Monday, November 16, 2015

Ħ บน บาน ศาล รัก Ħ The Last Blessing || 16.11.2015



ตอนจบมาแล้วเจ้าข้าเอ้ยยย!!
(และตอนจบ.... ยาวมากจ้า!!! – มาลุ้นกันดีกว่าว่ารอบนี้เราจะใช้พื้นที่กี่ความเห็นในการลงนิยาย)  
ปมใดที่เคยผูกเอาไว้... ตอนนี้ก็จะคลี่คลายทั้งหมดไม่มีเหลือ
เพื่อให้หลังจากนี้... ชีวิตของเหล่าสมุนเลวก็จะเริ่มต้นอย่างสดใสไร้เรื่องกังวล
อย่างไรก็ดี... โปรดทราบว่า ภาคนี้จะยังไม่ลาจอไปไหน
เพราะจะมีติ่งเนื้อหาให้ได้อ่านเหตุการณ์เก็บตกอีกสามตอนเลยทีเดียว
(ตอนของพระเอก / ฌอนอิ๊ก / ฌานพลับ)
ฉะนั้น... อดใจรอภาคใหม่กันหน่อยเนอะ... เดี๋ยวก็จะได้อ่านตอนที่เหล่าสมุนเลวมีความสุขกันแล้ว

รักชอบประการใดฝากความในใจเอาไว้ได้เลยนะคะ
ส่วนเรา... ก็ฝากเพจต่อไป กรั่ก ๆ  ๆ  ๆ  
รักคนอ่านทุก ๆ ท่านเป็นอย่างยิ่งค่ะ ^^




Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ



The Last Blessing        
ความเชื่อ(ใจ)




“ไงบ๊วย... มาถึงนานแล้วเหรอ?” แฝดพี่หย่อนตัวลงนั่งพลางเริ่มทักทายเพื่อนรักด้วยคำถามทั่ว ๆ ไปตามปกติวิสัยเฉกเช่นทุก ๆ เช้าก่อนที่ทั้งหมดจะบ่ายหน้าเข้าชั้นเรียนโดยพร้อมเพรียง  

คู่สนทนาร่างผอมเองก็เช่นกัน...
เขาละสายตาจากจานข้าวตรงหน้า ยกยิ้มมุมปาก เอ่ยตอบรับสั้น ๆ พอเป็นพิธี ก่อนจะถามกลับถึงชายหนุ่มอีกคนผู้เป็นดั่งเงาสะท้อนรูปกายของอีกฝ่ายที่ยังไม่โผล่หน้ามาให้เห็น


“ครับพี่ฌาน... แล้วฌอนล่ะครับ?”

“ไปหาอะไรกินน่ะ  สกลล่ะ?...ยังไม่มาเหรอ?” ฌานถามต่อด้วยยังไม่เห็นแว่นฟ้อหล่อเฟี้ยวที่ควรจะมาถึงโรงอาหารคณะก่อนเขาและน้องชายตามประสาคนคงแก่เรียนไม่แพ้ใคร  

ข้อสงสัยดังกล่าวทำให้บ๊วยยิ้มกว้างขึ้นกว่าเก่า เมื่อนึกถึงสกลกับอีกงานอดิเรกที่เพื่อนหน้าแว่นโปรดปราน
นอกเหนือไปจากการเอาใจใส่เรื่องของคนอื่นยิ่งดีกว่าเรื่องของตัวเอง


“มาได้สักพักแล้วครับ เห็นบอกว่าจะแวะเอาข้าวไปให้ท่านเซ่อร์ฯน่ะครับ”

“แว่นนี่ชอบแอบไปเจ๊าะแจ๊ะกับหมาเรื่อยเลยเนอะ... ถึงว่า เวลาคุยกับคนทีไรชอบพูดจาไม่ค่อยเข้าหูทุกที หึ หึ หึ!” ร่างทรงหนุ่มอดวิจารณ์เพื่อนที่ไม่ได้อยู่ร่วมวงสนทนาอย่างสนุกปากไม่ได้...

ไอ้นิสัยรักและเมตตาเพื่อนสี่ขาหน้าขนทั่วทั้งมหาลัยนี่ต้องยกให้สกลเป็นที่หนึ่ง
แรก ๆ ที่ฌานรู้ว่าหนุ่มหัวไข่เป็นขวัญใจของหมาแมวทั่วทุกหย่อมหญ้า เขายังทึ่งจนเผลออ้าปากค้างอยู่ตั้งพักใหญ่ ๆ
แต่เมื่อใช้เวลาด้วยกันนานวันเข้า คุณสมบัติข้อนี้ที่เจ้าตัวอวดอ้างก็ถูกย้ำชัดด้วยการกระทำจนกลายเป็นภาพเจนตาของเพื่อนสนิททุกคนไปเสียแล้ว

กระนั้น... ท่าทางเหม่อลอยจนกลายเป็นเงียบขรึมไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนองต่อหัวข้อล่าสุดที่เขาเพิ่งเอื้อนเอ่ยของชายกลาง
พลอยทำให้แฝดพี่หลุดปากถามไถ่ถึงสวัสดิภาพของเพื่อนสนิทตัวน้อยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย


“บ๊วยเป็นอะไร? ทำไมวันนี้หน้าตาง่วง ๆ ? แล้วข้าวนั่นซื้อมาเขี่ยเหรอ... ทำไมไม่กินสักทีล่ะ?...
.
.
...เฮ่ย! นี่... ถามจริง เมื่อคืนได้นอนกับเขาบ้างไหมเนี่ย?” สายตาเลื่อนลอยของร่างผอมซึ่งนั่งตรงข้ามกัน ทำให้แฝดพี่ลองแกว่งมือเพื่อรบกวนสายตาของอีกฝ่ายอยู่นานสองนานกว่าเพื่อนสนิทตัวจ้อยจะเบนความสนใจกลับมาที่ตัวเขาในที่สุด

“...อ๊ะ!... เอ่อ...ก็... ได้นอนนะครับพี่ฌาน แต่พอดีมีเรื่องให้คิดมากเลยนอนหลับไม่ค่อยสนิท”  ความรู้สึกละอายทำให้บ๊วยไม่อาจตอบคำถามของเพื่อนรักได้ละเอียดละออนัก...

จะให้เขายอมรับกับร่างทรงหนุ่มได้อย่างไรว่า หลังจากกลับมาจากศาลของเจ้าพ่อห่อไหล่
ความหวั่นไหวและเดียวดายเข้าจู่โจมเล่นงานเขาเสียจนไม่ได้หลับได้นอนกว่าค่อนคืน...
ที่สำคัญ... เขายังไม่รู้แน่ชัดเสียทีเดียวว่า บรรดาเพื่อนสนิทและคนอื่น ๆ  จะตกอยู่ใต้อำนาจของพรแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำมหาวิทยาลัยไปแล้วหรือไม่

ซึ่งถ้าใช่... การไม่พูดถึงอดีตเดือนมหาลัย
ย่อมเป็นข้อควรกระทำอย่างที่สุดอยู่แล้ว


“มีอะไรเล่าให้พี่ฌานฟังได้นะ พี่ฌานกับทุกคนเป็นห่วงบ๊วยมาก... บ๊วยรู้ใช่ไหม?” ร่างทรงหนุ่มย้ำเตือนกับเพื่อนรักด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เพราะเมื่อยิ่งพินิจภาพรวมของคนนั่งตรงข้าม ฌานก็ไม่อาจเพิกเฉยทำเมินดวงตาเหนื่อยล้าและขอบตาดำคล้ำของอีกฝ่ายไปได้  

“รู้ครับ แต่ไม่มีอะไรหรอกครับพี่ฌาน” ชายกลางปดอย่างไม่มีทางเลือกพลางปลอบใจตัวเองว่า แค่ไม่เอ่ยชื่อ คน ๆ นั้นออกมา... คงไม่ก่อปัญหายิบย่อยใด ๆ ให้ต้องปวดหัวอย่างแน่นอน  

“เอ่อ... พี่ฌานครับ สรุปว่าเมื่อวาน... ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหมครับ?” ร่างผอมเบี่ยงประเด็นไปสู่ผลลัพธ์ของแผนจับคี่รุ่นพี่ทั้งสามที่เขาไม่ทันได้อยู่ร่วมชื่นชมตอนจบไปพร้อม ๆ กับคนอื่น

“อะไรเรียบร้อยล่ะ? หมายถึงโปรเจคกลุ่มที่พวกเราต้องช่วยกันทำส่งป๋าวินิตน่ะเหรอ? เมื่อวานแกเพิ่งให้หัวข้อมาเองนี่... กว่าจะเรียบร้อยก็อีกสองอาทิตย์ล่ะมั้ง”  สายตาว่างเปล่าไม่รับรู้ถึงความนัยใด ๆ  กับประโยคชวนให้คนฟังรู้สึกสับสนราวกับคุยกันคนละเรื่อง ทำให้บ๊วยรู้สึกผิดหวังจนต้องร้องท้วงทวงถามออกมาเร็วปร๋อ

“อ้าว! แล้วพี่เต๋อ... พี่ด้วง กับเฮียฟูล่ะครับ?” คราวนี้... หนุ่มสถาปัตย์ตัวจ๋องเจาะจงรายละเอียดลงในประโยคคำถามเพื่อป้องกันบริบทคลาดเคลื่อน แต่ดูเหมือนคนรับสารจะอยู่บนอีกคลื่นความถี่เสียแล้ว  

“พี่เต๋อกับแฟนวิศวะสองคนของแกมาเกี่ยวอะไรด้วยล่ะบ๊วย?” ร่างผอมที่ถูกถามถึงกับถลึงตาจ้องหน้าเพื่อนรักเพื่อกระตุ้นให้อีกฝ่ายคิดออกกลาย ๆ   แต่สุดท้าย... ฌานกลับขอตัวช่วยเพิ่มคล้ายไม่มีเรื่องราวของบุคคลที่ถูกพาดพิงหลงเหลืออยู่ในความทรงจำเลยสักนิด “ไหนบ๊วยลองอธิบายให้พี่ฌานฟังช้า ๆ อีกสักทีได้ไหม? พอดีพี่ฌานไม่เก็ทคำถามเมื่อกี๊น่ะ...โทษทีนะ”

“ก็เรื่องที่พี่เต๋อ พี่ด้วง กับเฮียฟูคบกันยังไงล่ะครับ” น้องรหัสตรินตั้งสติเพื่อข่มความรู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูกเอาไว้ข้างใน... แล้วจึงอธิบายต่ออย่างช้า ๆ  ด้วยหวังว่าเพื่อนร่างสูงจะเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อได้เสียที “เมื่อวาน...ที่พวกเราทั้งหมดไปช่วยกันลุ้นให้พี่ ๆ ทั้งสามตกลงคบหากันได้ไงครับ... ผมอยากรู้ว่าผลเป็นยังไงบ้างน่ะครับพี่ฌาน? สรุปว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม?”

กระนั้น... ปฏิกิริยาตอบสนองของคนฟังกลับอยู่เหนือจินตนาการของบ๊วยไปไกลโพ้น
แฝดพี่ออกอาการงงเป็นไก่ตาแตกเมื่อโดนคำถามของเขาก่อกวน จากนั้นจึงเอ่ยถามเขากลับด้วยสีหน้าราวกับว่า คนที่บ้าจนพูดจาไม่รู้เรื่องคือ ตัวเขาอย่างไรอย่างนั้น


“เฮ่ย! นี่บ๊วยกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่? โอเคจริงเปล่าเนี่ย?”

“อ้าว! ก็... / ถ้าเรื่องพี่เต๋อกับแฟน... แกก็ประกาศปาว ๆ ว่าคบกับเด็กวิศวะปีสามสองคนไปตั้งแต่เปิดเทอมนี่” ร่างทรงหนุ่มชิงพูดแทรกด้วยท่าทางขึงขัง  ไม่เท่านั้น... ยังปิดท้ายอย่างจริงจังด้วยการหยิบยกรายละเอียดของเหตุการณ์ที่เขาไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนผสมโรงเพิ่มให้จนร่างผอมงงไปหมด  “ตอนแว่นคาบข่าวนี้มาเล่าให้ฟัง บ๊วยก็นั่งอยู่ด้วยกันกับพี่ฌานไม่ใช่เหรอ? ถ้าไม่เชื่อก็รอถามแกเอาสิ... เดี๋ยวก็เจอกันนี่”

ถ้าจำไม่ผิด... เมื่อวานเขาแค่ขอให้เจ้าพ่อทำให้ทุกคนที่เคยรู้ว่าเขาคบหากับธันวาลืมความสัมพันธ์กำมะลอเพียงเท่านั้น...
แล้วไอ้อาการความทรงจำผิดเพี้ยนไปจากเรื่องจริงที่เขาเผชิญด้วยตนเองเมื่อไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงก่อนหน้า  แบบที่เพี่อนสนิทผู้น่าเชื่อถือมากที่สุดกำลังเป็นอยู่นั้น มันมีที่มาอย่างไรกันแน่?


“อ้อ...เรื่องจริงมันเป็นอย่างนั้นเองเหรอครับ?!!!  อืม เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ” ชายกลางรับคำเพื่อนรักส่งเดชพลางถกเถียงกับตัวเองจนหัวแทบระเบิด...

หรือนอกจากจะลบความทรงจำตามที่เขาร้องขอ...
เจ้าพ่อยังแทนที่เรื่องราวที่ตกหล่นหายไปด้วยชุดความทรงจำใหม่ที่แตกต่างออกไปให้กับทุกคนเป็นของแถม?!
ใครว่ามีแต่ฝรั่งที่ทำเกิน... เทวดาเองก็ดูจะเพลิดเพลินกับการอำนวยพรให้เหล่ามนุษย์เหมือนกันนั่นแหละ!!

โชคดีที่น้ำเสียงร่าเริงราวกับทั้งโลกมีแต่เรื่องน่าอภิรมย์ของเพื่อนหน้าแว่นดังแทรกขึ้นมาทันการณ์
ไม่อย่างนั้น... บ๊วยคงได้ให้คะแนนติดลบแก่เจ้าพ่อสายบุ๋นไปถึงไหนต่อไหน


“พี่ฌานคร๊าบบบบ” หลังจากส่งเสียงเบิกฤกษ์มาล่วงหน้า ร่างสูงผอมเป็นเสาไฟฟ้าก็ฉวยโอกาสถลาเข้าไปค้อมตัวกอดร่างทรงหนุ่มเอาไว้เสียเต็มรัก

“เฮ่ย! อย่ากอดดิแว่น! อื้อหือ!!... กลิ่นไอ้ท่านเซ่อร์หึ่งเลยแม่ง!!” ฌานออกแรงปัดป้องอ้อมกอดอันโหดร้ายของสกลอย่างเต็มกำลัง มือหนายั้งหน้าแว่น ๆ ของเพื่อนผู้รุกรานไม่ให้เข้าใกล้จนแก้มยู่ไปทั้งแถบพร้อม ๆ กับรีบแกะแขนที่แนบลำตัวออกด้วยความไวเหนือแสง  “อย่าบอกนะว่ายังไม่ได้ล้างมือ? เอาข้าวไปให้หมาหรือไปฟัดกับหมามาวะเนี่ย เหม็นฉิบเป๋งเลย!! แฝดพี่บุ่นอุบพลางจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่

“แหม่... แค่เพื่อนกอดนิดกอดหน่อยทำมาเป็นหวงตัว เดี๋ยวเถอะนะพี่ฌาน!!” สกลกระเง้ากระงอดกอดอกกระทืบเท้าปึงปังอย่างไม่พอใจ ซึ่งภาพดังกล่าวทำให้คนที่เพิ่งเดินเข้ามาสมทบเป็นรายสุดท้ายหงุดหงิดยิ่งขึ้นอีกหลายเท่าตัว

เดี๋ยวอะไร?!!” แฝดน้องถามเสียงเข้มระหว่างเดินถือจานข้าวด้วยหน้าเหวี่ยง ๆ มาหย่อนตัวนั่งลงข้าง ๆ บ๊วย

“ก็ไม่มีอะไร” สกลลอยหน้าลอยตาตอบอย่างกวนโทสะ ก่อนจะแขวะคู่ปรับรับอรุณ “วันนี้หน้าตาดูไม่ได้เลยนะครับฌอน... ไปซื้อรังแตนมากินแทนข้าวเหรอไง?”

ยุ่ง!” คนตอบทำตาขวางก่อนจะตั้งสมาธิกับการจ้วงข้าวเข้าปากเพียงอย่างเดียว และท่าทางตัดขาดจากโลกภายนอกของเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดทำให้หนุ่มหัวไข่ใส่แว่นหนาลิงโลดใจเป็นที่สุด

“นายดูสิบ๊วย... ไม่รู้ฌอนเป็นอะไร หงุดหงิดเหมือนประจำเดือนไม่มาเลยเนอะ! / แว่น!

“อีกแล้วนะครับพี่ฌาน! เอะอะเข้าข้างน้องตัวเองตลอด ๆ ” การห้ามปรามของฌานส่งผลให้สกลกลอกตามองบนอย่างเอือมระอา... อุตส่าห์หาจังหวะเอาคืนอีกฝ่ายแบบจัง ๆ ได้แล้วแท้ ๆ  แต่กลับโดนสกัดดาวรุ่งเสียอย่างนั้น... ให้มันได้อย่างนี้สิ!!

“นายก็ล้อฌอนแรงเกินไป ดูสิ...ฌอนโกรธแล้วเห็นไหม?... ขอโทษฌอนเดี๋ยวนี้เลยนะสกล!!” บ๊วยช่วยแฝดพี่กดดันเพื่อนรักสี่ตาอีกแรง...

เพราะแม้หนุ่มหัวจุกคนข้าง ๆ จะพูดน้อยเป็นทุน
แต่ลองว่าถ้าเจ้าตัวสงบปากสงบคำจนเงียบเชียบเรียบกริ๊บอย่างที่เป็นอยู่นี่...
พนันได้เลยว่าอีกไม่กี่นาที คงได้มีการตัดหัวสกลเสียบประจานออกสื่อแหง ๆ  

กระนั้น... ชายหน้าแว่นผู้อยู่เหนือทุกกฏเกณฑ์ถูกผิด
กลับบิดประเด็นจนเพี้ยนด้วยการทำเนียนเม้าท์ข่าวล่าสุดที่ตนเพิ่งใช้ทักษะปาปารัสซี่แถวหน้าค้นคว้ามาด้วยความเพียรเป็นเลิศ   


“เราว่าเปลี่ยนจากคำขอโทษเป็นอัพเดทข่าวล่ามาเร็วเกี่ยวกับอดีตเดือนมหาลัยกับอดีตเดือนบริหารดีกว่า” แค่ได้ยินสรรพนามเรียกบุคคลที่สามทั้งสองในประโยคจั่วหัว  ชายกลางก็อดกลัวไม่ได้...

เวลาเพียงชั่วข้ามคืน คน ๆ นั้นกับคุณอิ๊กก็กลับไปชื่นมื่นตามประสาแฟนกันเรียบร้อยแล้วหรือ?



ขอให้ไม่ใช่...
ขอให้พี่หมียังคงจำบูบู้ได้ด้วยเถิด!!!



“เมื่อเช้าตอนเราปั่นลุงโนชออกจากหอ  เราเห็นคุณธันวาไปรอรับคุณอคิราที่หน้าหอด้วยยยยยย...
...ไม่อยากจะบอกเลยว่าคุณธันวาแหล่มลืมมมมม ดูดีน่าปลื้มยั้งกะจะไปมิลานแฟชันวีคทั้งที่ก็ใส่ชุดนักศึกษาเหมือน ๆ กันกับเรานี่แหละ... ชาติที่แล้วทำบุญมาด้วยอะไรน้ออออออ ทำไมถึงล้อหล่อผิดมนุษย์มนาแบบนั้นได้ก็ไม่รู้?!


เป็นครั้งแรกที่บ๊วยเพิ่งรู้สึกว่า การหยิบยกเรื่องของคนอื่นมาปราศรัยตามใจชอบของเพื่อนรักหนักหน่วงเกินรับไหว
ทั้งที่คิดมาตลอดว่า ตนเองจะสามารถทำใจยอมรับเหตุการณ์ถ่านไฟเก่าของ คน ๆ นั้นได้แน่ ๆ ...
แต่พอได้ยินกับหูตัวเองแบบนี้... เรี่ยวแรงที่ยังพอมีเหลือ ก็เหือดหายกลายเป็นไอไปในชั่วพริบตา  

ทว่าคนเล่าเรื่องก็ยังคงทำหน้าที่ต่อไปราวกับไม่มีอะไรผิดจากชีวิตรูปแบบเดิม ๆ ของคนกลาง ๆ อย่างเขาเลยสักนิด...
จะผิดอยู่ก็แค่ หัวใจของเขาที่อ่อนแอ เปลี่ยวเหงา และหนาวเหน็บขึ้นเรื่อย ๆ  


“แต่ แต่ แต่!! นั่นกลับไม่ใช่ไฮไลท์ขวัญใจลูกอีช่างเผือกนะครับทุก ๆ ท่าน...
...ประเด็นเด็ดมันอยู่ที่ คุณธันวายืนเต๊ะท่าหล่อไม่บันยะบันยังอยู่ไม่ถึงห้านาที...
...คุณอคิราก็เดินตัวขาวออร่ากลูต้าไวท์เทนนิ่งปรี่ออกมาซ้อนท้ายสโมกกี้ไบค์ของคุณธันวาไปเรียนด้วยล่ะเอ้อ...
.
.
...แต่ดูเหมือนเท่านั้นยังไม่สาแก่ใจ...
...คุณอคิรายังเซอร์วิสสาวกชาววายด้วยการก่ายหลังคุณธันวาแน้นแน่นแม้นว่าเป็นลูกลิงชิมแปนซีรีบอร์นย้อนกลับมาเกิดใหม่เลยนะคิดดู๊วววว์!!! ตลอดการเล่าเรื่องสกลยอมสิ้นเปลืองเสียงซาวด์เอฟเฟคมากมาย แถมด้วยภาษากายรุ่นเว่อร์วังด้วยหวังสร้างอรรถรสในการเสพข่าวให้แก่ผู้ฟังทั้งสามอย่างเต็มที่  

“สงสัยที่เขาเม้าท์กันว่า ถ่านไฟเก่าของคู่เดือนสะเทือนโลกันต์กำลังจะผันตัวกลับมาเป็นถ่านอัลคาไลน์ต่อตูดติดไปอีกหลายชีวิตนี่ท่าจะมีมูลเสียแล้ว แว้ว แว้ว แว้ว แว้ว!” เจ้าของตาตี่เห็นผีได้ปิดท้ายการรายงานข่าวด้วยการหยัดตัวขึ้นยืนแล้วผายมือกว้างค้างท่ากางวงแขนกว้างจนดูเกะกะสายตาของหนุ่มหัวน้ำพุได้อย่างไม่น่าเชื่อ

“สาบานได้ว่าที่เล่ามานี่เห็นตอนขี่จักรยานผ่านแค่ไม่กี่นาที?...
.
...รายละเอียดนี่ถี่ยิบอย่างกับเป็นเห็บที่เกาะหมาหน้าหออยู่เชียวนะ” ฌอนเหน็บนิ่ง ๆ   

กระนั้น... สำหรับคนฟังแล้ว สิ่งสำคัญกลับไม่ได้อยู่ที่อารมณ์แฝง หรือเนื้อความเสียดแทงที่แฝดน้องสื่อสาร  
การดูถูกเพื่อนสี่ขาในอาณัติของเขาต่างหากที่อีกฝ่ายควรทำความเข้าใจเสียใหม่โดยไวว่อง


“นั่นไม่ใช่หมา!! นั่นเจเรมี!... และเจเรมีไม่มีเห็บ ผมพาไปกรูมมิ่งตลอด ๆ เหอะ!” หนุ่มหน้าแว่นเถียงไฟแลบก่อนจะตบโต๊ะปิดท้ายประโยคอย่างเกรี้ยวกราด... พาดพิงชื่อเล่น หรือไม่เห็นหัวเขายังจะดีเสียกว่าจิกหัวเรียกเจเรมีว่าหมาหลายเท่านัก!!

“เฮ่อออออ! ไปเรียนกันเถอะนะ พี่ฌานไม่อยากเข้าห้องสาย” และแล้วแฝดพี่ก็เอ่ยทำลายบรรยากาศมาคุระหว่างสองขั้วอำนาจลงทันควัน จากนั้นจึงสละที่มั่นเดินไปยังบันไดขึ้นตึกคณะอย่างผึ่งผายไม่ทิ้งลายชายผู้เปี่ยมบารมี  

กลุ่มชายฉกรรจ์ที่เหลือจึงต้องรีบกวดตามร่างสูงของฌานไปติด ๆ  
ทว่าหนึ่งในนั้น กลับก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยการลากขาทั้งสองไปตามหน้าที่ หลังจากความรู้สึกนึกคิดทั้งหลายจมดิ่งหายลับไปเมื่อตระหนักแจ้งแก่ใจแล้วว่า... ไม่มีปาฏิหารย์ หรืออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลิศลอยใด ๆ จะช่วยกล่อมให้คนสองคนรักกันได้จริง ๆ


Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ


อาคารหลังคาสูงชั้นเดียวที่กินอาณาบริเวณกว้างพอ ๆ กับสนามฟุตบอลตรงหน้าทำเอาร่างผอมชะงักงัน
จากนั้นจึงออกความเห็นโน้มน้าวเปลี่ยนใจสหายทั้งสามแทบจะทันที...
จะไปกินข้าวที่ไหนก็ได้... แต่ต้องไม่ใช่โรงอาหารกลางอันเป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวระหว่างวันของชาวเกียร์ทุกชั้นปีแห่งนี้!!  


“พวกเราไปกินข้าวที่อื่นไม่ดีกว่าเหรอครับ? ที่นี่คนเยอะออก”

“จะไปกินที่อื่นทำไมล่ะบ๊วย เดี๋ยวบ่ายก็ต้องเรียนตึกตรงข้ามนี่อยู่แล้ว ไปเร็ว!... พี่ฌานหิว” ท่าทางอิดออดของเพื่อนตัวน้อยพลอยกลายเป็นเรื่องไม่สลักสำคัญเมื่อต้องมาประชันกับเหตุผลของร่างทรงหนุ่ม...

จริงของแฝดพี่ เพราะนอกจากจะตั้งอยู่ไม่ไกลจากตึกเรียนของพวกวิศวะ  
โรงกลางคือสิ่งปลูกสร้างเดียวซึ่งอยู่ตรงข้ามกับอาคารเรียนรวมอันเป็นที่หมายของคาบเลคเชอร์ช่วงบ่ายที่เปิดขายอาหาร
ลองว่าใกล้ราวขนตากับปลายจมูกขนาดนี้ เพื่อนอีกสามคนคงไม่ขี่จักรยานไปกินข้าวที่อื่นเป็นแน่


“ก๋วยจั๊บเจ๊สี่ ก๋วยจั๊บเจ๊สี่... วันนี้ต้องโดนสักจื๊ดดดดด!!” สกลฮัมเมนูที่หมายตาระหว่างเดินผ่านชายกลางเข้าประตูตามแฝดพี่ไปอย่างเริงร่าจนบ๊วยต้องก้มหน้าก้มตาเดินเข้าด้านในโรงอาหารไปอย่างเสียไม่ได้  

“บ๊วยจะกินอะไร?” คำถามของแฝดน้องเรียกให้คนเดินจ้องพื้นเป็นบ้าเป็นหลังต้องรั้งหน้าขึ้นถามด้วยอารามสงสัย... อีกฝ่ายจะอยากรู้ไปเพื่ออะไร ทุกทีก็ไม่เคยเห็นขอไอเดียจากใครก่อนเลือกเมนูประจำวันเลยนี่นา?!  

“ทำไมเหรอฌอน?”

“ก็ว่าจะให้บ๊วยไปนั่งจองโต๊ะ แล้วเดี๋ยวเราซื้อข้าวไปให้เองไง... ทำหน้างอแบบนี้ เพราะไม่อยากเดินเบียดคนไปซื้อข้าวใช่ไหมล่ะ?” คำตอบผ่านน้ำเสียอารีของฌอนทำให้ร่างผอมคลี่ยิ้มด้วยความยินดี...  

ถึงจะไม่มีโอกาสเลือกแหล่งที่กินที่ปลอดภัยกว่า
แต่การไม่ต้องเดินไปเดินมาก็น่าจะช่วยให้เขาไม่ต้องเจอหน้า คน ๆ นั้นที่น่าจะกำลังต่อแถวซื้อข้าวอยู่ร้านใดร้านหนึ่งใต้หลังคาแห่งนี้โดยไม่จำเป็น


“ฮื่อ! ขอบคุณนะ... งั้นฌอนจะกินอะไรก็สั่งเผื่อเราด้วยจานนึงแล้วกัน” บ๊วยรับข้อเสนออย่างว่าง่าย อีกฝ่ายจึงตัดบทอย่างรวดเร็ว

“ไปนั่งเถอะ หน้าซีดหมดแล้วเนี่ย”  สิ้นคำ แฝดน้องก็หมุนตัวเดินหายเข้าไปในฝูงนักศึกษาและบุคลากรทั้งหลายทันที

ฝ่ายผู้ได้รับมอบหมายงานจองที่นั่งจึงเดินตัวลีบอย่างระมัดระวัง
เพื่อเสาะหาโต๊ะว่างซึ่งห่างจากโซนประจำของเหล่าเจ้าของเสื้อช็อปให้มากที่สุด  
โชคช่างเข้าข้างบ๊วยเสียนี่กระไร เพราะแม้คนจะเดินกันขวักไขว่เต็มโรงอาหาร
ทว่ายังมีที่นั่งตามมุมหลืบเหลือว่างอีกบานเบอะ

หลังจากปักหลักนั่งก้มหน้าหลบสายตาคนอื่นจนคางชิดอกอยู่สักพัก
หูเจ้ากรรมก็ดันได้ยินเสียงพูดคุยของผู้ชายหลายคนลอยลมมาจากทางด้านหลัง...
โดยที่หนึ่งในนั้น  คือเสียงทุ้มนุ่มหูที่แสนคุ้นเคยหากแต่ไม่คิดว่าจะได้ยินอีก...

เสียงนั้นคือเสียงเดียวกันกับเสียงที่เฝ้ากระซิบข้าง ๆ หูอยู่ทุกช่วงเวลาที่ คน ๆ นั้นจะหาโอกาสแนบชิดกับเขาได้  
เสียงที่ทำเอากระบอกตาเขาร้อนผ่าวราวเผาไฟจนน้ำตาแทบไหลริน...
ซึ่งถ้าเขาเข้าใจไม่ผิด... ดูเหมือนว่าเสียงที่ได้ยินจะยิ่งฟังชัดเจนเซ็นเซอร์ราวด์คล้ายกำลังเคลื่อนตัวเข้าใกล้บริเวณที่เขาแฝงตัวอยู่มากขึ้นเรื่อย ๆ เสียแล้วสิ!!! 


“ไอ้หล่อมึงเอาอะไร?”
“เอาเหมือนมึงอ่ะ ของกูขอพิเศษนะ วันนี้โคตรหิวเลยว่ะ”
“เออ ๆ  มึงนั่งจองโต๊ะไปแล้วกัน เดี๋ยวพวกกูมา”


ชายกลางที่เอาแต่นั่งก้มหน้าลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเสียงดังกล่าวเงียบหายไป
แต่ยังไม่ทันจะได้นั่งทอดถอนใจกับความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของความสัมพันธ์ที่เคยมีได้ตามต้องการ  
เด็กเต็กผู้ไม่มีจุดเด่นใด ๆ ก็ถูกสะกิดหัวไหล่เบา ๆ


“โทษที ฝั่งนี้ว่างไหม? / ...อ๊ะ!!...”       



...พี่หมี!!!...


แม้จะตกใจกับการได้เห็นหน้าคนที่เฝ้าคิดถึงและห่วงหาอยู่ตลอดโดยไม่คาดฝัน
แต่บ๊วยก็อดดีใจไม่ได้ที่สามารถงับชื่อเรียกพิเศษที่ตนมักจะใช้เรียกอีกฝ่ายเอาไว้ได้ทันการณ์
ไม่อย่างนั้น เขาคงดูเป็นคนพิลึกพิลั่นในสายตาอดีตเดือนมหาลัยไปก่อนแน่ ๆ  


“ว่าไง? ว่างหรือเปล่าคุณ?” หนุ่มรูปงามตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ รับกับสีหน้าเฉยชาราวกับจะตอกย้ำว่าไม่รู้จักกับหนุ่มผมยาวประบ่าที่ตนกำลังขอแบ่งปันที่ว่างอีกฝั่งของโต๊ะนั่งตัวยาว...  


ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาเอาแต่เฝ้าภาวนาว่าไม่อยากตบเท้าเข้ามาในโรงกลางด้วยไม่หวังจะเจอหน้าอีกฝ่าย
พอได้เจอ ได้พูดจา ได้เห็นกันใกล้ ๆ  โดยที่หนุ่มหล่อดีกรีมหาลัยเป็นฝ่ายเข้ามาทักทายตนก่อน...
ก็ทำให้บ๊วยเผลอดีใจพลางแอบตั้งความหวังอยู่ลึก ๆ ว่าอีกฝ่ายคงจะยังไม่ลืมเขาไปเหมือนอย่างที่เพื่อน ๆ เป็น

กระนั้น... ท่าทีของคนตรงหน้าที่ดูวางเฉย ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเหมือนย้อนเวลากลับไปเมื่อราว ๆ เกือบสามเดือนที่แล้ว
ก็ทำให้ร่างผอมกระหร่องรีบฉุดตัวเองกลับมายังปัจจุบันขณะอีกครั้ง พลางเก็บซ่อนความผิดหวังปวดร้าวเอาไว้ให้ลึกสุดใจ
แล้วจึงออกปากไล่ คน ๆ นั้น ให้พ้นหน้าไปโดยอาศัยการโกหกคำโตเป็นตัวช่วยชั้นดี


“ไม่ว่างครับ มีคนนั่งแล้ว” พูดจบ บ๊วยก็เสหลบสายตา คน ๆ นั้นไปจ้องฝ่ามือตัวเองที่กำเป็นหมัดแน่นอยู่บนหน้าตักด้วยไม่รู้จะพักสายตาที่ไหน  

อนิจจา... ดูเหมือนโควต้าโชคดีประจำวันจะถูกผลาญไปกับการจับจองโต๊ะตัวนี้เสียแล้ว
เพราะแทนที่ร่างสูงสมส่วนที่ยืนเยื้องไปทางด้านหลังของชายกลางจะเยื้องย่างไปหาที่นั่งอื่น  กลับยืนปักหลักอยู่ที่เดิมพร้อมกับเริ่มขั้นตอนเจรจาใหม่ทั้งหมด


“โทษทีนะ แต่พอดีที่นั่งตรงอื่นไม่ว่างเลย ขอผมกับเพื่อนอีกสามคนนั่งเบียดด้วยก็แล้วกัน”

บ๊วยถึงกับไปไม่เป็นด้วยเมื่อกวาดตาไปรอบ ๆ โรงอาหาร ก็เห็นจริงดังที่อีกฝ่ายอ้าง...
โต๊ะที่เคยว่างก็กลับแน่นขนัด
เป็นไปได้อย่างไร?...
แค่เขานั่งก้มหน้าเพียงเดี๋ยวเดียวเนี่ยนะ?
ผู้คนแห่แหนมาจากที่ไหนนักหนา?!!


ยังไม่ทันที่หนุ่มสถาปัตย์จะได้หืออือ อดีตเดือนมหาลัยก็ถือวิสาสะนั่งลงตรงที่นั่งข้างกับคู่สนทนาโดยไม่คิดหารือด้วย
จากนั้น หนุ่มวิศวะสุดหล่อก็ควักมือถือออกมากดพิมพ์อะไรไปเรื่อยเปื่อยโดยสนใจผู้ใดอีกเลย... กระทั่งคนที่เคยใกล้ชิดผูกพันผ่านช่วงเวลาสั้น ๆ มาด้วยกันอย่างเขาก็ตามที

ทั้งที่พยายามหักห้ามใจไม่ให้ฟุ้งซ่าน
ทว่าสายตาชื่นชมของคนอื่นที่มองมายังคนตัวสูงที่นั่งข้าง ๆ ครั้งละนาน ๆ
กลับทำให้บ๊วยยิ่งจดจ่อกับตัวตนของอีกฝ่ายไปกันใหญ่  


เมื่อก่อนตอนแอบรัก...
เขาเคยวาดหวังเสียใหญ่โตว่า ถ้าได้เป็นแฟนกับคน ๆ นี้แค่เพียงสักวัน เขาคงนอนตายตาหลับเพราะความฝันเป็นจริง
แต่ขนาดได้ใช้เวลาเป็นแฟนปลอม ๆ ของธันวามากกว่าที่วาดหวังเอาไว้ตั้งหลายเดือน กลับดูเหมือนว่า หัวใจเขาจะหลงลืมคำว่าเพียงพอไปเสียแล้ว


ตอนก่อนจะขอพรข้อใหม่กับเจ้าพ่อห่อไหล่ เขาเคยเข้าใจว่าตนเองเตรียมความพร้อมมาเป็นอย่างดี
แต่ความรู้สึกหน่วงในอกราวกับจะตายเสียให้ได้ที่กำลังเกิดอยู่นี่สิ... เขาจะจัดการกับมันอย่างไร?!

หากรู้สักนิดว่าไม่ได้รักกัน...
ถ้าระแคะระคายว่า คน ๆ นั้นจะสามารถลืมเขาได้ง่ายดาย...
เมื่อวานเขาคงจะขอให้ทุกอย่างย้อนคืนสู่จุดเริ่มต้น... ขอให้เขาเป็นเพียงคนแอบเฝ้ามองอีกฝ่ายอย่างรักใคร่ไปวัน ๆ  
โดยไม่มีความฝันของช่วงเวลาเกือบสามเดือนก่อนคอยตามหลอกหลอนยังจะดีเสียกว่า



“ไม่น่าเชื่อ... วันนี้ร้านเจ๊สี่คนน้อยมาก ไม่งั้นไม่ได้เร็วแบบนี้หรอก! / อืม ร้านข้าวพี่ฌานก็คนไม่เยอะอย่างที่คิดไว้ว่ะ” เสียงคุยฟุ้งของสกลกับแฝดพี่ลอยมาถึงโต๊ะก่อนที่ทั้งสองจะปรากฏกาย

“ไปซื้อข้าวดิบ๊วย เดี๋ยวพวกพี่ฌานเฝ้าโต๊ะต่อให้เอง” ฌานคะยั้นคะยอเพื่อนตัวน้อยผู้เสียสละเวลาซื้อข้าวมาจองที่ให้พวกเขาทั้งหมด ก่อนจะหย่อนก้นลงนั่งข้างซ้ายมือของร่างผอม

“ฌอนซื้อมาเผื่อแล้วครับ” บ๊วยเลิ่กลั่ก...การโดนเพื่อนรักร่างใหญ่กว่ากระชับพื้นที่ทำให้ชายกลางต้องขยับไปยังฝั่งขวาที่ยังว่างอยู่ ระยะห่างที่กั้นกลางระหว่างเขากับอดีตเดือนมหาลัยจึงร่นน้อยลงจนน่าใจหาย

“สกลกับพี่ฌานจะเอาน้ำอะไรครับ เดี๋ยวผมเดินไปซื้อมาให้ดีกว่า” ชายกลางอาสาด้วยจะหาเรื่องลุกไปที่อื่นชั่วคราว... เผื่อว่าตอนที่กลับมานั่งหลังซื้อเครื่องดื่ม... เขาจะทำเป็นลืม ๆ ว่าเคยนั่งตรงไหน ก่อนจะลักไก่ยึดครองที่นั่งอีกฝั่งของแฝดพี่ได้สำเร็จ

“ไม่เป็นไร ร้านน้ำคนเยอะ... เดี๋ยวรอให้คนซาแล้วค่อยไปซื้อก็ได้... นั่นไง! น้องชายกลับมาพอดี กินข้าวก่อนก็แล้วกันนะ”  ฌานกระตุกข้อมือของเพื่อนตัวน้อยให้นั่งลงพลางบอกปัดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย ก่อนจะวาดปลายนิ้วไปยังร่างสูงหัวจุกที่เดินดุ่ม ๆ อย่างไม่หวั่นไหวเข้าใกล้โต๊ะมากขึ้นเรื่อย ๆ แทนคำลงท้าย จนบ๊วยไม่เหลือข้ออ้างใด ๆ อีกแล้ว

“เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ”

“ทุกคนอยากรู้ไหมครับว่าตอนผมลงไปซื้อขนมเบรคคาบอาจารย์หม่อมผมเจอใครเข้า?” หนุ่มหน้าแว่นต้อนรับแฝดน้องที่เพิ่งมาถึงโต๊ะด้วยสกู๊ปข่าวเด็ดหัวข้อใหม่ จนคนนั่งข้าง ๆ อย่างฌอนถอนหายใจหนัก ๆ อย่างหน่าย ๆ  

“จะเล่าอะไรก็เล่า คนอื่นเขาขี้เกียจจะแย่งพูด”

“จิ๊!!! ฌอนศรีเหวี่ยง ๆ แบบนี้ก็ดี จะได้ไม่มีคนขัดผม!” เด็กเต็กสี่ตาแซะเพื่อนรักขาขัดพอเป็นกระสัย ก่อนจะเข้าสู่หัวข้อไฮไลท์เพราะไม่อยากให้ใครใช้สิทธิแทรกแซง “คืองี้ครับ ผมเจอพี่เต๋อมาที่คณะ โดยที่แฟนแกขับรถแกมาส่งครับ”

“แล้ว?” น้ำเสียงติดจะรำคาญของฌอนไม่ได้สะท้อนถึงความใส่ใจ...  เบื่อ ดูจะใกล้เคียงกับอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ในคำสั้น ๆ เมื่อกี๊มากกว่า  ทว่าพ่อหัวไข่กลับเข้าใจไปว่าอีกฝ่ายกำลังชงให้ตนได้ขยายความต่อไปเสียนี่

“แหม... ก็ผมเพิ่งเคยเห็นแฟนพี่เต๋อสองคนใกล้ ๆ  ผมก็ต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดา...
.
.
.
...พอเห็นแล้ว ผมก็อดงงกับสเปคพี่เต๋อแกไม่ได้จริง ๆ อ่ะครับ...
...บอกตรง ๆ  ผมไม่คิดจริง ๆ นะครับว่าแฟนแกสองคนจะคนละสไตล์กันแบบนี้...
...แฟนแกคนนึงนี่หล่อแบบสูงหล่อตัวใหญ่เลยอ่ะครับ ส่วนอีกคนก็ตัวเล็ก ๆ  ขาว ๆ  ปากนิดจมูกหน่อยเหมือนตุ๊กตา...
...คือ ตอนแรกที่รู้ว่าแกมีแฟนสองคน ผมก็นึกว่าแกจะได้เมียแบบตะเภาแก้วตะเภาทอง ที่หุ่นและหน้าตาต้องดูคล้าย ๆ  กันหน่อย ทำนองว่าน้องพลับขอสอง...มองเผิน ๆ แล้วหยิบผิดเลยเหมามาหมดถาดไรเงี้ยอ่ะครับ”

“นั่นมันก็เรื่องของพี่เต๋อแกหรือเปล่าวะแว่...   

คำถามหักห้ามความเผือกที่ฌานเอ่ยมีอันต้องกระเด้งกระดอนบินว่อนหายไป
เมื่อพื้นที่ว่างด้านขวาถูกแทนที่ด้วยสีข้างของร่างสูงสมส่วน


“อ๊ะ! ขอโทษ... พอดีมันไม่มีที่แล้วจริง ๆ ”

“ไม่เป็นไรครับ” ร่างผอมรวบรวมสติอีกครั้งแล้วตอบกลับตามมารยาท ก่อนจะแสร้งหันกลับมาสนใจก๋วยเตี๋ยวหลอดในจานตรงหน้าราวกับเป็นอาหารจานโปรดก็ไม่ปานทั้งที่ไม่ค่อยปลื้มเท่าไร  

ชายกลางไม่ได้ติดใจกับการที่อีกฝ่ายกระเถิบเข้าใกล้จนไหล่เกยกันหลังจากเพื่อน ๆ อีกสามคนตามมาสมทบจนโต๊ะเต็ม
ทว่าท่านั่งที่พยายามรักษาระยะห่างทั้งที่เป็นไปไม่ได้ กับคำขอโทษที่เอ่ยอย่างไม่เต็มใจต่างหาก ที่ทำให้กระทั่งการนั่งกินข้าวที่ทำอยู่เป็นกิจวัตรกลายเป็นความยากลำบากที่สุดในชีวิต   


ถ้าเขากลายเป็นเข็มนาฬิกา... เดาว่าตอนนี้เขาคงกลายเป็นเข็มสั้นในหน้าปัดที่เข็มวินาทีหนีไปวิ่งเล่นที่อื่น
จนทุก ๆ ขณะผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนองศาของเข็มชั่วโมงอย่างเขาแทบไม่เคลื่อนขยับแหง ๆ


สัมผัสระอุของอีกฝ่ายที่แนบประกบอย่างเหมาะเจาะกับลำตัวด้านข้างของตนทำให้คนไม่มั่นใจได้แต่นั่งเกร็ง
ยิ่งเมื่อได้กลิ่นน้ำหอมประจำตัวอีกฝ่ายลอยอวลในมวลอากาศ
อวัยวะไม่รักดีที่ฝังตัวอยู่ในหน้าอกข้างซ้ายก็เต้นรัวหวิวไหวจนได้ยินเสียงสะท้อนก้องไปทั้งอก


เรื่องราวสารพันที่เกลอแก้วขยันยกขึ้นมาถกเถียงกันให้วุ่นวาย ไม่ได้ช่วยให้ร่างผอมอยู่กับร่องกับรอยอย่างที่ควรจะเป็น
ภาพที่เขาเห็นในกรอบสายตามีเพียงริมฝีปากของเพื่อนทั้งสามปรับเปลี่ยนรูปร่างไปมาอยู่ตรงหน้าอย่างช้า ๆ เท่านั้น
จะโทษใครอื่นก็ไม่ได้... ก็สองหูนี่อย่างไรที่เพียรเฝ้ารอฟังเสียงพูดของคนข้าง ๆ ระหว่างสนทนากับเพื่อนร่วมคณะอย่างออกรสโดยไม่ยอมให้ตกหล่นเลยสักคำ   


“ว่าไงวะหล่อ พักนี้มึงหายหน้าไปเลยนะ... ไปติดใจใครเข้าอีกล่ะรอบนี้?”
“เสือกมากไปจะไม่เจริญเอานะครับเหยิน”
“ถุ๊ย!! ไอ้สัด! ทำมาเป็นกั๊ก!!... กูรู้หรอกว่ามึงตามไปเฝ้าเขาที่คณะทั้งเช้า เย็นเลยไม่ใช่เหรอ?”
“หึ!

แม้จะตรึงใบหน้าอยู่กับจานข้าว ทว่าหางตาของหนุ่มสถาปัตย์กลับเห็น คน ๆ นั้นคลี่ยิ้มก่อนจะเปล่งเสียงหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจโดยไม่แก้ไขความเข้าใจผิดใด ๆ ของสหายสนิท...
ถึงจะไม่ยืดอกยอมรับโดยดุษฎี แต่ไม่ปฏิเสธแบบนี้ ก็แปลว่าประโยคที่คู่สนทนากล่าวอ้างก็ค่อนข้างจะเชื่อถือได้  



ที่ผ่านมาพี่หมีไปเฝ้าใคร?
ขออย่าให้เป็นบริหารเลยให้ตาย!!!...



“เด็กมึงนี่คณะไหนวะ?”
“มึงไม่ต้องเปลืองน้ำลายหันไปถามไอ้หล่อมันหรอกเจ๋ง ถามกูนี่ กูมีความรู้รอบเตียง เอ๊ย! รอบตัวเต็มเปี่ยมครับเพื่อน!!...
.
...เด็กบริหารที่หอกูบอกว่า พักนี้เจอหน้าไอ้เหี้ยเก็กบ่อยกว่าประธานสโมฯพวกมันเองเสียอีก...
...เพราะฉะนั้น จะเป็นใครไปไม่ได้หรอก นอกจาก...


“พี่ฌาน... ผมอิ่มแล้ว เดี๋ยวผมไปรอที่ศูนย์หนังสือนะครับ!” พูดจบ บ๊วยก็รวบช้อนที่แทบไม่ได้ใช้ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินหนีไปโดยไม่ฟังคำทัดทานจากใครสักคน...

ในเมื่อรู้ตัวว่าไม่อาจทนฟังจนครบความได้
การเลี่ยงหลบออกจากที่เกิดเหตุไปโดยไม่ต้องได้ยินว่า คน  ๆ  นั้นกลับไปคบหาดูใจอดีตคนเคยรัก คือ ทางออกที่จะช่วยยุติความรู้สึกเหมือนจะตายได้ชะงัดที่สุด


Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ


“เอาอะไรดีหนู?”
“หนูจะสั่งอะไรลูก?”
“หนู?!!
“... เอ่อ... ผมขอนมเย็นแก้วนึงครับป้า” ร่างผอมยิ้มแห้งๆระหว่างให้คำตอบแก่เจ้าของร้านน้ำเจ้าประจำ ณ โรงอาหารใกล้หอ...

ไม่รู้ว่าตอนที่เผลอเหม่อเมื่อกี๊ คุณป้าร้านขายน้ำต้องตะเบ็งเสียงเรียกเขาไปกี่ครั้ง
ชายกลางตำหนิตัวเองค่าที่หมกมุ่นจนไม่เป็นอันทำอะไร พลอยทำให้ใครต่อใครต่างต้องเดือดร้อนเพราะเขาไปทั่ว...
แล้วจึงตั้งปณิธานระยะสั้นว่า ช่วงนี้... ถึงจะอ่อนเพลียหรือเสียใจสักแค่ไหน เขาก็จะไม่ทำตัวเป็นภาระให้กับใครอีก


“ได้แล้วจ๊ะ”

แม้จะเตือนตัวเองเอาไว้เสียดิบดี แต่หนุ่มสถาปัตย์กลับส่งแบงค์สีแดงสู่มือคนขายแลกกับแก้วบรรจุน้ำสีชมพูอ่อน
ก่อนจะหมุนตัวเดินใจลอยหันหลังให้ร้านไปโดยไม่รอรับเงินทอนสักบาทเดียว

กระทั่งเสียงตะโกนเรียกรั้งของหญิงสูงวัยหลาย ๆ ครั้งติด ๆ กัน  
ก็ยังไม่อาจทำให้คนตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์มหันต์เหลียวกลับไปรับแบงค์ย่อยและเศษเหรียญของตนคืนได้อยู่ดี  
.
.
.
.
เที่ยงวันนี้... คนๆนั้นคงจะกำลังกินข้าวอยู่ที่โรงกลางกับเพื่อนๆเหมือนเมื่อวาน
ไม่ก็อาจจะไปรับอดีตเดือนบริหารไปกินข้าวกันสองต่อสอง...



คุณอิ๊กกับพี่หมี  ช่างเหมาะสมกันดีเสียจริงๆ...
...คุณอิ๊ก...
...คุณอิ๊ก?!!...
.
...แล้วฌอนล่ะ ฌอนเป็นยังไงบ้าง?!!



คุณ!” ความรู้สึกเหมือนโดนสะกิดที่หัวไหล่จากด้านหลังทำให้คนไม่มีสติหมุนตัวหันกลับไปยังอีกด้านทันทีที่ถูกเรียก ซึ่งประจวบเหมากับที่อีกฝ่ายเร่งฝีเท้าจนเกินไป ร่างสูงใหญ่สมส่วนจึงถลำตัวมาข้างหน้าเกินพอดี

“คุณลืมเงินทอ... เฮ่ย!! / โอ๊ะ!!

วินาทีนั้นเอง... นมชมพูในแก้วที่ใกล้จะกระฉอกด้วยแรงเหวี่ยงเพราะแก้วเอียงเป็นทุน  
พอมาเจอกับแรงหนุนเป็นแผ่นอกที่ถลาเข้าปะทะบวกเข้าใส่  ผลลัพธ์ที่ได้จึงหนีไม่พ้นการที่น้ำสีหวาน โยกย้ายถิ่นฐานไปอยู่บนเนื้อตัวของคนที่เดินตามมาอย่างกระชั้นชิดแบบยกซดหมดแก้ว


มัวแต่เหม่ออะไรอยู่วะ?!” หนุ่มผู้โชคร้ายสบถอย่างหัวเสียพลางก้มหน้าก้มตาสะบัดของเหลวสีชมพูให้ออกจากเสื้อเชิ้ตขาวและกางเกงขายาวสีดำเท่าที่พอจะทำได้  ฝ่ายคนร้ายผู้ไม่ได้ตั้งใจก็ยกมือขึ้นพนมพลางก้มหัวขอโทษขอโพยอีกฝ่ายอย่างเอาเป็นเอาตายไม่แพ้กัน

“ผมขอโทษจริงๆครับ... เมื่อกี๊ผมไม่ได้ตั้งใจ!!!

“เอ้านี่! ตังค์ทอนของคุณ ป้าคนขายเขาเรียกเอาไว้ไม่ทัน... คนอะไรเฟอะฟะชะมัด!” เมื่อรู้แน่แล้วว่าเสื้อเชิ้ตของตนตกอยู่ในสภาพเกินเยียวยา ชายหนุ่มผู้มีจิตสาธารณะก็เงยหน้าขึ้นส่งสายตาเกรี้ยวกราดพลางยื่นเงินทอนให้กับอีกฝ่ายด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับพลางบ่นงึมงำอย่างหงุดหงิด “ไม่น่าเป็นคนดีผิดเวลาเลยกู!!”  

ฝั่งผู้รับเงินจอมซุ่มซ่ามที่นอกจากจะตระหนกหลังทำเสื้อคนมีน้ำใจเปื้อนเป็นวงกว้างกลางลำตัว
พอตระหนักว่าคู่กรณีเป็นคนที่ทำให้เจ็บปวดหัวใจ ก็ยิ่งตกประหม่าวางสีหน้าไม่ถูกไปกันใหญ่ล่ะทีนี้



“เหี้ยเอ๊ย! แม่งโคตรเหนียว” อดีตเดือนมหาลัยสบถพลางดึงเนื้อผ้าสีชมพูเหนียวหนับให้ออกห่างจากตัวพลางส่ายหัวและถอนหายใจอย่างเอือมระอา

แน่ล่ะ... ยิ่งธันวาออกอาการไม่สบอารมณ์ คนตัวเล็กกว่าก็ยิ่งก้มหัวพร้อมเอ่ยขออภัยไม่หยุดหย่อน
ตอนนี้ความเสียอกเสียใจถูกบ๊วยพับเก็บไป ด้วยต้องรีบหาหนทางแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินตรงหน้าให้ผ่านพ้นไปเสียก่อน  


“ขอโทษครับ!! ผมขอโทษจริงๆครับ!!!

“พูดเป็นอยู่คำเดียวหรือไง? แล้วคำขอโทษมันทำให้เสื้อผมหายเปื้อนไหม? ดูดิ๊... แล้วอย่างนี้จะเข้าเรียนยังไงวะ?!!” หนุ่มรูปงามชักสีหน้าแล้วต่อว่าอย่างฉุนเฉียว บ๊วยจึงยื่นข้อเสนอให้โดยไม่ต้องคิด  

“เอ่อ... เดี๋ยวผมเอาเสื้อไปซักรีดใหม่ให้คุณก็ได้ครับ”  

คำตอบที่ได้ยินทำให้คนฟังหลับตาพลางถอนหายใจอย่างหนักหน่วงแล้วนิ่งไปชั่วอึดใจ
สุดท้ายอริยะตรัยผู้น้องก็ออกคำสั่งห้วนๆชวนให้ชายกลางต้องตั้งคำถามก่อความไม่พอใจให้อีกระลอก

“งั้นตามมานี่! /...เอ่อ... ตามไปไหนครับ?”  หน้าตาเหลอหลาทำเอาธันวาเผลอถอนหายใจติด ๆ กันอีกครั้งเพื่อประทังไม่ให้ความหงุดหงิดปะทุขึ้นกลางคัน

ก็จะถอดเสื้อให้เอาไปซักยังไงล่ะ หรือจะให้ผมแก้ผ้ากลางโรงอาหาร?!” ถ้อยคำประชดประชันไม่น่ากลัวเท่ากับท่าทางขึงขังตั้งท่าจะระเบิดรังดุมให้สะบั้นของหนุ่มวิศวะสุดหล่อ

“...เอ่อ...ไม่ครับ ไม่!” หนุ่มตัวผอมแกร็นบอกปัดเร็วรี่... มีอย่างที่ไหน ไม่พอใจเขาเลยนึกจะถอดเสื้อผ้าต่อหน้าคนเป็นร้อย ๆ

งั้นก็เดินตามมา! / ครับ ๆ ... ขอโท...    ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ชอบคำว่าขอโทษของบ๊วยเอาเสียเลย

เพราะขนาดยังไม่ทันเอ่ยคำดังกล่าวสุดเสียงดี...
สายตาเกรี้ยวกราดมาดร้ายจากอีกฝ่ายก็กดดันให้ต้องเม้มปากงับหางเสียงเสียแน่น
ก่อนต้องออกแรงวิ่งแจ้นตามแผ่นหลังกว้างที่ไกลเกินเอื้อมเข้าไปในห้องน้ำประจำโรงอาหารแห่งนี้อย่างไม่มีทางเลือก  




ร่างสูงสมส่วนถอดเสื้อเชิ๊ตออกวางลงบนที่ว่างข้างอ่างล้างมือ
แล้ววักน้ำเพื่อล้างคราบน้ำหวานออกจากตัวแบบลวก ๆ  โดยไม่อินังขังขอบกับสายตาผู้ใด  
ชายกลางจึงเสเบี่ยงสายตาไปมองบรรยากาศนอกห้องน้ำเพื่อเลี่ยงเงาของแผ่นอกเปลือยเปล่าที่ถูกสะท้อนด้วยกระจกบานใหญ่ด้วยไม่อยากตกใจตื่นเต้นจนกลายเป็นตัวต้นเหตุของเรื่องไม่คาดฝันใดๆขึ้นมาอีก


“คุณ... คุณช่วยไปเอาทิชชูในห้องน้ำให้หน่อยได้ไหม?” อดีตเดือนมหาลัยสั่งแกมบังคับ...

ได้ยินดังนั้น หนุ่มสถาปัตย์ก็แอบยกยิ้มมุมปากพลางนึกขอบคุณตัวเองซ้ำ ๆ
ที่ไม่ใจดำแขวนผ้าขนหนูเนื้อนุ่มสำหรับซับเหงื่อซับหน้านักเตะศูนย์ตัวมหาลัยโดยเฉพาะเอาไว้ที่ห้อง
ทั้งที่ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสหยิบมันออกมาใช้เมื่อไร... เขาก็ยังไม่พร้อมจะตัดใจจากมันเสียที


“เอานี่ไปใช้ก่อนก็ได้ครับ” ชายกลางเสนอทางเลือกที่น่าสนใจกว่าให้ธันวาโดยไม่ละสายตาจากหูกระจงต้นใหญ่ที่แตกใบดารดาษข้างๆรั้วด้านหลังของตัวอาคารแห่งนี้ เพราะรู้ดีว่าตัวเองพ่ายแพ้ต่อรูปร่างของอีกฝ่ายจนไม่อาจควบคุมตัวเองได้ดีนัก...  

ฝ่ายอริยะตรัยผู้น้องซึ่งกำลังง่วนกับการทำความสะอาดก็ยื่นมือออกมาส่งเดชโดยไม่ได้สนใจที่หมายไม่ต่างกัน  
แต่การเอื้อมสุดแขนไปคว้าอากาศทำให้สุดหล่อฟาดงวงฟาดงาโดยไม่ไว้หน้าคู่กรณีไปเสียอย่างนั้น


“อ้าว! ไหนล่ะ?!” ธันวาตวัดสายตาไปมองหน้าเด็กหนุ่มผมยาวราวกับจะหาเรื่อง “เต็มใจหรือเปล่าเนี่ย?... ถ้าจะให้ใช้ก็ยื่นให้มันดี ๆ หน่อยไม่ได้เหรอ?”

“...ครับ ครับ... นี่ครับ” บ๊วยแอบชำเลืองตำแหน่งของคู่สนทนาอารมณ์ร้อนเพื่อตั้งพิกัดใหม่ในการส่งผ้าให้ใกล้เคียงกับปลายทาง  ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาก้มหน้ามองปลายเท้าราวกับกลัวใครจะขโมยคอนเวิร์สคู่ที่ใส่อยู่ไปต่อหน้าต่อตาก็ว่าได้  

เพียงวูบเดียวที่ละสายตาจากเงาในกระจก..
เขากลับรู้สึกราวกับว่า มือหนาของอีกฝ่ายยื่นมาต้องผิวกายในส่วนเดียวกันก่อนจะคว้าผืนผ้าไป...
ถ้าไม่ใช่เพราะกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านปลายนิ้วที่แตะแผ่วผ่านแอ่งชีพจรเมื่อสักครู่  ชายกลางคงไม่ทันรู้ตัวว่าตนเองโหยหาสัมผัสของอีกฝ่ายมากมายขนาดไหน


เมื่อกี๊พี่หมีจับมือเราเหรอ?!!


“เอ้านี่! ผ้าคุณ และก็เสื้อผม” ยังไม่ทันได้ทบทวนเหตุการณ์อันเป็นต้นเหตุของความรู้สึกวูบวาบเมื่ออึดใจก่อน อดีตเดือนมหาลัยในสภาพเรี่ยมเร้เรไรไร้คราบนมเย็นก็รวบผ้าทั้งสองชิ้นแล้วส่งให้โดยไม่มองหน้าคู่วิวาท

“ขอโทษจริง ๆ นะครับ เพราะผม... คุณเลยต้องลำบากไปด้วย” บ๊วยที่ยังไม่กล้ายกสายตาขึ้นจากพื้นพูดเสียงอ่อยโดยไม่ลืมถามไถ่ถึงโอกาสสุดท้ายที่จะได้เจอหน้าอีกฝ่ายแม้จะต้องใช้เสื้อเป็นข้ออ้างก็ตามที “เอ่อ... แล้วผมจะเอาเสื้อไปคืนคุณได้ที่ไหนครับ?”

“วันเสาร์...สี่โมง... สนามบอล... เอาเสื้อไป คืน ที่นั่นก็ แล้วกัน! / ครับ ๆ ” ขาดคำ ร่างสูงสมส่วนไร้อาภรณ์ท่อนบนก็หุนหันออกจากห้องน้ำไปด้วยความรีบร้อนราวกับพายุบุแคม ทิ้งให้เด็กเต็กร่างผอมผู้เอาแต่กดคางติดอกลดสายตาให้ตกลงที่พื้นยืนตอบรับเต็มปากเต็มคำโดยไม่ทันได้สังเกตว่า ถ้อยคำของธันวานั้นทั้งห้วนและสั้น คล้ายคนพูดจาลิ้นพันกันมากขนาดไหน


Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ


(...ก็อก ก็อก ก็อก... )

“เฮ่! ไปกินข้าวกลางวันกัน!!”  พอรู้ว่าประตูหน้าห้องเพื่อนรักไม่ได้ล็อค สกลก็เปิดบานไม้ผางเข้าไปในห้องโดยไม่รอให้เจ้าของต้องลำบากย้ายมวลร่างกายมาเปิดต้อนรับ...  นอกจากคำว่ากาลเทศะแล้ว คำว่ามารยาทก็ถูกหนุ่มหน้าแว่นทิ้งขว้างอย่างไร้เยื่อใยหลังจากได้สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นกัลยาณมิตรผู้สนิทสนมกับบ๊วยหาใดเปรียบไปเมื่อหลายปีก่อน

“เรายังเก็บห้องไม่เสร็จเลย ไปกินก่อนเถอะ” ชายกลางที่เพิ่งลงมือทำความสะอาดห้องอย่างจริงจังได้ไม่ถึงสิบนาทีบอกปัดเพื่อนรักด้วยไม่อยากให้ทั้งห้องถูกฝุ่นละอองรุกรานไปมากกว่านี้

“เฮ่ย! ได้ไง?! นี่มันจะบ่ายโมงแล้วนะ นายยังจะไม่กินอะไรอีกเหรอ?...
.
...จิ๊! ห้องน่ะเอาไว้ทำเมื่อไรก็ได้...
...ไป! ไปกินข้าวกับเราก่อน  เอ๊ะ!ไม่ใช่สิ! ต้องบอกว่า... ไปช่วยเราถล่มพี่รหัสนายกันเถอะ!!” เห็นทีว่าสกลจะไม่ยอมรามือง่ายๆ เพราะที่สุดแล้ว หนุ่มหน้าแว่นก็งัดไม้ตายออกมาใช้ต่อรองโดยไม่ใช้ลีลาหรือท่ายากประกอบ

“หมายความว่าไง?”

“ตอนที่เรากำลังจะมาหานายที่นี่ เราเจอพี่เต๋อมานั่งรอแฟนแกเก็บของเข้าพอดี...
.
...แกเลยบอกให้เรามาชวนนายไปกินข้าวกลางวันพร้อมกัน แกจะเป็นเจ้ามือเอง...
...เพราะฉะนั้นนายต้องไป...ไม่งั้นเราก็ไม่ได้ล้มทับพี่เต๋ออดกินฟรีกันพอดีน่ะสิ” เพื่อนรักหน้าแว่นจีบปากจีบคอพูดด้วยสายตาเป็นประกายจนชายกลางเริ่มไม่แน่ใจว่า ระหว่างพี่รหัสของตนกับอาหารมื้อใหญ่ที่ไม่ต้องใช้เงินแลกมา อะไรกันแน่ที่น่าสนใจมากกว่าในความคิดอ่านของสกล  

“แต... / น่า ไปเถอะบ๊วย... ถือว่าเห็นแก่เราก็ได้ เราอยากแอบส่องเวลาพี่เต๋อแกอยู่กับบรรดาแฟน ๆ ของแกน่ะ” เพื่อนรักหัวไข่มัดมือชกด้วยฝีปากอันว่องไว แถมยังเข้ามาปลดอาวุธขนไก่ในมือของเขาลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะบีบนวดสะบักของน้องรหัสเจ้าภาพพร้อมส่งเสียงออดอ้อนหวานหูตบท้ายเข้าเสียอีก

“เนี่ย! เรานะโคตรอยากรู้เลยว่าความสัมพันธ์สามคนผัวเมียนี่มันเป็นยังไง...
.
.
...นะ นะ... นะ เห็นแก่ต่อมเผือกน้อย ๆ ของแนนเถอะนะบ๊วยเพื่อนรัก!!” สกลยิ้มหวานตาเยิ้มหยดย้อยจนน้ำตาลอ้อยยังต้องอาย...

ลองว่าได้แทนตัวเองว่า แนนและเรียกอีกฝ่ายว่า บ๊วยเมื่อไร  
เพื่อนผู้สุดแสนจะใจดีไม่มีใครเกินของเขาเป็นต้องได้ยอมตามใจโดยไม่คิดขัดไปเสียทุกรอบ...
และครั้งนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น


“งั้นรอเราอาบน้ำแป๊บนึงนะ”

“โฮ้ยยยย! ไม่ต้องอาบหรอก ไม่มีใครสนใจสารร่างคนจืดจางอย่างพวกเราหรอก ไปเลยเหอะ! เดี๋ยวพี่เต๋อแกจะรอ... เร็ว!!” เจ้าของห้องแอบผงะไปเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายคอยเจ้ากี้เจ้าการจัดแจงตัดสินใจนั่นนี่ให้เสร็จสรรพทั้งที่ไม่เคยเป็น แต่พอเห็นสีหน้ากระตือรือล้นที่สกลแสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง ร่างผอมก็ยอมใจไม่คิดแกล้งโยกโย้ให้เสียเวลา

“ก็ได้ ก็ได้”

อาจเพราะอดสังหรณ์ใจไม่ได้ว่า อาหารมื้อนี้ไม่น่าจะจบลงรวดเร็วอย่างที่คาดคิด
ชายกลางจึงปล่อยให้เพื่อนสนิทยืนรอหน้าห้องเพื่อเดินเลยไปหยิบถุงกระดาษใส่เสื้อเชิ้ตตัวที่ซักและรีดจนเรียบกริบบนโต๊ะอ่านหนังสือแล้วถือติดมือไปพร้อม ๆ กัน









“ไงน้องรัก?!” ไม่ใช่แค่เสียงทักทายที่บอกใบ้ว่าพี่รหัสของเขากำลังอารมณ์ดีถึงขีดสุด เพราะใบหน้าและแววตาที่สดใสผ่องแผ้วผิดกับสภาพช้ำรักหลุดรุ่ยเมื่อไม่กี่วันก่อนต่างหาก ที่ทำให้บ๊วยได้ข้อสรุปโดยไม่ต้องอ้าปากซักไซ้ตรินให้เหนื่อย  

“พี่เต๋อหวัดดีครับ” คนเป็นน้องรหัสยกมือขึ้นไหว้พี่ชายร่วมสายด้วยความเคารพรักเป็นพิเศษ ซึ่งท่าทางที่เจ้าตัวแสดงออกอย่างสม่ำเสมอแบบนั้น ยิ่งทำให้หนุ่มร่างหมีหน้าบานด้วยความภูมิใจไปกันใหญ่

“มานี่ มานี่เลย! พี่อยากแนะนำให้เรารู้จักกับแฟนพี่เอาไว้เสียหน่อย” เต๋อกอดคอนำน้องรหัสให้เดินเข้าใกล้กับสองหนุ่มที่ยืนคุยกันกระหนุงกระหนิงอยู่ด้านหลังของตน แล้วจึงแนะนำชายกลางอย่างเห่อ ๆ “ฟู... ด้วง... นี่น้องรหัสเต๋อเองครับชื่อบ๊วย... คนนี้นิสัยดีที่หนึ่งเลยนะ”

“ไหน?! คนนี้เองเหรอที่เล่าให้ฟังบ่อย ๆ ?” วิญญูยิ้มให้ด้วยไมตรีจิตแล้วจึงแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการ  “พี่ชื่อด้วงนะ เป็นแฟนเต๋อ กับแฟน...คนนี้” คนพูดชี้นิ้วไปยังอริยะตรัยคนพี่ที่ยืนอยู่ข้างๆกันก่อนจะทิ้งท้ายประโยคอย่างนุ่มนวล “ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”

แม้ตอนที่พูดถึงสถานะของตัวเองกับตริน จะมีเพียงริ้วสีแดงแต่งแต้มพวงแก้มบางๆ
แต่เมื่อเอ่ยอ้างฐานะล่าสุดกับเจ้าของร่างเล็ก คิวท์บอยผู้เป็นเจ้าของไลค์กว่าครึ่งแสนในระยะเวลาไม่ถึงอาทิตย์ก็คลี่ยิ้มกว้างที่น่ามองยิ่งกว่าครั้งไหนๆให้ใครต่อใครได้ชื่นชมโดยไม่ต้องอาศัยความพยายาม...  
หนึ่งในผู้ชม ณ ที่แห่งนั้นอย่างบ๊วยจึงอดยิ้มตามด้วยความยินดีกับรักครั้งนี้ของรุ่นพี่ทั้งสามไม่ได้


“หวัดดีครับพี่ด้วง” กระทั่งพูดจบ น้องรหัสตรินยังคงยิ้มต่อเนื่องอย่างปลาบปลื้ม โดยไม่ทันได้รู้ตัวเลยว่า... รอยยิ้มนั้นจะนำมาซึ่งวาจาชื่นชมจากชายหนุ่มผู้ไม่เคยเอ่ยคำหวานกับ คนอื่นเลยสักครั้ง

“ยิ้มแล้วก็หน้าไม่แย่เท่าไรนี่... ยิ้มบ่อย ๆ สิ  ยิ้มแล้วน่ารักดี... เฮียชอบ” เจ้าของวาทะกระชากสติสัมปชัญญะของผู้ฟังต่างวัยเดินเข้ามาใกล้แล้วจึงแย้มรอยยิ้มพิมพ์ใจมาให้ยลจนคนถูกชมถึงกับสตั้นท์ไปหลายวิฯ

ครับ?!!

“นี่ชื่อกังฟูนะ เป็นแฟนหมียักษ์สองตัวนี้” กรกฏพูดพลางชี้ตัวเองอย่างน่ารักน่าใคร่จนหมีตัวใหญ่ทั้งสองอมยิ้มจนแก้มพองพลางแลกเปลี่ยนสายตาเป็นปลื้มจนลืมตายให้กันและกัน  จากนั้นแฟนพี่รหัสร่างเล็กก็คว้ามือบ๊วยขึ้นมาแล้วบีบเบา ๆ แล้วป้อนคำสั่งด้วยน้ำเสียงเอ็นดูผู้ฟังอย่างไม่คิดปิดบังใดๆ “ต่อจากนี้ไปให้เรียกว่าเฮียฟูนะ ไหนลองเรียกเฮียฟูให้ฟังซิ”

“เฮียฟู” ระหว่างเอ่ยสรรพนามสั้นๆที่เขาเคยเรียกจนติดปากเมื่อหลายวันก่อน ชายกลางต้องกระพริบตาถี่ ๆ เพื่อห้ามไม่ให้น้ำใส ๆ ไหลรินออกจากสองหน่วยเนตรด้วยด้วยท่าทางใจดีของพี่ชาย คนๆนั้นเป็นเหตุชี้นำ...

พอได้เจอหน้ากังฟูอีกครั้งหลังจากห่างหายกันไปหลายวัน เขาก็กระจ่างแจ้งแก่ใจโดยพลันว่า  
การจากลาเมื่อสองวันก่อน  ทำให้เขาคิดถึงพี่น้องอริยะตรัยทั้งสองไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย


“อือ... ว่าง่ายดี เฮียชอบ... สนใจมาเป็นน้องเฮียอีกคนไหม?” กรกฏยื่นข้อเสนอด้วยน้ำเสียงชอบใจพลางลูบหัวไหล่ของอีกฝ่ายด้วยความรักใคร่ทั้งที่เพิ่งได้พบปะพูดคุยกันสั้นๆเพียงไม่กี่ประโยคดี

กระนั้น... ใจความของประโยคดังกล่าวกลับทำให้บ๊วยสะอึกจนพูดไม่ออก...
สุดท้าย สิ่งที่เขาเคยวาดหวังอยากให้บังเกิดเมื่อครั้งที่ยังอยู่ในช่วงเวลาแห่งความฝันกับ คนๆนั้นก็สัมฤทธิ์ผล...
และแล้วเฮียฟูก็ยอมรับและพร้อมจะรับเขาเป็นน้องชายอีกคนจนได้...
ถึงมันจะเกิดในจังหวะที่เขาหลุดพ้นจากการเป็นคนของธันวามาแล้วก็ตามที
แต่ก่อนที่ความรู้สึกยินดีกึ่งสะท้านใจจะทำให้ชายกลางทำลายบรรยากาศชื่นมื่นจนกลายเป็นรื้นน้ำตา
เด็กเต็กสี่ตาก็กระโดดเข้ามาเบนความสนใจของทุกคนได้อย่างพอดิบพอดี  


“ผมก็อยากเป็นน้องเฮียนะครับ... เฮียฟู” สกลปะเหลาะแต่กลับโดนอีกฝ่ายปรายตาจิกแล้วด่าเสียงเข้มใส่เสียจนหนุ่มรุ่นน้องไม่อาจออกอาการเหิมเกริมใส่ได้อย่างใจปรารถนา

มึงเป็นใคร?

“ผมเป็นเพื่อนสนิทบ๊วยครับ ชื่อสกล / กูไม่ได้อยากรู้จัก กลับหลุมมึงไปไป๊!” ประโยคแนะนำตัวเองอย่างอ้อล้อของรุ่นน้องต่างคณะถูกโต้ให้ตกไปด้วยประโยคขับไล่ไสส่งด้วยความรังเกียจขั้นสูงสุด จนเต๋อทนดูไม่ได้

“ฮื่อฟู ไม่เอาสิครับ... ไม่รังแกสัตว์นะ” ไม่ทันขาดคำ หนุ่มร่างหมีก็จ้ำไปหาร่างเล็กก่อนจะประคองสอปรางอิ่มไว้ในอุ้งมือพลางส่งสายตาห้ามปรามคนปากร้ายอย่างละมุนละม่อม

“ง่อวววว! ผมจะงอนพี่เต๋อแล้วนะ!!” กลายเป็นรุ่นน้องหน้าแว่นที่กระทืบเท้าปึงปังอย่างขัดใจ แต่กลับหาได้มีใครนำพาอย่างที่เจ้าตัวอุตส่าห์คาดการณ์เอาไว้... โดยเฉพาะรุ่นพี่ร่วมคณะร่างใหญ่ที่ดูจะไม่ใยดีเป็นที่สุด

“เออดี! กูจะได้ไม่ต้องวิสาสะกับขยะเปียกอย่างมึงอีก!!

“โฮววววว!! ไม่เอานะ... ผมไม่งอนแล้ว ได้โปรด...อย่าทิ้งผมเลยนะครับ!!!” ด้วยทักษะการแสดงที่มักจะรัชดาลัยเธียร์เตอร์เป็นประจำ ทำให้สกลแทบจะทิ้งตัวลงกอดขาคว้าเข่าของหนุ่มร่างหมีเอาไว้เพื่อให้ดูสมจริงสมจัง

แต่ความคิดดังกล่าวกลับถูกยับยั้งเอาไว้ด้วยเสียงชักชวนของรุ่นพี่วิศวะที่หล่อลากกระชากใจใครต่อใครได้อย่างง่ายดาย
ซึ่งนั่นเปรียบเสมือนสัญญาณเตือนให้ทั้งหมดออกเดินทางไปยังที่หมายของมื้อกลางวันนี้กันเสียที


“เต๋อ... ไปกันเลยเถอะ เดี๋ยวฟูจะหิวข้าวไปเสียก่อน”

“อืม เอาสิ”

“นั่งหลังกับเฮียนะ จะได้เล่าให้เฮียฟังไงว่าบ๊วยชอบทำอะไรบ้างเวลาว่าง ๆ  เฮียอยากรู้จักบ๊วยให้มากกว่านี้น่ะ” กังฟูเอ่ยพลางเดินควงแขนกับน้องรหัสแฟนคล้ายกับไม่อยากจะปล่อยให้ห่างไปไหน  น้ำจิตน้ำใจของพี่ชาย คนๆนั้น ทำให้บ๊วยตื้นตันจนคิดประโยคตอบโต้ยาวๆไม่ออก

“ครับ ได้ครับ”

“ไอ้แว่น... แล้วไอ้แฝดล่ะ?” ตรินเอ่ยถามขาเผือกไปทุกเรื่องก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งยังเบาะคนขับ ฝ่ายสกลก็ตอบกลับเร็วรี่ระหว่างที่เดินประกบกังฟูกับเพื่อนรักไม่ห่าง

“ไปรอที่ร้านแล้วครับ”

“มึงเข้าไปนั่งในเลยไอ้แว่น!” อริยะตรัยผู้พี่จี้หนุ่มหัวไข่เสียงแข็ง แล้วจึงเกริ่นอย่างเบาแรงแฝงความอ่อนโยนในประโยคขอร้องที่เอ่ยกับชายกลางด้วยตั้งใจจำทำให้สกลตาสว่างและระลึกถึงวรรณะที่คู่ควรกับความต้อยต่ำของตัวเองได้เสียที “บ๊วยนั่งกลางนะ... เฮียไม่อยากโดนตัวคนอื่นน่ะ”

“ครับ”

หลังจากรุ่นน้องตัวผอมรับคำง่ายๆจนเหล่าชายวัยกำดัดทั้งห้าจับจองที่นั่งตามชอบใจ
รถสัญชาติยุโรปคู่บุญของเต๋อก็ค่อยๆเคลื่อนตัวออกไปจากหอในอย่างช้าๆ
จังหวะที่กำลังจำหักพวงมาลัยเลี้ยวออกจากหอ กลับมีมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ขับตัดหน้าผ่านพวกเขาทั้งห้าไปอย่างไม่รีบร้อน   


“อ้าว! นั่นเก็กนี่ฟู!!” ด้วงร้องทักขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเมื่อรู้ว่า บิ๊กไบค์คันที่เพิ่งเห็นเป็นพาหนะคันเก่งของน้องห้อง หาใช่ใครอื่น

“ไหน? แล้วนั่นมันพาใครซ้อนท้ายไปน่ะ?” ก่อนจะได้ฟังคำตอบอย่างเป็นรูปธรรม คิวท์บอยที่นั่งเบาะข้างคนขับก็ชี้นิ้วไปยังรถสองล้อคันหน้านำสายตาผู้โดยสารเบาะหลังทั้งสามให้มองตามเป้าหมาย

“ใส่หมวกกันน็อกแบบนั้นด้วงดูไม่ออกหรอกครับ... แต่ตัวเล็ก ๆ ประมาณนี้คงเป็นน้องอิ๊กล่ะมั้ง” วิญญูเดาสุ่มบนพื้นฐานของความน่าจะเป็น ซึ่งข้อสันนิษฐานดังกล่าวดูจะทำให้กรกฏคล้อยตามได้ไม่ยากเย็นนัก...

หรืออาจจะดีเกินไป จนพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยเผลอชักสีหน้า
ก่อนจะกระชากเสียงถามข้อมูลล่าสุดจากแฟนหนุ่มนั่งหน้าอย่างฉุนเฉียว


“พวกมันกลับไปคบกันอีกแล้วเหรอวะ?”

“แต่คู่นี้เขาคบกันมาตั้งหลายปีนะฟู” วิญญูพยายามอธิบายอย่างใจเย็น ทว่าคนฟังกลับไม่เห็นชอบด้วยแม้แต่น้อย

“หึ! แอบคบกันลับหลังกูไม่พอ ไอ้เก็กแม่งเสือกตาต่ำคว้าไอ้เด็กเหี้ยที่กูเกลียดขี้หน้ามาเป็นแฟนเสียอีก!

“ฟูครับ... พูดไม่เพราะอีกแล้วนะ” คราวนี้เป็นเสียงเข้ม ๆ ของคนขับที่เปล่งออกมาเพื่อเตือนสติไม่ให้คนเอาแต่ใจทำผิดข้อตกลงระหว่างกัน

“โอ๊ย! กูจะลงแดงตายอยู่แล้วนะเต๋อ ขอกูพูดหน่อยไม่ได้หรือไง?” ร่างเล็กตอบโต้อย่างกระแทกกระทั้นพลางยกมือขึ้นกอดอกคล้ายจะบอกว่าข้าจะตั้งหลักสู้จนกว่าจะได้ว่าร้ายคนอื่นตามความเคยชินเดิมๆเสียที

แต่มีหรือที่พ่อหมีจะยินยอมพร้อมใจง่ายๆ...
ถ้ากังฟูคิดจะทำตัวร้ายกาจ เขาก็จะทำให้อีกฝ่ายแน่ใจว่า ค่าใช้จ่ายที่เขาจะเรียกเก็บในภายหลังจะต้องสมน้ำสมเนื้อเสมอ


“ตามใจ...อยากพูดแบบไหนก็พูด แต่ฟูจำได้ใช่ไหมครับว่าคนพูดไม่เพราะจะโดนอะไร?”
.
.
.
.
.
.
“ฮึ! ไม่พูดแล้วก็ได้!!” คนพูดนิ่วหน้าเพื่อตบตาอาการแก้มขึ้นสีอย่างไม่มีสาเหตุชักนำ แล้วแสร้งทำเฉยก่อนจะเสตามองบรรยากาศสองข้างทางอย่างตั้งใจเสียเต็มประดา ทว่าประโยคที่ตามมาของหนุ่มร่างหมีที่นั่งหน้าทั้งสองกลับทำให้กังฟูต้องหน้าร้อนวูบวาบขึ้นมาอีกคำรบ

“หึ หึ หึ... แฟนใครวะ โคตรน่ารักเลยว่ะ ว่าป่ะด้วง?!  / เออว่ะ แฟนใครไม่รู้ น่ารักมาก”









“พวกมึงสั่งอะไรไปยัง?” ตรินถามฝาแฝดทันทีที่พวกเขาทั้งหมดมารวมตัวพร้อมหน้ากัน ณ โต๊ะตัวยาว ภายในร้านอาหารบรรยากาศดีแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างจากมหาวิทยาลัยเท่าใดนัก

“แค่ของกินเล่นไม่กี่อย่างเองครับพี่เต๋อ” แฝดพี่รับหน้าที่สานต่อบทสนทนา เนื่องจากเห็นว่าฌอนจดจ่ออยู่กับหน้าจอมือถือโดยไม่กระพริบตามาจะครบสองนาทีอยู่แล้ว

“ฟู ด้วง...อยากกินไรสั่งเลยเต็มที่  บ๊วยด้วย... อยากกินอะไรสั่งเลยนะ มื้อนี้พี่เลี้ยงเอง” เจ้าภาพร่างหนาเอ่ยเชิญชวนด้วยรอยยิ้มเต็มหน้าด้วยเพราะโปรดปรานช่วงเวลาที่ทั้งหมดอยู่รวมกันเป็นที่สุด

“อู้หูววววว!!! หล่อรวยใจป้ำแถมยังล่ำขนาดนี้ พี่เต๋อสนใจรับเลี้ยงกิ๊กหน้าแว่นสักคนไหมครับ?...
.
...แบบว่าช่วงนี้น้องสกลคนดีอดอยากปากแห้งฝุด ๆ ” รุ่นน้องหัวไข่ไสหนังศรีษะเกรียน ๆ และใบหน้ากับต้นแขนข้างขวาของพี่รหัสเพื่อนสนิทพลางส่งสายตาคิดลึกไปให้

“มึงดูหน้าแฟนกูสองคนดิ๊แว่น... ดูให้ชัด ๆ ” หนุ่มร่างหมีแสยะพลางบุ้ยใบ้ให้สี่ตามองตามไปยังรุ่นพี่ต่างคณะทั้งสอง ฝ่ายที่ยังไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาก็ยิ้มร่าพร้อมตั้งคำถามตามประสาหนุ่มโลกสวยผู้ไม่รู้จักเวล่ำเวลาและกาละเทศะ

“ทำไมเหรอครับพี่เต๋อ? จะให้น้องฝากเนื้อฝากตัวเป็นอนุฯกันตรงนี้เลยเหรอครับ?”

“เปล่า... ที่กูบอกให้มึงดูหน้าแฟนกูทั้งสองเอาไว้ให้ดี ๆ  ...
...เพราะตอนไปพบยมบาลมึงจะได้ตอบท่านได้ไงว่า ใครกระทืบมึงไส้ไหลจนถึงแก่ความตาย...
.
.
...แฟนกูแต่ละคนนี่น้ำหนักตีนไม่ได้เบา ๆ หรอกนะ”

“ชะอุ้ย! บังเอิญจังเลย... น้องนึกขึ้นได้ว่าน้องยังมีป๊าม้าและอาม่าอยู่...
...ทีนี้ก็ไม่ต้องลำบากใจรับน้องไปเป็นกิ๊กแล้วนะครับพี่เต๋อ น้องเกาะครอบครัวกินน่าจะสบายใจกว่าเยอะ”


ขณะที่บทสนทนาอันดุเดือดระหว่างตรินและสกลดำเนินไป
ฝ่ายกรกฏก็ซักไซ้ไต่ถามน้องรหัสแฟนหนุ่มด้วยความสนใจอย่างต่อเนื่อง


“เมื่อกี๊คุยกันถึงไหนแล้วนะ... เราบอกเฮียว่าบ้านอยู่ปากช่องเหรอ?”

“ครับ”

“แล้วชอบทำอะไรเวลาอยู่บ้าน?” กังฟูปล่อยหน้าที่เลือกเมนูอาหารคาวให้ด้วงจัดการเนื่องจากกำลังติดพันกับบทสนทนาของร่างผอมที่ตนจัดแจงให้นั่งข้างๆ พลางจับไม้จับมือสัมผัสร่างกายอีกฝ่ายเป็นระยะ ๆ คล้ายไม่อยากปล่อยให้คลาดสายตา

“ก็ช่วยครอบครัวทำงานง่าย ๆ ในไร่ไปตามเรื่องน่ะครับ ส่วนใหญ่ก็ช่วยแม่... ไม่อยากให้แม่เหนื่อยเกินไปน่ะครับ”

“เหรอ... บ้านน่าอยู่หรือเปล่า? ว่าง ๆ เฮียไปเที่ยวได้ไหม?”

ความเศร้าระคนสุขระดมเข้าจู่โจมคนฟังทันทีที่พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยถามเรื่องที่บ้านของตนอย่างกระตือรือล้นเป็นที่สุด
ถึงเหตุการณ์สั้น ๆ ระหว่างช่วงปิดเทอมภาคต้นจะวุ่นวายและไม่น่าอภิรมย์สักเท่าไร
แต่บ๊วยกลับจำทุก ๆ รายละเอียดได้ไม่ลืม กระทั่งอาการที่เปลี่ยนแปลงไปของคนนั่งข้าง ๆ นับตั้งแต่วินาทีแรกที่ไปถึงบ้านไร่ด้วยความรู้สึกไม่เต็มใจ ไปจนถึงวันสุดท้ายที่ต้องเอ่ยคำลากับมารดาของตนอย่างอาลัยอาวรณ์

เป็นเพราะความเห็นแก่ตัวจากพรของเขาแท้ ๆ
ที่ทำให้อริยะตรัยผู้พี่ต้องสูญเสียความทรงจำดี ๆ ที่ไร่ไปอย่างไม่มีวันหวนคืน


“เฮียฟูอยากไปบ้านผมเมื่อไรก็ไปได้เลยครับ พอเฮียฟูไปบ้านผมแล้ว... เฮียค่อยบอกผมอีกทีก็ได้ว่าบ้านผมเป็นยังไง น่าอยู่หรือเปล่า” ชายกลางแย้มยิ้มพร้อมกับเชื้อเชิญอีกฝ่ายโดยไม่ต้องใคร่ครวญ...

เมื่อตระหนักผลลัพธ์ของสิ่งที่ตนเป็นผู้ก่อลับหลังคนอื่น หนุ่มสถาปัตย์รุ่นน้องจึงตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่า
ต่อจากนี้ เขาจะหยิบยื่นสิ่งละอันพันละน้อยคืนให้แก่ทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากพรของเจ้าพ่อห่อไหล่เท่าที่พอจะทำได้
โดยจะไม่ยอมให้ความรู้สึกช้ำรักมีอิทธิพลเหนือปณิธานที่ว่าได้เป็นอันขาด


“ด้วง... เด็กฝึกงานหยุดยาว ๆ ได้ป่ะ ฟูอยากไปเที่ยวบ้านบ๊วยอ่ะ” กังฟูจึงหันไปอ้อนคนนั่งประกบอีกข้างเมื่อได้รับคำเชิญอย่างเป็นทางการของรุ่นน้องตัวผอม

“ไม่รู้เหมือนกันสิครับฟู เอางี้... เดี๋ยวด้วงถามพ่อให้อีกทีนะครับ” ด้วงที่เพิ่งทวนออร์เดอร์ของคนทั้งโต๊ะกับพนักงานเสร็จก็รีบตอบรับร่างเล็กด้วยสีหน้าหนักใจ 

และเพราะรู้ดีว่า วิญญูพร้อมจะบันดาลสิ่งที่คิดฝันให้พลันบังเกิดได้ดั่งใจเสมอ
พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยจึงไม่พูดพล่ามทำเพลงปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยเสียเปล่าไปต่อหน้าต่อตา


“ฟูอยากไปเที่ยวบ้านน้องจังเลยครับ... ด้วงขอพ่อให้หน่อยสิ” ร่างเล็กค่อยๆเอนตัวพิงเข้าหาแผ่นอกของเป้าหมายแล้วจึงปรายตาฉ่ำช้อนขึ้นสบสายตากับอีกฝ่ายโดยไม่คิดละไปไหน แต่ยังไม่ทันที่คิวท์บอยจะหัวใจวายตายไปเสียก่อน... เสียงเข้ม ๆ ของคนนั่งตรงข้ามก็เอ่ยปรามออกมาอย่างมีเหตุมีผล

“ฮื่อออ อย่าเลย... เดี๋ยวคนจะมองว่าท่านประธานใหญ่อวยลูกชายคนเดียวจนทำให้ระบบงานมีปัญหา” พอกระตุ้นวิญญูจนได้สติ  ตรินก็ทำความเข้าใจกับบุคคลต้นเรื่องเป็นรายการถัดไป “ฟู... อย่าทำตามใจตัวเองจนกระทบไปถึงพ่อด้วงมันเลยนะครับ”

“งั้นปิดเทอมปุ๊บก็เข้าไปฝึกงานเลยแล้วกัน ฝึกงานเสร็จเร็วก็จะได้มีเวลาไปเที่ยวบ้านบ๊วย... ดีไหมครับฟู?” หนุ่มหน้าหยกพยายามชดเชยให้กับกรกฏที่เริ่มจะชักสีหน้าน้อย ๆ พลางเกลี่ยปอยผมที่ปรกทิ่มเปลือกตาอีกฝ่ายให้พ้นไปอย่างเบามือ

แต่ก่อนที่ครอบครัวใหญ่จะได้มติเกี่ยวกับการฝึกงานและช่วงเวลาพักผ่อนตอนปิดเทอมที่จะมาถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
หนุ่มหน้าแว่นกลับร้องอุทานพร้อมทำหน้าตาตื่นขัดรุ่นพี่ทั้งสามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย


“นั่นคุณธันวานี่ครับ?... โอ๊ะ โอ๊ะ... มากับคุณอคิราเสียด้วย

ทั้งหมดมองตามสายตาของสกลไปยังร่างสูงของเดือนมหาลัยที่เดินเข้ามาในร้าน ซึ่งกำลังเลี้ยวไปยังตู้เค้กด้านหน้า
ฝ่ายสก๊อยที่พามาด้วยก็นั่งนิ่ง ๆ รักษาตำแหน่งตรงท้ายรถที่จอดอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่หน้าร้านโดยไม่กระดุกกระดิกไปไหน


“นี่มึงรู้จักน้องกูด้วยเหรอ?” กรกฏเลิกคิ้วรอฟังคำตอบของรุ่นน้องต่างคณะด้วยความสนอกสนใจ ซึ่งเด็กเต็กสี่ตาก็ไม่ได้ทำให้ใครต้องผิดหวัง  

“แหม่... ใคร ๆ ก็รู้จักคุณธันวา อดีตเดือนมหาลัยกันทั้งนั้นแหละครับ...
.
...ยิ่งพอควงกับคุณอคิราอดีตเดือนบริหารก็ยิ่งเด่นไปกันใหญ่...
...ขนาดไม่ต้องใช้ความพยายาม  ก็ต้องรู้อยู่ดีแหละครับว่าสองคนนั้นเป็นใคร... เนอะบ๊วยเนอะ!

“อืม” ชายกลางละสายตาจากคนที่เข้ามาซื้อเค้กก่อนจะก้มหน้ารับคำสั้น ๆ

“เรียกเก็กมานั่งกินด้วยกันดีไหมฟู?” วิญญูเสนอด้วยคาดว่าเต๋อเองก็ไม่น่าจะมีปัญหา

ทว่าคนเป็นพี่แท้ ๆ ของบุคคลที่ถูกพาดพิงกลับดีดตัวขึ้นนั่งหลังตรง
แถมยังคงคอนเซ็ปต์เหม็นเบื่อไปเสียทุกครั้งที่ต้องพูดถึงบุคคลที่สี่... ชายหนุ่มที่ตนรังเกียจอย่างกับอะไรดีคนนั้น!


“ไม่เอาอ่ะ เหม็นหน้าไอ้เหี้ยอิ๊ก... หมั่นไส้แม่ง!!”

“ไม่ต้องเรียกหรอกครับ” ฌอนแทรกแล้พยักเพยิดกลับไปยังจุดพักสายตาเคลื่อนที่ได้เมื่อครู่  อริยะตรัยผู้น้องเพิ่งเดินออกจากร้านไปพร้อมกับขนมกล่องใหญ่ ก่อนที่ทั้งคนขับและสก๊อยกิตติมศักดิ์จะกลายเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ ในคลองจักษุของพวกเขาทั้งหมด “คงแค่แวะมาซื้อขนมล่ะมั้งครับ”

“ไม่ได้แช่งนะ... แต่กูว่า ไม่เกินสองปีไอ้เหี้ยอิ๊กแม่งต้องเป็นง่อยแน่ ๆ  แค่จะซื้อขนมเองแม่งยังไม่ยอมลงจากรถเลย... สันดาน!” กรกฏสบถอย่างเดือดดาล จนหนุ่มร่างหมีต้องทัดทานอาการหมั่นหน้าอดีตเดือนบริหารของคนรักด้วยอาหารการกินอันหลายหลายชวนให้น้ำลายสอตรงหน้า  

“ฟูครับ... กินข้าวก่อนดีไหม จะได้ไม่โมโหหิว... เอาล่ะพวกเรา...กินข้าวกันเลยแล้วกันนะ อาหารจะได้ไม่ชืด”








“น้องครับ... ขอเมนูขนมด้วยนะครับ” เจ้ามือเอ่ยกับพนักงานทันทีที่จานอาหารคาวทั้งหมดถูกลำเลียงออกไปจากโต๊ะ  แล้วจึงหันมาเชื้อเชิญหนุ่ม ๆ ทั้งหลายด้วยไมตรีจิตรอีกครั้ง “เดี๋ยวสั่งขนมหวานต่อเลยนะทุกคน ร้านนี้อร่อยมาก... พวกพี่มากินกันเมื่อวันก่อน  วันนั้นเสียตังค์ค่าขนมมากกว่าค่าข้าวอีกมั้ง” เต๋อส่งยิ้มผ่านสายตาอบอุ่นไปยังคนนั่งตรงข้ามทั้งสอง และเมื่อเห็นร่างเล็กกำลังจ้องเมนูขนมตาวาว เขาก็อดยิ้มกว้างกว่าเดิมไม่ได้

“อร่อยขนาดนั้นเชียวเหรอครับพี่เต๋อ?” สกลเบรคขึ้นทันทีด้วยทนเห็นรุ่นพี่ทำตัวเป็นหมีตกหลุมรักไม่ไหว แต่ดูเหมือนตรินจะไม่แคร์อะไรกับนายอิจฉาหน้าแว่นเท่าที่ควร

“มึงก็ลองสั่งดูแล้วกัน อะไรก็ได้...กูว่าอร่อยหมดนั่นแหละ ใช่ไหมครับฟู?”

“ไม่รู้ดิ... สั่งฮันนี่โทสต์ บราวนี่  เครปเค้ก บาน็อฟฟี แล้วก็ช็อกลาวาให้หน่อยดิด้วง” กรกฏสั่งแฟนอีกคนก่อนจะเสหลบตาด้วยรู้เจตนาของเจ้าของคำถามหน้าคมเป็นอย่างดี... หวังจะล้อให้เขาเขินต่อหน้าพวกเด็กเต็กรุ่นน้องล่ะสิ ไม่มีทางเสียหรอก!!

“กินหมดเหรอครับ? หืม?” พอได้ยินรายการขนมยาวเหยียดของคนรัก ด้วงก็อดทักด้วยความเป็นห่วงออกมาไม่ได้... เล่นกินของหวานเยอะขนาดนี้ จะอิ่มเกินไปจนปวดท้องหรือเปล่าก็ไม่รู้

แต่หน้าตาไม่รู้ไม่ชี้กึ่งดื้อดึงที่พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยใช้ตอบโต้
ชวนให้หนุ่มตัวโตคล้ายหมีเปรยด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ อย่างทีเล่นทีจริงสมทบมาทันทีราวกับจะขู่


“กินไม่หมดก็ปล่อยไว้นี่แหละ แล้วเย็น ๆ ค่อยวนรถกลับมารับอีกที” เต๋อกระหยิ่มอย่างรู้กันกับวิญญู จนกังฟูผู้ร้อนตัวต้องรีบเอ่ยอ้างออกมาอย่างร้อนรนทำเอาคนฟังเกือบทั้งโต๊ะอดกลั้นหัวเราะไม่ได้

“ใครบอกว่าฟูจะกินคนเดียว... ฟูสั่งเผื่อเต๋อกับด้วงแล้วตังหาก”

“หึ หึ หึ ด้วงมึงดูแฟนมึง! / อย่า... ก็ของมึงเหมือนกันนั่นแหละเต๋อ”

“ฮู๊ยยยย! หวานเว่อร์!! ขนาดแค่อ่านเมนูยังหวานเลยเนอะพี่ฌานเนอะ” สกลอดแขวะบรรยากาศสีม่วงอมชมพูที่รายล้อมรอบ ๆ หนุ่มรุ่นพี่ทั้งสามไม่ได้...

จะหยอกเอิน ชื่นชม หรือจะดมหัวดมหูกันเขาก็ไม่ว่า
แต่ถ้าเป็นไปได้... ช่วยไปรักกันไกล ๆ หน่อยก็ดี  อยู่ลำพังบนคานแบบนี้มันหนาวมากรู้ไหม?!
กระนั้น... ถ้อยคำที่สวนออกมาอย่างแผ่วเบาของแฝดพี่ ก็ถล่มโลกดราม่าของคนโสดหน้าตี๋จนป่นปี้ไม่เหลือหลอ


“อยากให้พี่เต๋อแยกบิลไหมล่ะแว่น พี่ฌานเคยได้ยินว่าร้านนี้ทำให้ได้นะ”

“อุ๊ย!...ผมไม่คุยด้วยแล้ว! เลือกขนมดีกว่า!!” สุดท้ายหนุ่มหน้าแว่นก็ดึงสติกลับมายังดาวเคราะห์โลกได้สำเร็จ

“บ๊วยล่ะ... จะสั่งอะไร?” เต๋อละสายตาจากแฟนทั้งสองไปถามน้องรหัสที่นั่งอยู่อีกข้างหนึ่งของกังฟู เพราะยังไม่ได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยชื่อขนมหรือเครื่องดื่มใด ๆ ออกมาให้ได้ยินเลยสักครั้ง

“เอ่อ... คือ ผมมีนัดตอนสี่โมงน่ะครับ ผมขอตัวกลับก่อนเลยได้ไหมครับพี่เต๋อ เดี๋ยวจะไปไม่ทันนัด” ชายกลางอึกอักพลางมองถุงกระดาษที่เจ้าตัววางอย่างบรรจงเอาไว้บนเบาโซฟาะระหว่างตัวเองกับแฝดน้องตั้งแต่แรกมาถึง...

หากเขาตบปากรับคำรุ่นพี่ มีแนวโน้มสูงมากว่ามื้ออาหารนี้ไม่น่าจะสิ้นสุดก่อนสี่โมง...
ซึ่งการปล่อยให้ คน ๆ นั้นรอนาน ๆ คงไม่ใช่ความทรงจำสุดท้ายระหว่างกันที่ดีสักเท่าไร
แต่บ๊วยคงคิดน้อยไป... เพราะคนที่หมั่นคว้ามือเขาไปจับเอาไว้บ่อย ๆ กลับออกอาการงอแงใส่โดยไม่ทันตั้งตัว


“อะไรกัน?! นี่เพิ่งสามโมงเอง กินขนมกับเฮียก่อนสิ เดี๋ยวเฮียให้เต๋อบึ่งไปส่งถึงที่เลย นะ นะ... กินขนมกับเฮียก่อนนะ” 


แต่ยังไม่ทันที่ชายกลางจะให้ตอบ เสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าใหม่ในเครื่องของกังฟูก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน  
เมื่อเจ้าของโทรศัพท์เหลือบตาอ่านชื่อคนส่งที่เรืองแสงอยู่บนหน้าจอ รุ่นพี่วิศวะก็คว้ามือถือขึ้นมาอ่านเนื้อหาทันที


ไอ้เหี้ยเก็กแม่งเอาอีกแล้ว!” กรกฏกระแทกเครื่องมือสื่อสารส่วนตัวลงกับโต๊ะพลางชักสีหน้าจนด้วงอดสงสัยกับปฏิกิริยาดังกล่าวของอีกฝ่ายไม่ได้

“ทำไมเหรอฟู?”

“ก็มันเพิ่งส่งข้อความมาบอกกูนี่แหละว่า คืนนี้มันจะกลับดึก... บอกว่าจะพาแฟนไปขี่รถเล่นสองต่อสอง...
.
...สงสัยมันคงอยากให้กูตามไปแหกอกมันถึงที่ล่ะมั้ง...
...วอนนักนะไอ้น้องชั่ว!!

ไม่ต้องให้ใครอธิบาย ทั้งหมดก็รู้ได้ทันทีว่าพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยกำลังโกรธจัด
ไม่อย่างนั้นคงไม่ลืมตัวซัดภาษาพ่อขุนรามออกมาให้ได้ยินแบบน็อนสต็อปทั้งที่โดนห้ามปรามอยู่ไม่ขาดปากอย่างที่เป็นอยู่


“เอาน่าฟู... ปล่อยน้องมันไปเถอะ ยังไงคืนนี้ฟูกับด้วงก็ไม่กลับไปนอนห้องอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?” วิญญูปลอบ แต่คนฟังกลับหยัดตัวขึ้นนั่งหลังตรงเหมือนเพิ่งนึกเรื่องสำคัญออก

“หรือว่าคืนนี้จะเปลี่ยนแผนไปรอจิกมันที่ห้องดี?!

ไม่ได้นะ! / เฮ่ย! ไม่เอาแบบนี้สิครับฟู!!” สองหมีถึงกับร้องประสานเสียงหักห้ามความต้องการดังกล่าวของคนรักโดยพร้อมกัน และนั่นทำให้กังฟูถึงกับลืมเรื่องน้องชายแล้วหันกลับมาสนใจแฟนหนุ่มทั้งสองได้ทันตา

“ทำไม? ทำไมจะกูกลับไปนอนห้องไม่ได้? พวกมึงวางแผนอะไรกัน?” อริยะตรัยผู้พี่คาดคั้น แต่จะมีโจรที่ไหนจะกล้ายืดอกยอมรับแผนการอันร้ายกาจของตนให้ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ได้รู้และเตรียมใจล่วงหน้ากัน?!!

เปล๊า!! / ฮื้อ... ไม่มี!! ไม่มีอะไรทั้งสิ้นครับฟู / อย่าให้กูรู้นะว่าพวกมึงคิดจะทำอะไรแผลง ๆ !!”  พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยชี้หน้าคาดโทษด้วยสีหน้าโกรธขึ้ง  เห็นดังนั้น... ฝ่ายสองหนุ่มร่างสูงใหญ่ต่างก็ถลึงตาพลางส่ายหัวป้อย ทว่าในใจกลับกำลังนับถอยหลังรอเวลากลับถึงห้องของเต๋อมาถึงเสียก่อน... เมื่อนั้น การเข้านอนที่กรกฏเฝ้าพะวงนักหนาจะหาสาระไม่ได้อีกต่อไป


“เฮียฟูครับ... แนะนำเมนูของหวานอร่อย ๆ ให้ผมหน่อยสิครับ” ที่สุดบ๊วยก็เป็นฝ่ายเอ่ยร้องขอความช่วยเหลือจากคนนั่งข้างๆเพื่อยับยั้งไม่ให้กรกฏแผลงฤทธิ์ใส่ใครจนไม่เป็นอันกินไปเสียก่อน  ซึ่งเมื่อรุ่นพี่ต่างคณะได้ยินก็ถึงกับสับเปลี่ยนอารมณ์ใหม่แทบไม่ทัน

“อ้าว! เปลี่ยนใจแล้วเหรอ?!!” สีหน้าแปลกใจของคนโตกว่าทำให้ชายกลางยอมเผยให้ทุก ๆ คนในโต๊ะได้รู้ถึงรายละเอียดของนัดหมายที่คงจะกลายเป็นแค่ความเข้าใจผิดของเขาแต่เพียงคนเดียวไปแล้วกระมัง

“ที่จริงผมมีนัดกับคุณธันวานี่แหละครับ...
...คือ...เมื่อวันก่อนผมทำเสื้อเชิ๊ตคุณธันวาเปื้อนเลยจะเอาไปคืนตอนสี่โมง...
.
.
...แต่คงไม่ต้องไปแล้วล่ะมั้งครับ”  ร่างผอมสรุปปลง ๆ ...

สิ่งที่เพิ่งได้ยินและเห็นด้วยสองตาและสองหูของตัวเองเมื่อสักครู่
แปลตรงตัวได้เป็นอย่างดีว่า อีกฝ่ายคงไม่เห็นนัดหมายที่เอ่ยปากเอาไว้สำคัญเท่ากับการพาแฟนไปนั่งรถเล่นหรอก...

พอกันที... ต่อจากนี้ไปคงไม่ต้องรอ ไม่ต้องคาดหวังอะไรอีกแล้ว
ลมปากที่เคยก่อร่างสร้างรักในหัวใจเขามานับครั้งไม่ถ้วน...
ก็ควรจะแค่พัดผ่านมา เพื่อผ่านเลยไปยังที่หมายที่เหมาะสมเท่านั้น


“นั่นสิ มันคงลืมไปแล้วมั้ง แค่เสื้อตัวเดียว...ไอ้เก็กมันใช้ของทิ้งขว้างจะตายไป” กรกฏเออออห่อหมกอย่างไม่คิดอะไรมาก จนน้องรหัสคนรักยื่นถุงกระดาษใบหนึ่งมาให้พร้อมฝากฝังอย่างสุภาพ

“ถ้างั้นผมรบกวนฝากเสื้อไปคืนคุณธันวาหน่อยได้ไหมครับเฮียฟู?”

“เอาสิ... เดี๋ยวเฮียเอาไปคืนให้เอง แต่เฮียไม่รับปากหรอกนะว่ามันจะจำได้หรือเปล่าว่าใครฝากมาคืน”


คำพูดเรื่อยเจื้อยของพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยกระแทกเข้าตรงกลางใจของคนฟังอย่างไม่มีทางเลี่ยงหลบ...
จำไม่ได้ ก็เท่ากับว่า ความฝันตลอดเวลาสองเดือนกว่าจบลงอย่างถาวรแล้วสินะ


“จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับ... ผม.. ไม่เป็นไรจริง ๆ ” หนุ่มรุ่นน้องเบือนหน้าหนีสายตาของอีกฝ่าย แล้วจึงอาศัยจังหวะที่ไม่มีใครเห็นกระพริบตาถี่ ๆ เพื่อยื้อน้ำตาเอาไว้ให้นานที่สุด แต่ภาพแห่งความเศร้าเสียใจนั้นกลับไม่ได้หลุดรอดไปจากสายตาของเพื่อนรักหัวจุกแต่อย่างใด

“บ๊วย สั่งขนมกันเถอะ... กินด้วยกันนะ” ฌอนเอ่ยชวนด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายทั้งที่ไม่ใช่คอขนมหวาน จากนั้นจึงวางมือลงบีบหัวไหล่ผอมแห้งของบ๊วยเบา ๆ ราวกับจะส่งผ่านกำลังใจไปให้คนเศร้าซึม  

“อืม” ชายกลางน้อมรับความเอาใจใส่และไมตรีที่พิเศษกว่าครั้งไหน ๆ เอาไว้แต่โดยดี แม้ภายหลังจะมีบางขณะที่เผลอรู้สึกไปว่า... ขนมที่สั่งมาน่าจะผสมรสของน้ำตามากกว่าน้ำตาล


Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ



หลังจากแยกกับบรรดาพี่ ๆ และเพื่อน ๆ ตั้งแต่เมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว  ชายกลางก็ง่วนอยู่กับการเก็บห้องต่อจากเมื่อเช้าทันที
ตามสถิติแล้ว... หนุ่มสถาปัตย์มักจะใช้เวลาทำความสะอาดเก็บข้าวของจนห้องสี่เหลี่ยมเรี่ยมเร้ไรไรเพียงชั่วโมงหย่อน ๆ
แต่เพราะเจ้าตัวเอาแต่หาเรื่องหยุดพักผ่อนด้วยการแอบมองหน้าปัดนาฬิกาข้างฝาทุก ๆ ยี่สิบนาทีนี่ล่ะมั้ง
ที่ทำให้กว่าห้องพักจะสะอาดสะอ้านได้ตามมาตรฐานของเจ้าตัว กินเวลาร่วมสองชั่วโมง

เพื่อลดความรู้สึกว้าวุ่นใจที่ก่อกวนจนไม่อาจอยู่นิ่งได้ ภายหลังการตัดสินใจเบี้ยวนัดของหนุ่มวิศวะรูปงาม
ชายกลางจึงอาศัยการอาบน้ำชำระร่างกายอย่างพิถีพิถัน ก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่จนหอมสะอาดไปทั้งตัวแทนกิจกรรมส่งท้ายปิดพีธีการทำความสะอาดทั้งคนและห้องโดยสมบูรณ์  

กระนั้น... จากที่คิดว่าจะทิ้งตัวเกลือกกลิ้งไปมาบนที่นอน พลางอ่านหนังสือการ์ตูนฆ่าเวลาจนกว่ามื้อเย็นจะมาถึง
หนุ่มร่างผอมกลับเอาแต่นั่งจ้องเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดของอดีตเดือนมหาลัยตัวที่เขาแอบเก็บเอาไว้ คล้ายกับของที่ระลึกเพื่อเตือนให้นึกถึงเหตุการณ์จูบแรกกับอีกฝ่ายภายในห้องน้ำโรงอาหารกลางเมื่อราว ๆ เกือบสามเดือนที่แล้ว

เหตุการณ์คล้ายกันที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับ คน ๆ นั้นผ่านเสื้อนักศึกษาสองตัว...
ทว่าผลลัพธ์ และความประทับใจกลับไม่เหมือนกันเลยสักนิด
ณ เวลานี้... มีแค่เขาคนเดียว ที่ยังจำทุกอย่างได้ไม่ลืม
โดยที่อีกคน คงกำลังมีความสุขอยู่ที่ไหนสักแห่ง


...พี่หมีคงกำลังอยู่กับคุณอิ๊ก...
 แต่ถ้าพี่หมีโผล่ไปตามนัดจริง ๆ ล่ะ?
ไม่หรอกมั้ง  ป่านนี้คงกำลังขับรถเล่นอยู่
แต่ถ้าพี่หมีกำลังรออยู่ล่ะ?!!
ห้ามไปนะ!... ไหน ๆ ก็ตัดสินใจจะไม่ไปเจออยู่แล้วนิ
ต่างคนต่างอยู่ต้องดีกว่าแน่ ๆ ... ใครเขาจะอยากมีแฟนหน้าตาอย่างเรากัน?
แต่มันก็คนละเรื่องกับการผิดนัดหรือเปล่า?!


สุดท้าย... ความรู้สึกผิดติดค้างก็ผลักดันให้ร่างผอมคว้ากุญแจห้องและข้าวของจำเป็น
ก่อนจะตบเท้ามุ่งหน้าไปยังสถานที่ ๆ เขาควรไปถึงตั้งแต่เมื่อสองชั่วโมงก่อนทันที









บ๊วยอยากจะสมน้ำหน้าตัวเองให้สาแก่ใจค่าที่ยอมปล่อยให้ความฝันลม ๆ แล้งๆ กลั่นแกล้งตัวเขาเข้าอีกหน
เพราะเมื่อไปถึงสนามบอลประจำวิทยาเขต ก็ไม่พบแม้แต่รถสักคันจอดอยู่ที่ลานจอดรถด้านนอกตัวอาคารเลยด้วยซ้ำ
แต่ไหน ๆ ก็อุตส่าห์ถ่อมาถึงที่หมาย  เขาก็จะเข้าไปสำรวจให้ทั่วทุกซอกทุกมุมของสนามโดยไม่บ่ายเบี่ยง...
ด้วยหวังเพียงว่า ทุก ๆ ก้าวย่างจะสอนหัวใจให้เจ็บแล้วจำ เพื่อจะได้ไม่เผลอทำร้ายตัวเองซ้ำ ๆ ซาก ๆ ในภายภาคหน้า


สองขาค่อย ๆ ย่ำผ่านบริเวณต่าง ๆ ของสนามอย่างช้า ๆ
ท่ามกลางแสงสีส้มอมแดงของยามเย็น ไม่ส่องให้เห็นเงาของสิ่งมีชีวิตอื่นใด นอกจากโครงร่างผอมจนดูไม่ได้ของตัวเอง
สุดท้าย การเดินอย่างวังเวงก็มาจบลงตรงที่สนามหญ้ากว้างใหญ่ใจกลางสเตเดียมมาตรฐานโอลิมปิกแห่งเดียวในย่านนี้


ไม่ผิดไปจากที่คิดเลยสักนิด...
ใครกันจะรัก และพร้อมจะทำให้เขาเชื่อมั่นในความรักได้?

เมื่อปลายทางของความคิดมาหยุดอยู่ตรงจุดนี้...
ประกายความหวังสุดท้ายที่หล่อเลี้ยงหัวใจของเขาให้ยังพอมีเรี่ยวแรงฝันใฝ่ ก็ถูกเป่าดับลงด้วยสายลมที่มองไม่เห็น
ชายกลางหมุนตัวหันหลังให้กับสนามกีฬาอันอ้างว้างพลางลากขาย่ำย้ำรอยเดิมมุ่งหน้าออกจากที่แห่งนี้ไปอย่างเซื่องซึม




“อะไรกัน? เพิ่งโผล่หน้ามาให้เห็นได้ไม่ถึงยี่สิบนาทีก็คิดจะหนีกลับแล้วเหรอ?” ประโยคค่อนแคะที่ดังมาจากด้านหลังทั้งที่เมื่อกี๊ไม่มีใครยืนอยู่สักคนทำเอาบ๊วยหันกลับไปประจันหน้ากับผู้พูดแทบไม่ทัน

“อ้าวคุณ?!!!” อารามตกใจ หนุ่มสถาปัตย์จึงลืมความรู้สึกทั้งดีและร้ายไปจนหมดสิ้น “คุณมาตั้งแต่เมื่อไรครับ?”

“ก็แล้วผมบอกให้คุณมาที่นี่กี่โมงกันล่ะ?” อดีตเดือนมหาลัยกอดอกแล้วปรายตามองคู่สนทนาด้วยสีหน้าหงุดหงิด จนอีกฝ่ายเริ่มจะถูกความรู้สึกผิดเข้าเล่นงาน...

ที่พูดออกมาแบบนั้น... มันหมายความว่าอย่างไรกันนะ?!
.
.
.
.
.
.
เมื่อคิดไม่ตกด้วยไม่รู้ใจของอีกฝ่าย ชายกลางก็ยอมแพ้ให้กับความสงสัยโดยดุษฎี


“คุณมารอผมเหรอครับ?”

“คิดว่าไงล่ะ?” คนพูดที่ดูจะอารมณ์ไม่ดีขึ้นตามลำดับหรี่ตาพลางจ้องหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง... ซึ่งเพียงอึดใจให้หลัง เรื่องก็มาหาคนตัวเล็กกว่าเข้าแล้วจริง ๆ  “แล้วไหนเสื้อผม?”

สายตาสำรวจตรวจสอบกับสีหน้าเคร่งเครียดเอาจริงเอาจังของธันวาทำให้บ๊วยตกประหม่าไปกันใหญ่...
ก็ใครมันจะไปรู้ว่าอีกฝ่ายจะมารอเอาเสื้อคืนตามที่บอกเอาไว้ล่ะ?!!


“เอ่อ... คือผม ผมฝากไปกับพี่ชายคุณเมื่อตอนบ่ายน่ะครับ” ชายกลางไม่รู้จะวางมือวางไม้เอาไว้ตรงไหน เพราะสายตาที่จับจ้องเขาไม่วางช่างรับมือยากเสียจริงๆ

เขาไม่ได้กลัวอีกฝ่ายจนบ้า หรือคิดไปเองอยู่ฝ่ายเดียว...
แต่ความนัยที่ส่งผ่านดวงเนตรคมกล้าคู่นั้น กำลังฟ้องให้เห็นความรู้สึกอันหลากหลายของผู้ชายคนตรงหน้า...
ชั่ววูบก็เหมือนจะอยากตำหนิ... บางทีกลับบอกว่ากำลังผิดหวัง  แต่บางครั้งก็ฟ้องว่าเจ้าของดวงเนตรกำลังหวั่นไหวด้วยสาเหตุอะไรบางอย่างที่เขาคงไม่มีทางรู้ได้


นี่คำพูดของผมไม่มีความหมายกับคุณเลยเหรอ?!!” หนุ่มวิศวะรูปงามระเบิดคำถามใส่หน้าร่างผอมอย่างเดือดดาล จนคนฟังยิ่งลนลานไปกันใหญ่

“เปล่านะครับ!!” บ๊วยปฏิเสธเป็นพัลวันเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดจนโกรธจัดยิ่งไปกว่านี้

“ถ้าเปล่า...แล้วทำไมถึงไม่มาตามนัด?...
...ทำไมถึงฝากเสื้อคืนไปกับคนอื่นทั้ง ๆ ที่ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าผมจะรออยู่ที่นี่ตอนสี่โมง?...
...คุณมัวแต่ไปทำอะไรอยู่? ทำไมเพิ่งมาเอาตอนนี้?...
...แล้วถ้าคุณไม่มา คิดไหมว่าผมจะต้องรอคุณอีกนานแค่ไหน?” ธันวากระชับพื้นที่เข้าใกล้ร่างที่สูงแค่ไหล่พลางไล่บี้ด้วยทั้งคำพูดและสายตา  เป็นผลให้ชายกลางผวาก่อนจะยกมือกระพุ่มไหว้ขอขมาคนรอให้วุ่นวาย

“ผมขอโทษ! ขอโทษจริง ๆ ครับ!! ผมเสียใจจริง ๆ  ผมไม่นึกว่าคุณจะมา”

“ในเมื่อคุณไม่เชื่อว่าผมจะมาที่นี่แล้วคุณยังจะมาอีกทำไม?...
.
.
.
.
...หรือที่มานี่ก็เพราะอยากแน่ใจว่าจะไม่มีใครรอคุณอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหนตั้งแต่เมื่อสองชั่วโมงที่แล้วอย่างนั้นน่ะเหรอ?  ห๊ะ?! / ผมขอโทษครับ... ผมเข้าใจผิดไปเองว่าคุณคงมาไม่ได้ครับ” ร่างผอมสารภาพโดยไม่หยุดชูมือรูปดอกบัวขึ้นไหว้อีกฝ่ายปลก ๆ แต่ถึงจะถ่ายทอดความเสียอกเสียใจที่เลือกผิดไปมากแค่ไหน... อีกฝ่ายกลับยังไม่เลิกซักไซ้ให้เขายิ่งจนมุม

ทำไมถึงคิดเองเออเองแบบนั้น?

“...”

ผมถามก็ตอบสิ!” อริยะตรัยผู้น้องสืบเท้าเข้าใกล้ยิ่งไปกว่าเดิมหลังจากตวาดคนตัวเล็กกว่าจนหลุดปากพูดในสิ่งที่พยายามกล่อมตัวเองไม่ให้เผลอตอบมาตั้งแต่คำถามที่แล้ว

“บังเอิญผมได้ยินพี่ชายคุณพูดว่าคุณมีนัดกับแฟนเย็นนี้... ผมเลย

ผมบอกกับคุณด้วยตัวเองหรือเปล่าว่าผมจะไม่มา?
คุณได้ยินจากปากผมหรือไงว่าผมไม่ว่าง?
ผมบอกคุณใช่ไหมว่าผมไม่อยากมาเจอคุณ?” อดีตเดือนมหาลัยใส่ชายกลางเป็นชุด
.
.
.
แม้จะหวั่นกลัวและรู้สึกผิดติดหมัด แต่คนฟังกลับอดคิดไม่ได้ว่า...
การมาสายของเขา ทำให้อีกฝ่ายโกรธจนต้องเอาผิดเขามากมายขนาดนี้เชียวหรือ?
แต่แล้วสายตาดุดันที่จ้องกันใกล้ ๆ ก็ฉุดให้บ๊วยประคองสติกลับเข้าสู่บทสนทนา และตอบคำถามทั้งหลายของอีกฝ่ายกลับไปตามตรง

“...เปล่าครับ คุณไม่ได้พูดว่าคุณจะไม่มาครับ...”  


แทนที่รอบนี้คำตอบของเขาจะทำให้โดน คน ๆ นั้นสวดเข้าให้อีกกัณฑ์
แต่ดวงตาคมคู่นั้นกลับส่งผ่านความโศกเศร้าเสียใจโดยไม่มีคำพูดใด ๆ ตามมาให้ต้องก้มหน้าหลบด้วยความหวั่นเกรง

อดีตเดือนมหาลัยถอนหายใจยาวซ้ำ ๆ ราวกับกำลังทำใจ
ในขณะที่อีกฝ่ายเฝ้าแต่ภาวนาให้ พายุอารมณ์ไม่รุ่มร้อนรุนแรงจนเกิดรับมือ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“หึ! คุณเชื่อคนอื่นมากกว่าผมเสมอเลยนะ...
.
.
.
.
.
.
...เชื่อมากกว่าคนที่คุณบอกว่ารัก...
.
.
.
.
.
.
.
...เชื่อมากกว่าคนที่คุณยอมแม้กระทั่งขอพรให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยให้ผมรักคุณ” น้ำเสียงเยาะเย้ยน้อยอกน้อยใจที่เอ่ยออกมานั้น ฟังราวกับจะเหยียดหยันตัวคนพูดมากกว่าจะสร้างบาดแผลให้แก่คนฟังเป็นไหน ๆ


เมื่อกี๊หมายความว่าอะไร?!!!!
พี่หมีจำทุกอย่างได้อย่างนั้นน่ะเหรอ?!!!!!!!!


.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“ถ้าที่ผ่านมาไม่เคยเชื่อมั่นในตัวเอง...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
...ก็แล้วทำไมไม่คิดจะเชื่อใจคนที่ตัวเองรักบ้างล่ะครับบูบู้?”

พี่หมี?!!” กลับกลายเป็นชายกลางเสียเองที่เดินเข้าหาร่างสูงของคนตรงหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ... อย่าบอกนะว่าตลอดสองวันที่ผ่านมาคือแผนการของอีกฝ่าย?!!!

“คิดว่าการไปขอพรกับเจ้าพ่อห่อไหล่โดยเอาความรู้สึกของเค้าเข้าแลกมันสมควรแล้วใช่ไหม?...
...คิดว่าเป็นแค่คนแปลกหน้าต่อกันมันดีแล้วหรือไงบูบู้?...
.
.
.
.
...ขนาดไม่เห็นหน้าบูบู้แค่เดี๋ยวเดียวเค้ายังแทบทำใจไม่ได้...
...แล้วนับประสาอะไรกับการไม่ได้อยู่ด้วยกันไปตลอด ห๊ะ?!!...
...บูบู้ทำเรื่องใจร้ายแบบนั้นลงไปได้ยังไง?” อดีตเดือนมหาลัยตำหนิแฟนตัวน้อยชุดใหญ่โดยไม่ลืมส่งหน้ายักษ์ไปให้อย่างต่อเนื่อง

เค้าขอโทษ!” โดยไม่ทันรู้สึก ความโหยหาและยินดีก็พาบ๊วยก้าวขาเข้าไปประชิดตัวของหนุ่มวิศวะราวกับเป็นแม่เหล็กขั้วตรงข้ามที่หันมาเจอกันอย่างเหมาะเจาะพอดี

“ขอโทษแล้วความเสียใจของเค้าจะหายไปไหม?...
...คราวนี้จะใช้อะไรลบรอยออกไปดีล่ะ?...
...หัวใจเค้ามันไม่ได้ดูแลง่ายเหมือนเสื้อเปื้อนนมเย็นตัวนั้นหรอกนะ!!!” เก็กตัดพ้อด้วยความเสียใจเมื่อคำขอโทษของอีกฝ่ายเอ่ยอย่างง่ายดายไปเสียทุก ๆ กรณี... 

มันจะดีกว่าไหม หากชายกลางเชื่อคำพูดของเขา
แล้วมาตามนัดที่ตกลงกันเอาไว้ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องใช้คำ ๆ นี้เอาตอนที่หัวใจของเขาเจ็บไปแล้ว


“พี่หมี... พี่หมีฟังเค้านะ” สีหน้าและอารมณ์ที่สะท้อนความผิดหวังอย่างใหญ่หลวงของคนรักทำให้บ๊วยต้องตั้งหลักอธิบายตัวเองเสียยกใหญ่ “ที่เค้าทำแบบนั้น เพราะถ้าสุดท้ายพี่หมีรู้ว่าที่ผ่านมาพี่หมีไม่ได้รักเค้า...
.
...พี่หมีก็ไม่ควรที่จะต้องลำบากใจกับการต้องทนอยู่กับใครที่พี่หมีไม่ได้รักยังไงล่ะครับ”

“แล้วรู้ได้ยังไงว่าเค้าไม่ได้รักบูบู้?... ที่ผ่านมา การกระทำของเค้ามันไม่เพียงพอที่จะทำให้บูบู้เชื่อใจเค้าได้เลยหรือไง?” ประโยคของอดีตเดือนมหาลัยทำเอาบ๊วยถึงกับจนด้วยถ้อยคำ...

ใช่... บางครั้ง กระทั่งตัวเขาเองยังแทบไม่รู้เลยว่าความคิดอ่าน หรือ ความรู้สึกของตัวเองเป็นอย่างไร
แล้วตั้งแต่เมื่อไรกันที่เขาเก่งกล้าสามารถถึงขนาดล่วงรู้หัวใจของคนอื่นได้ดีไปกว่าเจ้าตัว?

ที่ผ่านมาเขามัวแต่รู้สึกหวาดหวั่นไม่มั่นใจ
สุดท้ายก็ตัดสินใจทำทุกอย่างลงไปตามมุมมองแคบ ๆ ของตัวเองแต่เพียงลำพังอย่างนั้นเองหรอกหรือ?!


 “บูบู้ไม่คิดเลยเหรอว่า คนที่รักแต่บอกรักไม่ได้มันทรมานขนาดไหน?...
.
.
...ทั้งที่เค้าอยากทำให้คนที่รักเชื่อมั่น เชื่อใจแทบเป็นแทบตาย แต่ดันพูดความรู้สึกออกไปไม่ได้น่ะมันไม่สนุกเลยนะ”นัยน์ตาสุกใสที่หม่นแสงลงทันทีที่ประโยคสะท้อนใจจบลงอย่างโรยแรง  พลอยทำให้คนที่เข้มแข็งและเจิดจ้าอยู่เสมออย่างธันวาดูอ่อนล้าและเปราะบางอย่างที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน  


“เค้าขอโทษครับพี่หมี... เค้าขอโทษ เค้ารู้แล้วว่าพี่หมีรักเค้า... เค้ารู้ เค้าเข้าใจแล้ว”คนใจร้ายได้แต่พร่ำคำพูดที่บ่งบอกความรู้สึกเดียวที่เป็นอยู่ในตอนนี้ออกมาซ้ำ ๆ   พลางจับมือหนาของคนตัวโตกว่ามาแนบไว้ที่ข้างแก้มคล้ายจะหลอกตัวเองว่าสัมผัสอบอุ่นที่คุ้นเคย ไม่ได้ห่างหายไปไหน... เผื่อว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกตรงกันจนเกิดเห็นใจและหายโกรธตนโดยเร็ว

ซึ่งการเข้าหาแบบถึงเนื้อถึงตัวของบ๊วยด้วยความสมัครใจของเจ้าตัวอย่างที่ทำอยู่ในครั้งนี้
ไม่เคยมีมาก่อนในหน้าประวัติศาสตร์ของความสัมพันธ์ระหว่างสองหนุ่ม...
นั่นจึงทำให้ธันวาใจอ่อนยวบได้อย่างรวดเร็วดั่งที่บ๊วยเฝ้าภาวนาไม่ได้ขาดสักวินาที


“ทำไมทีนี้ถึงรู้แล้วล่ะ? ทำไมอยู่ ๆ ถึงเพิ่งจะมาคิดได้? หืม?...ทำไม? ไหนบอกเค้าสิ!!” แม้อริยะตรัยผู้น้องจะยังไม่หยุดคาดคั้นแกมประชดประชันคนรัก  แต่สองแขนก็แอบคืนดีกับอีกฝ่ายด้วยการคว้าเอวสอบของร่างผอมเข้ามากอดจนแนบไปเรียบร้อยแล้ว

“ก็พี่หมีไม่ลืมเค้า แสดงว่าพี่หมีรักเค้าจริง ๆ ” ชายกลางตอบพลางส่งยิ้มอย่างซื่อ ๆ จนคนดูไม่อาจถือตัวทำทิฐิได้อีกต่อไป

“นี่ถ้าไม่ขอพรเจ้าพ่อข้อนี้เอาไว้... ชาตินี้ก็จะไม่มีทางเชื่อกันใช่ไหมว่าเค้ารักบูบู้จริง ๆ ?” อดีตเดือนมหาลัยยังไม่เลิกประชด ถึงอย่างนั้น คนฟังกลับไม่ได้ยำเกรงจนไม่เป็นอันตอบคำถามเหมือนเมื่อไม่ถึงครึ่งชั่วโมงที่แล้ว

“ก็เชื่อ / แล้วยังจะแต่ไหม?!” ธันวาสำทับเสียงเข้มด้วยน้ำหนักของคำพูดที่ได้ยินนั้นช่างเบาหวิวชวนให้หวั่นใจเสียเหลือเกิน

“ไม่มีแต่ครับ... เชื่อแล้วครับ!” บ๊วยรับคำหนักแน่นจนอีกฝ่ายกระหยิ่มอย่างพอใจ แต่ก็ไม่ลืมทดสอบความแน่วแน่ของอีกคนจนครบถ้วนกระบวนความ

“แล้วหลังจากนี้จะเชื่อคนอื่นมากกว่าเค้าอยู่อีกหรือเปล่า?”

“ไม่แล้ว... ไม่แล้วครับ เค้าจะเชื่อพี่หมี... เชื่อพี่หมีคนเดียวเท่านั้น” ชายกลางโบกไม้โบกมือพร้อมบอกปัดอย่างเต็มกำลัง

“จะไม่เชื่อที่สกลบอกว่าเห็นเค้าไปกับคนอื่นแล้วใช่ไหม?”

“หึ!” ร่างผอมส่ายหัวเมื่อได้ยินประโยคเงื่อนไขดังกล่าว... แน่ละ สกลกับคนรัก เขาย่อมต้องเชื่อพี่หมีสุดที่รักล้านเปอร์เซนต์

“แล้วถ้าเปลี่ยนจากสกล เป็นพี่ฌานหรือฌอนพูดล่ะ...จะยังเชื่อพี่หมีอยู่ไหม?” หนุ่มวิศวะรูปหล่อดีกรีเดือนมหาลัยลองเปลี่ยนโจทย์ใหม่ให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากยิ่งขึ้นไปอีก แต่คำตอบที่ได้ยินก็ทำให้เขายิ้มกว้างได้มากกว่าเดิม

“ครับ!!” เด็กเต็กย้ำหนักแน่น

“ถ้าเฮียบอกว่าเจอเค้าอยู่กับอิ๊กล่ะ บูบู้จะทำยังไง?”

“เค้าก็จะรอถามพี่หมีครับ / แล้วจะเสียใจไหม?” บ๊วยเผลอพยักหน้าหงึกหงักเมื่อคิดตามคำถามของอีกฝ่าย ซึ่งนั่นทำให้อริยะตรัยผู้น้องดีดเหม่งคนในอ้อมกอดแบบเต็มข้อ

“นี่! / โอ๊ย! พี่หมี  เค้าเจ็บนะ!! / ขอสักทีเหอะ! ก็ไหนบอกว่าจะไม่เชื่อคนอื่นไง?” หนุ่มสถาปัตย์ลูบหน้าผากตัวเองป้อย ๆ พลางบ่นอุบอิบระหว่างฟังคำพูดอย่างเหลืออดของคนรักที่ตามมากระหน่ำจนอดทำหน้าง้ำไม่ได้

“แต่นั่นเฮียฟูเชียวนะ แล้วเมื่อกี๊เค้าก็ไม่ได้บอกว่าเชื่อเสียหน่อย... แค่แอบเสียใจนิด ๆ เอง”

“ก็แล้วไงล่ะ... เฮียฟูมันหวังดีกับคนอื่นนักหรือไง?” เก็กสวนอย่างเหลืออด... แล้วจึงใช้ปลายนิ้วนวดคลึงยังจุดเกิดเหตุเมื่อสักครู่ที่เริ่มขึ้นสีแดงจัดให้อีกคนไปพร้อมๆกัน

“แต่เฮียฟูใจดีกับเค้านี่นา” บ๊วยอ้อมแอ้มเพราะรู้แก่ใจว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมานั้นถูกต้องทุกประการ... แต่ครั้นจะไม่ปกป้องชื่อเสียงของบุคคลที่สามก็ไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงเฮียฟูที่แสนจะใจดีกับเขารองจากพี่เต๋อเชียวนะ

“งั้นใครใจดีด้วยมาก ๆ ก็จะเชื่อเขามากกว่าพี่หมีทันทีเลยใช่ไหม?” ธันวาถามแดกดันพลางดึงแก้มของคนรักด้วยความหมั่นเขี้ยว

“งืออออ... ไม่เชื่อใครแล้วครับ เชื่อพี่หมีคนเดียว” คนพูดสวมกอดรอบเอวหนาของคนตัวโตกว่าเพื่อเอาใจ จนสุดท้ายอดีตเดือนมหาลัยก็ยอมเปลี่ยนเรื่องกลับไปถามประเด็นสุดฮอตฮิตโดยไม่ฟื้นฝอยหาตะเข็บของเรื่องที่เพิ่งถกเถียงกันจบไปเมื่อสักครู่ให้ต้องอึดอัดกันไปทั้งคู่

“แล้วถ้าพี่เต๋อพูดกับพี่หมีพูดล่ะ... เชื่อใครมากกว่า? / ก็ต้องพี่หมีสิ!” คราวนี้บ๊วยตอบได้อย่างฉะฉานและถูกต้องตามความต้องการของเจ้าของโจทย์อย่างแท้จริงจนเก็กต้องงัดคำถามพิชิตรางวัลแจ็คพ็อตออกมาใช้หลอกล่อแฟนตัวน้อยต่อทันที

“ดีมาก! แล้วถ้าต้องเลือกเชื่อระหว่างแม่บัว พ่อเขียว พี่บิ๊ว พี่บ็อบ พี่โบ้ท กับเค้าล่ะ... จะเชื่อใคร?”

“ขอใช้สิทธิฟังพ่อแม่พี่พูดก่อน แต่รอถามพี่หมีอีกทีได้ไหมครับ?”

“โอเค! มีเหตุผล ข้อนี้ยอม” คำตอบที่มีเหตุผลพอกันของธันวาทำให้หนุ่มสถาปัตย์ถอนหายใจอย่างโล่งอก

“แล้วถ้าพี่หมีบอกว่ารักบูบู้... บูบู้จะเชื่อไหม? / เชื่อครับ!!

“แค่ไหน? / หมดทั้งใจเลย!!

“งั้นสัญญาก่อนว่าถ้าเค้าบอกแล้วบูบู้จะไม่ร้องไห้... บูบู้ทำได้ไหมครับ?” เก็กยกยิ้มมุมปากพลางถามหยั่งเชิงด้วยจำได้ไม่ลืมว่า หากดีใจมากๆ อีกฝ่ายจะเป่าปี่ไม่ยอมเลิกราง่ายๆ  ซึ่งคำตอบที่ได้ยินนั้นก็น่าพอใจเสียเหลือเกิน

“ครับ... ไม่ร้องครับ”
.
.
.
.
.
.
.
.
“บูบู้... เค้ารักบูบู้นะ”

ในที่สุด อริยะตรัยผู้น้องก็ได้มีโอกาสเอื้อนเอ่ยความในใจให้อีกฝ่ายได้รับฟังโดยไม่มีอาการต่อต้านของร่างกายเสียที 
นั่นจึงถือเป็นคำสารภาพรักที่ทำให้เขาดีใจได้ไม่น้อยไปกว่าคนฟัง... หนุ่มจืดจางร่างผอมที่ยังยิ้มหวานไม่หุบ แถมยังคลี่ยิ้มต่อเนื่องครั้งแล้วครั้งเล่าจนตาเขาเริ่มพร่าเสียเอง


“เค้าก็รักพี่หมีครับ / ถ้างั้น... เป็นแฟนกับเค้าได้ไหม?”

จะผิดอะไรหากถ้อยคำดังกล่าวจะทำให้อ้อมกอดของชายหนุ่มทั้งสองแนบแน่นยิ่งขึ้น
แถมยังทำให้รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนดวงหน้าแย้มกว้างกว่าเดิมอีกหลายเท่า


“ครับ เค้าจะเป็นแฟนกับพี่หมีครับ!!” บ๊วยยิ้มหวานสะท้านทรวงให้เป็นของขวัญนอกไปจากการตกลงคบหากันด้วยน้ำเสียงเข้มแข็งแฝงความมั่นใจเต็มเปี่ยมอย่างที่เก็กไม่เคยสัมผัสมาก่อน

“ดี! งั้นไปขี่รถเล่นกัน! / หา?! ไปขี่รถเล่นตอนนี้เลยเหรอครับ?” เด็กเต็กปีสองอดตกใจไม่ได้เพราะไม่คิดว่าปฏิกิริยาแรกหลังจากเขาตกลงคบกับอีกฝ่ายจะลงท้ายด้วยคำชวนไปนั่งรถกินลมอย่างปัจจุบันทันด่วนแบบนี้

“ก็บอกเฮียเอาไว้แล้วว่าจะพาแฟนไปขี่รถเล่น... ถ้าเฮียรู้ว่าไม่พาบูบู้ไป เดี๋ยวเฮียด่าเปิงพอดี” ธันวาสาธยายพลางยักคิ้วหลิ่วตาให้คนรักไม่ผิดไปจากที่ชอบทำเวลาชักชวนชายกลางไปทำอะไรสนุกๆกันเพียงสองคน  

“หึ หึ...ก็ได้ครับ...
.
...แต่ก่อนไป แวะกินข้าวก่อนนะครับเดี๋ยวพี่หมีจะปวดท้อง”

“ดีเหมือนกัน... ตั้งแต่เมื่อกลางวันก็ยังไม่ได้กินอะไรเลย เอาแต่ขับรถพาพลับเที่ยวแทนพี่ฌานอยู่นั่นแหละ...เนี่ย... เค้านะเนื้อยเหนื่อย! เหนื่อยอย่างกับเลี้ยงลูกแน่ะ ไม่รู้พี่ฌานแม่งรักลงไปได้ยังไง?!!” เก็กแสร้งบ่นกระปอดกระแปดเพื่อเรียกคะแนนสงสาร อีกฝ่ายที่รู้ทันกันจึงเสนอตัวเลือกที่น่าสนใจให้ธันวาเป็นการตอบแทน

“หึ หึ หึ... ถ้างั้นไปกินข้าว ร้านนั้น กันดีไหมครับ? ขับรถไหวไหม?” ชายกลางถามพลางส่งสายตาบอกใบ้ให้แฟนหนุ่มเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ ซึ่งเขารู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องชอบใจกับตัวเลือกของเขาเป็นแน่

“ร้านนั้น?” แค่มองหน้าเปื้อนรอยยิ้มพิมพ์ใจของบ๊วยเพียงวูบเดียว หนุ่มรูปงามก็นึกออกพลางยิ้มจนเห็นเขี้ยวให้กับไอเดียสุดวิเศษของคนในอ้อมกอด

“อื้อ... เอาสิ จะได้เริ่มทำตามสัญญาที่เคยบอกแฟนเอาไว้สักที” ธันวารับคำอย่างร่าเริงพลางย้อนนึกไปถึงร้านอาหารบรรยากาศสุดโรแมนติกที่พี่ชายไปก่อวีรกรรมเอาไว้เมื่อต้นอาทิตย์... สถานที่ที่เขาทั้งคู่ต่างสัญญากันว่าจะมาใช้บริการกันใหม่เมื่อทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดีแล้ว  

“ครับ ค่อย ๆ ทำไปทีละข้อสองข้อเนอะ!” ขาดคำ... ร่างสูงก็คลายอ้อมกอดแล้วเปลี่ยนมากอดคอคนตัวเล็กกว่าแล้วพากันออกเดินจากสนามบอลที่เริ่มจะมืดจนมองไม่เห็นทางไปอย่างช้าๆ
.
.
.
.
.
.
.
“ดีเลย... งั้นพรุ่งนี้เลิกเรียนเสร็จไปกินไอติมกันนะ”
“ชวนพวกนั้นไปด้วยได้ไหมครับ?”
“ไม่เอา! ไปกันสองคนก่อน  แล้วค่อยไปกับพวกมันวันอื่น... นะครับบูบู้”
“ก็ได้ครับ สองคนก็สองคน”
.
.
.
.
.
.
“คืนนี้เค้าไปนอนที่ห้องนะ”
“แล้วพี่หมีไม่กลับห้องเหรอ?”
“ก็บูบู้เพิ่งทำห้องนี่... เค้าอยากนอนห้องหอม ๆ อ่ะ นะ นะ...
.
.
...เค้าอยากกอดบูบู้ด้วย ไม่ได้กอดมาตั้งหลายคืนแล้ว”
“...”
“ถามจริง... ไม่คิดถึงเค้าเลยเหรอ?”
“...”
“ให้เค้าไปนอนด้วยคนนะ... นะครับ”
“...ครับ...”
“บูบู้น่ารัก รักบูบู้ที่สุดเลยครับ!! (ฟอด ฟอด ฟอด ฟอด ฟอดดดดดดดด)”
“ฮื่อออออ พี่หมี!! เดี๋ยวใครมาเห็น!! ปล่อยสิครับ!!!!




เมื่อภาพแห่งความทรงจำที่ต่างมีร่วมกันไหลย้อนเข้ามาในห้วงคำนึงของทั้งสองหนุ่ม...
เศษเสี้ยวของช่วงเวลาทั้งหลายที่ถูกเก็บบันทึกเอาไว้ระหว่างที่ทั้งคู่ได้ใช้เวลาอยู่ข้างกายกันก็ไหลหลั่งเข้ามาฉายวนเหมือนภาพยนตร์เรื่องเก่าที่พวกเขาต่างโปรดปราน

ทั้งถ้อยคำหวาน ๆ แทนการบอกรักที่เป็นไปไม่ได้...
ทั้งการกระทำ ความเอาใจใส่ และสัมผัสทางกายที่ชวนให้ต่างฝ่ายต่างขัดเขินได้ตลอดเวลา...
ต่อหน้า และลับหลังธารกำนัล...

และที่จะลืมไปเสียไม่ได้ เห็นจะเป็นคำมั่นสัญญามากมายที่อดีตเดือนมหาลัยเคยพร่ำบอกเอาไว้คล้ายกับมนตราที่ทำให้พวกเขาอยากใช้ชีวิตร่วมกันวันแล้ววันเล่า

ซึ่งหากนั่นเป็นเรื่องไม่ใหญ่โตกินเวลาไม่เท่าไร...
บ๊วยเดาว่า เก็กน่าจะใช้ช่วงเวลาว่างที่พอหาได้ ทำให้คำสัญญาเหล่านั้นให้เป็นจริงขึ้นมาได้โดยไม่รอรี

แต่หากเป็นสัญญาที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านั้น...
พวกเขาก็มั่นใจว่า เวลาทุก ๆ วันหลังจากนี้...
จะถูกใช้ไปเพื่อรักและทำให้คำสัญญาที่เคยมีต่ออีกฝ่ายกลายเป็นรูปธรรมและจับต้องได้ในท้ายที่สุด...
.
.
.
.
.
.
.
จนกว่าวันสุดท้ายที่บุตรแห่งเทพผู้มีนามว่ายมทูตจะพรากทั้งสองไปจากกัน




 Ħ------------------------------------ Fin / TBC [Special Blessing x 3 chapters] ------------------------------------Ħ




No comments:

Post a Comment