Monday, November 9, 2015

Ħ บน บาน ศาล รัก Ħ The 35th Blessing || 09.11.2015



ตอนนี้ยาวค่ะ... ยาวที่สุดแล้ว
(แต่ยังไม่ได้เขียนตอนจบ เลยบอกไม่ได้ว่าตอนหน้าจะยาวกว่านี้หรือเปล่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า)
ขอให้อ่านกันอย่างมีความสุขนะคะ และอย่าลืมว่า...
ตอนหน้าจะเป็นตอนจบของภาคนี้... แต่!!! เรื่องนี้จะลาโรงไปในตอนที่ 39 ค่ะ
(เพราะจะมีตอนอธิบายเรื่องราวต่างๆของภาคนี้อีกสามตอน ซึ่งจะสั้นหรีอยาวนั้น คงต้องตามลุ้นกันอีกที)
ขอให้อ่านตอนก่อนจบนี้อย่างมีความสุขนะคะ

ก่อนไป... เราฝากเพจอีกดีกว่า
เผื่อใครตามลิงค์ใน FB จะได้คลิกลิงค์ทีเดียวแล้วตามอ่านได้เลยค่ะ ^^


เราขออนุญาตลงความเห็นข้างล่างนี้นะคะ (บวกเป็ดและโหวตให้ทุกท่านเรียบร้อย ^ ^)
(เรารู้แล้วค่ะว่าการโปรโมทเพจ ทำให้โค้ดสับสน...
เอาไว้ไปแก้กันที่ภาคสองแล้วกันนะคะ เค้าขอโทษษษษษ!)
รักคนอ่านทุกคนเหมือนเดิมค่ะ!!!



Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ



The 35th Blessing        
กำเนิด 3P... พี่นี้กรีดร้องเบยยยย!!




หลังจากที่เจ็ดหนุ่ม อันได้แก่กังฟู เหล่าสมุนเลวทั้งห้าและตัวแถมจากคณะบริหารอีกหนึ่งเดินเรียงแถวเข้าไปจับจองพื้นที่ภายในกล่องเหล็กสี่เหลี่ยมเพื่อต่อสู้กับแรงโน้มถ่วงระหว่างกรีฑาทัพขึ้นไปยังเพนท์เฮาส์ชั้นบนสุด กังฟูก็ยิงคำถามลอยๆเข้ากลางเป้าเหล่าสมุนเลวให้สุ่มตอบกันแทบไม่ทัน...

จริงอยู่ แม้รุ่นพี่จากต่างคณะจะไม่อยากเอาไม้สั้นไปรันขี้
ทว่าพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยก็ทนเก็บความแปลกใจเอาไว้ไม่ได้...

ทุกทีเด็กเต็กกลุ่มนี้ต้องกระเตงกันไปไหนต่อไหนคล้ายนกเอี้ยงทั้งฝูงรุมเกาะควายตัวเดียวแท้ๆ...
แต่เพราะเหตุใด  ช่วงเลิกเรียนวันนี้... แฟนใหม่น้องชายถึงได้ยืนเก้ๆกังๆรอพวกเขาพี่น้องอยู่ข้างล่างคณะเพียงลำพังโดยไร้เงากลุ่มลิงค่างคอยเฝ้าประคบประหงมตามปกติได้ก็ไม่รู้


“นี่พวกมึงเลิกเรียนเร็วกันเรอะ? ทำไมพวกมึงไม่โผล่หัวมารอกูพร้อมกับบูบู้มันล่ะ?”


กระนั้น... การตีรวนจนขบวนเสียตั้งแต่ประโยคเบิกฤกษ์ซึ่งถูกตีโต้กลับมาโดยไม่ต้องตั้งตารอ
ก็ช่วยทำให้รุ่นพี่ร่างเล็กซึ้งแล้วว่า... ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลาย เขาจะไม่หลวมตัวโน้มหน้าลงต่ำไปให้หมาหน้าแว่นเลียปากจนชีช้ำอีกเป็นอันขาด


“พวกเราจะอยู่รอคุณกรกฏไปเพื่ออะไรกันล่ะครับ ในเมื่อพวกเราก็ต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนมาที่นี่กันเองอยู่แล้ว?...
...อีกอย่าง  พวกเราไม่กล้ารบกวนคุณกรกฏกับพี่หมีและเพื่อนบูบู้หรอกครับ...
.
.
.
...รถก็คันแค่นั้น ถ้าจะยัดกันมาให้หมด สงสัยว่าคุณกรกฏคงต้องเกาะหลังคามานั่นแหละครับ” เรื่องอะไรที่สกลจะยอมรับกับอีกฝ่ายตามตรงล่ะว่า ที่จริงแล้ว...เหล่าสมุนเลวอพยพทั้งสี่แอบหนีเรียนมาขลุกกันที่ห้องของหนุ่มรุ่นพี่ตั้งแต่เมื่อตอนบ่ายสามเพื่อลงมือลงแรงตกแต่งห้องให้สวยงามตามท้องเรื่องที่วางเอาไว้

“โว้ย!! ไอ้สัดแนน! กูไม่ได้ถามเพราะจะเสนอให้พวกมึงนั่งรถมาด้วย...
...กูแค่สงสัยว่าทำไมกูถึงไม่เจอมึงที่คณะตอนที่กูขับวนไปรับบูบู้มัน!” กรกฏบ่นอย่างหัวเสีย “ช่างเหอะ! แค่พวกมึงมาพร้อมหน้าพร้อมตากันกูก็โอเคแล้วล่ะ”  

จังหวะที่คนพูดไล่กวาดสายตามองจิกรุ่นน้องต่างคณะเรียงตัวอย่างทั่วถึงนั้นเอง กังฟูก็ถึงกับผงะเมื่อเห็นแฟนเก่าน้องชายที่ยืนก้มหน้าก้มตากระจุกตัวอยู่ตรงมุมลิฟท์ โดยกว่าครึ่งใบหน้าหวาน ถูกแว่นกันแดดกรอบใหญ่บดบังจนดูคล้ายเซเล็บกำลังปลอมตัวเพื่อหลบหน้าปาปารัซซี่    

นานแล้วที่ไม่ได้เห็นอีกฝ่ายดูซอฟท์ใสไร้ทางสู้อย่างในตอนนี้  
อริยะตรัยผู้พี่จึงจวกคู่อริรุ่นน้องโดยไม่ต้องมีพิธีรีตรองใดๆ


“อ้าว! แล้วนั่นไอ้เหี้ยอิ๊กเป็นอะไร? เอาแต่ดูหนังโป๊เกย์จนตาเป็นกุ้งยิงหรือไงถึงได้ใส่แว่นดำในที่ร่มแบบนั้นน่ะ?...
.
...นับวันก็ยิ่งทำตัวปัญญาอ่อนขึ้นทุกทีๆเลยนะมึงน่ะ!...
...สมงสมองน่ะมีบ้างไหม? ทำไมถึงเที่ยวทำให้พ่อแม่ต้องอับอายอยู่ตลอดเลยวะ?”  รุ่นพี่วิศวะได้สัมผัสวาระกระหยิ่มยิ้มย่องราวกับถือไพ่ตองในเก้าเกอยู่เพียงชั่วเวลาประเดี๋ยวประด๋าว  เพราะทันทีที่ถ้อยคำกระแนะกระแหนของผู้ปกครองแฟนเก่าลอยเข้าหู  อคิราก็เชิดหน้ามองสูงแล้วปรับตัวเข้าโหมดพร้อมสู้รบตบมือในบัดดล

“หึ! ต้องวิปลาสอย่างตั่วเฮียเท่านั้นนะครับถึงจะคิดอะไรแบบนี้ได้” อุปสรรคที่บดบังสายตาไม่ได้ทำให้ความสามารถปั้นหน้าแสยะชวนปลายเท้ากระดิกของอิ๊กลดลงเลยสักกระผีก “แต่เอ... ที่พูดถึงเอวีเกย์เมื่อตะกี๊ แสดงว่าตั่วเฮียคิดจะเบนเข็มแล้วสินะครับ...
.
.
...อยากให้ผมสั่งให้สักเซ็ตไหมล่ะ...
...เวลาว่างๆ ตั่วเฮียจะได้ลองศึกษาท่าทางต่างๆเอาไว้แต่เนิ่นๆ? หึ!!” อิ๊กแดกนิ่มๆโดยไม่ลืมมอบรอยยิ้มหวานเลี่ยนล้อเลียนตบท้าย หางคิ้วของอีกฝ่ายจึงกระตุกตุบๆด้วยอยากจะทุบหัวอดีตเดือนบริหารขึ้นมาเสียดื้อๆ

“นอกจากปิดตาแล้ว กูว่าพวกมึงหาอะไรมาครอบปากมันไว้ด้วยก็ดี เห่าบ๊อกแบ๊กบ๊งเบ๊งไม่เป็นภาษา...
...โคตรพ่อโคตรแม่น่ารำคาญอ่ะ!

“เฮียฟูครับ ที่เฮียบอกว่าเฮียจะมาขวางพี่เต๋อพี่ด้วงกับฝาแฝดนั่น เฮียตัดสินใจจะทำยังไงเหรอครับ? แล้วพวกผมจะช่วยอะไรเฮียได้บ้างไหมครับ?” บ๊วยแทรกขึ้นเมื่อเห็นชายหนุ่มช่วงตัวสั้นทั้งสองตั้งท่าจะตะกุยเบ้าหน้าของอีกฝ่ายให้เยินกันไปข้าง...  

อีกอย่าง... เหลืออีกแค่ไม่กี่ชั้น พวกเขาทั้งหมดก็จะเหยียบย่างเข้าสู่ชั้นสูงสุดของอาคารกันแล้ว
ครั้นจะฝ่าเข้าห้องพี่รหัสไปขัดขวางแผนการของฝาแฝดโดยไร้แนวทางจากหัวหน้าขบวนการ
ลูกกระจ๊อกทั้งหมดอาจแตกกระสานซ่านกระเซ็นแล้วกลายเป็นภาระให้หัวหน้าในภายหลังเอาได้

ซึ่งดูเหมือนกรกฏจะเข้าใจเจตนาของว่าที่น้องสะใภ้เป็นอย่างดี
เพราะแทนที่จะเกรี้ยวกราดฟาดงวงฟาดงาหาเรื่องคู่กรณีให้ถึงที่สุด หนุ่มวิศวะปีสามกลับหยุดตั้งสติก่อนประกาศจุดยืนของตนอย่างชัดถ้อยชัดคำ


“มึงไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นบูบู้! พวกมึงทั้งหมดก็ด้วย... ไม่ต้องทำห่าอะไร แล้วก็ไม่ต้องพูดอะไรทั้งสิ้น!!

“อ้าว! แล้วอย่างนี้เฮียจะให้พวกเก็กยกขโยงตามเฮียมาทำไมเนี่ย?” ธันวาผู้ยืนประกบแผ่นหลังแฟนตัวน้อยไม่ห่างอาศัยช่องไฟสอดขึ้นพลางเกาหัวด้วยความงุนงง

“มึงก็ฟังกูให้จบก่อนสิวะไอ้เหี้ยเก็ก!...
.
...สัตว์สองเท้าอมตีนอย่างพวกมึงแต่ละตัวนี่ชอบอวดฉลาดกันเสียจริงๆ!!” กรกฏสบถอย่างเดือดดาลก่อนจะจาระไนความต้องการโดยละเอียดให้เหล่าสมุนเลวเข้าใจตรงกัน

“ที่กูขอให้พวกมึงมาเพราะกูต้องการเอาจำนวนเข้าข่มพวกมันหรอกเว่ย!..
.
.
...ถ้าเกิดอะไรจวนตัวขึ้นจริงๆ กูก็จะให้พวกมึงนี่แหละจับตัวไอ้แฝดหัววุ้นนั่นเอาไว้ กูจะได้คุยกับไอ้เหี้ยด้วงกับไอ้ควายเต๋อได้สะดวกๆหน่อย” กังฟูกับท่าทางหยิ่งผยองพองขนขณะแถลงนโยบายไปเมื่อครู่ดูจะกระแทกใจหนุ่มหน้าแว่นเข้าอย่างจัง  เพราะเพียงอึดใจให้หลัง สกล คนเห็นผีก็อดประชดประชันรุ่นพี่ออกมาไม่ได้

“อ่ะโห! แผนการโคตรหมาหมู่ดูตล๊าดตลาดสุดยอดเลยครับคุณกรกฏ!...
.
.
...ฟังแล้วเปรี้ยวปากอยากเล่นเป็นขี้ข้าฝั่งตัวร้ายขึ้นมาตงิดๆจริงๆนะเนี่ย!!

“เดี๋ยวมึงได้โดนตีนกูคนแรกเลยไอ้สัดแนน! กังฟูพรั่งพรูคำด่าได้อย่างลื่นไหล ทว่านั่นกลับสาแก่ใจคนฟังเป็นที่สุด

สีหน้าหลังถูกด่าทว่าไม่สลดของหนุ่มหน้าแว่นทำให้ความดันของกรกฏพุ่งปรู๊ดปร๊าด
หากไม่ติดว่าร่างทรงหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยขัดขึ้นเสียก่อน รุ่นพี่ร่างเล็กคงได้กล้อนหนังหัวสกลออกมาใช้ถูพื้นไปแล้วเป็นแน่

“เฮียฟูไม่อยากให้พวกผมช่วยอะไรมากกว่านี้จริงๆเหรอครับ?” ฌานทวนแผนการกับอีกฝ่ายให้แน่ใจอีกครั้ง “อยากให้พวกผมกันฝาแฝดออกมาจากพวกพี่เต๋อพี่ด้วง... เท่านั้นจริงๆใช่ไหมครับ?” เมื่อโดนถามจังๆหน้า คนโตกว่าก็ถึงกับนิ่งไป
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“ก็เรื่องอื่นมันไม่มีใครทำแทนกูได้นี่หว่า...
.
...พวกมันอยากให้กูขอโทษ แล้วกูจะให้พวกมึงพูดแทนได้ยังไงกันล่ะ” รุ่นพี่ต่างคณะเสหลบตาพลางสารภาพเสียงอ่อยจนชายกลางอดเป็นห่วงไม่ได้

“เฮียโอเคใช่ไหมครับ?” บ๊วยแตะท้องแขนของอีกฝ่ายเบาๆจนคนเป็นพี่ยอมเบือนหน้าหันกลับมาสบตาด้วยในท้ายที่สุด แต่แทนที่จะได้รับการเสริมกำลังใจจากรุ่นน้องผู้หวังดี  หัวหน้าพรรคมารกลับเอ่ยวจีขยี้บรรยากาศอบอุ่นระหว่างพี่น้องต่างสายเลือดเสียหมดสิ้น

“หึ! อย่าห่วงไปเลยบ๊วย ตอนนี้ตั่วเฮียคงท่องอยู่อย่างเดียวแหละว่า เสียทองเท่าหัว... ไม่ยอมเสีย ผัว ให้ใคร โฮะ โฮะ โอ๊ะอื้ออออออ!!!” เสียงหัวเราะแหลมสูงเสียดแก้วหูยังไม่ทันสิ้นสุดดี  ริมฝีปากบางขึ้นสีของหนุ่มบริหารปีสองก็โดนแฝดน้องตะปบเอาไว้ได้ทันการณ์  

ฝ่ายกังฟูที่กำลังจะอ้าปากสรรเสริญอคิราให้ได้อาย กลับเม้มปากอย่างว่องไวเมื่อกล่องโดยสารแตะชั้นสูงสุด
ก่อนจะเปิดออกสู่ปลายทางที่พวกเขาทั้งหมดตั้งใจมาเยี่ยมเยือนอย่างช้าๆ

ใบหน้าที่เคยขึ้นสีแดงจัดด้วยความโมโหโกรธาเมื่อสักครู่ กลับดูซีดเลือนเหมือนกระดาษเอสี่ในไม่กี่อึดใจ
ยิ่งเมื่อจินตนาการถึงภาพเหตุการณ์ในอนาคตอันใกล้ไปล่วงหน้า ขาทั้งสองที่เคยก้าวย่างอย่างฉับไว กลายเป็นสั่นรัวๆ ทั้งที่พยายามควบคุมความกลัวอย่างเอาเป็นเอาตาย  


“เฮียครับ... สู้ๆนะครับเฮีย” ฝ่ามือบ๊วยค่อยๆไหลลงมาบีบมือกรกฏเบาๆเพื่อส่งผ่านกำลังใจที่หาใช่เพียงวาจา  อาการหยุดนิ่งไม่ไหวติงของคนเป็นพี่ทำให้หนุ่มหล่อดีกรีเดือนมหาลัยรีบอัดฉีดกำลังใจเสริมให้พี่ชายอีกทางโดยที่อีกฝั่งไม่ต้องร้องขอ

“เฮียอย่าลืมนะว่าเฮียมีเก็ก เฮียมีบูบู้ และเฮียยังมีทุกคนอยู่ข้างๆเฮียนะ” อริยะตรัยผู้น้องตบบ่ากระตุ้นสมาชิกในครอบครัวที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งหน่อเบาๆ จนพี่ชายเกิดรู้สึกละอายที่เผลอแสดงด้านอ่อนแอโง่เขลาออกมาให้คนอื่นเห็นมากเกินพอดี

“เออ! กูรู้แล้ว ไม่ต้องย้ำหรอกน่า!” รุ่นพี่เพียงคนเดียวตัดบทด้วยการแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเพื่อกลบเกลื่อนร่องรอยของความลังเลให้เลือนลับ แล้วจึงตบเท้าก้าวออกจากลิฟท์ไปในสภาพที่ไม่มั่นใจนัก...

แต่เมื่อคิดอีกที... ครั้นจะให้เขาหักห้ามใจเอานาทีสุดท้ายแล้วหันหลังกลับห้องไปโดยไม่ได้แก้ไขอะไรสักอย่าง...
ความรู้สึกอ้างว้างและทรมานตลอดสองวันกว่าๆที่ผ่านมา ทำให้อริยะตรัยผู้พี่หมดข้อกังขากับการตัดสินใจหนนี้ไปเลยทีเดียว


“งั้นพวกเราก็เข้าไปถล่มพี่เต๋อกับคุณพี่ด้วงกันเถอะครับ ลิ่วล้ออย่างพวกผมพร้อมเต็มเหนี่ยวแล้ว... เฮ่!!!”  สกลเอ่ยพลางเดินนำหน้าพลพรรคตามหลังกังฟูออกจากตู้โดยสารเหล็กอย่างฮึกเหิม


Ħ------------------------------------------------------------------------Ħ


“พี่ถามจริงๆเถอะ เราสองคนกำลังเล่นอะไรกันอยู่?” ถึงแม้สีหน้าของวิญญูระหว่างเอ่ยคำถามดังกล่าวจะดูน่ายำเกรงผิดไปจากทุกที แต่กลับไม่ถึงเสี้ยวหนึ่งของระดับความถมึงทึงขึ้งโกรธของหนุ่มร่างหมี หลังจากที่ได้เห็นสภาพห้องของตัวเองเต็มๆตาตั้งแต่เมื่อราวๆครึ่งชั่วโมงที่แล้ว

จากเดิม...ที่ดูเรียบง่ายแถมยังสะอาดเอี่ยมเรี่ยมเร้เรไรไร้ซึ่งการตกแต่งจนเกินงาม  
ทำไปทำมา วันนี้กลับเต็มไปด้วยลูกโป่งอัดแก๊สสีหวานห้อยระโยงระยางกันจนมองไม่เห็นเพดาน...
แถมข้างฝาที่มีแค่รูปถ่ายขาวดำขนาดใหญ่เพื่อให้มองพักสายตา ดันมีลูกโป่งตัวอักษรเรียงต่อกันเป็นข้อความบอกรักประดับประดาจนดูรกหูรกตาคนบ้าความเนี๊ยบอย่างเขาไปเสียทุกตารางนิ้ว


“นั่นสิ แล้วนี่เอาเวลาที่ไหนมาแต่งห้องพี่? ไหนบอกว่าอยู่ห้องสมุดทั้งวันไง?” เต๋อคาดคั้นผ่านสายตาและน้ำเสียงเอาเรื่องจนคนฟังชักจะหน้าเสีย “ถ้ายอมสารภาพดีๆเสียตั้งแต่ตอนนี้ พี่จะยอมลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตกลงไหม?”

“พี่เต๋อกับพี่ด้วงใจเย็นๆก่อนนะครับ ฟังคนกลางกับคนเล็กก่อน เราสองคนมีเหตุผลจริงๆนะครับที่ต้องทำแบบนี้” แฝดหัวทองละล่ำละลักเพราะไม่อยากโดนว่าที่บิดาในอนาคตทั้งสองของตนเอ็ดเอาก่อนเวลาอันควร

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับไอ้ลูกโป่งห้อยย้อยเกะกะเต็มห้องพวกนี้ด้วยล่ะ? ฮึ?!...
.
...แล้วที่ไอ้อิ๊กมันบอกว่าที่บ้านเราจะโทรมาตอนหกโมงน่ะ...ไหน? ทำไมป่านนี้ถึงยังไม่มีใครโทรมาอีก?...
...โกหกพวกพี่น่ะไม่ดีหรอกรู้ไหม?”

“พักเรื่องที่บ้านของเราสองคนเอาไว้ก่อนได้ไหมครับพี่เต๋อ...
.
...พี่เต๋อจำที่คนเล็กบอกกับพี่เต๋อเมื่อตอนเช้าได้ไหมครับ?...
...ที่ว่าคนเล็กบอกว่า  คนเล็กจะช่วยให้พี่เต๋อดีกับคุณกังฟูให้ได้น่ะครับ” ฝาแฝดหัวแดงเอาน้ำเย็นเข้าลูบ เผื่อว่าคนฟังหน้าตึงจะยอมเข้าใจแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรับไม่ได้กับแผนการอันมีลับลมคมในของพวกเขาสักเท่าไร

“นี่เรากำลังหาทางเฉไฉอยู่หรือเปล่าคนเล็ก?” ตรินหรี่ตาพลางประเมินสีหน้าของหนุ่มรุ่นน้องด้วยสายตาจับผิดจนฝาแฝดหัวแดงเริ่มจะหนาวๆร้อนๆ...  จะเป็นไปได้ไหม ถ้าจะขอให้หลังเกิดใหม่ในร่างแฝดคนสุดท้อง...เขาไม่ต้องเผชิญหน้ากับป๊ะป๋าในมาดกดดันแบบคราวนี้?

“ฮื่อออออ! เปล่านะครับพี่เต๋อ” หนุ่มผมแดงยกมือขึ้นเสมอไหล่พลางส่ายหัวดิก “คนเล็กบอกพี่เต๋อไม่ใช่เหรอครับว่าคนเล็กจะทำให้คุณกังฟูมาหาพี่เต๋อภายในวันนี้?”

“แล้วมันยังไง?!!” หนุ่มร่างหมีคาดคั้นเสียงเข้มด้วยเริ่มจะรู้สึกว่าฝาแฝดกำลังซื้อเวลาเพื่อรออะไรบางอยู่...  ซึ่งเขากับด้วงคงจะกลายเป็นคนโง่เง่า หากยอมให้เด็กสองคนตรงหน้าเป่าหูก่อนจะปั่นหัวเล่นได้ตามอำเภอใจ


กระนั้น...แม้เต๋อจะไหวตัวทัน แต่แผนการของเหล่าสมุนเลวกลับดำเนินไปอย่างเหมาะเจาะและพอดีกับเวลาเป็นที่สุด
เพราะ ณ อึดใจเดียวกันนั้นเอง ประตูหน้าห้องที่ปิดสนิทก็ถูกกระชากเปิดอย่างทารุณจนลูกบิดกระแทกเข้ากับผนังลุ่นๆจนเกิดเสียงดังลั่น...

เมื่อนั้น ลูกแก้วทั้งสี่คู่ของบรรดาหนุ่มๆที่อยู่ภายในห้อง
ก็ตวัดไปจ้องมองยังต้นเสียงเป็นตาเดียว  

ณ สุดปลายสายตา...
ปรากฏร่างเล็กกะทัดรัดของผู้มาใหม่ยืนจังก้าอย่างสง่าผ่าเผย
พอได้เห็นโครงร่างเล็กที่จำได้ขึ้นใจในคลองจักษุ เด็กหนุ่มหัวสีทั้งสองก็ใจชื้นขึ้นผิดหูผิดตา
เพราะนั่นหมายความว่า ช่วงเวลาน่าอึดอัดของทั้งคู่กำลังจะสิ้นสุดลงในอีกไม่ช้านี้


หยุดเดี๋ยวนี้นะพวกมึง!!!” ร่างเล็กตะโกนกร้าวตั้งแต่ที่ปลายเท้ายังไม่ทันก้าวเข้าห้อง...

เพราะรู้ดีว่ามีพวกมากกว่า กังฟูจึงกล้าหาญชาญสมรมากพอที่จะก้าวขาฉับๆเข้าไปหยุดยืนเท้าเอวประจันหน้ากับสี่หนุ่ม ณ ใจกลางห้องชุดสุดหรูอย่างอุกอาจมาดมั่น  ซึ่งด้านหลังมีแผงแบ็คดร็อปในคราบของเหล่าสมุนเลวและงูเห่าตาบอดอีกหนึ่งคนประกบอยู่ไม่ห่าง


เฮ่ย! ฟูมาได้ไงอ่ะ?!!!! อารามตกใจ วิญญูผู้ไม่ใคร่จะกระโตกกระตากร้องกระชากเสียงส่งเดชกลับหลุดปากอุทานเสียงดังอย่างไม่น้อยหน้ากัน


คนเล็ก คนกลาง... นี่มันเรื่องอะไรกัน?!!!” ดูเหมือนการส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายจะกลายเป็นโรคติดต่อในชั่วพริบตา เพราะตานี้คือเสียงคำรามของตรินที่โก่งคอดุฝาแฝดทั้งสองซึ่งกำลังยืนจ๋องทำหน้าบอกบุญรับอยู่ข้างๆ...

แต่จุดๆนี้ จะหาใครที่ไฟแรงได้ทัดเทียมอริยะตรัยผู้พี่... คงไม่มีอีกแล้ว
เต๋อจึงหมดโอกาสที่จะสอบปากคำฝาแฝดผู้ต้องสงสัยให้หายคาใจไปโดยปริยาย


หยุด! พวกมึงหุบปากไปเลยไอ้ซ้ายไอ้ขวา!!!“ สรรพนามสุดพิลึกพิลั่นที่พี่ชายของธันวาใช้จิกเรียกฝาแฝดทำเอาคนถูกเรียกงุนงง  กังฟูจึงยักคิ้วเก๋าๆส่งไปตอกย้ำความเข้าใจของพี่น้องหัวสีรัวๆ แล้วจึงสืบเท้าเข้าไปยืนแทรกตัวตรงกลางระหว่างหนุ่มร่างหมีกับมักรีผลหัววุ้นทั้งสองอย่างว่องไว

พวกมึงหลบไปไกลๆเลย ผู้ใหญ่เขาจะเคลียร์กัน!!” ไม่ต้องรอให้ผู้มาใหม่สะบัดปลายนิ้วไล่เป็นครั้งที่สอง แฝดหัวทองและหัวแดงก็จับมือกันวิ่งก้มหน้าก้มตาซ่อนสีหน้าเปื้อนยิ้มก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปหลบยืนกระหยิ่มหลังเหล่าสมุนเลวตามคำบัญชาของบิดาร่างเล็ก  

“ฟู?! ฟูมาได้ยังไง? แล้วฟูมาทำอะไรที่นี่?” ด้วงเปิดฉากหาคำตอบของเรื่องราวไม่คาดฝันตรงหน้าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นระคนยินดี  หนุ่มร่างหมีจึงเหล่มองเสี้ยวหน้าผ่องของรูมเมทอย่างเคียดแค้นก่อนแขวะเตือนสติอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้หน้า

“อีกแล้วนะไอ้เหี้ยด้วง! / มึงก็เลิกท่ามากได้แล้วเต๋อ!! มึงไม่อยากรู้หรือไงว่าฟูมาทำอะไรที่นี่?” วิญญูตอกกลับทันควันด้วยข้อสงสัยที่เต๋อเองก็ไม่อาจปฏิเสธได้  เมื่อเห็นอาการจนคำพูดของเจ้าบ้าน คิวท์บอยคนใหม่ก็เหมาหน้าที่ซักไซ้ไต่ถามแขกไม่ได้รับเชิญแต่เพียงลำพัง



“ฟู... ฟูมีอะไรหรือเปล่า?”

เพียงได้ยินคำถามแรกจากปากคู่กรณี
ก็ทำเอาความมั่นใจที่พกมาเต็มกระเป๋าของพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยกระพือปีกบินหนีไปกับสายลมในทันตา
กังฟูเพิ่งจะตระหนักเอาหนนี้เองว่า... การเปล่งถ้อยคำสะท้อนความรู้สึกเบื้องลึกของตนส่งผ่านไปยังหัวใจของผู้ร่วมสนทนาช่างเป็นเรื่องหนักหนาและยากเย็นเข็ญใจเสียนี่กระไร
.
.
.
.
“กู... คือกู”

ร่างเล็กละล่ำละลักอย่างที่ไม่เคยเป็น
เสียงข้างในแบ่งข้างออกเป็นสองฝ่าย...

ฝั่งหนึ่งซึ่งเป็นตัวแทนของอีโก้ กำลังร้องไห้โฮพลางขอให้เขาหันหลังกลับแล้วพับความคิดที่จะง้อสองหมีลงอย่างถาวร  
แต่อีกใจที่ถือหางข้างความรัก... กลับตื๊อหนักๆขอให้เขากล้าพอที่จะอ้อนวอนขอการให้อภัยจากชายหนุ่มทั้งสอง
.
.
.
.
.
.
.
ที่สุดแล้ว... ความรักก็มีชัยเหนือทุกสิ่ง  
แน่นอน... นั่นย่อมรวมถึงการละทิ้งซึ่งเกราะกำบังที่สร้างขึ้นเพื่อขังความรู้สึกต่างๆเอาไว้ภายในลงไปด้วยเช่นกัน 


“กูจะมาขอโทษพวกมึงสองคนเรื่องเมื่อวันนั้น!

“หืม? เมื่อกี๊ฟูว่าไงนะ?!” วิญญูถึงกับยืนบื้อเพราะดันรู้สึกหูอื้อตาลายไปไม่เป็นขึ้นมาชั่ววูบ

คำขอโทษจากกรกฏทำเอาด้วงงงเป็นไก่ตาแตกถึงขั้นไม่อาจแยกแยะความจริงได้...
ตลอดเวลาหลายปีที่คบหากันในฐานะเพื่อน คำๆนี้เปรียบเสมือนสิ่งล้ำค่าที่แม้จะรู้ว่ามีอยู่ แต่กลับไม่เคยได้ยินผ่านหูเลยสักครั้ง... กระทั่งอีกฝ่ายทำผิด เพื่อนสนิทอย่างเขายังต้องตามง้อขอโทษขอโพยก่อนเป็นประจำเสียด้วยซ้ำไป 
.
.
.
.
.
.
“กูขอโทษมึงด้วง... จริงๆกูไม่ได้ตั้งใจจะด่ามึง แต่เพราะกู...” คนพูดหลุบตาต่ำพลางกลืนน้ำลายเพื่อหวังยืดระยะเวลาทำใจให้ยาวนานขึ้นอีกหน่อย แล้วจึงค่อยปราศรัยในที่สุด “...เพราะกูอาย... กูอายจนพาลด่ามึงไปเรื่อยเปื่อยทั้งที่กูไม่ได้ตั้งใจจะว่ามึงเสียๆหายๆแบบนั้น” พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเองอย่างหมกมุ่นด้วยไม่รู้จะหักห้ามความรู้สึกเขินอายอย่างไรดี

ห๊ะ?! ฟูอาย? อายอะไร? คนที่อายน่าจะเป็นเรามากกว่านะ” ด้วงขัดขึ้นซื่อๆ

“ก็มึงลองมาโดนผู้ชายสารภาพรักดูกลางโรงอาหารเหมือนกูก่อนสิ แล้วมึงจะรู้ว่ากูอายห่าอะไร” ร่างเล็กแทบจะกระโดดขาคู่ใส่อีกฝ่ายเพื่อให้สาแก่ใจค่าที่ไม่รู้อะไรกับเขาบ้างเลย “แม่งเอ๊ย! ยิ่งพูดยิ่งอายฉิบหายเลยว่ะ!!

เมื่อสมองถอดใจความออกจากน้ำเสียงกระแทกกระทั้น...
พลันรอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาของหนุ่มเจ้าสำอางผู้รั้งตำแหน่งคิวท์บอยคนล่าสุดด้วยความปีติ


“โธ่...อย่างนี้เองหรอกเหรอ?! เราก็หลงนึกว่าฟูโกรธที่เราโกหกฟูมาตลอดเสียอีก” ด้วงปรารภด้วยความรู้สึกโล่งราวกับยกภูเขาออกจากอก
.
.
.
.
.
.
.
“ก็... ไม่นะ กูไม่ได้โกรธ” คำพูดผ่านน้ำเสียงอ้อมแอ้มของกังฟูนอกจากจะช่วยยืนยันความเข้าใจให้ถูกต้องแล้ว ยังช่วยทำให้ประกายความหวังอันแผ่วเบาเข้าขั้นริบหรี่ของวิญญูลุกโชติช่วงขึ้นมาได้อีกครั้ง

“จริงเหรอฟู?!!!” ร่างสูงปราดเข้าไปประคองต้นแขนทั้งสองของเพื่อนรักแล้วเขย่าเบาๆอย่างลืมตัวจนอีกฝ่ายอดเหน็บไม่ได้

“มึงเห็นกูเป็นพวกชอบพูดเล่นหรือไง? / เปล่า! เปล่าเลย!! ฟูไม่เคยพูดเล่น!! ฟูจริงจังสุดๆไปเลย!!” หนุ่มหน้าหยกปฏิเสธเสียงดังอย่างตื้นตันและตื่นเต้นไม่มีใครเกิน


และทันทีที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร...
ด้วงก็รวบรวมความกล้าตั้งคำถามที่ค้างคาใจเพื่อให้อีกฝ่ายได้ลองตอบดูอีกสักครั้ง


“ถ้างั้น... ฟูจะตอบรับคำขอของเราเมื่อวันนั้นได้หรือเปล่า?”

ขาดคำ... ความเงียบก็โรยตัวเข้าจับจองทั่วทุกอณูของห้องกว้าง
กระทั่งเสียงสูดลมหายใจหนักๆด้วยความลุ้นระทึกของเหล่าชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่ที่ร่วมเป็นพยานในการเจรจาครั้งนี้  ยังชัดเจนประหนึ่งดังผ่านระบบดอลบี้ขยี้กระดูกค้อน ทั้ง โกลนของรุ่นพี่ทั้งสามอย่างไรอย่างนั้น  

ฝั่งคนที่ต้องตอบคำถามก็ลอบถอนหายใจพรูแล้วนิ่งนึกตึกตรอง
.
.
.
.
.
.
.
“ถ้ากูบอกว่าไม่ มึงจะเป็นยังไงวะด้วง?” กังฟูหยั่งเชิงด้วยสีหน้าจริงจัง จนอีกฝ่ายต้องตั้งใจใคร่ครวญถึงทางออกของเงื่อนไขดังกล่าวที่แปรผันไปตามสภาวะอารมณ์ และความรู้สึกนึกคิดที่สั่งสมในช่วงอายุต่างๆ...  

วิญญูอดประหลาดใจไม่ได้ที่รู้ว่า ความร้ายกาจเอาแต่ใจของอริยะตรัยผู้พี่...
ทำให้เขาซุ่มตระเตรียมทางออกเอาไว้มากมาย...
เผื่อว่าวันหนึ่งวันไหน อีกฝ่ายคิดจะขับไสไล่ส่งขึ้นมาเมื่อไม่พอใจ  
เขาจะได้รับมือกับปลายทางที่ไม่น่าอภิรมย์อีหรอบนี้ได้อย่างมีสติ

และหากช่วงเวลาโหดร้ายดังกล่าวคือวันนี้
นี่คือผลลัพธ์ที่วิญญูพร้อมจะใช้แทนคำตอบที่ดีที่สุดของตน


“ถ้าฟูบอกว่าไม่ ที่แน่ๆเราคงจะเสียใจจนเสียผู้เสียคนไปสักพักล่ะมั้ง... ก็เรารักฟูมากนี่เนอะ กว่าจะทำใจยอมรับได้คงอีกหลายปีโน่นแหละ”

แววสุกใสในดวงตาคล้ายเหยี่ยวของคิวท์บอยอ่อนแสงลงทันทีที่พูดจบ
ฝ่ามือทั้งสองที่ประกบอยู่ตรงต้นแขนเล็กๆของอีกฝ่ายก็ค่อยๆคลายสัมผัสคล้ายกับตัดใจ  
กระนั้น... ชายหนุ่มเพียงคนเดียวผู้ที่เขาอยากคบหาดูใจด้วยกลับยังป้อนโจทย์สุดโหดข้อต่อไปราวกับไม่เห็นใจกันเลย


“ถึงตอนนั้นแล้วมึงจะคบคนอื่นหรือเปล่า?” ลูกแก้วที่สะท้อนแสงยามเย็นจนเห็นเป็นสีอำพันทั้งสองจับจ้องใบหน้าครุ่นคิดของเพื่อนสนิทสุดหล่อไม่วาง... คนทางโน้นคงไม่รู้หรอกว่า กังฟูลุ้นกับคำตอบของอีกฝ่ายมากขนาดไหน...

จะหาว่าใจร้ายก็ได้... เพราะหากด้วงไม่คิดจะมีใครเคียงข้าง ทั้งที่เขาตัดสินใจคบหากับเด็กเต็กร่างหมี...
พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยคงจะรู้สึกยินดีจนไม่อาจบรรยายความรู้สึกออกมาให้ใครฟังได้เป็นแน่
แต่ถ้าไม่... ทุกคนคงได้ประจักษ์ถึงความเห็นแก่ตัวไม่มีสิ้นสุดของเขาที่พร้อมจะไขว่คว้าเอาทุกสิ่งที่ปรารถนามาครอบครองให้จงได้อย่างไม่มีทางเลือก


“ไม่รู้สิ ถ้าเราทำใจได้แล้ว... ก็อาจจะล่ะมั้ง”  

คำตอบตามตรงของวิญญูทำเอากังฟูจิตตก
และที่ตลกไม่ออกเห็นจะเป็น... การที่สายตาไม่รักดีดันกวาดไปเห็นแฝดหัวทองคลี่ยิ้มให้อย่างจัง
ใช่แล้ว! ไอ้ฝอยทองมันหวังจะเคลมด้วงต่อจากเขานี่นา!!!!


“ด้วงมึงกล... / ถ้าฟูจะปฏิเสธเราฟูก็พูดมาตรงๆเถอะ ไม่ต้องชวนคุยเพื่อให้เวลาเราได้เตรียมใจหรอก... เราพร้อมจะฟังแล้วล่ะ” ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ประโยคของกรกฏก็ถูกถ้อยคำร้องขออย่างน่าเห็นใจของวิญญูกลืนหายไปเสียก่อน


ลำพังแค่โดนขัดใจสักครั้ง... อริยะตรัยผู้พี่ก็ยังไม่เคยสัมผัสความรู้สึกนั้น
แล้วการที่โดนอีกฝ่ายตัดบทประชดใส่ ทั้งที่ไอ้ซ้ายมันยืนฟังอยู่ทนโท่... เขาจะไม่รู้สึกโมโหอย่างไรได้?!!

เอาวะ!! หากความอายเป็นเหตุให้ต้องสูญเสียด้วงไป...
นาทีนี้ เขายอมขายขี้หน้าตาย ดีกว่าปล่อยให้ไอ้ซ้ายมางาบคนที่เขารักไปต่อหน้าต่อตาตั้งเยอะ


[ b]กูแค่อยากรู้ว่ามึงคิดยังไง...  แล้วกูพูดเมื่อไรว่ากูจะปฏิเสธมึง?!! ร่างเล็กเอ่ยอย่างแน่วแน่

ห๊ะ?!! / เมื่อกี๊ฟูว่าไงนะ?” ไม่เพียงแต่เต๋อและด้วงเท่านั้นที่เปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก เหล่าสมุนเลวที่ยังตกใจไม่หายก็ได้แต่ร้องฮือฮาประสานกันจนฟังไม่ได้ศัพท์  

จริงๆเหรอฟู? เมื่อกี๊ฟูพูดจริงๆแบบจริงจัง ไม่ได้พูดเล่น ซีเรียสสุดๆไปเลยใช่หรือเปล่า? ” คิวท์บอยถลาเข้าไปกอดเพื่อนสนิทเสียเต็มรักโดยไม่อาจหยุดพล่ามคำถามซ้ำซากได้ อีกฝ่ายจึงย้อนเข้าให้เพราะอายเกินกว่าจะตอกย้ำคำตอบรับของตน

“หรือมึงจะให้กูเปลี่ยนใจก็ได้นะด้วง!

ไม่เอาสิ! ไม่เอาแบบนั้นนะครับฟู!! ไม่เปลี่ยนใจนะ ห้ามเปลี่ยนใจเด็ดขาด!! พูดแล้วห้ามคืนคำนะครับ!!” วิญญูยิ้มกว้างก่อนจะตัดใจผละห่างจากร่างเล็กในอ้อมกอดเพียงชั่วครู่ ด้วยอยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะแสดงสีหน้าท่าทางเช่นไรในจังหวะที่ต้องพูดย้ำความในใจให้เขาฟังอีกครั้ง

“...ก็...เออ... 
.
.
.
.
...ไม่คืนคำหรอกน่า...” ท่าทางอึกอักกอปรกับถ้อยคำที่ทำให้คนฟังยังแอบเขินตามทำให้หนุ่มวิศวะหน้าหยกตกประหม่า...

ไม่ใช่แค่พวงแก้มใส แต่ทั่วทั้งใบหน้า ลามไปถึงลำคอของกังฟู... ที่ดูจะถูกสีเลือดฝาดเข้าคุกคาม
การก้มหน้าต่ำ หนำซ้ำยังหลบสายตาของเขาไปทางซ้ายที... ขวาทีทั้งที่ไม่เคยทำ ยิ่งเป็นที่ถูกใจของคนตัวใหญ่กว่าเสียเหลือเกิน

ด้วงไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า การสมหวังในความรักที่เฝ้ารอคอยมาเนิ่นนาน
จะทำให้รู้สึกดีจนทำให้เผลอคลี่ริมฝีปากฉีกยิ้มหวานจนดูหน้าโง่ โดยไม่อาจตอบโต้กับอีกฝ่ายได้อย่างที่ควรจะเป็น...
.
.
.
.
แต่อีกใจก็อดเป็นกังวลไม่ได้ว่า...
ความสุขที่เกิดขึ้นตรงหน้า... ได้มาง่ายเกินไปหรือเปล่า?!


“สรุปว่าเราสองคนคบกันแล้วใช่ไหมครับ?” วิญญูถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ... เผื่อรอบนี้คำตอบจะเปลี่ยนไปจนทำให้เขาตื่นขึ้น แล้วพบว่า...ทั้งหมดเป็นเพียงฝันดีที่นานๆจะเกิดขึ้นสักทีเท่านั้น

“ด้วง... มึงก็รู้ว่ากูไม่ชอบพูดจาซ้ำซาก!” ด้วยความหงุดหงิดที่โดนสะกิดให้พูดเรื่องเดิมๆอยู่หลายต่อหลายครั้ง อริยะตรัยผู้พี่จึงกระชากเสียงตอบด้วยความรำคาญแบบให้ลืมความรู้สึกหวานชื่นกันไปข้าง “กูบอกชัดเสียขนาดนั้น... มึงก็คิดเองได้แล้วมั้งสัด!!

วู้ววววววว!! ด้วงดีใจที่สุดเลยครับฟู!! / แต่ด้วง... คือ กูมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องที่จะต้องบอกมึง”

แม้กรกฏจะพยายามขืนตัวเองออกจากวงแขนที่อยู่ๆก็รัดแน่นขึ้นมาเฉยๆเพื่อเฉลยตอนจบของเรื่องค้างคากับวิญญู
แต่ชายหนุ่มที่ตนเพิ่งตบปากรับคำว่าจะคบหาด้วยกลับกระชับอ้อมกอดให้สมกับความรู้สึกเปรมปรีดิ์ที่ปรี่ล้นทรวง

กระนั้น... เมื่อเสียงขมขื่นของบุคคลที่สามอ้อนวอนอย่างทุกข์ระทมผ่านสายลมมากระทบใจสองหนุ่ม
ความเศร้าตรมก็ทำให้ทุกอย่างหยุดชะงักลงกลางคัน  เว้นเสียก็แต่หัวใจของคนอิ่มรักที่พลันหนักอึ้งเมื่อนึกถึงความรู้สึกของร่างสูงใหญ่ที่กลายเป็นคนอื่นไปในพริบตา   


“ถ้าจะพลอดรักกันก็เชิญที่อื่น ผมอยากอยู่คนเดียว”


การได้เป็นพยานชื่นชมคนอื่นสมหวังในความรัก ในขณะที่ตนเองอกหักไม่เป็นท่าดูจะหนักหนาเกินกว่าที่ตรินจะยอมรับได้  
หนุ่มร่างหมีซึ่งทำตัวเป็นผู้ร่วมเหตุการณ์ที่ดีมาโดยตลอด จึงค่อยๆหมุนตัวเพื่อมุ่งหน้าหลบเข้าไปเลียแผลใจในถ้ำส่วนตัวทันทีที่พูดจบ

“ด้วง มึงมาเอาของมึงออกจากห้องกูไปด้วย... มึงไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่แล้วนิ” เสียงสั่งฟังแปร่งของเด็กเต็กดังก้องระหว่างที่ร่างหมีๆผู้เป็นเจ้าของสถานที่จะหายลับผ่านเข้าประตูห้องนอน

ณ เสี้ยววินาทีนั้นเอง... ร่างสูงใหญ่ของอีกคนก็วิ่งเข้าไปกระชากข้อมือเจ้าของห้องเอาไว้เสียก่อน


“เต๋อ... กู... กูขอโทษว่ะ” วิญญูเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดไม่แพ้อีกฝ่าย...

ทั้งที่เมื่อวานเพิ่งคุยเรื่องนี้กันไปแท้ๆ แต่ทำไมพอเอาเข้าจริง...
แค่เต๋อบรรจงแกะมือของเขาออกอย่างนุ่มนวลโดยไม่แม้แต่จะหันมาสบตา
ด้วงกลับรู้สึกราวกับว่า โลกอีกใบที่มีแต่เขาและตรินอยู่ข้างในกำลังล่มสลายกลายเป็นซากธุลีลงต่อหน้า จนพาลทำให้แข้งขาของเขาไร้เรี่ยวแรงเอาดื้อๆ


“ไม่เป็นไรหรอก เป็นมึงก็ดีแล้ว... กูดีใจด้วยจริงๆนะด้วง” ฝ่ามือหนาตบบ่าของวิญญูเบาๆคล้ายกับจะฝากฝังร่างเล็ก แต่เพียงวูบเดียวที่หนุ่มหน้าหยกได้มีโอกาสมองสบสายตาคมที่เคยฉายประกายเจิดจ้าทว่ากลับราแสงจนดูหมองหม่น  หัวใจของด้วงก็หล่นวูบคล้ายโดนทุบให้หลุดพ้นทรวง  


เดี๋ยวเต๋อ! มึงยังไปไหนไม่ได้!!!” กรกฏตะโกนสุดเสียงเพื่อรั้งไม่ให้เจ้าของชื่อหลบลี้หนีหน้า...

คนที่เฝ้ามองร่างสูงใหญ่อยู่ในตอนนี้ ไม่อาจจำแนกได้เลยว่า
แผ่นหลังที่ยกขึ้นน้อยๆก่อนจะค่อยๆทิ้งตัวลงสู่ตำแหน่งเดิมตามลมหายใจที่ถ่ายออกจากปอดครั้งแล้วครั้งเล่านั้น...
เป็นเพียงการกถอนหายใจยาวๆ หรือเกิดเพราะเจ้าตัวกำลังพยายามกลั้นความรู้สึกเจ็บปวดเอาไว้กันแน่
.
.
.
.
.
.
.
.
“ถ้าจะเย้ยกัน  เอาไว้วันหลังได้ไหมคุณ?...
.
.
.
...วันนี้ผมขอเถอะ...
...ผมไม่ไหวจริงๆ”

น้ำเสียงอ่อนระโหยโรยแรงที่ชายหนุ่มผู้เข้มแข็งและกำลังใจดีเป็นที่สุดใช้ไหว้วอนขอความเห็นใจจากหนุ่มต่างคณะ
ทำเอาใครหลายคนสะท้อนใจไปตามๆกัน  กระนั้น... คำขอดังกล่าวกลับไม่ได้รับการผ่อนผันจากพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยผู้มุ่งมั่นยิ่งกว่าหนไหนเลยสักนิด  


ไม่ได้!! มึงต้องฟังกูก่อน... จริงๆก็พวกมึงทั้งสองคนนั่นแหละ!!


แม้จะเจ็บจนแทบทนฝืนยืนต่อไม่ไหว...
แต่เต๋อกลับทำได้แค่ยืนคอตกรอฟังคำพิพากษาจากปากชายร่างเล็กผู้ที่เขาเคยยกให้เป็นที่รักอย่างสิ้นไร้ไม้ตอก

ส่วนผู้ชนะในสมรภูมิรักอย่างวิญญู สุดท้ายก็กลับไม่กล้าสู้หน้าใคร...
เพราะยิ่งเมื่อได้รู้ว่า ความสุขสุดยอดปรารถนาแลกมาด้วยความเจ็บปวดของกัลยาณมิตรผู้ให้ข้อคิดและกำลังใจแก่เขามาโดยตลอดอย่างตริน  


“เต๋อ... กูขอโทษ ต่อไปกูจะไม่ทำนิสัยตัดขาดใครออกจากชีวิตเมื่อไม่พอใจอีกแล้ว...
.
...กูเข้าใจแล้วนะ ว่าการที่ถูกทิ้งให้เคว้งคว้างอยู่คนเดียวมันเป็นยังไง”

หลังจากที่เรียนรู้ว่า การเอ่ยวาจาขอโทษคนอื่นไม่ใช่เรื่องหนักหนาสาหัสหรือเสียศักดิ์ศรีมากมายอะไร...
ครั้งนี้ กรกฏจึงไม่ต้องอาศัยความพยายามมากมายเท่าครั้งก่อนหน้า

แต่แทนที่จะได้รับคำชื่นชมจากหนุ่มสถาปัตย์ตาคมเหมือนทุกทีที่เขาทำเรื่องถูกต้อง  
ร่างสูงที่ไม่คิดจะหันมามองหน้า... กลับเลือกการเจรจาโต้ตอบตามมารยาท ที่รังแต่จะสร้างความรู้สึกอึดอัดให้กับคนฟังมากขึ้นไปกันใหญ่


“ผมดีใจกับคุณด้วย... ทีนี้ผมไปได้หรือยัง?”

ท่าทางห่างเหินเมินเฉยของคู่สนทนา ทำให้อริยะตรัยคนพี่ใจไม่ดี  
กังฟูจึงหยิบยกข้อความสำคัญที่ทั้งสองแลกเปลี่ยนกันแทนคำสัญญาลับๆเมื่อหลายวันก่อนขึ้นมาทวงถามหนุ่มร่างหมีเพื่อเรียกร้องความสนใจที่เหือดหายไปให้กลับคืนมา


“เต๋อ... คืนนั้นกูบอกมึงว่ายังไง?”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“กูบอกให้มึงรอกูใช่ไหม? มึงสัญญาว่าจะรอกู... รอกูคนเดียวไม่ใช่เหรอ?!”  


ความพยายามของพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยได้ผลทันตา...
ทว่าสิ่งที่ได้มา หาใช่ความรู้สึกที่คาดหวังเอาไว้เสียดิบดีไม่
.
.
.
.
ตรินผินเสี้ยวหน้ากลับมามองเขาด้วยสายตาเจ็บปวดรวดร้าว...
สายตาที่พรากเอาความมั่นใจของกังฟูให้ปลาสนาการไปในบัดนั้น
แล้วจึงตัดพ้อต่อว่าพี่ชายธันวาด้วยน้ำเสียงของผู้ปราชัยที่หมดอาลัยตายอยากในชีวิตไม่มีใครเสมอเหมือน


“คุณนี่ใจร้ายกว่าที่ผมคิดนะฟู...
.
.
...คุณจะรื้อฟื้นให้ผมยิ่งเจ็บไปเพื่ออะไร?” และเมื่อได้พูดทุกๆอย่างออกมาจนหมดใจ เจ้าบ้านร่างสูงใหญ่ก็หมุนลูกบิดตรงหน้าเพื่อหลบเข้าไปในโลกส่วนตัวดังที่มาดหมายทันที ซึ่งการกระทำดังกล่าว... ทำให้กรกฏตัดสินใจได้

แต่กูรักมึงจริงๆนะเต๋อ!” หนุ่มวิศวะร่างเล็กกลั้นใจสารภาพความรู้สึกที่เอ่อล้นอยู่ภายในให้อีกฝ่ายได้รับฟัง ด้วยหวังจะใช้คำสั้นๆทว่ายิ่งใหญ่นี้แลกกับการสานสัมพันธ์กับทั้งเต๋อและด้วงในฐานะที่แตกต่างออกไป

ห๊ะ?!! / นี่คุณกำลังเล่นตลกอะไรของคุณอยู่กันแน่?!” คิวท์บอยหน้าหยกอุทานด้วยความตกใจ ในขณะที่หมีหนุ่มตัวใหญ่ถึงกับยอมหันกลับมาประจันหน้ากัน

“ด้วง... ถ้ากูไม่ได้รักมึงแค่คนเดียว... มึงจะว่ายังไง?”

เจ้าของประโยคมีสีหน้าลำบากใจแต่สายตาดื้อดึงเป็นที่หนึ่งบอกใบ้ให้ชายหนุ่มอีกสองคนรับรู้ว่า
เหตุการณ์ ณ ปัจจุบันขณะไม่ใช่เรื่องอุปโลกน์

พอไม่มีผู้ใดโต้แย้งแย่งพูดอะไร...
อริยะตรัยผู้พี่ก็เน้นย้ำเจตนารมณ์ของตนจนคนฟังทั้งหลายเผลอง้างขากรรไกรค้างอ้าซ่าไปตามๆกันเข้าอีกหน  


“กูรักทั้งมึงทั้งเต๋อ กูเลือกรักมึงคนใดคนหนึ่งไม่ได้... และกูก็ไม่คิดจะปล่อยมึงสองคนไปให้ใครเด็ดขาด!!

เฮ่ย!” เป็นอีกครั้งที่ทั้งตรินและวิญญูร่วมอุทานประสานเสียงโดยมิได้นัดหมาย...

ด้วงไม่นึกเลยว่า... อีกฝ่ายจะล้อเล่นกับอารมณ์ของคนอื่นได้อย่างเลือดเย็นถึงเพียงนี้
เมื่อไม่ถึงสิบนาทีก่อนหน้า ความรู้สึกสมหวังและยินดีปรีดาทำให้เขารู้สึกล่องลอยขึ้นจนสูงเทียมเมฆ
แต่พอร่างเล็กยอมรับว่าไม่อาจตัดสินใจเลือกใครคนใดคนหนึ่ง  เขาก็ตระหนักถึงความรู้สึกจะสุขก็ไม่สุด จะทุกข์จนทรุดก็ไม่ใช่เป็นครั้งแรก


ส่วนตรินก็แทบขาดใจ เมื่อต้องทนเห็นกังฟูอยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายคนอื่นในสภาพสมยอม...
ถึงคนอื่นที่ว่า จะเป็นวิญญู... คนที่เขาไว้ใจและชอบพอนิสัยใจคอเป็นทุนก็เถอะ
ที่ผ่านมา... แม้ตนเองมักจะเปรยอยู่บ่อยๆว่าโอเคกับความพ่ายแพ้ในเกมรักครั้งนี้
แต่ไม่เคยเลยสักหนที่คนมั่นใจอย่างเขาจะเตรียมพร้อมเพื่อรอรับมือกับมันได้จริงๆ...  

วินาทีที่สำเหนียกได้ว่า ตนไม่ใช่คนเพียงคนเดียวที่เป็นเจ้าของหัวใจอริยะตรัยคนพี่... ความคิดนี้ก็ขยี้หัวใจของเขาจนแหลกลาญแทบจะทันตา


“กูไม่ได้พูดเล่น กูจริงจัง...และกูซีเรียส” หนุ่มวิศวะร่างเล็กสำทับเสียงเข้ม ก่อนจะเปลี่ยนมาตั้งท่าหาคำตอบแทนอีกสองหนุ่มไปเสียฉิบ “พวกมึงจะเอาไงก็ว่ามา กูพูดในสิ่งที่กูต้องบอกพวกมึงจนหมดแล้ว คราวนี้ก็ถึงทีของพวกมึงบ้างล่ะ”

“ฟูจะให้เราแบ่งฟูกับเต๋อเนี่ยนะ?!!” มาถึงตรงนี้หนุ่มหน้าหยกก็อดรนทนไม่ได้... เรื่องอะไรที่เขาต้องแชร์แฟนตัวเองกับผู้ชายอีกคน?!  

“ไม่ได้แบ่ง... ก็แค่  แค่คบกันสามคน... ทำแบบนั้นไม่ได้หรือไงวะด้วง?” กังฟูอธิบายข้างๆคูๆตามหลักการที่ตนเห็นควร...

ดูเอาเถิด... ต่อให้ใครจะยกเหตุผลใดๆขึ้นมา ลองว่าตรงข้ามกับความต้องการของกรกฏในยามนี้   
เป็นอันหมดสิทธิ์ที่จะใช้ถกเถียงกับชายผู้เป็นศูนย์กลางแห่งจักรวาลไปโดยไม่ต้องสงสัย...
อย่างไรก็ดี...นั่นกลับไม่ใข่วิธีที่หนุ่มร่างหมีผู้มีเหตุมีผลเห็นด้วยเท่าไรนัก


“คิดอะไรง่ายไปหรือเปล่าฟู?...
.
...แล้วเราสามคนจะอยู่กันยังไง?...
...ฟูจะนอนกับเต๋อวันนึง แล้วก็นอนกับด้วงอีกวันนึงอย่างนั้นน่ะเหรอ?”

มึงพูดอะไรของมึงเนี่ยเต๋อ? จะบ้าเหรอ?!!” ถ้อยคำประชดประชันที่เปล่งผ่านน้ำเสียงทุ้มชวนฟังดังกล่าวทำเอากังฟูหน้าร้อนเห่อหลังจากเผลอคิดภาพตามทั้งที่ไม่ใช่เวลา ริมฝีปากบางเฉียบจึงต่อว่าเต๋อออกไปตามระเบียบแม้เจ้าตัวจะไม่ตั้งใจ...

ถึงอย่างนั้น... ร่างเล็กก็ยังแอบสั่งตัวเองให้จำเอาไว้ว่า หากสองหมียอมคบหาด้วยเมื่อไร...
เรื่องนี้ต้องกลายเป็นหัวข้อแรกๆที่ทั้งสามต้องตกลงกันให้ได้โดยเร็วที่สุด   


“เลือกแค่คนใดคนหนึ่งไม่ได้เหรอฟู? ฟูรักใครมากกว่าไม่ได้จริงๆน่ะเหรอ?”

น้ำเสียงอ้อนวอนอย่างคนอับจนหนทาง กับดวงตาคมที่ภาวนาและวาดหวังให้ร่างเล็กตัดสินใจเลือกอีกหน...
เลือกใหม่โดยให้คำตอบสุดท้ายเป็นตนเอง ไม่ใช่ใครอื่น... ทำเอากรกฏรู้สึกขมขื่นระคนผิดหวังคละเคล้ากันไป
แน่นอน... เรื่องที่ทำให้เต๋อเสียใจ เขาเองก็รู้สึกผิดไม่หยอก ใครกันล่ะที่อยากจะทำให้คนที่ตัวเองรักเจ็บปวดโดยใช่เหตุ
แต่เพราะอะไร... อีกฝ่ายถึงไม่ยอมเข้าใจหัวอกของเขาบ้าง?!!

หากตรินจะฉุกคิดสักหน่อยย่อมต้องรู้ว่า ไอ้ความคิดผิดปกติทำนองผัวสองเมียเดียว
ไม่ใช่ตรรกะที่คนทั่วๆไปใช้เป็นทางออกของปัญหารักสามเส้าอยู่แล้ว...
ยิ่งคนที่ไม่ชอบผู้ชายเป็นทุนอย่างเขาน่ะหรือ จะกล้าขอให้ผู้ชายสองคนมาคบหาด้วย
เสียแรง เขารึอุตส่าห์รักมากเสียจนทั้งหวงทั้งห่วงแทบเป็นแทบตาย... ทำไมทีกับเรื่องสำคัญแบบนี้ถึงคิดไม่ได้ก็ไม่รู้?!








ไม่รู้ล่ะ... หลังจากไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาสองคืนกว่าเพราะมัวแต่เอาเวลามาไตร่ตรองซ้ำๆจนจะเป็นบ้า
คำตอบที่ชัดเจนที่โผล่หราขึ้นมาในหัวเพียงข้อเดียวของเขาก็คือ
ระหว่างตรินและวิญญู... เขาอยู่โดยตัดใครคนใดคนหนึ่งออกจากชีวิตไปไม่ได้
และไม่ว่าต้องเผยความรู้สึกน่าอับอายต่อหน้าใครๆ หรือต่อให้ต้องขายตัวเอง อริยะตรัยผู้พี่คนนี้ก็ไม่หวั่นเกรงอะไรอีกแล้ว!!


“เต๋อ... มึงฟังกูนะ สำหรับกู...มึงเป็นเหมือนพระอาทิตย์ เป็นแสงสว่างที่คอยให้ความอบอุ่น...
...มึงทำให้กูมองทุกๆอย่างได้อย่างชัดเจน ทำให้กูเห็นแม้กระทั่งมุมอ่อนไหว...
...หรือเห็นว่ากูเป็นคนงี่เง่างอแงแค่ไหนเวลาที่กูไม่เป็นตัวของตัวเองทุกครั้งที่อยู่กับมึง...  
...มึงทำให้กูมีความสุข... สุข...จนลืมทุกอย่าง สุข...แบบที่กูไม่เคยรู้สึกมาก่อน...
...สุขแบบที่กูคงทนอยู่โดยไม่มีมึงไม่ได้...
.
.
.
.
...แต่ด้วงมันเป็นอากาศ มึงเข้าใจใช่ไหมว่าถ้าไม่มีอากาศ... กูก็ตายเท่านั้น...
...มันเป็นทุกๆอย่าง มันเป็นครอบครัว มันเป็นพื้นที่ทำให้กูหยัดยืนได้อย่างเข้มแข็ง...
...มันเป็นความปลอดภัย มันเป็นบ้านที่ทำให้กูสามารถหลบพักและกลับออกไปสู้ต่อได้อีกครั้งแล้วครั้งเล่า...
...มันเป็นคนที่กูรัก และรักกูมากพอจนกูกล้าที่จะขอให้มันอยู่กับกู... ขอให้มันรักกู ขอให้มันเอาใจแต่กูให้กูแม่งเสียผู้เสียคนตายห่าไปเลย!!” เจ้าของใบหน้าหวานน่ามองหากแต่ส่อเค้าอิดโรยอ่อนล้า ส่งสายตาตัดพ้อต่อว่าไปให้ทั้งตรินและวิญญูเป็นระยะๆ

“แล้วอย่างนี้มึงยังจะขอให้กูเลือกได้อยู่อีกเหรอเต๋อ?...
...มึงจะให้กูมีความสุข แต่หวั่นไหวอยู่ตลอดเวลาเพราะไม่รู้ว่าจะขาดใจตายเมื่อไร?...
...หรือมึงอยากเห็นกูเป็นซากที่ยิ้มเลื่อนลอยไปวันๆแต่ไม่มีหัวใจให้รู้สึกอะไรอีกเลยอย่างนั้นน่ะเหรอ?” ถ้อยแถลงดังกล่าวทำเอาเต๋อถึงกับจุกจนพูดไม่ออก...

สิ่งที่เขาขอร้องจากอีกฝ่าย  สิ่งที่เขาคิดว่าเป็นเรื่องง่ายแบบที่ใครๆทำกัน...
กำลังทำให้กังฟูรู้สึกทรมานอยู่อย่างนั้นหรอกหรือ?!!

แล้วอย่างนี้ เขาควรจะทำเช่นไร?
ในเมื่อคิดจะปล่อยมือจากกรกฏเพื่อหลีกทางให้ด้วง หรือหากวิญญูคิดจะเป็นฝ่ายถอยออกไป...  ทว่าปลายทางกลับไม่ใช่ความสุขของใครทั้งสิ้น 

กระนั้น... ร่างเล็กผู้มีความอดทนต่ำชักจะทนอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกไม่ได้อีกต่อไป
กังฟูเร่งรัดหาทางออกโดยไม่เปิดโอกาสให้ใครหน้าไหนได้ใช้เวลาครุ่นคิดหาคำตอบที่ดีที่สุดอีกเลย


“โอเค! ถ้าสุดท้ายมึงสองคนยังคงยืนยันให้คนเห็นแก่ตัวอย่างกูต้องเลือกทั้งที่กูยอมพวกมึงมากถึงขนาดนี้แล้วล่ะก็...  
...กูก็จะประชดพวกมึงให้เสียผู้เสียคนไปเลยก็แล้วกัน...
.
.
.
...เอางี้ดีไหม สรุปว่ากูไม่เลือกใครไปเลยดีกว่าหรือเปล่า?...
...แล้วกูจะอยู่แบบหายใจทิ้งไปวันๆเพื่อทำให้พวกมึงเสียใจที่บังคับให้กูต้องเลือกระหว่างมึงสองคน...
...หลังจากนี้ ทุกครั้งที่พวกมึงนึกถึงกู พวกมึงก็จะเจ็บปวดไปจนวันตายเพราะวันนี้พวกมึงทำร้ายหัวใจกูแบบนี้ยังไงล่ะ... 
.
.
...อยากได้แบบนี้ไหมล่ะ?...
...กูทำให้ได้นะ...และกูน่าจะทำได้ดีด้วย!” คนเอาแต่ใจเป็นที่หนึ่งยื่นคำขาดชัดถ้อยชัดคำ ดวงตากลมใสที่มัดใจทั้งสองหนุ่มร่างใหญ่ได้อยู่หมัดเครือคลอไปด้วยหยาดน้ำใสที่เจ้าตัวพยายามกระพริบตาถี่ๆเพื่อกันไม่ให้มันไหลออกมาฟ้องในรูปของน้ำตาที่สื่อถึงความเจ็บปวด

“ไม่เอาสิฟู  อย่าพูดแบบนั้นสิครับ” เพราะรู้จักอีกฝ่ายดียิ่งกว่าใคร วิญญูที่ก่อนหน้านี้แอบเอ๋อไปครู่ใหญ่ถึงกับเปลี่ยนท่าทีด้วยความร้อนรนเมื่อได้สดับรับฟังคำพูดดังกล่าวของกังฟู

ไม่ว่าผู้ใดก็ตาม ไม่ควรประมาททิฐิของอริยะตรัยผู้พี่ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติที่ไม่เป็นสองรองจากผู้ใด
เนื่องจากหากร่างเล็กถูกขัดใจมากๆ  กังฟูสามารถบันดาลความฉิบหายต่างๆนาๆให้บังเกิดต่อทั้งตัวเองและผู้อื่นได้ราวกับมีวาจาสิทธิ์ก็ไม่ปาน  ซึ่งสถานการณ์สมมติเมื่อครู่... คือสิ่งสุดท้ายที่วิญญูหวังจะให้เกิดกับบุคคลอันเป็นที่รักที่สุดอย่างกรกฏ  


“...กูก็ไม่ได้อยากจะทำร้ายตัวเองสักหน่อย” หลังอาละวาดมาได้พักใหญ่ อารมณ์ของมนุษย์เอาแต่ใจก็ดิ่งลงเหวทันทีที่ยังไม่สมประสงค์...

อุตส่าห์ลงทุนเอ่ยคำขอโทษขอโพยเสียยกใหญ่ ทั้งที่แต่ก่อนแทบไม่เคยได้ใช้คำว่าขอโทษเลยสักครั้งก็ยังยอมทำให้
แถมยังเปิดอกถกความรู้สึกละเอียดอ่อนที่เก็บซ่อนเอาไว้ให้ฟังจนหมดเปลือกอีกตั้งมากมายหลายเรื่อง...
หรือจะต้องให้เขาควักหัวใจออกมาให้ดูก่อนหรืออย่างไร ไอ้หมีควายทั้งสองถึงจะยอมเชื่องทำตามใจเขาในที่สุด?!!!


“ไม่เอานะ ไม่ทำร้ายตัวเอง ด้วงไม่ยอมหรอก” เมื่อเห็นท่าไม่ดี คิวท์บอยคนล่าก็สุดรุดเข้าใกล้ แล้วจึงตระกองกอดกรกฏเอาไว้แนบอกเพื่อปลอบขวัญ  พอโดนวิญญูโอ้โลมเพียงไม่นาน ร่างเล็กก็ออกอาการตาปรอยตามด้วยเบะปากจนดูเหมือนเด็กๆเข้าไปทุกทีๆ

“กูก็ไม่ได้อยากทำแบบนั้น...
.
.
...ก็แค่... ก็แค่กูไม่รู้จะทำยังไงแล้วนี่หว่า... ฮึก... ฮึก...
...มึงคิดว่ากูไม่เจ็บเหรอที่เห็นมึงสองคนอยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่กูน่ะ... ฮึก ฮึก... เจ็บ...ฮึก... กูเจ็บเป็นนะเว่ย!” กังฟูทุบหน้าอกข้างซ้ายของตัวเองไม่ยั้งคล้ายกับจะบอกให้ทั้งตรินและวิญญูรู้ว่า ต่อให้เปลือกนอกและเนื้อหนังโดนกระทบกระทั่งหนักมือสักแค่ไหน... ความรู้สึกเจ็บปวดใดๆ ก็ไม่อาจเทียบกับความคั่งแค้นภายในใจได้เลยสักนิด

แน่นอนว่า การเผยด้านที่อ่อนแอให้คนอื่นเห็นเป็นครั้งแรกของอริยะตรัยผู้พี่ ทำให้ทุกคนในที่นั้นตะลึงจนพูดไม่ออก
ส่วนคู่กรณีทั้งสองยิ่งไม่ต้องพูดถึง... ลำพังแค่จะผิดใจกับร่างเล็กสักครั้ง ยังต้องตีลังกาคิดแล้วคิดอีก...
แต่นี่ถึงขั้นทำให้กังฟูเสียน้ำตาร้องไห้กระซิกๆ แล้วสองหมีที่พร้อมยอมพลีกายเป็นทาสรักของอีกฝ่ายด้วยความสมัครใจจะต้านทานอำนาจทำลายล้างของน้ำตาพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยได้อย่างไรกัน?


“ไม่เอา... ไม่ร้อง ไม่ทำร้ายตัวเองแบบนั้นนะครับฟู ไม่ร้องนะครับคนดี” วิญญูห้ามเสียงอ่อนพลางแต้มปลายนิ้วลงเช็ดหยาดน้ำตาบนแก้มเนียนให้อย่างแผ่วเบา  แต่การกระทำดังกล่าวกลับทำให้อริยะตรัยคนโตร้องโฮหนักยิ่งกว่าเก่า

“...กูอยากร้อง... ฮึก...ที่ไหนเล่า... ฮือออออออ!!!!...”

จากเดิมที่คิดว่าแค่กอดปลอบเพียงไม่นานแล้วคงหาย กลายเป็นว่ายิ่งเอาใจใส่... ร่างเล็กก็ยิ่งสะอึกสะอื้นจนพูดไม่เป็นคำ
ท่าทางฟูมฟายคล้ายว่าจะขาดใจทำให้พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยยิ่งดูน่าสงสาร และเปราะบางผิดไปจากทุกที
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“ร้องไห้ทำไม? คนเก่งเขาไม่ร้องไห้กันง่ายๆหรอกนะ”


สุดท้าย...
คนที่แพ้พ่ายให้กับเพื่อนใหม่หน้าตาน่ารักยิ่งกว่าเด็กผู้หญิงคนไหนในชั้นอนุบาลสามห้องแรคคูนเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว
ก็ไม่แคล้วจะพลาดท่าเสียทีให้กับหนุ่มน้อยคนเดียวกันที่ยืนร้องไห้จะเป็นจะตายเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการผู้นี้อีกจนได้
เด็กเต็กร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาโอบไหล่ร่างเล็กเอาไว้แล้วค่อยๆไล้ดัชนีลบคราบน้ำตาที่ไหลเปรอะเปื้อนใบหน้าของกรกฏให้อย่างละมุนละม่อม


“ฮือออออออ... ก็มึงไม่ยอม ฮึก ฮึก... ไม่ยอมตามใจกูอ่ะ...ฮึก...” พูดยังไม่ทันขาดคำ ทำนบน้ำตาก็ทลายลงอีกครั้ง ถึงจะเสียน้ำตาเป็นถังๆ ทว่าคนถูกขัดใจกลับยกแขนขึ้นปัดป้องไม่ให้มือหนาเข้าใกล้หน้าได้อย่างเมื่อครู่...

ดูก็รู้ว่ากำลังต่อต้านด้วยไม่พอใจ  
แต่นั่นกลับทำให้หนุ่มสถาปัตย์ร่างใหญ่อดผ่อนยิ้มอย่างอ่อนใจในความรั้นจนร้ายที่ดูอย่างไรก็น่ารักของอีกฝ่ายไม่ได้


“ไม่เอา... ไม่มึงสิ... เรียกเต๋อดีๆก่อน” ตรินจับมือยุกยิกข้างนั้นเอาไว้ไม่ปล่อย แล้วคอยตามไล่เช็ดเม็ดน้ำตาที่ร่วงเผาะๆรดพวงแก้มอิ่มอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

“เรียกแล้วจะยอมไหม? ฮึก ฮึก...ยอมไหม?” พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยวิงวอนอย่างหมดท่า 

“ฮื่อ... เรียกเต๋อแล้วเรียกตัวเองว่าฟูก่อน... ถ้ายอมเรียก เต๋อจะยอมฟูทุกอย่างเลยครับ” และแล้ว น้ำเสียงนุ่มๆที่กรกฏเฝ้ารอคอยมาตลอดหลายวันก็ถูกเปล่งดังจนคนฟังซ่านไปทั้งทรวง

กระนั้น ร่างเล็กกลับยังกวาดตามองฝ่าม่านน้ำตาขึ้นจ้องมองใบหน้าคมคายของอีกฝ่ายด้วยความสับสนระคนไม่มั่นใจนัก
อริยะตรัยผู้พี่จะยังยินดีไม่ได้จนกว่าจะแน่ใจว่า... เจ้าของร่างหมีทีช่างเอาใจเป็นที่สุดยอมรับเงื่อนไขของเขาแล้วจริงๆ


“เต๋อ... เต๋อรักฟูกับด้วงนะ นะ... รักฟูกับด้วงได้ไหม?” กรกฏเงยหน้าขึ้นสบตากับตรินใกล้ๆด้วยอยากแน่ใจว่าอีกฝ่ายจะไม่เล่นลิ้นปลิ้นปล้อน  ซึ่งการกระทำดังกล่าวกลับเผยให้ร่างสูงใหญ่มองเห็นความอ่อนไหว และไม่เป็นตัวของตัวเองของพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยได้อย่างทะลุปรุโปร่งผ่านดวงตาคู่งามที่เริ่มจะบวมช้ำหลังการร่ำไห้คล้ายทำนบแตก

หมดแล้ว ไอ้ที่คิดจะไม่ยอม ไอ้ที่คิดว่าจะรับไม่ได้ 
ต่อจากนี้... เลิกหวังว่าจะสร้างเรื่องขัดใจร่างเล็กได้ซ้ำสองไปได้เลย
เพราะการบังคับให้อีกฝ่ายปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้ถูกใจเขา แต่ต้องแลกกับการร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่าของกังฟู...
เขาสู้ยอมมีเมียไม่ได้ดั่งใจแต่มีความสุขเป็นบ้าเป็นหลังยังจะดีเสียกว่า

ส่วนเรื่องของวิญญู... เอาไว้ค่อยคิดอีกทีว่าจะหาทางอยู่ร่วมกันอย่างไรโดยไม่ให้เกิดปัญหาแย่งเมียสุดที่รักในภายหลัง...
ซึ่งคงไม่ยากเกินไป... ล่ะมั้ง?!!


“ถ้าฟูพูดแบบนี้...
.
.
...ต่อให้ฟูจะเอาชีวิตเต๋อ... เต๋อก็ให้ได้ครับ” กังฟูยิ้มกว้างรับคำเต๋อด้วยน้ำตาแห่งความปีติ ก่อนจะหันไปหาเจ้าของอ้อมกอดที่ประคองร่างของเขาเอาไว้ไม่ให้โงนเงนอยู่นานสองนาน  แล้วตั้งคำถามเดียวกันเพื่อขอความยินยอมจากคนรักผู้ควบตำแหน่งเพื่อนสนิท

“แล้วด้วงล่ะ? ด้วงรักเต๋อด้วยได้ไหม? เรารักกันสามคนได้ไหม?”

คำถามข้อนี้ทำเอาหนุ่มหน้าหยกถึงกับสะอึกไปครู่ใหญ่...
ความรู้สึกที่มีต่อกรกฏ เขาแน่ใจล้านเปอร์เซนต์ว่ามันคือความรักอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่กับตรินนี่สิ...
ความรู้สึกหวั่นไหวที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นยามสบตาคมคู่นั้น
ความรู้สึกสะท้านใจยามที่เห็นอีกฝ่ายเจ็บปวด กับความรู้สึกดีๆ ความรู้สึกสบายใจทุกเมื่อที่ได้อยู่ใกล้ๆกับอีกฝ่าย มันคืออะไรกันแน่?  

แต่สายตาคาดหวังซึ่งยังเปียกปอนเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาที่กดดันด้วงอยู่ไม่วาง
ทำให้แม้จะยังคิดเรื่องของเต๋อไม่ตก ทว่าหนุ่มวิศวะร่างสูงกลับตัดสินใจตอบรับคำขอของร่างเล็กได้อย่างไม่ยากเย็น...

แค่ได้รัก ได้อยู่กับกังฟูใรฐานะคนพิเศษทุกๆวัน...
การจะเปิดใจรับผู้ชายนิสัยดีอีกคนเข้ามอยู่ร่วมความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองเพิ่มขึ้นอีกคน
คงไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงเกินกว่าที่คนอย่างเขาจะรับได้อย่างแน่นอน


“ได้สิ... ด้วงรักฟู และจะรักเต๋อด้วย... เราจะรักกันสามคนเลยดีไหมครับ? / ดี...ฮืออออออออ...  ดีมากเลย โฮฮฮฮฮฮฮฮฮ!!!” กรกฏโผซบหน้าลงกับแผ่นอกของอีกฝ่ายพลางร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความดีใจที่ทั้งสองหนุ่มยอมร่วมหัวจมท้ายกับตัวเองในที่สุด

“โอ๋ โอ๋ โอ๋... ไม่ร้องแล้วน้า ด้วงกับเต๋ออยู่นี่แล้วนะครับ... รักกันรักกันสามคนไง” วิญญูว่าพลางรวบกอดร่างเล็กด้วยความโล่งอก แต่ดูเหมือนยิ่งโอ๋... คนเอาแต่ใจก็ยิ่งจะร้องไห้หนักข้อขึ้นยิ่งกว่าเดิม

หนุ่มร่างหมีที่อมยิ้มด้วยความเอ็นดูแอบส่ายหัวน้อยๆกับอาการปี่แตกของคนรัก
ก่อนจะเดินเข้าไปสวมกอดทั้งสองหนุ่มเอาไว้อีกทอดหนึ่ง แล้วปลอบประโลมแกมห้ามปรามกรกฏด้วยความนุ่มนวล


“รักแล้วก็เลิกร้องได้แล้วครับคนเก่ง”

“ฮึก ฮึก... อือ...” คนที่ถูกโอบกอดรอบด้านรับคำ แต่เมื่อตาเจ้ากรรมเหลือบไปเห็นสีหน้าแป้นแล้นแสนสุขของฝาแฝดหัวสี ทำเอาเสถียรภาพทางอารมณ์ของอริยะตรัยผู้พี่กระโดดพุ่งหลาวดิ่งลงเหวอีกครั้ง... แต่คราวนี้ กลับลากสองหนุ่มร่างหมีให้ติดร่างแหตามกันไปด้วย “...ฟืดดดดดด...เดี๋ยวก่อน!... กูยังมีเรื่องที่ต้องสะสางกับพวกมึงอยู่อีก!!

เมื่อวาระแห่งชาติคลี่คลายไปในทิศทางที่เจ้าตัวเห็นชอบ  
ก็ได้เวลาทวงถามคำตอบของเรื่องกวนใจทั้งหลายที่ทำเอากังฟูไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันเสียที
ร่างเล็กปัดมือไม้ของคนข้างกายทั้งสองออกจากตัวอย่างจ้าละหวั่น ก่อนจะผลุนผลันดีดตัวออกมายืนกอดอกกระดิกปลายเท้าพลางมองหน้าทั้งเต๋อและด้วงด้วยสายตาเอาเรื่อง


“อ้าว! ไหนว่ารักกันๆแล้วจะฟูเต๋อฟูด้วงยังไงล่ะครับ?!” คำประกาศกร้าวด้วยท่าทางราวเสือดาวแม่ลูกอ่อนของกังฟูทำเอาหนุ่มร่างสูงใหญ่ทั้งสองมองหน้ากันไปมา แล้วก็เป็นตรินที่เอ่ยขัดขึ้นด้วยความงุนงงกับท่าทีที่เปลี่ยนไปราวหน้ามือเป็นหลังเท้าแบบฉับพลันทันตา...

ก่อนหน้านี้ยังเล่นหนังโศกโลกท่วมน้ำตากันอยู่ดีๆ
แต่จู่ๆก็เกิดอยากจะขึ้นอ้ายขึ้นอีชี้หน้าแล้วคว้าลำตัวมาเข่าบินใส่ขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ต่อให้สติสตังยังพอมี แต่คนดีๆสักกี่คนจะตามความคิดของร่างเล็กได้ทัน?!!  


“ไว้ฟูไว้เต๋อกันทีหลัง พวกมึงยังต้องเคลียร์ตัวเองมาก่อนว่า มึงสองคนกับไอ้ฝาแฝดสก๊อยสงกรานต์สองตัวนั่นแอบมีอะไรกันหรือเปล่า?” หนุ่มวิศวะร่างเล็กคาดคั้นหนักหน่วง

“เฮ่ย! ไม่มี้ ไม่มีอะไรทั้งนั้น / ไม่มีจริงๆครับฟู จะให้ด้วงไปสาบานที่วัดไหนก็ได้” ทั้งตรินและวิญญูถึงกับปฏิเสธเป็นพัลวัน ทว่าแทนที่คำกล่าวอ้างดังกล่าวจะซื้อใจพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยได้ ร่างเล็กกลับเบ้ปากพร้อมกลอกตาเป็นเลขหนึ่งไทยใส่สองหนุ่มแบบรัวๆ

“จริงเหรอ?!! แล้ววันก่อนที่มึงกอดกับไอ้หัวทองตรงใต้คณะล่ะด้วง?...
...กูเห็นนะ... มึงกับไอ้ซ้ายน่ะยืนกอดกันอยู่ตั้งนานสองนาน...
...คนเดินผ่านไปผ่านมาเป็นร้อยมึงก็ยังจะกอดแม่งไม่ปล่อยอยู่อีก...
.
.
...ส่วนมึง...
...อธิบายมาเดี๋ยวนี้นะว่าไอ้รูปเหี้ยในเพจห่านั่น กับที่มึงให้ไอ้ขวาเดินเกาะแขนเกาะขาซื้อข้าวเมื่อตอนเช้าน่ะหมายความว่ายังไง?... ไหนบอกว่ารักกูคนเดียว แต่พอเห็นไอ้หัวแดงเข้าหน่อยก็แอบอ่อยเพราะหวังจะเก็บเอาไว้เคี้ยวยามปากว่างหรือไงมึง?” ทั้งสองหนุ่มและฝาแฝดต่างสะดุ้งกันถ้วนหน้าเมื่อโดนอริยะตรัยผู้พี่ฉะเรียงตัว... โดยเฉพาะเหล่าตัวต้นเรื่องทั้งสองที่ขนลุกขนพองเป็นระยะๆคล้ายกับว่าชะตาใกล้ขาดอยู่รอมร่อ

“ด้วงเปล่ากอดน้องนะครับ /ไม่ใช่นะฟู ไม่ใช่แบบนั้น!!” ผู้ต้องหาที่ตกเป็นจำเลยในพริบตาต่างตั้งหน้าตั้งตาอธิบายตัวเองกันให้วุ่นไปหมดจนกรกฏต้องออกโรงจัดแจง

“หยุด! กูจะให้โอกาสพวกมึงแก้ต่างทีละคนตามลำดับการกระทำความผิด!!...
.
...มึงก่อนเลยไอ้ด้วง!...
...เล่ามาให้ละเอียดทุกหยด ถ้ามึงกล้าตอหลดตอแหลใส่กูล่ะก็... มึงเตรียมตัวไปหล่อที่ภพหน้าได้เลย!!” รังสีอำมหิตแผ่ซ่านออกมาจากร่างของพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยจนใครต่อใครล้วนแต่สัมผัสถึงกลิ่นอายแห่งความตายกันได้ถ้วนหน้า ความกดดันเลยตกลงบนบ่าของคิวท์บอยหน้าหยกแบบเต็มๆ

“ด้วงเห็นน้องรีบลุกแล้วน้องจะล้มด้วงเลยรีบเข้าไปประคองเฉยๆเองครับฟู” วิญญูกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากเมื่อพี่ชายธันวานิ่วหน้าหนักมากหลังจากได้ยินสรุปแบบรวบรัด ร่างสูงจึงจัดรายละเอียดเพิ่มเติมให้อีกหนึ่งประเด็น พร้อมซัดทอดผู้เห็นเหตุการณ์ ณ จุดเกิดเหตุให้ช่วยแก้ต่างมันเสียเลย

“อีกอย่าง... ตอนนั้นมันก็แค่วูบเดียวจริงๆ ไม่ได้กอดกันนานเลย...
.
.
...ไม่เชื่อฟูลองถามเก็กดูก็ได้ ตอนนั้นเก็กก็อยู่แถวนั้นพอดีครับ”

“มึงว่าไงไอ้เก็ก?” ธันวาถึงกับสะดุ้งตัวโยนเมื่อพี่ชายปรายวิถีดวงตาพิฆาตมายังคนนอกอย่างเขาโดยไม่บอกกล่าว แต่เมื่อตั้งตัวติด... หนุ่มรูปงามก็ปิดประเด็นอ่อนไหวให้ด้วงได้อย่างสวยงาม

“ก็อย่างที่พี่ด้วงบอกอ่ะเฮีย... กอดเกิดที่ไหน เก็กเห็นพี่ด้วงแค่ประคองน้องเค้าแป๊บๆเองเหอะ”

สีหน้าซื่อใสไร้เงื่อนงำของน้องชายทำให้กรกฏหมดข้อสงสัยในทันตา
ด้วยตั้งแต่เกิดมา... ตนเองเคยตกลงกับอดีตเดือนมหาลัยว่า
หากเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ขอให้ต่างฝ่ายพูดแต่ความจริงต่อกันเท่านั้น  
ส่วนเรื่องอื่นๆที่ไม่สำคัญ... ถ้าคิดจะโกหกกัน ก็อย่าให้เขาจับได้เป็นอันขาด


“โอเค! มึงรอด!!” คำพิพากษาดังกล่าวทำเอาวิญญูถึงกับแอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้น... ร่างเล็กจึงเบี่ยงวิถีสายตาสุดโหดไปวางที่เป้าหมายร่างหมีเป็นรายถัดไปทันที  

“ต่อไปตามึงเต๋อ!...
.
.
...เรื่องรูปถ่ายน่ะกูยกประโยชน์ให้จำเลย กูจะคิดซะว่าอาจเป็นมุมกล้องหรือห่าเหวอะไรก็ได้...
...แต่เมื่อเช้าตอนที่มึงเดินประคองแขนไอ้ขวามัน กูอยู่ในที่เกิดเหตุและกูก็เสือกเห็นจะๆแบบเต็มสองตา... อย่างนี้มึงจะแก้ตัวว่ายังไง?”

ทุกๆวินาทีที่หมีตัวใหญ่กับชายหนุ่มร่างเล็กจ้องตาวัดใจกัน ช่างน่าหวาดหวั่นและอึดอัดจนเหล่าสมุนเลวต้องกลั้นหายใจ
เต๋อนึกทบทวนถึงภาพเหตุการณ์อันลางเลือนเมื่อช่วงเช้าแล้วก็อดลังเลไม่ได้...


“น้องเดินไม่ระวังเลยลื่น เต๋อเลยคว้าเอาไว้... แค่นั้นเอง จริงๆนะครับฟู” เด็กเต็กตัวใหญ่ที่ค้อมตัวพลางรวบมือทั้งสองยืนกุมส่วนอ่อนไหวคล้ายกับกลัวว่าสายตาพิฆาตจะปาดลูกรักหลุดออกจากขั้วตอบอย่างเหนียมๆพลางตบตีกับความทรงจำของตัวเองจนวุ่นวาย...

ไอ้ที่ช่วยน้องน่ะมันก็ใช่...
แต่ไอ้ช่วงท้ายๆนี่... เขาดันกลับจำไม่ได้ว่า สรุปเขาจับ หรือไม่จับฝาแฝดคนน้องอย่างที่กังฟูว่ามาวะ?!


“แล้วทำไมต้องจับมือถือแขนมันเดินด้วย?” ถึงจะไม่เคยเป็นพี่ระเบียบในฤดูรับน้อง... แต่อริยะตรัยผู้พี่กลับว้ากหมีหนุ่มได้โดยไม่ต้องสอน

นั่นปะไร! ... ป่วยการจะสงสัยตัวเองอีกต่อไป
ลองว่าถ้าพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยเชื่อฝังหัวว่าเขากระทำผิดแบบนี้ 
ตรินคงทำได้เพียงเอาตัวรอดจากโทษประหารเจ็ดชั่วโคตรครั้งนี้ให้ได้สถานเดียว  

เขาว่ากันว่า ชั่ววินาทีเฉียดตาย จะทำให้คนเราสารภาพความจริงใดๆก็ได้ออกมาจนหมดเปลือก
แต่ทฤษฏีนั้นกลับใช้ไม่ได้กับหมีร่างใหญ่ผู้ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใดนอกจากอาการหึงอันร้ายกาจของว่าที่เมีย


“ไม่ได้จับเลย!!! ช่วยเสร็จแล้วก็แล้วกัน ไม่มีแตะต้องโดนตัวอะไรกันอีก” เต๋อโกหกอย่างฉับไวไหลลื่น ก่อนจะตบท้ายด้วยประโยคที่คนขี้ฉ้อมักจะใช้เพิ่มความน่าเชื่อถือที่พูดผ่านน้ำเสียงผิดหวังระคนน้อยเนื้อต่ำใจ “โธ่ฟู! เต๋อไม่เคยโกหกฟู ฟูก็รู้นี่ครับ”

สีหน้าไม่เชื่อของกรกฏทำให้ตรินงัดไม้ตายสุดท้ายออกมาใช้...
ถ้านั่นพอจะช่วยให้ด้วงรอดจากเครื่องประหารหัวหมาได้ เขาก็คงจะไม่ตายเพราะน้ำมืออริยะตรัยผู้พี่ด้วยเหมือนกัน


“ฟูถามเก็กดูก็ได้ มันเดินสวนเต๋อกับน้องที่โรงอาหารเมื่อเช้า” เต๋ออาศัยจังหวะที่ร่างเล็กตวัดสายตาไปมองหน้าน้องชายส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือจากอดีตเดือนมหาลัยทันที  ซึ่งอีกฝ่ายก็รับมุกอย่างแนบเนียนสมกับที่เป็นเซียนด้านการแสดงโดยแท้  

“อ๋ออออ! เอ้อ! ใช่ๆเฮีย เมื่อเช้าเก็กไม่เห็นพี่เต๋อเดินควงใครนะ เดินห่างๆเลย ห่างแบบเป็นโยชน์เลย เฮียเห็นไกลๆหรือเปล่าเลยเข้าใจผิดไปเองน่ะ?” เก็กรับสมอ้างด้วยท่าทางขึงขังทั้งที่ไม่ได้เจอหน้าว่าที่พี่เขยเลยสักนิด  

“ถ้างั้นก็แล้วไป! แต่หลังจากนี้อย่าให้กูเห็นอีกนะว่ามึงสองคนแอบไปอี๋อ๋อกับใคร กูจะตามไปถลกหนังหัวพวกมึงถึงที่เกิดเหตุแน่ๆ!” เมื่อไม่มีหนทางเอาผิดหนุ่มร่างหมีได้ กรกฏก็ยอมไว้ชีวิตสองหนุ่มแต่กลับไม่ลืมคาดโทษทั้งคู่เอาไว้ล่วงหน้าตามประสาควาญช้างที่ดี

“ครับ ไม่มีครับ... ไม่มีคนอื่นแน่ๆครับ” พอเห็นเต๋อค้อมตัวรับโอวาทอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน ร่างเล็กจึงหันไปถลึงตาโปนข่มขู่ด้วงจนหนุ่มหน้าหยกเอ่ยอย่างอ่อนอกอ่อนใจ

“โธ่ฟู! ด้วงจะมีใครได้อีกล่ะนอกจากฟูน่ะ”

ดีมาก!!” ที่สุดแล้ว เมื่อไม่มีเรื่องชวนให้ขุ่นข้องหมองใจ... กรกฏก็คลี่ยิ้มกว้างออกมาได้อย่างเบาใจเป็นครั้งแรกของวัน แต่ความผาสุกกลับเกิดได้ไม่นาน... เพราะแฝดหัวแดงดันถามแทรกขึ้นมาพาให้เกิดพายุหมุนลูกใหม่ก่อตัวขึ้นอีกระลอก

“แปลว่าพวกพี่ๆเป็นแฟนกันแล้วใช่ไหมครับ?” พลับจงใจตั้งคำถามหลอกล่อเพื่อหลอกให้พ่อฟูของตนติดกับกล้ายอมรับพร้อมกับประกาศสถานะล่าสุดของตนกับคนตัวโตทั้งสองที่ยืนจ๋องอยู่ด้านหลังอย่างเป็นทางการเพื่อปลดพันธนาการแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์สายบู้ลงเสียที  

“เออ! สองคนนี้เป็นแฟนกู... คน ของ กู!! เข้าใจตรงกันนะไอ้ลูกกวาดคริสต์มาส?!” ร่างเล็กเอ่ยอย่างฉะฉานจนคนฟังต้องแอบหลบหน้าหลบตาเพื่อกลั้นยิ้มกันแทบไม่ทัน  แล้วจึงหันไปอบรมคนของตัวเองเป็นรายการถัดไป “มึงสองคนก็เหมือนกัน ห้ามไปสุงสิงกับไอ้วุ้นงานวัดสองตัวนี้อีกเป็นอันขาด!!............ แต่เดี๋ยวก่อน!!!

ยังไม่ทันที่เต๋อกับด้วงจะถอนหายใจได้สุดลม
อริยะตรัยคนพี่กลับชะงักค้างแล้วออกท่าออกทางเหมือนนึกอะไรสำคัญขึ้นมาได้  


“แล้ววันสองวันที่ผ่านมาพวกมันนอนที่ไหน?” ขณะพ่นคำถามอย่างดุเดือด... คนพูดก็ปรายหางตาไปมองฝาแฝดสลับกับใบหน้าของแฟนทั้งสองด้วยความไม่ไว้ใจ

“ก็นอนที่นี่” แค่พาดหัวสั้นไปนิด คนฟังก็คิดลึกไปถึงไหนๆ จนตรินต้องรีบสำทับด้วยคำอธิบายยาวเหยียดเป็นการใหญ่โดยไม่รอรี “แต่นอนอีกห้องนึงกับอิ๊กน่ะครับฟู ฟูลองถามอิ๊กหรือถามไอ้พวกนั้นดูก็ได้ พวกมันย้ายมานอนที่นี่กันตั้งแต่วันแรกที่เราทะเลาะกันแล้วล่ะ” หนุ่มร่างหมีเบิกพยานในที่เกิดเหตุขึ้นมาช่วยแก้ต่างให้ตนกับวิญญูอีกครั้งด้วยความมั่นใจว่า ความจริงจะช่วยให้รอดตายอย่างไม่ต้องสงสัยใดๆอีกแล้ว  

ได้ยินดังนั้น กรกฏจึงหันไปพิจารณาหนังหน้าของพยานรู้เห็นทั้งหลายตามคำอวดอ้างอย่างช้าๆ
และก็คิดได้ว่า... หากจะค้นหาความสัตย์อันเที่ยงแท้ ย่อมต้องแซะเอาจากผู้ไม่ประสงค์ดีที่สุดกับตัวเขานี่แหละถึงจะได้ข้อมูลตามจริงมากที่สุด


“มึงว่าไงไอ้เหี้ยอิ๊ก?”  


อนิจจา... เหล่าสมุนเลวและรุ่นพี่ทั้งสามคงห้อยจตุคามรุ่นโลกสวยจึงได้ประเมินงูเห่าอย่างอคิราต่ำจนเกินไป
เพราะสำหรับอดีตเดือนบริหารหน้าหวานใสแล้ว หากคิดจะแก้แค้นผู้ใดให้เจ็บปวดรวดร้าวไปตั้งแต่ใจลามไปถึงเซ่งจี๊  
ก็ต้องอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายอ่อนแอที่สุดเพื่อฉุดให้ศัตรูตกลงสู่นรกขุมเดียวกันกับที่ตัวเองเคยสัมผัส...
และช่วงเวลาดังกล่าวที่เขาเฝ้ารอมาเกือบหนึ่งปี ก็ลอยมาตกลงตรงหน้าของเขาโดยไม่ต้องขวนขวายในบัดเดี๋ยวนี้นี่เอง


“เปล่าสักหน่อย! ผมนอนคนเดียวเหอะ!” เดือนบริหารที่แอบถอดแว่นตาอันเป็นของวิเศษที่ฌอนหยิบยืมมาจากเจ้าพ่อห่อไหล่ออกแล้ว เชิดหน้าเอ่ยอย่างถือดี จนรุ่นพี่ผู้โดนพาดพิงถึงกับหลุดปากตะโกนด้วยความตกใจ

เฮ่ย!! / หนอยแน่ะไอ้ควายเต๋อ!! นี่มึงกล้าเล่นลิ้นกับกูเหรอไง?” กรกฏหันไปเอาเรื่องเต๋อทันทีโดยไม่ต้องให้ใครชี้แนะ แต่ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นองเลือด แฝดพี่ก็เอ่ยแทรกขึ้นเพื่อช่วยชี้แจงแถลงความเป็นจริงและชิงโปรดสัตว์สองเท้าร่างหมีไปพร้อมๆกัน

“ช้าก่อนครับเฮียฟู!  เฮียฟูฟังผมก่อน... ฝาแฝดนอนห้องเดียวกันกับอิ๊กจริงๆนะครับเฮียฟู...
.
.
...ผมรับรองได้เพราะพวกผมนอนเฝ้าอยู่ตรงห้องรับแขกนี่...
...ไม่มีใครนอนห้องพี่เต๋อนอกจากพี่ด้วงเลยครับ” สายตานิ่งๆและท่าทางน่าเชื่อถือของฌานพลิกสถานการณ์จากหลังเท้าเป็นหน้ามือได้อย่างเฉียดฉิว

“พวกมึงไม่ได้อิ๊อ๊ะ? / ไม่มี๊!!”  เต๋อกับด้วงส่ายหัวดิกเมื่อได้ยินคำถามล่าสุดของกังฟู  

“ชัวร์นะว่าไม่ได้มีซัมติงรอง? / หึ!!” หนุ่มร่างสูงทั้งสองส่งเสียงปฏิเสธในลำคอพอเป็นพิธีเพื่อไม่รบกวนการสะบัดหน้าเร็วรี่เพื่อยืนยันคำปฏิเสธให้ดูหนักแน่นสมจริงสมจัง

“ไม่ได้แอบหลบออกมาเต๊าะกันตอนไอ้พวกนั้นไม่เห็นจริงหรือเปล่า? / เปล่า!!” คนถูกถามยังคงส่ายหัวอย่างต่อเนื่องจนดูตลกในสายตารุ่นน้องที่ยืนมองท่าทางสำรวมและภักดีโดยพร้อมเพรียงดังกล่าว

แน่นะ?!” คราวนี้ ทั้งตรินและวิญญูต่างพยักหน้าหงึกหงักรับราวกับจะให้อาการหน้าสั่นอย่างรุนแรงส่งไปกระแทกยังกลางใจของคนฟังก็ไม่ปาน  

“แน่สิครับ... ก็คนเล็กน่ะแฟนฌานนี่นา” พลับเอ่ยแทรกเพื่อยุติข้อสงสัยลงก่อนที่จะมีหมีตนไหนโดนซักฟอกจนซีดตายไปเสียก่อนจะได้เป็นพ่อคน

ห๊ะ?!!!!!”เสียงอุทานอย่างตกใจของทุกๆคนที่ร่วมเป็นพยานในการประกาศความสัมพันธ์ของสองหนุ่มไม่ได้ทำให้แฝดหัวแดง หรือกระทั่งร่างทรงรูปงามตื่นตระหนก   

ตรงกันข้าม... แฝดพี่ผู้มากบารมีกลับโอบเอวเด็กหนุ่มหน้าหวานหัวสีชาดเอาไว้แนบกับตน  
ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้ายินดีและภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง


“ครับ... คนนี้แฟนผมเอง  รักมาก...รักอยู่คนเดียวนี่แหละ เนอะตัวเล็กเนอะ / ใช่แล้วครับผม!!” พลับน้อยยิ้มรับอย่างน่ารักก่อนจะเอนซบอกของคนตัวใหญ่เพื่อแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอีกฝ่ายด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ 

ข่าวล่ามาเร็วดังกล่าวนำมาซึ่งความโล่งอกของหนุ่มรุ่นพี่ โดยเฉพาะเด็กเต็กร่างหมีที่พ้นข้อกล่าวหาโดยสมบูรณ์  
ส่วนเหล่าสมุนเลวที่เหลือ...ต่างคลี่ยิ้มแสดงความยินดีแก่ทั้งสองด้วยความเต็มใจ  
แต่ถ้าหูไม่เฝื่อนตาไม่พร่าจนเกินไป... สาบานได้ว่า ระหว่างที่คนอื่นร้อง ห๊ะ?!!’ ไปเมื่อสักครู่ สกลกลับแอบกู่ร้องคำว่า เหี้ย อย่างโหยหวนจนชวนให้รู้สึกสมเพชตามไม่ได้

แต่ช่วงเวลาแห่งความดีอกดีใจดังกล่าวยังไม่ใช่ที่สุดของแจ้
เพราะสถานะซี้แหงแก๋ยังแปะอยู่บนหน้าผากของวิญญูอยู่เหมือนเดิม


“อ่ะ! แล้วไอ้ตัวหัวทองล่ะ?” ร่างเล็กหันไปปรายตามองด้วงด้วยสายตาพร้อมทะลวงไส้จนพลุเริ่มทำหน้าไม่ถูก... สุดท้าย เพื่อความสุขของครอบครัวในอนาคต หนุ่มหัวทองจึงเดินดุ่มๆเข้าไปประกบร่างสูงของฌอน ก่อนจะควงแขนข้างที่ว่างแล้วเอ่ยด้วยท่าทางปลื้มปริ่ม

“ของคนกลางก็คนนี้ไงครับ” แม้แฝดคนกลางจะกำลังเกาะแขนแฝดน้องอยู่ก็จริง  ทว่าสายตากลับมองเลยไปสบนิ่งยังร่างทองที่โปร่งแสงที่ลอยอยู่เหนือไหล่ของอีกฝ่ายต่างหาก 

ถึงอย่างนั้น... ผู้ที่ไม่มีบารมีเยอะมากจนมองเห็นเด็กวิเศษทั้งหลาย
ต่างก็เข้าใจผิดไปโดยทั่วกันว่า... ฝาแฝดหัวทองกับฌอน ต้องแอบซ่อนความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวเอาไว้แน่ๆ...
และกลุ่มคนที่ว่า ดันรวมเอาอคิราเอาไว้แบบเสร็จสรรพเสียด้วย

เฮ่ย?!! / ว่าไงนะ?!!!” อดีตเดือนบริหารตะโกนถามด้วยน้ำเสียงกริ้วจัด ก่อนจะสะบัดบ็อบวิ่งหนีออกนอกห้องไปโดยไม่รอฟังคำอธิบาย

เดี๋ยวอิ๊ก! เดี๋ยวก่อน!!” เห็นดังนั้น แฝดน้องจึงรีบสับขาตามร่างบางไปทันทีก่อนที่คนขี้มโนจะยิ่งเข้าใจผิดจนเลยเถิดไปกันใหญ่

“งานงอกแล้วสินะฌอนศรี...
.
.
...บอกแล้วว่าอย่ามี อย่ามี...
...แล้วเป็นไงล่ะ เพิ่งจะซึ้งล่ะสิว่าคนไม่มีคู่น่ะชีวิตดีกว่าเป็นไหนๆ โฮะ โฮะ โฮะ” หนุ่มหน้าแว่นหัวเราะเยาะเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดอย่างฝืดเฝื่อนเมื่อเลื่อนสายตากลับไปเห็นฌานกับแฝดหัวแดงส่งยิ้มให้กันด้วยความกระดี๊กระด๊า  ระหว่างนั้น ในใจก็พลันคิดพะวงแต่เพียงว่า... หรือในอีกไม่ช้า เขาจะกลายเป็นหมาหัวเน่าที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเสียเอง?








“พี่ฌานครับ... พี่ฌานเห็นบูบู้ไหมครับ?... แนน... แนนเห็นบูบู้ไหม?” น้ำเสียงประหวั่นพรั่นพรึงของหนุ่มรูปงามดีกรีเดือนมหาลัยที่ดังขัดช่วงเวลาชื่นมื่นของแฝดพี่ทำเอาสมุนเลวทั้งสองหน่อตื่นตัว

“อ้าว! เมื่อกี๊ไม่ได้ยืนอยู่กับคุณธันวาเหรอครับ?” สกลถามพลางสอดส่ายสายตาแสกนไปทั่วห้องอย่างรวดเร็ว

“เปล่า  ก่อนหน้านี้เห็นว่าจะไปเข้าห้องน้ำ... บอกผมว่าถ่ายท้องมาตั้งแต่บ่ายๆแล้ว ไม่รู้ไปกินอะไรผิดสำแดงมา”

“แล้วนี่ไม่ได้อยู่ในห้องน้ำหรอกเหรอ?” ฌานเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี เพราะเมื่อลองตั้งกระแสจิตเรียกเจ้าพ่อทั้งสอง... ก็กลับติดต่อองค์เทวบุตรไม่ได้เช่นกัน

“ไม่ครับ ผมเช็คดูทุกห้องแล้วพี่ฌาน โทรหาเท่าไรก็โทรไม่ติด” ธันวาสรุปอย่างร้อนรนระหว่างใคร่ครวญถึงความเป็นไปได้ทั้งหลายที่อาจจะใช่สาเหตุของการหายตัวไปอย่างไร้วี่แววของแฟนตัวน้อย
.
.
.
.
“พวกมึงมีเรื่องอะไรกัน?” สุดท้าย...กังฟูที่จับสังเกตความผิดปกติของรุ่นน้องทั้งสามได้ก็เข้ามามีเอี่ยว

“บูบู้หายไปครับเฮีย!!” อดีตเดือนมหาลัยรายงานด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนักจนกรกฏต้องตั้งหลักปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ เพื่อให้พร้อมกับการช่วยเหลือน้องชายได้อย่างเต็มที่

“มึงหาดีแล้วใช่ไหม?”

“ครับเฮีย! เก็กใจไม่ดีเลยเฮีย บูบู้ไม่เคยหายไปโดยไม่บอกมาก่อนเลยครับ” ความกังวลจนไม่อาจคุมสติได้พรั่งพรูผ่านถ้อยคำทั้งหลายของอริยะตรัยผู้น้อง...

เพราะเมื่อคิดย้อนไปถึงอากัปกิริยาแปลกๆของคนรักเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า
เก็กก็สามารถมองหาพิรุธผ่านท่าทีของอีกฝ่ายได้หลายจุด ไม่ว่าจะพูดน้อย แอบทำหน้าเศร้าสร้อย แถมยังไม่ค่อยตอบไลน์จนเขาเผลอเข้าใจไปว่าอีกฝ่ายคงจะเพลียจากอาการท้องเสียจริงๆ...
แต่สิ่งที่เกิดขึ้น กำลังฟ้องว่า... มันไม่ใช่!

เขาไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้ แบบที่ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง..
แบบที่เหมือนกับถูกอีกฝ่ายทิ้งเอาไว้กลางทางโดยไม่ให้คำอธิบาย

ทำไมชายกลางถึงทำกับเขาในจังหวะสำคัญแบบนี้?!
ทำไมไม่อยู่รอฟังสิ่งที่เขาอยากจะบอกกับอีกฝ่ายที่สุดให้รู้เรื่องไปเสียก่อน?!!


“มึงใจเย็นก่อน... ไหนมึงลองนึกสิเก็กว่าบูบู้มันชอบไปที่ไหน?” พี่ชายค่อยๆตะล่อมถามด้วยความใจเย็นเพื่อให้คนเป็นน้องได้ทบทวนความจำอย่างช้าๆเพื่อลดความกังวลจนอาจจะวู่วามทำอะไรที่ไม่ควร  ซึ่งคำถามนี้เอง...ที่ทำให้แฝดพี่นึกขึ้นได้ว่าควรจะพาทั้งหมดไปสถานที่แห่งใดบ้าง ด้วยหวังว่าการลงมือทำอะไรสักอย่างคงช่วยทำให้อดีตเดือนมหาลัยไม่คิดมากจนสติแตกไปเสียก่อน

“เดี๋ยวพวกผมพาไปเองครับ” ฌานเสนอตัวทั้งที่ไม่แน่ใจสักเท่าไร ในยามนี้...เมื่อไม่มีฌอน เขาก็ไม่อาจสอบถามพลายให้ช่วยเช็ครายละเอียดได้ ครั้นจะหวังพึ่งเจ้าพ่อห่อไหล่กับเจ้าพ่อไทรทอง... ท่านทั้งสองก็ดันหายเข้ากลีบเมฆไปตั้งแต่เสกแว่นให้อดีตเดือนบริหารเมื่อตอนบ่าย  กลายเป็นว่า... ร่างทรงหนุ่มคงต้องออกไล่ตามหาเพื่อนที่หายไปโดยไร้ตัวช่วยวิเศษใดๆทั้งสิ้น  

“ไป! งั้นพวกเราก็ออกไปตามหาบูบู้ด้วยกัน!” รุ่นพี่ร่างเล็กสรุปสั้นๆคล้ายให้สัญญาณออกตัวแก่พวกพ้อง


Ħ------------------------------------------------------------------------Ħ


ณ ศาลเจ้าพ่อห่อไหล่ริมอ่างเก็บน้ำใหญ่ด้านหลังมหาวิทยาลัย ใต้ต้นกันเกราสูงกว่าสิบเมตร
ขณะนี้ เป็นเวลาสิบแปดนาฬิกาห้าสิบห้านาที

ร่างผอมนั่งบนปลายเท้าตัวเอง พลางหลับตาประนมมือถือธูปเก้าดอกที่ติดไฟวูบวาบไปเสียทุกครั้งที่สายลมพัดผ่าน
กระนั้น... ควันธูปที่ลอยวนจนแสบตาฉุนปลายจมูกกลับไม่ใช่สาระที่เจ้าตัวให้ความสำคัญ
ชายหนุ่มเอ่ยเสียงดังฟังชัดตามความปรารถนาที่คุกรุ่นอยู่ภายใน


“เจ้าพ่อห่อไหล่ครับ... ผมอยากจะรบกวนเจ้าพ่อให้ช่วยล้างพรที่ผมเคยขอเมื่อราวๆสองเดือนก่อนที่มีใจความว่า...
...ขอให้ผม... นายบวรพล หนนกระโทก เกิดเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน พุทธศักราช 2538 ตกฟากตอนประมาณตีสองห้าสิบ...
...ได้ครองคู่กับนายธันวา อริยะตรัย เกิดเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พุทธศักราช 2538 เวลาตกฟากเจ็ดโมงเก้านาทีสามสิบสองวินาที ด้วยเถิดครับ...
.
...ผมขอโทษด้วยนะครับที่รอบนี้ฉุกละหุกไปหน่อย ผมเลยถวายได้แค่เครื่องเขียนเท่านั้น”


ทันทีที่ธูปทั้งกำถูกปักลงในกระถาง 
ลมเย็นวูบใหญ่ก็พัดผ่านบริเวณศาลจนปลายธูปเปล่งแสงสีส้มวาววามในแสงโพล้เพล้ของวัน
สิ่งที่ต่างจากเมื่อครั้งแรกที่ชายหนุ่มมาเยือน ณ ที่แห่งนี้ เห็นจะเป็น... สายลม และกลิ่นธูปอบอวล ไม่ต่างจากขบวนนำหน้ากายละเอียดของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำมหาวิทยาลัย  เพราะเพียงไม่นาน เจ้าพ่อห่อไหล่ก็มาปรากฏกายขึ้นตรงหน้า โดยที่เบื้องขวาขององค์เทพมีร่างทิพย์ยของเจ้าพ่อไทรทองลอยอยู่ไม่ห่างดั่งตัวแถมก็ไม่ปาน  


“เจ้าแน่ใจนะว่าเจ้าต้องการล้างพรข้อนี้ของเจ้าจริงๆ?” โฮลี่ฮิปสเตอร์หยั่งเชิงด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด  

“ครับ แน่ใจครับ” บ๊วยตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ทว่าในใจกลับลังเล

“นี่เจ้าไม่มั่นใจในตัวเองขนาดนี้เชียวหรือ?” ถึงแม้บุตรแห่งเทพจะสามารถอ่านใจมนุษย์จนรับรู้ถึงสาเหตุของการล้างพรครั้งนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้วก็ตาม ทว่าเจ้าพ่อสายบุ๋นกลับตั้งคำถามอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ... เพราะสิ่งที่เขารู้ อาจจะไม่สิ่งที่ชายหนุ่มคนตรงหน้าปรารถนาที่สุดก็เป็นได้

“นั่นก็ส่วนนึงครับเจ้าพ่อ...
.
...แต่อีกใจ...
...ผมอยากปลดปล่อยพี่หมี... เอ๊ย! เก็กให้หลุดพ้นจากพันธนาการของพร เพื่อที่เขาจะได้ลองไตร่ตรองด้วยสติดูอีกทีว่า...
...ที่ผ่านมา สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเรา ใช่สิ่งที่หัวใจของเขาต้องการจริงๆหรือเปล่า...
...เพราะถ้าหากเขาไม่มีใจ แล้วจะมีที่ว่างให้ก้อนกรวดบนพื้นไปยืนเคียงคู่กับดวงดาวบนฟ้าหรือครับเจ้าพ่อ” ชายกลางอธิบายตามความเข้าใจเพียงด้านเดียวจากมุมมองของตัวเอง

แม้คำยืนยันดังกล่าวจะไม่มีมูลความจริง
กระนั้น... เจ้าพ่อห่อไหล่กลับไม่อาจเฉลยความรู้สึกนึกคิดหรือสภาวะจิตใจของอริยะตรัยผู้น้องให้ชายกลางได้รับทราบ
เนื่องจากบุตรแห่งองค์มหาเทพหาได้มีหน้าที่เป็นทนายหน้าหอให้แก่มนุษย์หน้าไหน

หากเจ้าลูกมนุษย์ผู้นี้มิได้มีความเชื่อมั่นในความสัมพันธ์ปัจจุบันของตนกับคนรัก
ด้วยไม่อาจปักใจเชื่อได้ว่า ตนเองมีค่ามากพอแก่การเป็นที่รักของใครๆจากใจจริง
นี่ก็จะเป็นบททดสอบหนึ่งที่อีกฝ่ายจะต้องก้าวผ่านมันไปให้ได้ด้วยตัวเอง หาใช่ยืมมือวิเศษจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างเขาไม่


“อืม... ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะไม่ขัดศรัทธาของเจ้า  ข้าขอรับรองว่าข้าจะล้างพรข้อนี้ให้สิ้นซากโดยเร็ว” สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำมหาวิทยาลัยรับปากแม่นมั่น  แต่เครื่องเซ่นไหว้ชุดใหญ่ที่อีกฝ่ายไม่ได้ยกขึ้นประจำยังแท่นบูชาพร้อมๆกับคำขอเมื่อครู่ทำให้เจ้าพ่อห่อไหล่อดสงสัยไม่ได้  “อ้าว แล้วเครื่องบัตรพลีชุดนั้นล่ะ เจ้าจะเอามาไหว้เจ้าพ่อไทรทองหรอกรึ?”

“เปล่าครับ... ผมจะเอามาขอพรข้อใหม่กับเจ้าพ่อนี่แหละครับ / ...หืม?... นี่เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?” ขณะตอบ... ก็พอดีกับที่ธูปอีกเก้าดอกติดไฟโดยครบถ้วน  หนุ่มสถาปัตย์ร่างผอมจึงพนมมือที่ถือธูปขึ้นแนบอกอีกครั้งแล้วตั้งจิตอธิษฐานพลางเอื้อนเอ่ยความต้องการข้อใหม่ของตนโดยไม่รอความเห็นชอบจากผู้ใด

“หากนายธันวา อริยะตรัย เกิดเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พุทธศักราช 2538 เวลาตกฟากเจ็ดโมงเก้านาทีสามสิบสองวินาที...
...ไม่มีจิตปฏิพัทธ์ต่อผม...นายบวรพล หนนกระโทก เกิดเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน พุทธศักราช 2538 ตกฟากราวตีสองห้าสิบ...
...ขอให้นายธันวา อริยะตรัยและทุกๆคนลืมเรื่องที่เราสองคนเคยคบหาเป็นแฟนกันจนหมดสิ้น...
...และขอให้ระหว่างนายธันวา อริยะตรัยและผม...นายบวรพล หนนกระโทก มีสถานะเป็นคนแปลกหน้าต่อกันเท่านั้น...
.
.
...หากคำขอของผมเป็นผลสำเร็จเมื่อใด..
...รอบนี้ ผมจะทำอาหารและขนมคลีนมาถวายติดต่อกันเป็นเวลาสามเดือนเลยครับเจ้าพ่อ”

“เจ้าแน่ใจแล้วใช่ไหมบ๊วย?” ในฐานะผู้อำนวยพรอย่างไม่มีทางเลือก เจ้าพ่อห่อไหล่จึงทำได้แค่ตั้งคำถามกับอีกฝ่ายเพื่อให้โอกาสบ๊วยได้ไตร่ตรองอีกครั้ง แต่ดูเหมือนชายหนุ่มร่างผอมจะตัดสินใจมาเป็นอย่างดี

“ครับเจ้าพ่อ” เป็นอีกครั้งที่ชายกลางรับคำเทวบุตรด้วยน้ำเสียงมั่นคง...

บ๊วยเชื่อว่า หากอดีตเดือนมหาลัยไม่ได้รักตนจริง...
การที่ธันวาจะลืมไปว่าเคยคบหากับตน ย่อมดีต่ออีกฝ่ายและคนรอบข้างมากกว่าจะปล่อยให้ทุกคนกระอักกระอ่วนกับสถานะครึ่งๆกลางๆของพวกเขาอยู่แล้ว... นี่แหละคือทางออกที่ดีที่สุดทั้งกับตัวเขา และชายหนุ่มผู้ที่เขารักสุดหัวใจคนนั้น  


“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าคำขอข้อนี้จะมีผลทันทีหากข้ารับปากว่าจะอำนวยพรข้อนี้ให้กับเจ้า” โฮลี่ฮิปสเตอร์หยิบยื่นโอกาสสุดท้ายให้แก่มนุษย์หนุ่มอีกครั้ง... แน่นอนว่า ถ้าบ๊วยลังเลเพียงสักนิด เจ้าพ่อห่อไหล่ก็พร้อมจะทำตามความต้องการที่เปลี่ยนผันไปของอีกฝ่ายโดยไม่ลังเล

“ครับ ผมรู้ดีครับว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทั้งระหว่างผมกับเก็ก และทั้งระหว่างผมกับเจ้าพ่อ...
.
...ผมเลยมาถวายเครื่องเซ่นไหว้ชุดใหญ่นี้ร่วมกับการขอพรเพื่อแทนคำขอบคุณต่อเจ้าพ่อกับเจ้าพ่อไทรทองยังไงล่ะครับ...
...ผมขอบคุณเจ้าพ่อมากๆนะครับที่ให้การช่วยเหลือพวกผมเป็นอย่างดีมาตลอด...
...หากพวกผมคนใดเผลอทำสิ่งใดล่วงเกินเจ้าพ่อทั้งสองไป... ขอให้เจ้าพ่อได้โปรดอภัยให้พวกผมที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ด้วยนะครับ”

“โดยเฉพาะเจ้าแว่นล่ะสินะ” เมื่อเห็นภาพของหนุ่มหน้าแว่นโผล่ขึ้นในห้วงคำนึงของมนุษย์หนุ่มตรงหน้า บุตรแห่งเทพก็ถึงกับเอ่ยกลั้วยิ้มจนคนมองอดจุดยิ้มมุมปากตามไปไม่ได้

“ครับ โดยเฉพาะสกล เจ้าพ่ออย่าถือสาสกลเลยนะครับ” ขาดคำ ชายกลางก็ประสานฝ่ามือเป็นรูปดอกบัวขึ้นเหนือหัวแล้วค้อมตัวลงคำนับอีกฝ่ายด้วยท่วงท่างดงามน่าชื่นชมเพื่อขอขมาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามที่ตั้งใจ

“หึ หึ หึ... ไม่ต้องเป็นห่วงไป ข้าไม่ทำบาปต่อลูกนกลูกกาโดยไม่จำเป็นหรอก” เจ้าพ่อห่อไหล่รับปาก ก่อนจะแย้มพรายให้อีกฝ่ายได้รับทราบถึงเศษเสี้ยวของมโนสำนึกที่ตนมีต่อลูกมนุษย์ผู้นี้ “ข้าคงจะคิดถึงเจ้ามากทีเดียวเจ้าบ๊วย...
.
.
...เจ้าเป็นลูกมนุษย์ที่ประเสริฐมากคนหนึ่งที่ข้าเคยพบมา...
...ข้าเชื่อเหลือเกินว่า ต่อไปข้างหน้า...เจ้าจะมีชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างแน่นอน”

“ขอบคุณมากครับเจ้าพ่อห่อไหล่” หนุ่มสถาปัตย์ร่างผอมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่เสียงเครื่องยนต์ที่ดังกระหึ่มอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจะทำให้เขาตระหนกจนต้องรีบกล่าวคำอำลาพร้อมทำความเคารพเจ้าพ่อทั้งสองด้วยท่าทางร้อนรน “แต่วันนี้ผมต้องไปก่อนแล้ว เอาไว้ผมจะอบคุกกี้มาถวายท่านกับเจ้าพ่อไทรทองบ่อยๆนะครับ” ว่าแล้ว... บ๊วยก็รีบปั่นจักรยานหลบออกไปโดยเร็ว








ระหว่างที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองจ้องมองแผ่นหลังเล็กๆบนจักรยานคันน้อยค่อยๆเคลื่อนห่างออกจากตำหนักริมน้ำออกไปเรื่อยๆ เทวบุตรสุดชิคก็เอ่ยกับเจ้าพ่อห่อไหล่ในอ้อมกอดด้วยน้ำเสียงห่วงใยไม่แพ้กัน


“เบ๊บครับ... เราจะปล่อยเจ้าบ๊วยไปง่ายๆแบบนี้จริงๆเหรอครับ?”

“แล้วบันยันคิดเห็นเช่นไรล่ะครับ?” เจ้าของกายละเอียดผู้เป็นเจ้าของเรือนใจช้อนสายตาขึ้นสบตาคมของเจ้าพ่อสายบู๊พลางยั่วยิ้ม ซึ่งนั่นทำให้เจ้าพ่อไทรทองอดคลี่ยิ้มตามไปไม่ได้ด้วยนิมิตอันใกล้บอกใบ้ให้เขารู้ว่าอีกฝ่ายหมายมั่นจะทำสิ่งใดอยู่กันแน่  

“คนทำดีก็ต้องได้ดีสิครับเบ๊บ”

“ใช่ครับ... คนดีอย่างบ๊วย เจ้าที่ก็ต้องคุ้มครองเป็นธรรมดาอยู่แล้วล่ะครับ” โฮลี่ฮิปสเตอร์คลี่รอยยิ้มละมุนพลางลูบไล้กรอบหน้าของอีกฝ่ายอย่างรักใคร่เปิดเผย จนเจ้าพ่อไทรทองคว้ามือนุ่มขึ้นมาบรรจงประทับรอยจูบไปตามเรียวดัชนีทั้งห้าด้วยความลุ่มหลง ก่อนจะตั้งคำถามที่เรียกรอยยิ้มกว้างกว่าเดิมจากอีกฝ่ายได้อีกครั้ง

“หรือบางครั้งก็ต้องช่วยสื่อรักให้ด้วย... ใช่ไหมครับเบ๊บ?”

“ครับบันยัน!” เจ้าพ่อห่อไหล่เอ่ยด้วยอารมณ์นึกสนุกหลังจากได้ยินว่าเทวบุตรอีกองค์เห็นชอบกับความตั้งใจของตน




Ħ------------------------------------ TBC ------------------------------------Ħ


No comments:

Post a Comment