ออกตัวก่อนว่าเรื่องของสารินกับสกลไม่ดราม่านะคะ...
เว้นก็แต่ตอนนี้
ซึ่งมันเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางชีวิตรักของทั้งสองหนุ่ม
ใครมีภูมิต้านทานด้านน้องหมาต่ำ...
เราต้องขออภัยเอาไว้ด้วย เพราะมันจำเป็นจริง ๆ
(เขียนเองก็เศร้าเอง
แต่เพื่อความสุขในบั้นปลาย... เราก็จำใจทำ)
เอาเป็นว่าตอนหน้าเราจะเขียนเรื่องจรรโลงใจให้อ่านกันดีกว่าเนอะ
ใครรอสามพี...
ตาหน้าเป็นเรื่องของเต๋อด้วงฟูช่วงปรับตัวเข้าหากันแรก ๆ นะคะ ^^
รักคนอ่านทุกท่านเป็นอย่างยิ่งค่ะ
ปล. ตอนนี้มีการแปลความเป็นภาษาแต้จิ๋วนิด
ๆ หน่อย ๆ
หากผิดพลาดประการใด
รบกวนบอกจุดผิดเพื่อแก้ไข
พร้อมให้อภัยล่วงหน้าด้วยนะคะ
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
The 01st
Bonding
เด็กสองคน... ลูกหมา... กับคำสัญญาของพี่ชาย
“ม่าแนนหวัดดีครับ”
ทันทีที่เดินผ่านประตูรั้วอัลลอยด์เข้าสู่ด้านใน สารินก็ยกมือไหว้หญิงชราผู้มีศักดิ์เป็นย่าของบุตรชายเจ้าของบ้านซึ่งกำลังเดินตรวจตราความสะอาดเรียบร้อยตามปกติวิสัยของเจ้าหล่อนอย่างนอบน้อมไม่ผิดไปจากทุกที
ถ้านับกันตามจริง
อาม่าซิ้วงิ้ง หรือที่เขาเรียกติดปากว่าม่าแนนนั้น มีอายุมากกว่าย่าของเขาอยู่ราว
ๆ สี่ห้าปี ทว่าดีกรีความเป็นคนจีนอพยพจากแผ่นดินใหญ่ของม่าแนนกลับเข้มข้นกว่าอาม่าของเขาอยู่หลายเท่าตัว...
นอกจากอาม่าจะชอบสวมใส่เสื้อผ้าที่ตัดเย็บแบบคนจีนแท้
ๆ แล้ว หล่อนยังพูดแต้จิ๋วน้ำไหลไฟดับ ทั้งที่สมาชิกที่เหลือภายในบ้านต่างพากันอ้อนวอนให้ม่าแนนใช้ภาษาไทยเป็นหลักเพื่อเห็นแก่หลานชาย
รวมถึงคนงานภายในบ้านซึ่งมีทั้งคนไทยและพม่า
แต่กับสารินที่หล่อนชอบพอเป็นพิเศษแล้ว
หลังจากหลานชายสุดสวาทขาดใจพามาแนะนำตัวให้คนทั้งบ้านได้ทำความรู้จักในฐานะเพื่อนรักคนใหม่
ดูเหมือนหญิงวัยเกษียณจะจัดเต็มภาษาแม่ปนไทยให้เขาเป็นพิเศษราวกับพาเพื่อนเก่าแถว
ๆ กวางตุ้งมากินติ่มซำแถวเยาวราชก็ไม่ปาน
“อ้าวอาตั่วตี๋ ไล้เหลี่ยว? จ๋อ ๆ ลื้อเจี่ยปึ่งบ๋วย?”
(อ้าวตี๋ใหญ่
มาแล้วเหรอ? นั่ง ๆ กินข้าวหรือยัง?)
อาม่าซิ้วงิ้งยิ้มกว้างพลางเดินเข้ามาลูบหลังลูบไหล่ของเด็กชายที่หล่อนถูกชะตาตั้งแต่แรกพบหน้า
จนถึงขั้นยอมยกตำแหน่งตั่วตี๋ให้
แล้วเปลี่ยนคำนำหน้าสรรพนามเรียกเด็กชายแนนเป็นโซ๊ยตี๋ไปตามลำดับ
แม้สารินจะฝากตัวเป็นแขกประจำของบ้านตึกหลังนี้ได้ไม่ถึงเดือนดี ทว่าการที่เด็กชายสละเวลามาเล่นกับหลานสุดที่รักอยู่ไม่เว้นแต่ละวันนั้น
ก็สร้างความคุ้นเคยให้กับทั้งอาคันตุกะและสมาชิกทุกคนในบ้านให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับรู้จักกันมาเป็นแรมปี อาคันตุกะวัยสิบสองขวบจึงอดสัพยอกหญิงชราผู้ใจดีและมีอารมณ์ขันเป็นนิจตรงหน้าไม่ได้...
ซึ่งเครื่องมือที่เขาใช้กระเซ้าอีกฝ่ายในรอบนี้
คือ ประโยคคลาสสิคที่เพื่อนรุ่นน้องมักจะพูดแหย่อาม่าทุกครั้งที่ผู้อาวุโสหลุดคำภาษาจีนออกมาให้ได้ยินนั่นเอง
“ม่าแนนครับ
แนนบอกว่าไม่ให้ม่าพูดจีนนี่ครับ”
“ม่ะกี๊อั๊วไม่ไล่พุก
อั๊วพุกทาย อาตั่วตี๋ลื้อนี่หาเลื่องอาม่าน้า!”
(เมื่อกี๊อั๊วไม่ได้พูด
อั๊วพูดไทย ตั่วตี๊หาเรื่องอาม่านะ!) ได้ยินดังนั้น หญิงชราจึงแสร้งทำหน้าตาย โบกไม้โบกมือ พลางโหวกเหวกโวยวายด้วยภาษาไทยสวนขึ้นทันควัน
“ฮ่า ฮ่า
ฮ่า... ขอโทษครับม่าแนน เมื่อกี๊รินคงหูฝาดไปเอง...
คราวหลังรินจะตั้งใจฟังม่าแนนให้ดี ๆ เลยนะครับ” เด็กชายรับคำตามน้ำง่าย ๆ พร้อมระบายยิ้มกว้างโดยไม่คิดโต้เถียง
เพราะนอกจากคนในครอบครัวของตัวเองแล้ว
ก็มีม่าแนนนี่แหละที่สารินรักและให้ความเคารพไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
แถมเจ้าตัวดูจะเผยด้านรื่นเริงออกมาให้หล่อนเห็นบ่อยครั้งกว่าเวลาอยู่กับย่าของตัวเองเสียอีก
“ลี ลี...
ลีมั่ก!”
(ดี ดี...
ดีมาก!) ซิ้วงิ้งชมหลานนอกไส้ไม่ขาดปากพลางเดินไปสำรวจต้นไม้ใบหญ้าที่บุตรชายอุตส่าห์เจียดเวลาจากกิจการอันรัดตัวมาปลูก
และดูแลทุก ๆ เช้า
“แนนไปสอบนานแล้วเหรอครับ?”
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ บุคคลซึ่งถูกพาดพิงได้แจกแจงรายละเอียดของกิจกรรมที่กินเวลาเกือบตลอดวันให้สารินฟังเป็นสิบ
ๆ รอบ รวมทั้งยังบังคับให้เขามาอยู่เป็นเพื่อนเล่นของเจ้าลูกหมาจอมตะกละตั้งแต่ช่วงบ่ายก็ตาม...
แต่เด็กชายก็ยังอยากถามถึงเพื่อนเล่นคนโปรดอยู่ดี
“อีขื่อกะอาม้าอาป๊าอีตั้งกะเช้า
เดี๋ยวอีก็ตึ๋งไหลเหลี่ยว”
(อีไปกับม้าป๊าอีตั้งแต่เช้า
เดี๋ยวอีก็กลับบ้านแล้ว)
“รินไม่อยากให้น้องสอบติดเลย
รินอยากให้น้องจับฉลากแล้วเรียนโรงเรียนเดียวกับรินมากกว่า” เด็กชายว่าพลางเอื้อมมือไปหยิบกรรไกรแต่งกิ่งส่งให้หญิงชราเพราะเห็นอาม่ายื้อกิ่งต้นโมกที่งอกระเกะระกะมาพักใหญ่
ๆ
“แต่อีหยักไปสบเป็งเพิ่งอาบ้วยอี อีลักอาบ้วยของอีเอามั่ก ๆ ”
(แต่อีอยากไปสอบเป็นเพื่อนบ๊วย
อีรักบ๊วยมาก ๆ ) สารินกลั้นยิ้มเมื่อได้ยินภาษาไทยสำเนียงจีนจ๋าโต้ตอบกลับมา...
เวลาอยู่กับเขา...
ทุกครั้งที่พูดถึงความสุขของคนเป็นหลานในขณะที่สองมือยังว่าง คุณย่ามักจะพยายามพูดช้า
ๆ ด้วยภาษาที่เด็กชายแนนมักจะอ้อนวอนให้หล่อนพูดอยู่บ่อย ๆ แต่ก็นั่นแหละ... ม่าแนนมักจะหาโน่นนี่ทำอยู่เสมอ
จนเด็กชายไม่แน่ใจว่า
อาม่าเป็นคนแอคทีฟหรือเพราะท่านกำลังหาจังหวะเม้าท์ด้วยเสียงในฟิล์มแบบเนียน ๆ กันแน่
“รินรู้ครับม่า
แต่น้องบอกรินว่าวันนี้น้องแค่อยากไปลองสนามสอบเป็นเพื่อนบ๊วยเผื่อเอาไว้เฉยๆ...
.
.
...ถ้าสุดท้าย
น้องจับฉลากไม่ได้โควต้าบ้านใกล้ที่โรงเรียนริน
น้องค่อยมาคิดอีกทีว่าจะเข้าโรงเรียนไหนดีน่ะครับ” เด็กชายอธิบายพลางนึกถึงบทสนทนาระหว่างตนกับเพื่อนรุ่นน้องเมื่อไม่กี่วันก่อน...
กว่าครึ่งค่อนวันที่สารินหยิบยกข้อดีสารพันของการเข้าเรียนต่อในโรงเรียนเดียวกันมาเป่าหูเพื่อนเล่นคนโปรด
รวมทั้งยังไซโคไม่ขาดปากว่า เจ้าเบอร์นาร์ดจะเปลี่ยนใจหันมารักตนมากกว่าหากแนนคิดจะเรียนต่อที่โรงเรียนกินนอนกับเพื่อนสนิทจริง
ๆ เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงเจ้าหมาน้อยจนแทบกินไม่ได้นอนไม่หลับ
กระนั้น... อีกคนกลับยืนกรานที่จะไปเข้าสอบโดยไม่คิดเปลี่ยนใจ แต่ก็ไม่ลืมจะตั้งเงื่อนไขเอาใจสารินว่า เอาไว้ถ้าตัวเองจับฉลากเข้าโรงเรียนเดียวกันกับเขาไม่ได้
เจ้าตัวจะไปถามป๊าอีกทีว่ามีตังค์พอจ่ายค่าแป๊ะเจี๊ยของโรงเรียนไหนมากกว่ากัน ซึ่งนั่นถือเป็นบทสรุประหว่างทั้งคู่ เพราะอย่างที่ใครต่อใครรู้โดยทั่วกัน...
หากไม่ได้โควต้า
ค่าใช้จ่ายแรกเข้าในโรงเรียนชื่อดังขนาดนี้คงไม่ปรานีกระเป๋าสตางค์ของคนเป็นพ่อแม่สักเท่าไร
“อั๊วไม่หยักให้อีไปเลียงไกลบั้ง
ลื้อคุยให้อียอมเลียงที่เดียวกับลื้อทีสิตั่วตี๋”
(ม่าไม่อยากให้อีไปเรียนไกลบ้าน
ตั่วตี๋คุยกับอีให้เรียนที่เดียวกับตั่วตี๋ทีสิ) ไม่ว่าเมื่อไรที่ใครพาดพิงถึงเรื่องว่าที่โรงเรียนใหม่ของหลานชาย
ผู้อาวุโสสูงสุดของบ้านเป็นต้องได้บ่นพึมพำพลางส่ายหัวด้วยความไม่พอใจไปเสียทุกที
“ครับ
เดี๋ยววันนี้พอน้องกลับมา ผมจะลองกล่อมน้องดูอีกที” สารินรับปากหนักแน่น... ลองว่าออกตัวขนาดนี้
ย่อมชี้ชัดว่า เขาเป็นอีกคนที่อยากให้แนนเข้าเรียนชั้นมัธยม ณ โรงเรียนเอกชนชื่อดังแถวบ้านไม่ผิดไปจากสมาชิกในครอบครัวคนอื่น
ๆ
แต่เหตุผลของเขาไม่เหมือนกับพวกผู้ใหญ่...
สารินไม่ได้หวังอยากให้เพื่อนเล่นคนโปรดมีอนาคตทางการเรียนที่สดใส
หรือได้เข้ากลุ่มสังคมที่จะเกื้อหนุนต่อยอดธุรกิจในอนาคตหากบุตรชายมารับช่วงกิจการแบบที่ป๊าแนนคาดหวัง
เขาไม่ได้เป็นห่วงมากมายเมื่อรู้ว่าสายเลือดอยากตามเพื่อนรักที่คบหากันมาตั้งแต่เด็ก
ๆ ไปเข้าโรงเรียนกินนอน ซึ่งเล่าลือเรื่องระเบียบวินัยอันเคร่งครัดและระบบโซตัสระหว่างเด็กนักเรียนรุนแรงเหมือนม้าและอาม่า
เด็กชายคิดแค่ว่า
อยากให้ทุก ๆ วันต่อไปจากนี้
เขาจะได้หัวเราะและทำเรื่องสนุก
ๆ กับแนนและเจ้าลูกหมาขากินไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด...
สารินหวังเพียงเท่านั้นจริง
ๆ
“จริงๆน้องก็น่าจะอยากเรียนที่นี่นะครับ
เห็นน้องบอกตลอดเลยว่าน้องอยากอยู่กับม่า”
เมื่อเห็นม่าแนนทำคิ้วขมวดและก้มหน้าก้มตาตัดเล็มพุ่มต้นโมกจนเริ่มจะแหว่ง
เด็กชายจึงรีบพูดเอาใจอีกฝ่ายให้คลายกังวล แต่มีหรือที่คนอาบน้ำร้อนมาก่อนจะรู้ไม่ทัน
“หึ หึ หึ
ต๊าคะหอเทีย อั๊วโอ่ยจาย... จิง ๆ อีหยักอยู่กะอาเบอหนักขงอีตั่งหัก”
(ลื้ออย่ามาทำเป็นพูดเอาใจม่าเลย
จริง ๆ อีอยากอยู่กับเบอร์นาร์ดต่างหาก) ถึงจะเพิ่งพูดจาดักคออีกฝ่ายออกไปก็ตาม
แต่เสียงหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจของหญิงชรากลับดังคลอไม่ขาด... เป็นเพราะสัมมาคารวะ รู้จักกาละเทศะ อ่อนน้อมถ่อมตน
แถมยังรู้จักเอาอกเอาใจผู้หลักผู้ใหญ่ผิดกับหลานชายตัวเองนี่ล่ะมั้ง ที่ทำให้หญิงชรานิยมชมชอบเด็กชายที่ดูฉลาดเฉลียวคนนี้เป็นพิเศษ
“แล้วเบอร์นาร์ดไปไหนแล้วล่ะครับม่า?”
สารินเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่เข้าบ้านมายังไม่เห็นเจ้าตูบที่มักจะโถมตัวเข้าใส่เขาไปเสียทุกครั้งที่เจอหน้า
“อุ๊ก... อุกเก๊ายิกเลย น่งแน่ะ... อุ๊กอยู่หลังบั้งนั่งแหละ
ลื้อไปเล่งกะอีสิ”
(นอน...
มันนอนทั้งวันเลย โน่นแน่ะ... นอนอยู่หลังบ้านนั่นแหละ ไปเล่นกับมันสิ) คุณย่าของแนนชี้นิ้วบอกใบ้พิกัดของเจ้าตูบตัวยักษ์เพื่อให้เด็กชายตามไปโดยง่าย
“ขอบคุณครับม่าแนน”
หลังจากลัดเลาะตามทางเดินโรยกรวดริมกำแพงไปตามที่หญิงชราแนะนำ
สารินก็เดินทะลุมายังลานซักล้างหลังบ้านที่กว้างพอสมควร
สิ่งเดียวที่ดูผิดปกติในกรอบสายตาของเด็กชายหาใช่ชั้นวางข้าวของริมผนังที่สูงจรดเพดาน
ทว่ากลับเป็นอาการผิดปกติของลูกหมาพันธ์เซนต์เบอร์นาร์ดตัวใหญ่ในขณะนี้ต่างหาก
เจ้าตูบวัยไม่ถึงขวบดีเดินหางลู่หูตกหมุนไปหมุนมาจนทั่วพื้นที่ว่างคล้ายจะหาที่นอน
ทว่าจนแล้วจนรอด มันกลับไม่ยอมหย่อนก้นลงหลักปักฐานเลยสักครั้ง พอเด็กชายลองส่งเสียงเรียกทั้งชื่อฝรั่งและชื่อที่ตนแอบตั้งให้
มันกลับแค่เงยหน้าขึ้นมอง... แต่ไม่แสดงปฏิกิริยายินดียินร้ายใด ๆ อย่างที่เคยทำ
ไม่มีแม้กระทั่งอาการตะกละตะกรามจนน้ำลายยืดเลยสักนิด
สารินพยายามเดินตามไปลูบเนื้อตัวมัน
โดยเฉพาะเหนียงใต้คางที่มันโปรดปรานให้เขาเกาเป็นพิเศษเพื่อหวังให้เจ้าเบอร์นาร์ดได้นั่งพักลงสักวินาที
กระนั้น... มันกลับยิ่งอยู่ไม่สุขไปกันใหญ่
จนเมื่อสังเกตพื้นกระเบื้องรอบ ๆ ตัวดูดี
ๆ เด็กชายก็เพิ่งตระหนักว่า รอยน้ำเป็นหย่อม ๆ ที่เจ้าลูกหมาเดินย่ำอยู่นั้น
น่าจะเป็นของเหลวที่ตัวมันขย้อนออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าจนพื้นหลังบ้านเลอะเทอะอย่างทั่วถึง
ความรู้สึกไม่สบายใจสั่งการให้เด็กชายวิ่งกลับไปหาอาม่าเพื่อขอความช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด
“ม่าครับ ม่า!!” สารินส่งเสียงนำไปก่อนตัวจนหญิงชราอดตกใจไม่ได้
“อู่แม้สื่อ?! อู่แม้สื่อ?! ลื้อเป็งอะลายอาตั่วตี๋?!!”
(มีเรื่องอะไร?
ลื้อเป็นอะไรตั่วตี๋?) หล่อนถึงกับวางกรรไกรตัดกิ่งในมือลง เพื่อซักไซ้อีกฝ่ายด้วยเสียงที่ตื่นพอกัน
“ม่าครับ
ไม่รู้เบอร์นาร์ดเป็นอะไรครับ มันอ้วกเต็มพื้นไปหมดเลยครับม่า!” ใบหน้าซีดเผือดของเด็กชายทำเอาอีกฝ่ายเดือดเนื้อร้อนใจตามไปอีกคน
“อาเม่ย อาเม่ย!!” ม่าแนนตะโกนเรียกเด็กในบ้าน
ซึ่งฝ่ายนั้นก็วิ่งกระหืดกระหอบออกมาทันทีโดยไม่ยืดยาด
“มีอะไรคะม่า?
/ ไปดูอาเบอหนักกับอั๊ว!” ขาดคำ เด็กชายก็ประคองหญิงชราให้เดินไปยังหลังบ้านอย่างระมัดระวังโดยมีเม่ยประกบท้ายไม่ห่าง
“อาเม่ย
คื้อเขี่ยหนึงไล้... โจ่ยโจ่ยนา ข่าย
เอาข่ายมาให้อั๊ว เอามาเยอะๆนะเม่ย!...
(อาเม่ย ไปเอาไข่มา...
เอามาเยอะๆนะ ไข่ เอาไข่มาให้อั๊ว
เอามาเยอะๆนะเม่ย!...
.
...เลี้ยวเลียกอาชาวนะ
เขี่ยเชียขื่อ ผ่อเบอหนักคื้อหมึ่งซิงแซ
บกอีให้เอาลกอก เลี้ยวมาช่วยอุ้มอาเบอหนักไปหาอาซิงแซ!”
(...แล้วเรียกอาเชาว์
บอกอีให้เอารถออก แล้วมาช่วยอุ้มเบอร์นาร์ดไปหาหมอ!)
ม่าแนนสั่งการรัวเร็วโดยไม่เว้นช่องไฟเป็นภาษาจีนและไทยปนกันมั่วไปหมดเพราะอดตกใจกับอาการน่าเป็นห่วงของลูกหมาไม่ได้...
แม้เบอร์นาร์ดจะเป็นสุนัขตัวแรกที่หล่อนเลี้ยงดู ทว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ใช่ว่าหญิงชราผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมานักต่อนักจะไม่เคยเห็นสัตว์ร่วมโลกทรมานหลังได้รับสารพิษผ่านอาหารที่กินเข้าไปเสียหน่อย
ส่วนเม่ยก็วิ่งปร๋อราวกับหายตัวไปโดยไม่ต้องให้เจ้านายออกคำสั่งอีกรอบเพราะรู้ดีว่า
ทุกวินาทีมีค่าต่อการยื้อชีวิตของเจ้าตูบเพื่อนรักสี่ขาของเด็กชายผู้เป็นศูนย์รวมจิตใจของบ้าน
จริง ๆ แล้วเหตุการณ์น่าตกใจที่กำลังเกิดขึ้น
คือ สิ่งที่ผู้ใหญ่ทั้งบ้านเฝ้าระวังมาโดยตลอด เนื่องจากตระหนักดีว่า เจ้าของบ้านตรงข้ามเกลียดหมาเข้ากระดูกดำถึงขั้นเคยได้ยินชาวบ้านพูดกันว่า
อาแปะบ้านนั้นชอบใช้ให้คนงานพม่าเอาไก่ทอดผสมยาเบื่อมาโยนให้หมาจรจัดในซอยกินเป็นประจำ
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้บุตรชายของตนไม่ยอมซื้อหมาให้หลานเสียทีแม้อีกฝ่ายจะเซ้าซี้จนบางทีหล่อนก็ปวดหัว
แต่ดูเหมือนว่าหนนี้...
คนใจร้ายจะบริการป้อนความตายตรงถึงปากเจ้าเบอร์นาร์ดจอมตะกละเข้าให้แล้ว
“เช้าเจ้ง!! จ๋าซี่!!!”
(ไอ้ชาติหมา!! ไอ้เวร!! ไปตายซะ!!!) เมื่อสังเกตเห็นว่า
ลูกแก้วสีอำพันทั้งสองที่เคยเปล่งประกายแวววาวทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเจ้าของเรียกชื่อเริ่มจะขุ่นมัว
และดูหลุกหลิกเลื่อนลอย แถมร่างปุกปุยที่หล่อนประคองอยู่เริ่มจะปวกเปียกไร้เรี่ยวแรง
ผู้อาวุโสก็ส่งเสียงด่าทอคนใจดำอำมหิตอย่างเหลืออด
“ไข่มาแล้วค่ะม่า!” เม่ยวิ่งกลับเข้ามาทันก่อนที่อาม่าจะรัวเมดเล่ย์คำด่าใส่ข้างบ้านจนเรื่องราวบานปลายไปกันใหญ่ หญิงชราพยักเพยิดให้พี่เลี้ยงหลานชายเข้ามาช่วยประคองใบหน้าของลูกหมาเอาไว้
พร้อมกับกวักมือให้สารินเข้าไปช่วยถือไข่ในระยะใกล้มือหล่อน
ก่อนจะเริ่มตอกไข่ดิบกรอกเข้าปากเบอร์นาร์ดด้วยความคล่องแคล่ว
“แล้วอาชาวล่ะ?”
ม่าแนนถามถึงคนงานผู้ชายเพียงคนเดียวในบ้านโดยไม่หยุดมือ
“เชาว์ไปโลตัสกับป้าผ่องค่ะ”
ได้ยินดังนั้น หญิงชราก็หลุดปากสบถล้งเล้งด้วยภาษาบ้านเกิดอย่างหัวเสีย ก่อนจะหันไปสนใจกับอาการของเจ้าตูบแทน
“เจี้ย! เจี้ย! อาเบอหนัก ลื้อต้งเจี้ยโจ่ยๆ จะได้ฮ่อ!”
(กิน! กิน! เบอร์นาร์ด ลื้อต้องกินเยอะๆ จะได้หาย!!) ผู้อาวุโสครางเสียงเครืออย่างอ่อนอกอ่อนใจเพราะหมาเด็กเริ่มจะไม่ตอบสนองกับคำสั่งสุดท้ายของหล่อนเลยสักนิด...
ซ้ำร้าย สภาพของมันยังดูคล้ายกับวาระสุดท้ายอยู่ห่างออกไปแค่เอื้อมมือเท่านั้น
ไข่ดิบไหลออกจากขากรรไกรที่เริ่มจะแข็ง
ก่อนที่เจ้าหมาบุญน้อยจะดิ้นทุรนทุรายร้องครวญครางอยู่ครู่หนึ่ง
แล้วจึงนิ่งไปพร้อม
ๆ กับดวงตาที่ค่อย ๆ หม่นแสงและลมหายใจเฮือกสุดท้ายของมัน
ทุกคนในบ้านรู้สึกตัวช้าเกินไป...
ช้าเกินไปจริงๆ
ช้าเกินไปจริงๆ
“อาเม่ย
ลื้อคื้อเขี่ยเตี่ยงอ่วยไล้”
(อาเม่ย
ไปเอาโทรศัพท์มาให้อั๊วที) แม้จะไม่ถึงกับเสียน้ำตาด้วยผ่านความโศกเศร้ายิ่งกว่าหนนี้มานักต่อนัก
ทว่าความสูญเสียที่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของคนในบ้านเป็นวงกว้างอย่างครั้งนี้
ก็ทำให้อาม่าถึงกับต้องหลับตาพลางกัดฟันสั่งความกับเม่ยด้วยความยากลำบาก
ในเมื่อไม่อาจยื้อลมหายใจของเบอร์นาร์ดเอาไว้ได้
หล่อนคงทำได้แค่ป้องกันปัญหาใหญ่ที่จะตามมาให้ชะงัดและรัดกุมที่สุด
“อาตั่วตี๋...
ม่ายก่าอาโซ้ยตี๋ต่า เจี๊ยเบอหนักซี้เหลี่ยว!”
(อาตั่วตี๋ ห้ามบอกใครเรื่องเบอร์นาร์ดตายนะ
โดยเฉพาะอาโซ๊ยตี๋!)
“คระ.. คระ ครับม่า”
เป็นเพราะแรงบีบเบา
ๆ ตรงบ่า กับน้ำเสียงจริงจังของอาม่าที่ช่วยทำให้สารินรู้สึกตัวอีกครั้ง
เขาแทบจะหยุดหายใจระหว่างที่หลงกลับเข้าไปในโลกใบเดิมที่เคยสัมผัสเมื่อราว
ๆ สามอาทิตย์ก่อน... ตอนที่รู้ว่ามารดาขึ้นสวรรค์ไปอยู่กับอากงแล้วนั่นแหละ
ผิดอยู่แต่ว่า
รอบนี้... สารินเฝ้ามองการตายของลูกหมาด้วยสายตาของคนนอกที่ไม่ใคร่จะเจ็บปวดรวดร้าวสักเท่าไร
ด้วยเพราะความรู้สึกผิดที่ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง
ความอ่อนแอและอับจนหนทางจึงเข้าครอบงำความคิดและจิตใจของเขาเอาไว้เสียสิ้น...
เป็นเพราะเขาเด็กเกินไป
เขาจึงช่วยม่าแนนอุ้มเจ้าเบอร์นาร์ดไปขึ้นรถไม่ไหว
เป็นเพราะเขาขับรถไม่เป็น
เขาจึงพาเจ้าเบอร์นาร์ดกับทุกคนไปหาหมอที่คลินิกไม่ได้
และที่แย่ที่สุดเห็นจะเป็น การที่เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าเบอร์นาร์ด
เขาจึงทำได้แค่วิ่งไปตามม่าแนนมาช่วยมันเอาไว้ แล้วก็ยืนดูมันทุรนทุรายโดยที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย...
ทั้งที่น้องไว้ใจให้เขามาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าเบอร์นาร์ดแท้
ๆ...
เขานี่มันแย่จริง
ๆ !!!
ช่วงเวลาที่เหลือ
สารินได้แต่ยืนนิ่ง ๆ ปล่อยเสียงของม่าแนนระหว่างคุยโทรศัพท์กับบุตรชายให้ค่อย ๆ
ไหลผ่านโสตประสาทไปอย่างช้า ๆ หญิงชรากำชับกับคนปลายสายซ้ำ ๆ เหมือนกับที่บอกกับคนงานทุกคนในบ้านว่า
เมื่อตอนบ่าย ลูกหมาวิ่งเตลิดออกจากบ้านไปตอนที่คนงานเปิดประตูรั้วเพื่อถอยรถเข้าจอด ซึ่งจนถึงตอนนี้... เจ้าเบอร์นาร์ดก็ยังไม่กลับมา
แม้อาม่าจะระดมเด็ก ๆ ทุกคนในบ้านให้ช่วยกันออกตามหาไปทั่วทุกซอยแล้วก็เถอะ หลังจากวางสาย
ม่าแนนก็สั่งให้พี่เชาว์ คนขับรถพ่วงตำแหน่งคนงานผู้ชายเพียงคนเดียวของบ้านเอาร่างไร้วิญญาณของเจ้าตูบไปฝังตรงพื้นที่ว่างหลังโกดังใกล้
ๆ บ้าน
ความรู้สึกเจ็บปวดของสาริน
หวนกลับมาทำร้ายเขาเข้าอีกครั้งเมื่อต้องทนเห็นเพื่อนรุ่นน้องกลับมาจากสนามสอบในสภาพหมองหม่นระคนเศร้าซึมโดยที่ตนเองไม่อาจปลอบโยนหรือปัดเป่าความกระวนกระวายใจของอีกฝ่ายให้หมดไปได้
เย็นวันนั้น
แทนที่ทั้งสองจะได้เล่นสนุกกันเหมือนวันอื่น ๆ
เด็กชายแนนในชุดนักเรียนประถมครึ่งท่อนกลับเอาแต่นั่งชะเง้อคอมองหาเจ้าลูกหมาอยู่ตรงหน้าบ้านโดยไม่วางถาดอาหารที่เต็มไปด้วยของชอบของเจ้าตัวเขมือบเลยสักวินาทีจนมืดค่ำ...
.
.
.
.
.
และเจ้าตัวก็ยังคงทำแบบนั้นแม้จะผ่านไปหลายวันแล้วก็ตาม
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
“พี่เม่ยหวัดดีครับ...
อาม่าไม่อยู่เหรอครับ?” เพราะไม่เห็นผู้อาวุโสตามความเคยชิน เด็กชายผู้มาเยือนจึงตั้งคำถามพลางกระพุ่มมือไหว้พี่เลี้ยงของบุตรชายเจ้าบ้านอย่างสวยงามจนอีกฝ่ายต้องวางมือจากไม้ถูพื้นเพื่อรับไหว้เป็นพัลวัน
“ม่าออกไปซื้อของกับคุณ
ๆ ตั้งแต่สิบโมงแล้วค่ะ... ส่วนน้องแนนนอนอยู่บนห้องค่ะ คุณรินขึ้นไปได้เลยนะคะ
น้องแนนเธอบอกพี่ไว้แล้ว”
“ขอบคุณครับพี่เม่ย”
รับคำเสร็จ สารินก็เดินขึ้นบันไดไปยังห้องริมระเบียงชั้นสอง... ห้องที่เจ้าของมักจะพาเขาเข้าไปนอนอ่านการ์ตูน
หรือเล่นเกมขลุกอยู่ด้วยกันเป็นวัน ๆ อยู่บ่อย ๆ
“(ก็อก ก็อก
ก็อก) แนน... พี่เอง พี่เข้าไปได้ไหม?”
“ประตูไม่ได้ล็อค
พี่รินเข้ามาเลย!”
สิ้นเสียงตอบรับจากคนในห้อง เด็กชายก็เปิดบานกั้นแล้วสาวเท้าเข้าด้านในโดยพลัน แต่ภาพของเด็กชายอีกคนขณะกำลังสาละวนอยู่กับเป้สะพายหลังเหมือนฉากในหนังตอนตัวเอกคิดจะหนีออกจากบ้านที่ปรากฏอยู่ตรงหน้านี่สิ
มันมีความหมายว่าอย่างไร?!
“แนน...
แนนทำอะไร?!!”
อีกฝ่ายพยักเพยิดให้เขารีบปิดประตูก่อนจะกระซิบกระซาบแผนการของตัวเองให้เพื่อนใหม่ได้รับรู้
“แนนจะออกไปตามหาเบอร์นาร์ด
แนนเพิ่งรู้ว่าป๊าบอกพี่เชาว์ให้เลิกตามหาเบอร์นาร์ดตั้งแต่เมื่อสองวันก่อน
ไม่รู้ป่านนี้มันจะยิ่งหลงไปถึงไหน” คนพูดเทเศษเหรียญออกจากกระปุกออมสินแล้วกวาดเงินทั้งหมดใส่กระเป๋าใบเล็ก
ๆ ก่อนจะยัดมันลงกระเป๋าเป้อย่างลวก ๆ แล้วตบท้ายด้วยการรูดซิปปิดมันอย่างยักแย่ยักยัน
แค่กะจากความพองของกระเป๋า
กับสายตาเอาจริงเอาจังของน้อง สารินก็รู้ทันทีว่า... อีกฝ่ายคาดหวังกับความสำเร็จของภารกิจในครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง
ดีไม่ดีอาจบ้าบิ่นถึงขั้นไม่ยอมกลับบ้านกลับช่องหากไม่เจอลูกหมาสุดที่รักก็เป็นได้
“แล้วนี่จะไปยังไง?”
สารินตะล่อมถาม
“แนนจะขี่จักรยานไปตามหามันทุกๆซอยเลย
จะหาจนกว่าจะเจอ ถ้าไม่เจอ... แนนจะไม่กลับบ้าน” เด็กชายเจ้าของบ้านประกาศกร้าวอย่างแน่วแน่
นั่นไง!... ผิดไปจากที่เขาคาดเสียที่ไหนกัน?!...
ไม่ได้การ... จะปล่อยอีกฝ่ายไปดุ่ย
ๆ คนเดียวไม่ได้!
เขาต้องทำอะไรสักอย่าง!
“งั้นพี่ไปด้วย! ให้พี่ไปช่วยตามหาเบอร์นาร์ดด้วยคนนะ
สองหัวดีกว่าหัวเดียว... สี่ตาก็ต้องดีกว่าสองตาอยู่แล้ว” คนโตกว่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังพอกันจนเด็กชายอีกคนเริ่มชั่งใจ...
จากแรกเริ่มเดิมทีที่คิดว่าจะชวนอีกฝ่ายไปตามหาเบอร์นาร์ดด้วยกัน
จนเปลี่ยนใจเมื่อคิดได้ว่า คนเป็นพี่อาจจะฟ้องพี่เม่ยหรืออาม่า ไม่ก็ขัดขวางไม่ให้เขาขี่จักรยานออกถนนใหญ่
สุดท้าย... น้ำเสียงหนักแน่น และท่าทางสนับสนุนเต็มร้อยก็ทำให้แนนยอมถอยกลับไปยืนยัจุดเริ่มต้นของแผนการอีกครั้ง
“ก็ได้ครับ” พอได้ยินคำตอบรับของอีกฝ่าย
สารินจึงรีบมัดมือชกเพื่อนรุ่นน้องโดยไม่รอช้า
“แต่เดี๋ยวขอพี่โทรบอกม่าก่อน
ม่าพี่จะได้ไม่เป็นห่วง” ยังไม่ทันขาดคำดี คนโตกว่าก็ต่อสายโทรออกหาย่าของตนเพื่อให้ช่วยบอกข่าวแก่ผู้ใหญ่ของบ้านหลังนี้อีกทอดหนึ่ง
เนื่องจากอาม่ามักจะโทรหาม่าแนนอยู่บ่อย ๆ “ฮัลโหล... ม่าครับ เดี๋ยวรินไปขี่รถเล่นกับแนนแล้วจะกลับเย็น
ๆ นะครับ ถ้ามีอะไรม่าโทรหารินได้ตลอดนะครับ... ครับ รินจะขี่ระวัง ๆ แล้วจะดูน้องให้เองครับม่า
ครับ ครับ... หวัดดีครับม่า”
“พวกเรารีบไปกันเถอะ...
ถ้าป๊าม้าพาม่ากลับมาที่บ้านก่อนเดี๋ยวจะไม่ได้ไปไหนกันพอดี”
สารินรวบรัดตัดความแล้วคว้าเป้มาสะพายเอาไว้เองก่อนจะเดินนำน้องย่องออกจากห้องอย่างเงียบเชียบ
“แนน...
เย็นป่านนี้แล้ว พี่ว่าเรากลับบ้านกันก่อนเถอะนะ
ที่บ้านน่าจะเป็นห่วงแนนแย่แล้วล่ะ” คนเป็นพี่ชักชวนเพื่อนรุ่นน้องที่เหม่อมองยอดตึกค่อย
ๆ กลืนพระอาทิตย์ลงท้องอย่างช้า ๆ หลังจากที่ทั้งสองปักหลักนั่งพักขาตรงโป๊ะร้างริมแม่น้ำเจ้าพระยา
เมื่อการปั่นจักรยานออกเที่ยวตามหาเจ้าเบอร์นาร์ดทุกซอกซอยแถวบ้านตลอดห้าชั่วโมงที่ผ่านมาไม่ประสบผล
“...แต่เบอร์นาร์ด...
/ มันหายออกจากบ้านไปตั้งหลายวันขนาดนี้
อาจจะมีคนใจดีเก็บเบอร์นาร์ดไปเลี้ยงแล้วก็ได้นะ” สารินพยายามปลอบใจด้วยเหตุผลที่น่าจะทำให้อีกฝ่ายตัดใจจากเจ้าลูกหมาจอมตะกละได้ง่ายที่สุด
“แต่มันกินจุเสียขนาดนั้น ถ้าไม่ใช่แนน...
ใครจะอยากเลี้ยงมันอีกล่ะพี่ริน?” คนเป็นน้องถามเสียงเครือ พลางใช้ตาแดง ๆ จ้องหน้าของสารินอย่างน่าสงสาร
แม้ที่ผ่านมา
มารดาและอาม่าจะไม่ให้เขาพูดโกหก
กระนั้น...
หลังจากงานศพจบลง และเขาเริ่มจะทำใจยอมรับการ ‘หายไป’ ของม้าได้
ป๊าก็เล่าให้ฟังว่า... ถึงการโกหกจะไม่ดี แต่บางทีเราก็ต้องโกหกเพื่อรักษาความสุขของคนสำคัญเอาไว้...
บอกตรง ๆ ตอนนั้น
เขาไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของสิ่งที่ป๊าพร่ำบอกสักเท่าไร
แต่ตอนนี้เด็กชายกลับรู้ซึ้งไปถึงกึ๋นเลยเชียวแหละ
“มีสิ
ขนาดพี่ยังอยากเลี้ยงเบอร์นาร์ดเลยนะ เชื่อพี่สิ... มีคนเอามันไปเลี้ยงแล้วแน่ๆ
มันออกจะน่ารักแถมยังกอดอุ่นขนาดนั้นนี่เนอะ” คนพูดแสร้งกลบเกลื่อนด้วยน้ำเสียงและสีหน้าร่าเริงพลางสั่งให้ตัวเองเชื่อในประโยคที่ตนเพิ่งหลุดปากออกไปอย่างแข็งขัน
“จริงนะพี่ริน?
มีคนเอามันไปเลี้ยงต่อจริง ๆ ใช่ไหม?” ถึงจะเริ่มเบาใจ แต่เด็กชายแนนกลับไม่อาจกลั้นสะอื้นเอาไว้ได้...
นี่เขากำลังจะเสียเพื่อนสี่ขาสุดที่รักไปให้คนอื่นแล้วอย่างนั้นน่ะหรือ?!
“จริงสิ”
ดีที่สารินกล่อมตัวเองจนเชื่อข้ออ้างดังกล่าวไปเรียบร้อยแล้ว ไม่อย่างนั้นคำตอบของเขาเมื่อกี๊คงจะฟังไม่หนักแน่นสักเท่าไร
ถึงอย่างนั้น... คนเป็นน้องกลับยังคงไม่วางใจ
แนนคว้าแขนของเพื่อนใหม่ขึ้นมาเขย่าราวกับจะให้ความจริงกระฉอกออกมาอย่างไรอย่างนั้น
“พี่ไม่ได้โกหกแนนจริง
ๆ นะ... ไม่ใช่มันโดนรถชนหรือหมาตัวอื่นกัดตายไปแล้วใช่ไหมครับ?” สายตาเว้าวอน กอปรกับท่าทางหมดหวังที่มาพร้อมกับประโยคดังกล่าวเล่นเอาคนถูกถามถึงกับสะท้อนใจ...
แต่ครั้นจะให้กลับลำเล่าความจริง สารินก็ทำไม่ลง
“เชื่อเถอะ...
พี่พูดจริง พี่ไม่โกหกหรอก”
สัมผัสอบอุ่นโอบอุ้มฝ่ามือเล็ก
ๆ ของตนเอาไว้แน่นหลังคำพูดรับรองของพี่ริน ทำให้คนเกิดทีหลังปักใจเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัย เด็กชายแนนหันกลับไปมองท้องฟ้าช่วงใกล้ค่ำแล้วป้องปากตะโกนฝากข้อความไปกับสายลมถึงเจ้าลูกหมาจอมตะกละจนสุดเสียง
“ฮืออออออ เบอร์นาร์ด!!! แกอย่ากินเยอะเกินไปล่ะ
เดี๋ยวเจ้าของใหม่จะเอาแกไปปล่อยเพราะเลี้ยงแกไม่ไหว!!” พอสั่งเสียเสร็จ เด็กชายตัวผอมเป็นไม้ขีดก็ร้องไห้โฮออกมาด้วยความเสียใจที่จะไม่มีโอกาสได้เจอหน้าเจ้าเบอร์นาร์ดสุดที่รักอีกต่อไปแล้ว
“ไม่เอา...
อย่าร้องไห้สิ!”
สารินขอร้องพลางคว้าตัวน้องมากอดเอาไว้ไม่ต่างจากวันนั้นที่อีกฝ่ายปลอบใจเขาเรื่องหม่าม้า
ก่อนจะใช้คำพูดเดียวกันมาห้ามน้ำตาของเพื่อนใหม่
“ไหนป๊าเคยบอกว่าไม่ให้ร้องไห้ไม่ใช่เหรอ? ยิ้มสิ
เดี๋ยวเบอร์นาร์ดมันจะเป็นห่วงเอานะ”
คนฟังกดหน้าลงกับซอกคอของรุ่นพี่เสียแน่น
แขนเล็ก ๆ สอดเข้ากอดเอวของคนเกิดก่อนแล้วกำเสื้อยืดของเขาเอาไว้จนคอเสื้อเริ่มรั้งติดลิ้นปี่
ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาพูดกับเจ้าเบอร์นาร์ดด้วยน้ำเสียงอู้อี้จนสารินต้องกระชับอ้อมกอดพลางเอ่ยปลอบเสียยกใหญ่
“ฮืออออออ....
เบอร์นาร์ด ฉันไม่ได้เสียใจ ฉันดีใจที่แกได้เจ้าของใหม่... เพราะฉะนั้น
แกต้องไม่ร้องไห้นะ ฮือออออออ / พี่อยู่นี่แล้ว ไม่เป็นไรนะ... ไม่เป็นไร”
“ขอบใจมากนะรินที่ช่วยดูแลน้องให้ป๊า”
เจ้าบ้านทั้งสองเดินออกมาส่งเด็กชายหลังจากทั้งคู่กลับมาถึงบ้านโดยปลอดภัย ฝ่ายคนน้องก็เพลียจนผล็อยหลับไปหลังจากได้กินอาหารเย็นไปเมื่อสักชั่วโมงที่แล้ว
“ไม่เป็นไรครับ...
ผมดีใจที่ผมทำอะไรเพื่อน้องได้บ้าง” สารินตอบผู้ใหญ่ทั้งสองจากใจจริง ฝ่ายผู้เป็นมารดาก็รีบตัดบทด้วยไม่อยากให้บ้านโน้นเป็นกังวลที่ปัญหาของลูกชายหล่อนประวิงเวลาเด็กชายตรงหน้าเอาไว้จนดึกดื่น
“กลับบ้านเถอะลูก
เดี๋ยวม้าให้พี่เม่ยเดินไปส่ง” หล่อนหันไปพยักหน้าให้พี่เลี้ยงลูกชายเพื่อรับช่วงต่อทันที
สารินจึงอำลาทั้งสองโดยไม่อิดออด
“ขอบคุณครับม้า
ผมกลับก่อนนะครับม้า... ป๊า สวัสดีครับ”
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
“กินอะไรมาหรือยัง?”
หญิงชราในชุดนอนถามเด็กชายพลางกดรีโมทปิดเสียงทีวีทันทีที่เห็นอีกฝ่ายเดินกลับเข้ามาในบ้าน
“ผมกินข้าวที่บ้านน้องมาแล้วครับ
แล้วม่ากินข้าวหรือยังครับ?”
“ม่ากินกับอาจูแล้ว
นั่งก่อนสิ กินน้ำกินท่าก่อนจะได้หายเหนื่อย” ไม่ต้องรอให้หล่อนพูดซ้ำ สารินก็ทำตามคำบอกของย่าอย่างว่าง่าย
“ป๊าล่ะครับม่า?”
ถามเสร็จก็ยกแก้วขึ้นดื่มน้ำอีกรอบพลางเงี่ยหูรอฟังคำตอบอย่างมีความหวัง ทว่าบิดาของเขาคงจะไม่ชอบเรื่องเซอร์ไพรส์อย่างที่เขาเผลอเข้าใจไปคนเดียว
“เห็นเขาโทรมาบอกว่าจะกลับดึก
งานมีปัญหานิดหน่อย... แล้วหลานอาซิ้วงิ้งเป็นยังไงมั่งล่ะ?” อาม่าที่มีสีหน้าวิตกไม่คลายเดินมานั่งร่วมโต๊ะกินข้าวไม่ห่างจากเขาสักเท่าไร
“ร้องไห้จนหลับไปแล้วครับม่า”
คนพูดถอนใจ... คนฟังก็ถอนใจ
“น่าสงสารอีนะ
อีคงจะรักหมามากจริง ๆ ”
“ครับ
น่าสงสารมาก รินยังเสียใจไม่หายเลยที่วันนั้นรินช่วยอะไรไม่ได้สักอย่าง...
ถ้ารินรู้ว่าเบอร์นาร์ดเป็นอะไรแล้วรินช่วยมันได้ทัน มันก็คงไม่ตาย
น้องก็คงไม่ต้องร้องไห้แบบนี้”
แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งสองพูดคุยกันด้วยหัวข้อดังกล่าว
ทว่าความรู้สึกผิดที่กัดกินใจสารินอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
กลับมีอาณุภาพรุนแรงเสียจนเด็กชายเฝ้าตอกย้ำความผิดของตัวเองไม่เลิกรา
“รินเอ๊ย...
อย่าไปคิดถึงเรื่องที่มันผ่านไปแล้วอีกเลยลูก...
.
.
...แค่รินรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับอาซิ้วงิ้งได้...
...แค่วันนี้รินอยู่เป็นเพื่อนน้อง
คอยดึงน้องเอาไว้ไม่ให้เตลิดไปถึงไหน ๆ รินก็ช่วยเหลือบ้านโน้นได้เยอะแล้วล่ะ” อาม่าลุกขึ้นแล้วเดินมากอดเขาเอาไว้พลางลูบหัวของเด็กชายเบา
ๆ
“แต่เบอร์นาร์ด.../ ริน... ฟังม่านะ ปัญหาบางอย่าง ถึงเราจะแก้ไขมันไม่ได้ในวันนี้ แต่หากมันเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้งในวันข้างหน้า
เราจะตั้งตัวรับมือกับมันได้ดีกว่าครั้งแรกเสมอ...
.
...เมื่อวันซืนม่าแนนบอกม่าว่า...
เดี๋ยวพอวันเกิดอาตี๋เล็ก อาเคี้ยงอีจะหาหมาตัวใหม่มาให้น้องเลี้ยง...
...ถึงตอนนั้น
รินก็ช่วยเป็นหูเป็นตาหมั่นไปดูแลมันกับน้องก็ได้นิ”
“ครับม่า”
สิ่งที่เพิ่งได้ยินทำเอาเด็กชายอดดีใจแทนน้องไม่ได้ แต่ก่อนที่เขาจะได้ซักไซ้อีกฝ่ายถึงรายละเอียดของแผนดังกล่าว
อาม่าก็พูดขัดขึ้นเสียก่อน
“ขึ้นเหล่าเต้งไปจั่งเอ๊กแล้วอุ๊กไป!
ดูซิเนี่ย... สกปรกไปหมดทั้งตัวจนหัวหูเหม็นหึ่งไปหมดแล้ว”
(ขึ้นข้างบนไปอาบน้ำแล้วนอนไป! ดูซิเนี่ย...
สกปรกไปหมดทั้งตัวจนหัวหูเหม็นหึ่งไปหมดแล้ว)
“ครับม่า”
เด็กชายรับคำโดยดี... ลองว่าถ้าย่าของสารินพูดจีนขึ้นมาเมื่อไร
แปลว่าไม่ควรต่อรองให้เหนื่อยเปล่า กระนั้น... เขาก็อดแสดงความเป็นห่วงอีกฝ่ายไม่ได้
ด้วยรู้ดีว่า ตั้งแต่หม่าม้าตาย ม่าก็มักจะนั่งดูทีวีดึก ๆ เพื่อรอเจอหน้าป๊าก่อนนอนทุกวัน
“ม่าก็อย่าดูละครจนดึกล่ะ”
“ไม่ต้องห่วงม่าหรอก
รินนั่นแหละ... รีบไปนอนเถอะ!”
คืนนั้น...
หลังจากอาบน้ำเสร็จ แทนที่จะทิ้งตัวลงนอนทันทีตามที่รับปากกับอาม่าเอาไว้ เด็กชายสารินกลับปักหลักหลังจอคอมพิวเตอร์เพื่อไล่สายตาอ่านเนื้อหาของเพจต่าง
ๆ ในอินเตอร์เน็ตจนวุ่นวายอยู่ร่วมสองชั่วโมง เมื่อสิ้นเสียงเคาะนิ้วกระทบแป้นพิมพ์ช้า ๆ
ตามประสาคนยังพิมพ์ไม่คล่องมือ ในที่สุดเขาก็รู้ชัดแล้วว่า ตัวเองอยากจะเป็นอะไรในอนาคต...
ต่อให้น้องจะเลี้ยงหมาเป็นร้อย
ๆ ตัว
หลังจากนี้เขาจะไม่พลาดอีก!
จังหวะที่ตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด...
หางตาดันเหลือบไปเห็นบางอย่างตรงมุมห้องที่ดูจะผิดปกติไปมากโข
“เฮ่ย! เบอร์นาร์ด!!! เบอร์นาร์ดมาได้ไงเนี่ย?!!” สารินตะโกนใส่หน้าลูกหมาจอมตะกละที่นอนมองหน้าเขาอย่างท้าทายอยู่บนพื้นห้อง
“เบอร์นาร์ด!!! ไอ้เบอร์นาร์ด...
แกตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ?” วินาทีนี้... เด็กชายถึงกับไปไม่เป็น เขาจึงทำได้แค่ขยี้ตาแรง ๆ สลับกับเรียกชื่อไอ้ก้อนขนตัวดังกล่าวซ้ำไปซ้ำมาราวกับคนเสียสติ
“เบอร์นาร์ด!!” จากที่กลัวจนขนลุก กลายเป็นต้องยืนเกาหัวแกรก
ๆ เพราะกระทั่งเรียกจนแสบคอ เจ้าตูบก็ยังไม่หือไม่อือเลยสักนิด แถมยังนอนกระดิกหางอย่างมีความสุขอยู่ที่เดิมอย่างไม่ทุกข์ร้อน
สุดท้ายเด็กชายก็นึกออกว่าควรจัดการกับเจ้าสี่ขานี่อย่างไร
“น้าหนวด!”
ในที่สุดสิ่งมีชีวิตแปลกปลอมก็ยอมเปลี่ยนอิริยาบทด้วยการยกหัวขึ้นเพื่อเงยหน้าขึ้นมองเขาดี
ๆ ราวกับจะบอกกลาย ๆ ว่าข้าเข้าใจในสิ่งที่เจ้าพูดนะ.... และชื่อนั่น
มันใช้เรียกข้าได้ ซึ่งปฏิกิริยาดังกล่าว ทำให้เด็กชายยิ่งตื่นตูมไปกันใหญ่
“น้าหนวด! แกตายแล้วนี่น้าหนวด!!” พอสิ้นเสียงตะโกนอย่างตกอกตกใจในคราวนี้
เจ้าลูกหมาถึงกับเปลี่ยนท่าทีลุกขึ้นมานั่งกระดิกหางให้
แล้วจึงค่อย ๆ ออกเดินต้วมเตี้ยมเข้าหาพลางส่งยิ้มหวานมาประจบ ฝ่ายรินที่ทั้งตกใจและหวาดกลัวถึงกับเดินถอยหลังอย่างช้า
ๆ โดยไม่ละสายตาไปจากสิ่งที่เคยเป็นหมาของเพื่อนรุ่นน้องเลยสักอึดใจ
และนั่นคือภาพสุดท้ายที่เด็กชายได้เห็นก่อนที่เขาจะสะดุดขอบเตียงจนหงายตึงแล้วจอดับโลกมืดไปโดยไม่ได้สนใจจะปิดคอมพิวเตอร์ให้เรียบร้อยทั้งที่ไม่ใช่นิสัยเลยแท้
ๆ
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
“พี่เม่ย...
แนนล่ะครับ?” เด็กชายเอ่ยถามพี่เลี้ยงของเพื่อนใหม่เมื่อสังเกตว่าภายในบ้านเงียบเชียบผิดปกติทั้งที่ขณะนี้ก็ใกล้สิบเอ็ดโมงเข้าไปทุกที
“น้องแนนไม่อยู่ค่ะ
คุณท่านพาน้องแนนไปโรงเรียนใหม่ค่ะ”
“แล้วอาม่าล่ะครับ?”
“ม่าไปโรงเจค่ะ
เย็น ๆ โน่นแหละกว่าจะกลับ”
“งั้นผมไปก่อนนะครับ
เดี๋ยวเย็น ๆ จะแวะมาใหม่” ผู้มาเยือนบอกลาโดยง่ายเมื่อทุก ๆ
คำถามได้รับคำอธิบาย... พลางทดเอาไว้ในใจถึงกิจกรรมที่จะชวนหลานชาย
และอาม่าทำร่วมกันเย็นวันนี้... ยังเหลือเวลาปิดเทอมอีกตั้งถมเถไป ต่อให้ว่ากันใหม่วันพรุ่งนี้ก็ยังทัน!
อนิจจา...
หากสารินจะเอะใจกับประโยคของเม่ยเพียงสักนิด
เขาจะตระหนักได้ว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นเสียแล้ว
เมื่อวาน
ถือเป็นโอกาสสุดท้ายที่เขาจะได้เจอหน้าและใช้เวลากับเด็กชายแนนในฐานะเพื่อนเล่นคนโปรด
และหลังจากวันนี้เป็นต้นไป
เขาจะต้องรออีกเก้าปี กว่าที่จะได้กลับเข้ามาในบ้านนี้ในฐานะคนรู้ใจของหลานชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวของบ้าน
“ตอนนี้ฉันไม่ได้ฝันอยู่?”
สารินหลุดปากทันทีที่เดินพ้นประตูรั้วอัลลอยด์หน้าบ้านตึกหลังใหญ่ ฝ่ายหมาตัวกึ่งขุ่นกึ่งใสที่นั่งรออยู่ก็เห่าตอบรับอย่างกระฉับกระเฉง
“โฮ่ง!”
“สรุปว่าแกจะคอยตามฉันไปตลอดเลยใช่ไหม?”
เด็กชายถามคำถามนี้มาเป็นครั้งที่ร้อยหลังจากที่ตื่นมาก็พบว่า ลูกหมาที่ตนเห็นเมื่อคืนได้ถือวิสาสะย้ายตัวเองขึ้นไปนอนยิ้มหวานอยู่ข้าง
ๆ กัน พอทำใจกล้าลองจับตัวของมันดู... สารินก็รู้ว่า
ตนโดนผีหมาหลอกเอาเสียแล้ว แต่ที่หนักยิ่งไปกว่านั้น
คือ ต่อให้สวดมนต์กี่จบหรือพยายามขับไล่อย่างไร เจ้าตูบก็ไม่ยอมหายตัวไปเสียที
แถมยังติดตามเขาไปทุกที่ ๆ เสียด้วย
“โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง!”
“รู้แล้วล่ะน่า...
ไม่ต้องเห่าย้ำหรอก” สารินถอนใจอย่างเหนื่อยหน่ายหลังจากรับสภาพได้
แต่พอนึกทบทวนดู เขาก็สังเกตถึงความผิดปกติของเจ้าหมาตัวนี้ได้เป็นครั้งแรก “แล้วทำไมเมื่อกี๊ถึงไม่ตามเข้าไปในบ้านแนนด้วยกันล่ะ?!!” คราวนี้ เจ้าลูกหมากลับนั่งนิ่งคล้ายกับจะปล่อยให้เขาคิดหาคำตอบเอาเอง
“ไม่อยากเจอแนนเหรอ?
แนนไม่อยู่หรอก... ออกไปข้างนอก” สารินหยุดคิดนิดหนึ่งเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้
“เออ... จริงสินะ แกเป็นผีนี่เนอะ
ตี่จู่เอี๊ยะคงไม่ให้เข้าบ้านแล้วล่ะเนอะถึงจะเคยเป็นบ้านเดิมของแกมาก่อนก็เถอะ”
“โฮ่ง!!!” เด็กชายเผลอหัวเราะชอบใจที่เจ้าเบอร์นาร์ดหรือน้าหนวดของเขารับคำ...
แสดงว่าข้อสันนิษฐานของเขาเกี่ยวกับตัวมันเมื่อสักครู่ก็น่าจะไม่ผิด ทว่าสารินกลับลืมคิดไปว่า... ท่าทางยิ้มคนเดียว
หัวเราะคนเดียว รวมทั้งการพูดคนเดียวนั้น มันดูแปลกในสายตาของคนทั่วไปมากแค่ไหน...
นั่นอย่างไร...
คุณป้าที่เพิ่งเดินสวนไปเมื่อครู่มองหน้าเขาราวกับเป็นคนบ้าก็ไม่ปาน
“เฮ่อออออ
ฉันอยากจะบ้า!!”
“โฮ่ง
โฮ่ง!”
หากเด็กชายขยี้หัวตัวเองซ้ำ
ๆ เป็นรอบที่ร้อย
เจ้าวิญญาณหมาเองก็เห่าย้ำสถานะของเงาที่สองเป็นครั้งที่ร้อยกว่าไม่ต่างกัน
Nancy Sakol, Back Space
แ น น ซี่... ง า น แ ต่
ง ห ญิ ง ไ ม่ มี เ ล่ น ๆ
(จุด ๆ นี้
น้องอยากเป็นเทย์เลอร์ สวิฟท์ น้องเลยลงทุนออกค่าลูกไม้ให้เจ็กไปตัดชุด
กับทำวิกผมสีจินเจอร์ทรงฟาร่าปาดเป๋แบบเก๋ไก๋จัดเต็ม –
รูปนี้น้องถูกแอบถ่ายระหว่างกำลังเติมแต่งสีแดงลงบนภาพเหมือนของพี่ริน
ภาพที่น้องตั้งใจวาดเป็นของขวัญเซอร์ไพรส์วันโกนที่ร้อยสามสิบเอ็ดหลังจากคบหากัน
พอได้ยินเสียงชัตเตอร์
น้องก็เผลอจือปากเบา ๆ ให้ใบหน้าดูมีมิติ)
Muse: Taylor Swift,
Blank Space
«♥»------------------------------------ TBC ------------------------------------ «♥»
No comments:
Post a Comment