ก่อนจะเริ่มอ่านตอนที่
34
ขออนุญาตเราประกาศความแทรกที่ยาวนิดนึง
ถ้าเป็นไปได้
ขอความกรุณาจากคุณผู้อ่านแต่ละท่านช่วยแบ่งปันความคิดเห็นหน่อยนะคะ...
1. มีแนวโน้มกว่า
95% ค่ะว่า นิยายเรื่องนี้จะรวมเล่มค่ะ
แต่รายละเอียดจะเป็นอย่างไร
และเมื่อไรนั้น... ขอเราใคร่ครวญอีกสักนิดนะคะ
(ปัญหามันติดที่เราเองนี่แหละค่ะ
คือถ้าเราจะรวมเล่มโดยไม่มีตอนพิเศษได้ไหมคะ? –
ได้โปรดอ่านข้อสองก่อนนะคะ
แล้วจะเข้าใจว่าทำไมเราถึงไม่เขียนตอนพิเศษของภาคนี้อย่างเป็นกิจลักษณะ)
2. สำหรับเนื้อเรื่องหลักของภาคนี้
(เราขอเรียกว่า ภาคอภินิหารก็แล้วกันเนอะ) จะจบในตอนที่ 36 ค่ะ...
ไม่น่าปลิ้นหรือล้นด้วย (แต่ถ้าตอนที่ 36 จะยาวมากๆ
คงไม่มีใครด่าเราใช่ไหมเอ่ย ฮ่า ฮ่า ฮ่า)
จริงๆแล้ว
เดิมที...เราตั้งใจจะเขียนเรื่องราวของตัวละครแต่ละคู่เป็นตอนพิเศษ
แต่เท่าที่เราเคาะพล็อตคร่าวๆ
เราว่าเราแยกเป็นอีกเรื่องเลยจะดีกว่า
แต่!!!
โปรดทราบว่า หลังจบตอนที่ 36 แล้ว...
เราจะมีตอนพิเศษสั้นๆเพื่ออธิบายเหตุการณ์ที่ไม่ได้เล่าหน้าไมค์ให้ได้อ่านกันด้วย
(อย่างน้อยๆ
โมเมนท์ฌานพลับจะอยู่ในนี้แน่ๆค่ะ
รวมทั้งน่าจะมีตอนวันฮาโลวีนของปีถัดไปด้วย
–
ซึ่งตอนวันฮาโลวีนนี่น่าจะอีกนาน
เพราะต้องรอให้เราเขียนสกลกับแฟนไปได้บางส่วนก่อน
(ขอโทษด้วยค่ะ
แต่ตอนนี้เรายังเห็นภาพแฟนสกลไม่ชัดเท่าไร...
นอกจากเป็นคน
เป็นใจดี เป็นหมอ เป็นหล่อ และเป็นมิตรกับสตรีสูงวัยและหมาที่สุด ฮ่า ฮ่า ฮ่า))
3. ส่วนต่อขยายของภาคอภินิหารจะใช้ชื่อว่า
«♥» บน บานฯ สาน รัก «♥» (หรือภาครถน้ำตาลคว่ำ)
ซึ่งจะมีเนื้อหาหลักๆดังต่อไปนี้
- ก่อนแฝดสามมาเกิด
-
ชีวิตของพี่หมีและบูบู้หลังล้างพรสำเร็จ
(ปูมหลัง ปูมกลาง และปูมอนาคต) |ไม่น่าเกิน 5 ตอน
เต๋อด้วงฟู (กล้าม x กล้าม
x ก้าง กินหัวกินหางกินกลางตลอดตัว...อู้ว!) |ไม่น่าเกิน
5 ตอน
ฌอนอิ๊ก...
คู่รักเบ้าหน้าดีแต่ไม่มีสติ (อุปสรรคของการมีคนรักไม่เต็มเต็ง) |ไม่น่าเกิน
5 ตอน
แนนซี่กับชีวิตดี๊ดีย์เมื่อได้สามีเป็นหมอ(หมา)
– รักนี้มีอาม่าเป็นกองหนุน |ไม่น่าเกิน
15 ตอน
- หลังแฝดสามเกิด
-
เต๋อด้วงฟูกับความสัมพันธ์
3P ที่ต้องเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว
(before/after the triplets)
ฌานพลับ...
รักเดียวที่เฝ้ารอ (โถ่...พ่อคุณ คนอ่านลุ้นตามแทบล้มตาย)
TwIncest
และรวมมิตรเบ็ดเตล็ดของเหล่าอาๆ |ไม่น่าเกิน
30 ตอน
4. ข้อนี้เป็นการขอคำแนะนำจากคุณผู้อ่านโดยตรงค่ะ
สำหรับเนื้อหาภาคอภินิหาร
มีใครอยากอ่านอะไรเป็นพิเศษไหมคะ?
ขอได้โปรดแนะนำกันเข้ามาได้เลยนะคะ
ถ้าเราพอจะเขียนได้
เราจะเขียนเป็นตอนพิเศษของภาคแรกให้ได้อ่านกันค่ะ
(ถ้าซ้ำกับตอนที่เราวางเป็นพล็อตเอาไว้ในภาครถฯคว่ำ
เราจะยกยอดไปไว้ในนั้นเลยเนอะ)
ขอบพระคุณมากค่ะสำหรับเมนท์และกำลังใจ
อ่านแล้วปลื้ม ยิ้มได้ตลอดๆ
Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ
The 34th
Blessing
แมนๆเตะบอล นอนเบียดคู่เคียง เถียงกันเพลิดเพลิน เดินคุยกอดคอ
[8B]
น้องเมีย
เก็ก
READ 10.04 PM
Geg:
ครับพี่?
10.05 PM
พี่ฝากดูแลฟูแทนพี่หน่อยนะ
READ 10.05 PM
โทษทีว่ะ... ทำให้ลำบากเรื่อยเลย
READ 10.05 PM
Geg:
ไม่เป็นไรครับพี่ เฮียก็พี่ผม
10.06 PM
ฟูนอนหรือยัง?
READ 10.06 PM
Geg:
ยังครับ
10.08 PM
งั้นก่อนนอน
แอบถามให้พี่หน่อยว่าปวดท้องไหม?
READ 10.08 PM
ถ้าไม่สบายท้อง
ฝากหายาให้กินหน่อยนะ
READ 10.08 PM
วันนี้ดื้อกินเผ็ดไปตั้งเยอะ
READ 10.09 PM
พี่กับไอ้ด้วงก็เสือกห้ามไม่ทัน
READ 10.09 PM
Geg:
ครับๆ ได้ครับ
10.10 PM
Geg:
ผมไปก่อนนะครับพี่เต๋อ
เดี๋ยวเฮียจะสงสัย
10.10 PM
เออๆ ขอบใจมากน้องเขย
READ 10.11 PM
“เดี๋ยว! ด้วง มึงอย่าเพิ่งนอน!”
หนุ่มร่างหมีตะโกนบอกความต้องการกับร่างสูงที่ทอดตัวลงบนฟูกนอนหลังใหญ่ใจกลางห้อง
พลางตวัดนิ้วกดเคลียร์หน้าจอมือถือจากโปรแกรมแชทหลังสั่งความประจำวันกับอดีตเดือนมหาลัยจนเป็นที่พอใจ
เต๋อวางอุปกรณ์สื่อสารลงบนโต๊ะทำงานมุมห้องแล้ว เดินกลับมายืนจิกรูมเมทร่วมห้องที่เลื่อนขั้นมาร่วมเตียงหมาดๆ ตรงปลายเท้าราวกับเจ้ากรรมนายเวร
เต๋อวางอุปกรณ์สื่อสารลงบนโต๊ะทำงานมุมห้องแล้ว เดินกลับมายืนจิกรูมเมทร่วมห้องที่เลื่อนขั้นมาร่วมเตียงหมาดๆ ตรงปลายเท้าราวกับเจ้ากรรมนายเวร
“อะไรของนายอีกล่ะ?
ไหนบอกว่าให้เรารีบตื่นมาเซ็ทผม เราก็รีบนอนให้นายแล้วนี่ไง” คนนอนผู้ถูกก่อกวนทำหน้ายุ่งระหว่างเท้าศอกลงกับฟูกแล้วหยัดตัวขึ้นกึ่งนอนกึ่งนั่งสู้สายตากับคนยืนกอดอกอยู่ปลายเตียง
ก็เห็นๆกันอยู่ว่าพออาบน้ำเสร็จเขาก็ทิ้งตัวลงนอนทันที...
ที่บ้านไม่สอนเรื่องมารยาทบ้างเลยหรืออย่างไร?!!
“เอาเหอะน่า! เดี๋ยวกูตั้งปลุกให้ รับรองพรุ่งนี้มึงตื่นทันปั้นขนบนหัวมึงแน่ๆ... เร็วดี้!... ลุกขึ้นมาคุยกับกูก่อน!”
ที่วิญญูผุดลุกขึ้นนั่งด้วยความรวดเร็วหลังจากเจ้าของห้องพูดจบนี่ไม่ใช่อะไร
ก็เพราะไอ้เด็กเต็กตัวใหญ่ดันทิ้งก้นกระแทกลงนั่งตรงปลายเท้าของเขาอย่างพอดิบพอดี...
ที่ชักเท้าหลบได้ทันก็ถือว่าปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายเขาเข้าขั้นมหัศจรรย์อยู่ไม่น้อย
“จิ๊!... จริงๆนายไม่เต็มใจให้เรานอนด้วยใช่หรือเปล่าถึงได้คอยหาเรื่องแกล้งไม่ให้เรานอนสงบๆเสียทีเนี่ย”
ด้วงพล่ามเรื่อยเปื่อยไม่หยุดปาก
.
.
“ถ้าไม่อยากให้เรานอนด้วยก็บอกกันดีๆก็ได้
เราจะได้ย้ายออกไปนอนข้างนอกกับพวกนั้น”... บ่นไปก็ตวัดหางตาเกรี้ยวกราดเหลือบมองคนตัวใหญ่ที่ปลายเท้าเป็นพักๆ
สุดท้ายก็หักใจเลื่อนกรอบสายตาไปแอบดูเวลาที่ผนังด้วยไม่อยากจะเอาเรื่องอีกฝ่ายให้เปลืองอารมณ์...
ก็หนุ่มสถาปัตย์หน้าคมน่ะรั้นน้อยกว่ากังฟูเสียเมื่อไรกันล่ะ!
“ถุยไอ้คุณชาย! แตะนิดแตะหน่อยไม่ได้เป็นต้องหาเรื่องชิ่งตลอดเลยนะมึง!!” คำพูดทิ้งท้ายเมื่อครู่ของวิญญูทำให้ตรินเหน็บพร้อมเบ้หน้าใส่เพื่อโชว์สเต็ปความหมั่นไส้ให้อีกฝ่ายได้ตระหนัก
“มึงฟังกูให้ดีๆนะด้วง ที่กูเรียกมึงขึ้นมาคุยนี่ไม่ใช่เพราะว่าอยากจะขัดขวางเวลานอนอันสงบสุขของมึงเลยสักนิดขอรับ...
.
.
...กูแค่อยากรู้ว่าวันนี้มึงไม่ได้ทำผิดข้อตกลงใช่ไหม?
มึงไม่ได้แอบไปคุยกับฟูลับหลังกูใช่หรือเปล่า?” เต๋อยังไม่อาจวางใจ เพราะอีกฝ่ายใจอ่อนกับกรกฏเป็นทุนเดิม
“เฮ่ออออ! เราบอกนายกี่รอบแล้วว่าเราไม่ได้คุยกับฟูตั้งแต่วันที่ฟูไล่เรา...
...กระทั่งหน้าเค้า
เรายังไม่กล้าแอบมองเลย...
.
.
...ว่าแต่คนอื่น
แล้วนายล่ะ?...
...วันนี้นายแอบสะกดรอยตามฟูอีกแล้วใช่ไหม?
เราเห็นหลังนายไวๆหน้าห้องน้ำตอนพักเบรคคาบบ่ายนะ” ด้วงกดเสียงต่ำต้อนกลับทันทีเมื่อคลับคล้ายคลับคลาว่าเห็นอีกฝ่ายที่คณะอย่างที่กล่าวอ้างจริงๆ...
เมื่อสายเขาก็จับหมีได้คาหนังคาเขาไปรอบหนึ่งขณะเดินตามร่างเล็กต้อยๆโดยไม่คิดจะปล่อยให้คลาดสายตา...
สงสัยว่าที่โดนเขาด่าไล่กลับคณะไปตอนนั้นคงจะยังไม่เข็ดหลาบ
“เฮ่ย! จะบ้าเหรอ? บ่ายนี้กูมีเรียนเหอะ!!” ตรินปฏิเสธเป็นพัลวัน...
ถึงสิ่งที่ด้วงสงสัยจะเป็นความจริง
แต่เขาก็ไม่เคยละทิ้งการเรียนเพื่อไปตามดมหัวเกรียนกังฟูอยู่ตลอดเวลาหรอกนะ
แต่ถ้าอาจารย์ปล่อยเบรคเกินสิบห้านาทีเมื่อไร...
พ่อเป็นได้บึ่งรถข้ามคณะไปเฝ้าอีกฝ่ายแถวๆห้องเรียนให้ว่อง
“ให้มันจริง!” วิญญูผู้ขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงชี้หน้าคาดโทษหมีโดยแอบปักหมุดในใจเอาไว้ว่า
ถ้าจับอีกฝ่ายได้ ณ จุดเกิดเหตุอีกครั้งเมื่อไร... เขาจะเนรเทศไอ้หมีออกไปนอนกับน้องร่วมคณะโทษฐานกล้าทรยศต่อนโยบายบอยคอตกรกฏสุดโหดของมันทันที
“ก็จริงดิวะ! มึงเห็นกูเป็นพวกชอบโดดเรียนหรือไง?”ตรินอาศัยความเอาใจใส่การศึกษาของตนมาโต้จนคำกล่าวหาตกไป...
แต่ก็ใช่ว่าคิวท์บอยคนใหม่จะกินหญ้าเป็นอาหารเสียทีเดียว
“คนมีชนักปักหลังอย่างนาย
อย่าหวังว่าจะได้ความไว้ใจจากคนอื่นง่ายๆเลย!!” ขาดคำ... ด้วงก็ชำเลืองหางตาไปตอกย้ำความตั้งใจของตนด้วยมาดที่เหนือกว่า
เนื่องจากมั่นใจสุดๆว่าอีกฝ่ายจะต้องเผลอลุกลี้ลุกลนจนเขาจับได้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าเป็นแน่
กระนั้น...
ตรินก็พิสูจน์ตัวเองอีกครั้งว่า...
นักล่าอันดับที่สองของห่วงโซ่อาหารถัดลงมาจากกังฟู
คือ เขาผู้นี้... หาใช่เจ้าของประโยคเมื่อครู่แต่อย่างใด
“คนอาไร้...
ด่าตัวเองก็เป็นแฮะ หึ หึ หึ” พูดจบก็ยักคิ้วยักไหล่ด้วยอาการไม่ยี่หระ... แน่ล่ะ
ใช่เขาคนเดียวเมื่อไรที่มีปมให้ขยี้จนชีช้ำ ฝ่ายที่ทำตัวมีพิรุธมากกว่าในสายตากังฟู...
ดูจะเป็นไอ้หน้าหยกมากกว่าเขาเสียกระมัง
“นายนี่มัน!!” ด้วงกัดฟันกรอดก่อนทิ้งตัวลงนอนหดขาตะแคงหันหลังให้ แล้วจึงพยายามข่มตาให้หลับโดยเร็ว
“หึ
หึ หึ... ตีฝีปากสู้ไม่ได้ก็อาศัยนอนหนีความอายเลยเหรอขอรับคุณท่าน” นอกจากจะไม่ใส่ใจสภาพไร้อารมณ์พูดคุยของอีกฝ่าย
เจ้าของห้องยังกระเซ้าซ้ำเข้าให้อย่างไร้เมตตา หนุ่มหน้าหยกจึงผงกเอี้ยวหัวขึ้นมาออกตัวด้วยน้ำเสียงติดรำคาญ
“ถ้าพรุ่งนี้เราตื่นสาย
อย่ามาบ่นให้เราได้ยินก็แล้วกัน!!”
“หึ
หึ! นิสัยมึงนี่ยังตุ๊ดไม่หายจริงๆว่ะด้วง”
ตรินส่ายหัวเมื่อเห็นท่าทางกระเง้ากระงอดคล้ายอิสตรีของอีกฝ่าย... ถึงด้วงจะปรับลุคจนกลายเป็นชาย
แต่บางครั้งเจ้าตัวก็ยังเผลอกรีดกรายชวนให้นึกถึงกะเทยหัวโปกได้อยู่ดี
พอคู่สนทนาไม่คิดจะพาทีด้วย
หนุ่มร่างหมีจึงผละไปปิดไฟแล้วค่อยๆสไลด์ตัวลงนอนอีกฟากหนึ่งของเบาะหกฟุต
แต่ก่อนที่สติของตรินจะหลุดเข้าสู่กระแสแห่งห้วงฝัน
คนที่นอนหันหลังให้ก็ส่งเสียงฝ่าความมืดออกมาแค่ให้พอได้ยิน
“เต๋อ”
“อะไร?”
สายตาคมเบิกโพลงจ้องเพดานห้องนิ่งๆ เพื่อรอฟังสิ่งที่คนร่วมเตียงต้องการจะเอ่ย
.
.
.
.
.
.
.
.
“นายเป็นเหมือนเราไหม?”
น้ำเสียงแผ่วเบาส่อเค้าถึงความรู้สึกไม่มั่นใจของวิญญูทำให้เจ้าของห้องอดกวนประสาทไม่ได้
“เป็นกะเทยเหรอ?...
.
...พอดีกูไม่ใช่ว่ะด้วง...เสียใจด้วยนะที่มึงหาพวกไม่ได้”
เต๋อลอบยิ้มพรายด้วยรู้ดีว่าคิ้วเรียวได้รูปบนใบหน้าขาวกระจ่างของอีกฝ่ายจะขมวดเป็นปมแน่นเพียงใดหลังจากได้ยินถ้อยคำหยอกเย้าเมื่อสักครู่
คิดดูเถอะ... หากเขาไม่กลั้นเสียงเอาไว้แต่แรก
ป่านนี้คงได้แหกปากหัวเราะร่า หลังจากยั่วจนร่างสูงใหญ่พลิกตัวเปลี่ยนข้างหันมานอนจ้องหน้ากันอย่างเอาเป็นเอาตายได้สำเร็จ
“เปล่า!” หนุ่มวิศวะกระแทกเสียงตอบ ก่อนจะเฉลยให้เพื่อนร่วมเตียงได้รับฟังเรื่องที่กวนใจมาตลอดทั้งวัน
“เราอยากรู้ว่า เวลานายมองหน้าคนกลางกับคนเล็ก นายคิดถึงฟูบ้างหรือเปล่า?...
.
.
.
...นี่เราไม่ได้เป็นบ้าเพราะคิดถึงแต่ฟูอยู่คนเดียวใช่ไหม?...
...เราไม่ได้คิดไปเองว่าน้องมันคือฟูเวอร์ชันสดใสใช่หรือเปล่า?”...ยิ่งวิญญูอยู่ห่างจากบุคคลที่สามมากขึ้นเท่าไร
ความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ที่มีต่อพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยก็รังแต่จะหาโอกาสหลั่งไหลระบายออกมากขึ้นเป็นเท่าตัว
ซึ่งการเข้าหาและให้ความช่วยเหลือฝาแฝดที่ถือคนแปลกหน้าโดยสมบูรณ์แม้ไม่ใช่นิสัย
ทำให้เขาเริ่มคิดหนัก...
หากเขายังเที่ยวเห็นใครต่อใครเป็นกังฟูไปเสียหมด การใช้ชีวิตอยู่โดยถูกกรกฏตัวปลอมเฝ้าหลอกหลอนอยู่ตลอดเวลา
ก็ดูจะเป็นอนาคตที่น่าหดหู่จนเกินไป
.
.
.
.
.
.
.
“คิดมากว่ะ!...
.
.
.
.
...แต่มึงก็ไม่ได้บ้าอยู่คนเดียวหรอกด้วง”
“จริงเหรอ?!” คำสารภาพผ่านน้ำเสียงจริงจังของตรินทำให้คนฟังอดตื่นเต้นไม่ได้...
อย่างน้อยๆก็หนุ่มหน้าหยกก็ไม่ได้ฟุ้งซ่านอยู่คนเดียวอย่างที่เผลอกังวลใจ
“ก็เออดิวะ!...
.
.
...ถ้าไม่ใช่เพราะเหมือนฟูมาก...
...กูคงปล่อยคนกลางกับคนเล็กให้เอาตัวรอดตามยถากรรมไปตั้งแต่เมื่อเช้าไม่ลากพวกมันกลับมานอนที่นี่ทั้งที่เหตุผลของไอ้อิ๊กแม่งโคตรฟังไม่ขึ้นหรอกมั้ง”
“ก็จริง...
หึ หึ หึ” เสียงหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจของคนพูดทำให้ตรินพลิกตัวตะแคงข้างแล้วจึงวางสายตาพินิจกรอบหน้าเรียวซึ่งเรียบสงบอยู่เป็นนิจราวรูปสลักหินอ่อนของอีกฝ่ายด้วยสายตาจริงจัง
จนเมื่อจุดตรงมุมปากทั้งสองข้างของหนุ่มวิศวะผู้ที่ยังขำกับเหตุผลของอดีตเดือนบริหารไม่หายค่อยๆผลิบานกลายเป็นรอยยิ้มบางๆให้ได้ชื่นชมใกล้ๆนั่นแหละ
หัวใจของเต๋อก็เผลอเต้นผิดจังหวะไปโดยไม่ทันรู้ตัว
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า
ช่วงเวลาที่อีกฝ่ายไม่ต้องคอยฝืนตัวเองทำตามใจใคร ด้วงก็จัดเป็นผู้ชายที่น่าหลงใหลอยู่ไม่น้อย
กระทั่งความมืดมิดก็ไม่อาจบั่นทอนเสน่ห์ของรอยยิ้มเมื่อครู่ที่อยู่ในคลองจักษุของหนุ่มร่างหมีได้เลยสักนิด
“ตอนได้ยินอิ๊กบอกว่าขอย้ายมานอนกับแฝดที่นี่เพราะหัวหน้าหอไม่ยอมให้คนนอกเข้าไปนอนเรายังรู้สึกทะแม่งๆเลย...
.
.
...ใครๆก็รู้ว่าหอในชิลขนาดไหน...
...ขนาดห้องตรงข้ามเรายังมีรุ่นพี่ผู้หญิงแอบเข้าไปนอนตั้งหลายคืนแน่ะ”
วิญญูมัวแต่เจื้อยแจ้วอย่างออกรสชาติ จึงไม่ทันได้สังเกตว่าคนฟังนิ่งไปพักใหญ่ จนเมื่อตัวเองนึกขึ้นได้นั่นแหละว่ายังมีเรื่องค้างคาใจอยู่
หนุ่มวิศวะจึงเอ่ยเรียกอีกฝ่ายออกมาอีกครั้ง
“เต๋อ”
“จิ๊! อะไรอีก?” ตรินซึ่งแสร้งนอนหลับตาไปตั้งแต่เมื่อครู่ส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอคล้ายไม่พอใจ
ทว่าคนหนักอกกลับไม่ได้ยกเลิกความตั้งใจที่จะชวนอีกฝ่ายพูดคุย
“นายว่า...
ฟูจะคิดได้จริงๆใช่ไหม?”
ด้วงโพล่งข้อกังวลออกไปทันทีที่รู้ว่าคนนอนข้างๆยังไม่หลับ
“กูไม่รู้ว่ะด้วง
กูตอบมึงไมได้จริงๆ...
.
.
...กูรู้อย่างเดียว
ถ้าพวกเราไม่ทำอะไรสักอย่าง ฟูก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงตัวเองแน่ๆ...
...ตอนนี้ก็เหลือแค่ต้องวัดกันแล้วล่ะว่า
ระหว่างกู มึง และฟู... ความอดทนของใครจะหมดก่อนกัน” หนุ่มสถาปัตย์เอ่ยเนิบๆหากแต่ฟังหนักแน่น
“แปลว่าถ้าสุดท้ายฟูไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
นายก็จะยอมฟูง่ายๆอย่างนั้นน่ะเหรอ?” วิญญูเริ่มสับสนกับแนวทางของเจ้าทฤษฎี กระนั้นเต๋อกลับไม่เดือดร้อนที่ต้องอธิบายพร้อมทั้งเตือนสติของอีกฝ่ายไปพร้อมๆกัน
“หึ! ก็ถ้ามันจะยืดเยื้อสักสองสามชาติอย่างที่มึงกังวลจริงๆอ่ะนะ...
...แต่มึงอยู่กับฟูมาตั้งกี่ปี...
มึงก็น่าจะรู้ดีนิว่าความอดทนของฟูแม่งต่ำขนาดไหน...
...ส่วนกู
ต่อให้ต้องรอเป็นปีๆกูก็รอได้ถ้าฟูจะยอมปรับตัวเป็นคนใหม่ นานแค่ไหนกูว่าก็คุ้ม...
.
.
.
...เหลือแต่มึงคนเดียวนี่แหละด้วง...
...มึงจะยอมกลับไปเป็นลิ่วล้อรอให้ฟูเขี่ยตกชั้นลงไปอยู่ในสถานะเพื่อนไปตลอดชีวิต...
...หรือถึงเวลาแล้วที่มึงควรจะเตรียมตัวเป็นผู้นำครอบครัวที่ดีได้เสียที...
...ตัดสินใจให้ดีๆก็แล้วกันมึง”
คำพูดของตรินทำให้วิญญูคิดได้...
เพราะแม้ผลลัพธ์ของการสารภาพรักเมื่อวันก่อนจะไม่เป็นที่น่าพอใจ
แต่นอกจากพายุอารมณ์ห่าใหญ่
กังฟูกลับไม่ได้ปฏิเสธความรู้สึกของเขาอย่างเป็นกิจลักษณะ
ซึ่งก็หมายความว่า...
เขายังมีความหวังที่จะพิชิตใจพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยอยู่นั่นเอง
จริงของเต๋อ...
หากเขายังทำตัวเหลาะแหละคอยตามร่างเล็กเป็นเงาแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ
สุดท้าย...เขาคงได้ใช้ชีวิตเนือยๆในฐานะเพื่อนของอริยะตรัยผู้พี่ไปทั้งปีทั้งชาติแหงๆ
“ตกลง! เราสัญญาว่าเราจะไม่ใจอ่อนง่ายๆ” หนุ่มวิศวะปฏิญาณด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น
สายตาแวววาวเป็นประกายกับการตอบโต้ด้วยนำเสียงกระฉับกระเฉงแบบทันควันทำให้เต๋ออดหยันอีกฝ่ายไม่ได้
“ให้มันจริงเหอะวะ!”
“ก็จริงดิ! นายเห็นเราเป็นพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อหรือยังไง?
/ กวนตีน!” เต๋อสวนขึ้นด้วยไม่ทันคิดว่าคุณชายพดด้วงจะกล้าเอาคำพูดของเขามาใช้ย้อนเอาจนกระอัก
“ขอบคุณที่ชม”
วิญญูกระหยิ่มที่ขัดขาคู่สนทนาได้... เพราะไม่ง่ายเลยที่ตรินจะเปิดช่องให้เขาเอาคืนได้อย่างถึงลูกถึงคน
“หึ! นอนเลยสัด... ดึกแล้ว!” หลังจากรวบรัดตัดความเมื่อเหลือบไปเห็นว่าเวลาเคลื่อนเข้าสู่วันใหม่ไปได้สักพัก
เจ้าของเตียงก็พลิกตัวนอนหงาย หลับตา นับถอยหลังรอเวลาที่ร่างกายจะชัทดาวน์ลงอีกครั้ง
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“เต๋อ”
“อะไรของมึงอีกวะด้วง?”
ตรินชักจะหงุดหงิดกับคนที่ไม่คิดจะข่มตาลงเสียที ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็เอาแต่บ่นว่าเขาอยู่ปาวๆแท้ๆ
แต่สิ่งที่วิญญูเอ่ยออกมาหลังจากนั้น
กลับอยู่เหนือความคาดหมายของเขาไปหลายปีแสง
.
.
.
.
.
.
“ฝันดีนะ”
“เหมือนกัน”
จากที่คิดว่าจะจวกคนนอนอีกฝั่งให้เลิกฟุ้งซ่าน... หนุ่มร่างหมีกลับยกยิ้มมุมปากอีกครั้งหลังจากตอบรับอีกฝ่ายไปด้วยวลีที่สั้นพอๆกัน
อันที่จริง...
การได้เอ่ยอวยพรก่อนนอนให้ใครสักคนนี่มันก็ช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้นเหมือนกันแฮะ
Ħ------------------------------------------------------------------------Ħ
[9B]
“ขอบคุณมากนะครับพี่เต๋อ
พี่ด้วง... เดี๋ยวเจอกันตอนกลางวันครับ” ฝาแฝดป้องปากตะโกนพลางโบกมือหยอยๆให้เจ้าถิ่นที่นั่งอยู่ในรถ
ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าสู่หอสมุดตามที่ได้บอกกับรุ่นพี่ทั้งสองเอาไว้
เมื่อเห็นว่าคนกลางกับคนเล็กเดินหายลับเข้าประตูทางเข้าห้องสมุดประจำมหาวิทยาลัยเป็นที่เรียบร้อย
เต๋อก็กดคันเร่งแล้วบังคับพวงมาลัยเพื่อบ้ายหน้าไปยังคณะวิศวกรรมศาสตร์อันเป็นที่หมายถัดไปทันที...
ถึงอย่างนั้น
ยวดยานน้อยใหญ่ที่ขวักไขว่ไปมาบนท้องถนนภายในวิทยาเขตกลับไม่ใช่ปัญหาของหัวข้อสนทนาเร่งด่วนที่เขาต้องยกขึ้นมาถกกับร่างสูงใหญ่ในเสื้อช็อปสีดำซึ่งครอบครองเบาะโดยสารด้านหน้าแต่อย่างใด
“ไอ้ด้วง...
ไหนเมื่อคืนมึงบอกว่ามึงจะไม่ยอมใจอ่อนไง? เมื่อกี๊มันอะไรกันวะ...
หรือว่ากูตาฝาด?” เต๋อเปิดประเด็นด้วยน้ำเสียงเอาเรื่อง... เพิ่งย้ำกันไปเมื่อคืนแท้ๆ
แต่พอเจอเป้าหมายออดอ้อนเข้าหน่อย... อีกฝ่ายก็ทำตาเชื่อมหวานจ๋อย ยอมอ่อนข้อรอจะคลานเข่าพุ่งเข้าชาร์จที่ว่างข้างฝ่าเท้าของกังฟูเสียอย่างนั้น
“นายก็เหมือนกันนั่นแหละ...
นายก็ป้อนข้าวฟู แล้วยังเอาข้าวฟูไปกินอีกตั้งเยอะ” วิญญูกระแนะกระแหนคนขับโทษฐานที่ทำตัวปากว่าตาขยิบได้อย่างหน้าไม่อาย
แถมยังมีหน้ากลับมาฟื้นฝอยเอานิยมนิยายกับเขาอีกต่างหาก ทว่าเต๋อกลับหลบฉากก่อนจะฉวยโอกาสเปลี่ยนประเด็นมันดื้อๆ
“นั่นมันคนละเรื่องกัน...
เอาเรื่องของมึงก่อน เพราะเรื่องของมึงสำคัญกว่าเรื่องกู”
“เฮ่ย! นายจะพูดอย่างน... / มึงอย่าใจอ่อนกับฟูง่ายๆดิวะด้วง มึงไม่เห็นหรือไงว่าแผนการดัดนิสัยฟูกำลังจะได้ผล...
...อาการฟูวันนี้ยังชัดไม่พอเหรอวะ?
นี่มึงยังมองไม่ออกอีกเหรอว่าเขาเริ่มหวั่นไหวกับการที่ไม่มีพวกเราอยู่ข้างๆเต็มแก่แล้วน่ะ?...
.
.
...ถ้าแป๊บๆมึงก็เสือกจะยอมฟูอยู่นั่น
แล้ววันสองวันที่เราต้องทรมานกับการไม่ได้อยู่ใกล้ๆฟู มันจะไปมีประโยชน์อะไร?”
“แต่วันนี้ฟูน่ารักมากเลยนะ
นายก็เห็นไม่ใช่เหรอ?” หนุ่มวิศวะยังไม่วายให้เหตุผลซึ่งชักจูงให้เขาเผลอหวั่นไหวไปกับท่าทีของพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยได้อย่างง่ายดาย
“ถึงฟูจะทำตัวน่ารักออดอ้อนขนาดไหนมึงก็ต้องไม่เป๋...
.
...อย่าลืมดิวะ
ตราบใดที่มึงยังไม่ได้ยินคำขอโทษจากฟูเรื่องเมื่อวันนั้น
มึงต้องไม่หวั่นไหวเป็นอันขาด!!”
กระทั่งจังหวะที่กำลังเอ่ยปากอยู่นี่
ตรินก็แทบไม่เชื่อว่าตัวเองจะมีความอดทนมากมายกับชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ
เพราะถ้าความจำของเขายังไม่เลือนลาง
ตลอดสองวันกว่าๆที่ล่วงเลย... เขาแทบจะต้องเปรยกระหน่ำย้ำเตือนจุดประสงค์ของแผนการในครั้งนี้กับอีกฝ่ายแบบประโยคเว้นประโยคทีเดียว
“ทีนายยังป้อนข้าวฟูกับกินกับข้าวฟูทั้งที่ฟูไม่ได้ขอเลย
นายจะมาเที่ยวสอนเราไม่ได้หรอก”
ครั้นจะปล่อยให้เต๋อไล่ต้อนเอาผิดเขาอยู่ฝ่ายเดียวโดยไม่โต้ตอบ
หนุ่มวิศวะหน้าหยกก็ไม่อาจทำใจยอมรับได้อยู่ดี...
ก็เห็นๆกันอยู่ว่าอีกฝ่ายกลืนน้ำลายตัวเองแท้ๆ
แล้วเรื่องอะไรที่เขาต้องแบกรับสถานะคนทรยศอยู่คนเดียวด้วยล่ะ?!
ความดื้อดึงของคิวท์บอยคนล่าสุดทำเอาหนุ่มร่างหมีแทบทรุดด้วยความอ่อนใจ
จริงอยู่...
เขายอมลงให้กังฟูมากเกินกว่าที่ขีดเส้นเอาไว้ แต่มูลเหตุจูงใจกลับแตกต่างกันกับด้วงโดยสิ้นเชิง
“กูไม่ได้ใจอ่อนกับฟู
แต่กูทนเห็นฟูทำร้ายตัวเองเพราะทิฐิและนิสัยชอบเอาชนะไม่ได้...
.
.
...มึงก็รู้นิว่าฟูกินเผ็ดได้ที่ไหน...
...แต่เขาเล่นกินข้าวเผ็ดๆนั่นประชดแฝดไปตั้งหลายคำ
แถมน้ำท่ายังไม่มีให้กิน...
...แล้วอย่างนี้
มึงจะให้กูเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ได้ยังไงไหวห๊ะด้วง?!”
“จริงๆถ้าเราไม่ได้ให้สัญญากับนายเอาไว้
ฟูคงไม่ต้องกินกุ้งผัดพริกแบบนั้นตั้งแต่แรกหรอก” แม้จะสะอึกกับข้อเท็จจริงที่เพิ่งได้ยินผ่านหู
แต่ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่โดนอีกฝ่ายตำหนิไม่ขาดปากทำให้วิญญูทำใจยอมรับความผิดได้ยากกว่าปกติหลายเท่าตัว
“มึงอย่าพาลดิวะด้วง! / ก็เราอยากทำอะไรให้ฟูได้เหมือนนายบ้างนิ!” ต่างฝ่ายต่างขึ้นเสียงใส่กันโดยไม่มีใครยอมใคร
แต่สุดท้ายก็กลายเป็นเต๋อที่ถอนหายใจหนักๆเพื่อข่มโทสะ
ก่อนจะวิเคราะห์ปัญหาของเพื่อนออกมาเป็นฉากๆ
“ด้วง...
มึงรู้ตัวไหมว่ามึงกลัวฟูมากเกินไป...
.
.
...บางทีสิ่งที่ฟูห้ามไม่ให้มึงทำแม่งโคตรปัญญาอ่อน...
...แต่มึงก็เอาแต่กลัวว่าเขาจะไม่รัก
มึงเลยก้มหน้าก้มตาทำทุกอย่างโดยไม่เคยตั้งคำถาม ห้ามปราม หรือทำตามใจตัวเองเลยสักครั้ง แล้วที่เขาบอกมึงว่าห้ามยุ่ง ไม่ให้โผล่ไปให้เห็นหน้า
แต่ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินกับฟูขึ้นมา... มึงก็จะยืนขาแข็งดูฟูเป็นอะไรไปก่อนเพราะไม่กล้าขัดคำสั่งของเขาอย่างนั้นใช่ไหม?”
“...”
“แต่มึงไม่ต้องน้อยใจที่เมื่อกี๊ไม่ได้ช่วยฟูหรอกนะด้วง
มึงเพิ่งจะอยู่ห่างฟูได้ไม่กี่วัน...
...จะให้ปรับนิสัยเปลี่ยนเป็นคนละคนเลยมันก็คงไม่ใช่...
.
.
...เดี๋ยวพอมึงเลิกมองว่าฟูเป็นเจ้าเหนือหัวได้เมื่อไร
มึงก็จะปรับตัวหาจุดสมดุลย์ให้กับการกระทำต่างๆได้เองนั่นแหละ” จังหวะที่หนุ่มร่างหมีปลอบใจคนนั่งเบาะข้างๆก็พอดีกับที่รถเก๋งคันงามของเต๋อมาถึงยังบริเวณหน้าคณะของอีกฝ่าย
แต่ถึงแม้คนขับจะปลดล็อคเพื่อรอให้ด้วงลงจากพาหนะไปขึ้นเรียนมาได้สักพักแล้วก็ตาม
วิญญูกลับทำท่าอิดๆออดๆคล้ายยังอยากปราศรัยถึงอะไรบางอย่างอยู่ไม่เลิกรา
“ไปเรียนเถอะ...
เดี๋ยวสายนะมึง” คำพูดกระตุ้นของหนุ่มสถาปัตย์ดูจะได้ผลตรงกันข้าม... เพราะแทนที่ร่างสูงในเสื้อช็อปจะดีดตัวลุกออกไปจากรถ
ด้วงกลับถามเขาด้วยน้ำเสียงสลดหดหู่
“มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆเหรอเต๋อ?...
เราจะปรับตัวได้จริงๆใช่ไหม?”
ที่ผ่านมา
ด้วงไม่เคยคิดว่าสิ่งที่ตัวเองเป็น คือปัญหาที่อาจบ่อนทำลายทั้งตัวเองและกรกฏในระยะยาวได้
เพราะตราบใดที่พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยมีความสุข
เขาก็พร้อมจะทำตามคำสั่งของกังฟูไปเสียทุกสิ่ง...
สิบเก้าปีที่โดนชี้นิ้วบอกให้ทำโน่นทำนี่อยู่ตลอด
ทำให้เขาตาบอด สมองเสื่อมได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ?!!
“ก็ถ้ามึงอยากให้ทั้งตัวเองและฟูมีความสุขโดยที่ไม่มีใครเหนื่อยกว่าใคร
กูว่าเดี๋ยวมึงก็คงจะทำได้เองน่ะแหละ” คนขับตบบ่าหนาของหนุ่มวิศวะหนักๆอยู่สองสามครั้งโดยไม่ลืมเอ่ยย้ำสิ่งที่ควรทำเพื่อให้แผนการลุล่วง
“แต่ตอนนี้... มึงต้องสัญญาก่อนว่า มึงต้องไม่แสดงออกว่ามึงสนใจฟู มึงต้องทำเหมือนไม่อยากจะมองหน้า...ถ้าเลี่ยงได้ก็ต้องเลี่ยง
มึงเข้าใจหรือเปล่า?”
“เออ
เข้าใจแล้ว” สิ้นคำ ฝ่ามือหนาก็ดันหัวไหล่ตุ๊กตายักษ์หน้ารถให้ค่อยๆย้ายมวลร่างกายออกจากลูกชายสุดที่รักไปได้สำเร็จ
“เดี๋ยวเที่ยงกูมารับ
ถ้ามึงกลัวใจอ่อน มึงก็หลบฟูให้มิดแล้วกัน” เต๋อกำชับเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะห้อรถออกไปด้วยไม่อยากเข้าเรียนสายโดยไม่จำเป็น
ปล่อยให้วิญญูสูดลมหายใจลึกๆเพื่อรวบรวมความกล้า
พลางจดจำข้อห้ามต่างๆนาๆของหนุ่มร่างหมีให้ขึ้นใจ
Ħ------------------------------------------------------------------------Ħ
[9B.1]
“พี่เต๋อครับ...
คิดถึงพี่เต๋อจังเลยครับ!!!” หนุ่มหน้าแว่นวิ่งปราดผ่านประตูห้องเข้ามาเกาะแขนเจ้าบ้านเอาไว้แน่น
ก่อนจะบดขยี้ใบหน้ากับหัวไหล่ของเต๋อไปมาจนคนโดนลวนลามส่งเสียงลั่น
“ไอ้สัดแว่น! ปล่อย!” หลังความพยายามสะบัดไหล่ไล่ตัวเสนียดหมดลง
รุ่นพี่ร่างหมีที่อยู่ในชุดลำลองก็ยอมเสียมือด้วยการผลักหัวไข่ๆของรุ่นน้องให้หลุดออกจากตัว
กระนั้น... ฝ่ายคนโดนยี้ราวกับเป็นขี้หมาแห้งก็ออกแรงรัดกล้ามแขนของรุ่นพี่อย่างเอาเป็นเอาตาย
แถมยังไม่วายออกท่าตะบึงตะบอนงอนง้ำให้เต๋อยิ่งรู้สึกรำคาญไปกันใหญ่
“แหม่...
กอดนิดกอดหน่อยทำเป็นหวงตัว!!”
“ปล่อย! หรือจะให้กูโบกสักทีสองที?” ที่สุดแล้ว
ตรินก็กำจัดเห็บหมัดริ้นไรใส่แว่นออกจากแขนได้ หนุ่มรุ่นพี่ใช้มือดันหัวไข่ของสกลเอาไว้เพื่อเว้นระยะห่าง
ก่อนจะหันไปถามฝาแฝดผู้พี่ที่เพิ่งเดินตามเข้ามาสมทบด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย
“แล้วนี่พวกมึงกินอะไรกันมารึยัง?”
“ยังเลยครับพี่เต๋อ
พวกเราว่าจะมาต้มมาม่ากินกันตายเสียหน่อยน่ะครับ” เจ้าของห้องยิ้มรับกับคำตอบจากปากตัวแทนเหล่าสมุนเลว
“พอดีเลย...
เมื่อตอนเย็นไอ้ด้วงมันทำกับข้าวเผื่อเอาไว้ให้
พวกมึงช่วยแดกๆกันให้หมดทีเถอะ กูจะได้ไม่ต้องเททิ้งให้หมามันกิน” จ้างให้
เต๋อก็ไม่มีวันเผยความจริงที่ว่า ทั้งเขาและด้วงต่างตั้งใจปรุงอาหารเย็นมื้อนี้โดยกะปริมาณให้พอดีกับรุ่นน้องทั้งหมดตั้งแต่ทีแรก
“อ่ะโห! ประทับใจสุดๆไปเลยครับพี่เต๋อ... ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่าพวกผมจะมีศักดิ์ศรีทัดเทียมเสมอเหมือนเพื่อนสี่ขาหน้าขนกันเลยทีเดียว”
สกลล้มเลิกความพยายามที่จะเกาะแกะหนุ่มร่างหมีแล้วหันมาจีบปากจีบคอเหน็บแนมอีกฝ่ายแทน
“อย่าให้กูเห็นว่ามึงแดกเชียวนะไอ้เหี้ยแว่น!” ตรินชี้หน้ารุ่นน้องปากเสียจนอีกฝ่ายร้อนรน
“แหม่...พี่เต๋อล...
/คนกลางกับคนเล็กล่ะ?” ยังไม่ทันที่สกลจะได้แก้ตัว
ฝ่ายรุ่นพี่ที่เพิ่งเดินออกมากจากครัวพร้อมกับแกล้มจานใหญ่ก็ถามแทรกเมื่อเห็นว่ากลุ่มผู้อพยพชั่วคราวยังไม่ครบองค์ประชุม
“แวะซื้อขนมที่มินิมาร์ทอยู่ครับ
อีกเดี๋ยวก็ขึ้นมา” ฌานชี้แจงก่อนจะตั้งคำถามคืนทันทีที่เห็นอาวุธคู่มือวิญญู
กับเบียร์เย็นเฉียบหลายกระป๋องในมือพี่คณะ “วันนี้จะตั้งวงกันเหรอครับ?”
“นิดหน่อยน่ะ...
พวกนายเอาหน่อยไหม?”
“เดี๋ยวพวกผมขอดูก่อนแล้วกันครับ
ถ้าเหนื่อยๆคงขอบาย เชิญคุณพี่ด้วงกับพี่เต๋อตามสบายเถอะครับ” ฌานแบ่งรับแบ่งสู้อย่างสุภาพ
“พวกมึงกินข้าวกันไปก่อนแล้วกัน
ถ้าเปรี้ยวปากนักก็ตามมา... พวกกูนั่งอยู่ตรงระเบียงนี่แหละ” สองหนุ่มรุ่นน้องพยักหน้ารับแล้วล่วงหน้าไปรอสมาชิกที่เหลือที่โต๊ะอาหาร
ส่วนปีสามทั้งสองก็เดินเลี่ยงไปยังเฉลียงกว้างข้างห้องที่สามารถมองเห็นวิวของย่านตัวเมืองได้สุดลูกหูลูกตา
“ด้วง”
หนุ่มร่างหมีกระดกเบียร์ลงคออึกใหญ่ระหว่างรอสัญญาณตอบรับจากคนนั่งข้าง ฝั่งด้วงที่จับกระแสความเครียดในน้ำเสียงของอีกฝ่ายได้
ก็ละสายตาจากทิวทัศน์ยามเย็นตรงหน้าเพื่อหันไปรับคำและจ้องหน้าเพื่อนร่วมห้องด้วยความตั้งใจ
“หืม...
มีไร?”
“วันนี้ตอนกูกลับมาจากห้องน้ำพร้อมคนเล็ก
กูเห็นมึงกอดคนกลางแน่นเลยว่ะ...
...มึงยอมรับมาเหอะว่ามึงคิดถึงฟูจนทนไม่ไหว...
...พอเห็นคนกลางคล้ายกับฟูเข้าหน่อย
มึงก็อาศัยกอดน้องมันแก้ขัดไปพลางๆ...
.
...ถ้ามึงยอมรับมาแต่โดยดี
กูสัญญาว่า กูจะไม่บอกฟู” ดูเหมือนหัวข้อนี้จะไม่ได้ทำให้คนโดนกล่าวหาขมวดคิ้วเครียดเคร่งเพียงลำพัง
กระทั่งเจ้าของคำถาม ยังต้องอัดน้ำเมาอย่างเอาเป็นตายคล้ายต้องการดื่มเพื่อให้ลืมความไม่สบายใจอย่างไรอย่างนั้น
“เฮ่ย! ไม่ใช่!! มันไม่ใช่อย่างนั้นนะเต๋อ” ดวงตาเรียวเบิกกว้างระหว่างริมฝีปากบางขยับรัวเร็วเปล่างถ้อยอธิบายจนลิ้นแทบจะพันกัน “...คือ...พอดีตอนนั้นน้องรีบลุกไปหน่อยเลยเสียหลัก
เราแค่เข้าไปช่วยประคองเฉยๆ” ด้วงร้อนรนจนแทบจะนั่งไม่ติด
“อย่างนั้นเองหรอกเรอะ! กูไม่น่าเผลอคิดไปใหญ่โตว่ามึงหื่นจนหน้ามืดเลยฉวยโอกาสกับน้องมันลยเนอะ
โทษๆ” ตรินขอโทษขอโพยกลั้วเสียงหัวเราะแห้งๆพลางเกาท้ายทอยด้วยความเคอะเขินค่าที่เข้าใจอีกฝ่ายผิดแบบไม่น่าให้อภัย
“จะบ้าเหรอ?! เรารักฟู เราจะไปกอดคนอื่นทำไมล่ะ?
ไม่มีใครแทนฟูได้หรอกนะ!!” หนุ่มหน้าหยกแหวเสียงเขียว แต่ลึกๆแล้วกลับอดสงสัยไม่ได้ว่า...
อีกฝ่ายใช้อะไรมาตัดสินว่าเขาหื่นขึ้นตาจนต้องหาเศษหาเลยเอากับแฝดหัวทองแบบนั้น?!!
“เออๆ
รู้แล้ว... มึงจะโมโหมากมายไปทำไมเนี่ย?!”
“ก็นายพูดซะเหมือนเราเป็นพวกชีกอเลยนี่นา”
หนุ่มวิศวะประท้วงโดยไม่คิดโอนอ่อน แต่ท่าทางหงุดหงิดติดลมบนของด้วงกลับกระตุกหนวดอีกฝ่ายได้ยิกๆ
จากที่คิดจะสงบศึก...
หมีหนุ่มเลยนึกครึ้มอยากจิกกัดอีกฝ่ายขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ไม่ใช่ก็อย่าตีโพยตีพายดิวะ
ยิ่งมึงโวยวาย...
คนอื่นก็ยิ่งจับผิดมึงไปกันใหญ่อ่ะดิ!”
“ไม่ใช่เสียหน่อย”
เพราะคำพูดดักคอของอีกฝ่ายแท้ๆที่ทำให้ด้วงโต้ตอบได้แค่เอ่ยคำปฏิเสธเพียงสั้นๆ แต่ระหว่างนั้น
ดูเหมือนหนุ่มวิศวะจะนึกอะไรบางอย่างได้ “เต๋อ”
“อะไร?”
“เราว่าจะถามนายตั้งแต่เมื่อกลางวัน
แต่ไม่มีโอกาสสักที”
“...ว่า?...”เจ้าห้องหน้าคมอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายนึกคำพูดจัดการเครื่องดื่มในมือรวดเดียวหมดกระป๋อง
“เรื่องตอนเช้าที่โรงอาหารน่ะ
/ ทำไม? เรื่องเมื่อตอนเช้าทำไม?”
ท่าทางยึกยักของอีกฝ่ายกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของตรินจนต้องโพล่งคำถามสวนกลับอย่างรวดเร็ว
“นายไม่ตกใจเหรอที่เห็นฟูทำตัวน่ารักแปลกๆแบบนั้นน่ะ?”
.
.
.
.
“ก็ดูประหลาดๆอยู่หรอก แต่กูว่าเหมือนฟูจะพยายามมากไปจนดูตลกมากกว่าจะน่ารักนะมึง”
พอหวนนึกถึงท่าทางออดอ้อนสุดพิลึกพิลั่นของร่างเล็กที่โต๊ะอาหารเมื่อเช้า
หนุ่มร่างหมีก็อดวิจารณ์ตรงๆด้วยไม่ค่อยจะชอบใจนัก...
จะต้องพยายามเลียนแบบท่าทีของคนอื่นไปทำไม
ในเมื่อแค่กรกฏทำตัวตามปกติก็ดีที่สุดในสายตาของเขาแล้ว
แต่ดูเหมือนวิญญูจะไม่ได้คิดแบบเดียวกัน
“เราว่าน่ารักออก
นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฟูพูดหวานๆแบบนั้นกับเราน่ะ” คนพูดกระหยิ่มยิ้มระรื่นเมื่อนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เผชิญหน้ากับกังฟูเป็นครั้งแรกหลังผิดใจกับอีกฝ่าย
“สงสัยที่ผ่านมา
มึงคงโดนฟูกดขี่อยู่ตลอดเลยสิท่า มึงถึงได้ชื่นชมอาการผิดธรรมชาติของฟูเสียเหลือเกิน”
พอเห็นว่าด้วงหลงใหลได้ปลื้มจนออกนอกหน้า หนุ่มสถาปัตย์ก็แดกดันอีกฝ่ายเสียยกใหญ่ แต่แทนที่คนฟังจะรู้สึกเจ็บปวด... วิญญูกลับยอมรับแบบหมดรูปจนคู่สนทนาอดเวทนาไม่ได้
“ก็คงอย่างนั้น...
ตลอดสิบกว่าปีที่อยู่กันมา ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวผี ฟูก็ไม่เคยอ้อนเราหรอก...
.
...ไม่รู้สิ
พอไม่เคยได้...มันเลยโหยหาล่ะมั้ง” คิวท์บอยคนล่าสุดประจำมหาลัยปิดบัญชีเมรัยกระป๋องในมือตามเจ้าบ้านรูปหล่อหน้าคมไปติดๆ
“คนเขียนบทฯควรเอาชีวิตมึงไปเขียนหนังดราม่าอกหักรักคุดให้ไวเลยว่ะ
กูว่า...คนดูแม่งต้องน้ำตานองหน้าอ่ะ”
“เพราะทนสงสารเราไม่ไหวน่ะเหรอ?”
“เปล่า...
เขาร้องไห้เพราะเสียดายตังค์ที่เลือกหนังผิด” ค่าตอบแทนที่อุตส่าห์ยกยิ้มมุมปากแถมยักคิ้วใส่อีกฝ่าย
คือการโดนด้วงผลักหัวจนหน้าหงาย กระนั้น...เต๋อกลับยิ่งหัวเราะชอบใจเสียอร่อยเอร็ดเหมือนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
“หึ
หึ หึ...มึงนี่เป็นเอามากนะด้วง...
...กูว่าถ้ามึงได้คบกับฟู
มึงคงไม่มีความสุขสักเท่าไรหรอก...
...คนแข็งๆอย่างฟูน่ะ
ไม่มีทางทำตัวหวานแหววให้มึงชื่นใจได้แน่ๆ...
.
.
.
...เพราะฉะนั้น...
...มึงเลิกหวังเรื่องฟู
แล้วปล่อยให้กูคบกับฟูจะดีกว่า” ตรินออกตัวขู่ทำลายขวัญและกำลังใจของคู่ต่อสู้เสียแต่เนิ่นๆ
“นายนี่มันร้ายจริงๆเลยนะ
นายจงใจทำให้เราไขว้เขวเพราะนายจ้องจะแย่งฟูไปจากเราใช่ไหมล่ะ?” วิญญูปรายหางตามองหนุ่มร่างหมีหน้าแป้นอย่างเจ้าคิดเจ้าแค้น
แล้วจึงซดเบียร์อึกใหญ่คล้ายย้อมใจให้พร้อมรับมือกับฝีปากเหลือรับของอีกฝ่าย
ซึ่งดูเหมือนเต๋อจะรักษามาตรฐานอันยอดเยี่ยมไร้เทียมทานได้เป็นอย่างดี
“หึ
หึ หึ... กูนึกว่ามึงรู้ตัวนานแล้วเสียอีกนะด้วง...
.
...สมองดีเสียเปล่า
ไม่น่าโง่เรื่องง่ายๆเลยว่ะ” สายตาที่สื่อความรู้สึกอิดหนาระอาใจกับการส่ายหัวคล้ายจะบอกว่า
‘ไม่เอาไหน’ ทำเอาวิญญูถึงกับขึ้นเสียง
“เต๋อ!”
“โอ๊ย! เจ็บเชี่ยๆ... ด่าไรเนี่ย สุภ๊าพ
สุภาพ...
.
...เมื่อกี๊ตอนด่าเสร็จไม่กราบกูเสียหน่อยล่ะวะ
กูจะได้เจ็บแบบสุภาพจนหลาบจำ” อาการคอแห้งกะทันหันจนต้องกระดกเบียร์เอื้อกๆติดๆกันโดยไม่พูดไม่จาบอกกับเต๋อว่า
คนฟังกำลังหัวเสียสุดๆ แต่มีหรือที่เขาจะหยุดแกล้งแหย่อีกฝ่ายง่ายๆ
“ถามจริงๆเหอะวะด้วง...
.
.
...เกิดมามึงไม่เคยพูดมึงกูเหมือนผู้ชายทั่วๆไปเลยเหรอวะ?...
...หรือมันเป็นข้อกำหนดที่ห้ามไม่ให้กะเทยไทยพูดคำหยาบ?”
“ทีนายล่ะ?...
...นายยังพูดคำหยาบตลอดเวลาจนเราคิดว่านายพูดจาดีๆเหมือนสุภาพชนไม่เป็นแล้วเสียอีก...
...ถ้าเราไม่เคยได้ยินนายพูดจาประจบประแจงฟู
เราคงไม่รู้หรอกว่านายก็พูดเข้าหูเป็นเหมือนกัน” หนุ่มหน้าหยกกระแทกหางเสียงพร้อมๆกับวางกระป๋องเครื่องดื่มหนักเสียจนโต๊ะตัวกลางสั่นคลอน
“งั้นเอางี้...
คืนนี้มึงพูดคำหยาบแล้วกูจะพูดเพราะๆกับมึงตลอดคืนเลยดีไหม?” ยิ่งอีกฝ่ายเผยให้เห็นความลังเลผ่านสายตาและสีหน้าอย่างเด่นชัด
ตรินก็นิ่งรวบรัดจนหนุ่มวิศวะหมดทางเลือก
“เหอะน่า... ไม่ต้องทำเพราะเห็นแก่กูก็ได้ แค่อย่าลืมว่ามึงกำลังซุกหัวนอนอยู่ที่ไหน
และใครเป็นเจ้าของห้อง...
.
.
...ช่วยพูดคำหยาบให้กูฟังเป็นบุญหูก็สักทีดิ๊...
นะ... กูขอล่ะด้วง อยากได้ยินว่ะ” เจ้าของร่างหมียกมือไหว้อีกฝ่ายปลกๆประกอบวาจาที่เพิ่งเอื้อนเอ่ย
คำขอกึ่งจริงกึ่งเล่นของอีกฝ่ายไม่ได้มีน้ำหนักมากไปกว่าสายตาคมซึ่งดูจริงจังผิดกับวาจา
แม้วิญญูจะใช้เวลาใคร่ครวญอยู่ครู่ใหญ่
แต่ที่สุดแล้ว... เขาก็ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายรอเก้อ
“บอกตรงๆ
เมื่อก่อนกูก็พูดได้นะไอ้คำหยาบเนี่ย...
.
.
...แต่พอต้องมาพูดให้มึงฟัง
กูแม่งโคตรประหม่าเลยว่ะ” อยู่ๆประกายคมกล้าที่ฉายวูบขึ้นในดวงแก้วแวววาวสีดำขลับ
กับรอยยิ้มสว่างไสวของคู่สนทนาหน้าเข้มก็พาลทำให้หนุ่มวิศวะต้องเสหลุบสายตาต่ำเพราะเกิดรู้สึกขัดเขินขึ้นมาเสียเฉยๆ
“หึ
หึ หึ... ครั้งแรกในรอบหลายปีมันก็ต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดาอยู่แล้วแหละ” เต๋อเอื้อมมือไปตบบ่าของอีกฝ่ายเบาๆราวกับให้กำลังใจ
ฝ่ายคนที่ยังตกประหม่าไม่คลายก็หันมาขึ้นเสียงพร้อมชี้นิ้วสั่งเพื่อกลบเกลื่อนอาการวางหน้าไม่ถูกของตัวเองเมื่อครู่
“มึงก็อย่าลืมแล้วกันว่าคืนนี้มึงต้องพูดเพราะตลอดคืน!” ...แต่ใครเลยจะรู้ว่า
คำสั่งดังกล่าวกลับส่งผลร้ายกาจต่อการเต้นของหัวใจหนุ่มวิศวะหน้าหยกได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“ผมพูดไม่เพราะตอนไหนกันครับคุณ?
ผมจะพูดเพราะให้คุณฟังจนเบื่อเลยดีไหมครับ... หืม?” เจ้าของร่างหมีทอดเสียงพูดอย่างนุ่มนวลพลางยื่นหน้าเปื้อนยิ้มเฉียดเข้าใกล้ดวงหน้าของคนฟังด้วยความตั้งใจ
ระยะห่างที่ถูกร่นใกล้ยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
นำพาริ้วสีแดงปื้นใหญ่ที่ไม่ได้เกิดจากน้ำมือของน้ำเมาให้ลากผ่านแก้มขาวของอีกฝ่ายได้ทันตา
“เลี่ยนว่ะสัด!” หนุ่มหน้าหยกแยกเขี้ยวด่าพร้อมๆกับผลักเหม่งเด็กเต็กออกห่างอย่างรังเกียจ
แต่คนหน้าเป็นกลับไม่หยุดเล่นสนุก
“ด้วงไม่ชอบให้ผมพูดเพราะๆหรอกเหรอครับ?”
“พอ! พอ! มึงแดกเบียร์ของมึงไปเลย!” เต๋อยักคิ้วยั่วพลางกลั้นหัวเราะกับท่าทางไปไม่เป็นของคนนั่งข้าง...
ฝั่งด้วงก็พร่ำย้ำกับตัวเองว่า มธุรสวาจาของอีกฝ่ายคือท่าไม้ตายที่ทำให้ใครต่อใครระทดระทวยได้อย่างง่ายดาย
กระทั่งเขา...ก็ดูเหมือนจะไม่มีข้อยกเว้นแต่อย่างใด
“กูบอกก่อนเลยนะว่ากูไม่มีทางยกฟูให้มึงแน่ๆเต๋อ!” วิญญูเปลี่ยนเรื่องอย่างฉับไวด้วยไม่อยากให้อาการเก้อกระดากของตนถูกอีกฝ่ายลากออกมาชำแหละแซะซัก
“โห! นี่ยังจะขุดเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอยู่อีกหรือครับคุณ?”
“ก็มันเรื่องสำคัญนี่หว่า
ถ้ากูไม่ย้ำ...เดี๋ยวมึงจะทึกทักเอาเองว่ากูยอมยกฟูให้มึงแล้วน่ะสิ”
อาจเป็นเพราะบรรยากาศของการร่ำสุรา
หรือจะเป็นเพราะคำพูดคำจาที่พกพาอารมณ์มาเต็มพิกัด
กอปรกับแววตาจริงจังสะท้อนชัดถึงความหวังที่วิญญูมักจะเผยให้เห็นไปเสียทุกครั้งที่เอ่ยถึงร่างเล็กผู้เป็นที่รัก
ที่ทำให้เต๋อยอมบอกเล่าความคิดที่ตนเฝ้าเก็บงำไว้ในซอกหลืบหัวใจให้อีกฝ่ายได้รับฟังอย่างหมดเปลือก
“เอาจริงๆ
ถ้าสุดท้ายแล้วฟูไม่เลือกผม...
.
...ผมว่า
ถ้าคุณได้คบกับฟู ผมก็โอเคนะ”
“มึงพูดจริงๆเหรอเต๋อ?!!!” ดวงตาเรียวที่เกือบจะดูคล้ายขีดในบางครั้งลุกโพลงเมื่อเจ้าของตกใจกับคำสารภาพที่เพิ่งมีโอกาสได้รับฟังเป็นครั้งแรก
“ก็จริงดิ
ใครเขาพูดเรื่องแบบนี้เล่นๆกันคุณ?” หนุ่มร่างหมีหน้าคมเลิกคิ้ว ก่อนจะตรึงสายตาของเด็กหนุ่มต่างคณะด้วยความจริงใจและแน่แน่วในแววตา
แล้วจึงเจรจาเนิบๆทว่าฟังหนักแน่น
“ผมรักฟู
ผมก็ต้องอยากให้ฟูมีความสุข...
.
.
...แต่ในเมื่อสุดท้ายเขาไม่เลือกผม อย่างน้อยๆ...
ผมก็หวังให้เขาได้อยู่กับคนที่รักเขาจากใจจริง...
...อีกอย่าง
ผมหวังอยากให้คนๆนั้นพร้อมยอมทำทุกอย่างเพื่อความสุขของฟูไปตลอดชีวิต...
...ถ้าคนๆนั้นไม่ใช่คุณ...ผมก็ไม่เห็นว่าจะมีใครเหมาะสมไปกว่านี้อีกแล้วล่ะ”
เมื่อความคิดหยุดลงตรงใจความล่าสุด
เจ้าของใบหน้าหล่อเข้มก็ถอนหายใจยาวพลางคลี่ยิ้มอย่างอ่อนระโหยโรยแรง...
แม้สัมผัสแนบชิดกับกรกฏเมื่อคืนวันนั้นจะยังไม่เลือนหายไปจากห้วงความทรงจำ
แต่สิ่งที่กำลังเกิดอยู่ในขณะนี้ก็ไม่อาจทำให้เขาชะล่าใจได้เลยสักวินาที...
อีกอย่าง
หากอริยะตรัยผู้พี่ไม่ได้คิดอะไรกับเพื่อนสนิทจริงๆ แล้วร่างเล็กจะออเซาะเจ๊าะแจ๊ะอีกฝ่ายต่อหน้าเขาให้ได้อะไรขึ้นมา?!!
ถ้อยแถลงที่แสดงให้เห็นถึงการยอมรับในตัวเขาที่ตรินประกาศไปหยกๆ
ทำให้วิญญูยอมเปิดอกเล่าความลับที่ไม่คิดแย้มพรายให้ศัตรูหัวใจล่วงรู้มาก่อนได้ทราบโดยดุษฎี
“หึ! กูว่ามึงนั่นแหละที่ฟูจะเลือก
ไม่ใช่กูหรอก” คนพูดเหลือบมองสีหน้าสนอกสนใจของเต๋ออยู่ครู่หนึ่ง “ฟูไม่เคยแสดงออกว่าแคร์ใครเท่ามึงมาก่อนเลยนะ...
.
.
...เมื่อก่อนฟูไม่เคยเดือดร้อนกับมือถือ...
...เผลอไม่ได้ รายนั้นเป็นต้องวางทิ้งขว้างวางแหมะเอาไว้ให้กูต้องคอยตามเก็บให้ตลอด...
...แต่พอเขารู้จักมึง
ฟูก็ไม่เคยอยู่ห่างจากมือถืออีกเลย...
...ขนาดตอนนอน...ฟูยังเอามือถือสอดไว้ใต้หมอนทุกคืน...
.
.
...มึงคงไม่รู้หรอกว่า
ฟูรอโทรศัพท์มึงทุกเย็น...
...วันไหนมึงไม่โทรมา...
กูกับเก็กเป็นต้องได้คอยหลบหลีกระเบิดอารมณ์กันแทบไม่ทัน” ด้วงยิ้มขื่นๆเมื่อนึกย้อนไปถึงท่าทางผิดปกติของเพื่อนรักอันเป็นผลพวงมาจากความรู้สึกพิเศษที่เจ้าตัวมอบให้กับหนุ่มต่างคณะเรือนร่างสูงใหญ่คนข้างๆ
“ขนาดนั้นเลย?!!” ตรินแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ซึ่งหากไม่ได้ยินคำรับรองผ่านน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจระคนหมั่นไส้ของอีกฝ่ายที่ตามมาหลังจากนั้น...
เขาคงไม่อาจปักใจได้ง่ายๆ
“ก็เออดิวะ! มึงเห็นกูเป็นพวกโกหกเพื่อทำให้ศัตรูแฮปปี้หรือยังไง?!”
ไม่รู้เพราะอะไร...
แต่วิญญูรู้สึกว่า น้ำเมาอึกเมื่อครู่ ดูจะขมกว่าทุกครั้งที่จิบ
ทว่าคำพูดจิกกัดของอีกฝ่ายก็ช่วยปรับอารมณ์ขื่นๆของเขาให้หมุนเปลี่ยนได้อีกครั้งอย่างรวดเร็ว
“ก็ไม่นะ...
คุณไม่ได้ใจดีขนาดนั้นหรอก ออกจะชอบบ่อนทำลายคนอื่นอยู่ตลอดเสียด้วยซ้ำ” เจ้าของห้องส่งยิ้มยียวนกวนประสาทตามมากำกับจนคนรับอดเจริญพรไม่ได้
“ปากมึงนี่เหลือเกินจริงๆว่ะ! กูว่ามึงไม่ต้องพูดเพราะๆแล้วล่ะ
ภาษาแม่งไม่ช่วยขัดเกลาสันดานให้มึงกลายเป็นคนดีขึ้นมาได้เลยสักนิด... พูดเพราะไปก็ไม่เข้ากับหน้า
แถมฟังไปฟังมาแม่งก็กระดากหูฉิบหาย”
“หึ
หึ หึ... ขอบคุณที่ชมครับ” หนุ่มร่างหมีก้มหัวโค้งคำนับน้อมรับคำด่าจากอีกฝ่ายอย่างไม่ยี่หระ
ซึ่งการกระทำเช่นนั้นก็สามารถเรียกร้องความสนใจของคิวท์บอยคนล่าสุดได้เป็นอย่างดี
“ไอ้สัด!”
“แหม...
ด่าม่วนปากเลยนะมึง! อัดอั้นหรือไงสัด?!”
“อัดอั้นพ่อง!!”
“อูยยยยย! เจ๊บเจ็บครับมึง! ขออีกได้ป่ะ พอดีกูหนังหนา...
แค่นี้ไม่กระเทือนกูง่ายๆหรอก” ตรินสวนยิ้มๆ...
เรื่องยั่ววิญญูนี่ขอให้ไว้ใจเขาเถอะ เมื่อไรเมื่อนั้นเป็นอันเรียกเสียงด่าราวกับสั่งได้เลยเชียวล่ะ
แต่รอบนี้...แทนที่จะไหลตามน้ำ
หนุ่มหน้าหยกกลับนั่งนิ่งแล้วตั้งสติเงียบๆอยู่พักหนึ่ง
แล้วจึงเปล่งวจีด้วยสีหน้าและน้ำเสียงซีเรียสผิดกับเมื่อครู่เป็นคนละคน
“เต๋อ...
กูพูดจริงๆนะ” ด้วงสบตากับอีกฝ่ายตรงๆ ก่อนจะเน้นย้ำความต้องการจากส่วนลึกของตน “ถ้าเป็นมึง...
กูยอมได้ว่ะ”
“เหมือนกัน...
...ถ้าฟูเลือกมึง กูก็ดีใจด้วย...
.
.
.
...จริงๆนะเว่ยด้วง”
เมื่อสัมผัสได้ถึงน้ำใจไมตรีที่แท้จริงของคู่แข่งในสนามหัวใจ สุดท้าย... เต๋อก็อดฝากฝังร่างเล็กเอาไว้ในมือของวิญญูไม่ได้
“ขอบใจนะเต๋อ!” กำปั้นถูกส่งไปชกไหล่หนาของคนนั่งข้างๆแทนการตบบ่าขอบอกขอบใจอย่างที่คิดจะลองทำ...
ยิ่งใช้เวลากับเต๋อมากขึ้นเท่าไร
ด้วงก็ไม่เข้าใจตัวเองมากขึ้นเท่านั้น...
ทำไมพออยู่ต่อหน้าอีกฝ่ายแล้วเขากลับไม่รู้จะวางมือไม้ไว้ตรงไหน
แถมยังมักจะสับสนอยู่บ่อยๆว่าควรแสดงออกอย่างไรให้ดูเหมาะสม
และไม่ชวนให้พรั่นใจกันไปทั้งสองฝ่ายดี?!
“อย่าเพิ่งขอบใจกูเลย...
ไม่รู้ฟูแม่งจะคิดได้เมื่อไร มึงกับกูอาจจะต้องอยู่กันไปแบบนี้จนเรียนจบก็ได้” ...ฝ่ายที่ไม่รู้ไม่เห็นอะไรด้วยก็ชกคืนพลางประเมินสถานการณ์ด้วยความรู้สึกสองจิตสองใจ
จะว่าหนักใจกับความคิดอ่านของร่างเล็ก...ก็ใช่
ถึงอย่างนั้น
ตรินกลับปฏิเสธไม่ได้ว่า... การได้ใช้เวลากับด้วงก็ถือเป็นเรื่องดีๆที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตของความสัมพันธ์กับพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยเช่นกัน
“อยู่กับมึงแบบนี้ก็ดีนะกูว่า...
อย่างน้อยๆก็สบายใจดี”
คำพูดของวิญญูทำเอาคนฟังหันขวับเพื่อจับจ้องสีหน้าของเจ้าของประโยคทันที...
ถ้าเกิดเขาบอกกับอีกฝ่ายว่า
ฟังแล้วรู้สึกโคตรดี ริ้วสีแดงจะโผล่ขึ้นบนสองแก้มของด้วงอีกครั้งหรือไม่นะ?!
แต่สุดท้าย
ตรินกลับเลือกที่จะไม่ทำให้คู่สนทนารู้สึกกระอักกระอ่วนไปเปล่าๆ...
แซวเอามันก็น่าจะทำให้วิญญูสะดุ้งได้แรงไม่แพ้กันนักหรอก
“แหน่ะ! พูดแบบนี้ คิดอะไรกับกูเปล่าเนี่ย? / สัด! ฟ้าผ่าตายห่า!” ...นั่นปะไร แค่จิ้มด้วยวาจาเพียงนิดเดียว
คนนั่งข้างๆก็เต้นเป็นเจ้าเข้าให้ดูเสียแล้ว เต๋อจึงวางมือจากอีกฝ่ายก่อนหัวข้อสนทนาจะไหลออกทะเลไปเสียก่อน
“แค่คิดอกุศลกับฟูก็ฟ้าผ่าแล้วเหอะมึง!”
“เออว่ะ! หึ หึ หึ”
“แล้วถ้าฟ้าจะผ่าลงมาจริงๆ
กูว่าแม่งผ่านานแล้วว่ะ” ตรินว่าพลางอมยิ้มกรุ้มกริ่มจนด้วงอดสงสัยไม่ได้
“ทำไมอ่ะ?”
“ก็ฟ้าน่ะแม่งควรจะต้องผ่าตั้งแต่ไอ้เก็กกับน้องรหัสกูแล้ว...
ไหนจะไอ้แฝดน้องหัวจุกกับไอ้เด็กทอมนั่นอีก” คนพูดบุ้ยใบ้ให้วิญญูมองตามตนไปยังกลุ่มก้อนของชายฉกรรจ์ที่มะรุมมะตุ้มกองรวมกันอยู่ตรงโซฟาส่วนรับแขกภายในห้อง
“ทอมไหนวะ?”
แม้สรรพนามของเต๋อจะพิลึกพิลั่น
แต่เมื่อหันไปเห็นน้องโรงเรียนกำลังอี๋อ๋อกับรุ่นน้องต่างคณะที่ผูกจุกน้ำพุเหนือหน้าแง
หนุ่มวิศวะก็ถึงกับยิ้มกว้างด้วยอดเห็นชอบกับชื่อเรียกดังกล่าวไม่ได้ “อ๋อ! อิ๊กน่ะเหรอ? หึ หึ หึ”
“ก็เออเด่ะ...
ตอนแรกที่กูเจอไอ้น้องทอมนั่น กูก็หลงหวั่นใจอยู่ตั้งนานว่าแม่งต้องมีดราม่าแย่งไอ้เก็กกันแหงๆ...
.
...ที่ไหนได้...ไอ้หัวจุกเสือกมาวินเสียอย่างนั้น”
“ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ
เก็กกับน้องบ๊วยจะได้ไม่มีปัญหา... แค่ฟูป่วนเก็กมันคนเดียวกูก็ปวดหัวแทนเก็กจะตายอยู่แล้ว”
ด้วงเอ่ยกลั้วหัวเราะเมื่อนึกถึงบรรดาเรื่องวุ่นวายที่ร่างเล็กสรรหามาก่อกวนน้องชายกับแฟนใหม่ได้ไม่เว้นแต่ละวัน
ทั้งที่พยายามหักห้ามความต้องการที่จะกลั่นแกล้งวิญญูให้กลับเป็นศูนย์
แต่พอได้เห็นรอยยิ้มสะกดสายตาของหนุ่มวิศวะใกล้ๆ
เต๋อก็หยุดตัวเองไม่ได้จริงๆ
“มึงคงจะเอาแต่ปวดหัวอยู่ล่ะสินะ...
กูไม่เคยเห็นมึงห้ามฟูได้สักที”
“ทำอย่างกับมึงห้ามได้อย่างนั้นแหละ”
“ก็ได้บ้าง
ไม่ได้บ้าง... แต่ก็ดีกว่ามึง!” ตรินปรายตามองเย้ยคนนั่งข้างๆอย่างถือดี
“กูขอถอนคำพูด! คนปากเสียอย่างมึงน่ะไม่คู่ควรกับฟูหรอก” วิญญูชักสีหน้าแล้วคว้าแขนทั้งสองข้างมากอดเข้าที่อกฉึบฉับจนดูน่าขัน ซึ่งนั่นยิ่งยุยงส่งเสริมให้หนุ่มร่างหมีคะนองปากไปกันใหญ่
“ไอ้สัด! แพ้แล้วพาลนี่หว่า! / เรื่องของกู! ”
“ตุ๊ดฉิบหาย! ไม่สะบัดบ็อบด้วยล่ะมึง จะได้ครบสูตรตุ๊ดเต็มเหนี่ยว / ไอ้เหี้ยเต๋อ!”
“ฮ่า
ฮ่า ฮ่า... มึงนี่ก็แกล้งแล้วสนุกดีนะ แหย่แล้วขึ้นง่ายดีว่ะ... กูชอบ”
ดูเหมือนว่า...
คำทิ้งท้ายสั้นๆที่หนุ่มสถาปัตย์หลุดปากจะสร้างบรรยากาศประดักประเดิดให้เกิดขึ้นได้ในชั่วพริบตา
โดยไม่ได้นัดหมาย...
คู่สนทนาทั้งสองต่างก็ลอบมองหน้าอีกฝ่าย แล้วก็ได้แต่แอบเขินเงียบๆอยู่ข้างใน
แต่ก่อนที่ความเงียบจะเข้าทำลายบรรยากาศอันชื่นมื่นระหว่างสองหนุ่มจนราบคาบ
เจ้าของห้องก็อาศัยภาพเคลื่อนไหวภายในห้องมาช่วยบรรเทาความรู้สึกเก้อเขินจนต้องแกะเกาเนื้อตัวอย่างที่ต่างฝ่ายต่างทำอยู่ทันที
“ด้วง...
มึงดูโน่นดิ”
“อะไรเหรอ?”
“สงสัยว่าไอ้แฝดพี่มันน่าจะหมายตาคนเล็กอยู่นะ
กูไม่เห็นมันปล่อยน้องไม้ขีดไฟไปไหนเลย” ทั้งฉายาของแฝดหัวแดง กับสมมติฐานอันน่าเชื่อถือของตรินทำให้ด้วงหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
“หึ
หึ หึ เออ...ดี!
กูกับมึงจะได้มีเพื่อนโดนฟ้าผ่าด้วยกันหลายๆคน”
“เสียดายว่ะ
กูว่าถ้าฟ้าผ่าไอ้สกลคนแรกก็คงจะดี กูหมั่นไส้แม่งมานานแล้ว!” เต๋อเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเมื่อเหลือบไปมองรุ่นน้องร่วมคณะหน้าแว่นที่ปากดีจนน่าทำปืนลั่นใส่วันละหลายๆหน
“ปากอย่างนั้น
ไม่ต้องรอให้ฟ้าผ่าก็ได้... เชื่อกู ถ้าแม่งไม่ตายเพราะโดนใครกระทืบก็อยู่เป็นมลภาวะให้โลกได้อีกไม่นานหรอก”
ถ้อยคำอวยพรของหนุ่มหน้าหยกที่เอ่ยพร้อมรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมทำเอาคนฟังหัวเราะร่วน
“หึ
หึ หึ... พูดถูกใจว่ะ เอ้า...โชนนนนนน! / ชนนนนนนน!”
Ħ------------------------------------------------------------------------Ħ
[10B]
“เมื่อเช้าไม่เห็นพวกนั้นอีกแล้ว...
มึงทันเจอไหม?” หนุ่มวิศวะเอ่ยถามเจ้าของร่างสูงใหญ่ระหว่างที่ทั้งสองเดินตามฝาแฝดหัวสีเข้าสู่โรงอาหารกลาง
“เหอะ! กูก็ไม่เจอพวกมันเหมือนกัน
ไม่รู้จะรีบแหกขี้ตาตื่นไปไหน...
ออกจากห้องมาก็เจอโน้ตหนึ่งใบบอกว่าให้แฝดติดรถเข้ามอมาด้วยเนี่ย” เต๋อตอบเสียงห้วนจนคนหัวแดงที่เดินนำรีบเบื้อนหน้ากลับหันมาขอโทษขอโพยแทบไม่ทัน
“ขอโทษนะครับพี่เต๋อ
พี่ด้วง... พวกพี่ๆเลยต้องลำบากเพราะพวกผมเลย”
“ฮื่อ! คิดมากน่ะคนเล็ก...
.
...แล้วเป็นไง...
เมื่อคืนนอนหลับสบายไหม? เสียงพวกพี่กวนเราจนไม่ได้นอนหรือเปล่า?” เจ้าบ้านถามสารทุกข์สุขดิบของอาคันตุกะร่างเล็กทั้งสองค่าที่ทั้งพวกเขาและหนุ่มรุ่นน้องต่างตั้งวงพูดคุยสังสรรค์กันจนถึงเที่ยงคืน
“สบายมากเลยครับ
นอนหลับรวดเดียวจนถึงเช้าเลย” ฝาแฝดหัวแดงยิ้มหวานจนแก้มเต่ง
“แล้วนี้วันนี้เราสองคนจะทำอะไรกัน?”
คิวท์บอยยิงคำถามให้กับแฝดหัวทองที่ชะลอฝีเท้าเพื่อรอเดินข้างๆตน
“พวกเราว่าจะไปนั่งอ่านหนังสือกันที่หอสมุดอีกวันน่ะครับ
หนังสือใหม่ๆเยอะแยะเลย แอร์ก็เย็น แถมขนมยังอร่อยอีกต่างหาก”
“ดีๆ...
งั้นตอนนี้ไปหาอะไรกินกันก่อน เดี๋ยวพี่จะไปส่งที่หอสมุด” เต๋อสรุปเพื่อส่งสัญญาณให้ทั้งหมดแยกย้ายไปเลือกซื้ออาหารเช้าตามชอบใจ
แต่ก่อนที่ทั้งหมดจะออกตัว
คนกลางก็จัดแจงแบ่งคู่ให้ทั้งสี่เสร็จสรรพ
“พี่ด้วงกินอะไรครับ...
พาคนกลางไปด้วยได้ไหม?”
“ข้าวราดแกงมั้ง
ไป... เดี๋ยวพี่พาไป” พลุอ้อนคุณแดดดี๊เสียจนอยู่หมัด แล้วจึงหันไปจัดการกับคุณป๊ะป๋าเป็นรายถัดไป
“พี่เต๋อครับ
ผมฝากน้องด้วยนะครับ... เจอกันที่โต๊ะนะครับ” ฝาแฝดหัวทองพยักหน้าให้คิวท์บอยวิศวะแล้วจึงเดินตีคู่กับอีกฝ่ายฉีกไปอีกทางทันที
“พี่เต๋อครับ”
ร่างเล็กหัวแดงกระตุกชายเสื้อนักศึกษาของคนตัวโตเบาๆ
จนเต๋อต้องชะลอฝีเท้าลงเพื่อคุยกับอีกฝ่ายพลางสอดส่ายสายตาเล็งว่าที่อาหารมื้อเช้าของตนไปพร้อมๆกัน
“ว่าไงเหรอคนเล็ก?”
“พี่เต๋อคิดยังไงกับคุณกังฟูครับ?”
“เฮ่ย!” ดีว่าทั้งคู่อยู่ท่ามกลางเหล่านักศึกษา
ไม่อย่างนั้นเสียอุทานของเขาคงจะดังเรียกสายตาใครต่อใครได้แน่ๆ ฝ่ายพลับก็ยิ้มรับอาการตื่นตระหนกของอีกฝ่ายก่อนเริ่มอธิบายด้วยน้ำเสียงรื่นหู
“พี่เต๋อไม่ต้องตกใจหรอกครับ
พวกพี่ๆบอกคนเล็กหมดแล้วว่าพี่เต๋อมีปัญหากับคุณกังฟูอยู่...
.
...แล้วสรุปว่าพี่เต๋อคิดยังไงกับคุณกังฟูกันครับ?”
หมัดฮุกตรงเข้าเป้าอย่างจังไม่ได้ทำให้เต๋อจุก
ร่างสูงใหญ่กลับไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งเหมือนไม่แน่ใจว่าจะยอมรับความรู้สึกกับรุ่นน้องที่เพิ่งรู้จักได้ไม่กี่วันดีหรือไม่
ทว่าสายตาเว้าวอนที่ดูละม้ายกับดวงตากลมโตที่สดใสแม้ในความมืดของกังฟูยามเฝ้ารอคำสัญญาของเขาอย่างจดจ่อต่างหากที่เอาชนะใจตรินได้ง่ายราวพลิกฝ่ามือ
“เอ่อ...
พี่... พี่รักฟูน่ะ”
“พี่เต๋อรักคุณกังฟู
แล้วทำไมต้องทะเลาะกันด้วยล่ะครับ?” คนเล็กสงสัยจนอดใจไม่ซักไซ้ไม่ได้...
บางทีมนุษย์ก็ทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะบรรดาพ่อๆในอนาคตของพวกเขาเองนี่แหละ
“อืม...
มันก็พูดยากเหมือนกันว่าทำไมเราต้องทะเลาะกัน” คำถามง่ายๆไม่ซับซ้อนของฝาแฝดคนน้องทำเอาหนุ่มร่างหมีหยุดคิดเพื่อสรุปใจความจนกระชับเพื่อป้องกันไม่ให้คำถามตอบยากข้ออื่นๆผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด
“เอาเป็นว่า...
พี่ไม่ได้ตั้งใจทะเลาะกับฟูหรอก แต่บังเอิญว่าเรื่องที่พี่กับเขาทะเลาะกันมันดันต้องอาศัยเวลาเพื่อให้ทางโน้นใคร่ครวญอะไรนิดหน่อย
พี่ก็เลยต้องหลบออกมาอย่างนี้นี่แหละ”
ตรินคงจะประเมินขอบเขตความสงสัยของอีกฝ่ายต่ำจนเกินไป
เพราะแม้จะเข้าใจ...
แต่ก็ใช่ว่าคนเล็กจะหยุดตั้งคำถามง่ายๆเสียหน่อย
“แล้วเมื่อไรจะกลับไปดีกันล่ะครับ?”
“ไม่รู้สิ...
พี่ก็กำลังรอให้เขาคิดได้เหมือนกัน” เต๋อยอมรับตรงๆอย่างจนปัญญา จนอีกฝ่ายอดเห็นใจไม่ได้
“อยู่ห่างๆกันแบบนี้ไม่ดีเลยนะครับ”
“อืม...
ไม่ดีเลย” หนุ่มร่างหมีนิ่วหน้าด้วยไม่โปรดปรานการเอาตัวออกห่างจากร่างเล็กสักเท่าไร...
แต่ที่ยังสงบอยู่ได้ เพราะเชื่อมือว่าที่น้องเมียกับน้องรหัส และหวังอยู่ๆลึกๆว่ากรกฏจะตัดสินใจเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ในไม่ช้า
“ถ้างั้นให้คนเล็กช่วยดีไหมครับ?”
พลับเสนอตัวด้วยความยินดี ซึ่งนี่ถือเป็นการเดินหมากท้ายกระดานตามแผนการจับคี่ที่บรรดาสมุนเลวและเจ้าพ่อทั้งสองวางเอาไว้
“หืม?
พูดอย่างกับเรารู้จักฟูดีงั้นแหละ...
.
...ได้ข่าวว่าเพิ่งเจอหน้าเขาเมื่อวานเองไม่ใช่เหรอ
แล้วเราจะไปทำอย่างนั้นได้ยังไง?” แม้ข้อเสนอของอีกฝ่ายจะไม่น่าเชื่อถือสักเท่าไร
แต่ความน่าเอ็นดูของแฝดหัวแดงนี่ถือว่าไม่ธรรมดา... คุณป๊ะป๋าในอนาคตจึงส่งยิ้มให้อีกฝ่ายทันทีที่ร่ายจบ
“เชื่อมือคนเล็กกับคนกลางเถอะครับ...
รับรอง คุณกังฟูจะต้องมาขอโทษพี่เต๋อภายในวันนี้แน่ๆ โอ๊ะ!!!” อวดอ้างสรรพคุณยังไม่ทันจะขาดคำ อยู่ๆคนเล็กก็เกิดเดินสะดุดหน้าคะมำเพื่อให้ตรินช่วยคว้าร่างเอาไว้...
กว่าจะได้มุมล้มที่เหมาะสมที่สุด...
พลับต้องกะจังหวะให้ทั้งคู่เดินมาหยุดในระยะไม่ใกล้ไม่ไกลจากสายตาของกรกฏผู้กำลังจับจ้องพวกเขาอย่างไม่ลดละ
แน่นอน...
การกระทำดังกล่าวถูกจัดฉากมาเป็นอย่างดี
โดยมีเจ้าพ่อห่อไหล่ช่วยดลบันดาลให้แฝดผู้น้องทรงตัวไม่อยู่จนเต๋อทนอยู่เฉยไม่ได้
ซึ่งนั่นช่วยเร่งให้กังฟูรู้ใจตัวเองได้รวดเร็วราวกระพริบตา
เฉกเช่นเหตุการณ์คล้ายๆกันที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเลิกเรียนของวันวาน
หากแต่เปลี่ยนตัวละครเป็นด้วงกับพลุแทนนั่นอย่างไร
“แค่เดินยังจะล้มแล้วจะช่วยพี่ให้คืนดีกับฟูได้ยังไงกันหือคนเล็ก?”
หนุ่มร่างหมียกมือขึ้นยีเรือนผมสีแดงนุ่มมือเบาๆ ทำเอาลูกชายในอนาคตของตนยิ้มแป้นกับสัมผัสอบอุ่นของผู้เป็นบิดา
“เชื่อคนเล็กเถอะครับ
ถึงคนเล็กจะซุ่มซ่าม แต่คนเล็กเก่งเรื่องทำให้คนรักกันน้า” คนพูดหมุนตัวเดินกลับไปอีกทางเมื่อการแสดงชุดดังกล่าวสิ้นสุด ฝ่ายเหยื่อบริสุทธิ์อย่างเต๋อก็เดินตามอีกฝ่ายโดยยังไม่คลายฝ่ามือที่ประคองศอกรุ่นน้องจอมซุ่มซ่ามไปอีกพักใหญ่ๆ
“พี่ด้วงครับ” ฝาแฝดหัวทองถึงกับต้องสะกิดรุ่นพี่ร่างสูงที่ยืนนิ่งตรงหน้าตู้กับข้าวร้านประจำที่เขามักจะมากินกับกังฟู
“หืม...
ว่าไงเหรอคนกลาง?”
วิญญูจำใจบอกลากรกฏในจินตนาการเพื่อตอบรับคนกลางที่ยืนข้างๆตน
“พี่ด้วงเป็นอะไรหรือเปล่าครับ
ทำไมพี่ด้วงดูไม่ค่อยสดใสเลย?”
“ไม่มีอะไรหรอก
พี่แค่กำลังคิดอยู่ว่าจะกินอะไรดีน่ะ... เรานี่ถามเหมือนรู้จักพี่ดีเลยนะ” ด้วงปดก่อนจะตั้งข้อสังเกตกับท่าทางเป็นห่วงจนออกนอกหน้าของเด็กหัวทองที่หน้าเหมือนกังฟูอย่างกับอะไรดี
“พอดีคนกลางเป็นพวกความรู้สึกไวน่ะครับ” พลุยิ้มบางๆให้กับคุณแดดดี๊ก่อนจะท่องบทอย่างเป็นธรรมชาติ
“คนกลางรู้สึกหลายทีแล้วว่าเวลาที่พี่ด้วงไม่ได้อยู่กับพี่เต๋อ...พี่ด้วงจะดูไม่ค่อยร่าเริงเท่าไร
เมื่อกี๊พอเห็นพี่ด้วงเหม่อนานๆ
เลยพาลเป็นห่วงขึ้นมาน่ะครับ”
“โทษที...
พอดีพี่มีเรื่องให้ต้องคิดนิดหน่อยน่ะ แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วล่ะ เห็นไหม...
พี่ยิ้มแล้วนะ” หนุ่มหน้าหยกฝืนยิ้มก่อนจะหันไปสั่งข้าวของตัวเองกับร่างเล็กหัวทอง
เมื่อจ่ายเงินและรับจานข้าวมาจากคนขาย...ฝาแฝดคนกลางจึงเปรยเบาๆเพื่อให้กำลังใจแดดดี๊ในอนาคตของพวกตนจากใจจริง
“พี่ด้วงอย่าสะสมความทุกข์เอาไว้กับตัวเลยครับ
ยังมีคนที่รักและหวังดีกับพี่ด้วงอีกตั้งหลายคน” ...ซึ่งนั่นหมายรวมถึงตัวเขาและฝาแฝดอีกสองคนที่กำลังจะมาเกิดในอีกห้าปีนับจากที่พ่อทั้งสามตกลงคบหาดูใจกันอย่างเป็นทางการ
ซึ่งก็คือวันนี้ นี่เอง
“ขอบใจนะที่เป็นห่วงพี่
พี่จะพยายามทำตามที่เราบอกให้ได้ก็แล้วกัน” คำพูดของอีกฝ่ายทำให้หนุ่มวิศวะยิ้มได้ทั้งตาและปากเป็นครั้งแรกหลังจากเผลอคิดถึงกังฟูจนหดหูไปชั่วครู่
“ไม่ต้องห่วงครับ
คนกลางเชื่อว่า... ต่อไปพี่ต้องทำได้แน่ๆ” พลุยืนยันหนักแน่นตามภาพอนาคตที่ตนหยั่งรู้ แม้แดดดี๊ของพวกเขาจะพูดน้อยเมื่อเทียบกับพ่อฟูและป๊ะป๋า
ทว่าแดดดี๊จะยิ้มให้กับลูกๆได้อย่างสดใสและเจิดจ้าไปเสียทุกครั้งจนพวกเขากลายเป็นเด็กยิ้มง่ายตามรอยแดดดี๊ด้วงไปโดยปริยาย
“ไปเอาความมั่นใจมากจากที่ไหนนักหนาฮึเรา?”
“คนกลางรู้ก็แล้วกัน”
คำพูดคำจาน่าฟัง กับท่าทางมั่นอกมั่นใจของอีกฝ่ายทำให้วิญญูเผลอลูบหัวคนกลางอย่างเอ็นดูก่อนจะผละออกโดยเร็วด้วยไม่อยากให้เต๋อเข้าใจผิดว่าเขาแอบหื่นใส่หนุ่มรุ่นน้องดังเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อวาน...
เขาไม่ได้หื่นจริงๆนะ
เขาแค่วูบไปเฉยๆ
“ไปนั่งกันเถอะ
เมื่อกี๊พี่เห็นพวกฌานนั่งอยู่ตรงโน้นพอดี” ด้วงชวนพลางเร่งฝีเท้าเดินนำแฝดผมทองเพื่อเว้นระยะห่าง
ระหว่างทางเดินไปยังโต๊ะที่เหล่ารุ่นน้องต่างคณะจับจองอยู่
“พี่เต๋อ...
พี่เต๋อมาตั้งแต่เมื่อไรกันครับ?” สกลร้องเสียงหลงทันทีที่เงยหน้าขึ้นจากจอมือถือแล้วพบกับสายตาจับผิดของรุ่นพี่ร่างหมีที่ยืนค้ำหัวพวกตนอยู่
“ทำไม?
พวกมึงแอบทำอะไรกันอยู่เหรอ ถึงได้เห็นหน้ากูแล้วตกใจเหมือนเห็นผีกันแบบนี้?” ท่าทางมีพิรุธหลุดสาวแตกของหนุ่มหน้าแว่น
กับใบหน้าซีดเผือดไม่เหลือสีเลือดของฝาแฝดทำให้เต๋อติดใจจนไม่อาจปล่อยวางได้
“เปล่า
เปล่าครับ... ไม่มีอะไรเลยครับ” รุ่นน้องหน้าแว่นบอกปัดปากคอสั่น พลางแอบเคลื่อนย้ายโทรศัพท์จอสีถ่ายรูปได้อันมีศักดิ์เป็นของกลางไปซ่อนไว้ด้านหลังอย่างช้าๆ
ซึ่งอากัปกิริยาเจี๋ยมเจี้ยมผิดธรรมชาติของสามหนุ่มยิ่งกระตุ้นความสงสัยของตรินได้เป็นอย่างดี
“แล้วนั่นพวกมึงดูอะไรกันอยู่?”
“โอ๊ยยยยย! จะดูอะไรกันล่ะครับ ไม่มีอะไรสักหน่อย...
เนอะ เนอะ พี่ฌานเนอะ” สกลพยายามขอความช่วยเหลือของแฝดพี่ผู้มากบารมีเพื่อหวังให้อีกฝ่ายช่วยปิดบัญชีกับรุ่นพี่ร่างหมีก่อนที่เรื่องทั้งหมดจะบานปลายไปใหญ่โต
“อืม...
ไม่มีอะไรจริงๆครับ พอดีเมื่อกี๊พวกเราเช็คฟีดในเฟสบุคแล้วก็คุยกันติดพันไปหน่อย
พอพี่เต๋อเข้ามาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียงพวกเลยตกใจเป็นปกติแหละครับ”
ฌานเอ่ยนิ่งๆอย่างไม่หลุดมาดจนเต๋อเกือบจะเชื่อสนิทใจ... หากไม่มาพลาดตกม้าตายง่ายๆด้วยน้ำมือของสมุนเลวหน้าใหม่ผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรกับเขาสักอย่าง
“จะไม่มีอะไรได้ยังไงกันพี่ฌาน?!!... ก็นี่ไง รูปพี่เต๋อในเพจคิวท์บอยนี่ยั...
เอ้ย!อายอะอิดอากอั๊นอำไอเอ้า!!” อิ๊กเฉลยความให้แก่รุ่นพี่ร่างหมีได้รับทราบโดยเท่าเทียม
แต่ยังไม่ทันที่ร่างบางจะได้โชว์กร่างอย่างเต็มร้อย... ริมฝีปากบางจ๋อยก็ถูกฝ่ามือหนาของแฝดน้องเซนเซอร์เสียงออกอากาศเอาไว้เสียก่อน
อดีตเดือนบริหารผู้ทำหน้าที่เบิกเนตรให้กับกังฟูเมื่อราวๆครึ่งชั่วโมงก่อน
ก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ประกาศศักดาคิวท์บอยสดๆร้อนๆของทั้งเต๋อและด้วงได้อย่างดีเลิศ...
หากแต่บทพูดของอคิราในครั้งนี้
กลับมีดีกรีทำลายล้างไม่ต่างจากการวางระเบิดใส่ค่ายของตัวเองไปเสียฉิบ
เรื่องราวในครั้งนี้สอนให้เหล่าสมุนเลวยุคบุกเบิกได้รู้ว่า...
คบเด็กสร้างบ้าน คบอดีตเดือนบริหารสร้างเรื่องให้แท้ๆทีเดียว
“ไม่มีอะไรหรอกครับพี่เต๋อ
พี่เต๋อนั่งก่อนเถอะ” ฌอนรีบแก้ลำ แต่นั่นกลับไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลยสักนิด
“ไอ้สัดกล
ถ้ามึงไม่อยากเจ็บตัว
ส่งมือถือเครื่องนั้นมาเดี๋ยวนี้!!” เต๋อย่างสามขุมเข้าหาหนุ่มหน้าแว่นที่กระถดตัวหนีแท่ดๆไปตามม้านั่งยาวในโรงอาหาร
“ผมบอกว่าไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไรสิครับพี่เต๋อ”
ฌานเอาตัวเข้าบังเพื่อนสนิทแล้วส่งสายตากดดันอีกฝ่าย ทว่าบารมีที่เคยใช้ได้ผลในยามปกติถึงกับสิ้นฤทธิ์เมื่อเจอตรินในโหมดหงุดหงิดเข้าเส้น
“เอามาไอ้ตัวบอส!” กัปตันตรินคำรามเสียงดัง แต่ร่างทรงหนุ่มก็ยังไม่เปลี่ยนใจ
“ไม่ครับ!”
“หึ! ไม่ให้ใช่ไหม... ได้! กูดูเครื่องกูก็ได้!” สิ้นคำ เต๋อก็กดเรียกเพจคิวท์บอยขึ้นมาบนหน้าจอมือถือของตน
แต่ยังไม่ทันได้ลากสายตาอ่านเนื้อหาหรือรูปภาพใดๆตามลายแทงที่ได้จากอิ๊ก แฝดพี่ก็ออกคำสั่งเรียกหน่วยจู่โจมพิเศษให้เข้าปฏิบัติหน้าที่เสียก่อน
“สกล!
ปลดอาวุธ!”
“ฮะว๊ากกกกก!!
พี่เต๋ออออออ... ผมขอโต๊ดดดดดด!!”
สกลตะโกนเรียกขวัญและกำลังใจพลางกระโดดเข้าชาร์จแขนข้างหนึ่งของเต๋อในจังหวะเดียวกันกับร่างทรงหนุ่ม
ทั้งคู่ต่างทุ่มเทแรงกายยื้อแย่งโทรศัพท์แสนแพงของรุ่นพี่อย่างมุ่งมั่น
แต่หนุ่มร่างหมีกลับดึงดันแถมยังต่อสู้ขัดขืนจนถึงที่สุด
สถานการณ์ตึงเครียดดังกล่าวดำเนินไปเพียงชั่วอึดใจ
ก่อนที่มือถือจะทนไม่ไหว กระโดดแผล็วออกจากมือของเต๋อจนได้
แต่แทนที่อุปกรณ์สื่อสารรุ่นใหม่จะตกกระทบพื้นให้ทั้งสามหนุ่มได้ใจเสีย
ด้วงผู้เพิ่งตามมาสมทบก็ช้อนเครื่องโทรศัพท์เจ้ากรรมขึ้นก่อนร่อนสู่พื้นได้อย่างพอดิบพอดี
ผู้มีพระคุณต่อไอโฟนรุ่นล่าสุดสไลด์หน้าจอที่เปิดค้างไว้แล้วดูรูปทั้งหลายด้วยความสนใจ...เพียงไม่นาน
ก่อนจะโก่งคอร้องเสียงหลงอย่างกับโดนน้ำมนต์พ่นใส่ตา
“ซวยแล้วเต๋อ!”
“ซวยอะไรวะ?
มึงไม่เห็นเหรอว่าแค่โดนไอ้เหี้ยสองตัวนี้กอด กูก็ซวยจะแย่อยู่แล้วเนี่ย”
เจ้าของชื่อที่ด้วงเรียกตะโกนโต้อย่างเหลืออด... จะมีอะไรที่เลวร้ายไปกว่าการถูกรุ่นน้องร่วมคณะเล่นงานจนหมดท่าได้อีกล่ะ?!
“มีรูปมึงจับมือกับคนเล็กแปะหราอยู่หน้าเพจคิวท์บอยมหาลัยด้วยว่ะ”
“ห๊ะ?! จริงดิ?”อารามตระหนกถึงขีดสุดกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน
ตรินก็สามารถกำจัดทั้งฌานและสกลทิ้งได้ว่องไวยิ่งกว่ากระพริบตา ร่างหมีปรี่เข้าไปหารูมเมทด้วยสีหน้าเดือดร้อนจนคนฟังยื่นโทรศัพท์คืนให้พร้อมกับหลักฐานประกอบคำพูด
“มึงดูเองก็แล้วกัน”
“เฮ่ย!! ซวยแล้ว!... ฟูจะเห็นหรือยังวะเนี่ย?”
เด็กเต็กปีสามถึงกับหน้าถอดสีเมื่อเห็นภาพที่มือดีแอบถ่ายจังหวะที่เขาช่วยประคองรุ่นน้องหัวแดงที่เดินเซเมื่อวาน...
ไอ้ประโยคที่เขียนกำกับเหนือรูปนี่มันหมายความว่าอะไร?!!
ใครควงใคร?
แล้วใครจะซัดลูกตุงตาข่ายใคร?
อะไร?...แค่จับมืออีกฝ่ายด้วยความบริสุทธิ์ใจเดี๋ยวเดียวก็กลายเป็นประเด็นให้พูดเล่นกันสนุกปากเลยเหรอวะ?!!
อย่าให้รู้เชียวว่าฝีมือใครถ่าย
ฝีปากใครเต้าข่าวมั่วซั่ว... เขาจะตามไปรัวหมัดใส่จนเดินไม่เป็นอีกเลย
ส่วนไอ้สามสี่พันกว่าคนที่เข้ามากดไลค์
แล้วเมนท์สนับสนุนกันไปใหญ่โตนี่ก็เหลือเกิน...
อยากให้ผู้ชายเดินทางสายสีม่วงกันนักหรือไง?...
ก่อนจะทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่...
มาถามความสมัครใจของเขาก่อนได้ไหมวะ?!!
แล้วถ้าคนอื่นรู้กันทั่วราวกับเป็นวาระแห่งชาติ
กังฟูจะพลาดข่าวนี้ไปได้อย่างไรกัน?!! บรรลัยแล้วไงไอ้เต๋อ!!
“คงยังมั้ง
ปกติฟูไม่เข้าเพจพวกนี้หรอก... มึงอย่าเพิ่งคิดมากไปเลย” วิญญูรีบปลอบหนุ่มร่างหมีที่ดูใกล้จะเป็นลมอยู่รอมร่อ
“นั่นสิครับพี่เต๋อ อย่าเพิ่งวิตกไปเลยนะครับ” ฌานผสมโรงพลางส่งสายตากำชับน้องชายฝาแฝดให้ควบคุมความประพฤติของอคิราอย่างเข้มงวดเป็นพิเศษ
“งานนี้กูตายแน่ๆว่ะด้วง
ถ้าฟูเห็นรูปนี้...กูได้หลุดจากวงจรชีวิตฟูแหงๆ” เต๋อทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดเรี่ยวแรงเมื่อเผลอคิดไปถึงปฏิกิริยาของร่างเล็ก
ถึงทางนั้นจะยังไม่ตอบรับความรู้สึกของเขา... แต่คนเอาแต่ใจและต้องการเป็นที่หนึ่งอย่างกังฟู
ไม่มีทางรับเรื่องชู้สาวของเขากับบุคคลที่สามได้เป็นอันขาด ถึงเรื่องนั้นจะเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดก็เถอะ
“อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ดิวะ
ใจเย็น... กินข้าวก่อน ไหนมึงบอกว่าไม่ชอบเข้าเรียนสายไง” คิวท์บอยหน้าหยกยกเรื่องความรับผิดชอบขึ้นมาโน้มน้าวอีกฝ่ายจนได้สติชั่วคราว
“เออๆ”
“เอ่อ
พี่เต๋อพี่ด้วงครับ... เย็นนี้พวกพี่ๆมีเรียนหรือเปล่าครับ?” หลังจากรุ่นพี่ทั้งสองจัดการอาหารเช้าจนหมดจาน อิ๊กที่พ้นโทษทัณฑ์บนชั่วคราวก็ออกโรงเกริ่นตามแผนการ
“ก็ไม่นะ
เพิ่งอาทิตย์แรก อาจารย์ยังไม่ได้เครียดอะไรมาก ทำไมเหรออิ๊ก?” ด้วงรวบตอบคำถามแทนเต๋อแบบเบ็ดเสร็จ ซึ่งคำตอบดังกล่าวคือสิ่งที่ทั้งหมดได้คาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้าเป็นที่เรียบร้อย
อคิราจึงสามารถดำเนินการต่อได้อย่างราบรื่น
“คือ
วันนี้ตารางเรียนอิ๊กยังแน่นเอี๊ยดอยู่เลยอ่ะครับ
ฝากพี่เต๋อกับพี่ด้วงมารับแฝดที่ห้องสมุดแล้วพากลับห้องก่อนหกโมงเย็นได้ไหมครับ?”
อดีตเดือนมหาลัยกัดปากพลางแสดงสีหน้าลำบากใจอย่างล้นเหลือ... กระนั้น กลับไม่มีทางเลือกอื่นให้กับรุ่นพี่ได้เลือกตัดสินใจแต่อย่างใด
“ทำไมต้องก่อนหกโมงด้วยล่ะ?”
วิญญูที่ดูจะประคองสติได้ดีกว่าเต๋อหลายเท่าเหมาหน้าที่ในการโต้ตอบกับน้องโรงเรียนเอาไว้กับตัวแต่เพียงผู้เดียว
“อ๋อ
คืออิ๊กให้เบอร์ห้องพี่เต๋อกับที่บ้านของคนกลางกับคนเล็กเอาไว้น่ะครับ ตอนหกโมงเย็น...ทางโน้นเขาจะโทรมาเช็คว่าน้องอยู่ที่นี่กับอิ๊กจริงหรือเปล่า
อิ๊กเลยต้องรบกวนพี่เต๋อกับพี่ด้วงเป็นธุระให้หน่อยน่ะครับ”
“มึงโอเคตามนี้ไหมวะเต๋อ?”
หนุ่มวิศวะใช้ศอกกระทุ้งชายโครงร่างสูงใหญ่ที่นั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ข้างๆเพื่อขอความเห็นชอบ
“เออ...
กลับห้องเร็วๆก็ดีเหมือนกัน กูไม่มีอารมณ์จะทำห่าอะไรอีกแล้ว” ฝ่ายที่วิญญาณหลุดออกจากร่างไปตั้งแต่เห็นรูปชวนเข้าใจผิดของตัวเองในเพจคิวท์บอยนั่งตาลอยแล้วเอ่ยตอบเสียงอ่อย
“งั้นอิ๊กฝากแฝดด้วยนะครับ...
ขอบคุณมากครับ” ได้ยินดังนั้น อดีตเดือนบริหารผู้ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับผู้ใดในที่นี้จึงปิดจ็อบของตัวเองลงอย่างสวยงามตามท้องเรื่อง
ก่อนจะชำเลืองมองหน้าแฝดน้องสุดหล่อเพื่อทวงขอคำชมโดยไม่ได้ใส่ใจกับประโยคที่ตามมาของด้วงเท่าไรนัก
“ไม่เป็นไรหรอก
เรื่องแค่นี้เอง... ยังไงน้องก็ต้องกลับไปนอนที่ห้องไอ้เต๋อมันอยู่แล้ว... เนอะมึง!” วิญญูสอดแขนล็อคแผ่นหลังร่างหมีแล้วฉุดให้อีกฝ่ายลุกขึ้นพร้อมๆกัน
ก่อนจะตบหลังตรินหนักๆเพื่อเรียกสติ
“เออๆ”
“เฮ่ย! มึงอย่าซึมดิวะเต๋อ กูไม่ชินนะเว่ย!” ด้วงกระตุ้นพลางหมุนตัวออกเดินนำจนอีกฝ่ายต้องลากขาตามอย่างเสียไม่ได้ แต่เพราะเต๋อยังซึมกะทือทำท่าบื้อใบ้ไม่เปลี่ยน
หนุ่มวิศวะจึงเริ่มจะเวียนหัวเพราะไม่เหลือตัวช่วยมากนัก...
ซึ่งเขาหวังว่า มาตรการล่าสุดของเขาจะได้ผล “ถ้ามึงไม่เลิกติ๋ม กูจะให้ไอ้พวกนั้นเรียกมึงว่าเณรแทนเต๋อดีป่ะ?”
“เฮ่ย!! ไม่ได้นะเว่ย!” ตรินแหวเสียงดังจนด้วงอดหัวเราะไม่ได้
“หึ
หึ หึ ก็แล้วมึงจะหายบ้าได้รึยังล่ะ?”
“เออๆ! หายแล้วก็ได้วะ... อย่าได้คิดเสี้ยมไอ้พวกนี้เชียวนะมึง!” หนุ่มร่างหมีผลักหัวรูมเมทร่วมเตียง ก่อนจะเบี่ยงแขนพาดลงบนบ่าหนา
แล้วจึงกอดคอพาวิญญูเดินออกจากโรงอาหารไปโดยไม่สนใจใคร จนสกลอดรนทนไม่ได้ ถึงกับต้องส่งเสียงประท้วงลอยลมตามไปแทบไม่ทัน
“อ้าว!
แล้วน้องนุ่งนี่ไม่คิดจะสนใจกันหน่อยหรือไงครับคุณพี่ด้วง พี่เต๋อ?...เฮ่ย! กลับมาเอาคนกลางกับคนเล็กไปด้วยดิพี่!”
“ไม่เป็นไรครับ
เดี๋ยวพวกเราวิ่งตามพี่เต๋อกับพี่ด้วงไปเอง... ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ” คนกลางฉวยข้อมือน้องแล้วออกวิ่งดุ๊กๆตามคุณพ่อทั้งสองไปอย่างรวดเร็ว
แต่ก่อนที่ร่างบางทั้งสองจะทิ้งระยะห่าง
แฝดพี่ก็ตะโกนสั่งความกับร่างเล็กที่วิ่งหันรีหันขวางมองหน้าสลับหลังอยู่เป็นพักๆทันที
“ตัวเล็ก...
ค่อยๆวิ่งนะครับ!!”
“ครับฌาน!!” พลับทำท่าคุยโทรศัพท์กำกับเสียงตะโกนรับปากตอบฌาน
“แหน่ะ! พี่ฌานส่งซิกอะไรกับคนเล็กอ่ะครับ?...
ผมเห็นนะ!” สกลหรี่ตาพลางยกนิ้วขึ้นชี้หน้าเพื่อนผู้มากบารมี แต่มีหรือที่ฌานจะยอมรับง่ายๆ...
ถ้าต้องปล่อยให้อีกฝ่ายได้รู้เรื่องความสัมพันธ์อันซับซ้อนของตนกับพลับ
คงต้องรอให้มีเหตุผลที่ดีพอมารับรองก่อนล่ะมั้ง
“คิดมากน่าแว่น...
พี่ฌานทำอะไรที่ไหนกัน”
“แต่ผมเห็นนี่!!! เมื่อกี๊พี่ฌานส่งสายตาให้คนเล็ก... สารภาพกับผมมาดีๆนะครับว่าพี่ฌานแอบนอกใจผม!!” หนุ่มหน้าแว่นโวยวายด้วยอารมณ์เมียหลวงจับได้ว่าสามีแอบไปมีอีหนูน้อยๆก็ไม่ปาน
กระนั้นแฝดน้องกลับไม่ปล่อยให้เพื่อนหัวไข่ได้ใช้จิตวิญญาณแห่งโคนันพร่ำเพรื่อ
ลำพังต้องตกอยู่ในสถานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกทุกเมื่อที่สกลคอยเผือกเรื่องของเขากับอิ๊ก
เขาก็เหนื่อยใจมากพอดู...
ครั้นจะปล่อยให้ฌานรู้สึกกล้ำกลืนขื่นขมเหมือนอมบอระเพ็ดอย่างที่เขากำลังประสบอยู่จึงเป็นเรื่องที่ฌอนยอมไม่ได้
“หึ
หึ ช่างจินตนาการเป็นสาวน้อยวัยหวานเลยนะแนนซี่” แฝดน้องทิ้งท้ายพลางฉุดมืออคิราให้ลุกตาม
“ไปกันเถอะครับพี่ชาย วันนี้พวกเรามีงานที่ต้องทำกันอีกเยอะเลย” ขาดคำ ฌอนก็กอดคออิ๊กแล้วเดินนำพี่ชายฝาแฝดไปโดยไม่เหลียวหลังหรือสั่งเสียให้ร่ำไร
“อืม
ไปกันเถอะ” เมื่อนึกถึงสิ่งละอันพันละน้อยมากมายที่รอให้พวกเขาทั้งหมดไปจัดเตรียมก่อนที่ละครจะปิดฉากลงในช่วงเย็นของวัน
ฌานจึงรับคำง่ายๆแล้วลุกเดินตามไปโดยไม่อิดออด
ฝ่ายสกลก็ถึงกับกัดฟันกรอดเมื่อใครๆต่างพร้อมใจกันทำท่าเพิกเฉยใส่
คล้ายกำลังปกปิดเรื่องใหญ่ให้รอดพ้นจากสายตาของเหยี่ยวข่าวฝีปากกล้าอย่างเขา
“เดี๋ยว! พี่ฌาน! พี่ฌานจะชิ่งผมไปกับชาวนาและไอ้งูเห่าปากเปราะไม่ได้นะครับ!! กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน!!” หนุ่มหน้าแว่นส่งเสียงโหวกเหวกดังลั่นพลางออกวิ่ง
พร้อมกับตั้งปณิธานกับตัวเองอย่างจริงจังว่า เขาจะหาทางเปิดโปงความลับนี้ให้จงได้!!
Ħ------------------------------------ TBC ------------------------------------Ħ
บทสนทนาของเหล่าชายสี่หมีไม่เกี่ยวเมื่อราวๆวันสองวันก่อน :
“โหย!
ไม่อยากจะเชื่อเลยนะครับว่าคุณกรกฏจะกลายเป็นซินเดอเรลลาตกถังข้าวสารในชั่วพริบตา...
.
.
...อีกไม่นานก็จะมีแฟนหล่อลากแถมยังรวยไม่ปรึกษาใครทีเดียวตั้งสองคนแบบนี้
ผมว่า...คุณกรกฏไม่ต้องเรียนให้เหนื่อยแล้วก็ได้ครับ
ออกไปนอนกระดิกขานับเงินสามีทั้งสองอย่างเดียวก็อยู่ได้อีกเป็นสิบๆชาติ”
“นั่นก็เว่อร์ไปนะสกล พี่ฌานว่า... ถ้าไม่ใช่สกล คงไม่มีใครอยากงอมืองอเท้ากินๆนอนๆโดยไม่ทำอะไรเลยหรอก”
“แหม่! พี่ฌานก็ ทำมาเป็นว่าน้อง
จริงๆตอนพี่ฌานรู้ว่าคุณกรกฏจะมีแฟนถึงสองคน พี่ฌานก็ตกใจเหมือนกันใช่ไหมล่ะครับ?
ผมรู้ทันหรอก”
“อืม... พี่ฌานก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าสุดท้ายแล้วทั้งพี่เต๋อและคุณพี่ด้วงจะได้ลงเอยกับเฮียฟู...
.
...ขนาดยังไม่ทันได้เป็นแฟน สองคนนั่นยังเที่ยวแย่งเฮียฟูกันแทบตาย...
...นี่ถ้าลองได้ร่วมหัวจมท้ายกันสามคนจริงๆ จะไม่ยิ่งทะเลาะกันบ้านแตกวันเว้นวันเลยเหรอ?”
“อิ๊กว่าพวกพี่เต๋อพี่ด้วงอาจจะไม่ทะเลาะกันก็ได้นะครับพี่ฌาน...
.
...ถึงเวลานั้นแล้ว พวกพี่ๆอาจจะตกลงกันได้ก็ได้ว่า ใครเอาท่อนบนไป
ใครเอาท่อนล่างไป คึ คึ คึ”
“เฮ่ย! ใครใช้ให้พูดเรื่องแบบนี้โต้งๆกันคุณ?!!”
“ทำไมฉันจะพูดไม่ได้?!! โตจนหมาเลียไข่ไม่ถึงกันหมดทุกคน
แล้วทนจะแอ๊บใสไม่ประสาให้ได้อะไรขึ้นมากันล่ะนาย...
.
...ฉันว่านายก็อยากรู้เหมือนกันน่ะแหละว่า ถ้าฮอร์โมนมันพลุ่งพล่านซ่านกระเซ็น
สามคนนั่นจะเย็บกันเน้นๆด้วยท่าไหน...
...เพราะขนาดฉันยังสงสัยเลย คุ คุ คุ”
“ป๊าดดดดด! นี่ถือเป็นหัวข้อแรกที่ผมเห็นพ้องต้องกันอย่างเป็นเอกฉันท์กับงูเห่าเลยนะครับเนี่ย...
.
...ผมก็สงสัยเหมือนกันครับคุณอิ๊ก ติดอยู่ที่ว่า... ผมดันไม่เคยมีประสบการณ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม
ผมเลยไม่สามารถออกความเห็นอะไรได้”
“ถ้านายอยากรู้อะไรก็ถามฉันได้เลย...
.
...ฉันน่ะทฤษฎีแน่นปึ๊ก แถมภาคปฏิบัติยังโชกโชนและช่ำชองเป็นที่ซู๊ดดดดด
คึ คึ คึ”
“อ่ะแฮ่ม!”
“คึ คึ คึ ไม่ต้องน้อยใจไปนะครับหนองฌอน... เดี๋ยวไว้วันไหนว่างๆ
พี่อิ๊กนี่จะติวหลักสูตรเร่งรัดให้หนองฌอนเอง”
“ถ้างั้นเรามาเริ่มติวกันเดี๋ยวนี้เลยดีไหมครับอิ๊ก ฌอนกำลังว่าง...อยากหาอะไรทำอยู่พอดี”
“ใจเย็นหนองฌอน! วันนี้ขอพี่อิ๊กปาฐกถาธรรมกับสหายผู้ร่วมอุดมการณ์ก่อนก็แล้วกันนะ”
“ผมแน่ใจเป็นอย่างยิ่งครับว่า เรื่องของคุณกรกฏจะต้องเป็นที่เล่าขานสืบไปตราบจนชั่วลูกชั่วหลานแน่ๆ...
.
...ใครมันจะไปคิดว่า คนที่เกลียดเกย์เข้าไส้อย่างคุณกรกฏจะได้แฟนเป็นผู้ชายทีเดียวตั้งสองคน
เนอะ...งูเห่าเนอะ”
“ใช่ๆ โบราณเขาถึงได้ว่า เกลียดอะไรจะได้อย่างนั้น... สมน้ำหน้า อยากด่าคนอื่นเอาไว้เยอะดีนัก!!”
“อีกนิดก็ตัวโกงแล้วนะคุณน่ะ”
“จิ๊! อย่าเพิ่งมานายหัวใส่ได้ป่ะ? อีกห้านาทีค่อยตบจูบนะ... ขอฉันเม้าท์เดี๋ยว”
“ใช่ๆ หลบไปไกลๆเลยยิ่งดี ยายหมีจะเม้าท์มอย ยายมอยจะเม้าท์หมี...
และ ฌอน ศรี ไม่ เกี่ยว!”
“นี่ๆๆๆ แนนซี่... นายว่าระหว่างพี่เต๋อกับพี่ด้วง ใครจะได้เปิดซิงเย็บไอ้ตั่วเฮียก่อนกัน?”
“ผมว่าต้องเป็นพี่เต๋อแน่ๆครับ... ก็พี่เต๋อแกออกจะมาดแมนสุดเฉียบเนี๊ยบหนิงขนาดนั้น...
.
...ถ้าผมเป็นคุณกรกฏ รับรองว่าคงได้แอ๊บแข้งขาอ่อนเปลี้ยเสียการทรงตัวใส่แกไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วแหละ”
“แว่นนนน... ออกตัวแรงไปรึเปล่า?!...
.
...พี่ฌานว่าแว่นเก็บอาการหน่อยก็ดีนา พี่เต๋อน่ะว่าที่แฟนเฮียฟูนะเว่ย
รู้ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
“บ้า! พี่ฌานนี่ล่ะก็ พูดอะไรก็ไม่รู้!!...
.
...อย่าหึงน้องออกนอกหน้านักเลยครับ เดี๋ยวน้องก็เสียหายกันพอดี”
“เฮ่อ! หึงกับปลงสังเวชมันไม่เหมือนกันหรอกนะแนนซี่
เอาแต่คิดเรื่องแบบนี้สินะ คนอื่นถึงได้ชอบบอกว่าแนนซี่ไม่มีสมอง”
.
.
.
.
.
.
.
.
“ยิ่งฌอนศรีพูดจาร้ายกาจกับผมเหมือนเมื่อกี๊มากเท่าไร
ผมก็ยิ่งอิจฉาคุณกรกฏจนชักจะทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วล่ะครับ”
“นี่นายโดนฌอนว่าจนบ้าไปแล้วเหรอแนนซี่? ฌอนพูดไม่ดีกับนายแล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับอิจฉาไอ้ตั่วเฮียมันด้วยล่ะ?”
“ก็ถ้าผมมีแฟนล่ำๆแบบพี่เต๋อกับคุณพี่ด้วง ผมก็จะควงแฟนมาถล่มอ้ายอีที่มันทำร้ายผมจนสาสมใจยังไงละครับ...
หึ หึ หึ”
“ลำพังแค่จะหาแฟนสักคนยังแทบเป็นไปไม่ได้ สงสัยชาตินี้แว่นคงจะไม่ได้แก้แค้นแล้วล่ะมั้ง...พี่ฌานว่านะ”
“โห! ไม่ดูถูกน้องเกินไปหน่อยเหรอครับพี่ฌาน?...
.
...คอยดูเถอะ... ถ้าน้องมีแฟนกับเขาเมื่อไร พี่ฌานนั่นแหละที่ต้องร้องไห้น้ำตาเช็ดหัวเข่า!”
“ถ้าแว่นมีแฟน ชีวิตของพี่ฌานจะอาภัพอับโชคขนาดนั้นเลยเรอะ?”
“ก็ใช่น่ะสิครับพี่ฌาน... พี่ฌานไม่รู้หรอกว่าตัวเองกำลังคัฟเวอร์พวกไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาอยู่”
“งั้นแว่นก็รีบมีแฟนให้ไวเลยนะ พี่ฌานตั้งตารอร้องไห้มาจะสองปีแล้วเนี่ย”
“พี่ฌานใจร้าย! พี่ฌานไม่รักน้อง!”
“เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้วแว่น”
“หึ! จะมาแก้ตัวบอกว่ารักน้องตอนนี้
น้องก็ไม่ใจอ่อนคืนดีกับพี่ฌานง่ายๆหรอกนะครับ”
“พี่ฌานไม่ได้จะแก้ตัว... พี่ฌานแค่อยากจะบอกว่า ไม่ใช่แค่พี่ฌานหรอกที่ไม่รักแว่น
ทุกๆคนไม่รักแว่นเลยต่างหาก”
“จริง!/ ฌอนศรี!!!!”
“หมดห้านาทีแล้วคุณ ผมจูบคุณได้หรือยัง? / บ้า!... ไปหาที่เหมาะๆ ก่อนเซ่!!! / ฌอนศรี! กล้าเมินผมเร๊อะ?!!!!!”
“หมดห้านาทีแล้วคุณ ผมจูบคุณได้หรือยัง? / บ้า!... ไปหาที่เหมาะๆ ก่อนเซ่!!! / ฌอนศรี! กล้าเมินผมเร๊อะ?!!!!!”
No comments:
Post a Comment