อารมณ์ประดักประเดิดของสามหนุ่มลอยมากลบความเศร้าจากตอนที่แล้ว
ๆ นะคะ
ขอย้อนช่วงเวลาที่เหตุการณ์ทั้งหลายในตอนนี้ไปในอดีตของภาคที่แล้วสักนิดนึงนะคะ...
นี่คือค่ำคืนแรกหลังจากสามหนุ่มตกลงคบหากันได้ใหม่
ๆ (เก็กเพิ่งรู้ว่าบ๊วยหายไป)
แต่หลังจากตอนนี้เป็นต้นไป
จะไม่ย้อนอดีตอีกแล้วค่ะ... จะเป็นช่วงเวลาปัจจุบันถึงอนาคตแบบล้วน ๆ เลย
รักชอบประการใด ฝากความเห็นกันได้นะคะ
เราชอบอ่านมากเลย
หากท่านใดต้องการติดตามข่าวสารเกี่ยวกับนิยาย
แนะนำให้เข้าเพจได้เลยค่ะ
(แปะลิงค์เอาไว้ที่ลายเซ็นด้านล่างของทุก
ๆ กระทู้ของเราแล้วเนอะ ^^)
ส่วนตอนหน้า...
ใครรอพี่หมีกับบูบู้ถึงเนื้อถึงตัวกันเป็นครั้งแรก – ฉากนั้นมาแน่ค่ะ
สุขสันต์วันคริสมาสต์ล่วงหน้าค่า!!!
ปล.
แอบดีใจที่นางงามไทยเข้ารอบสิบคนสุดท้ายของเวทีนางงามจักรวาล
จนเรานี่อยากจะวาดสกลในชุดตุ๊ก
ๆ เพื่อสรรเสริญความปังของน้องแนทกันเลยทีเดียว ฮ่า ฮ่า ฮ่า...
ทุกคนคิดอ่านกับประเด็นนี้อย่างไรคะ?
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
The 02nd Bonding
ถอยกันคนละก้าว... เพื่อให้เราเดินไปพร้อมกันได้
“ไอ้เก็กมันเป็นน้องกูจริง
ๆ หรือเปล่าวะ? ทำไมถึงชอบคิดอะไรไม่เข้าท่าอยู่เรื่อย?!...
.
.
...คอยดูนะ
ถ้าบูบู้ไม่ยอมกลับมา กูจะสถาปนาตัวเองเป็นลูกคนเดียวแม่งเลย!” พอได้ตั้งสติคิดทบทวนถึงแผนการง้อแฟนของน้องชายดี
ๆ อีกครั้ง กังฟูก็ถึงกับเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างหงุดหงิด...
มีอย่างที่ไหน...
แทนที่พอทะเลาะกัน จะเปิดอกพูดคุย ไม่ก็ขอโทษขอโพยกันให้รู้เรื่อง
ไอ้น้องเวรกลับเสือกจะเล่นละครลองใจแฟนเสียอย่างนั้น
แต่นั่นยังไม่แย่เท่ากับการที่เขากับแฟนหนุ่มทั้งสองดันตบปากรับคำว่าจะให้ความช่วยเหลือไอ้เก็กไปเมื่อไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก่อนด้วยนี่สิ...
นี่มันบ้าชัด ๆ เลย!
“ใจเย็นก่อนนะฟู...
ปล่อยเรื่องน้องบ๊วยให้เก็กกับพวกนั้นจัดการกันไปดีกว่า” วิญญูเอ่ยพลางคลอเคลียไม่ห่างกายเพื่อนรักผู้เลื่อนสถานะเป็นคนรักหมาด
ๆ “ตอนนี้สิ่งที่พวกเราต้องทำ คือ เล่นไปตามบทที่เก็กบอกมานั่นแหละ แค่แสดงออกว่าพวกเราเป็นแฟนกัน... คงไม่ยากเกินไปใช่ไหม?”
คิวท์บอยสรุปจากสถานะล่าสุดระหว่างตนกับชายหนุ่มอีกสองคนตามที่ตนเข้าใจพลางปรายตามองพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยสลับกับหนุ่มร่างหมีเพื่อขอความเห็น
“...
ก็คงไม่ยากอะไรหรอกมั้ง... หรือเต๋อว่าไง?” อริยะตรัยผู้พี่แบ่งรับแบ่งสู้โดยที่ไม่ละสายตาจากใบหน้าของแฟนหนุ่มอีกคนที่นั่งนิ่งอยู่ตรงปลายเตียง...
กับด้วง...
เขาไม่นึกห่วงอะไร ด้วยที่รายนี้มักจะให้ความร่วมมือ แถมยังคอยถือหางตนเองอยู่เป็นนิจ
ทว่ากับเด็กสถาปัตย์นี่สิ
ตั้งแต่น้องชายของเขากับเหล่าลิ่วล้อยกขโยงกลับกันไป ตรินก็ตกอยู่ในภวังค์เอาแต่นั่งเงียบเสียเป็นส่วนใหญ่จนชายหนุ่มร่างเล็กเริ่มจะใจไม่ดี
“อืม ก็คงงั้น... แล้วคืนนี้จะยังไงกันดีล่ะ?” เจ้าของห้องนอนเสหลบตาแล้วรับปากแบบขอไปทีก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาจนอีกสองหนุ่มแทบจะตามไม่ทัน
กระนั้น... เมื่อเหลือบดูเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาแขวนข้างฝาที่ใกล้จะล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่ในอีกไม่กี่อึดใจ
หนุ่มวิศวะตัวสูงจึงเห็นดีเห็นงามกับคำถามของเต๋อโดยไม่คิดซักไซ้ใคร่ขวาง
“ฟูจะนอนไหนครับ?”
เพราะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศมาคุรอบ
ๆ ตัวที่เริ่มจะปะทุรุนแรงขึ้นทุกขณะทันทีที่หนุ่มร่างหมีเปิดปาก กังฟูจึงระงับความกระดากอายแล้วชะม้ายตามองแฟนทั้งสองทีละคนอย่างช้า
ๆ อย่างออดอ้อน ก่อนจะคลี่ยิ้มหวานละลายใจส่งให้เต๋อและด้วงไปพร้อม
ๆ กับเอ่ยประโยคด้วยน้ำเสียงละมุนหูที่สุดเท่าที่เคยพูดกับสิ่งมีชีวิตใด ๆ ในโลกหล้า
“เต๋อกับด้วงนอนที่ไหน
ฟูก็นอนที่นั่นน่ะแหละ” พูดจบก็ยังยิ้มกว้างค้างเติ่งอยู่อย่างนั้นทั้งที่ร้อยวันพันปีแค่จะทำหน้าให้มันดี
ๆ ยังยากเลย แต่แทนที่ความพยายามดังกล่าวจะช่วยลดความมึนตึงกึ่งประดักประเดิดที่พวยพุ่งออกมาจากร่างสูงใหญ่ตรงปลายเตียง...
ตรินกลับผุดลุกขึ้นแล้วเปรยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั้นห้วนคล้ายตัดรำคาญ
“งั้นฟูก็ไปอาบน้ำเถอะ
วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” กระทั่งขณะที่กำลังตอบคำถามของอริยะตรัยผู้พี่ หนุ่มร่างหมีก็ยังพักสายตากับใบหน้าของวิญญูโดยไม่สนใจเหลียวดูกรกฏเลยสักนิด
“ด้วง มึงเอาเสื้อผ้ามึงให้ฟูใส่ไปก่อนนะ ฟูคงใส่เสื้อผ้ากูไม่ได้ว่ะ...
เดี๋ยวกูไปดูความเรียบร้อยของห้องก่อน” สั่งความกับด้วงจบ เต๋อก็หลบออกไปอย่างรีบร้อน
ความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์จากหน้ามือเป็นหลังมือของหนุ่มสถาปัตย์
ทำให้คนที่เอาแต่ใจตัวเองเป็นที่หนึ่งถึงกับหน้าเสีย...
ที่เมื่อตอนหัวค่ำเต๋อนั่งร่วมวงคุยกับพวกรุ่นน้องได้อย่างปกติสุข
คงเพราะเจ้าตัวเห็นแก่น้องรหัสเป็นสำคัญอย่างนั้นสินะ...
ตกลงว่า การใช้เวลาร่วมกันมันน่ากระอักกระอ่วนจนต้องคอยหาทางเลี่ยงอยู่ตลอดเลยเชียวหรือ?!
ลองว่าอีกฝ่ายไม่ให้ความร่วมมือกับเขาเสียตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นความสัมพันธ์ แล้วพวกเขาสามคนจะอยู่ด้วยกันอย่างตลอดรอดฝั่งได้อย่างไร?!!
“ด้วง... ที่กูขอพวกมึงมันไม่ผิดใช่ไหม?”
คนตัวเล็กกว่าปรารภอย่างห่อเหี่ยว “กูไม่ได้เอาเปรียบจนทำร้ายความรู้สึกของมึงสองคนมากเกินไปใช่หรือเปล่า?”
แค่เจ้าของห้องทำเมินเดินผละไปโดยไม่แยแสกับท่าทีโอนอ่อนของเขาเมื่อสักครู่
กังฟูก็ไม่รู้จะประคองสติอย่างไรให้ยังไม่ถอดใจไปเสียก่อน
“คบกันมาตั้งนาน
รู้จักฟูมาตั้งกี่ปี ด้วงรู้นะว่า ถ้าเลือกได้ฟูคงไม่อยากรักทั้งเต๋อและด้วงจนสุดท้ายทุกอย่างบานปลายกลายมาเป็นแบบนี้หรอก...
.
.
...แต่พอคิดในมุมกลับ
พวกเราสามคนก็โชคดีกว่าคนอื่นไม่ใช่เหรอ ที่พอได้รู้จักความรัก ก็ได้รักกับคนดี ๆ พร้อมกันทีเดียวตั้งสองคนน่ะ”
หนุ่มวิศวะหน้าหยกผู้สังเกตการณ์ความเป็นไประหว่างกังฟูและเต๋อมาตั้งแต่แรกเริ่มคลี่ยิ้มบาง ๆ พลางจุดประกายความคิดให้อีกฝ่ายได้วิเคราะห์
เมื่อเห็นว่าพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยยังคงทำหน้ายุ่งพลางขมวดคิ้วแน่นด้วยความรู้สึกวิตกยังไม่บรรเทา ด้วงจึงจูงมือคนรักให้ลุกขึ้นแล้วสวมกอดอีกฝ่ายเอาไว้หลวม
ๆ ก่อนจะอธิบายเพิ่มเติมถึงการประเมินความคิดของเต๋อคร่าว ๆ ตามที่ตนพอจะเข้าใจ
“ถึงจะไม่มีใครรู้อนาคต
แต่แค่รู้ว่า... ทางเลือกนี้จะทำให้พวกเรามีฟูอยู่ข้าง ๆ ไปเรื่อย ๆ
ด้วงก็เต็มใจที่จะเลือกเดินไปกับฟูอย่างไม่ต้องสงสัย
ซึ่งมันน่าจะเป็นเหตุผลเดียวกันที่เต๋อเลือก ‘เราสามคน’ มากกว่าจะปล่อยให้ไม่มีใครสมหวังสักคนเลยยังไงล่ะครับฟู”
.
.
.
.
.
.
.
.
“เหรอ?” กังฟูหลับตาพลางกดหน้าใบหน้าลงกับแผ่นอกของคนรักอย่างหมดเรี่ยวแรง...
ทั้งที่คิดว่าตัวเองน่าจะพอรับมือไหว
แต่พอเอาเข้าจริง ตรินกลับใจแข็งกว่าที่เขาคิดเอาไว้เยอะมาก ๆ...
ทำไมเขาต้องตัดสินใจเลือกทางเดินที่ยากเย็นเข็ญใจขนาดนี้ด้วยก็ไม่รู้?!
“ด้วงคงตอบคำถามแทนเต๋อไม่ได้หรอกนะฟู...
ดีไม่ดี ความเห็นด้วงอาจฟังไม่เข้าท่าด้วยซ้ำ” วิญญูยอมรับอย่างจนแต้มเพราะฟันธงไม่ได้ว่า
ข้อสันนิษฐานที่ตนใช้สร้างขวัญกำลังใจให้อีกฝ่ายไปเมื่อครู่
จะตรงกับสิ่งที่อยู่ในหัวของเต๋อจริงหรือไม่
“เอาอย่างนี้ดีไหม
เอาไว้ฟูเข้าไปอาบน้ำเสร็จแล้วเราค่อยถามเต๋อก่อนนอนพร้อมกัน
ฟูจะได้ฟังทุกอย่างจากปากเต๋อด้วยตัวของตัวเอง”
“...แต่...
/ ไปเถอะครับฟู
ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ ทบทวน แล้วจะถามเจาะลึกกับทั้งเต๋อหรือด้วงเมื่อไรก็ได้
ยังไงพวกเราก็ไม่หนีไปไหนหรอก” ชายหนุ่มรูปหล่อรั้งตำแหน่งคิวท์บอยประจำมหาลัยเหลือบมองเวลาอีกครั้งระหว่างพยายามเกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย
สุดท้ายจึงรุนแผ่นหลังบางให้สาวเท้าเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะปิดประตูห้องน้ำเพื่อบังคับให้กังฟูรีบจัดการตัวเองให้เสร็จกลาย
ๆ โดยไม่สนใจเสียงประท้วงจากคนข้างในเลยสักนิด
เรื่องอะไรเขาจะปล่อยให้คนรักเข้านอนดึกจนเกินไปตั้งแต่คืนแรกที่ตกลงคบหากัน...
อีกอย่าง ถึงด้วงจะไม่ต่อต้านสถานะ
‘เราสามคน’ รุนแรงเท่ากับตริน ก็ใช่ว่าเขาจะไม่รู้สึกอึดอัดเวลาหมีไม่พอใจเสียหน่อย...
ขืนเขาปล่อยให้ร่างเล็กยังอยู่ในสภาพไม่พร้อมนอนไปนาน ๆ เต๋อคงจะยิ่งพาลแล้วเงียบไปกันใหญ่แน่ ๆ
ราว ๆ
เกือบตีสองของคืนเดียวกันนั้นเอง
ณ
ขณะที่ตระหนักชัดแล้วว่า ความพยายามในการข่มตานอนกว่าชั่วโมงไม่เป็นผล...
ร่างเล็กผู้ครอบครองพื้นที่บนเตียงนอนระหว่างหมีทั้งสองโดยชอบธรรมก็ค่อย
ๆ ขยับพลิกตัวด้วยไม่อยากทำให้เจ้าของอ้อมกอดหน้าหยกตื่นขึ้นเสียก่อน เปลือกตาบางเบิกจ้องใบหน้ายามหลับของคนนอนอีกข้างที่เอาแต่กอดตัวเองแน่นหลังจากบ่ายเบี่ยงไม่ยอมต่อบทสนทนาก่อนนอนกับตนด้วยเหตุผลว่า
รู้สึกเหนื่อยจนแทบลืมตาไม่ขึ้น
ความรู้สึกพิเศษที่มีต่ออีกฝ่ายทำให้เค้าโครงใบหน้าคมเข้มรวมทั้งรายละเอียดปลีกย่อยทางกายภาพทุกประการของตริน
แจ่มชัดแม้ความมืดจะทำหน้าที่ของมันอย่างไม่บิดพลิ้ว แทบไม่ทันรู้ตัว... ปลายนิ้วเรียวก็ยื่นไปแตะหัวคิ้วที่ย่นนิด
ๆ ของอีกฝ่าย นวดเบา ๆ เพื่อให้มันคลายออกจากกัน
แล้วจึงเลื่อนฝ่ามือไปลูบไล้แก้มสากโดยแทบไม่ลงน้ำหนักพลางเฝ้าถามตัวเองซ้ำ
ๆ ว่า เขาควรทำอย่างไรกับวันพรุ่งนี้ดี?
คลื่นความหวั่นไหวระลอกแล้ว
ระลอกเล่าพัดโหมกระหน่ำ นำพาความรู้สึกเหน็บหนาวอ้างว้างซึ่งไม่ผิดแผกไปจากเมื่อสองคืนก่อนให้กลับมาหลอกหลอนกรกฏจนอกสั่นหวั่นไหวอีกครั้ง
จริงอยู่...
ถึงจะได้ในสิ่งที่ต้องการ... ได้อยู่ในความสัมพันธ์กับทั้งเต๋อและด้วงแล้วก็ตาม
ทว่าท่าทีนิ่งเฉยกับความเงียบงันที่จับต้องได้
กลับย้ำเตือนให้กังฟูรู้แจ้งแก่ใจว่า
หนุ่มสถาปัตย์ไม่อาจทำใจยอมรับสถานะที่เขาเรียกร้องได้เลยสักนิด
กระนั้น...
แม้ความคิดทั้งหลายจะยังไม่ตกตะกอน แต่ที่สุดแล้ว ลำแขนแกร่งแสนอบอุ่นที่เขากำลังเกาะกุมอย่างหวงแหนอยู่นั้น
ก็ไม่ต่างอะไรกับยานอนหลับชั้นดีที่กระซิบข้างหูแผ่ว ๆ ชวนให้เขายิ่งรู้สึกผ่อนคลายจนค่อย
ๆ ปิดเปลือกตา...
สัมผัสนั้นเฝ้าย้ำกับเขาว่า
อย่างน้อย ๆ จนถึงวันพรุ่งนี้...
เขาจะมีดวงอาทิตย์โคจรรอบตัวจนไม่ต้องเกรงกลัวความเหน็บหนาวหรือมืดมนอีกต่อไปแล้ว
หากความรู้สึกวิตกกังวลไม่ยอมจำนนต่อความง่วงงุนไปเสียก่อน
กรกฏคงได้ประจักษ์ไปนานแล้วว่า
ทั้งตรินและวิญญูหาได้ตกอยู่ในห้วงนิทราอย่างที่เผลอเข้าใจ
ฝ่ายแรกถูกความรู้สึกสับสนกับบทสรุปความสัมพันธ์ระหว่างตนกับหนุ่มวิศวะทั้งสอง
ฉุดรั้งตัวเขาให้ยังคงจมดิ่งอยู่ในห้วงความความคิดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด...
จะเป็นไปได้หรือที่มนุษย์เราจะสามารถรักใครอื่นในเชิงชู้สาวได้มากกว่าหนึ่งคนพร้อม
ๆ กัน?!...
และถึงความเป็นไปได้ทำนองนั้นจะมีอยู่จริง
คนอย่างเขาเนี่ยะนะจะเกิดรู้สึกรักใคร่
และ ‘ปรารถนา’
ในตัวหนุ่มหน้าหยกได้อย่างรุนแรงเหมือนที่รู้สึกกับกังฟู?!
ส่วนสาเหตุที่ทำวิญญูยังสลัดความกังวลทิ้งไปไม่ได้
มาจากสภาวะผิดปกติทางอารมณ์ของกรกฏเป็นสำคัญ เพราะยิ่งเต๋อออกอาการผลักไสไม่ใยดีอริยะตรัยผู้พี่มากเท่าไร สุดที่รักของเขาก็ยิ่งเศร้าสร้อยจนเขาทนดูไม่ได้มากขึ้นเท่านั้น...
หลังจากได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของคนในอ้อมกอด คิวท์บอยคนล่าสุดก็กระชับวงแขนรวบแผ่นหลังเล็ก
ๆ เข้าแนบอกพร้อมตกลงกับตัวเองว่า เมื่อฟ้าสว่าง เขาจะสร้างโอกาสงาม ๆ แก่คนรัก
เพื่อที่กรกฏจะได้เคลียร์เรื่องค้างคาใจกับหนุ่มสถาปัตย์อย่างเป็นรูปธรรมให้สำเร็จ
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
“มึงตื่นนานแล้วเหรอ?”
วิญญูในสภาพเพิ่งตื่นนอนส่งเสียงถามคนยืนพิงเคาน์เตอร์ครัวอย่างเหม่อลอยระหว่างรอเครื่องชงกาแฟทำงาน
หนุ่มหน้าหยกเดินเฉียดอีกฝ่ายฉีกไปเสียบปลั๊กเครื่องปิ้งขนมปังพลางถามต่อ
“เมื่อคืนนอนไม่หลับหรือไง?... เช้านี้มึงจะกินกี่แผ่น?” หนุ่มวิศวะชูขนมปังแถวใหญ่ขึ้นตรงหน้าอีกฝ่ายที่ยังยืนนิ่งไม่ตอบอะไรตั้งแต่เมื่อครู่
เมื่อรู้สึกตัวว่าโดนกดดันด้วยสายตา
เต๋อก็ยอมเบือนหน้าไปจ้องเด็กหนุ่มต่างคณะครู่หนึ่งก่อนจะเบือนหน้ากลับไปจับจ้องสายน้ำสีเข้มหอมกรุ่นที่ค่อย
ๆ หยดลงในช็อตอย่างอ้อยอิ่งแล้วก็นิ่งไปอีกคราว
จนกลายเป็นด้วงเสียเองที่ต้องขุดเอาคำถามอื่น ๆ ขึ้นมาแงะปากหนัก ๆ
ของอีกฝ่ายให้เปิดอ้า
“วันนี้มึงมีเรียนบ่ายใช่ไหม?”
.
.
.
.
.
.
.
.
“อือ”
กว่าจะยอมตอบ หนุ่มร่างหมีก็ต้องรอให้มีเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอร่วมกับเสียงถอนหายใจของคนข้าง
ๆ ดังคลอขึ้นอยู่นานสองนาน กระนั้น... คิวท์บอยคนล่าสุดก็ยังกัดไม่ปล่อย
“งั้นทำอะไรกินกันดีล่ะ?”
“จะทำอะไรก็ทำ...
กูไม่หิว” ขาดคำ ร่างสูงก็ยกแก้วกาแฟขึ้นซดเสียครึ่งช็อต ทว่าอาณุภาพของกาแฟกลับไม่ได้ช่วยให้นัยน์ตาเลื่อนลอยนั่นกลับมาโฟกัสได้อีกครั้ง วิญญูแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้กับท่าทางสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวของตรินแล้วเลี่ยงไปเปิดตู้เย็นค้นวัตถุดิบสำหรับเตรียมอาหารเช้าควบกลางวันให้แก่พวกเขาทั้งสามทันที
“งั้นมึงช่วยไปปลุกฟูทีดิ เดี๋ยวกูจะลองค้นของสดในตู้ดูก่อน” ฝ่ายที่ทำทีเป็นสาละวนอยู่กับผักหญ้าตรงหน้าขอร้องแกมบังคับคนว่างกว่าเพราะอยากจะทำตามความตั้งใจเดิมที่คิดเอาไว้เมื่อตอนก่อนนอน
กระนั้นแล้วกลับต้องอ่อนใจ เพราะคนฟังยังคงยืนซึมกระทืออยู่ที่เดิมจนต้องกระทุ้งไปอีกรอบ
“เต๋ออออออ
มัวแต่เหม่ออะไรอยู่วะ?... เร็ว ๆ ดิ สายแล้ว... ไปปลุกฟูมากินกาแฟรองท้องก่อน จะได้ไม่เป็นโรคกระเพาะ”
ทันทีที่ได้ยินคำว่ากังฟู หมีหนุ่มก็กลับมามีปฏิกิริยาอีกครั้ง...
ด้วงมองตามแผ่นหลังกว้างของร่างสูงใหญ่ที่ดูจะหดลงเล็กน้อยหลังจากเจ้าตัวเล่นถอนหายใจหนักหน่วงจนตัวยอบด้วยความรู้สึกหลากหลาย ใจหนึ่งก็ลุ้นให้กรกฏที่ตื่นขึ้นพร้อม ๆ
ตนเมื่อสักครู่ได้โอกาสเคลียร์เรื่องไม่สบายใจกับอีกฝ่ายให้หายหน่วงกันเสียที แต่อีกใจกลับรู้สึกสงสารหนุ่มสถาปัตย์ร่างหมีที่ค่อย
ๆ ลากขาเดินเข้าไปในห้องนอนด้วยใบหน้าเฉกเช่นนักโทษคดีอุกฉกรรจ์กำลังก้าวสู่แดนประหารขึ้นมาตงิด
ๆ
แม้ความรู้สึกสับสนจะเล่นงานตรินจนเอาแต่ว่ายวนอยู่ในห้วงความคิดไม่เลิกรา แต่ชายหนุ่มก็ยังจำได้อยู่หรอกว่า เหตุที่ต้องย้อนกลับเข้ามาในห้องนอนทั้งที่ไม่เต็มใจนี่เพื่อจุดมุ่งหมายอันใด
กระนั้น... หลังจากที่เปิดประตูห้องเข้าด้านใน เขากลับไม่เห็นร่างเล็กหลับไหลอยู่บนเตียงอย่างที่วิญญูอ้างอิง
ดีจริงที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากับอริยะตรัยผู้พี่สองต่อสองในตอนนี้...
เขาอยากมีเวลาคิดทบทวนเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับอีกสองหนุ่มต่ออีกสักหน่อย
ทว่าจังหวะที่กำลังจะก้าวออกจากห้องนอนไปนั้น
ประตูห้องน้ำที่เปิดแง้มอยู่เพียงเสี้ยว
ก็ทำให้เขาได้ยินสุ้มเสียงหงุดหงิดของใครอีกคนดังลอดออกมาจนต้องรั้งขาไม่ให้ออกเดิน
“นี่...
คิดอะไรอยู่เหรอ? บอกฟูได้หรือเปล่า?” หลังจากประโยคเมื่อครู่จบลง ก็มีเสียงบ่นของเจ้าตัวดังส่งท้ายยาวเหยียด
“โว้ย!! ไม่เอาอย่างนั้นซี่... หน้าตานิ่งเป็นปลาตายแบบเมื่อกี๊แม่งโคตรดูไม่ได้! เสียงก็ธรรมดาไป ต้องพูดให้อ่อนโยนกว่านี้...
เอาใหม่!”
ประโยคที่เพิ่งได้ยินไปหมาด
ๆ ทำเอาตรินต้องเปลี่ยนอิริยาบทจากเงี่ยหูฟังเป็นค่อย ๆ ย่องไปแนบดวงตาเข้ากับช่องแสงเล็ก
ๆ ซึ่งเผยให้เห็นร่างของคนรักที่ส่งเสียงล้งเล้งทะเลาะกับตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ในห้องน้ำได้อย่างชัดเจน
“เต๋อ
เต๋องอนฟูเหรอ? งื้ออออออ... ฟูขอโทษนะที่เอาแต่ใจเกินไป” อริยะตรัยผู้พี่ยกมือขึ้นกุมตรงหน้าอก
กัดปากพลางทำหน้ากระเง้ากระงอดจนดูน่าตลกในสายตาของหนุ่มสถาปัตย์ “แล้วเมื่อกี๊จะงื้อทำไม?
อีกนิดก็จะพูดจาไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว!! อ้อนเว่ย ไม่ใช่ทำตัวปัญญาอ่อน!!!”
หลังจากถูหน้าตัวเองแรง ๆ จนคนแอบดูอดห่วงไม่ได้ พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยก็สูดลมหายใจเข้าจนสุด
แล้วก็เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
“เต๋อ...
มึงก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าถ้ากูไม่รักมึงซะอย่าง
กูก็ไม่มีทางคิดเรื่องสามคนผัวเมียอะไรแบบนี้หรอกนะเว่ย!!!” ตรินกลั้นขำแทบไม่ทันเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของกรกฏเมื่อสักครู่...
ถ้าไม่ติดว่าแอบดูอยู่
คงได้เดินเข้าไปถามอีกฝ่ายแล้วว่า คนอ้อนมิติไหนกันถึงทำหน้าข่มขู่คล้ายหิวเงินใส่คนฟังบ้าง
แต่คงไม่ต้องรอให้กระแสจิตของเต๋อส่งไปถึง
เพราะลำพังคนทำก็แทบทนกับความพยายามครั้งก่อนหน้าของตัวเองไม่ได้
“พูดแบบนั้นแล้วไอ้หมีมันจะเข้าใจไหมล่ะ?
เดี๋ยวก็น้อยใจไปอีก!! โอ๊ยยยยย!!! ทำไมมันยากอย่างนี้วะ?!!”
ร่างเล็กวักน้ำสาดหน้าตัวเองอย่างบ้าคลั่งจนต้องยืนหอบหายใจพักเหนื่อยอยู่นานสองนาน...
อริยะตรัยผู้พี่กำลังชั่งใจเลือกระหว่างจะผดุงจิตวิญญาณของความเป็นชายชาตรีผู้รักศักดิ์ศรีไม่มีใครเกิน
กับยอมหลับหูหลับตารับบทพริตตี้เชิญชวนให้ทั้งสองหนุ่มตกหลุมรักตนเองอย่างหัวปักหัวปำจนไม่คิดจะขอเลิก
แต่พอคิดสะระตะถึงความรู้สึกแทบขาดใจที่สัมผัสไปเมื่อสองวันก่อน หนุ่มวิศวะร่างกะทัดรัดก็ตัดสินใจได้
“ไม่ได้นะฟู
มึงจะห่วงฟอร์มอยู่ไม่ได้...
...เอาแต่ใจขนาดนี้
ก็ต้องยอมถอย ยอมทำอะไรที่ไม่เคยทำเพื่อความสุขของพวกมันสองคนบ้างได้แล้ว...
.
.
...ถ้ารักพวกมัน
อยากอยู่กับพวกมันสองคนไปตลอด... มึงก็ต้องห้ามป๊อดเป็นอันขาดนะฟู...
...ถึงเวลาที่มึงต้องยอมแสดงออกความรู้สึกออกให้พวกมันรู้เสียที มึงเข้าใจไหม?!” ร่างเล็กพูดพลางชี้หน้าตัวเองในกระจกด้วยสายตามุ่งมั่นก่อนจะตะโกนเสียงดังเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้พร้อมจะสู้กับความอับอายทุก
ๆ รูปแบบ “ย้ากกกกกก!! สู้โว้ยยยยย!!!”
ตรินไม่ได้อยู่รอฟัง
หรือคอยดูว่าหลังจากเสียงสุดท้ายที่ได้ยินนั้น อริยะตรัยผู้ที่จะทำอะไรแผลง ๆ
เพื่อปลุกปลอบตัวเองอีกหรือไม่
ความในใจจากปากคนรักที่เพิ่งได้ยิน
สะท้อนวาบเข้ามาในหัวจนหนุ่มสถาปัตย์เริ่มจะฉุกคิดและมองทุก ๆ
สิ่งในมุมที่ต่างออกไป...
แล้วตัวเขาล่ะ?
เขาควรทำอะไรบางอย่างเพื่อความรักครั้งนี้ได้แล้วหรือยัง?
“อ้าว! แล้วฟูล่ะ?” เพราะไม่คาดหวังว่าตรินจะกลับออกมาเพียงลำพัง
ด้วงที่นั่งเพลิดเพลินกับกาแฟและขนมปังอยู่หน้าทีวีจึงต้องถามถึงอีกคน
“ตื่นแล้ว...
อยู่ในห้องน้ำ”
“อ๋อเหรอ”
ด้วงรับคำแกน ๆ พลางปรายตามองสีหน้าหม่นหมองของตรินแล้วครุ่นคิด... ออกมาเร็วขนาดนี้โดยที่ห้องนอนไม่ถล่มโลกยังไม่ล่มสลาย สงสัยว่าเขาคงหนีตำแหน่งกาวใจของคนรักทั้งสองไปไม่พ้นเสียล่ะมั้ง
“นั่งดิ กูปิ้งหนมปังเผื่อแล้ว นั่นแก้วมึง...
กูถือติดมือมาให้ด้วย” พูดจบ วิญญูก็กัดขนมปังปิ้งดังกร้วมก่อนจะตบเบาะเบา ๆ
แล้วพูดชักชวนราวกับเป็นเจ้าของห้องเสียเอง
“ขอบใจว่ะ”
เต๋อหย่อนตัวนั่งข้าง ๆ กันพลางนึกชมอีกฝ่ายอยู่ในใจที่ทั้งรอบคอบ และใส่ใจกับรายละเอียดเกี่ยวกับทุก
ๆ คนเป็นอย่างดี
“เต๋อ”
คิวท์บอยรอให้คนนั่งข้างจิบกาแฟสักพักแล้วจึงเปิดประเด็นอย่างอึกอัก “มึงโอเคหรือเปล่าเนี่ย?”
“กูก็ปกติดี
มึงถามทำไม?” แม้หนุ่มร่างหมีจะตอบเรียบ ๆ แต่การเลิกอมขี้ฟันแล้วมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์คนอื่น
ๆ บ้างก็ทำให้เด็กวิศวะพลอยโล่งใจจนกล้าสานต่อบทสนทนาโดยไม่รอช้า
“แต่ปกติมึงไม่เงียบแบบนี้
มึงเงียบเหมือนตอนที่มึงกังวลเรื่องฟูวันนั้นเลย” วิญญูหรี่ตามองหาพิรุธบนใบหน้าคมเข้ม
“มึงรับไม่ได้เรื่องที่ต้องคบกับฟูโดยที่มีกูอยู่ด้วยใช่ไหม?” หนุ่มหน้าหยกยิงตรงเข้ากลางเป้าอันเป็นต้นตอของปัญหาหนักอกของอีกฝ่ายโดยไม่ต้องใคร่ครวญ...
สาเหตุที่อีกฝ่ายทำหน้าหงิกติดพันมาตั้งแต่เมื่อวาน ก็เพราะมันยังทำใจเรื่องของตนกับกังฟูไม่ได้แน่
ๆ
“ไม่ตอบแปลว่ายอมรับ”
พอโดนเค้นมาก ๆ เข้าก็กลายเป็นว่าทั้งสองต่างก็ถอนหายใจใส่อีกฝ่ายหนัก ๆ ประหนึ่งกำลังประลองพลังวัตรกันอยู่
“เต๋อ... มึงยอมรับมาเถอะ ปัญหาคือกูใช่ไหม?”
หนุ่มหน้าหยกจ้องเสี้ยวหน้าคู่สนทนาไม่วาง
“เปล่าหรอก
ปัญหาจริง ๆ คือกูต่างหาก” ด้วงนั่งฟังเงียบ ๆ
ปล่อยเวลาให้หมุนผ่านไปอย่างช้า ๆ เพราะไม่อยากคาดคั้น ส่วนหนุ่มสถาปัตย์ก็กำลังเรียบเรียงประโยคที่จะตอบคำถามของอีกฝ่ายได้อย่างรวบรัดที่สุด
.
.
.
.
.
.
.
“กูคิดมาตลอดว่า
ความสัมพันธ์ฉันท์คนรัก คือ การคบหาดูใจกันของคนสองคนที่รู้สึกตรงกัน...
...แต่พอต้องมากันสามคนโดยไม่ทันได้เตรียมใจ
กูก็ไม่รู้ว่ากูต้องทำตัวยังไง หรือควรอยู่ตรงไหนเวลาฟูอยู่กับมึงดี...
.
.
...จนตอนนี้
กูก็ยังห้ามตัวเองไม่ให้คิดว่ากูเป็นส่วนเกินระหว่างมึงสองคนไม่ได้เลย” คำสารภาพของหนุ่มร่างหมีถูกตอกกลับอย่างฉับพลันด้วยคำถามผ่านน้ำเสียงเย้ยหยันระคนประชดประชันของคนฟัง
“มึงเลยทำตัวเป็นอากาศธาตุ
ไม่ออกความเห็น ไม่ส่งเสียง... เนี่ยนะวิธีแสดงออกของมึง?!! / ก็กูไม่เคยคิดเรื่องจะแบ่งฟูกับใครมาก่อนเลยนี่หว่า... ถึงผู้ชายอีกคนจะเป็นมึงก็เถอะ!!!” ตรินหลุดปากขึ้นเสียงใส่อีกฝ่ายอย่างสุดทน
ทว่าคิวท์บอยคนล่ากลับไม่ได้เต้นตาม
“เต๋อ...
ถ้ามึงยังไม่เลอะเลือน มึงคงรู้นะว่า ที่ผ่านมา...
กูก็ไม่ได้เตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้มาก่อนเหมือนกัน เมื่อวานตอนที่ฟูบอกว่ารักมึง กูก็เจ็บนะเว่ย”
วิญญูอธิบายจุดยืนของตัวเองที่แทบจะไม่แตกต่างกับอีกฝ่าย ตราบจนเมื่อได้เห็นใบหน้าขาวเนียนของคนที่ตัวเองเฝ้าแอบรักมาตลอดชีวิตเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา
เขาก็ยอมแพ้ไม่เป็นท่าในชั่วพริบตาเดียว
“หึ!”
ไม่จำเป็นต้องพูด
เด็กวิศวะก็รู้ว่าเสียงหัวเราะเยาะในลำคอเมื่อสักครู่ สื่อความหมายเช่นไร
ชายหนุ่มหน้าหยกหลับตาพลางสูดลมหายใจเข้าจนสุดเพื่อระงับโทสะที่ผุดขึ้นหลังจากการโต้คารมเมื่อสักครู่ให้มอดลง ในเมื่อทางโน้นร้อนรุ่ม
เขาก็จะไม่คุ้มคลั่งสร้างปัญหาเพิ่ม
“เต๋อ
ที่กูถามมึงเนี่ย ไม่ใช่จะเพราะหาเรื่องอะไรมึงหรอกนะ” ด้วงพูดช้า ๆ อย่างใจเย็น
“แต่เพราะกูอยากจะบอกมึงว่า กูรักฟูมาก...
รักมากเสียจนกูยอมให้มึงเป็นอีกคนที่จะอยู่ดูแลฟูไปพร้อม ๆ กันได้
ถ้านั่นจะทำให้ฟูยิ้มและมีความสุขทุก ๆ วัน...
.
.
...แล้วมึงล่ะ?...
...มึงคนที่บอกว่ารักฟูไม่น้อยไปกว่ากู
มึงพร้อมจะทำเพื่อฟูได้ไหม?” คำถามนี้ทำเอาคนตอบสบตาด้วงด้วยสายตาเคลือบแคลงคล้ายไม่ไว้ใจในเจตนาเบื้องหลังจนเจ้าตัวจำต้องอธิบายตัวเองให้วุ่นวาย
“อย่ามองกูแบบนั้น... ที่มาคุยเนี่ยฟูไม่เกี่ยวอะไรด้วย... เมื่อกี๊ก็อุตส่าห์เปิดโอกาสให้มึงกับฟูได้เคลียร์กันแท้
ๆ สงสัยจะกะจังหวะได้ไม่ดีเท่าไร” หนุ่มวิศวะบ่นกับตัวเองเบา ๆ
นอกจากจะทำตัวเป็นปกติแถมดูจะรับมือกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานได้ดียิ่งกว่าเขาหลายเท่าตัวแล้ว
ท่าทางไม่เดือดร้อนกับความสัมพันธ์แปลกประหลาดเกิน
ๆ ขาด ๆ ของพวกเขาทั้งสามที่วิญญูแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติเหลือเกิน คือ สิ่งที่ตรินยังไม่เข้าใจ
“ด้วง...
มึงไม่รู้สึกแปลก ๆ เหรอวะถ้าต้องเห็นกูกับฟูจู๋จี๋กันน่ะ?”
“ไม่รู้ดิ
ถ้ามึงทำอะไรฟู... กูก็คงจะทำแบบนั้นกับฟูมั่งล่ะมั้ง
เรื่องอะไรกูจะปล่อยให้มึงมีความสุขกับฟูได้ตามใจกันล่ะ?” วิญญูยักไหลพลางลอยหน้าลอยตาตอบจนคนมองถึงกับอึ้ง...
อะไรมันจะใจกว้างเป็นมหาสมุทรได้ขนาดนั้นวะ?!!
“มึงไม่รู้สึกแปลก
ๆ เหรอ?” ในเมื่ออีกฝ่ายเล่นตอบมาแบบนี้ หนุ่มร่างหมีก็ไม่อาจระงับความสงสัยเอาไว้ได้อีกต่อไป
“มึงไม่หวง? ไม่หึงฟูเลยเหรอ?”
“เต๋อ...
ถ้ามึงแอบรักฟูมาเป็นสิบ ๆ ปีแล้วฝันว่าจะได้รับความรักตอบแทนมาตลอด
แค่เขายอมให้กูกอด ให้กูหอม ยอมให้กูอยู่ใกล้ ๆ ด้วยความเต็มใจโดยที่กูไม่ต้องแอ๊บทำตัวเป็นอย่างอื่น
กูก็สุขจนแทบไม่คิดหน้าคิดหลังอะไรแล้วว่ะ...
.
.
.
...มันก็จริง...
ที่มึงจะได้ทำโน่นนี่นั่นกับเขาเหมือน ๆ กัน...
...แต่ตราบใดที่ฟูรักกูไม่น้อยไปกว่าที่รักมึง
กูก็ไม่ขออะไรมากไปกว่านี้แล้วจริง ๆ นะเว่ย” เสียงถอนใจของด้วงในรอบนี้ไม่ได้มาพร้อมกับความรู้สึกหนักอก...
หากได้ลองสังเกตใบหน้าและแววตาของคิวท์บอยหน้าหยกอย่างใกล้ชิด
จะรู้ได้ทันทีว่า ที่เจ้าตัวต้องระบายลมหายใจอย่างหนักหน่วง
เป็นเพราะสุดท้าย ตนเองก็สามารถยอมรับความสัมพันธ์แบบ
‘เราสามคน’ ได้อย่างหน้าตาเฉย และที่น่าตกใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ
เขาดันกล้าเอ่ยเรื่องนี้ออกมาต่อหน้าต่อตาว่าที่แฟนในความรู้สึกอย่างไม่มีอาการเก้อกระดากแต่อย่างใดนี่สิ!
“กระทั่งเรื่องอย่างว่ามึงก็โอเคงั้นเหรอ?
/
เรื่องนั้นไว้กูค่อยคิดมากอีกทีตอนที่เขาให้มึงแล้วไม่ให้กูก็แล้วกัน!” แม้ความรักสุดมักน้อยของวิญญูจะจุดประกายความสงสัยของตรินให้ลุกโชติช่วง
แต่แล้วด้วงก็รวบรัดตัดความจนเต๋อไม่มีโอกาสอ้าปากถามในเรื่องที่กระทั่งเจ้าตัวก็ยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถรับมือได้ดีเหมือนที่ประกาศออกไปเมื่อกี๊จริงหรือเปล่า
“กูไม่ได้ใจกว้างกับใครก็ได้หรอกนะเต๋อ...
...แต่เพราะกูรู้ดีว่า
กว่าฟูจะยอมรับตัวเองได้น่ะไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ กูถึงได้ยอมรับเงื่อนไขของเขาโดยไม่มีข้อแม้ยังไงล่ะ...
.
...แค่คนที่เกลียดเกย์ยิ่งกว่าอะไรอย่างฟู
ยอมลดทิฐิมาสารภาพรักกับผู้ชายแถมยังเต็มใจจะแบกรับสถานะเกย์ที่มีคู่ขาถึงสองคนนี่ยังไม่ทำให้มึงซึ้งได้อีกเหรอวะ?”
กับคำถามเมื่อครู่
ด้วงไม่ได้หวังจะฟังคำตอบแต่อย่างใด...
มันถูกเอ่ยออกไปเพื่อกระตุ้นให้อีกฝ่ายได้ตระหนักถึงความยากลำบากในการตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตของอริยะตรัยผู้พี่
หาใช่คำถามที่เขาตั้งใจจะใช้มันเรียกสติของเต๋อให้กลับมาโดยเร็วก่อนทิ่อริยะตรัยคนพี่จะหดหู่ยิ่งไปกว่านี้
อย่างที่กำลังจะเอ่ยนี่อย่างไรล่ะ
“กูจะปล่อยให้มึงได้ไตร่ตรองดูเอาเองก็แล้วกัน
แต่ก่อนหน้านั้น... ฝากมึงถามตัวเองดูอีกทีนึงนะเต๋อ...
.
.
...ที่มึงรับคำขอของฟูไม่ได้...
เพราะมึงห่วงว่าฟูจะไม่แฮปปี้ หรือกลัวตัวเองจะไม่มีความสุขกันแน่?”
ประโยคของวิญญูเหมือนหมัดฮุคที่ยิงตรงกระแทกหัวใจตรินเข้าอย่างจัง
อิทธิพลของมัน ตอกย้ำความรู้สึกที่ยังไม่มีข้อสรุปหลังจากที่ได้ยินกังฟูคุยกับตัวเองในห้องน้ำไปเมื่อครู่
ใช่... ตกลงแล้ว เขากำลังกลัวอะไรกันแน่?!
ที่เมื่อวานรับปากกรกฏไป เพียงเพราะไม่ต้องการเห็นน้ำตาหรือสีหน้าโศกเศร้าเสียใจของอีกฝ่ายไม่ใช่หรือ?
แล้วการที่เอาแต่อมทุกข์อยู่ทุกขณะจิตอย่างที่เป็นอยู่นี่
ก็ใช่ว่าพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยจะสัมผัสไม่ได้เสียหน่อย
ดีไม่ดี... นับตั้งแต่หัวค่ำที่ผ่านมา ท่าทีดังกล่าวของเขาอาจจะทำให้อีกฝ่ายเสียใจไปหลายครั้งแล้วก็ได้...
ใครจะรู้
ถ้าหากสิ่งที่เขาเป็น คือ การมีชีวิตอยู่เพื่อรักกรกฏสุดหัวใจ
และในเมื่อกังฟูเลือกเขา...
เขาก็ควรจะดื่มด่ำกับความสุขนั้นให้เต็มที่
แค่มีด้วงเพิ่มเข้ามาอีกคน
ก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลยนี่นา
“ลุก!” เต๋อสั่งพลางยืดตัวขึ้นยืนเต็มความสูงพร้อมกับส่งมือข้างหนึ่งให้คู่สนทนาที่ตกอยู่ในสภาวะเอ๋ออย่างกะทันหัน
“อะไร?!”
“ไปกับกู! / ไปไหน?” หนุ่มสถาปัตย์ไม่รอให้วิญญูตั้งสติ
ร่างสูงใหญ่โน้มตัวลงไปฉุดแขนอีกคนให้ลุกตามกัน
ซึ่งท่าทางหุนหันพลันแล่นไม่มีแบบแผน ไม่มีบอกกล่าวแบบนั้นทำให้ด้วงยิ่งสับสนไปกันใหญ่
“เดี๋ยวสิ! มึงจะรีบไปไหนเนี่ย?” คนถูกจูงถามด้วยเสียงตื่นตระหนก ด้วงไม่ได้กำลังวิตกทำนองว่าจะโดนอีกฝ่ายลากไปประทุษร้ายแต่อย่างใด
แต่เพราะไอ้อาการนั่งนิ่งไปนาน ๆ แล้วอยู่ ๆ ก็เกิดเปลี่ยนใจ ลุกขึ้นเคลื่อนไหวอย่างฉับไว
ถือว่าอยู่นอกเหนือความรับผิดชอบที่ต้องคิดหาคำตอบด้วยตัวเองได้จริง ๆ
”กูจะไปคุยกับฟูเรื่องของพวกเรา”
สีหน้าว่างเปล่าของหนุ่มวิศวะที่บอกกลาย ๆ ว่า ตนเองไม่น่าจะเกี่ยวกับแผนการดังกล่าวแต่อย่างใด
ทำให้ตรินต้องสาธยายรายละเอียดอย่างเสียไม่ได้อย่างรวดเร็ว “ไหน ๆ ก็ตัดสินใจจะร่วมหัวจมท้ายกันแล้ว
เวลาจะคุยเรื่องอะไรก็คุยตอนอยู่พร้อมหน้ากันทีเดียวนี่แหละ
จะได้ไม่มีปัญหาตามมาทีหลัง”
หลังจากเปิดประตูผางเข้าไปด้านในห้องนอน
หนุ่มร่างหมีก็ลากคิวท์บอยถูลู่ถูกังตรงไปคว้าข้อมือของร่างเล็กที่ทำหน้ายุ่งยืนหมุนไปหมุนมาอยู่ตรงหน้าตู้เสื้อผ้าติดมือเพิ่มมาอีกคน
สุดท้ายแล้ว... เจ้าของห้องก็พาแฟนทั้งสองไปหย่อนตัวนั่งลงตรงปลายเตียง
“เต๋อจะทำอะไร?!” กรกฏถามด้วยน้ำเสียงตกอกตกใจ ทว่าพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยก็ตั้งตัวได้อย่างรวดเร็วหลังจากได้ยินคำอธิบายของคนรักหน้าคม
“เต๋อมีเรื่องอยากคุยด้วยครับ” สีหน้าจริงจังกับแววตาที่แฝงไปด้วยอารมณ์อันหลากหลายทำให้กังฟูพอจะเดาเรื่องที่อีกฝ่ายอยากจะพูดได้ อริยะตรัยผู้พี่จึงชิงอาศัยจังหวะที่คนรักอยู่กันพร้อมหน้าเปิดประเด็นเป็นคนแรกค่าที่ไม่อยากให้ตัวเองฝ่อไปเสียก่อน
“เดี๋ยว! ขอฟูพูดก่อนได้ไหม?....
ฟูก็มีเรื่องอยากบอกเต๋อเหมือนกัน นะเต๋อนะ” คนตัวเล็กกว่าออดอ้อนเสียงอ่อนเสียงหวาน
จนหนุ่มสถาปัตย์ไม่กล้าขัดใจ ก่อนจะหันไปหาคิวท์บอยเพื่อขออนุญาตแบบพอเป็นพิธี “ด้วง... อย่าเพิ่งโกรธนะ ขอฟูคุยกับเต๋อแป๊บนึง
ด้วงฟังเฉย ๆ ก่อนได้ไหม?” วิญญูพยักหน้ารับอย่างไม่มีข้อสงสัย...
ลำพังแค่กรกฏพูดดีด้วย คิวท์บอยผู้มักน้อยก็แทบจะละลาย
นับประสาอะไรกับการพูดจาภาษาดอกไม้ในสไตล์ออดอ้อนแบบเต็มสตรีมกันล่ะ
เมื่อได้รับสัญญาณไฟเขียวจากทั้งสองหนุ่ม
อริยะตรัยคนพี่จึงลุกขึ้นแล้วแทรกตัวเข้าตรงกลางหว่างขาของร่างสูงใหญ่ซึ่งยังนั่งอยู่
สองมือช้อนประคองใบหน้าคมเข้มเอาไว้เพื่อให้ลูกแก้วสีน้ำตาลทั้งสองดวงอ่อนได้กดมองอีกฝ่ายในมุมที่แปลกตา
“เต๋อ...
ฟูรักเต๋อมากนะ ฟูขอโทษที่ฟูเอาแต่ใจ แต่ถ้าต้องเสียเต๋อกับด้วงไป...
ฟูยอมไม่ได้หรอก” กรกฏเอนตัวเข้าหาแล้วจรดหน้าผากกับอีกฝ่ายก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหยที่ทำเอาคนฟังใจจะขาด
“ถ้าเต๋อยังรับไม่ได้ ฟูขอเวลาเต๋อได้ไหม... นะ... ขอให้เราลองอยู่ด้วยกันแบบนี้ไปก่อน
ค่อย ๆ เรียนรู้ ค่อย ๆ ปรับตัวเข้าหากันแบบไม่รีบร้อน...
.
.
.
...ฟูอยากให้เต๋อเปิดใจ
อย่าทำตัวห่างเหินเหมือนเมื่อวานอีกจะได้ไหมครับ?” ขาดคำ เจ้าของประโยคอ้อนวอนยาวเหยียดส่งริมฝีปากตามมากดสัมผัสกันเบา
ๆ
“นะ...
รับปากฟูได้ไหมครับ? นะ” พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยย้ำจูบซ้ำ ๆ แทนคำขอร้องนับหมื่นนับพันที่ดังสนั่นกึกก้องอยู่ในใจเจ้าตัว
“เต๋อจะให้ฟูทำอะไรแลกก็ได้
ขออย่างเดียว อย่าหมางเมินกันอีกนะ...
.
...ฟูไม่ชอบเลย...
เห็นเต๋อทำอย่างนั้นทีไร ฟูหายใจไม่ออกไปเสียทุกที” กระทั่งตอนนี้ กังฟูก็ยังประทับกลีบปากนุ่มลงบนปากของอีกฝ่ายอย่างเอาอกเอาใจ
จนผู้ถูกกระทำถึงกับยกยิ้มน้อย ๆ ตรงมุมปากด้วยความรู้สึกยินดีเหลือประมาณ
“หืม ถึงกับหายใจไม่ออกเลยเหรอ?
แล้วเป็นอะไรอย่างอื่นอีกหรือเปล่าครับฟู? เต๋อต้องพาไปหาคุณหมอไหม?” ตรินยกมือขึ้นคล้องรอบเอวของคนรักเอาไว้พลางตะล่อมถามด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุนคล้ายกำลังกล่อมเด็ก
ๆ ให้ยอมเข้านอน
“...ก็เป็น...
สองวันมานี่ฟูคิดถึงเต๋อมากเลยนะ เต๋อหายไป... เต๋อใจร้าย” โดยไม่ทันรู้ตัว ความรู้สึกน้อยใจก็ทำให้ร่างเล็กเผลอขบริมฝีปากล่างพลางทำหน้ากระเง้ากระงอดแบบที่เจ้าตัวเรียกว่าปัญญาอ่อนได้เต็มปาก...
ทว่าความเป็นธรรมชาติของท่าทางน่ารักดังกล่าว ทำเอาหนุ่มสถาปัตย์เริ่มจะเข้าใจความรู้สึกของวิญญูที่เชิดชูกิริยาสุดโมเอะสุดพลังของกังฟูขึ้นมาตงิด
ๆ
“โธ่ฟูครับ! ไม่งอนเต๋อนะ เต๋ออยู่นี่แล้ว หลังจากนี้เต๋อจะไม่หายไปไหนอีกแล้วนะ
ไม่โกรธเต๋อนะครับคนดี”คนพูดฉวยโอกาสกดจูบหนัก ๆ คนรักไปอีกหลายทีจนอีกฝ่ายส่ายหน้าส่งเสียงฮื้อฮ้าในลำคอคล้ายจะห้ามอยู่หลายที
หนุ่มร่างหมีจึงยอมหยุดคุยด้วยดี ๆ อีกครั้ง
“แล้วนอกจากคิดถึงเต๋อแล้ว
ฟูเป็นอะไรอีกหรือเปล่าครับ? ไอ้ที่อยากจะคุยกับเต๋อน่ะ... หมดหรือยัง หืมมมมม?” ตรินถามพลางกวาดตามองใบหน้าขึ้นสีที่ผละห่างของคนรักด้วยความอิ่มเอมใจ
ฝ่ายกรกฏที่อายจนไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไปก็ใคร่ครวญถึงสิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่ในใจครู่หนึ่งก่อนจะยอมรับออกมาตามจริง
“พอเต๋อไม่สนใจฟู
ฟูก็เจ็บตรงนี้” ฝ่ามือเล็กเลื่อนไปประกบกันอยู่เหนือหน้าอกด้านซ้ายพลางเอ่ยเสริมอย่างเคอะเขิน
“แล้วก็หนาวไปทั้งตัวด้วย”
“อะไรกัน?
เมื่อคืนก็เห็นด้วงกอดฟูอยู่ตลอด ฟูยังหนาวได้อีกเหรอครับ?” หนุ่มร่างหมีแสร้งทำท่าเฉยเมยพลางเลิกคิ้วยั่วเย้าอีกฝ่ายจนเริ่มลุกลี้ลุกลน...
พอยิ่งเห็นกังฟูอ้อนง้อขอคืนดีกับเขาแบบเท่าไรเท่ากัน
เต๋อก็ยิ่งอยากแกล้งแหย่ให้อีกฝ่ายขยันทำตัวน่ารักยิ่ง ๆ ขึ้นไปให้เขาได้ชื่นชมหนักมือขึ้นเรื่อย
ๆ
แต่มีเรื่องเดียวที่เต๋อยังคาดไม่ถึง...
นั่นคือ
การก่อกวนด้วยระดับสิว ๆ เพียงเท่านี้ ไม่อาจทำให้พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยในเวอร์ชันอัพเกรดเพื่อสามีและลูกน้อยเรียบร้อยแล้วสะดุ้งสะเทือนได้สักกระผีกนั่นอย่างไร
“ก็หนาวน่ะสิ...
ก็ถ้าจะกอดให้อุ่น ๆ มันก็ต้องกอดกันสามคนแบบนี้ยังไงล่ะ” หนุ่มวิศวะหน้าหวานว่าพลางดึงแขนด้วงให้เขยิบมานั่งติดกับเต๋อแล้วอ้าวงแขนสองข้างสวมกอดคนรักทั้งซ้ายและขวาโดยพร้อมเพรียงกัน
“หึ
หึ หึ... แล้วตอนนี้อุ่นหรือยังครับ?” ตรินส่ายหัวให้กับความช่างคิดของคนตัวเล็ก แต่นี่ยังถือว่าเป็นแค่ออร์เดิร์ฟเท่านั้น
“ยังเลย
ด้วงกอดฟูหน่อยได้ไหม?”
“ได้เลยครับผม! / ฮื่อออออ ไม่เอา...
ด้วงกอดเต๋อด้วยสิ!” ด้วงรับนโยบายของว่าที่เมียแต่โดยดี
ทว่าทันทีที่โอบกรกฏด้วยสองมือดั่งตั้งใจ เขากลับโดนสั่งให้เปลี่ยนที่หมายของแขนข้างหนึ่งเป็นหมีใหญ่ตัวข้าง
ๆ วิญญูลอบมองหน้าตรินแล้วยิ้มให้เขิน ๆ แต่สุดท้ายก็ยอมกอดหนุ่มสถาปัตย์แต่โดยดี
“ทีนี้อุ่นแล้วหรือยังครับฟู?”
ร่างเล็กส่ายหัวดิกจนหนุ่มหน้าหยกต้องบุ้ยใบ้ให้คิวกับคนหน้าเข้ม ตรินหัวเราะในลำคอพลางรวบกอดทั้งสองร่างพร้อม ๆ
กัน ก่อนจะทิ้งน้ำหนักพาเอาก้อนกลม ๆ ล้มระเนระนาดกองกับที่นอน
หลังจากแลนดิ้ง
คนเอาแต่ใจที่สุดก็พลิกตัวนอนหงายในวงล้อมของสองหนุ่มแล้วมองหน้าคนรักทั้งสองสลับกันไปมาด้วยความรู้สึกตื้นตัน
แต่ก่อนที่กังฟูจะได้เอื้อนเอ่ยคำใด ด้วงก็ชิงถามแทรกด้วยน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจออกมาเสียก่อน
“ถึงเวลาเอาใจด้วงได้หรือยังครับฟู?”
ว่าแล้ว หนุ่มหน้าหยกก็พองแก้มอ่อยเจ้าของใบหน้าหวานอย่างน่าหมั่นไส้ เห็นดังนั้น หนุ่มวิศวะร่างตัวเล็กจึงเลื่อนฝ่ามือไปปิดตาของหนุ่มสถาปัตย์เอาไว้ก่อนจะยื่นหน้าไปจูบเอาใจวิญญูตามคำขอ ฝ่ายหนุ่มร่างหมีที่ไม่ยอมอยู่นิ่งก็เลื่อนมือนุ่มเหนือเปลือกตาตัวเองมาพรมจูบเบา
ๆ ไปตามปลายนิ้ว ก่อนจะผละจากเพื่อฝังปลายจมูกสูดดมกลิ่นหอมของผิวอ่อนตรงซอกคอของคนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จหมาด
ๆ
เมื่อเริ่มรู้สึกถึงการรุกรานอย่างหนักหน่วงจากศึกหน้าและศึกหลังที่ตีกระหนาบแนบชิดจุดยุทธศาสตร์จนร่างกายไร้เรี่ยวแรง
พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยก็ถอนจูบจากแฟนหน้าหยก
แล้วรีบพลิกตัวนอนหงายยกมือทั้งสองขึ้นส่งสัญญาณขอเวลานอกพลางกอบโกยอากาศเข้าปอดอย่างเอาเป็นเอาตาย
“เดี๋ยว! อย่าเพิ่ง!! เราต้องคุยกันให้รู้เรื่องก่อน! / แต่ว่... / ไม่แต่! เรื่องนั้นเอาไว้ทีหลัง
ตอนนี้คุยก่อน... นะ นะครับ” กรกฏหันไปกดจูบบนริมฝีปากบางเฉียบของวิญญูเร็ว ๆ
เพื่อต่อรอง
“ครับๆ”
ด้วงรับคำอย่างจำยอม ส่วนอีกหนึ่งหนุ่มก็ส่งยิ้มพลางพยักหน้าให้พี่ชายอดีตเดือนมหาลัย
“สรุปว่าเต๋อจะไม่ทำแบบเมื่อวานนี้แล้วใช่ไหม?
/
ไม่ทำแล้วครับ”
“สัญญานะ! / สัญญาแล้วครับคนดี หึ หึ” เจ้าของห้องตอบคำถามกลั้วเสียงหัวเราะเพราะสายตาเอาเรื่องของร่างเล็กฟ้องชัดว่ายังไม่หายเคืองเรื่องเมื่อวานเสียทีเดียว
“เราจะอยู่ด้วยกันสามคนแบบนี้ไปเรื่อย
ๆ นะ / ตกลงครับ”
“เต๋อจะรักฟูกับด้วงได้ใช่ไหม?”
กับคำถามนี้
ตรินให้เวลาตัวเองใคร่ครวญครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบอีกฝ่ายด้วยความสัตย์จริง
“ตอนนี้น่ะรักฟูหมดหัวใจเลยครับ
แต่ถ้าต้องรักด้วงด้วย เต๋อคงต้องแบ่งความรักจากฟูมาให้ด้วง ถ้าเต๋อจะทำแบบนั้น...
ฟูยอมได้ใช่ไหมครับ?” คนฟังทำหน้ายุ่งพลางถอนหายใจอย่างหงุดหงิด...
จริงอยู่ที่เขาเป็นคนต้นคิดเรื่อง
‘เราสามคน’ แต่พอต้องมาได้ยินว่าหมีหนุ่มต้องแบ่งใจให้คนรักหน้าหยกแบบจัง
ๆ กรกฏก็อดชักสีหน้าไม่ได้ ทว่าเมื่อทบทวนดี ๆ ปริมาณความรักที่มีต่อใครสักคน คงไม่อาจถูกชั่งตวงวัดอย่างเที่ยงตรงได้
กังฟูจึงเข้าใจความหมายที่ตรินซุกซ่อนเอาไว้ได้ทันที...
ที่อีกฝ่ายพูดแบบนี้
หาใช่จะจะออกตัวว่าจะรักเขาน้อยลงหรอก
หากแค่ต้องการบอกให้เตรียมใจยอมรับอนาคตที่จะเกิดหลังจากอีกฝ่ายเปิดใจรับวิญญูเป็นคนรักอีกหนึ่งคนต่างหาก
“ถ้าเป็นคนอื่นฟูไม่ยอมหรอก
แต่เพราะเป็นด้วง... ฟูยอมก็ได้! แต่พอเต่อรักด้วงแล้ว เต๋อต้องเติมความรักฟูที่หายไปให้เยอยิ่งกว่าเดิมให้ได้เร็ว
ๆ นะ”
“หึ
หึ หึ... จะพยายามครับ” ตรินชอบใจกับคำตอบที่ได้ยินจนต้องหอมแก้มเนียนให้รางวัลเสียเต็มฟอด
ฝ่ายคนกลางที่เพิ่งโดนเอาเปรียบไปอีกรอบก็รีบสลัดความรู้สึกเคอะเขินทิ้งแล้วหันไปเอาอกเอาใจคนรักอีกหนึ่งหน่อเพื่อความเท่าเทียม
“ด้วง...
ฟูขอบคุณด้วงมากนะที่เข้าใจฟู ฟูรักด้วงนะครับ / ด้วงก็รักฟูมากนะครับ” ไหน ๆ
เพื่อนสนิทผู้ควบตำแหน่งคนรักก็ เพิ่งบอกรักไปหยก ๆ กังฟูจึงรีบถามย้ำถึงจุดยืนของอีกฝ่ายอีกครั้งเพื่อความสบายใจของตัวเอง
“ด้วงจะรักเต๋อด้วยใช่ไหม?
/
ครับ...
ด้วงจะรักเต๋อให้เหมือนกับที่รักฟูเลยครับ” น้ำเสียงขึงขังของวิญญูเรียกสายตาของตรินให้ผินไปมองเสี้ยวหน้าของคนพูดอย่างพินิจพิเคราะห์
ฝ่ายคนถูกมองที่เพิ่งจะรู้สึกตัวก็วาดสายตามาประสานด้วย
แต่เพราะอะไรบางอย่างทำให้หัวใจของหนุ่มวิศวะหน้าหยกเต้นผิดจังหวะจนต้องเสหลบสายตาอีกฝ่ายมองไปอีกทางทันควัน
โดยไม่ทันรู้ว่า
ใบหน้าของตัวเองขึ้นริ้วสีแดงจนหนุ่มสถาปัตย์ลอบยกยิ้มมุมปากด้วยความชอบใจ
“ดีมาก!” ฝ่ายกังฟูผู้ตกอยู่ในวงล้อมของอ้อมกอดหนาแน่นก็สรุปด้วยความโล่งอก
น้ำเสียงรื่นเริงของร่างเล็กทำให้คนรักผู้ฝักใฝ่กับการสัมผัสร่างกายนุ่มนิ่มเป็นที่สุดก็กลับมามีไฟอีกครั้ง
“งั้นเรามาต่อจากเมื่อกี๊ที่ค้างไว้ดีไหมครับ?”
ด้วงเปิดประเด็นด้วยสายตาวิบวับ ทว่ากรกฏกลับปรามเสียงแข็งขึ้นเสียก่อน
“อย่าเพิ่ง! ยังมีเรื่องที่พวกเราต้องตกลงกันให้รู้เรื่องก่อนอีกตั้งเยอะเลยด้วง”
“อืม...
เต๋อว่าก็ดีเหมือนกันนะ
เพราะถ้าจะคบกันไปนาน ๆ พวกเราต้องทำข้อตกลงร่วมกันให้เป็นกิจลักษณะเสียก่อน” เต๋อเสริมพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยทันทีเพราะนอกจากเหตุผลที่เพิ่งเอ่ยไป
ชายหนุ่มร่างหมียังอดหมั่นไส้ความกระตือรือล้นในการลวนลามคนรักตัวเล็กอยู่ตลอดเวลาของหนุ่มหน้าหยกไม่ได้
“โอเคๆ
คุยก่อนก็คุยก่อนครับ” หนุ่มหน้าหยกยกมือเสมอไหล่อย่างผู้แพ้...
สิ่งแรกที่วิญญูได้เรียนรู้ในความสัมพันธ์
‘เราสามคน’ คือ
การออกเสียงโหวตตามหลักประชาธิปไตย
และสายตากดดันของคนรักทั้งสอง
ทำให้เจ้าตัวต้องจำยอมลดระดับความหื่นของตัวเองลงโดยไม่มีทางเลือก
«♥»------------------------------------------------------------------------------------«♥»
“มัวแต่มองอะไรกันอยู่ล่ะ?
เร็ว ๆ ซี่ เดี๋ยวก็ไปเรียนสายหรอก!” กังฟูที่ยืนอยู่หน้าประตูเร่งสองหนุ่มที่เอาแต่จด
ๆ จ้อง ๆ มองอีกฝ่ายไปมาด้วยสีหน้าของคนใกล้ตาย
กรกฏจึงงัดไม้ตายสุดท้ายขึ้นมาใช้บังคับคนรักทั้งสองให้ลงมือทำ ‘สิ่งที่ควรทำ’ เสียที
“ไหนตอนคุยกันบอกว่าพวกเราทุกคนต้องทำตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัดยังไงล่ะ?!!...
.
...ฟูยังยอมไม่พูดคำหยาบตลอดเวลาเลยนะ! เร็วซี่...
ถ้าวันนี้ฟูไปเรียนสายสักนาทีเดียว คืนนี้ฟูไม่ให้นอนกอดจริง ๆ ด้วย!!” ตรินหน้าซีดในขณะที่วิญญูต้องห้ามเสียงครางอย่างเจ็บปวดเป็นพัลวัน
“มึงหลับตาดิวะด้วง! / เฮ่ย! ขอกูก่อน! / หลับตาเร็ววววว!!!!”
เต๋อกลั้นใจแล้วยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มด้วงด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน แล้วจึงยืนค้างท่าพลางหลับตาปี๋เพื่อรอให้อีกคนหอมกลับ
วิญญูเองก็แทบจะกระอักเลือดตายเมื่อต้องแปะปลายจมูกลงบนแก้มสากของหนุ่มหน้าเข้มตามกฏของการอยู่ร่วมกันของพวกเขาทั้งหมด
ทั้งนี้เมื่อพิธีกรรมผิดผีดังกล่าวสิ้นสุดลงอย่างน่าใจหายใจคว่ำ...
คนดูที่ยิ้มกว้างจนแก้มแทบปริ ก็โผเข้าไปหาสองหนุ่มก่อนจะโน้มคอทั้งสองลงมาเพื่อประกบปากกับทั้งคู่เร็ว
ๆ แล้วพูดปิดท้ายอย่างร่าเริง
“ไปเรียนกันเถอะ!” ขาดคำ อริยะตรัยผู้พี่ก็ก้าวออกนอกประตูไปกดลิฟท์รอสองหนุ่มด้วยท่วงท่ากระฉับกระเฉง
ฝ่ายตรินผู้รับหน้าที่ปิดประตูห้องก็อดบ่นกับคิวท์บอยหน้าหยกที่วิญญาณเพิ่งหลุดออกจากร่างจนต้องเดินเซื่อง
ๆ อยู่ข้าง ๆ ไม่ได้
“ให้ตายเหอะ!
รู้งี้ตอนก่อนคุยกันกูห้ามมึงไม่ให้หื่นเสียก็ดี...
ดูดิ๊งานเข้าเลยเห็นไหมเนี่ย?!!”
“ตอนนั้นมึงก็เคลิ้มเหอะ!” วิญญูแย้งพลางถูแก้มตัวเองอย่างแรง
“มึงห้ามเอาเรื่องนี้ไปบอกใครเป็นอันขาดนะด้วง
โดยเฉพาะพวกไอ้เก็กเนี่ย... ห้ามหลุดปากเด็ดขาด!”
“มึงเห็นกูเป็นพวกปากโป้งหรือไง
รู้กันแค่สามคนกูยังอายฉิบหาย!”
“อ้าว! เร็วซี่ ลิฟท์มาแล้ว ไม่อยากไปเรียนกันหรือไง?” เสียงตะโกนของคนรักร่างเล็กดังแทรกกลางจนเต๋อต้องยกนิ้วชี้หน้าหนุ่มวิศวะร่างสูงอย่างเอาเรื่องเพื่อกำชับอีกครั้ง
“ใครปากโป้งเป็นหมา! / เออ!
ใครพูดเป็นหมา!”
ที่สุด เมื่อทั้งคู่ตกลงกันได้ก็ต่างรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินตามกังฟูเข้าลิฟท์ไปทันที
“ด้วง...
สรุปว่าวันนี้พวกเราต้องไปช่วยอะไรไอ้เก็กมันหรือเปล่า?” พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรกับข้อตกลงนอกรอบของสองหนุ่มเมื่อครู่ถามขึ้นหลังจากกล่องสี่เหลี่ยมค่อย
ๆ ลดระดับลงอย่างช้า ๆ
“ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษนะฟู
เราแค่ต้องสวมบทเป็นแฟนกันให้แนบเนียนมาก ๆ เท่านั้นเอง”
“งั้นเริ่มจากหลังเลิกเรียนแล้วไปทะยอยย้ายของใช้ของฟูกับมึงมาไว้ที่ห้องกูก่อนเลย...
เดี๋ยววันนี้เลิกเรียนกูจะไปจอดรถรอหน้าคณะแล้วกัน มึงก็รีบพาฟูลงมา
อย่าให้ใครมาเกาะแกะได้ล่ะ” กลายเป็นว่า การกระทำผิดผีเมื่อครู่ทำให้วิญญูอารมณ์ขึ้นไปเสียทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเข้ม
ๆ คล้ายจะข่มของเต๋อไปเสียทุกรอบ
“ได้ทีสั่งใหญ่เลยนะมึง!” ด้วงแดกดันหนุ่มสถาปัตย์อย่างเหลืออด ฝ่ายชายหนุ่มจากต่างคณะก็หาได้ลดราวาศอกไม่
“ลองให้กูเข้าเรียนกับพวกมึงได้
กูคงทำไปแล้วเหอะ!”
“...เต๋ออออออออ...
ด้วงงงงงงงงงง...” กังฟูลากเสียงเรียกทั้งสองหนุ่มอย่างยานคาง พลางเพิ่งตระหนักเป็นครั้งแรกว่า
การเป็นคนกลางระหว่างหมีหนุ่มทั้งสองไม่ง่ายเลย แถมยังเปลืองตัวชะมัด
“หืม?
ว่าไงครับฟู / อะไรเหรอฟู?”
“ไหนบอกว่าไม่อยากให้ฟูพูดไม่เพราะด้วย...
แล้วทำไมเต๋อกับด้วงถึงยังพูดหยาบคายอยู่อีกล่ะ?” หนุ่มสถาปัตย์ร่างหมีรีบส่งสายตาเพื่อบอกให้ด้วงออกหน้า
“ก็เวลาฟูพูดเพราะ
ๆ มันน่าฟังกว่าเยอะเลยนี่ครับ” วิญญูใช้คำหวานมาหว่านล้อมตะล่อมให้กังฟูหมดข้อสงสัย
แต่หมีทั้งสองคงประเมินความช่างสงสัยของคนรักร่างเล็กต่ำเกินไปเสียกระมัง
“แต่มันไม่ยุติธรรมเลยนะ
เต๋อกับด้วงพูดได้... แต่ฟูพูดไม่ได้ทั้งที่พูดแบบนั้นมาตลอดชีวิตเนี่ย!!” กรกฏอุทธรณ์เสียงอ่อนอย่างไม่ค่อยพอใจกับคำตอบที่ได้ยินเท่าไรนัก
นั่นจึงทำให้คิวท์บอยรีบบุ้ยใบ้ทำหน้าทำตาส่งซิกให้เต๋อมารับช่วงตะล่อมต่อด้วยหวังว่า
เมื่อถึงมือตรินแล้ว เรื่องนี้จะยุติลงตามความต้องการของพวกเขาทั้งสอง
ทว่าอีกฝ่ายกลับเอาแต่มองด้วยสายตากวนประสาทพลางยกยิ้มมุมปากด้วยความชอบใจคล้ายจะไม่ให้ความร่วมมืออย่างไรอย่างนั้น
“ไปเรียนกันเถอะครับฟู”
หนุ่มร่างหมีทำทีเป็นดึงเช็งกับทั้งด้วงและกังฟู ก่อนจะบ่ายเบี่ยงโดยอาศัยจังหวะที่ลิฟท์ลงมาถึงชั้นล่างเป็นข้ออ้าง
กระนั้น... พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยก็ยังจะดื้อดึง
“เดี๋ยวซี่
ตอบก่อน! อย่าเพิ่งไป!!” ร่างเล็กคว้าข้อมือของแฟนทั้งสองเอาไว้ สุดท้ายวิญญูก็ต้องยอมปริปากขอความช่วยเหลือจากคนรักหน้าคมอย่างเสียไม่ได้
“เต๋อ
มึงบอกฟูทีดิ๊!” อีกฝ่ายยิ้มร้ายอย่างสมใจให้ แล้วรั้งร่างเล็กเอาไว้ในอ้อมกอดก่อนจะกระซิบเบา
ๆ แค่ให้เจ้าตัวพอได้ยิน
“ใคร ๆ ก็อยากฟังเมียตัวเองพูดหวาน
ๆ ให้ชื่นใจกันทั้งนั้นนี่ครับฟู
หรือฟูว่าไม่จริง?” กรกฏที่หน้าแดงแป๊ดหลังได้ยินประโยคดังกล่าวก็ต้องยิ่งหน้าแดงไปกันใหญ่เมื่อเห็นสายตากระลิ้มกระเหลี่ยของวิญญูที่กดเปิดประตูลิฟท์รอ
“คอยดูเถอะ...
ฟูจะไปคิดกฏแผลง ๆ มาเอาคืนให้ร้องขอชีวิตเลย!” อริยะตรัยผู้พี่ชี้หน้าแฟนทั้งสองก่อนจะเดินกระทืบเท้าปึงปังออกจากลิฟท์ไป
ปล่อยให้อีกสองหนุ่มยืนหัวเราะชอบใจกับท่าทางแก้เก้อของอีกคนที่ดูยังไงก็น่ารักน่าใคร่เสียเหลือเกิน
«♥»------------------------------------ TBC ------------------------------------ «♥»
No comments:
Post a Comment