข้มเพื่อจะจารึกทุก
ๆ สิ่งที่เป็นฌานเอาไว้ในห้วงความทรงจำ พลางพูดพร่ำสั่งเสียไม่มีหยุดปาก
“รักตัวเองแทนพลับด้วย
/ เหมือนกันนะ... ตัวเล็กไม่ไปได้ไหม?”
สุดท้ายฌานก็ไม่อาจทำตัวเข้มแข็งได้อีกต่อไป...
เขารวบตัวคนบนร่างแล้วกอดเอาไว้แน่นพลางอ้อนวอนเสียงสั่นเครือชวนให้คนฟังรู้สึกสงสารจับหัวใจ
ถึงการกระทำดังกล่าวจะทำให้หนุ่มผมแดงเจ็บปวดรวดร้าวขนาดไหน...
แต่พลับกลับฝืนกล้ำกลืนความรู้สึกอ่อนไหวเอาไว้ข้างในแล้วส่งยิ้มให้พลางพูดปลอบประโลม
“อีกแค่สิบปีเท่านั้น
เราก็จะได้เจอกันแล้ว / รักตัวเล็กนะครับ”
ยังไม่ทันขาดคำ
แสงสีทองที่โผล่พ้นขอบฟ้าก็ชะเอาร่างที่ฌานกอดเอาไว้แนบกายให้หายวับไปในชั่วพริบตา
จะเหลือก็แต่เพียงแหวนสีเงินวงเดียวที่หล่นลงบนหน้าท้องเป็นลอนของร่างทรงหนุ่ม...
ทั้งที่คิดว่าน่าจะรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้าได้...
แต่เอาเข้าจริง...
ทุกอย่างกลับกะทันหันเกินไป... เกินกว่าที่เขาจะทำใจยอมรับมันได้ง่าย ๆ
อีกสิบปี...
อีกตั้งสิบปีเชียวหรือกว่าที่จะได้สัมผัสความรู้สึกที่ดียิ่งกว่าครั้งไหน
ๆ ในชีวิตเมื่อครู่นี้อีกคราว?!!
แค่คิดขึ้นมาว่าจะต้องใจใช้เวลาอีกสิบปีข้างหน้าโดยไม่มีอีกคนเคียงข้าง
ขอบตาของเขาก็ร้อนผ่าวขึ้นมาเสียดื้อ ๆ
ทว่าจังหวะที่น้ำใส
ๆ ในหน่วยตาใกล้จะหล่นเผาะออกมาตามแรมโน้มถ่วง
เสียงหวานที่เขาจำได้ขึ้นใจ
กลับดังกังวานขึ้นข้าง ๆ หู ราวกับจะจุดประกายความหวังพร้อมประทังความเจ็บปวดที่มีให้อยู่ลดลงสู่ระดับที่เขายังสามารถทนรับไหว
เพราะประโยคดังกล่าวทำให้ฌานมั่นใจว่า
ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้นที่ต้องอดทนฝ่าฟันสิบปีข้างหน้าอยู่เพียงลำพังอย่างที่เผลอเข้าใจ
“พลับจะอดทนรอวันที่เราจะได้เจอกันนะครับที่รัก”
Ħ------------------------------------------------------------------------Ħ
|| ย้อนเวลาไปช่วงหัวค่ำเมื่อคืน ||
หลบหน่อยพระเอกมา!
ยู้ฮู!!!...มีใครอยู่บ้าง?!!
08.38 PM
เฮ่ลโหลวพี่ฌาน น้องคิดถึง!!
08.38 PM
ฌอนศรี... คืนนี้นอนกี่โมง?
08.39 PM
พี่หมี...
ดีกับเพื่อนบูบู้หรือยังครับ?
08.40 PM
พาเพื่อนบูบู้ไปสวีทให้เต็มที่เลยนะครับ!
08.41 PM
ผมเป็นกำลังใจให้ สู้ สู้!!
08.41 PM
“ฮือออออ เจเรมี...
เจเรมีช่วยพี่ด้วย!!”
หนุ่มสถาปัตย์หน้าแว่นนั่งยอง ๆ พลางส่งเสียงร้องกระจองอแงเมื่อข้อความที่ตนส่งไปเรียกร้องความสนใจจากบรรดาสหายร่วมอุดมการณ์คนอื่น
ๆ ไม่ได้รับการเหลียวแล... กระทั่งจะเปิดอ่านให้คนส่งดีใจสักนิดก็ยังไม่มี
ซึ่งประโยคอ้อนวอนที่ว่าควรจะได้รับความใส่ใจและไม่ปล่อยให้ลอยลมไปอย่างที่เป็นอยู่
หากเจเรมีเป็นชื่อของใครสักคนที่พร้อมจะแสดงความเอื้ออาทรแก่เพื่อนมนุษย์ตกยากตาตี่
ๆ ไม่มีเหล่าเต๊งอยู่บ้าง
ติดอยู่แค่ว่า
เจเรมีดันเป็นหมาหน้าตามึนตึงที่พร้อมจะทำหน้าบึ้งใส่ทั้งคน สัตว์
และสิ่งของทั้งหลายได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
แล้วยิ่งในขณะที่กำลังนอนนาบพุงกับก้นในหลุมดินเย็น
ๆ ที่เพิ่งขุดเสร็จใหม่ ๆ ด้านหลังหอชายซึ่งสกลอาศัยอยู่ด้วยแล้วล่ะก็
ต่อให้คนพูดหล่อยิ่งกว่าณเดชเป็นล้านเท่ามาร้องแรกแหกกระเชอซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ข้าง
ๆ ท่านเจเรมีก็ไม่มีทางจะปรายหางตามองให้เมื่อยเรตินาเป็นแน่
แต่มีหรือที่คนล้น
ๆ อย่างสกลจะสนใจ...
วินาทีนี้ ขอแค่เจเรมียังนอนหายใจพุงยุบ
พุงขยายอยู่ข้าง ๆ โดยไม่เดินหนีไปไหน เด็กเต็กหัวไข่ก็พร้อมจะบรรยายถึงชะตากรรมอันโหดร้ายที่ตนกำลังประสบอยู่ให้อีกฝ่ายได้รับฟังดั่งต่อสายตรงไปปรับทุกข์กับดีเจถึงพี่อ้อยพี่ฉอดก็ไม่ปาน
“เจเรมีรู้ไหม...
ตอนนี้เพื่อน ๆ พี่หนีพี่ไปมีแฟนกันหมดแล้ว ทุกคนปล่อยให้พี่ต้องอยู่ตัวคนเดียว...
.
.
...เจเรมี
ตอนนี้พี่ทั้งเคว้งคว้าง ทั้งเปล่าเปลี่ยวในหัวใจไม่มีใครเกิน” พูดไปก็กอดตัวเองไปพลาง
ๆ เพื่อบรรเทาความเหน็บหนาวอ้างว้างที่ตกอยู่ในสถานะไร้ตัวตน
แต่เมื่อไม่อาจทนกับอ้อมกอดอันแห้งแล้งได้อีกต่อไป
สกลก็ก้มตัวลงไปคว้าเจ้าตูบขนสีสลิดหน้าไม่เป็นมิตรกับคนทั้งโลกในหลุมขึ้นมากอดเอาไว้เพื่อขอไออุ่นจากเพื่อนรักหน้าขนให้หายโศกเศร้าเคล้าเพลงอกหัก
“...”
แน่นอนว่าย่อมต้องไม่มีเสียงตอบรับจากสุนัขที่เด็กเต็กกำลังกกกอด
ทว่าแรงบีบรัดทั้งตัวก็ทำให้เจเรมีถอนหายใจหน่าย
ๆ ออกมาคล้ายจะประท้วงด้วยความไม่พอใจ
ไม่ก็เบื่อหน่ายกับไอ้หน้าแว่นที่คอยมาตามวอแวคนนี้เหลือเกิน กระนั้น... สกลกลับตีความไปเป็นอีกอย่าง
“ใช่มะ! พี่น่าสงสารเนอะ!!” คนเห็นผีเออออห่อหมกกับเสียงถอนใจที่เพิ่งได้ยินไปเมื่อครู่ ก่อนจะทำตาโตราวกับเพิ่งนึกอะไรสำคัญขึ้นได้ “เฮ่ย! เจเรมี!! เมื่อกี๊เจเรมียอมคุยกับพี่ดี ๆ แล้วเหรอ?...
เจเรมีคงจะสงสารและจะอยากปลอบใจพี่มากเลยใช่ไหม?” หนุ่มหน้าแว่นกระชับอ้อมกอดจนเจเรมีเริ่มจะดิ้นขลุกขลัก
ทว่าประสบการณ์อันโชกโชนในการลักพาตัวหมาทั่วทั้งวิทยาเขตไปทำหมันก็ผลักดันให้ทักษะในการปราบพยศเพื่อนรักสี่ขาของสกลอยู่ในขั้นแนวหน้าหาตัวจับยาก
“โอวววว! เจเรมีของพี่
พี่ดีใจเหลือเกินที่ยังมีเจเรมีอยู่ข้าง ๆ / ......” สัตว์สองเท้าซุกใบหน้าเข้ากับแผงคอกลิ่นอมฝุ่นของเจ้าตูบอย่างรักใคร่ ซึ่งนั่นทำให้เจเรมีอดหนักใจไม่ได้ว่า สัตว์สี่ขาช่วงสั้นอย่างมันคงไม่มีทางต่อกรกับอีกฝ่ายได้จริง
ๆ
“เจเรมี...
ต่อไปนี้ก็จะมีแค่เราสองคนคอยอยู่เคียงข้างและเป็นกำลังใจให้กันแล้วนะ” หนุ่มหน้าแว่นพูดเองเออเองโดยไม่ขอความเห็นจากอีกฝ่ายสักคำ...
ต่อไปเขาจะทำตัวให้เข้มแข็งและจะต้องก้าวผ่านช่วงเวลาอันโหดร้ายของการกลายเป็นหมาหัวเน่าไปให้ได้อย่างผ่าเผย
ฝ่ายเจเรมีก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายครั้งแล้วครั้งเล่า
พลางเฝ้ามองหลุมที่ตนขุดเอาไว้หากแต่ไม่มีโอกาสได้ใช้ด้วยสายตาเสียดายเป็นอย่างยิ่ง
“โอ้! เจเรมีที่รัก
ไม่เสียแรงเลยที่พี่เฝ้าเอ็นดูนายไม่มีใครเกิน... เอาไว้พรุ่งนี้พี่จะพาไปกรูมมิ่งอีกนะ”
หากจะบอกว่าท่าทีสมยอมอย่างไม่มีทางเลือกของหมารุ่นในอ้อมกอดทำให้สกลกลับมาฮึกเหิมและมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
ก็คงจะไม่ผิดนัก
กระนั้น...
แทนที่จะได้ยินเสียงลมหายใจผ่อนออกจากรูจมูกเปียกฉ่ำอย่างสุขภาพดีของเจเรมีที่รักเหมือนอย่างเคย
กลับมีเสียงทุ้ม
ๆ ของคนแปลกหน้าดังขัดขึ้นมาเสียเฉย ๆ ทั้งที่ไม่มีใครเชื้อเชิญ
“พรุ่งนี้ร้านปิดครับ
/ ???!!!!”
อารามแปลกใจเพราะเผลอคิดไปว่ามีวิญญาณเร่ร่อนตนไหนโผล่มาโต้ตอบด้วย
หนุ่มหน้าแว่นจึงหันกลับไปมองยังต้นเสียงด้านหลังทันที
โดยไม่ลืมหมุนคอเจเรมีให้หันไปร่วมเป็นสักขีพยานโดยพร้อมเพรียงกัน
วินาทีแรกที่เห็นร่างสูงใหญ่ของคนที่เพิ่งเดินเข้ามาใกล้... สกลเองก็ไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
เพราะแสงไฟที่ส่องอยู่ด้านหลังทำให้โครงร่างดังกล่าวดูเป็นเงามากกว่าภาพ
แต่เมื่อคนมาใหม่เดินเข้ามาใกล้จนสามารถเห็นรายละเอียดปลีกย่อยและรูปพรรณสัณฐานได้มากขึ้น
เด็กเต็กก็ประจักษ์แก่สายตาว่า
คนตรงหน้าไม่ปล่อยให้เขาเป็นไอ้ตี๋อย่างเดียวดาย แถมคน ๆ นี้ยังหน้าตาดีใช้ได้เป็นเพื่อนเขาอีกต่างหาก
แต่คงจะคบด้วยยากหน่อย...
เพราะเขาไม่อยากมีเพื่อนใหม่ที่ตัวใหญ่กว่า
เขาไม่อยากให้มีใครมาทำตัวหนาเวลาเดินข้าง
ๆ นอกจากพี่ฌาน คุณธันวา ฌอนศรี และ พี่ด้วงพี่เต๋ออีกแล้ว
“ขอโทษที...
คือ พอดีเมื่อกี๊ผมเดินผ่านมา ว่าจะเอาข้าวมาให้เจ้าตัวนี้เสียหน่อย
แต่บังเอิญได้ยินที่คุณคุยเมื่อครู่ ผมเลยหลุดปาก”
สายตาสำรวจตรวจสอบของหนุ่มแว่นทำเอาหนุ่มตี๋นิรนามผู้มาพร้อมกับอาหารเม็ดอย่างดีในมือจำต้องอธิบายตัวเองเป็นพัลวัน
ทั้ง ๆ ที่ตามปกติ เขาแทบจะไม่คายดอกพิกุลให้ใครเห็นง่าย ๆ ...
แล้วแววตาเอาเรื่องที่ฉายวาบขึ้นมาตอนท้ายประโยคของเขาที่หนุ่มหน้าแว่นทำเมื่อครู่หมายความว่าอะไร?
อยู่ ๆ เขาก็พูดจาไม่เข้าหูอีกฝ่ายอย่างนั้นน่ะเหรอ?!!
“เจเรมีครับ น้องเขาชื่อเจเรมี
ไม่ได้ชื่อ ‘เจ้าตัวนี้’” สกลอธิบายเสียงเข้มเนื่องจากไม่ชอบให้ใครมาเรียกเด็ก
ๆ ในอาณัติด้วยสรรพนามผิด ๆ ทำเอาคนฟังหน้าม้านไปประมาณหนึ่งก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเพื่อหลีกเลี่ยงสายตากินเลือดกินเนื้อของคนอุ้มหมาหน้าแว่น
“เอ่อ
นั่นแหละครับ... คือ ผมแค่อยากจะบอกว่าพรุ่งนี้ร้านตัดขนหมาที่สัตว์แพทย์ปิด... พรุ่งนี้มันวันอาทิตย์น่ะคุณ”
“จริงสิ...
ผมลืมไปสนิทเลย ขอบคุณนะครับที่ช่วยเตือนสติ” หนุ่มสถาปัตย์ผู้ไม่มีอารมณ์จะเสวนากับผู้ใดด้วยยังคับข้องหมองใจจากการที่เพื่อน
ๆ ต่างพร้อมใจกันหายตัวตอบแกน ๆ แล้วจึงก้มหน้ากลับไปคุยกับเจ้าหมาขาสั้นที่ตนกอดเอาไว้ด้วยน้ำเสียงเอาอกเอาใจผิดกับโทนเสียงที่ใช้พูดคุยกับคนแปลกหน้าแบบลิบลับ
“เจเรมี...
เอาไว้เราค่อยไปกรูมมิ่งกันอีกทีวันเสาร์หน้าก็แล้วกันนะ...
คราวนี้พี่จะพาเราไปตัดโมฮอว์กเลยดีไหม?” ถึงเจเรมีจะเอาแต่นอนนิ่งแล้วหายใจทิ้งไปเรื่อย
ๆ แต่สกลกลับไม่เหนื่อยที่จะเสวนาด้วย “แต่วันนี้พี่ไปนอนก่อนดีกว่า...
เจเรมีมีแขกที่ต้องต้อนรับนิ”
กระทั่งสั่งเสียจบ
หรือกระทั่งปล่อยเจ้าสี่ขาหน้าขนลงนั่งบนพื้นก็แล้ว...
เจเรมีก็ยังปรายตามองสกลด้วยแววตาว่างเปล่าอยู่นั่น
ซึ่งนอกจากมันจะไม่บั่นทอนกำลังใจของหนุ่มหัวไข่ลงเลยสักนิด
สกลกลับยิ่งออกอาการอาลัยอาวรณ์เจเรมีไม่มีที่สิ้นสุดประหนึ่งวันพรุ่งนี้
ไม่ใครก็ใครจะหยุดหายใจไปดื้อ ๆ
“พี่ไปนะ...
ไม่อยากรบกวนเวลาส่วนตัวของเจเรมีกับคุณคนนี้เขา” ขาดคำ ร่างผอมสูงเป็นเสาไฟฟ้าก็ตั้งท่าจะผละออกไป แต่เพราะยังตัดใจทิ้งเจเรมีไม่ได้
สกลเลยย่อตัวลงแล้วพุ่งเข้าไปกอดรัดก้อนขนสีสลิดบนพื้นเสียแน่นจนเจเรมียิ่งทำหน้าเบื่อโลกไปกันใหญ่
“เจเรมี...
พี่ไปก่อนนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่แวะเอาข้าวมาให้!” พอได้กอดหอมกลิ่นตุ
ๆ จนหนำใจ หนุ่มหน้าแว่นก็หมุนตัวเดินสวนออกไปทันที แต่ยังไม่ทันเดินไปไหนได้ไกล ชายแปลกหน้าที่ทั้งสูง
และตัวหนาใหญ่ยิ่งกว่าตรินก็รั้งเขาไว้ด้วยคำพูดเสียก่อน
“เดี๋ยวครับ!”
“หือ?!” เด็กเต็กเบือนเสี้ยวหน้ากลับไปมองอีกฝ่ายพลางเลิกคิ้วด้วยความสงสัยเป็นทุน
เมื่อรู้แน่ว่าเขากำลังตั้งใจฟัง...
หนุ่มหน้าตี๋ผู้ไม่มีปูมหลังในสารบบเผือกทั่วหล้าของสกลก็ทำในสิ่งที่เขาไม่เคยคิดว่าคนแปลกหน้าที่ไหนจะทำ...
นั่นคือ
การปลอบใจพร้อมกับแสดงตัวว่าเป็นผู้ร้ายแอบฟังเขาคุยกับเจเรมีมาตั้งแต่แรกไปในคราวเดียว
“อย่าคิดมากเลยนะครับ
เดี๋ยวอีกหน่อยคุณก็เจอคนของตัวเองเหมือนกันนั่นแหละ” ร่างสูงใหญ่ที่มองอย่างไรก็เหมือนหมีขั้วโลกในสายตาสกลเหยียดริมฝีปากเป็นเส้นตรงพร้อมกับทำตาเป็นขีดทันทีที่พูดจบ...
แอบฟังแล้วยังจะมาทำหน้าขีดใส่ เป็นอะไรมากไหมคน ๆ นี้?!
แต่ในเมื่ออีกฝ่ายปรารถนาดีต่อเขา...
สกลก็ไม่คิดจะถือโทษโกรธเคืองเอาเรื่องค่าที่หนุ่มตี๋นิรนามแอบตามมาฟังเขากับเจเรมีเปิดอกคุยกันหรอก
“ผมไม่คิดว่ามันจะง่ายขนาดนั้นหรอกครับ แต่ยังไงก็ขอบคุณสำหรับคำอวยพรนะครับ” หนุ่มหน้าแว่นยิ้มเจื่อน
แล้วจึงออกเดินกลับขึ้นตึกไปโดยไม่คิดจะร่ำลาส่งท้ายหรือเดินกลับไปกอดอีกฝ่ายแน่น
ๆ เหมือนที่ทำกับเจเรมีเลยสักนิด
ฝ่ายชายหนุ่มที่จงใจแอบดูหนุ่มแว่นมาตั้งแต่แรกก็ค่อย
ๆ จัดแจงเทอาหารสุนัขยี่ห้อดังลงในถาดประจำตัวซึ่งเขาเดาว่าคนที่เพิ่งเดินลับสายตาไปเป็นคนจัดหามาให้โดยไม่อาจหุบยิ้มได้สักวินาที
‘นี่น่ะเหรอหนุ่มแว่นในตำนาน?’
.
.
.
.
.
.
.
.
.
‘ดู
ๆ ไปก็น่ารักดีเหมือนกัน’
Ħ------------------------------------ จบภาค ------------------------------------Ħ
No comments:
Post a Comment