Monday, December 14, 2015

«♥» บน บานฯ สาน รัก «♥» The 01st Bonding|| 14.12.2015



ออกตัวก่อนว่าเรื่องของสารินกับสกลไม่ดราม่านะคะ...
เว้นก็แต่ตอนนี้ ซึ่งมันเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางชีวิตรักของทั้งสองหนุ่ม
ใครมีภูมิต้านทานด้านน้องหมาต่ำ... เราต้องขออภัยเอาไว้ด้วย เพราะมันจำเป็นจริง ๆ
(เขียนเองก็เศร้าเอง แต่เพื่อความสุขในบั้นปลาย... เราก็จำใจทำ)

เอาเป็นว่าตอนหน้าเราจะเขียนเรื่องจรรโลงใจให้อ่านกันดีกว่าเนอะ
ใครรอสามพี... ตาหน้าเป็นเรื่องของเต๋อด้วงฟูช่วงปรับตัวเข้าหากันแรก ๆ นะคะ ^^
รักคนอ่านทุกท่านเป็นอย่างยิ่งค่ะ

ปล. ตอนนี้มีการแปลความเป็นภาษาแต้จิ๋วนิด ๆ หน่อย ๆ
หากผิดพลาดประการใด รบกวนบอกจุดผิดเพื่อแก้ไข
พร้อมให้อภัยล่วงหน้าด้วยนะคะ



«»------------------------------------------------------------------------------------«»



The 01st Bonding
 เด็กสองคน... ลูกหมา... กับคำสัญญาของพี่ชาย




“ม่าแนนหวัดดีครับ” ทันทีที่เดินผ่านประตูรั้วอัลลอยด์เข้าสู่ด้านใน สารินก็ยกมือไหว้หญิงชราผู้มีศักดิ์เป็นย่าของบุตรชายเจ้าของบ้านซึ่งกำลังเดินตรวจตราความสะอาดเรียบร้อยตามปกติวิสัยของเจ้าหล่อนอย่างนอบน้อมไม่ผิดไปจากทุกที  


ถ้านับกันตามจริง อาม่าซิ้วงิ้ง หรือที่เขาเรียกติดปากว่าม่าแนนนั้น มีอายุมากกว่าย่าของเขาอยู่ราว ๆ สี่ห้าปี ทว่าดีกรีความเป็นคนจีนอพยพจากแผ่นดินใหญ่ของม่าแนนกลับเข้มข้นกว่าอาม่าของเขาอยู่หลายเท่าตัว...  

นอกจากอาม่าจะชอบสวมใส่เสื้อผ้าที่ตัดเย็บแบบคนจีนแท้ ๆ แล้ว  หล่อนยังพูดแต้จิ๋วน้ำไหลไฟดับ ทั้งที่สมาชิกที่เหลือภายในบ้านต่างพากันอ้อนวอนให้ม่าแนนใช้ภาษาไทยเป็นหลักเพื่อเห็นแก่หลานชาย รวมถึงคนงานภายในบ้านซึ่งมีทั้งคนไทยและพม่า

แต่กับสารินที่หล่อนชอบพอเป็นพิเศษแล้ว หลังจากหลานชายสุดสวาทขาดใจพามาแนะนำตัวให้คนทั้งบ้านได้ทำความรู้จักในฐานะเพื่อนรักคนใหม่ ดูเหมือนหญิงวัยเกษียณจะจัดเต็มภาษาแม่ปนไทยให้เขาเป็นพิเศษราวกับพาเพื่อนเก่าแถว ๆ กวางตุ้งมากินติ่มซำแถวเยาวราชก็ไม่ปาน


อ้าวอาตั่วตี๋ ไล้เหลี่ยว? จ๋อ ๆ  ลื้อเจี่ยปึ่งบ๋วย?”
(อ้าวตี๋ใหญ่ มาแล้วเหรอ? นั่ง ๆ  กินข้าวหรือยัง?)
อาม่าซิ้วงิ้งยิ้มกว้างพลางเดินเข้ามาลูบหลังลูบไหล่ของเด็กชายที่หล่อนถูกชะตาตั้งแต่แรกพบหน้า จนถึงขั้นยอมยกตำแหน่งตั่วตี๋ให้ แล้วเปลี่ยนคำนำหน้าสรรพนามเรียกเด็กชายแนนเป็นโซ๊ยตี๋ไปตามลำดับ

แม้สารินจะฝากตัวเป็นแขกประจำของบ้านตึกหลังนี้ได้ไม่ถึงเดือนดี  ทว่าการที่เด็กชายสละเวลามาเล่นกับหลานสุดที่รักอยู่ไม่เว้นแต่ละวันนั้น ก็สร้างความคุ้นเคยให้กับทั้งอาคันตุกะและสมาชิกทุกคนในบ้านให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับรู้จักกันมาเป็นแรมปี  อาคันตุกะวัยสิบสองขวบจึงอดสัพยอกหญิงชราผู้ใจดีและมีอารมณ์ขันเป็นนิจตรงหน้าไม่ได้...

ซึ่งเครื่องมือที่เขาใช้กระเซ้าอีกฝ่ายในรอบนี้
คือ ประโยคคลาสสิคที่เพื่อนรุ่นน้องมักจะพูดแหย่อาม่าทุกครั้งที่ผู้อาวุโสหลุดคำภาษาจีนออกมาให้ได้ยินนั่นเอง


“ม่าแนนครับ แนนบอกว่าไม่ให้ม่าพูดจีนนี่ครับ”  

“ม่ะกี๊อั๊วไม่ไล่พุก อั๊วพุกทาย อาตั่วตี๋ลื้อนี่หาเลื่องอาม่าน้า!
(เมื่อกี๊อั๊วไม่ได้พูด อั๊วพูดไทย ตั่วตี๊หาเรื่องอาม่านะ!) ได้ยินดังนั้น หญิงชราจึงแสร้งทำหน้าตาย โบกไม้โบกมือ พลางโหวกเหวกโวยวายด้วยภาษาไทยสวนขึ้นทันควัน

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า... ขอโทษครับม่าแนน  เมื่อกี๊รินคงหูฝาดไปเอง... คราวหลังรินจะตั้งใจฟังม่าแนนให้ดี ๆ เลยนะครับ” เด็กชายรับคำตามน้ำง่าย ๆ พร้อมระบายยิ้มกว้างโดยไม่คิดโต้เถียง  เพราะนอกจากคนในครอบครัวของตัวเองแล้ว ก็มีม่าแนนนี่แหละที่สารินรักและให้ความเคารพไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน แถมเจ้าตัวดูจะเผยด้านรื่นเริงออกมาให้หล่อนเห็นบ่อยครั้งกว่าเวลาอยู่กับย่าของตัวเองเสียอีก

“ลี ลี... ลีมั่ก!
(ดี ดี... ดีมาก!) ซิ้วงิ้งชมหลานนอกไส้ไม่ขาดปากพลางเดินไปสำรวจต้นไม้ใบหญ้าที่บุตรชายอุตส่าห์เจียดเวลาจากกิจการอันรัดตัวมาปลูก และดูแลทุก ๆ เช้า  

“แนนไปสอบนานแล้วเหรอครับ?” ทั้งที่ก่อนหน้านี้ บุคคลซึ่งถูกพาดพิงได้แจกแจงรายละเอียดของกิจกรรมที่กินเวลาเกือบตลอดวันให้สารินฟังเป็นสิบ ๆ รอบ รวมทั้งยังบังคับให้เขามาอยู่เป็นเพื่อนเล่นของเจ้าลูกหมาจอมตะกละตั้งแต่ช่วงบ่ายก็ตาม... แต่เด็กชายก็ยังอยากถามถึงเพื่อนเล่นคนโปรดอยู่ดี

“อีขื่อกะอาม้าอาป๊าอีตั้งกะเช้า เดี๋ยวอีก็ตึ๋งไหลเหลี่ยว”
(อีไปกับม้าป๊าอีตั้งแต่เช้า เดี๋ยวอีก็กลับบ้านแล้ว) 

“รินไม่อยากให้น้องสอบติดเลย รินอยากให้น้องจับฉลากแล้วเรียนโรงเรียนเดียวกับรินมากกว่า” เด็กชายว่าพลางเอื้อมมือไปหยิบกรรไกรแต่งกิ่งส่งให้หญิงชราเพราะเห็นอาม่ายื้อกิ่งต้นโมกที่งอกระเกะระกะมาพักใหญ่ ๆ

“แต่อีหยักไปสบเป็งเพิ่งอาบ้วยอี  อีลักอาบ้วยของอีเอามั่ก ๆ ”
(แต่อีอยากไปสอบเป็นเพื่อนบ๊วย อีรักบ๊วยมาก ๆ ) สารินกลั้นยิ้มเมื่อได้ยินภาษาไทยสำเนียงจีนจ๋าโต้ตอบกลับมา...

เวลาอยู่กับเขา... ทุกครั้งที่พูดถึงความสุขของคนเป็นหลานในขณะที่สองมือยังว่าง คุณย่ามักจะพยายามพูดช้า ๆ ด้วยภาษาที่เด็กชายแนนมักจะอ้อนวอนให้หล่อนพูดอยู่บ่อย ๆ  แต่ก็นั่นแหละ... ม่าแนนมักจะหาโน่นนี่ทำอยู่เสมอ จนเด็กชายไม่แน่ใจว่า อาม่าเป็นคนแอคทีฟหรือเพราะท่านกำลังหาจังหวะเม้าท์ด้วยเสียงในฟิล์มแบบเนียน ๆ กันแน่


“รินรู้ครับม่า แต่น้องบอกรินว่าวันนี้น้องแค่อยากไปลองสนามสอบเป็นเพื่อนบ๊วยเผื่อเอาไว้เฉยๆ...
.
.
...ถ้าสุดท้าย น้องจับฉลากไม่ได้โควต้าบ้านใกล้ที่โรงเรียนริน น้องค่อยมาคิดอีกทีว่าจะเข้าโรงเรียนไหนดีน่ะครับ” เด็กชายอธิบายพลางนึกถึงบทสนทนาระหว่างตนกับเพื่อนรุ่นน้องเมื่อไม่กี่วันก่อน...

กว่าครึ่งค่อนวันที่สารินหยิบยกข้อดีสารพันของการเข้าเรียนต่อในโรงเรียนเดียวกันมาเป่าหูเพื่อนเล่นคนโปรด รวมทั้งยังไซโคไม่ขาดปากว่า เจ้าเบอร์นาร์ดจะเปลี่ยนใจหันมารักตนมากกว่าหากแนนคิดจะเรียนต่อที่โรงเรียนกินนอนกับเพื่อนสนิทจริง ๆ  เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงเจ้าหมาน้อยจนแทบกินไม่ได้นอนไม่หลับ

กระนั้น... อีกคนกลับยืนกรานที่จะไปเข้าสอบโดยไม่คิดเปลี่ยนใจ  แต่ก็ไม่ลืมจะตั้งเงื่อนไขเอาใจสารินว่า เอาไว้ถ้าตัวเองจับฉลากเข้าโรงเรียนเดียวกันกับเขาไม่ได้  เจ้าตัวจะไปถามป๊าอีกทีว่ามีตังค์พอจ่ายค่าแป๊ะเจี๊ยของโรงเรียนไหนมากกว่ากัน  ซึ่งนั่นถือเป็นบทสรุประหว่างทั้งคู่  เพราะอย่างที่ใครต่อใครรู้โดยทั่วกัน... หากไม่ได้โควต้า ค่าใช้จ่ายแรกเข้าในโรงเรียนชื่อดังขนาดนี้คงไม่ปรานีกระเป๋าสตางค์ของคนเป็นพ่อแม่สักเท่าไร


“อั๊วไม่หยักให้อีไปเลียงไกลบั้ง ลื้อคุยให้อียอมเลียงที่เดียวกับลื้อทีสิตั่วตี๋”
(ม่าไม่อยากให้อีไปเรียนไกลบ้าน ตั่วตี๋คุยกับอีให้เรียนที่เดียวกับตั่วตี๋ทีสิ) ไม่ว่าเมื่อไรที่ใครพาดพิงถึงเรื่องว่าที่โรงเรียนใหม่ของหลานชาย ผู้อาวุโสสูงสุดของบ้านเป็นต้องได้บ่นพึมพำพลางส่ายหัวด้วยความไม่พอใจไปเสียทุกที

“ครับ เดี๋ยววันนี้พอน้องกลับมา ผมจะลองกล่อมน้องดูอีกที” สารินรับปากหนักแน่น... ลองว่าออกตัวขนาดนี้ ย่อมชี้ชัดว่า เขาเป็นอีกคนที่อยากให้แนนเข้าเรียนชั้นมัธยม ณ โรงเรียนเอกชนชื่อดังแถวบ้านไม่ผิดไปจากสมาชิกในครอบครัวคนอื่น ๆ  


แต่เหตุผลของเขาไม่เหมือนกับพวกผู้ใหญ่...
สารินไม่ได้หวังอยากให้เพื่อนเล่นคนโปรดมีอนาคตทางการเรียนที่สดใส หรือได้เข้ากลุ่มสังคมที่จะเกื้อหนุนต่อยอดธุรกิจในอนาคตหากบุตรชายมารับช่วงกิจการแบบที่ป๊าแนนคาดหวัง 

เขาไม่ได้เป็นห่วงมากมายเมื่อรู้ว่าสายเลือดอยากตามเพื่อนรักที่คบหากันมาตั้งแต่เด็ก ๆ ไปเข้าโรงเรียนกินนอน ซึ่งเล่าลือเรื่องระเบียบวินัยอันเคร่งครัดและระบบโซตัสระหว่างเด็กนักเรียนรุนแรงเหมือนม้าและอาม่า


เด็กชายคิดแค่ว่า อยากให้ทุก ๆ วันต่อไปจากนี้
เขาจะได้หัวเราะและทำเรื่องสนุก ๆ กับแนนและเจ้าลูกหมาขากินไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด...
สารินหวังเพียงเท่านั้นจริง ๆ 


“จริงๆน้องก็น่าจะอยากเรียนที่นี่นะครับ เห็นน้องบอกตลอดเลยว่าน้องอยากอยู่กับม่า” เมื่อเห็นม่าแนนทำคิ้วขมวดและก้มหน้าก้มตาตัดเล็มพุ่มต้นโมกจนเริ่มจะแหว่ง เด็กชายจึงรีบพูดเอาใจอีกฝ่ายให้คลายกังวล  แต่มีหรือที่คนอาบน้ำร้อนมาก่อนจะรู้ไม่ทัน

“หึ หึ หึ ต๊าคะหอเทีย อั๊วโอ่ยจาย... จิง ๆ อีหยักอยู่กะอาเบอหนักขงอีตั่งหัก”
(ลื้ออย่ามาทำเป็นพูดเอาใจม่าเลย  จริง ๆ อีอยากอยู่กับเบอร์นาร์ดต่างหาก) ถึงจะเพิ่งพูดจาดักคออีกฝ่ายออกไปก็ตาม แต่เสียงหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจของหญิงชรากลับดังคลอไม่ขาด...  เป็นเพราะสัมมาคารวะ รู้จักกาละเทศะ อ่อนน้อมถ่อมตน แถมยังรู้จักเอาอกเอาใจผู้หลักผู้ใหญ่ผิดกับหลานชายตัวเองนี่ล่ะมั้ง ที่ทำให้หญิงชรานิยมชมชอบเด็กชายที่ดูฉลาดเฉลียวคนนี้เป็นพิเศษ

“แล้วเบอร์นาร์ดไปไหนแล้วล่ะครับม่า?” สารินเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่เข้าบ้านมายังไม่เห็นเจ้าตูบที่มักจะโถมตัวเข้าใส่เขาไปเสียทุกครั้งที่เจอหน้า

“อุ๊ก... อุกเก๊ายิกเลย  น่งแน่ะ... อุ๊กอยู่หลังบั้งนั่งแหละ ลื้อไปเล่งกะอีสิ”
(นอน... มันนอนทั้งวันเลย โน่นแน่ะ... นอนอยู่หลังบ้านนั่นแหละ ไปเล่นกับมันสิ) คุณย่าของแนนชี้นิ้วบอกใบ้พิกัดของเจ้าตูบตัวยักษ์เพื่อให้เด็กชายตามไปโดยง่าย

“ขอบคุณครับม่าแนน”








หลังจากลัดเลาะตามทางเดินโรยกรวดริมกำแพงไปตามที่หญิงชราแนะนำ  สารินก็เดินทะลุมายังลานซักล้างหลังบ้านที่กว้างพอสมควร สิ่งเดียวที่ดูผิดปกติในกรอบสายตาของเด็กชายหาใช่ชั้นวางข้าวของริมผนังที่สูงจรดเพดาน ทว่ากลับเป็นอาการผิดปกติของลูกหมาพันธ์เซนต์เบอร์นาร์ดตัวใหญ่ในขณะนี้ต่างหาก

เจ้าตูบวัยไม่ถึงขวบดีเดินหางลู่หูตกหมุนไปหมุนมาจนทั่วพื้นที่ว่างคล้ายจะหาที่นอน ทว่าจนแล้วจนรอด มันกลับไม่ยอมหย่อนก้นลงหลักปักฐานเลยสักครั้ง  พอเด็กชายลองส่งเสียงเรียกทั้งชื่อฝรั่งและชื่อที่ตนแอบตั้งให้ มันกลับแค่เงยหน้าขึ้นมอง... แต่ไม่แสดงปฏิกิริยายินดียินร้ายใด ๆ อย่างที่เคยทำ ไม่มีแม้กระทั่งอาการตะกละตะกรามจนน้ำลายยืดเลยสักนิด  

สารินพยายามเดินตามไปลูบเนื้อตัวมัน โดยเฉพาะเหนียงใต้คางที่มันโปรดปรานให้เขาเกาเป็นพิเศษเพื่อหวังให้เจ้าเบอร์นาร์ดได้นั่งพักลงสักวินาที  กระนั้น... มันกลับยิ่งอยู่ไม่สุขไปกันใหญ่  จนเมื่อสังเกตพื้นกระเบื้องรอบ ๆ ตัวดูดี ๆ เด็กชายก็เพิ่งตระหนักว่า รอยน้ำเป็นหย่อม ๆ ที่เจ้าลูกหมาเดินย่ำอยู่นั้น น่าจะเป็นของเหลวที่ตัวมันขย้อนออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าจนพื้นหลังบ้านเลอะเทอะอย่างทั่วถึง  ความรู้สึกไม่สบายใจสั่งการให้เด็กชายวิ่งกลับไปหาอาม่าเพื่อขอความช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด


ม่าครับ ม่า!! สารินส่งเสียงนำไปก่อนตัวจนหญิงชราอดตกใจไม่ได้  

“อู่แม้สื่อ?! อู่แม้สื่อ?! ลื้อเป็งอะลายอาตั่วตี๋?!!
(มีเรื่องอะไร? ลื้อเป็นอะไรตั่วตี๋?) หล่อนถึงกับวางกรรไกรตัดกิ่งในมือลง เพื่อซักไซ้อีกฝ่ายด้วยเสียงที่ตื่นพอกัน

“ม่าครับ ไม่รู้เบอร์นาร์ดเป็นอะไรครับ มันอ้วกเต็มพื้นไปหมดเลยครับม่า!” ใบหน้าซีดเผือดของเด็กชายทำเอาอีกฝ่ายเดือดเนื้อร้อนใจตามไปอีกคน

อาเม่ย อาเม่ย!!” ม่าแนนตะโกนเรียกเด็กในบ้าน ซึ่งฝ่ายนั้นก็วิ่งกระหืดกระหอบออกมาทันทีโดยไม่ยืดยาด   

“มีอะไรคะม่า? / ไปดูอาเบอหนักกับอั๊ว!”  ขาดคำ เด็กชายก็ประคองหญิงชราให้เดินไปยังหลังบ้านอย่างระมัดระวังโดยมีเม่ยประกบท้ายไม่ห่าง








“อาเม่ย คื้อเขี่ยหนึงไล้... โจ่ยโจ่ยนา   ข่าย เอาข่ายมาให้อั๊ว  เอามาเยอะๆนะเม่ย!...
(อาเม่ย ไปเอาไข่มา... เอามาเยอะๆนะ  ไข่ เอาไข่มาให้อั๊ว เอามาเยอะๆนะเม่ย!...
.
...เลี้ยวเลียกอาชาวนะ เขี่ยเชียขื่อ ผ่อเบอหนักคื้อหมึ่งซิงแซ  บกอีให้เอาลกอก เลี้ยวมาช่วยอุ้มอาเบอหนักไปหาอาซิงแซ!
(...แล้วเรียกอาเชาว์ บอกอีให้เอารถออก แล้วมาช่วยอุ้มเบอร์นาร์ดไปหาหมอ!)

ม่าแนนสั่งการรัวเร็วโดยไม่เว้นช่องไฟเป็นภาษาจีนและไทยปนกันมั่วไปหมดเพราะอดตกใจกับอาการน่าเป็นห่วงของลูกหมาไม่ได้... แม้เบอร์นาร์ดจะเป็นสุนัขตัวแรกที่หล่อนเลี้ยงดู ทว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา ใช่ว่าหญิงชราผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมานักต่อนักจะไม่เคยเห็นสัตว์ร่วมโลกทรมานหลังได้รับสารพิษผ่านอาหารที่กินเข้าไปเสียหน่อย  ส่วนเม่ยก็วิ่งปร๋อราวกับหายตัวไปโดยไม่ต้องให้เจ้านายออกคำสั่งอีกรอบเพราะรู้ดีว่า ทุกวินาทีมีค่าต่อการยื้อชีวิตของเจ้าตูบเพื่อนรักสี่ขาของเด็กชายผู้เป็นศูนย์รวมจิตใจของบ้าน

จริง ๆ แล้วเหตุการณ์น่าตกใจที่กำลังเกิดขึ้น คือ สิ่งที่ผู้ใหญ่ทั้งบ้านเฝ้าระวังมาโดยตลอด  เนื่องจากตระหนักดีว่า เจ้าของบ้านตรงข้ามเกลียดหมาเข้ากระดูกดำถึงขั้นเคยได้ยินชาวบ้านพูดกันว่า อาแปะบ้านนั้นชอบใช้ให้คนงานพม่าเอาไก่ทอดผสมยาเบื่อมาโยนให้หมาจรจัดในซอยกินเป็นประจำ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้บุตรชายของตนไม่ยอมซื้อหมาให้หลานเสียทีแม้อีกฝ่ายจะเซ้าซี้จนบางทีหล่อนก็ปวดหัว  

แต่ดูเหมือนว่าหนนี้...
คนใจร้ายจะบริการป้อนความตายตรงถึงปากเจ้าเบอร์นาร์ดจอมตะกละเข้าให้แล้ว


เช้าเจ้ง!! จ๋าซี่!!!
(ไอ้ชาติหมา!! ไอ้เวร!! ไปตายซะ!!!) เมื่อสังเกตเห็นว่า ลูกแก้วสีอำพันทั้งสองที่เคยเปล่งประกายแวววาวทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเจ้าของเรียกชื่อเริ่มจะขุ่นมัว และดูหลุกหลิกเลื่อนลอย แถมร่างปุกปุยที่หล่อนประคองอยู่เริ่มจะปวกเปียกไร้เรี่ยวแรง ผู้อาวุโสก็ส่งเสียงด่าทอคนใจดำอำมหิตอย่างเหลืออด

“ไข่มาแล้วค่ะม่า!” เม่ยวิ่งกลับเข้ามาทันก่อนที่อาม่าจะรัวเมดเล่ย์คำด่าใส่ข้างบ้านจนเรื่องราวบานปลายไปกันใหญ่  หญิงชราพยักเพยิดให้พี่เลี้ยงหลานชายเข้ามาช่วยประคองใบหน้าของลูกหมาเอาไว้ พร้อมกับกวักมือให้สารินเข้าไปช่วยถือไข่ในระยะใกล้มือหล่อน ก่อนจะเริ่มตอกไข่ดิบกรอกเข้าปากเบอร์นาร์ดด้วยความคล่องแคล่ว

“แล้วอาชาวล่ะ?” ม่าแนนถามถึงคนงานผู้ชายเพียงคนเดียวในบ้านโดยไม่หยุดมือ

“เชาว์ไปโลตัสกับป้าผ่องค่ะ” ได้ยินดังนั้น หญิงชราก็หลุดปากสบถล้งเล้งด้วยภาษาบ้านเกิดอย่างหัวเสีย ก่อนจะหันไปสนใจกับอาการของเจ้าตูบแทน

เจี้ย! เจี้ย! อาเบอหนัก ลื้อต้งเจี้ยโจ่ยๆ จะได้ฮ่อ!
(กิน! กิน! เบอร์นาร์ด ลื้อต้องกินเยอะๆ จะได้หาย!!) ผู้อาวุโสครางเสียงเครืออย่างอ่อนอกอ่อนใจเพราะหมาเด็กเริ่มจะไม่ตอบสนองกับคำสั่งสุดท้ายของหล่อนเลยสักนิด... ซ้ำร้าย สภาพของมันยังดูคล้ายกับวาระสุดท้ายอยู่ห่างออกไปแค่เอื้อมมือเท่านั้น  


ไข่ดิบไหลออกจากขากรรไกรที่เริ่มจะแข็ง
ก่อนที่เจ้าหมาบุญน้อยจะดิ้นทุรนทุรายร้องครวญครางอยู่ครู่หนึ่ง
แล้วจึงนิ่งไปพร้อม ๆ กับดวงตาที่ค่อย ๆ หม่นแสงและลมหายใจเฮือกสุดท้ายของมัน  



ทุกคนในบ้านรู้สึกตัวช้าเกินไป...
ช้าเกินไปจริงๆ








“อาเม่ย ลื้อคื้อเขี่ยเตี่ยงอ่วยไล้”
(อาเม่ย ไปเอาโทรศัพท์มาให้อั๊วที) แม้จะไม่ถึงกับเสียน้ำตาด้วยผ่านความโศกเศร้ายิ่งกว่าหนนี้มานักต่อนัก ทว่าความสูญเสียที่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของคนในบ้านเป็นวงกว้างอย่างครั้งนี้ ก็ทำให้อาม่าถึงกับต้องหลับตาพลางกัดฟันสั่งความกับเม่ยด้วยความยากลำบาก

ในเมื่อไม่อาจยื้อลมหายใจของเบอร์นาร์ดเอาไว้ได้  
หล่อนคงทำได้แค่ป้องกันปัญหาใหญ่ที่จะตามมาให้ชะงัดและรัดกุมที่สุด


“อาตั่วตี๋... ม่ายก่าอาโซ้ยตี๋ต่า เจี๊ยเบอหนักซี้เหลี่ยว!
(อาตั่วตี๋  ห้ามบอกใครเรื่องเบอร์นาร์ดตายนะ โดยเฉพาะอาโซ๊ยตี๋!)  

“คระ.. คระ ครับม่า”

เป็นเพราะแรงบีบเบา ๆ ตรงบ่า กับน้ำเสียงจริงจังของอาม่าที่ช่วยทำให้สารินรู้สึกตัวอีกครั้ง
เขาแทบจะหยุดหายใจระหว่างที่หลงกลับเข้าไปในโลกใบเดิมที่เคยสัมผัสเมื่อราว ๆ สามอาทิตย์ก่อน... ตอนที่รู้ว่ามารดาขึ้นสวรรค์ไปอยู่กับอากงแล้วนั่นแหละ  

ผิดอยู่แต่ว่า รอบนี้... สารินเฝ้ามองการตายของลูกหมาด้วยสายตาของคนนอกที่ไม่ใคร่จะเจ็บปวดรวดร้าวสักเท่าไร
ด้วยเพราะความรู้สึกผิดที่ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ความอ่อนแอและอับจนหนทางจึงเข้าครอบงำความคิดและจิตใจของเขาเอาไว้เสียสิ้น...

เป็นเพราะเขาเด็กเกินไป เขาจึงช่วยม่าแนนอุ้มเจ้าเบอร์นาร์ดไปขึ้นรถไม่ไหว
เป็นเพราะเขาขับรถไม่เป็น  เขาจึงพาเจ้าเบอร์นาร์ดกับทุกคนไปหาหมอที่คลินิกไม่ได้
และที่แย่ที่สุดเห็นจะเป็น  การที่เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าเบอร์นาร์ด เขาจึงทำได้แค่วิ่งไปตามม่าแนนมาช่วยมันเอาไว้ แล้วก็ยืนดูมันทุรนทุรายโดยที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย...


ทั้งที่น้องไว้ใจให้เขามาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าเบอร์นาร์ดแท้ ๆ...
เขานี่มันแย่จริง ๆ !!!








ช่วงเวลาที่เหลือ สารินได้แต่ยืนนิ่ง ๆ ปล่อยเสียงของม่าแนนระหว่างคุยโทรศัพท์กับบุตรชายให้ค่อย ๆ ไหลผ่านโสตประสาทไปอย่างช้า ๆ   หญิงชรากำชับกับคนปลายสายซ้ำ ๆ เหมือนกับที่บอกกับคนงานทุกคนในบ้านว่า เมื่อตอนบ่าย ลูกหมาวิ่งเตลิดออกจากบ้านไปตอนที่คนงานเปิดประตูรั้วเพื่อถอยรถเข้าจอด  ซึ่งจนถึงตอนนี้... เจ้าเบอร์นาร์ดก็ยังไม่กลับมา แม้อาม่าจะระดมเด็ก ๆ ทุกคนในบ้านให้ช่วยกันออกตามหาไปทั่วทุกซอยแล้วก็เถอะ    หลังจากวางสาย ม่าแนนก็สั่งให้พี่เชาว์ คนขับรถพ่วงตำแหน่งคนงานผู้ชายเพียงคนเดียวของบ้านเอาร่างไร้วิญญาณของเจ้าตูบไปฝังตรงพื้นที่ว่างหลังโกดังใกล้ ๆ บ้าน 




ความรู้สึกเจ็บปวดของสาริน หวนกลับมาทำร้ายเขาเข้าอีกครั้งเมื่อต้องทนเห็นเพื่อนรุ่นน้องกลับมาจากสนามสอบในสภาพหมองหม่นระคนเศร้าซึมโดยที่ตนเองไม่อาจปลอบโยนหรือปัดเป่าความกระวนกระวายใจของอีกฝ่ายให้หมดไปได้  เย็นวันนั้น แทนที่ทั้งสองจะได้เล่นสนุกกันเหมือนวันอื่น ๆ  เด็กชายแนนในชุดนักเรียนประถมครึ่งท่อนกลับเอาแต่นั่งชะเง้อคอมองหาเจ้าลูกหมาอยู่ตรงหน้าบ้านโดยไม่วางถาดอาหารที่เต็มไปด้วยของชอบของเจ้าตัวเขมือบเลยสักวินาทีจนมืดค่ำ...
.
.
.
.
.
และเจ้าตัวก็ยังคงทำแบบนั้นแม้จะผ่านไปหลายวันแล้วก็ตาม


«»------------------------------------------------------------------------------------«»


“พี่เม่ยหวัดดีครับ... อาม่าไม่อยู่เหรอครับ?” เพราะไม่เห็นผู้อาวุโสตามความเคยชิน เด็กชายผู้มาเยือนจึงตั้งคำถามพลางกระพุ่มมือไหว้พี่เลี้ยงของบุตรชายเจ้าบ้านอย่างสวยงามจนอีกฝ่ายต้องวางมือจากไม้ถูพื้นเพื่อรับไหว้เป็นพัลวัน

“ม่าออกไปซื้อของกับคุณ ๆ ตั้งแต่สิบโมงแล้วค่ะ... ส่วนน้องแนนนอนอยู่บนห้องค่ะ คุณรินขึ้นไปได้เลยนะคะ น้องแนนเธอบอกพี่ไว้แล้ว”

“ขอบคุณครับพี่เม่ย” รับคำเสร็จ สารินก็เดินขึ้นบันไดไปยังห้องริมระเบียงชั้นสอง... ห้องที่เจ้าของมักจะพาเขาเข้าไปนอนอ่านการ์ตูน หรือเล่นเกมขลุกอยู่ด้วยกันเป็นวัน ๆ อยู่บ่อย ๆ  

“(ก็อก ก็อก ก็อก) แนน... พี่เอง พี่เข้าไปได้ไหม?”

“ประตูไม่ได้ล็อค พี่รินเข้ามาเลย!” สิ้นเสียงตอบรับจากคนในห้อง เด็กชายก็เปิดบานกั้นแล้วสาวเท้าเข้าด้านในโดยพลัน แต่ภาพของเด็กชายอีกคนขณะกำลังสาละวนอยู่กับเป้สะพายหลังเหมือนฉากในหนังตอนตัวเอกคิดจะหนีออกจากบ้านที่ปรากฏอยู่ตรงหน้านี่สิ มันมีความหมายว่าอย่างไร?!

“แนน... แนนทำอะไร?!!” อีกฝ่ายพยักเพยิดให้เขารีบปิดประตูก่อนจะกระซิบกระซาบแผนการของตัวเองให้เพื่อนใหม่ได้รับรู้

“แนนจะออกไปตามหาเบอร์นาร์ด แนนเพิ่งรู้ว่าป๊าบอกพี่เชาว์ให้เลิกตามหาเบอร์นาร์ดตั้งแต่เมื่อสองวันก่อน ไม่รู้ป่านนี้มันจะยิ่งหลงไปถึงไหน” คนพูดเทเศษเหรียญออกจากกระปุกออมสินแล้วกวาดเงินทั้งหมดใส่กระเป๋าใบเล็ก ๆ ก่อนจะยัดมันลงกระเป๋าเป้อย่างลวก ๆ แล้วตบท้ายด้วยการรูดซิปปิดมันอย่างยักแย่ยักยัน

แค่กะจากความพองของกระเป๋า กับสายตาเอาจริงเอาจังของน้อง สารินก็รู้ทันทีว่า... อีกฝ่ายคาดหวังกับความสำเร็จของภารกิจในครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง ดีไม่ดีอาจบ้าบิ่นถึงขั้นไม่ยอมกลับบ้านกลับช่องหากไม่เจอลูกหมาสุดที่รักก็เป็นได้


“แล้วนี่จะไปยังไง?” สารินตะล่อมถาม

“แนนจะขี่จักรยานไปตามหามันทุกๆซอยเลย จะหาจนกว่าจะเจอ ถ้าไม่เจอ... แนนจะไม่กลับบ้าน” เด็กชายเจ้าของบ้านประกาศกร้าวอย่างแน่วแน่

นั่นไง!... ผิดไปจากที่เขาคาดเสียที่ไหนกัน?!...
ไม่ได้การ... จะปล่อยอีกฝ่ายไปดุ่ย ๆ คนเดียวไม่ได้!
เขาต้องทำอะไรสักอย่าง!


“งั้นพี่ไปด้วย! ให้พี่ไปช่วยตามหาเบอร์นาร์ดด้วยคนนะ สองหัวดีกว่าหัวเดียว... สี่ตาก็ต้องดีกว่าสองตาอยู่แล้ว” คนโตกว่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังพอกันจนเด็กชายอีกคนเริ่มชั่งใจ...  

จากแรกเริ่มเดิมทีที่คิดว่าจะชวนอีกฝ่ายไปตามหาเบอร์นาร์ดด้วยกัน จนเปลี่ยนใจเมื่อคิดได้ว่า คนเป็นพี่อาจจะฟ้องพี่เม่ยหรืออาม่า ไม่ก็ขัดขวางไม่ให้เขาขี่จักรยานออกถนนใหญ่ สุดท้าย... น้ำเสียงหนักแน่น และท่าทางสนับสนุนเต็มร้อยก็ทำให้แนนยอมถอยกลับไปยืนยัจุดเริ่มต้นของแผนการอีกครั้ง  


“ก็ได้ครับ”  พอได้ยินคำตอบรับของอีกฝ่าย สารินจึงรีบมัดมือชกเพื่อนรุ่นน้องโดยไม่รอช้า

“แต่เดี๋ยวขอพี่โทรบอกม่าก่อน ม่าพี่จะได้ไม่เป็นห่วง” ยังไม่ทันขาดคำดี คนโตกว่าก็ต่อสายโทรออกหาย่าของตนเพื่อให้ช่วยบอกข่าวแก่ผู้ใหญ่ของบ้านหลังนี้อีกทอดหนึ่ง เนื่องจากอาม่ามักจะโทรหาม่าแนนอยู่บ่อย ๆ “ฮัลโหล... ม่าครับ เดี๋ยวรินไปขี่รถเล่นกับแนนแล้วจะกลับเย็น ๆ นะครับ ถ้ามีอะไรม่าโทรหารินได้ตลอดนะครับ... ครับ รินจะขี่ระวัง ๆ แล้วจะดูน้องให้เองครับม่า ครับ ครับ... หวัดดีครับม่า”

“พวกเรารีบไปกันเถอะ... ถ้าป๊าม้าพาม่ากลับมาที่บ้านก่อนเดี๋ยวจะไม่ได้ไปไหนกันพอดี” สารินรวบรัดตัดความแล้วคว้าเป้มาสะพายเอาไว้เองก่อนจะเดินนำน้องย่องออกจากห้องอย่างเงียบเชียบ








“แนน... เย็นป่านนี้แล้ว พี่ว่าเรากลับบ้านกันก่อนเถอะนะ ที่บ้านน่าจะเป็นห่วงแนนแย่แล้วล่ะ” คนเป็นพี่ชักชวนเพื่อนรุ่นน้องที่เหม่อมองยอดตึกค่อย ๆ กลืนพระอาทิตย์ลงท้องอย่างช้า ๆ หลังจากที่ทั้งสองปักหลักนั่งพักขาตรงโป๊ะร้างริมแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อการปั่นจักรยานออกเที่ยวตามหาเจ้าเบอร์นาร์ดทุกซอกซอยแถวบ้านตลอดห้าชั่วโมงที่ผ่านมาไม่ประสบผล

“...แต่เบอร์นาร์ด... / มันหายออกจากบ้านไปตั้งหลายวันขนาดนี้  อาจจะมีคนใจดีเก็บเบอร์นาร์ดไปเลี้ยงแล้วก็ได้นะ” สารินพยายามปลอบใจด้วยเหตุผลที่น่าจะทำให้อีกฝ่ายตัดใจจากเจ้าลูกหมาจอมตะกละได้ง่ายที่สุด

“แต่มันกินจุเสียขนาดนั้น  ถ้าไม่ใช่แนน... ใครจะอยากเลี้ยงมันอีกล่ะพี่ริน?” คนเป็นน้องถามเสียงเครือ พลางใช้ตาแดง ๆ จ้องหน้าของสารินอย่างน่าสงสาร

แม้ที่ผ่านมา มารดาและอาม่าจะไม่ให้เขาพูดโกหก
กระนั้น... หลังจากงานศพจบลง และเขาเริ่มจะทำใจยอมรับการ หายไปของม้าได้   ป๊าก็เล่าให้ฟังว่า... ถึงการโกหกจะไม่ดี แต่บางทีเราก็ต้องโกหกเพื่อรักษาความสุขของคนสำคัญเอาไว้...

บอกตรง ๆ  ตอนนั้น เขาไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของสิ่งที่ป๊าพร่ำบอกสักเท่าไร
แต่ตอนนี้เด็กชายกลับรู้ซึ้งไปถึงกึ๋นเลยเชียวแหละ


“มีสิ ขนาดพี่ยังอยากเลี้ยงเบอร์นาร์ดเลยนะ เชื่อพี่สิ... มีคนเอามันไปเลี้ยงแล้วแน่ๆ มันออกจะน่ารักแถมยังกอดอุ่นขนาดนั้นนี่เนอะ” คนพูดแสร้งกลบเกลื่อนด้วยน้ำเสียงและสีหน้าร่าเริงพลางสั่งให้ตัวเองเชื่อในประโยคที่ตนเพิ่งหลุดปากออกไปอย่างแข็งขัน  

“จริงนะพี่ริน? มีคนเอามันไปเลี้ยงต่อจริง ๆ ใช่ไหม?” ถึงจะเริ่มเบาใจ แต่เด็กชายแนนกลับไม่อาจกลั้นสะอื้นเอาไว้ได้... นี่เขากำลังจะเสียเพื่อนสี่ขาสุดที่รักไปให้คนอื่นแล้วอย่างนั้นน่ะหรือ?!

“จริงสิ” ดีที่สารินกล่อมตัวเองจนเชื่อข้ออ้างดังกล่าวไปเรียบร้อยแล้ว ไม่อย่างนั้นคำตอบของเขาเมื่อกี๊คงจะฟังไม่หนักแน่นสักเท่าไร  ถึงอย่างนั้น... คนเป็นน้องกลับยังคงไม่วางใจ แนนคว้าแขนของเพื่อนใหม่ขึ้นมาเขย่าราวกับจะให้ความจริงกระฉอกออกมาอย่างไรอย่างนั้น

“พี่ไม่ได้โกหกแนนจริง ๆ นะ... ไม่ใช่มันโดนรถชนหรือหมาตัวอื่นกัดตายไปแล้วใช่ไหมครับ?”  สายตาเว้าวอน กอปรกับท่าทางหมดหวังที่มาพร้อมกับประโยคดังกล่าวเล่นเอาคนถูกถามถึงกับสะท้อนใจ... แต่ครั้นจะให้กลับลำเล่าความจริง สารินก็ทำไม่ลง

“เชื่อเถอะ... พี่พูดจริง พี่ไม่โกหกหรอก”

สัมผัสอบอุ่นโอบอุ้มฝ่ามือเล็ก ๆ ของตนเอาไว้แน่นหลังคำพูดรับรองของพี่ริน  ทำให้คนเกิดทีหลังปักใจเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัย  เด็กชายแนนหันกลับไปมองท้องฟ้าช่วงใกล้ค่ำแล้วป้องปากตะโกนฝากข้อความไปกับสายลมถึงเจ้าลูกหมาจอมตะกละจนสุดเสียง  


ฮืออออออ เบอร์นาร์ด!!! แกอย่ากินเยอะเกินไปล่ะ เดี๋ยวเจ้าของใหม่จะเอาแกไปปล่อยเพราะเลี้ยงแกไม่ไหว!!” พอสั่งเสียเสร็จ เด็กชายตัวผอมเป็นไม้ขีดก็ร้องไห้โฮออกมาด้วยความเสียใจที่จะไม่มีโอกาสได้เจอหน้าเจ้าเบอร์นาร์ดสุดที่รักอีกต่อไปแล้ว

“ไม่เอา... อย่าร้องไห้สิ!” สารินขอร้องพลางคว้าตัวน้องมากอดเอาไว้ไม่ต่างจากวันนั้นที่อีกฝ่ายปลอบใจเขาเรื่องหม่าม้า  ก่อนจะใช้คำพูดเดียวกันมาห้ามน้ำตาของเพื่อนใหม่ “ไหนป๊าเคยบอกว่าไม่ให้ร้องไห้ไม่ใช่เหรอ? ยิ้มสิ เดี๋ยวเบอร์นาร์ดมันจะเป็นห่วงเอานะ”

คนฟังกดหน้าลงกับซอกคอของรุ่นพี่เสียแน่น แขนเล็ก ๆ สอดเข้ากอดเอวของคนเกิดก่อนแล้วกำเสื้อยืดของเขาเอาไว้จนคอเสื้อเริ่มรั้งติดลิ้นปี่ ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาพูดกับเจ้าเบอร์นาร์ดด้วยน้ำเสียงอู้อี้จนสารินต้องกระชับอ้อมกอดพลางเอ่ยปลอบเสียยกใหญ่  

“ฮืออออออ.... เบอร์นาร์ด ฉันไม่ได้เสียใจ ฉันดีใจที่แกได้เจ้าของใหม่... เพราะฉะนั้น แกต้องไม่ร้องไห้นะ ฮือออออออ / พี่อยู่นี่แล้ว ไม่เป็นไรนะ... ไม่เป็นไร”








“ขอบใจมากนะรินที่ช่วยดูแลน้องให้ป๊า” เจ้าบ้านทั้งสองเดินออกมาส่งเด็กชายหลังจากทั้งคู่กลับมาถึงบ้านโดยปลอดภัย ฝ่ายคนน้องก็เพลียจนผล็อยหลับไปหลังจากได้กินอาหารเย็นไปเมื่อสักชั่วโมงที่แล้ว

“ไม่เป็นไรครับ... ผมดีใจที่ผมทำอะไรเพื่อน้องได้บ้าง” สารินตอบผู้ใหญ่ทั้งสองจากใจจริง ฝ่ายผู้เป็นมารดาก็รีบตัดบทด้วยไม่อยากให้บ้านโน้นเป็นกังวลที่ปัญหาของลูกชายหล่อนประวิงเวลาเด็กชายตรงหน้าเอาไว้จนดึกดื่น

“กลับบ้านเถอะลูก เดี๋ยวม้าให้พี่เม่ยเดินไปส่ง” หล่อนหันไปพยักหน้าให้พี่เลี้ยงลูกชายเพื่อรับช่วงต่อทันที สารินจึงอำลาทั้งสองโดยไม่อิดออด  

“ขอบคุณครับม้า ผมกลับก่อนนะครับม้า... ป๊า สวัสดีครับ”


«»------------------------------------------------------------------------------------«»


“กินอะไรมาหรือยัง?” หญิงชราในชุดนอนถามเด็กชายพลางกดรีโมทปิดเสียงทีวีทันทีที่เห็นอีกฝ่ายเดินกลับเข้ามาในบ้าน

“ผมกินข้าวที่บ้านน้องมาแล้วครับ แล้วม่ากินข้าวหรือยังครับ?” 

“ม่ากินกับอาจูแล้ว นั่งก่อนสิ กินน้ำกินท่าก่อนจะได้หายเหนื่อย” ไม่ต้องรอให้หล่อนพูดซ้ำ สารินก็ทำตามคำบอกของย่าอย่างว่าง่าย

“ป๊าล่ะครับม่า?” ถามเสร็จก็ยกแก้วขึ้นดื่มน้ำอีกรอบพลางเงี่ยหูรอฟังคำตอบอย่างมีความหวัง  ทว่าบิดาของเขาคงจะไม่ชอบเรื่องเซอร์ไพรส์อย่างที่เขาเผลอเข้าใจไปคนเดียว  

“เห็นเขาโทรมาบอกว่าจะกลับดึก งานมีปัญหานิดหน่อย... แล้วหลานอาซิ้วงิ้งเป็นยังไงมั่งล่ะ?” อาม่าที่มีสีหน้าวิตกไม่คลายเดินมานั่งร่วมโต๊ะกินข้าวไม่ห่างจากเขาสักเท่าไร

“ร้องไห้จนหลับไปแล้วครับม่า” คนพูดถอนใจ... คนฟังก็ถอนใจ

“น่าสงสารอีนะ อีคงจะรักหมามากจริง ๆ ”

“ครับ น่าสงสารมาก รินยังเสียใจไม่หายเลยที่วันนั้นรินช่วยอะไรไม่ได้สักอย่าง... ถ้ารินรู้ว่าเบอร์นาร์ดเป็นอะไรแล้วรินช่วยมันได้ทัน มันก็คงไม่ตาย น้องก็คงไม่ต้องร้องไห้แบบนี้”


แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งสองพูดคุยกันด้วยหัวข้อดังกล่าว
ทว่าความรู้สึกผิดที่กัดกินใจสารินอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน กลับมีอาณุภาพรุนแรงเสียจนเด็กชายเฝ้าตอกย้ำความผิดของตัวเองไม่เลิกรา  


“รินเอ๊ย... อย่าไปคิดถึงเรื่องที่มันผ่านไปแล้วอีกเลยลูก...
.
.
...แค่รินรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับอาซิ้วงิ้งได้...
...แค่วันนี้รินอยู่เป็นเพื่อนน้อง คอยดึงน้องเอาไว้ไม่ให้เตลิดไปถึงไหน ๆ  รินก็ช่วยเหลือบ้านโน้นได้เยอะแล้วล่ะ” อาม่าลุกขึ้นแล้วเดินมากอดเขาเอาไว้พลางลูบหัวของเด็กชายเบา ๆ

“แต่เบอร์นาร์ด.../ ริน... ฟังม่านะ  ปัญหาบางอย่าง ถึงเราจะแก้ไขมันไม่ได้ในวันนี้  แต่หากมันเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้งในวันข้างหน้า เราจะตั้งตัวรับมือกับมันได้ดีกว่าครั้งแรกเสมอ...
.
...เมื่อวันซืนม่าแนนบอกม่าว่า... เดี๋ยวพอวันเกิดอาตี๋เล็ก อาเคี้ยงอีจะหาหมาตัวใหม่มาให้น้องเลี้ยง... 
...ถึงตอนนั้น รินก็ช่วยเป็นหูเป็นตาหมั่นไปดูแลมันกับน้องก็ได้นิ”

“ครับม่า” สิ่งที่เพิ่งได้ยินทำเอาเด็กชายอดดีใจแทนน้องไม่ได้ แต่ก่อนที่เขาจะได้ซักไซ้อีกฝ่ายถึงรายละเอียดของแผนดังกล่าว อาม่าก็พูดขัดขึ้นเสียก่อน

“ขึ้นเหล่าเต้งไปจั่งเอ๊กแล้วอุ๊กไป!  ดูซิเนี่ย... สกปรกไปหมดทั้งตัวจนหัวหูเหม็นหึ่งไปหมดแล้ว”
(ขึ้นข้างบนไปอาบน้ำแล้วนอนไป! ดูซิเนี่ย... สกปรกไปหมดทั้งตัวจนหัวหูเหม็นหึ่งไปหมดแล้ว)

“ครับม่า” เด็กชายรับคำโดยดี... ลองว่าถ้าย่าของสารินพูดจีนขึ้นมาเมื่อไร แปลว่าไม่ควรต่อรองให้เหนื่อยเปล่า กระนั้น... เขาก็อดแสดงความเป็นห่วงอีกฝ่ายไม่ได้ ด้วยรู้ดีว่า ตั้งแต่หม่าม้าตาย ม่าก็มักจะนั่งดูทีวีดึก ๆ เพื่อรอเจอหน้าป๊าก่อนนอนทุกวัน “ม่าก็อย่าดูละครจนดึกล่ะ”

“ไม่ต้องห่วงม่าหรอก รินนั่นแหละ... รีบไปนอนเถอะ!








คืนนั้น... หลังจากอาบน้ำเสร็จ แทนที่จะทิ้งตัวลงนอนทันทีตามที่รับปากกับอาม่าเอาไว้  เด็กชายสารินกลับปักหลักหลังจอคอมพิวเตอร์เพื่อไล่สายตาอ่านเนื้อหาของเพจต่าง ๆ ในอินเตอร์เน็ตจนวุ่นวายอยู่ร่วมสองชั่วโมง  เมื่อสิ้นเสียงเคาะนิ้วกระทบแป้นพิมพ์ช้า ๆ ตามประสาคนยังพิมพ์ไม่คล่องมือ ในที่สุดเขาก็รู้ชัดแล้วว่า ตัวเองอยากจะเป็นอะไรในอนาคต...


ต่อให้น้องจะเลี้ยงหมาเป็นร้อย ๆ ตัว
หลังจากนี้เขาจะไม่พลาดอีก!  


จังหวะที่ตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด...
หางตาดันเหลือบไปเห็นบางอย่างตรงมุมห้องที่ดูจะผิดปกติไปมากโข  



เฮ่ย! เบอร์นาร์ด!!! เบอร์นาร์ดมาได้ไงเนี่ย?!!” สารินตะโกนใส่หน้าลูกหมาจอมตะกละที่นอนมองหน้าเขาอย่างท้าทายอยู่บนพื้นห้อง

เบอร์นาร์ด!!! ไอ้เบอร์นาร์ด... แกตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ?” วินาทีนี้... เด็กชายถึงกับไปไม่เป็น  เขาจึงทำได้แค่ขยี้ตาแรง ๆ สลับกับเรียกชื่อไอ้ก้อนขนตัวดังกล่าวซ้ำไปซ้ำมาราวกับคนเสียสติ

เบอร์นาร์ด!!” จากที่กลัวจนขนลุก กลายเป็นต้องยืนเกาหัวแกรก ๆ เพราะกระทั่งเรียกจนแสบคอ เจ้าตูบก็ยังไม่หือไม่อือเลยสักนิด แถมยังนอนกระดิกหางอย่างมีความสุขอยู่ที่เดิมอย่างไม่ทุกข์ร้อน  สุดท้ายเด็กชายก็นึกออกว่าควรจัดการกับเจ้าสี่ขานี่อย่างไร

น้าหนวด!


ในที่สุดสิ่งมีชีวิตแปลกปลอมก็ยอมเปลี่ยนอิริยาบทด้วยการยกหัวขึ้นเพื่อเงยหน้าขึ้นมองเขาดี ๆ ราวกับจะบอกกลาย ๆ ว่าข้าเข้าใจในสิ่งที่เจ้าพูดนะ.... และชื่อนั่น มันใช้เรียกข้าได้ ซึ่งปฏิกิริยาดังกล่าว ทำให้เด็กชายยิ่งตื่นตูมไปกันใหญ่   


น้าหนวด! แกตายแล้วนี่น้าหนวด!!” พอสิ้นเสียงตะโกนอย่างตกอกตกใจในคราวนี้   เจ้าลูกหมาถึงกับเปลี่ยนท่าทีลุกขึ้นมานั่งกระดิกหางให้ แล้วจึงค่อย ๆ ออกเดินต้วมเตี้ยมเข้าหาพลางส่งยิ้มหวานมาประจบ   ฝ่ายรินที่ทั้งตกใจและหวาดกลัวถึงกับเดินถอยหลังอย่างช้า ๆ โดยไม่ละสายตาไปจากสิ่งที่เคยเป็นหมาของเพื่อนรุ่นน้องเลยสักอึดใจ  


และนั่นคือภาพสุดท้ายที่เด็กชายได้เห็นก่อนที่เขาจะสะดุดขอบเตียงจนหงายตึงแล้วจอดับโลกมืดไปโดยไม่ได้สนใจจะปิดคอมพิวเตอร์ให้เรียบร้อยทั้งที่ไม่ใช่นิสัยเลยแท้ ๆ  


«»------------------------------------------------------------------------------------«»


“พี่เม่ย... แนนล่ะครับ?” เด็กชายเอ่ยถามพี่เลี้ยงของเพื่อนใหม่เมื่อสังเกตว่าภายในบ้านเงียบเชียบผิดปกติทั้งที่ขณะนี้ก็ใกล้สิบเอ็ดโมงเข้าไปทุกที  

“น้องแนนไม่อยู่ค่ะ คุณท่านพาน้องแนนไปโรงเรียนใหม่ค่ะ”

“แล้วอาม่าล่ะครับ?”  

“ม่าไปโรงเจค่ะ เย็น ๆ โน่นแหละกว่าจะกลับ”

“งั้นผมไปก่อนนะครับ เดี๋ยวเย็น ๆ จะแวะมาใหม่” ผู้มาเยือนบอกลาโดยง่ายเมื่อทุก ๆ คำถามได้รับคำอธิบาย... พลางทดเอาไว้ในใจถึงกิจกรรมที่จะชวนหลานชาย และอาม่าทำร่วมกันเย็นวันนี้... ยังเหลือเวลาปิดเทอมอีกตั้งถมเถไป ต่อให้ว่ากันใหม่วันพรุ่งนี้ก็ยังทัน!

อนิจจา...
หากสารินจะเอะใจกับประโยคของเม่ยเพียงสักนิด เขาจะตระหนักได้ว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นเสียแล้ว
เมื่อวาน ถือเป็นโอกาสสุดท้ายที่เขาจะได้เจอหน้าและใช้เวลากับเด็กชายแนนในฐานะเพื่อนเล่นคนโปรด
และหลังจากวันนี้เป็นต้นไป เขาจะต้องรออีกเก้าปี กว่าที่จะได้กลับเข้ามาในบ้านนี้ในฐานะคนรู้ใจของหลานชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวของบ้าน  








“ตอนนี้ฉันไม่ได้ฝันอยู่?” สารินหลุดปากทันทีที่เดินพ้นประตูรั้วอัลลอยด์หน้าบ้านตึกหลังใหญ่  ฝ่ายหมาตัวกึ่งขุ่นกึ่งใสที่นั่งรออยู่ก็เห่าตอบรับอย่างกระฉับกระเฉง

“โฮ่ง!

“สรุปว่าแกจะคอยตามฉันไปตลอดเลยใช่ไหม?” เด็กชายถามคำถามนี้มาเป็นครั้งที่ร้อยหลังจากที่ตื่นมาก็พบว่า ลูกหมาที่ตนเห็นเมื่อคืนได้ถือวิสาสะย้ายตัวเองขึ้นไปนอนยิ้มหวานอยู่ข้าง ๆ กัน   พอทำใจกล้าลองจับตัวของมันดู... สารินก็รู้ว่า ตนโดนผีหมาหลอกเอาเสียแล้ว  แต่ที่หนักยิ่งไปกว่านั้น คือ ต่อให้สวดมนต์กี่จบหรือพยายามขับไล่อย่างไร เจ้าตูบก็ไม่ยอมหายตัวไปเสียที แถมยังติดตามเขาไปทุกที่ ๆ เสียด้วย  

“โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง!

“รู้แล้วล่ะน่า... ไม่ต้องเห่าย้ำหรอก” สารินถอนใจอย่างเหนื่อยหน่ายหลังจากรับสภาพได้ แต่พอนึกทบทวนดู เขาก็สังเกตถึงความผิดปกติของเจ้าหมาตัวนี้ได้เป็นครั้งแรก “แล้วทำไมเมื่อกี๊ถึงไม่ตามเข้าไปในบ้านแนนด้วยกันล่ะ?!! คราวนี้ เจ้าลูกหมากลับนั่งนิ่งคล้ายกับจะปล่อยให้เขาคิดหาคำตอบเอาเอง

“ไม่อยากเจอแนนเหรอ? แนนไม่อยู่หรอก... ออกไปข้างนอก” สารินหยุดคิดนิดหนึ่งเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้ “เออ... จริงสินะ แกเป็นผีนี่เนอะ ตี่จู่เอี๊ยะคงไม่ให้เข้าบ้านแล้วล่ะเนอะถึงจะเคยเป็นบ้านเดิมของแกมาก่อนก็เถอะ”

“โฮ่ง!!! เด็กชายเผลอหัวเราะชอบใจที่เจ้าเบอร์นาร์ดหรือน้าหนวดของเขารับคำ... แสดงว่าข้อสันนิษฐานของเขาเกี่ยวกับตัวมันเมื่อสักครู่ก็น่าจะไม่ผิด  ทว่าสารินกลับลืมคิดไปว่า... ท่าทางยิ้มคนเดียว หัวเราะคนเดียว รวมทั้งการพูดคนเดียวนั้น มันดูแปลกในสายตาของคนทั่วไปมากแค่ไหน...


นั่นอย่างไร... 
คุณป้าที่เพิ่งเดินสวนไปเมื่อครู่มองหน้าเขาราวกับเป็นคนบ้าก็ไม่ปาน



“เฮ่อออออ ฉันอยากจะบ้า!!

“โฮ่ง โฮ่ง!


หากเด็กชายขยี้หัวตัวเองซ้ำ ๆ  เป็นรอบที่ร้อย
เจ้าวิญญาณหมาเองก็เห่าย้ำสถานะของเงาที่สองเป็นครั้งที่ร้อยกว่าไม่ต่างกัน









Nancy Sakol, Back Space
แ น น ซี่... ง า น แ ต่ ง ห ญิ ง ไ ม่ มี เ ล่ น ๆ

(จุด ๆ นี้ น้องอยากเป็นเทย์เลอร์ สวิฟท์ น้องเลยลงทุนออกค่าลูกไม้ให้เจ็กไปตัดชุด
กับทำวิกผมสีจินเจอร์ทรงฟาร่าปาดเป๋แบบเก๋ไก๋จัดเต็ม  –
รูปนี้น้องถูกแอบถ่ายระหว่างกำลังเติมแต่งสีแดงลงบนภาพเหมือนของพี่ริน
ภาพที่น้องตั้งใจวาดเป็นของขวัญเซอร์ไพรส์วันโกนที่ร้อยสามสิบเอ็ดหลังจากคบหากัน
พอได้ยินเสียงชัตเตอร์ น้องก็เผลอจือปากเบา ๆ ให้ใบหน้าดูมีมิติ)
Muse: Taylor Swift, Blank Space



«»------------------------------------ TBC ------------------------------------ «»







No comments:

Post a Comment