Sunday, December 13, 2015

«♥» บน บานฯ สาน รัก «♥» The 00th Bonding|| 13.12.2015




เฮ่!! ตกใจกันล่ะซี่ที่เห็นเรามาลงนิยายเอาวันนี้ วะฮ่า ฮ่า
คือ เราไม่ชินมาก ๆ เลยที่เปิดเน็ตมาแล้วหากระทู้นิยายตัวเองไม่เจอ
เราเลยรีบปั่นตอนแรกออกมาแปะก่อนเวลาลงนิยายจริงล่ะตัวเธ้อออออ!!
ถ้าพรุ่งนี้สามารถ เราจะเอาตอนหนึ่งสั้นๆมาให้อ่านกันนะเคอะ
(แต่รับรองว่าไม่เกินวันอังคาร... บอกเลย โฮะ โฮะ)


ปล. เราเปลี่ยนลำดับการเล่าเรื่องนิดหน่อยค่ะ...
หวยเลยมาออกที่คู่นี้เป็นคู่ประเดิมภาค
(ขอให้ฤทธิ์ของสกลทำให้แฟน ๆ รัก แฟน ๆ หลงเรื่องนี้แบบสุด ๆ ด้วยเถิด สาธุ!)
ก่อนจะอ่าน ขอให้ทุกท่านย้อนเวลากลับไปสักแปดเก้าปีนะคะ
เพราะนี่คืออดีตใสๆของหนุ่มปากดีสุดที่รักของทุกๆคนค่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า
รักชอบประการใด... ฝากข้อความแทนใจเอาไว้ได้เลยค่ะ ^^




«»------------------------------------------------------------------------------------«»



 




The 00th Bonding
 หึ! พี่ฌานน่ะหรือรอนาน?...
แล้วเก้าปีกว่า ๆ มันสั้นนักหรือยังไง?!




แม้ขั้นบันไดของตึกแถวอายุกว่าสามสิบปีหลังนี้จะได้รับการปรับเปลี่ยนจากไม้เป็นโครงเหล็ก หล่อปูน ปูกระเบื้องเพื่อเพิ่มความทนทานและสวยงามตามความนิยมของยุคสมัย  กระนั้น... มันกลับไม่อาจลดทอนเสียงกระหน่ำฝีเท้าย่ำลงบันไดขั้นแล้วขั้นเล่าจากเบาเป็นหนักหน่วงได้  เสียงตึงตังที่บอกใบ้ให้รู้ว่า ต้นเสียงซอยเท้าวิ่งม้วนเดียวสามชั้นจบภายในช่วงเวลาไม่ครบนาที  ทำให้หญิงวัยใกล้หกสิบละมือจากมีดทำครัวและหัวกะหล่ำในมือเพื่อนิ่งฟังด้วยความเป็นห่วง  

เจ้าของเรือนผมสีดอกเลาลอบยิ้มพลางหันไปสั่งเด็กในบ้านให้มารับช่วงล้างผักต่อเมื่อเสียงหอบหายใจถี่ ๆ ดังสมทบกับเสียงผ่อนฝีเท้าตรงชานพักสุดท้ายคล้ายจะเพิ่งตระหนักได้ว่าตนเองสร้างเสียงดังรบกวนคนอื่น ๆ ภายในบ้านเข้าให้แล้ว  หล่อนซับหยดน้ำที่เกาะพราวทั่วสองมือหยาบกร้านเต็มไปด้วยริ้วรอยของกาลเวลากับผ้าสะอาดแล้วจึงเดินอย่างกระฉับกระเฉงอ้อมโต๊ะกินข้าวมารอท่าหลานรักเพียงคนเดียวถึงหน้าบันได  



“ม่าครับ ป๊าออกไปอีกแล้วเหรอ?” ผู้มาใหม่ตั้งคำถามโดยชะเง้อคอมองฝ่ามุ้งลวดและเหล็กดัดตรงกรอบหน้าต่างไปยังพื้นที่หน้าบ้านซึ่งไร้เงาของรถเก๋งคันใหญ่ที่เพิ่งถอยเข้าจอดได้ไม่ถึงชั่วโมงดี  เสียงสตาร์ทเครื่องยนต์คุ้นหูซึ่งดังขึ้นเมื่อไม่กี่อึดใจก่อนนั่นแหละ คือ ตัวการทำให้เด็กชายกระหืดกระหอบลงบันไดมาอย่างลืมตัว

อาการติดใจสงสัย กับความคิดถึงคะนึงหาผู้เป็นบิดาที่ส่งผ่านสายตาของสาริน ทำให้มุ่ยฟ้ายิ่งรู้สึกเวทนาหลานในไส้ไปกันใหญ่ แต่เพราะหล่อนเป็นเพียงคนธรรมดา หาใช่พระอิฐพระปูน... หากจะหวังให้ผู้อาวุโสกว่าเปิดเผยความจริงที่เพิ่งรับรู้จากปากลูกชายให้แก่ผู้สืบตระกูลอีกรุ่นฟังโดยไม่ยับยั้งชั่งใจ คงต้องรอให้หญิงชรากลายเป็นพวกใจไม้ไส้ระกำกับเลือดเนื้อเชื้อไขไปเสียก่อนกระมัง



“เมื่อกี๊คุณพยาบาลเขาโทรมาบอกว่าม้าอาการดีขึ้นแล้ว คุณหมอเลยร้อนใจอยากคุยกับป๊าไว ๆ น่ะ” มุ่ยฟ้าใช้คำภาวนาเพียงประการเดียวของหล่อนต่างคำอธิบายเพื่อปลอบให้หลานสบายใจตามที่บุตรชายขอร้องตนเอาไว้ก่อนจะออกไปอยู่โยงเฝ้าภรรยาผู้ตกอยู่ในสภาวะโคม่าเพียงลำพัง

“ดีจังเลยครับม่า งั้นเดี๋ยวอีกหน่อยหม่าม้าก็กลับมาที่บ้านได้แล้วสิครับ?” แม้รอยยิ้มกว้างจะทำให้ดวงตาเรียวยิบหยีจนมีรูปทรงเหมือนขีดขนานไปกับคิ้วเข้ม  ทว่านั่นกลับไม่อาจบดบังประกายสุกใส และความเบิกบานใจที่สะท้อนออกมาจากแววตาของสารินได้เลยสักนิด   


ดีจัง... ในที่สุดหม่าม้าก็จะหายเสียที...
เขาไม่ชอบโรคปวดท้องที่ทำให้แม่ไม่สบายจนพ่อต้องหายตัวไปอยู่โรงพยาบาลครั้งละนาน ๆ เอาเสียเลย



ขณะที่เด็กชายลิงโลดใจ
ผู้สูงวัยกว่ากลับต้องกลืนก้อนสะอื้นลงคออย่างยากเย็นด้วยเพราะรู้ดีว่า ปาฏิหารย์คงไม่มีวันเกิดกับครอบครัวของหล่อนแน่ ๆ  


“เรื่องนั้นไว้รินรอถามป๊าอีกทีเย็นนี้แล้วกัน” เพราะเกรงว่าความรู้สึกหวั่นไหวอาจทำให้พลั้งปากจนผิดสัญญา มุ่ยฟ้าจึงรีบตัดบทแล้วเสเปลี่ยนเรื่อง “แล้วนี่หิวหรือยัง? กลางวันนี้จะกินอะไรล่ะเรา? ป๊าเขาซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งเจ้าดังข้างโรงพยาบาลมาฝากแน่ะ หรือจะกินจับฉ่ายกับม่าดี?” หญิงชรามองตามแผ่นหลังของหลานชายวัยกำลังโตที่เดินลิ่วไปเกาะประตูเมียง ๆ มอง ๆ บริเวณหน้าบ้านด้วยสายตารักใคร่

“รินยังไม่ค่อยหิวเลยครับม่า ขอออกไปขี่รถเล่นแป๊บนึงได้ไหมครับ?” สารินกดหน้าผากแนบกับมุ้งลวดระหว่างเอ่ยถามอาม่าอย่างสุภาพโดยไม่ละสายตาจากจักรยานคู่ใจ กับบรรยากาศในซอยบ้านก่อนเที่ยงที่มีแสงแดดเพียงรำไรส่องลงมาเลยสักวินาที... วันนี้ไม่ร้อน เหมาะกับการออกตะลอนแต่หัววันดีแท้ ๆ

ด้วยความที่สารินเป็นเด็กดี รู้จักรับผิดชอบ มีสัจจะและไม่เคยสร้างปัญหา หญิงชราจึงไม่นึกขวางทุกครั้งที่อีกฝ่ายร้องขอออกไปทำกิจกรรมยามว่างสุดโปรดของตน  แต่มีหรือที่หล่อนจะมองข้ามเรื่องปากท้องอันเป็นเรื่องใหญ่ไม่แพ้เรื่องใดไปง่าย ๆ


“งั้นเอาหมูปิ้งติดไปด้วยสิ เผื่อหิว” ได้ยินดังนั้น เด็กชายจึงเดินกลับมาฉวยถุงหมูปิ้งในมืออาม่าแล้วบ่ายหน้าออกประตูไปอย่างไม่รีบร้อน

“เดี๋ยวรินกลับมากินจับฉ่ายกับม่านะครับ”

“ดูรถด้วยล่ะ อย่าขี่เร็ว! ม่ารอกินข้าวอยู่นะริน!” มุ่ยฟ้ากำชับกำชากับหลานในไส้อีกครั้ง คนฟังจึงชะงักร่างที่ก้าวพ้นประตูไปแล้วเพื่อเอนหลังกลับมารับคำผู้มีศักดิ์เป็นย่าอย่างไม่คิดบิดพลิ้ว

“ครับม่า”  








“ฮื่อออออออ! ค่อยๆกินดี้ ไม่มีใครแย่งหรอกน่า” เด็กชายบ่นอุบเมื่อหมูปิ้งไม้ที่สองโดนเจ้าหน้าขนตัวสูงเท่าต้นขาเขมือบเข้าปากไปในคราวเดียว... สงสัยเป็นเพราะไม้เมื่อกี๊โดนเขาแอบกินไปแล้วครึ่งนึง สารินจึงถึงกับตกตะลึงในความสามารถของเจ้าลูกหมาสายพันธุ์ใหญ่ที่สวาปามหมูทั้งไม้ได้อย่างว่องไวปานสูบ

“หึ! ไอ้หมาตะกละเอ๊ย!” ถึงจะตำหนิสัตว์สี่ขาหน้าไม่รับแขกไม่ขาดปาก แต่พอเห็นมันพยายามยื่นหน้ากลมป้อม
ลอดรูด้านล่างของรั้วอัลลอยด์ของบ้านตึกหลังใหญ่ออกมาให้ได้ไกลยิ่งกว่าเมื่อครู่ เขาก็หยิบหมูไม้ที่สามออกมาให้ลูกหมาจอมตะกละโดยไม่อิดออด

“เฮ่ย! ปล่อยยยยย! มันกินไม่ได้! เดี๋ยวเหอะ... เดี๋ยวไม้ก็แทงกระเพาะทะลุหรอก!!” สารินร้องด้วยความตกใจพลางยื้อไม้แหลมกับเจ้าตูบที่เคี้ยวหมูและไม้ไปพร้อม ๆ กันอย่างเต็มกำลัง จังหวะที่มันยอมปล่อยไม้ออกจากปาก ก็พอดีกับที่เสียงแหวของเด็กอีกคนดังขึ้นตรงอีกฝั่งของประตู

เบอร์นาร์ด! เบอร์นาร์ดทำอะไรน่ะ?!!

แม้จะอึ้งเพราะเสียงโวยวายดังกล่าว  แต่ร่างเก้งก้างนอกรั้วลับยังไม่ก้าวหนีไปไหนเพราะยังมีหมูเหลืออีกไม้หนึ่ง 
ซึ่งเมื่อเด็กชายประเมินสายตาแวววาวของไอ้ตัวใหญ่ขนฟูที่โผล่เฉพาะปากพ้นรั้วออกมานี่แล้ว มันคงจะยังไม่อิ่มง่าย ๆ หรอกมั้ง 


“อย่าเที่ยวกินของที่คนอื่นให้ซี้ซั้วสิเบอร์นาร์ด เดี๋ยวก็ได้ไปเจอฮาจิโกะในยมโลกก่อนเวลาหรอก!!” จนกระทั่งตอนนี้ สารินก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าค่าตาเจ้าของเสียง เนื่องจากรั้วดังกล่าวตีลายทึบตรงช่วงกลาง ส่วนด้านบนกับด้านล่างที่ตกแต่งเป็นลวดลายเถาดอกไม้ก็มีแค่ช่องเล็กช่องน้อยให้พอมองลอดเข้าด้านในได้ไม่มากนัก  

ทว่าพอยืนสังเกตไปสักพัก คนข้างนอกก็เห็นช่วงขาของเด็กอีกคนขณะนั่งลงกับพื้นกระเบื้องเพื่อยื้อเหนียงยานๆของเจ้าหน้าขน แต่จนแล้วจนรอด... เจ้าตูบกลับไม่สะดุ้งสะเทือน แถมมันยังยื่นหน้าออกมาทางสารินหนักกว่าเก่า ฝ่ายผู้เป็นเจ้าของจึงต้องเปลี่ยนมาคุดคู้คร่อมเหนือหลังแล้วลากขาหน้าทั้งสองให้เจ้าหมาหน้ามึนต้องโดนขืนใจให้จำต้องเปลี่ยนอิริยาบทไปโดยปริยาย
 

“ขอโทษ... เราเห็นมันชอบยื่นหน้าออกมาดมตามซอก เราเลยนึกว่ามันหิว” ทันทีที่รู้ตัวว่าตนได้สร้างเรื่องยากลำบากให้อีกฝ่าย สารินก็อดไม่ได้ที่จะขอโทษคนในบ้านด้วยความละอายใจหลังจากเผลอทำเรื่องไม่สมควรโดยพลการ

“ไม่เป็นไรหรอก ท้องเบอร์นาร์ดเป็นหลุมดำน่ะ ให้กินเท่าไรก็ไม่เคยพอ... นี่ถ้าป๊ารู้ว่าเบอร์นาร์ดแอบกินอย่างอื่นเพิ่ม สงสัยคืนนี้เบอร์นาร์ดต้องไม่ได้เข้าไปนอนห้องแอร์กับเราแน่ ๆ เลย” เสียงเล็ก ๆ ของคนในบ้านตอบสบาย ๆ เพราะรู้ไลฟ์สไตล์การกินของหมาตัวเองเป็นอย่างดี... หมาพันธุ์เซนต์เบอร์นาร์ดก็อย่างนี้แหละ กินเยอะราวกับถลุง

“งั้นเราไปก่อนดีกว่า นายจะไม่ได้โดนป๊าดุ”  สารินขอตัวก่อนจะสร้างปัญหาให้กับคนข้างในบ้าน กระนั้น อีกฝ่ายกลับไม่ได้ให้ความสนใจใด ๆ  เพราะลำพังแค่ต้องลากคอลูกหมาให้ตามตัวเองกลับเข้าบ้านก็ถือเป็นงานหนักมากแล้ว

ฮื่ออออออ เบอร์นาร์ดดดดดดดด เข้าบ้านเดี๋ยวนี้นะ!!”  


สำหรับสารินแล้ว เสียงโอดครวญที่ดังโหยหวนออกมาจากปากของคนที่อยู่เบื้องหลังประตู
ฟัง ๆ ดูก็คล้ายกับคำอวยพรจากเด็กชายอีกคนที่ช่วยร่นระยะทางปั่นกลับบ้านให้ใกล้ขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ...


ซอยบ้านเขาก็ไม่แห้งแล้งเพื่อนเล่นจนน่าเบื่ออย่างที่เคยเข้าใจแฮะ  


«»------------------------------------------------------------------------------------«»


ทันทีที่เสียงเบรคดังเอี๊ยดของพาหนะสองล้อแสนคุ้นเคยดังอยู่แถว ๆ หน้าประตูรั้ว ร่างตุ้มต๊ะตุ้มตุ้ยปุกปุยไปด้วยขนนุ่มนิ่มทั่วทุกอณูก็หยัดตัวลุกขึ้นเต็มความสูงราว ๆ หน้าอกเด็กประถม แล้วจึงออกวิ่งสี่ตีนปุเลง ๆ ไปสูดดมตามซอกรั้วก่อนจะไปหยุดลงตรงซอกเดิมเพื่อยื่นหน้าออกไปสูดดมคล้ายจะพิสูจน์ว่า เสียงนี้มาพร้อมกับอาหารว่างเสียบไม้เนื้อหวานฉ่ำอร่อยล้ำที่ได้ลิ้มรสไปเมื่อหลายวันก่อนจริงหรือไม่


“จะเอาหมูปิ้งเหรอ? วันนี้ไม่มีหรอก... หมูปิ้งน่ะ”

หากเจ้าสี่ขาหน้าขนเข้าใจภาษาคนสักหน่อย มันคงรับรู้ได้ว่าประโยคทักทายดังกล่าวถูกเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยกว่าเมื่อวันก่อนหลายเท่านัก แต่เพราะมันเป็นเพียงลูกหมาที่ถูกเลี้ยงดูด้วยการควบคุมอาหารอย่างเคร่งครัดเพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว พอพิสูจน์กลิ่นจนแน่ใจว่าไม่มีของกิน เจ้าตูบหลังรั้วเหล็กจึงค่อย ๆ หดคอกลับเข้าบ้านก่อนจะตั้งท่าหันหลังให้จนอีกฝ่ายถึงกับตัดพ้อ


“อะไรกัน พอไม่มีของกินก็จะไม่อยู่คุยด้วยเลยเหรอ? อย่าเพิ่งไปสิเบอร์นาร์ด... แหน่ะ! เรียกไม่หัน หยิ่งเหรอ?! เบอร์นาร์ด! เฮ่! ไอ้น้าหนวด!” ด้วยความไม่พอใจที่เห็นลูกหมาตัวใหญ่ทำท่าเมินเฉยใส่ตน เด็กชายจึงถือวิสาสะเปลี่ยนชื่อสัตว์ร่วมโลกตัวตรงหน้าตามกลุ่มขนสีดำที่ดูเหมือนหนวดซึ่งขึ้นรอบ ๆ ปากตัดกับขนสีอ่อนตามลักษณะเด่นของพันธุ์มันเสียเลย 


น่าแปลก...
สรรพนามดังกล่าวตรึงขาทั้งสี่ของเจ้าหมาน้อยให้หยุดอยู่กับที่ราวกับถูกสาป
ก่อนที่มันจะยอมเงยหน้าขึ้นสบสายตากับเขาเป็นครั้งแรกราวกับคุยกันรู้เรื่อง


“ฮะ ฮะ ฮะ... ชอบชื่อน้าหนวดมากกว่าเหรอ? แกก็ไม่ชอบชื่อฝรั่งใช่ไหมล่ะ? ต่อไปฉันจะเรียกแกว่าน้าหนวดก็แล้วกันนะ” สารินจอดจักรยานหลบมุมก่อนจะเดินมาลดตัวลงนั่งพิงกำแพงข้าง ๆ รั้วอัลลอยด์ตรงรูเดิมที่ลูกหมาใช้โผล่หน้าออกสอดส่องความเป็นไปของโลกภายนอก

“น้าหนวด... น้าหนวด ขอโทษนะน้าหนวดที่ฉันไม่ได้มาหาแกเลย” เด็กชายเอื้อมมือเข้าไปลูบขนนุ่มของเพื่อนตัวใหม่เบา ๆ  ก่อนจะพูดลอย ๆ ให้เจ้าเบอร์นาร์ดที่ค่อย ๆ นอนหมอบพลางยื่นหน้าออกมาทำจมูกฟุดฟิดคล้ายกับกำลังดมกลิ่นของเขาเป็นการตอบแทน 


ท่าทีเป็นมิตรและสัมผัสอ่อนนุ่มของแผงขนปุยหนา
ทำให้เด็กชายกล้าระบายความรู้สึกกลัดกลุ้มในอกออกมาเป็นคำพูดทั้งที่ไม่คิดจะทำในยามที่อยู่กับอาม่าหรือบิดาของตน


 “น้าหนวด แกรู้ไหมว่าฉันหายไปไหนมา?...
.
.
.
.
...ม้าไม่อยู่กับฉันแล้วน้าหนวด ม้าไปอยู่บนสวรรค์แล้ว...
...เดี๋ยวนี้ป๊าก็ไม่ค่อยอยู่บ้าน เอาแต่ออกไปทำงานตลอดเล...”


นี่นาย! นายเข้ามาเล่นกับเบอร์นารด์ข้างในนี่ก็ได้” อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นในจังหวะที่ของเหลวร้อน ๆ ตรงขอบตาจะไหลหลั่งออกมาท่วมพวงแก้ม  สารินจึงแหงนขึ้นมองไปยังต้นเสียงด้วยความสนอกสนใจ  

ณ ระเบียงชั้นสองของบ้านทรงตึก ปรากฏลำตัวท่อนบนของเด็กชายคนหนึ่งที่ดูลุกลี้ลุกลนผิดปกติ
เจ้าของเสียงเชื้อเชิญเมื่อครู่มองหน้าสารินสลับกับเสาไฟฟ้าหน้าบ้านหลังตรงข้ามเป็นระยะ ๆ  ก่อนจะออกคำสั่งออกมาอีกระลอก “นายรออยู่ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวฉันไปเปิดประตูบ้านให้



ไม่ถึงอึดใจ ประตูบานเล็กสำหรับให้คนได้ใช้อาศัยผ่านเข้าออกโดยเฉพาะก็เปิดกว้าง
สารินไม่ทันได้เห็นร่างเจ้าของบ้านคนเมื่อครู่ แต่ตอนที่กำลังลังเลอยู่ว่าจะเข้าไปด้านในดีหรือไม่ เด็กชายก็ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายดังเร่ง


เข้ามาสิ เร็ว! ปิดประตูด้วย เดี๋ยวเบอร์นาร์ดมันจะวิ่งออกไป!” พอก้าวพ้นประตูเข้าสู่ด้านหลังรั้วไปแล้วนั่นแหละ อาคันตุกะจึงเพิ่งจะซาบซึ้งถึงความทุลักทุเลของเจ้าบ้านผู้กำลังปักหลักนั่งฉุดปลอกคอลูกหมาแรงควายอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่กับพื้น

“ให้เราเข้ามาเล่นหมาง่าย ๆ เนี่ย ที่บ้านนายไม่ว่าเหรอ?” สารินค่อย ๆ สืบเท้าอย่างระแวดระวังและสังเกตสังกาตรงเข้าไปหาเด็กชายร่างผอมกระหร่องที่นั่งจ๋องอยู่กับพื้นหลังจากขืนใจลูกหมาพันธุ์เซนต์เบอร์นาร์ดให้นอนลงได้  เพราะไม่เคยไปเที่ยวเล่นบ้านเพื่อนคนไหนมาก่อน เขาจึงวางตัวไม่ค่อยถูกนักเมื่ออีกฝ่ายเปิดประตูให้เข้ามาในบ้านโดยที่ทั้งสองยังเป็นเพียงคนแปลกหน้าต่อกันอยู่แบบนี้

“ป๊ากับม้าไปโรงงาน  มีแต่ม่าที่อยู่บ้าน... นายไม่ต้องห่วงนะ ม่าไม่ดุหรอก ม่ารักเราจะตาย!!” คนพูดยิ้มแฉ่งอวดฟันครบทุกซี่อย่างภาคภูมิใจ จนคนฟังอดคล้อยตามไม่ได้ว่า เด็กตาขีดตัวขาวซีดเป็นหยวกตรงหน้าคงจะเป็นหลานรักอย่างปากว่าจริง ๆ

“นั่งดิ เบอร์นาร์ดมันชอบให้เกาพุง ยืนเกาเดี๋ยวเมื่อยนะ” ฝ่ายเจ้าของบ้านผู้ยังคงปักเกาะติดกับซากวาฬขนอุยเกยตื้นบนพื้นที่ลานจอดรถปูกระเบื้องซึ่งได้รับการดูแลทำความสะอาดจนเงาวับขยับก้นคล้ายแบ่งที่ข้าง ๆ ให้นั่งพลางเอ่ยชักชวนอย่างมีไมตรีจิต

จนเมื่อสารินยอบตัวลงนั่งข้างกันแล้วนั่นแหละ
เด็กชายผู้ไม่ประสงค์จะบอกนามก็ทำตัวป๋าอย่างต่อเนื่อง


“ถ้าอยากกอดเบอร์นาร์ดก็กอดได้เลยนะ เราไม่หวง เพราะยังไงคืนนี้เราก็ได้นอนกอดเบอร์นาร์ดอยู่ดีแหละ” แขกของบ้านรู้สึกสับสน  เพราะจนถึงตอนนี้เขายังรู้สึกแปลกที่ และมึนงงกับความอารีของลูกชายเจ้าของบ้านอยู่ไม่คลาย แต่ยังไม่ทันที่สารินจะได้ซักถามอะไร อีกฝ่ายก็ยิงคำถามเข้าใส่ด้วยน้ำเสียงกระตือรือล้นเหมือนคนขาดเพื่อนอย่างไรอย่างนั้น  

“นี่ นี่... นายชอบหมาเหรอ?” เด็กชายหน้าตี๋ที่ดูจะตาโตกว่าเขานิดหน่อยส่งยิ้มหวานจ๋อยมาให้คล้ายกำลังประจบเอาใจเขาอยู่ก็ไม่ปาน ท่าทางไม่มีพิษภัย... ติดจะตื่นเต้นดีใจกับการได้พูดคุยกับเขาเสียด้วยซ้ำทำให้สารินเริ่มผ่อนคลายจนกล้าเอื้อมมือไปเกาพุงกะทิของเจ้าตูบเบา ๆ จนมันยกเท้าขึ้นโชว์พุงอ้าซ่าล่อสายตาดีแท้ ๆ  

“อื้อ เราชอบหมา”

“เราก็ชอบหมา” ทันทีที่พูดจบ เจ้าของประโยคก็ก้มลงหอมแก้มแถมน้ำลายเยิ้มย้อยของลูกหมาที่นอนหลับตาพริ้มโดยเอาคางพาดตรงหน้าตักอย่างไม่นึกรังเกียจเลยสักนิด จากนั้นจึงฝอยต่ออย่างออกรส

“เนี่ย เรานะต้องกัดฟันสอบให้ได้ที่หนึ่งให้ป๊าตั้งสามปีแน่ะกว่าจะได้เบอร์นาร์ดมาเลี้ยง... ป๊าบอกว่า ถ้าเข้ามอหนึ่งแล้วเรียนตก จะหักค่าขนมเราไปซื้อข้าวให้เบอร์นาร์ด เราว่าเราต้องเรียนจนเป็นบ้าไปก่อนแหง ๆ  เพราะเจ้านี่กินจุมากกกกกกกก” ถึงจะบ่นหงุงหงิงไม่หยุดหย่อน  แต่สายตาเปี่ยมไปด้วยความสุขล้นจนน่าอิจฉาสะท้อนความจริงที่ว่า ต่อไป เด็กชายแปลกหน้าที่อ่อนกว่าเขาปีหนึ่งคนนี้น่าจะเต็มใจก้มหน้าก้มตาทุ่มทุนเรียนเพื่อลูกหมาแบบถวายหัวแน่ ๆ


ออร่าแห่งความสุขที่พุ่งกระจายล้อมรอบเด็กชายหัวหลิมตัวเล็กที่สัมผัสได้
ทำให้สารินรู้สึกเจ็บจี๊ดในใจ หลังจากเผลอเปรียบเทียบตัวเองกับอีกฝ่ายในเรื่องเดียวกัน...
ซึ่งความที่ยังเป็นเด็ก เขาจึงไม่อาจเก็บต้นเหตุของความรู้สึกดังกล่าวเอาไว้กับตัวได้ดีนัก


“ดีจัง บ้านเราเลี้ยงหมาไม่ได้น่ะ... หม่าม้าเราแพ้ขนสัตว์”


พอคิดถึงหมา ก็อดคิดถึงมารดาผู้ล่วงลับไม่ได้...
ยิ่งนึกถึงแม่ทีไร... เขาก็ไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้จริง ๆ
ทว่าประโยคน่าฉงนของอีกฝ่ายกลับทำให้ความรู้สึกอ่อนแอจนอยากร่ำไห้อันตรธานไปได้อย่างน่าอัศจรรย์อีกครั้ง


“ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องห่วง เราบอกเลยว่านายไม่ต้องเลี้ยงหมาหรอก” สารินเงยหน้าขึ้นจากขวัญเล็ก ๆ ตรงพุงกลม ๆ ของเจ้าตูบเพื่อเลิกคิ้วพลางจ้องหน้าแป้นแล้นของคนพูดโดยเฉพาะ  “ก็ถ้าวันไหนอยากเล่นหมา ให้นายมาบ้านเรานะ... เบอร์นาร์ดตัวใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่ม ต่อให้เราสองคนกอดมันพร้อมกันยังกอดมันไม่ทั่วทั้งตัวเลยมั้ง  นี่ถ้าอีกหน่อยมันโตกว่านี้ เรามาผลัดกันขี่เบอร์นาร์ดก็ได้นะ เราไม่หวงหรอก” เด็กชายรุ่นน้องยิ้มจนตาหยีพลางยักหน้าอย่างร่าเริงสนับสนุนความใจกว้างเป็นแม่น้ำของตนอย่างเอาเป็นเอาตาย  

“มันเป็นหมาไม่ใช่ม้าสักหน่อย จะขี่มันได้ยังไงเดี๋ยวมันก็หลังหักตายก่อนพอดี!” ถึงจะดีใจกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน แต่สารินก็อดแย้งไม่ได้... ไหนบอกว่ารักหมาที่หนึ่ง แล้วทำไมถึงกล้าจะทารุณมันได้ลงคอล่ะ?!

“ฮื่อออออ เราซื้อหนังสือวิธีเลี้ยงหมาพันธุ์นี้เล่มหนาเท่านี่มาอ่าน เขาบอกว่าถ้าเลี้ยงดี ๆ  บางตัวนี่สูงเท่าเอวผู้ใหญ่เลยนะ” เด็กชายเจ้าถิ่นยู่หน้าขมวดคิ้วฉับ พลางสะบัดหัวปฏิเสธทันควันแล้วยกมือขึ้นทำท่าโน่นนี่ประกอบคำอธิบายอย่างอุตลุด

“เราว่า เรากับนายคงไม่หนักเกินขี่เบอร์นารด์หรอก... แค่ตอนนี้ยังขี่มันไม่ได้ ต้องรอให้มันโตกว่านี้อีกหน่อย...
.
.
...เชื่อเราสิ... เดี๋ยวคืนนี้เราไปอ่านในเน็ตเพิ่มว่าเราสองคนจะขี่เบอร์นาร์ดได้จริง ๆ หรือเปล่า...
...เอาเป็นว่า ถ้าเราสองคนขี่มันพร้อมกันไม่ได้ ผลัดกันขี่คงไม่เป็นไรหรอก เบอร์นาร์ดแข็งแรง... เนอะ เบอร์นาร์ดเนอะ!” เด็กชายที่สารินไม่รู้จักชื่อก้มลงหอมสลับกับพยักเพยิดใส่เจ้าตูบที่ใกล้จะหลับแหล่ไม่หลับแหล่ออย่างแข็งขัน  

ที่เจ้าของลูกหมาพูดจาหว่านล้อมอีกฝ่ายเป็นต่อยหอยไม่สนผิดถูก เนื่องจากเจ้าตัวอยากจะเอาใจเพื่อนใหม่ที่หลงเข้ามาเล่นหมาด้วยถึงในบ้าน  โดยระหว่างนั้นเจ้าตัวกลับแอบสั่งตัวเองอยู่ในใจว่า  เมื่อวันนั้นมาถึง... เขาจะต้องหาทางดึงดัน ไม่ก็ผลัดวันประกันพรุ่งเพื่อป้องกันไม่ให้ใครได้ขึ้นหลังเบอร์นาร์ดสุดที่รักเป็นอันขาด... ต่อให้เป็นเพื่อนเล่นที่เพิ่งทำความรู้จักด้วยหมาด ๆ คนนี้ก็เถอะ


“...ขอบใจนะ...  ขอบใจมากจริง ๆ ...”

ความโอบอ้อมอารีมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของเพื่อนใหม่ที่น่าจะเป็นน้องชายเขาหนึ่งปีทำให้สารินรู้สึกอุ่นวาบในอก 
โดยไม่ทันรู้ตัว... เขาก็คลี่ยิ้มกว้างส่งให้อีกฝ่ายไปเสียแล้ว
นั่นคือรอยยิ้มแรกหลังจากเกือบอาทิตย์ที่ใบหน้าต้องเปื้อนหยาดน้ำตาไม่มีขาดสาย


“ไม่ต้องขอบใจเราก็ได้ เราว่าเบอร์นาร์ดต้องดีใจมากๆแน่ๆที่มีคนมาเล่นด้วยเยอะ ๆ ” คนพูดไม่ได้ปล่อยให้เด็กชายผู้มาเยี่ยมเยือนต้องยิ้มเก้อ เผลอ ๆ  ริมฝีปากของเจ้าบ้านอาจจะฉีกยิ้มกว้างกว่าด้วยซ้ำไป  เพราะหากสารินแวะเวียนกลับมาสังสรรค์ด้วยบ่อย ๆ  ไม่ใช่แค่เจ้าหมาน้อยหรอกที่จะรื่นเริง... ลูกและหลานชายเพียงคนเดียวของบ้านหลังนี้เองก็คงจะปีติไม่มีใครเกินเช่นกัน  


ขณะที่เด็กชายรุ่นน้องกำลังจะยิงคำถามระลอกใหม่ใส่สาริน ทั้งสองกลับได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกดังออกมาจากตัวบ้าน   คนโตกว่ายืดตัวนั่งหลังตรงพลางจ้องหน้าเพื่อนใหม่ด้วยความงุนงงงด้วยยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ฝ่ายเจ้าของหมากลับถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะโก่งคอตะโกนตอบกลับไปอย่างไร้อารมณ์


“เล่นกับเบอร์นาร์ดอยู่หน้าบ้านนี่ ไม่ได้ออกไปเล่นข้างนอก!!” เจ้าของประโยครู้สึกเสียหน้าไม่ใช่น้อยเมื่อเสียงเรียกของอาม่าเมื่อสักครู่ทำให้เขาดูเหยาะแหยะในสายตาเพื่อนใหม่ในชั่วพริบตา  ส่วนสารินก็เริ่มจะนั่งไม่ติดหลังจากต่อมความเกรงใจเริ่มจะทำงานตามปกติ

“ไว้วันหลังเราจะมาเล่นกับมันก็แล้วกัน  วันนี้เรากลับก่อนดีกว่า”

“อ้าว! จะกลับแล้วเหรอ? นายเพิ่งเล่นกับเบอร์นาร์ดได้แค่แป๊บเดียวเองนี่!!”เจ้าถิ่นโอดโอยด้วยความเสียดายอย่างสุดซึ้ง...  

เพราะนอกจากจะเป็นลูกและหลานเพียงคนเดียวของตระกูลผู้ได้รับการประคบประหงมดูแลเสมือนไข่ในหินแล้ว  
ความสามารถพิเศษที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด คือ ดาบสองคมที่ทำให้เขาดูยิ่งแปลกแยกไปจากเด็กในวัยเดียวกันอยู่มากโข   
ดังนั้น... คงไม่ผิดอะไร หากการปรากฏตัวของเพี่อนใหม่ผู้ชื่นชอบเจ้าตูบไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน  
จะกลายเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเด็กชายผู้มีเพื่อนสนิทเพียงแค่หนึ่งคนถ้วนไปในชั่วพริบตา


”เราออกมานานแล้วน่ะ เราไม่อยากให้ที่บ้านเป็นห่วง” เป็นเพราะประโยคปฏิเสธอย่างสุภาพละมุนละม่อมของสารินแท้ ๆ ที่ทำให้คนฟังต้องยอมล้มเลิกความคิดที่จะเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายให้เปลี่ยนความตั้งใจอย่างเสียไม่ได้  กระนั้น... นายน้อยของเจ้าเบอร์นาร์ดก็ยังไม่เลิกอาลัยอาวรณ์อยู่ดี

“อืม... เอางั้นก็ได้” เป็นเพราะสารินผุดลุกขึ้นแล้วตั้งหน้าตั้งตาปัดขนที่ติดอยู่ตามตัวพร้อม ๆ กับจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่  เด็กชายอีกคนจึงรับคำเพื่อนใหม่ด้วยสีหน้าเหมือนโดนอาม่าบังคับให้กลืนยาจีน ก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนส่วนหัวของเจ้าตูบลงวางกับพื้นอย่างระมัดระวัง “เบอร์นาร์ดนอนอยู่นี่ก่อนนะ!” สิ้นคำสั่ง เจ้าของก็ก้มหน้าลงหอมเจ้าลูกหมาที่นอนน้ำจิ้มไหลย้อยอย่างรักใคร่ไปเต็มฟอด แล้วออกเดินตามหลังเพื่อนใหม่ไปส่งอีกฝ่ายถึงนอกรั้วบ้าน  

“พรุ่งนี้มาไหม?” เด็กชายเจ้าของบ้านโพล่งคำถามออกมาเมื่อเห็นอีกคนขึ้นคร่อมจักรยานและตั้งท่าจะปั่นออกไปโดยไม่ร่ำลา

“ไม่รู้เหมือนกัน  ถ้าม่าไม่ได้พาออกไปไหนก็อาจจะแวะมา” คนโตกว่าคะเนพลางยิ้มเผล่... นี่ขนาดไม่นับรวมสีหน้าสลดหดหู่กึ่งตะบึงตะบอนน้อย ๆ ที่อีกฝ่ายแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งอยู่ต่อหน้าแบบจะ ๆ สารินยังอดรู้สึกดีไม่ได้เลยเมื่อรู้ว่าตัวเองกลายเป็นคนสำคัญของอีกฝ่ายไปเสียแล้ว   

ไม่รู้เพราะสารินจงใจอ้อยอิ่งอยู่ต่ออีกสักหน่อย
หรือเพราะอีกฝ่ายออกอาการลุกลี้ลุกลนจนเขาจับสังเกตได้
สุดท้ายเด็กมอหนึ่งจึงออกปากถามเพื่อนใหม่ที่ทำท่าจด ๆ จ้อง ๆ  มองหน้าเข้าสลับกับพื้นที่ว่างเปล่าด้านหลังอย่างหวั่น ๆ  ด้วยความสนอกสนใจ  


“นายเป็นอะไรหรือเปล่า? ทำไมถึงยังไม่กลับเข้าบ้านไปอีกล่ะ?”

“เรามีความลับจะบอกนาย... แต่นายต้องสัญญาก่อนว่านายจะไม่หาว่าเราบ้า” คนอ่อนกว่าเอ่ยพลางพยายามเบือนหน้าซ่อนสายตาหลุกหลิกให้พ้นหูพ้นตาเพื่อนใหม่  ทว่ามีหรือที่เด็กช่างสังเกตอย่างสารินจะมองข้ามความผิดปกติดังกล่าวไปโดยไม่ทวงถาม

“ความลับอะไร นายเป็นอะไรหรือเปล่า?” คนโตกว่ากระซิบกระซาบพร้อมกับชะโงกหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้นทีละนิด... ละนิด  กระนั้นเจ้าของความลับกลับเร่งรัดขอคำรับรองจากเขาด้วยสีหน้าจริงจังจนสารินอดตื่นเต้นตามไปไม่ได้

“สัญญาก่อน! / ก็ได้... เราสัญญา”
.
.
.
.
.


ก่อนจะเปิดเผยความลับดังกล่าวให้อีกฝ่ายได้ร่วมรับรู้  นายเจ้าเบอร์นาร์ดดูจะกล้ำกลืนชอบกล
แต่เมื่อเจ้าตัวลากสายตาไปยังพื้นที่ว่างข้าง ๆ กายของเด็กชายแปลกหน้าที่เขาเชื้อเชิญเข้าบ้านเมื่อสักครู่อยู่พักหนึ่ง  
สุดท้าย เด็กชายนิรนามก็พยักหน้าแรง ๆ  ให้กับลมกับฟ้า แล้วจึงยื่นหน้าเข้าไปป้องปากกระซิบบอกสิ่งที่ตนเห็นแต่เพียงผู้เดียวให้แก่เพื่อนใหม่ได้ฟังเสียที  


“มีผู้หญิงคนนึงตามนายมา เธออยากให้เราบอกนายว่า เธอขอโทษที่เธอทำให้นายไม่ได้เลี้ยงหมาทั้งที่นายอยากได้หมามาตลอด”

!!!!!” สารินถึงกับเบิกตากว้างและอ้าปากค้างเมื่อเข้าใจความหมายของสิ่งที่เพื่อนใหม่รุ่นน้องเพิ่งเฉลยให้ฟังอย่างถ่องแท้ ทว่าอีกฝั่งซึ่งเป็นเจ้าของข้อความยังสั่งเสียไม่จบ

“เธอจะไม่ไปไหน... เธอจะคอยดูแลนายเสมอ และเธอรักนายกับพ่อมากนะ  นายคือความภาคภูมิใจเพียงหนึ่งเดียวของเธอ” จากที่ลืมความโศกเศร้าเสียใจไปชั่วขณะ ใจความไม่สั้นไม่ยาวที่เพิ่งได้ยินกลับนำพาระลอกความหนาวเหน็บกลับมาเยี่ยมเยือนเรือนกายของเด็กชายผู้สูญเสียอีกครั้ง...


น่ากลัวเหลือเกินที่หนนี้
เขาไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะกั้นน้ำตาเอาไว้ได้อีกแล้ว




“อย่าร้องไห้เลยนะ” เด็กชายสารินไม่ได้ตกใจกับคำพูดปลอบประโลมของอีกฝ่ายเท่ากับอ้อมกอดเก้ ๆ กัง ๆ ของเด็กชายตัวผอมกว่าที่ต้องรับมาโดยไม่ทันตั้งตัว “ตอนอากงไปสวรรค์ ป๊าเราบอกว่า ถ้าใครเสียใจให้มากอดป๊าแน่น ๆ แต่ต้องห้ามร้องไห้เด็ดขาด ไม่งั้นอากงจะร้องไห้ตาม... นายก็ยิ้มเยอะ ๆ สิ เธอจะได้ยิ้มสวย ๆ ไปกับนายยังไงล่ะ”  


น่าแปลก...
อ้อมกอดที่ไม่อุ่นเท่ากอดของม้า หรืออาม่า
กระทั่งเสียงปลอบใจที่ฟังไม่ซึ้งเท่ากับเสียงนุ่ม ๆ ของป๊า
กลับช่วยทำให้น้ำในหน่วยตาแห้งเหือดไปอย่างน่าวิเศษ...

หรือความลับของเด็กชายคนนี้  
คือ การที่เขามีเวทย์มนตร์ในการห้ามน้ำตาของสารินกัน?!


“ขอบใจนะ” คนฟังคลายอ้อมกอดแล้วจึงตบบ่าของเขาเบา ๆ

“ไม่เป็นไรหรอก” เจ้าของหมาพูดไปอมยิ้มไปด้วยความภูมิใจที่ทำให้อีกฝ่าย รวมทั้งร่างกึ่งใสกึ่งทึบของผู้หญิงคนนั้นกลับมายิ้มแย้มได้อีกครั้ง แต่ยังไม่ทันจะได้อวดโอ่คุยโวขอเครดิตอย่างที่ตั้งใจ เจ้าลูกหมาตัวใหญ่ที่ควรจะนอนกลางวันอย่างสบายอารมณ์กลับส่งเสียงร้องหงิง ๆ ขอความช่วยเหลืออย่างน่าสงสารขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน   

“เบอร์นาร์ด!!! เอ้า แล้วจะเอาหัวออกมาทำไม?... ดูซินั่น หัวติดเลยเห็นไหม?!!”  อารามตกใจ เจ้าของหมาจึงวิ่งเข้าไปดันหัวเจ้าตัวแสบให้มุดกลับเข้าบ้านอย่างเต็มความสามารถ แต่เพราะไม่เห็นวี่แววของความสำเร็จ เด็กชายจึงตะโกนขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ทันที “พี่เม่ย พี่เม่ยมาช่วยแนนหน่อยครับ เบอร์นาร์ดหัวติดประตูอีกแล้ว!!

“ถ้างั้นเราไปก่อนนะ!” เมื่อแน่ใจว่า สำหรับคนตรงหน้าแล้ว... เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ใช่เรื่องผิดปกติเกินรับมือแต่อย่างใด  สารินจึงรีบขอตัวเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ของผู้ช่วยชีวิตเจ้าเบอร์นาร์ดวิ่งเข้ามาใกล้รั้วขึ้นเรื่อย ๆ  เพราะไม่อยากสร้างปัญหาให้อีกฝ่ายโดยไม่จำเป็น  กระนั้น... คนที่ยังวุ่นวายอยู่กับหมายังมีแก่ใจหันกลับมาทิ้งท้ายอีกจนได้

“เดี๋ยว! นายชื่ออะไร?”

“เราชื่อริน”

“เราชื่อแนน... วันหลังมาเล่นด้วยกันอีกนะ!

“ฮื่อ!” สารินตบปากรับคำประโยคชักชวนของอีกฝ่ายด้วยความเต็มใจ แล้วจึงปั่นจักรยานออกไปอย่างรวดเร็วก่อนที่ผู้ใหญ่ในบ้านตึกหลังงามจะออกมาเห็นตัวการที่ทำให้เจ้าตูบออกฤทธิ์เข้าเสียก่อน...  


แน่ล่ะ เด็กชายย่อมไม่อยากให้ครอบครัวแนนทำตาขวางใส่ หลังจากปักใจไปแล้วว่า
ต่อจากนี้เขาจะโผล่หน้าเข้าไปเล่นกับลูกหมาและเจ้าของเป็นการถาวรนั่นอย่างไร  




«»------------------------------------ TBC ------------------------------------ «»




No comments:

Post a Comment