Monday, October 12, 2015

Ħ บน บาน ศาล รัก Ħ The 31st Blessing || 12.10.2015


เอาตอนใหม่มาแปะให้อ่านกันค่ะ...
หวังว่าจะไม่ดราม่าเนอะ ^^
บอกเอาไว้ก่อนว่าทุกๆเหตุการณ์มีคำอธิบายค่ะ
(คำอธิบายจะค่อยๆทยอยเผยตัวออกมาเรื่อยๆ แต่ต้องอดใจรอกันหน่อยนะคะ)

ขอให้อ่านอย่างมีความสุขค่ะ
เราขอต๊ะการตอบความเห็นเอาไว้พรุ่งนี้นะคะ... พอดีปั่นไม่ทัน ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ชอบไม่ชอบประการใด...ฝากความคิดเห็นเอาไว้ให้เราชื่นใจได้เลยค่ะ
ยินดีต้อนรับผู้อ่านหน้าใหม่ด้วยนะคะ




Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ




The 31st Blessing   
สูญเสีย... เสียศูนย์




 [3]


“ด้วง... เมื่อกี๊อาจารย์พูดว่าอะไรวะ? กูไม่ทันจด”
“ด้วง!

ความเงียบภายหลังน้ำเสียงฉุนเฉียวที่เปล่งเรียกเพื่อนสนิทอย่างห้วนห้าวเป็นคราวที่สองติดๆกันสิ้นสุดลง
ทำให้กรกฏจำต้องเงยหน้าขึ้นจากชีทประกอบบทเรียนเพื่อตวัดสายตาขุ่นไปจิกมองยังที่นั่งฝั่งซ้ายมือของตน... ที่ประจำของอีกฝ่ายมาตั้งแต่ชั้นอนุบาล

แต่แล้ว... เก้าอี้เลคเชอร์ไร้ผู้จับจองก็ทำให้กังฟูได้สติ
โดยไม่รู้ตัว ร่างเล็กเบนสายตาเลื่อนไปทอดมองแผ่นหลังกว้างที่คุ้นเคยซึ่งคาบนี้... เจ้าตัวย้ายไปนั่งอีกฟากของห้องบรรยายคล้ายไม่อยากจะเห็นหน้ากัน

สิ่งที่ว่างเปล่า... ใช่เพียงเก้าอี้ตัวข้างๆเขา
หากแต่เป็นความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยที่ลาลับพร้อมๆกับการจากไปของวิญญูเมื่อสองวันก่อน








“เฮีย... เก็กกับบูบู้จะออกไปกินข้าวเย็น เฮียจะให้เก็กซื้ออะไรกลับเข้ามาให้หรือเปล่า?” 

ธันวาเอ่ยถามพี่ชายพลางหยิบข้าวของส่วนตัวไม่กี่อย่างพร้อมๆกับพยักหน้าเรียกแฟนตัวน้อยที่เพิ่งเดินออกจากห้องน้ำ  
เก็กไม่ได้เร่งรัดเอาคำตอบจากพี่ชายจนกระทั่งบ๊วยเตรียมพร้อมจะออกไปโรงอาหารกับตนเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นแหละ
อดีตเดือนมหาลัยจึงต้องหันกลับไปมองคู่สนทนาเพื่อรอคำตอบ  
ทว่าเมื่อเห็นว่าพี่ชายยังตกอยู่ในภวังค์ หนุ่มรูปงามจึงอดย้ำคำถามของตนออกมาอีกครั้งไม่ได้


“เฮีย! เฮียจะเอาอะไร?”

เพราะมือถือเครื่องที่เคยร้องเตือนถี่ๆตลอดวัน และจะยิ่งจะกระหน่ำปริมาณในช่วงหลังเลิกเรียนเป็นต้นไป
กลับไร้วี่แววของข้อความ มิสคอล สายเรียกเข้า และข้อความไลน์ใหม่ๆจากปลายทางร่างหมีนับจากเมื่อตอนสายวานซืน

กังฟูจึงมัวแต่จ้องหน้าจอไม่วางตาด้วยความรู้สึกด้านลบอันหลากหลาย...
จะแปลกอะไรหากร่างเล็กจะตัดขาดจากโลกภายนอกไปโดยปริยาย
ผู้เป็นน้องชายจึงต้องสาวเท้าเข้าไปหาอีกฝ่ายเพื่อตั้งคำถามซ้ำอีกครั้งใกล้ๆ


“เฮีย! เฮียได้ยินที่เก็กถามหรือเปล่า? เฮีย...
.
.
.
...จะกินอะไร?”

“กูเอาเหมือนมึงอ่ะด้วง” คนพูดปิดท้ายประโยคติดปากด้วยการผ่อนลมหายใจยาวเหยียด แต่แล้วประโยคทักท้วงของน้องชายก็ทำให้กรกฏตระหนักได้ว่าตนทำพลาดเสียแล้ว  

“เฮีย... นี่เก็กเอง ไม่ใช่พี่ด้วง”

“อ้อ! เอ้อ!... กูกินอะไรก็ได้ มึงเห็นอะไรน่ากินก็ซื้อมาให้กูแล้วกัน” กังฟูจงใจหลบตาอีกฝ่ายด้วยไม่มีคำอธิบายให้กับการหลุดปากของตน ด้วยรู้ว่าพี่ชายกำลังอยู่ในภาวะเศร้าซึมผิดปกติคนเป็นน้องจึงไม่ต่อความยาวสาวความยืด

“ครับๆ”
.
.
.
.
.
.
“เออเฮีย” อดีตเดือนมหาลัยชะโงกหน้ากลับเข้ามาในห้องอีกครั้งเมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังมีเรื่องที่ต้องบอกให้กังฟูได้รู้ ฝ่ายคนมีประวัติกลับเข้าใจไปว่า เหตุที่น้องชายอ้อยอิ่งเป็นเพราะห่วงเสียจนไม่อาจทิ้งให้ตนอยู่เพียงลำพังได้

“มึงไปซะทีเหอะน่า กูอยู่ได้” กรกฏไล่น้องชายด้วยน้ำเสียงติดรำคาญ... อีกฝ่ายน่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าเขาเกลียดความเวทนาสงสาร และไม่ต้องการความเห็นใจจากใคร...โดยเฉพาะในเวลาที่ตัวเองอ่อนแอเช่นนี้

“เปล่า...เก็กไม่ได้จะสั่งเสีย เก็กแค่จะบอกเฮียว่า...เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วคืนนี้ห้องเรามีฉายหนังนะ พอดีแผ่นนี้ไอ้เสริฐมันเพิ่งดูเสร็จ...เห็นมันบอกเด็ด เก็กเลยจะชวนเฮียกับบูบู้ดูด้วยกัน”

“เออๆ มึงจะทำอะไรก็ทำเถอะ!

“เดี๋ยวเก็กกับบูบู้มานะเฮีย” แม้จะเห็นว่ากรกฏจดจ่ออยู่แต่กับอุปกรณ์สื่อสารในอุ้งมือ กระนั้น...ธันวาก็ไม่ลืมตอกย้ำเพื่อทำให้กังฟูวางใจว่าจะถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวอีกไม่นาน 


Ħ------------------------------------------------------------------------Ħ


 [3.1]


“คืนนี้ฟ้าใส เห็นดาวเยอะดีจังนะครับ”

ประโยคลอยๆจากเจ้าของฝีเท้าแผ่วเบาที่เพิ่งเดินตามออกมาสมทบตรงระเบียงเล็กๆหลังห้องนอน
ทำให้รุ่นพี่ร่างเล็กซึ่งผละจากวงหนังแผ่นหลังเริ่มฉายได้ไม่นานละสายตาจากหน้าจอมือถือแล้วแหงนคอตั้งขึ้นเพื่อพิสูจน์คำพูดของอีกฝ่าย

จำนวนของแสงสุกสกาวบนฟากฟ้าสีดำสนิทเหนือหัว
เทียบไม่ได้กับม่านดาวพราวพรายที่ตนเคยสัมผัสยามมองฟ้าในอ้อมกอดอบอุ่นของหนุ่มร่างหมีเมื่ออาทิตย์ก่อนเลยสักนิด
พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยจึงอดออกความเห็นผิดกับถ้อยคำของบ๊วยไม่ได้... ทั้งที่ไม่มีอารมณ์จะเสวนากับผู้ใดทั้งสิ้นแท้ๆ


“ยังไงก็ไม่เยอะเท่าบ้านมึงหรอก”  

คำตอบสั้นๆของอีกฝ่ายทำให้หนุ่มสถาปัตย์ผ่อนคลายความตึงเครียดลงได้มาก
ร่างผอมจึงเท้าแขนยันตัวเองพิงขอบระเบียงไม่ห่างจากพี่ชายของคนรักเพื่อปักหลักคุยกับกังฟูให้เป็นเรื่องเป็นราว

แม้บ๊วยปรารถนาที่จะจับสังเกตอารมณ์ต่างๆบนใบหน้าของกรกฏเพื่อเลี่ยงการปะทะอารมณ์กับอีกฝ่ายสักเพียงไหน
แต่เพราะไม่อยากทำลายบรรยากาศของการสนทนาที่เพิ่งเริ่มต้น ชายกลางจึงเลือกวางสายตาเอาไว้ที่ผืนนภาคืนเดือนมืดแทน


“ถึงจะเห็นดาวน้อยกว่า แต่ดาวที่นี่ก็สวยไม่แพ้ดาวที่บ้านผมสักเท่าไรหรอกครับ”

“กูก็เพิ่งรู้วันนี้แหละว่า ดาวที่มอเราก็ดูเพลินดีเหมือนกัน” กังฟูอดยอมรับออกมาไม่ได้  

“งั้นแสดงว่าที่เฮียฟูออกมายืนตรงระเบียงนี่ก็ไม่ใช่เพราะดาว” สิ่งที่รุ่นพี่ร่างเล็กเพิ่งเอ่ยออกมาทำให้ชายกลางอดยิ้มไม่ได้... 
ภาพเคลื่อนไหวบนหน้าจอคอมพิวเตอร์เมื่อครู่จะต้องไม่ถูกจริตของกังฟูแน่ๆ... ผิดจากที่เขาคาดเอาไว้เสียที่ไหน

“เป็นเพราะหนังสินะครับ”

“เออดิ!.. หนังห่าอะไรก็ไม่รู้  สงสัยแม่งกลัวคนดูจะขาดทุน เล่นสาดวุ้นสาดเลือดท่วมหน้าจอตั้งกะฉากแรก”  รุ่นพี่ร่างเล็กสบถเมื่อนึกถึงฉากเปิดตัวของหนังเรื่องเด็ดที่ตนทนดูได้ไม่ถึงสิบนาที ก่อนจะปลีกตัวออกมารับลมข้างนอกห้องทันที  

กระนั้น การที่แฟนคนล่าสุดของน้องชายออกมายืนคุยกับเขาได้นานสองนานโดยไร้เงาของปาท่องโก๋ตัวหนาอีกข้าง
ช่วยเบนความสนใจของกรกฏจากภาพสยองติดตาได้อย่างง่ายดาย


“แล้วมึงไม่ไปดูกับไอ้เก็กเหรอ?”

“ผมไม่ชอบหนังแนวนี้สักเท่าไรน่ะครับ ดูทีไร...นอนไม่ค่อยหลับทุกที”...ไม่บ่อยนักที่หนุ่มสถาปัตย์จะพูดโกหก

จริงๆบ๊วยไม่มีปัญหากับหนังเขย่าขวัญ แต่เพราะรู้จุดอ่อนของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
การแสดงตัวเป็นพรรคเป็นพวกด้วยน่าจะต่อยอดการพูดคุยกับกรกฏได้นานขึ้น  ชายกลางจึงทำหน้ามึนน้อมรับคุณสมบัติอ่อนแอต่อหนังผีเอาไว้กับตัวโดยดุษฎี


“หึ! อ่อน!” พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยยิ้มแสยะด้วยความลำพองใจ... อย่างน้อยๆ เขาก็ไม่ได้กลัวผีอยู่คนเดียวล่ะวะ!

“ก็คงจะอย่างนั้นล่ะมั้งครับ”  

ท่าทางหัวอ่อนและพร้อมยอมรับข้อเสียโดยง่ายของบ๊วยทำให้กังฟูนึกเอ็นดูอีกฝ่ายขึ้นอีกหลายเท่าตัว
จังหวะที่เริ่มรู้สึกสนใจใคร่ถามเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของร่างผอมให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นนั้น  ถือเป็นช่วงเวลาเดียวกันที่ความดื้อดึงและถือตัวส่งสัญญาณเตือนให้กรกฏหุบปากแล้วนิ่งเสีย  บรรยากาศการพูดคุยที่เคยไหลลื่นจึงถึงคราวหยุดชะงักไปช่วงหนึ่ง
.
.
.
.
.
.
.
.
“ตอนผมเป็นเด็ก พอเข้าหน้าหนาว...พ่อกับแม่ก็มักชวนพวกเราพี่น้องมานอนดูดาวเรียงกันตรงระเบียงบ้าน...
...ผมได้ทำความรู้จักกับคำว่าจักรวาล ทางช้างเผือก และหมู่ดาวต่างๆก็เพราะพ่อกับแม่นี่แหละครับ” บ๊วยอาศัยจังหวะที่พี่ชายคนรักไม่พึงเจรจาเปิดอกเล่าเรื่องของตนให้กับอีกฝ่ายได้รับฟัง

“หลังจากชีวิตของเด็กหอตอนปอหนึ่งเริ่มต้นขึ้น ผมก็ได้เรียนรู้ว่า...
...นอกจากอากาศที่กรุงเทพจะไม่ค่อยหนาวแล้ว ท้องฟ้าชานกรุงยังไม่ค่อยมีดาวให้แบ่งกันนอนดูเหมือนตอนอยู่ไร่...
...ผมเลยอดสงสัยไม่ได้ว่า ทั้งๆที่อยู่ใต้ฟ้าเดียวกันแท้ๆ แต่พอเปลี่ยนสถานที่แล้วแหงนมองฟ้า...
...ทำไมเรากลับเห็นดาวมากน้อยไม่เท่ากัน แล้วสะเก็ดดาวดวงเล็กๆที่กระจายอยู่ทั่วฟ้าที่บ้าน พร้อมใจกันหายหน้าไปไหนหมด?”

เมื่อเอ่ยถึงข้อสงสัยที่เกิดจากความรู้อันจำกัดในช่วงวัยเรียนรู้ของตน ชายกลางก็อดยิ้มกับตัวเองไม่ได้...
แต่สักพักรอยยิ้มที่คลี่ขยายจนแก้มทั้งสองข้างขึ้นเป็นลูกกลมก็หายลับไป ด้วยเจ้าตัวอดลุ้นกับความนัยที่กำลังจะเอื้อนเอ่ยออกไปไม่ได้...

กังฟูจะรู้ถึงความหมายของเรื่องที่เขาเล่าให้ฟังหรือไม่นะ?
อยากรู้จังว่าอีกฝ่ายกำลังตั้งใจฟังเขาอยู่ไหม?  
ถ้าฟังอยู่จริง... พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกันหนอ หากรับฟังสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อจนจบ?


“พอโตขึ้น ผมก็ได้คำตอบ...
.
.
...เพราะกรุงเทพไม่มีวันหลับ แสงไฟจึงกลบทับแสงดาวดวงเล็กดวงน้อยไปจนหมด...
...ดาวบางดวง เป็นเพียงเทหวัตถุที่มีแสงจางๆ...
...เมื่อเจอเข้ากับท้องฟ้าเคลือบแสงนีออน ก็ถูกกลืนจนต้องซ่อนตัวจากสายตา ไม่ยอมโผล่มาให้เห็น...
...พอจ้องท้องฟ้าไร้ดาวจนเจนตาบ่อยๆเข้า อาจทำให้เราหลงลืมไปว่า... จริงๆแล้ว ดวงดารายังคงล่องลอยอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน คล้ายจะเฝ้ารอให้เรากลับไปยังจุดเริ่มต้นเพื่อชื่นชมความงามของมันอีกครั้ง”

หากจะนิยามความสัมพันธ์ของกังฟูกับเพื่อนสนิทอย่างพดด้วง คงไม่ต่างกับสิ่งที่บ๊วยเพิ่งพรั่งพรูออกมาสักเท่าไร
ภาพความผูกพันของตนกับเพื่อนรักเพียงคนเดียวที่สะท้อนออกมาผ่านคำพูดของคนนอกอย่างรุ่นน้องต่างคณะ
ทำให้หนุ่มร่างเล็กเริ่มเล็งเห็นต้นตอของรอยร้าวระหว่างเขากับวิญญได้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
ทว่า...สิ่งที่กรกฏเข้าใจ จะใช่เนื้อความที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อหรือไม่...เห็นทีคงต้องถามให้แน่ใจเสียล่ะมั้ง


“มึงจะบอกอะไรกูกันแน่ไอ้บูบู้?”...บ๊วยใจชื้นเมื่อได้ยินคำถามหลุดออกจากปากชายหนุ่มรุ่นพี่หลังจากอีกฝ่ายปล่อยให้เขาครองบทสนทนาอยู่เพียงผู้เดียวมาเนิ่นนาน  ชายกลางยิ้มหวานแล้วจึงอธิบายความหมายของคำพูดตัวเองให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

“ถ้าสว่างเกินไป เราจะไม่เห็นดาว...
...ยิ่งเราเคยชินกับบางสิ่งมากเท่าไร...  
...อะไรใหม่ๆ หรือย่างอื่นที่น่าสนใจกว่าก็อาจทำให้เราไม่เห็นค่าของสิ่งที่เรามีอยู่ได้ง่ายดายมากขึ้นเท่านั้น...
.
.
...เฮียฟูเคยลืมอะไร...
...หรือลืมความสำคัญของใคร แล้วทิ้งเขาเอาไว้ที่สุดปลายขอบฟ้าหรือเปล่าครับ?”

ถ้อยแถลงของบ๊วยที่เพิ่งจบลงไม่ได้ทำให้พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยเข้าใจถึงเจตนาของหนุ่มรุ่นน้องกระจ่างขึ้นเท่านั้น
หากแต่มันยังสร้างมุมมองใหม่เกี่ยวกับเด็กสถาปัตย์ร่างผอมคนนี้ให้กับกรกฏอีกด้วย

ที่สุดแล้ว กังฟูก็สามารถเล็งเห็นเนื้อแท้ของเด็กหนุ่มหน้าตาพื้นๆที่คว้าที่ยืนในหัวใจน้องชายตัวเองได้อยู่หมัดเป็นครั้งแรก...
ไม่เสียแรงที่ไอ้เด็กนี่เกิดมาเป็นลูกของผู้หญิงที่เขาเคารพและนับถือไม่น้อยไปกว่ามารดาของตัวเองเลยจริงๆ
.
.
.
.
.
.
กระนั้น...
คำถามสุดท้ายของรุ่นน้องต่างคณะที่ยังค้างคาอยู่ในห้วงคำนึง
กลับดึงให้กรกฏกลับเข้าสู่โหมดซึมเศร้าได้อีกครั้ง


 “รู้ตัวตอนนี้ คงไม่ทันแล้วมั้ง” หนุ่มวิศวะเปรยเบาๆคล้ายร่ำรำพันกับตัวเองมากกว่าต้องการจะคุยกับใคร  ทว่าฝ่ายที่ตั้งใจฟังทุกๆสำเนียงโต้ตอบจากอีกฝ่ายอย่างบ๊วยกลับไม่ละความสนใจจากพี่ชายของแฟนหนุ่มง่ายๆ

“ทำไมเฮียฟูถึงพูดอย่างนั้นล่ะครับ?”

“ก็สองวันมานี่ ไอ้ด้วงมันไม่ยอมคุยกับกูเลยนี่หว่า“ รุ่นพี่ตีรวนด้วยกระดากกับความผิดของตัวเองจนเกินจะยอมรับตรงๆ...
ขืนเขายืดอกรับข้อหาง่ายๆ อีกฝ่ายซึ่งยังไม่รู้จักเขาดีพออาจหลงเข้าข้างคู่กรณีตามเต๋อไปอีกคน

“แต่เฮียเป็นคนออกปากไล่พี่ด้วงเองไม่ใช่เหรอครับ?” ร่างผอมผินหน้าไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของรุ่นพี่ด้วยสายตางุนงง...

เท่าที่เขาจำได้จากบทสนทนาอันดุเดือดของเหล่ารุ่นพี่เมื่อสองวันก่อน
ดูเหมือนทางนี้จะขับไล่ไสส่งสหายรักไปเองนี่นา แล้วทำไมกังฟูถึงได้พูดราวกับว่าตนเองเป็นฝ่ายถูกกระทำอยู่แบบนี้ล่ะ?!


“กูไม่ได้ไล่มันครั้งแรกเสียหน่อย” กรกฏอ้อมแอ้ม “ที่ผ่านมา...ถึงกูจะด่า หรือจะไล่มันสักกี่ครั้ง มันก็ไม่เคยทำตัวห่างเหินกับกูแบบนี้มาก่อนเลยนะไอ้บูบู้” ทีท่าตั้งอกตั้งใจรับฟังของรุ่นน้องต่างคณะเปรียบเสมือนลูกกุญแจที่ไขปลดล็อคความว้าวุ่นกังวลใจที่อัดแน่นอยู่ภายในให้ไหลทะลักออกมาโดยไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุด  

“มึงรู้ไหมบูบู้... ตลอดสองวันนี้ ด้วงมันจงใจหลบหน้ากูตลอดเลยนะ...  
.
...เวลาเรียนมันก็แอบหลบไปนั่งที่อื่น  วันทั้งวัน...มันไม่คิดแม้แต่จะหันมามองหน้ากูเลยสักครั้ง...
...กูเป็นเพื่อนมันนะเว่ยบูบู้ มันกล้าเมินกูได้ยังไง?!!” คนเอาแต่ใจตัดพ้อผ่านคำถามที่บ่งบอกถึงนิสัยของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี...

ในเมื่อปุจฉามาพร้อมน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจเต็มที่เสียแบบนี้
บ๊วยคงไม่อาจใจร้ายวิสัชนาด้วยถ้อยคำทำร้ายจิตใจแบบที่เหล่าเพื่อนสนิทของเขาอาจจะเลือกใช้ได้อย่างแน่นอน


“พี่ด้วงคงเข้าใจว่าเฮียฟูกำลังโกรธมากๆล่ะมั้งครับ พี่ด้วงเลยทำตามคำขอของเฮียฟูอย่างเคร่งครัดแบบนั้น” คำตอบกำปั้นทุบดินทำให้หนุ่มสถาปัตย์รอดตาย แต่กลับส่งผลให้บุคคลที่สามโดนกังฟูหมายหัวแทน

“ก็แล้วถ้ากูบอกแม่งให้ไปตาย... มันก็จะไปตายให้พ้นๆหรือยังไง?!!” กรกฏหงุดหงิดติดหมัดราวกับคำพูดของแฟนน้องชายเมื่อครู่ถูกเอ่ยออกจากปากของวิญญูเสียเอง

“เพราะเฮียเป็นเสียแบบนี้นี่แหละ พี่ด้วงถึงได้เตลิดไปไหนต่อไหน”

ประโยคตำหนิจะแจ้งของเจ้าของห้องสามศูนย์สามอีกหนึ่งหน่อทำกังฟูชักสีหน้าได้ทันควัน
อดีตเดือนมหาลัยที่เดิมตั้งใจแค่จะออกมาตามแฟนตัวน้อยกลับเข้าไปนอนกอดกันดูหนังให้สบายใจ
สุดท้าย... หลังจากแอบฟังบทสนทนาเมื่อครู่ของบ๊วยกับพี่ชายตัวเองอยู่นานสองนาน  เก็กก็ไม่อาจเพิกเฉยต่ออุปนิสัยพาลพาโลของคนเป็นพี่ได้อีกต่อไป


“ไล่เขาเหมือนหมูเหมือนหมา ยังจะกล้าหวังให้พี่ด้วงกลับมาหาเฮียอีกหรือไง?...
.
...บุญเท่าไรแล้วที่วันนั้นเฮียไม่โดนพี่ด้วงต่อยเอา”

“กูจะเป็นยังไงแล้วมันหนักหัวใคร..ห๊ะไอ้เก็ก? ทำไมกูจะด่าไอ้ด้วงมันไม่ได้... มันประเสิรฐเลิศลอยนักหรือไง?!” กังฟูแหวเหมือนแมวกางเล็บพองขนระหว่างโก่งตัวขู่ศัตรูฟ่อแฟ่ไปพลางๆ  หากธันวาตั้งท่าจะหาเรื่องเขาแต่ประโยคแรกแบบนี้  เขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลคุยกับอีกฝ่ายให้เสียเวลา

อดีตเดือนมหาลัยถึงกับส่ายหัวด้วยความอ่อนใจกับท่าทางไม่ยอมใครของพี่ชาย...
ทุกครั้งที่โดนคนอื่นวิจารณ์ข้อเสียของตัวเองซึ่งๆหน้า กรกฏมักจะท้าตีท้าต่อยกับคู่กรณีอยู่เสมอ... ยิ่งนานวัน กังฟูก็ยิ่งกลายเป็นพวก ฆ่าได้หยามไม่ได้ เข้าไปทุกทีๆ


“หึ หึ!” หนุ่มรูปงามหัวเราะขื่นๆในลำคอพลางทำหน้าเยาะพี่ชายร่วมสายเลือด แล้วจึงเปิดศักราชปรับทัศนคติให้อีกฝ่ายตาสว่างเสียที “เฮียรู้ตัวหรือเปล่าว่าเฮียน่ะโคตรซึน แถมยังไม่ชอบยอมรับความจริงอีกต่างหาก... หรือเฮียจะเถียง?!

“..กูเปล... / ถามหน่อยเถอะเฮีย... เฮียโกรธพี่ด้วงมากเหรอที่พี่ด้วงหลอกเฮียว่าพี่ด้วงเป็นกะเทย?”

“..กูยั... / พี่ด้วงแม่งทำผิดขนาดที่เฮียต้องสาปส่งพี่ด้วงออกจากวงโคจรไปเลยเหรอเฮีย?... นั่นเพื่อนสนิทคนเดียวของเฮียเลยนะเว่ย!

“..กูรู... / เฮีย... พี่ด้วงแม่งรู้จักเฮียดียิ่งกว่าตัวเฮียเองอีกนะเว่ย! ใจคอเฮียจะไม่ยกโทษให้พี่ด้วงจริงๆเหรอวะ?”

“อย่าคาดคั้... / ไม่ได้! ไม่ว่ายังไง... วันนี้เก็กก็ต้องคุยกับเฮียให้รู้เรื่อง!

“จะอะไรกั... / เฮียไม่รู้เลยเหรอว่า ตั้งแต่เฮียทะเลาะกับพี่ด้วงพี่เต๋อเมื่อวันนั้น...อาการเฮียแม่งโคตรแย่เลยอ่ะ!

โว้ยยยยย! ไอ้เหี้ยเก็ก! มึงหยุดแย่งกูพูดสักทีจะได้ไหมวะ?!! /
ก็เก็กกลัวเฮียเถียงจนเก็กไม่ได้พูดอ่ะ!!/ พี่หมี...เบาเสียงหน่อยเถอะครับ เกรงใจห้องข้างๆบ้างก็ดีนะครับ”  ทั้งฝ่ายก่อกวนและฝ่ายชวนยุติส่งเสียงประสานกันดังลั่นจนฟังหนวกหูไปทั้งตึก แต่เมื่อรุ่นน้องทั้งสองรู้สึกตัวต่างก็รูดซิปปากเงียบสนิท ติดอยู่แค่ว่า...คนเป็นพี่ยังไม่อยากจบ

ตอนนั้นกูอายหรอกไอ้สัด!!!” กังฟูตะโกนลั่นหลังจากต้องโดนคำถากถางของน้องชายกดดันติดต่อกันอยู่หลายต่อหลายประโยค...

กระนั้น... หากจะขนานนามวาระนี้ว่า ตกม้าตายแบบง่อยๆ ก็คงจะไม่ผิดนัก
เพราะนอกจากอารมณ์คุกรุ่นจะทำให้หนุ่มร่างเล็กหลุดปากพูดความรู้สึกโดยไม่ยั้งคิดแล้ว  
เสียงแจ้วๆที่เจ้าตัวใช้ประจานตัวเองยังเปล่งเสียดังจนน่าตกใจอีกต่างหาก


“เฮียว่าไงนะ? เฮียอายเหรอ?... เฮียอายอะไรอ่ะ?” แม้จะตกใจกับคำสารภาพด้วยอารมณ์และสีหน้าหงุดหงิดจัดเต็มของกรกฏ แต่อดีตเดือนมหาลัยกลับไม่ยอมปล่อยโอกาสในการงัดปากพี่ชายให้หลุดลอยไปง่ายๆ

“ก็อายแม่งหมดทุกอย่างนั่นแหละ!... แม่ง!!” หนุ่มรุ่นพี่กระชากหางเสียงพร้อมปรายตาจิกพร่าวิญญาณน้องชายอย่างไม่ไว้ชีวิต “ถ้ามึงโดนผู้ชายด้วยกันสารภาพรักกลางโรงอาหารทั้งๆที่มีคนอื่นจ้องอยู่เป็นร้อย  มึงจะไม่รู้สึกอะไรหน่อยหรือไงวะ?” กรกฏอธิบายโดยให้โจทย์สมมติแก่อดีตเดือนมหาลัยเพื่อทำให้อีกฝ่ายเข้าใจสถานการณ์ของตนได้ดียิ่งขึ้น...

อนิจจา... กังฟูคงลืมไปแล้วว่า น้องชายตัวเองคือสิ่งมีชีวิตที่หน้ามึนยิ่งไปกว่ามนุษย์มึนทั้งโลกรวมกัน

“ถ้าคนๆที่สารภาพเป็นบูบู้... เก็กก็ไม่อายหรอกเฮีย...
.
...ดีเสียอีก... คนอื่นจะได้รู้ว่าบูบู้กับเก็กคบกัน จะได้ไม่มีคนมายุ่งกับบูบู้อีก” อดีตเดือนมหาลัยยืดอกผึ่งผายสนับสนุนคำพูดของตัวเองอย่างไม่นึกอับอาย พี่ชายจึงประสาทพรให้คนเป็นน้องโดยที่อีกฝ่ายแทบไม่ต้องร้องขอแต่อย่างใด

“ไอ้ห่าจิก! มึงหน้าด้านได้คนข้างบ้านมาหรือไง? กูไม่เห็นใครในตระกูลเราเป็นอย่างมึงเลยสักคน!!

“ขอร้องเลยเฮีย... อย่าเพิ่งด่า! เก็กไม่อยากลากเฮียเข้าโหมดดราม่านะบอกก่อน” หนุ่มรูปงามยกฝ่ามือขึ้นชูขึ้นตรงหน้ากังฟูพร้อมพูดขู่ แต่ดูเหมือนผู้มีศักดิ์เป็นพี่จะหาได้เกรงกลัวไม่

“เอาซี่! มึงคิดว่ามึงเปรี้ยวเป็นคนเดียวหรือไง?” กรกฏหมุนตัวกลับไปประจัญหน้ากับน้องชาย รังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านผ่านดวงตาและใบหน้าไม่สบอารมณ์ของร่างเล็กข่มจนส่วนสูงและขนาดร่างกายที่เก็กมีภาษีดีกว่าให้ดูด้อยค่าไปในทันที  

“เออๆ เฮียเหนือ...เก็กยอม” หนุ่มวิศวะปีสองยกมือสองข้างขึ้นเสมอไหล่เพื่อยืนยันความพ่ายแพ้  “เอาเป็นว่า เก็กเข้าใจอารมณ์เฮียก็แล้วกัน...
.
...สรุปว่า พี่ด้วงเสือกบอกรักเฮียผิดที่ผิดเวลา แกเลยต้องมาโดนเฮียด่าสาดเสียเทเสียแถมยังโดนเฉดหัวส่งจนไม่กล้ากลับมาสู้หน้ากับเฮียอีกแล้วใช่ป่ะ?” ธันวาถามย้ำ ฝ่ายพี่ชายหน้าง้ำกลับได้แต่ก้มหน้าหลบตาก่อนจะยอมรับแบบไม่เต็มเสียงนัก

“กูก็ไม่รู้ว่ะ... คงงั้นมั้ง”

“เดี๋ยวนะเฮีย... อย่างนี้ก็แปลว่าเฮียไม่ได้โกรธที่พี่ด้วงสารภาพกับเฮียใช่ไหม?” อดีตเดือนมหาลัยถามด้วยน้ำเสียงรัวเร็วจนลิ้นแทบจะพันกัน อาการร้อนจนน่าหมั่นไส้ของน้องชายทำให้กังฟูหงุดหงิดขึ้นมาอีกระลอก

“ก็เออสิวะ!! เอ๊ไอ้นี่! เมื่อกี๊มึงไม่ได้ฟังกูอยู่หรือไง... หรือโง่จนฟังภาษาคนไม่ออกไปแล้ว?!

“งั้นก็แสดงว่า ถ้าพี่ด้วงขอเฮียคบด้วยในบรรยากาศที่ดีกว่านี้...
.
...เฮียก็จะยอมคบกับพี่ด้วงอย่างนั้นเหรอเฮีย?” เก็กยังล่กไม่เลิก...

หนุ่มรูปงามเดือดร้อนกับข้อมูลใหม่ที่เพิ่งได้ยินประหนึ่งตัวเองมีส่วนได้ส่วนเสียในความสัมพันธ์ของพี่ชายอย่างไรอย่างนั้น
อดีตเดือนมหาลัยสับขาปราดเข้าไปประชิดร่างเล็กก่อนจะจับตัวของกังฟูเขย่าไปมาระหว่างยิงคำถามสำคัญ


“แล้วพี่เต๋ออ่ะเฮีย? เฮียเอาพี่เต๋อไปไว้ไหน?!!”...ไม่ได้! เขาจะยอมให้รุ่นพี่อีกคนมาชุบมือเปิบคว้าพุงปลาไปกินไม่ได้!

เพราะสำหรับคนเป็นน้องแล้ว...
หากพี่ชายเพียงคนเดียวจะต้องมีแฟนเป็นผู้ชาย  กรกฏก็สมควรที่จะต้องได้ครองคู่กับเนื้อคู่ของตัวเองเท่านั้น!!!


“ปล่อยยย! ปล่อยกู๊!!!! ร่างเล็กแผดเสียงจ้าพลางสะบัดตัวออกจากคีมเหล็กที่กุมต้นแขนทั้งสองของตนเอาไว้แน่น “กูไม่ได้เอามันไปไว้ที่ไหน... มันต่างหากที่ทำตัวปัญญาอ่อนกับกูก่อนเองนะเว่ย!” กว่าจะเป็นอิสระได้ เรี่ยวแรงอันมากมายมหาศาลของนักฟุตบอลตัวมหาลัยก็ทำให้คนเป็นพี่ยืนหอบแฮ่กอยู่หลายนานเลยทีเดียว


“ได้ข่าวว่าพี่เต๋อเม้งแตกเพราะเฮียคนเดียวเลยนะ” ธันวาสวนนิ่มๆพลางยืนอมยิ้มด้วยความเอ็นดูเมื่อเห็นพี่ชายตัวเองพยายามกอบโกยอากาศเข้าปอดอย่างลำเค็ญ

“ก็ใครใช้ให้มันบอกรักกู แต่เสือกไม่ปกป้องกูล่ะ?!!” พี่ชายตวัดหางเสียงด้วยความไม่พอใจ อดีตเดือนมหาลัยจึงลักไก่ถามล้วงความลับของอีกฝ่ายอย่างว่องไวพอกัน  

“ถ้างั้น เวลาพี่เต๋อทำผิด...เฮียก็จะหลับหูหลับตาเข้าข้างพี่เต๋อไปก่อนเพราะรักน่ะเหรอ?”

“ก็เออดิวะ! ลองถ้ากูรัก จะผิดจะถูกยังไง กูก็เข้าข้างแม่งก่อนนั่นแหละ!...
.
...ใครจะหาว่ากูสองมาตรฐานก็ช่าง ไว้ให้เรื่องตรงหน้าจบลงเมื่อไร กูค่อยตามไปคิดบัญชีหนังหมาหาผิดหาถูกกันทีหลัง!” ผู้ฟังอย่างเก็กและบ๊วยต่างเหลือบมองตากันพลางกลั้นยิ้มจนปวดแก้มเพราะคำตอบของกังฟู... ดูสิ เพราะความโกรธแท้ๆ รุ่นพี่ร่างเล็กเลยแฉความรู้สึกของตัวเองเสียหมดเปลือก

“ก็นั่นมันเฮีย แต่พี่เต๋อเค้าก็ไม่ได้เป็นคนแบบเฮียสักหน่อย” หนุ่มวิศวะรูปงามปรับน้ำเสียงและใบหน้ากรุ้มกริ่มเมื่อครู่ให้กลับสู่โหมดจริงจังได้ทันท่วงทีก่อนที่พี่ชายจะรู้สึกตัว “เฮียจะไปกะเกณฑ์ว่าพี่เต๋อจะต้องตามใจเฮียไปเสียทุกอย่างได้ยังไง?!

“ก็ใครใช้ให้มันถือหางไอ้ด้วงล่ะ?!” คนพูดขมวดหัวคิ้วแน่น ท่อนแขนเล็กๆไขว้กอดอกตัวเองเพื่อบอกให้รู้กลายๆว่านอกจากจะไม่รับฟังเหตุผลของเก็กแล้ว กังฟูจะไม่ยอมอ่อนข้อให้อีกฝ่ายทำร้ายตนด้วยคำพูดได้อีกต่อไป... แต่ยังไม่ทันขาดคำ คนเป็นน้องกลับทำตรงข้ามกับความต้องการของพี่ชายตัวเล็กอย่างที่สุดเข้าจนได้  

“เฮียแม่งงี่เง่าได้โล่อ่ะ!!” ธันวาบ่นอย่างอ่อนเพลียและเหนื่อยใจ... เรื่องดื้อด้านและทิฐินี่คงไม่มีใครเกินกรกฏอีกแล้ว

ไอ้สัด!” กังฟูแทบจะเข่าลอยใส่เบ้าหน้าน้องชายค่าที่อีกฝ่ายลามปามเขาอย่างไม่น่าให้อภัยเป็นที่สุด ทว่าดูเหมือนอดีตเดือนมหาลัยจะจับจุดของร่างเล็กได้  หนุ่มรูปงามจึงรีบแก้ไขความเข้าใจผิดของผู้เป็นพี่ทันที

“เฮ่ยๆๆ เดี๋ยวก่อนเฮีย...เดี๋ยวก่อน!... เมื่อกี๊เก็กไม่ได้จะด่าเฮียนะเว่ย...
...เก็กแค่จะบอกเฉยๆว่าการทำตัวไม่มีเหตุผลแบบนี้เขาเรียกกันว่า ทำตัวงี่เง่า...
.
...แล้วถ้าขืนเฮียทำตัวงี่เง่าบ่อยๆเข้า พี่เต๋ออาจจะเบื่อเฮียเอาง่ายๆก็ได้นะ”

ช่างแม่ง!” กังฟูเบี่ยงตัวหนีหน้าน้องด้วยไม่อยากถูกจ้องจับผิด... แน่ล่ะ ก็สิ่งที่เขาคิดกับคำพูดมันสวนทางกันออกอย่างนี้ มีหรือที่เก็กซึ่งเติบโตมาด้วยกันจะมองไม่ออก

“เหรอออออออ?” ธันวาไล่ต้อนพี่ชายด้วยน้ำเสียงยียวน

“เออ! กูอยู่คนเดียวได้... เกิดมาคนเดียว อีกเดี๋ยวก็ตายแล้ว...จะไปง้อคนอื่นให้เสียเวลาทำไม?” กรกฏประชดพลางภาวนาในใจให้น้องชายเลิกเซ้าซี้ตนเสียที... แต่ไม่มีวี่แววที่ธันวาจะยอมรามือจากพี่ชายทั้งที่ยังไม่ได้ยินคำตอบที่น่าพอใจ

“ไอ้การต้องทนอยู่แบบเหงาๆ เอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในห้อง ใช้ชีวิตซังกะตายไปวันๆเพื่อรอให้ความตายมาถึงนี่มันดีแล้วใช่ไหมเฮีย?”

เออ!

“ถ้างั้นพี่เต๋อจะเปลี่ยนใจ  เปลี่ยนไปยิ้ม... ไปหัวเราะ ไปคอยคิดถึง คอยดูแล และไปมีความสุขกับคนอื่น เฮียก็ยังจะเฉยๆใช่ป่ะ?”

เออ!

“หึ! ถ้าไม่รู้สึกอะไรจริงๆก็อย่าทำเสียงอ่อยแล้วคอยจ้องแต่โทรศัพท์ดิเฮีย...
.
...ทำแบบนี้คนอื่นก็รู้หมดดิวะว่าเฮียแคร์พี่เต๋อขนาดไหน”

แล้วมึงจะให้กูทำยังไง? มึงก็เห็นไม่ใช่เหรอว่าไอ้เต๋อแม่งหายหัวไปไหนแล้วก็ไม่รู้!” ร่างเล็กตะโกนสุดเสียงอย่างเหลืออด...

ธันวาจะกดดันเขาไปถึงเมื่อไร? แค่นี้ ความรู้สึกผิดก็แทบจะเกาะกินฝังลึกเข้าไปถึงหัวใจอย่แล้ว...
จะให้เขาทำอย่างไรในเมื่อหนุ่มร่างหมีหนีหน้าไปตั้งแต่เขาเอ่ยปากไล่อีกฝ่ายด้วยอารมณ์ไปเมื่อตอนสายของวันเปิดเทอม?


“เฮียแม่งท่าเยอะว่ะ!

“เอ๊ะไอ้นี่! วันนี้หลายทีแล้วนะสัด!!

“พี่เต๋อจะหายไปไหนได้วะเฮีย? ก็แม่งยังต้องเข้าเรียนเหมือนๆกับเฮียนั่นแหละ... ใช่ไหมครับบูบู้?” เพื่อเสริมสร้างความน่าเชื่อถือของข้อมูลเมื่อสักครู่ อดีตเดือนมหาลัยจึงปูหลักฐานเป็นคำยืนยันจากปากพยานที่เชื่อถือทันที

“ครับ... เมื่อตอนบ่ายผมยังเจอพี่เต๋อที่คณะอยู่เลย” ชายกลางผู้เป็นน้องรหัสของบุคคลที่สามพยักหน้าหงึกหงักระหว่างรับรองข้อสันนิษฐานของแฟนหนุ่ม

“เห็นไหมเฮีย... พี่เต๋อแม่งไม่ได้หายไปไหนสักหน่อย เฮียเองนั่นแหละที่ไม่คิดจะทำอะไรสักอย่าง”

“แล้วมึงจะให้กูทำไง?”

“ไม่เห็นจะยากเลยเฮีย...
.
...เฮียก็ไปขอโทษพี่ด้วงซะสิ ที่เหลือก็แค่ขอโทษพี่เต๋อแบบพอเป็นพิธี แค่นี้เดี๋ยวพี่เต๋อก็ยอมกลับมาหาเฮียเองน่ะแหละ” เมื่อได้ที หนุ่มรูปงามก็รีบฉวยโอกาสชี้ช่องนำทางให้แก่ผู้เป็นพี่ด้วยความรวดเร็วและมั่นใจคล้ายเตรียมการมาแล้วล่วงหน้า  

ถึงอย่างนั้น...ด้วยสมองของกังฟูกำลังหมกมุ่นอยู่แต่กับคำแนะนำของอดีตเดือนมหาลัย
กรกฏจึงไม่ได้ใส่ใจกับทางออกที่ดูเหมือนเตี๊ยมมาล่วงหน้าเลยสักนิด


“ลำพังแค่ต้องปวดหัวเพราะไอ้ด้วงยังไม่พอ... กูยังจะต้องไปตามง้อไอ้เต๋ออีกเหรอวะ?! แม่งเอ๊ย!!” มือเรียวทั้งสองยกขึ้นขยี้ผมหยักศกสีน้ำตาลอ่อนของเจ้าตัวจนหัวยุ่งเป็นรังนก  

“เฮีย... เฮียฟังนะ ถ้าเฮียด่าพี่ด้วงโทษฐานที่ทำให้เฮียอับอายเรื่องมันคงจะไม่บานปลายขนาดนี้หรอก...
...แต่เฮียเสือกด่าไม่ตรงประเด็นแถมยังพาลใส่ใครต่อใครไปทั่วอีกต่างหาก...
.
...ไม่ว่าจะมองมุมไหน งานนี้เฮียก็ต้องออกปากขอโทษพี่ด้วงก่อนแล้วแหละ...
...น่าเฮีย แค่ไปขอโทษพี่ด้วงเอง... ไม่ถึงกับตายหรอก เชื่อเก็กดิ” หนุ่มรูปงามสรุปพร้อมใช้เหตุผลกล่อมกรกฏอีกระลอก ซึ่งคำตอบของคนเป็นพี่ก็ทำให้ทั้งเก็กและบ๊วยยิ้มได้เต็มหน้าเป็นครั้งแรกหลังจากเห็นท่าทางเศร้าซึมของกังฟูมาตลอดระยะเวลาเกือบสองวัน

“เออ! ก็ได้วะ!

“อย่าทำหน้าเหมือนจะไปตายแบบนั้นดิวะเฮีย...
.
...เอาเหอะน่าเฮีย...
...ขอโทษพี่ด้วงกับพี่เต๋อน่ะไม่ยากหรอก เดี๋ยวเก็กหาตัวช่วยให้เฮียเอง” ธันวาตบบ่าพี่ชายเบาๆพลางส่งยิ้มให้กำลังใจ แววตาหลุกหลิกวูบไหวของน้องชายยามเอ่ยถึงกองหนุนกลับทำให้กังฟูขนลุกซู่เหมือนอยู่ในบ้านผีสิง


“ใครวะ?” และแล้ว...หนุ่มร่างเล็กก็ไม่อาจเก็บความสงสัยเอาไว้กับตัวได้อีกต่อไป แต่ไอ้การที่น้องชายหันไปมองหน้าแฟนแล้วยิ้มอย่างผู้มีชัยก็ทำให้กรกฏเริ่มจะไหวตัวทัน  “มึงอย่าบอกนะ?!!

เก็กกับบ๊วยยิ้มเผล่พลางผงกหัวแรงๆติดๆกันหลายครั้งเพื่อยันความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกันของพวกเขาทั้งหมด
สุดท้าย สิ่งที่กรกฏหวาดกลัวที่สุดก็กลายเป็นจริง...  ยิ่งเกลียดอะไร ก็ยิ่งได้อย่างนั้น


Ħ------------------------------------------------------------------------Ħ


 [5]


“สวัสดีบูบู้เพื่อนรัก...
...พักนี้ดูผิวนายเปล่งปลั่งมีออร่า หน้าตาอิ่มเอิบมีน้ำมีนวลขึ้นผิดหูผิดตาเลยนะ...
.
...พี่หมีคงจะดูแลให้น้ำให้ท่าป้อนอาหารนายตลอดเวลาเลยล่ะสิท่า” หนุ่มหน้าแว่นค่อนแคะเพื่อนรักที่เพิ่งหย่อนตัวลงนั่งตรงข้ามตน  สีหน้ากรุ้มกริ่มปริ้มปลื้มที่เห็นแล้วอดขนลุกไม่ได้ กับสายตาวาวแววระยิบระยับทำให้บ๊วยเข้าใจความหมายโดยนัยที่อีกฝ่ายตั้งใจจะล้อเลียนตนได้ทันที

“นายจะบ้าหรือไง? เอาที่ไหนมาพูด?!

“แหม... ตัวเองหอบผ้าหอบผ่อนหนีตามผู้ชายไปตั้งกะสามวันก่อน ยังจะมีหน้ามาทำตัวซอฟท์ใสหวังให้ชาวบ้านพูดถึงนายในแง่ดีได้อีกน่ะเหรอ?” สกลจีบปากจีบคอพูดด้วยสีหน้าท่าทางน่าประเคนหมัดใส่เป็นที่สุด แต่ชายกลางกลับไม่ต้องสู้รบตบมือกับเพื่อนหน้าแว่นให้เปลืองแรง เพราะคำพูดของคู่แค้นแสนรักอย่างฌอนดังแทรกเข้ามาช่วยกู้สถานการณ์ได้ถูกจังหวะพอดิบพอดี

“ชาวบ้านปากเน่าหนอนที่ว่าน่ะชื่อแนนใช่ไหม...
.
...ได้ข่าวว่าชอบพูดจาถึงคนอื่นเสียๆหายๆแบบไม่มีมูลตลอดเลยนิ...
...วันนี้คัฟเวอร์บางแก้วมาหรือไง ถึงได้เที่ยวจิกกัดได้กระทั่งเพื่อนตัวเอง” แฝดน้องปรายตาผ่านเพื่อนรักหน้าแว่นแค่วูบเดียว ก่อนจะเหลียวมองสิ่งอื่นที่จรรโลงใจกว่าใบหน้าของสกลอย่างจงใจจนคนเห็นผีเต้นเร่าๆ

“เดี๋ยววันไหนว่างๆ ผมจะจับงูเห่าไปส่งสถานเสาวภาให้รู้แล้วรู้รอด ฌอนศรีจะได้รู้สักทีว่า... ผมนี่ก็คงจริงเหมือนกัน!” สกลลั่นวาจาด้วยน้ำเสียงอาฆาตมาดร้าย

“หึ! คนน่ะจริง... แต่เป็นผู้ชายจริงหรือเปล่า คงต้องคอยลุ้นเพศกันต่อไปใช่ไหม?...
.
...เห็นช่วงนี้ร่างกายปฏิเสธฮอร์โมนเพศชายจนออกสาวอยู่บ่อยๆด้วยนิ” แฝดน้องจิกกัดจนหนุ่มหน้าแว่นกระอักเลือด ความดุเดือดของการปะทะคารมของสองหนุ่มมีอันต้องสิ้นสุด เมื่อแฝดพี่นั่งดูปาหี่อย่างใกล้ชิดติดขอบจอมาพักใหญ่เอื้อมมือไปปิดปากของสกลเอาไว้แน่นแล้วชิงไกล่เกลี่ยสถานการณ์ให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติด้วยความไวแสง

“อย่าไปใส่ใจคำพูดของแว่นนักเลยบ๊วย...
.
...รู้ๆกันอยู่ว่าแว่นเป็นยังไง  แล้วไอ้เก็กกับเฮียฟูล่ะ?” ฌานถามถึงคู่พี่น้องอริยะตรัยที่ควรจะมาพร้อมกับบ๊วยตั้งแต่แรก แต่จนป่านนี้กลับยังไม่เห็นแม้เงา

“เฮียฟูไปเข้าห้องน้ำครับ เก็กเลยตามไปด้วย” ...คำตอบของเพื่อนตัวน้อยทำเอาแฝดพี่ยกยิ้มด้วยความชอบใจ...

การได้เห็นอดีตเดือนมหาลัยคอยเดินตามก้นพี่ชายต้อยๆน่ะใช่ภาพปกติเสียที่ไหน...
นี่ถ้าไม่ใช่เพราะว่าที่พี่เขยฝากคำขอร้องแกมบังคับผ่านเขามากำชับอีกฝ่ายอยู่เนืองๆ ธันวาคงไม่เปลืองเวลาที่จะได้อยู่กับชายกลางมาทำอะไรแบบนี้แน่ๆ


“แล้วนี่ไอ้เก็กมันเลิกบ่นหรือยังล่ะ?”

“หึ หึ... เมื่อกี๊เห็นยังบ่นอุบอยู่เลยครับ...
.
...แต่พี่ฌานไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ  ถึงจะบ่นไม่หยุด...เจ้าตัวก็คอยประกบเฮียฟูตลอดเหมือนที่พี่เต๋อสั่งอยู่ดีนั่นแหละครับ”

“ก็ดี พี่เต๋อแกจะได้สบายใจ” รอยยิ้มยังไม่ร้างลาจากใบหน้าหล่อเหลาของฌาน และดูเหมือนหัวข้อที่ร่างทรงหนุ่มเพิ่งนึกขึ้นได้หลังจากนี้จะยิ่งทำให้แฝดพี่ยิ้มกว้างได้ยิ่งกว่าเดิม

“จะว่าไป พี่รหัสบ๊วยนี่ก็ตลกใช้ได้นะ ทั้งที่ประกาศอยู่ปาวๆว่าจะหายหัวจากชีวิตเฮียฟูไปสักพัก... 
.
...แต่น้องพลายบอกพี่ฌานว่าแกคอยสะกดรอยตามเฮียฟูอยู่ต้อยๆ นี่ถ้าไม่เห็นแกกลับห้องมาโต้รุ่งเขียนแบบกับตาตัวเอง  พี่ฌานไม่มีทางเชื่อหรอกว่าแกเข้าเรียนครบทุกวิชาน่ะ” คำพูดของฌานทำให้บ๊วยถึงกับตาลุก... อย่าบอกนะว่าเพื่อนสนิทของเขาทั้งหมดเฮโลกันไปขลุกอยู่กับพี่รหัสของตนตั้งแต่เมื่อสองวันก่อน?!  

“นี่พวกพี่ฌายอมทำถึงขนาดย้ายสำมะโนครัวไปตั้งรกรากกันอยู่ที่ห้องพี่เต๋อเลยเหรอครับ?”

“มันก็สะดวกดีนะบ๊วย แถมพวกพี่ฌานยังได้เฝ้าพี่เต๋อกับคุณพี่ด้วงตลอดเวลาอีกต่างหาก... อี๋ย์!!!” แฝดพี่ยังไม่ทันพูดจบเพราะเพื่อนหน้าแว่นใช้เคล็ดวิชาชิวหาชื่นฉ่ำเลียซ้ำๆลงบนฝ่ามือของฌอานรัวๆ จนผู้ถูกกระทำอดสยองจนต้องปล่อยมือไม่ได้  ฝ่ายสกลที่ได้กลับเป็นอิสระอีกครั้งก็ชิงแฉถึงเจตนาซ่อนเร้นของร่างทรงหนุ่มด้วยความรวดเร็ว

“แหม่” หนุ่มหน้าแว่นลากเสียงพลางเบะปากปรายหางตามองหน้าแฝดคนโต “พี่ฌานก็ยอมรับไปตามตรงเถอะครับว่าการเฝ้าพี่เต๋อกับคุณพี่ด้วงเป็นแค่ผลพลอยได้......วอล์คกิงเดดมาราธอนต่างหากที่พี่ฌานสนใจ หึ!”  

“แว่นนนนน... อย่าต้องให้พี่ฌานสาวไส้แว่นออกมาจาระไนเลยจะดีกว่าไหม?” ฌานล็อคคอเพื่อนหน้าแว่นแล้วนาบฝ่ามือลงบนแก้มสกลเพื่อเช็ดคราบน้ำลาย เมื่อยิ่งเห็นอีกฝ่ายดีดดิ้น... แฝดพี่ก็ยิ่งบดขยี้ผิวสัมผัสหนักมือขึ้นไปกันใหญ่ โชคดีที่อดีตเดือนมหาลัยกับชายกำลังเดินเข้ามาที่โต๊ะพอดี ชายกลางจึงรีบแทรกช่วงช่องไฟว่างเพื่อตัดไฟแต่ต้นลม

“พอกันก่อนเถอะครับ... เฮียฟูมาแล้ว”


ตั้งแต่ได้ข้อสรุปหลังจากพูดคุยกับน้องชายก่อนเข้านอนเมื่อคืน
แม้ความกังวลเกี่ยวกับเรื่องของเต๋อกับด้วงจะรบกวนหัวใจอย่างหนักหน่วงไม่ว่างเว้น
กระนั้น... ความเครียดจากการที่ได้รู้แจ้งแก่ใจว่าใครจะมาเป็นผู้ช่วยในแผนการง้อเพื่อนสนิทและว่าที่คนรักก็ช่วยให้กังฟูลืมอาการหน่วงในอกไปได้อย่างปลิดทิ้ง... พูดง่ายๆว่า กรกฏเริ่มจะห่วงตัวเองอย่างจริงๆจังๆมากกว่าคนอื่นไปเสียแล้ว


“ถามจริงเหอะวะ... มึงกะจะให้กูพึ่งพาไอ้เด็กไม่เต็มบาทพวกนี้จริงน่ะเหรอ?” รุ่นพี่ร่างเล็กเร่งเสียงพูดคุยกับน้องชายให้ดังขึ้นราวกับจงใจให้รุ่นน้องต่างคณะทั้งสี่ได้ยินประโยคกดังกล่าวอย่างไรอย่างนั้น

“ก็จริงดิเฮีย...
.
...พวกเราจะสืบความเป็นไปของเด็กสถาปัตย์...
...เราก็ต้องให้เด็กเต็กช่วยเท่านั้นแหละ จะได้ไม่ผิดสังเกต” หนุ่มรูปงามอธิบายไปยิ้มไปด้วยไม่ได้ใส่ใจพี่ชายเท่ากับเด็กสถาปัตย์ร่างผอมที่ตนหย่อนตัวนั่งเกยไหล่อยู่ในขณะนี้

“ไหนมึงบอกว่ากูต้องไปขอโทษไอ้ด้วงก่อนไง... แล้วมันเกี่ยวอะไรกับไอ้เด็กเหี้ยพวกนี้ด้วยล่ะ?” กังฟูยังไม่เลิกซักไซ้

“หึ หึ หึ! คุณกรกฏครับ คุณกรกฏคงยังไม่รู้สินะครับว่า” สกลเว้นช่วงนานจนกรกฏอดลุ้นตามไปไม่ได้ “พอไม่มีเรียนแล้ว คุณพี่ด้วงก็มักจะขลุกอยู่แต่กับพี่เต๋อจนแทบจะกลายเป็นคู่จิ้นคู่ใหม่ของมหาลัยเราไปแล้วนะครับ...  
.
...เพราะฉะนั้น... การที่คุณกรกฏรู้ตารางชีวิตของพี่เต๋อ ก็เท่ากับว่า  คุณกรกฏได้ล่วงรู้ความเคลื่อนไหวของคุณพี่ด้วงโดยละเอียดล่วงหน้ายังไงล่ะครับ ก็เหมือนสุภาษิตจี...

“พอเลยมึง! ไม่ต้องร่าย กูซึ้งแล้ว” กังฟูตัดบทด้วยน้ำเสียงติดรำคาญ... นอนไม่หลับมาเกือบทั้งคืน ถ้ายังต้องมาฝืนทนฟังไอ้เด็กแว่นฟื้นฝอยถึงพงศาวดารสิบสองปันนาอีกก็คงไม่ใช่เขาแล้วล่ะ  

“เข้าใจก็ดีแล้วเฮีย เราจะได้เริ่มลงมือกันเสียที” ธันวารวบรัดมัดมือชกกรกฏชายทันที ฝ่ายพี่ชายก็ได้แต่ทำหน้าตาเหลอหลาระคนตระหนกเพราะยังไม่ทันเตรียมใจ

วันนี้เลยเรอะ?!!”  รุ่นพี่ร่างเล็กเบิกตาโพลงพร้อมโก่งคอถามเสียงหลง

“หรือเฮียจะรอให้พี่เต๋องอนจนมีคนอื่นไปก่อนล่ะ?” อดีตเดือนมหาลัยถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายใส่หน้าพี่ชายแบบไร้สัมมาคารวะ คำขู่ทำให้กังฟูรับคำน้องชายเสียงอ่อย

“เออๆ เอาก็เอา... วันนี้ก็วันนี้”

“ตารางเรียนพี่ด้วงคุณกรกฏคงรู้ดีอยู่แล้ว  ส่วนพี่เต๋อ วันนี้มีเรียนตอนสิบโมง พักเที่ยง แล้วก็เรียนต่อจนถึงบ่ายสามครับ” สกลรายงานข้อมูลด้วยน้ำเสียงน่าเชื่อถือราวกับเตรียมการล่วงหน้ามาเป็นอย่างดี

“ราวๆช่วงเดียวกับเฮียเลยนี่” ธันวาเลิกคิ้วทำหน้าแปลกใจ

“เออดิ! แล้วอย่างนี้กูจะได้เข้าไปคุยกับไอ้ด้วงตอนไหนล่ะวะเนี่ย?” กรกฏบ่นอุบ... แค่เจอเผชิญหน้ากับด้วงแบบตัวต่อตัว อีกฝ่ายก็แทบจะไม่มองหน้า ลองถ้าเต๋อคอยมาประกบวิญญูเอาไว้ตลอดเหมือนเมื่อสองวันก่อนแล้วล่ะก็ เขาคงจะท้อก่อนได้เอ่ยขอโทษเพื่อนรักเป็นแน่

“ก็ตอนเรียนไงเฮีย เฮียต้องเจอพี่ด้วงอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ... เฮียก็ไปขอโทษพี่ด้วงตอนนั้นเลยไง ง่ายดี... โอเคเปล่าเฮีย?” หนุ่มรูปงามพยายามเสนอทางออกที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดให้กับพี่ชาย

“จะดีเหรอวะเก็ก? คาบเช้ากูเรียนห้องใหญ่ตึกรวมนะเว่ย... ไอ้ด้วงมันคงจะยอมมานั่งข้างๆกูหรอก” อาการสองจิตสองใจของกังฟูเผยชัดอยู่ในทุกๆอากัปกิริยาและการแสดงออกจนคนเป็นน้องต้องแนะแนวทางแก้ปัญหาลำดับถัดไปให้ทันที

“ถ้างั้นเฮียก็เข้าสายหน่อยดิ เฮียจะได้เลือกไปนั่งข้างๆพี่ด้วงได้”

“ไม่ได้! วิชานี้อาจารย์พิเศษโคตรเฮี๊ยบ...สิบนาทีล็อคห้อง ไม่มีต่อรองอีกตังหาก” คนเป็นพี่เถียงเสียงกร้าว จนอดีตเดือนมหาลัยถอนหายใจพรูด... ไอ้โน่นก็ไม่ดี ไอ้นี่ก็ม่ได้ แล้วอย่างนี้เมื่อไรอีกฝ่ายจะคืนดีกับเพื่อนสนิทได้กัน?!

ขณะที่ธันวากำลังมืดแปดด้านอยู่นั้นเอง...
หนุ่มหน้าแว่นก็ออกไอเดียที่เป็นดั่งแสงสว่างส่องทางอย่างเป็นมิตรให้แก่ทั้งพี่และน้องอริยะตรัยทันที


“ผมมีข้อเสนอครับ...
.
...ดูจากรูปการณ์แล้ว ผมว่า...คุณกรกฏควรจะเข้าไปคุยกับคุณพี่ด้วงตอนที่อยู่พร้อมหน้ากับพี่เต๋อเลยดีไหมครับ?...
...ทุกอย่างจะได้เคลียร์คัทตัดจบไปทีเดียว คุณกรกฏเองก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลาอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้พี่เต๋อฟังอีกรอบยังไงล่ะครับ”

“เออดี! ไอเดียนี้กูซื้อ!” กังฟูตอบรับข้อเสนอของสกลโดยไม่ต้องคิดเนื่องจากหนุ่มร่างเล็กยังคงทำใจไม่ได้ ดีเท่าไรแล้วที่เขาจะได้ผลัดเลื่อนช่วงเวลาไม่น่าปรารถนาดังกล่าวออกไปก่อน... ถึงจะแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ยังดี

“ถ้างั้นตอนเที่ยงพวกผมจะไปรอเฮียฟูข้างล่างอาคารเรียนรวมแล้วกันนะครับ พวกเราจะได้พาเฮียฟูไปกินข้าวที่เดียวกันกับพี่เต๋อและคุณพี่ด้วง” รุ่นน้องหน้าแว่นกำชับพลางดันกรอบแว่นให้กระชับกับใบหน้ามากขึ้นเพื่อกลบสายตาชั่วร้ายที่ตนใช้ชำเลืองมองหน้าสมุนเลวคนอื่นๆ...

แต่ที่ผิดสังเกตเห็นจะเป็น ใบหน้าที่ผงกขึ้นลงแบบเลื่อนลอยที่พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยใช้แทนการตบปากรับคำ
กับการที่อีกสี่หนุ่มต่างก้มหน้าต่ำเพื่อซ่อนรอยยิ้มโดยพร้อมเพรียงกันนั่นต่างหาก


Ħ------------------------------------------------------------------------Ħ

 [6A]


“ทำไมพวกมึงถึงต้องถ่อมากินข้าวไกลถึงนอกมอด้วยวะ?” กรกฏโพล่งขึ้นมาเมื่อเหล่าสมุนเลวเดินนำเขาทะลุลานจอดรถของร้านอาหารนอกเขตมหาลัยซึ่งขึ้นชื่อด้านบรรยากาศ ราคาและรสชาติอาหารที่ไม่เป็นสองรองใคร

“ด้วยความเคารพ... คุณกรกฏควรจะบริโภคแปะก๊วยบ้างนะครับ ความจำจะได้ดีกว่านี้” สกลที่เดินนำหน้ายังมีแก่ใจหันกลับมาเปรี้ยวใส่รุ่นพี่ร่างเล็กผู้เดินรั้งท้ายคล้ายไม่เต็มใจมากับชาวคณะ

“ไอ้สัดแนน! กูเป็นรุ่นพี่มึงนะ!” หนุ่มวิศวะปีสามว้าก... นอกจากสถานที่จะไม่ใช่บรรยากาศที่คาดหวังเอาไว้  กลุ่มคนแปลกประหลาดที่ติดตามตนมาด้วย ก็ไม่ได้ช่วยให้ความรู้สึกประหม่าลดลงเลยสักนิด

“อย่าไปสนใจหนูแนนมันเลยเฮีย  คืองี้... พวกพี่เต๋อมากินข้าวที่นี่กลางวันนี้น่ะ” เก็กตบบ่าพี่ชายปุๆคล้ายปลอบประโลมและให้กำลังใจไปในตัว  

“ที่นี่เนี่ยนะ?” กังฟูตวัดเบ้าหน้ากลับไปจ้องน้องชายเพื่อคาดคั้น... มันใช่หรือ? ไอ้คาเฟ่สุดฮิปนี่มันเหมาะกับการพาเพื่อนฝูงมาโจ้ข้าวกลางวันตรงไหนไม่ทราบ?!

“ที่นี่แน่ๆเฮีย  นั่นไง...รถพี่เต๋อจอดอยู่นั่นไงเฮีย” พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยถึงกับจนคำพูดเมื่อมองไปสุดปลายนิ้วของธันวา  สายตาของกรกฏก็ปะทะเข้ากับรถยนต์คันเก่งของตรินอย่างปากน้องชายว่าจริงๆ

“ไปเฮีย! เข้าไปกินข้าวเอาแรงกันก่อน เดี๋ยวกินเสร็จค่อยไปขอโทษพี่ด้วงกับพี่เต๋อก็ยังไม่สาย” หนุ่มรูปงามใช้แขนข้างที่ยังว่างอยู่กอดคอพี่ชายกับแฟนตัวน้อยเดินตามสมุนเลวอีกสามหน่อเข้าไปในร้านดังกล่าวโดยไม่รอรี




“นี่... กูถามจริงๆเหอะ” หลังจากทั้งหกหนุ่มเริ่มกินข้าวไปได้สักพัก หนุ่มรุ่นพี่ร่างเล็กก็อดถามเหล่าสมุนเลวออกมาไม่ได้ “ทำไมมันสองคนต้องมาแดกข้าวที่นี่ด้วยวะ? พวกมันจะมานั่งทำมิวสิคจีบกันหรือไง?”  

คนถามเอ่ยพลางเหลือบมองบรรยากาศโรแมนติกด้านในไปพลางๆหลังจากใคร่ครวญมาครู่ใหญ่ๆ...
กะอีแค่กระเดือกข้าวมื้อเดียว เขายังไม่เคยคิดอุตริขนาดอยากจะพาวิญญูมานั่งกินข้าวในพื้นที่ซึ่งอบอวลไปด้วยความเสี่ยวมุ้งมิ้งฟรุ้งฟริ้งแบบนี้มาก่อนเลยสักที... ไอ้หมีควายมันเป็นบ้าอะไร?!  

แต่แทนที่ผู้เป็นน้องจะได้ไขข้อข้องใจให้กรกฏได้รับทราบ...
กลับกลายเป็นเจ้ากรมข่าวลือที่ชิงพื้นที่สื่อแล้วรายงานข่าวล่ามาเร็วให้อีกฝ่ายได้รับทราบไปเสียนี่


“หูยยยยย! คุณกรกฏยังไม่รู้อะไรครับ ผมล่ะไม่อยากจะเม้าท์!!” หนุ่มหน้าแว่นชะโงกหน้ากระซิบกระซาบปากยื่นปากยาวข้ามโต๊ะเข้าใกล้กังฟูจนคนอื่นๆต้องพลอยสุมหัวตามหนุ่มหน้าแว่นไปอย่างอัตโนมัติ  แต่แล้วความฝันของสกลกลับถูกมือดีบดขยี้จนไม่เหลือซากในชั่วพริบตา

“ก่อนที่เฮียฟูจะลงมา พี่เต๋อพาผู้ชายอีกสองคนมารอรับพี่ด้วงตรงข้างล่างอาคารเรียนรวม แล้วทั้งหมดก็พากันมากินข้าวที่นี่แหละครับ”  ฌอนเอ่ยเรียบๆโดยไม่ลืมหันไปขยิบตาให้กับเพื่อนรักหน้าแว่นจนอีกฝ่ายทนไม่ได้

ฌอนศรีจะจะสปอยล์ทำม้ายยยยย?! / ห๊ะ?! มึงว่าไงนะไอ้หัวจุก?

“พี่เต๋อกับคุณพี่ด้วงควงหนุ่มน้อยน่ารักอีกสองคนมากินข้าวกลางวันที่นี่ครับคุณกรกฏ” ประโยคใส่ร้ายป้ายสีดังกล่าวยิ่งสร้างความร้าวรานในหัวใจให้คนฟังไปกันใหญ่เมื่อสกลใส่ไฟเพิ่มด้วยน้ำเสียงกระแนะกระแหนแจ๋แจ๋นและรอยยิ้มเย้ยหยันที่น่าหมั่นไส้ให้อารมณ์ลูกน้องรองมือรองเท้านางโกง

แล้วตอนนี้พวกมันอยู่ไหน?!” พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยคำรามเสียงดังอย่างไม่เห็นหัวใคร โชคดีเหลือเกินที่โดยรอบโต๊ะของพวกเขายังไม่มีลูกค้าคนอื่นเข้ามาใช้บริการ ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงได้ถูกเชิญออกจากร้านเป็นแน่

“เฮียฟูเบาๆสิครับ เดี๋ยวพวกพี่เต๋อกับคุณพี่ด้วงก็ได้ยินกันพอดีหรอก” ฌานขอความร่วมมือจากรุ่นพี่ร่างเล็กด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ... ยิ่งสีหน้าของเหล่าสมุนเลวดูยุ่งมากขึ้นเท่าไร  โทสะของกังฟูก็ดูจะยิ่งพุ่งสูงขึ้นเท่านั้น

พวกมันนั่งอยู่ไหน? อีกฟากนึงใช่ไหม?!” พูดจบ ร่างเล็กก็ดีดขึ้นจากโซฟาตัวนุ่มแล้วเดินลิ่วไปยังอีกปีกหนึ่งของร้านทันที

“เฮีย! เฮีย! เดี๋ยวเฮีย! กินข้าวให้เสร็จก่อนดิเฮีย!” เก็กผละจากโต๊ะแล้ววิ่งตามพี่ชายเลือดร้อนของตนไปในทันใด จนหนุ่มสถาปัตย์อีกสี่คนจำต้องต้องวิ่งตามไปช่วยแก้ไขสถานการณ์ร้อนที่ใกล้จะปะทุขึ้นอย่างช่วยไม่ได้




ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าในยามนี้ทำให้กรกฏโกรธจนแทบจะพ่นไฟ...
นี่หรือคือคนสองคนที่พร่ำบอกว่ารักเขาจะเป็นจะตาย?...
นี่หรือคือคนที่อยากให้เขามอบสถานะแฟนให้?...
แล้วทำไมพวกมันถึงกล้าทำกับเขาแบบนี้?!!

ตรงข้ามว่าที่คนรัก... ผู้ชายคนแรกที่ทำให้กรกฏรู้สึกว้าวุ่นในหัวใจเพราะทนคิดถึงอีกฝ่ายไม่ไหว ผู้ชายที่เปรียบเสมือนแสงแดดที่ทำให้รู้สึกว่าโลกนี้ช่างอบอุ่นและสดใสเป็นที่สุด  คือร่างบางซึ่งเป็นเจ้าของเรือนผมสีแดงเพลิง  ฝ่ายเพื่อนรักซึ่งเป็นคนสำคัญไม่น้อยไปกว่าสมาชิกในครอบครัว ก็มีร่างอ้อนแอ้นหัวสีทองอร่ามนั่งหันหลังบดบังใบหน้ายิ้มแย้มแก้มแทบแตกของมันอยู่

ดูเหมือนว่า ไอ้หมีควายกับไอ้เพื่อนสารเลวกำลังง่วนอยู่กับการประดิษฐ์ประดอยตักอาหารใส่จานของคนนั่งตรงข้ามอย่างขมีขมัน  ที่น่าโมโหยิ่งไปกว่านั้น คือการที่พวกมันดูร่าเริงและมีความสุขจนน่ารังเกียจเสียเหลือเกิน!!


ไอ้ด้วง! ไอ้เหี้ยเต๋อ!  หนุ่มร่างเล็กตะเบ็งด่าจิกหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่นั่งสำเริงสำราญอยู่ข้างหน้าสุดเสียง  กระนั้น...ทั้งเต๋อและด้วงต่างไม่ได้รู้สึกรู้สา จะมีก็แต่สองหนุ่มร่างบางเท่านั้นที่หันกลับมามองกังฟูด้วยสีหน้าตี่นตระหนก  

ทันทีที่ได้เห็นเสี้ยวหน้าของทั้งสองหนุ่ม เข่าของกรกฏแทบทรุดลงเดี๋ยวนั้น
ใครมันจะไปคิดกันล่ะว่า เด็กหัวแดงกับหัวทองที่ไอ้หมีกับไอ้ด้วงเพื่อนชั่วควงมากินข้าวด้วยจะหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มขนาดอิ๊กสมควรลาตายแล้วไปเกิดใหม่ให้รู้แล้วรู้รอด...

มิน่าล่ะ... เพราะอย่างนี้นี่เอง พวกมันถึงได้หายหัวไปได้โดยไม่เจ็บปวดหรือเดือดร้อนเลยสักนิด
อย่างนั้นก็หมายความว่า คนที่ฟูมฟายกินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะมัวแต่ห่วงความรู้สึกของพวกมันทั้งคู่อยู่ตลอดสองวันที่ผ่านมา คือเขาเองหรอกหรือ?!!


พวกมึงแม่งเลวจริงๆ... ทำกับกูอย่างนี้ได้ยังไง?! ความรู้สึกน้อยใจที่พุ่งทะลุเพดานผสานกับความผิดหวังรุนแรงทำให้ร่างเล็กหลุดปากต่อว่าทั้งสองหนุ่มอย่างไม่ไว้หน้า

“เดี๋ยวเฮีย! เฮียใจเย็นก่อน!!” เก็กปราดวิ่งตามเข้าไปรั้งร่างพี่ชายไม่ให้เดินเข้าไปถึงโต๊ะที่พวกวิญญูนั่งอยู่

ฝ่ายสองหนุ่มร่างใหญ่ที่เงยหน้าจากจานข้าว ก็ไล่สายตามองตามแฝดหัวแดงและทองทั้งสองที่ยังมองหน้ากังฟูตาแป๋ว
แต่เมื่อสายตาสองคู่ดังกล่าวไล่ผ่านมายังจุดที่ทั้งธันวาและกรกฏยืนอยู่
ทั้งเต๋อและด้วงกลับมองเลยพี่น้องอริยะตรัยไปวางสายตายังจุดอื่นราวกับพวกเขาเป็นเพียงอากาศธาตุ  
ปิดท้ายด้วยการที่ต่างฝ่ายต่างยักไหล่น้อยๆให้อีกคนแล้วจึงก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อราวกับสายตาตัดพ้อของกังฟูไม่มีผลต่อความรู้สึกนึกคิดใดๆทั้งสิ้น


ไม่ยงไม่เย็นแม่งแล้ว!!! เก็กมึงดูดิ๊ กูยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้แท้ๆ แต่พวกแม่งกลับทำเหมือนไม่เห็นหัวกูเลยสักนิด... มึงคอยดูนะ กูจะด่าพวกแม่งให้จำบ้านเลขที่ไม่ได้เลย!!!!

เฮีย! เฮียอย่าลืมดิว่าเฮียมาขอโทษพี่ด้วงกับพี่เต๋อนะเว่ย!” อดีตเดือนมหาลัยพยายามเตือนสติพี่ชายพร้อมๆกับกอดรัดไม่ให้ร่างเล็กดิ้นไปทำร้ายคู่กรณีทั้งสองได้

ปล่อยกู! ไอ้สัดด้วง! ไอ้เหี้ยเต๋อ! กูกำลังด่าพวกมึงอยู่นะ พวกมึงยังจะกล้าลอยหน้าลอยตาใส่กูอยู่อีกเหรอ? ”  เก็กยกร่างเล็กๆของพี่ชายขึ้นเหนือพื้นเมื่อเห็นฤทธิ์เดชของอีกฝ่ายที่เริ่มจะปล่อยเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว  เมื่อเห็นว่าท่าไม่ดีสมุนเลวที่เหลือซึ่งยืนดูลาดเลาอยู่ห่างๆมาได้สักพัก ก็รีบเข้ามาช่วยลดความตึงเครียดของเหตุการณ์ทันที

“เก็ก พาเฮียฟูออกไปก่อนเถอะ” แฝดพี่พยักเพยิดให้หนุ่มวิศวะรูปงามรีบทำตามที่ตนบอกก่อนที่ทั้งร้านจะโดนกังฟูถล่มจนราบเป็นหน้ากลองไปเสียก่อน

ปล่อยยยย! ไอ้เหี้ยเก็กปล่อยกู!!!!! 
.
.
.
.
.
.
.
.
ปล่อยกูดี้!! ไอ้เก็ก! มึงปล่อยกูเดี๋ยวนี้เลยนะ!!” ร่างเล็กของคนเป็นพี่ดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดของน้องชายระหว่างที่ธันวาค่อยๆเดินอย่างทุกลักทุเลออกมานอกร้าน ตามด้วยบ๊วยที่ปิดท้ายขบวนพร้อมสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยพี่ชายคนรักอย่างที่สุด

เฮีย! เฮียตั้งสติก่อนดิวะ!!... จะโกรธอะไรนักหนาเนี่ย?... เฮียตั้งใจจะมาขอโทษสองคนนั่นนะเว่ยไม่ใช่มาด่าซ้ำ! ” อดีตเดือนมหาลัยเตือนสติพี่ชายถึงจุดประสงค์ของแผนการในวันนี้  แต่เมื่อคนเป็นพี่ยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงง่ายๆ ชายกลางจึงใช้การอ้อนวอนกึ่งหว่านล้อมเข้าช่วยธันวาอีกแรง

“เฮียฟูครับ ใจเย็นๆก่อนนะครับ... ลองหายใจเข้าลึกๆดูหน่อยดีไหมครับเฮียฟู?”

ฮึ่ย!!” กังฟูสะบัดหน้าไล่อารมณ์ร้อนรุ่มออกไปพร้อมกับที่น้องชายยอมปล่อยให้เขากลับเป็นอิสระอีกครั้ง เก็กเป็นอีกคนที่สูดลมหายใจเข้าอย่างช้าๆเพื่อสะกดอารมณ์ตามคำแนะนำของแฟนตัวน้อยก่อนจะเอ่ยปากถามพี่ชายร่วมสายเลือดในโหมดพร้อมรับฟังมากกว่าเมื่อครู่โดยไม่รอช้า

“เฮีย... เก็กถามจริงๆเถอะ ก่อนมานี่... เฮียบอกเองไม่ใช่เหรอว่าจะมาขอโทษพี่ด้วงกับพี่เต๋อ? แล้วเฮียจะเข้าไปด่าพี่เต๋อกับพี่ด้วงทำไม?”

กู... กูไม่รู้โว้ย! กูคงโกรธจนหน้ามืดมั้งแม่ง! เหี้ยเอ๊ย!!!” กรกฏตอบส่งเดช... อันที่จริง ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร หากแต่กังฟูยังไม่อาจยอมรับความรู้สึกร้อนรุ่มดังไฟสุมทรวงเมื่อเห็นทั้งด้วงและเต๋อระรื่นชื่นบานอยู่กับคนอื่นไม่ได้ต่างหาก

“เฮียโกรธใคร? โกรธอะไรวะ?... ไม่ชอบกับข้าวร้านนี้เหรอ? หรือเพราะอะไร?”

กูโกรธไอ้ด้วงกับไอ้เต๋อ... โกรธแม่งฉิบหาย!!” หนุ่มวิศวะร่างเล็กคำรามในลำคอด้วยความเจ็บปวดพลางไม่ละสายตาไปจากพิกัดของโต๊ะอาหารตัวที่ตนเพิ่งไปอาละวาดใส่คล้ายกับจะส่งถ้อยคำสาปแช่งไปตามสายลมให้ถึงชายหนุ่มทั้งสองที่นั่งอยู่ตรงปลายทางอย่างไรอย่างนั้น

“แล้วทำไมอยู่ๆเฮียถึงโกรธพี่ด้วงกับพี่เต๋อล่ะ? เก็กไม่เห็นว่าพวกพี่ๆเค้าทำอะไรให้เฮียโกรธเลยนะ”

ไม่รู้! กูไม่รู้!” เมื่อเริ่มจะโดนจับไต๋ได้ กังฟูก็ระเบิดเสียงใส่น้องชายอีกครั้ง  ทว่าธันวากลับยังไม่ถอดใจ... เขาอยากแน่ใจว่า ท่าทางเกรี้ยวกราด แถมด้วยการอาละวาดแบบไร้สิ่งเร้าของพี่ชายที่เห็นกับตาไปเมื่อครู่เป็นเพราะสาเหตุใดกันแน่

“เฮียไม่ชอบที่พี่ด้วงกับพี่เต๋อไปไหนมาไหนกับคนอื่นเหรอ?”

ไม่รู้! กูจะกลับคณะแล้ว! เดี๋ยวไปเรียนไม่ทัน กรกฏส่งสายตากดดันน้องชายหลังจากเฉไฉเปลี่ยนเรื่องได้สำเร็จ

“เฮ่ย! เดี๋ยวดิเฮีย! เก็กยังกินข้าวไม่อิ่มเลย!” อดีตเดือนมหาลัยพยายามทัดทานเพราะข้าวที่ตกถึงท้องยังไม่อาจบรรเทาความหิวโหยได้สักนิด

ไม่ได้! มึงต้องกลับไปกับกู... ค่อยไปหาอะไรแดกใต้คณะเอาก็ได้! มึงไม่ต้องไปเสียปากแดกห่าอะไรที่นี่เลย... อร่อยก็ไม่อร่อย แพงก็แพง  แถมบรรยากาศแม่งยังหมาไม่แดกอีกต่างหาก!!” รุ่นพี่ร่างเล็กยื่นคำขาดอย่างไร้เยื่อใยก่อนจะกลับหลังหันให้กับคู่รักทั้งสองแล้วก้าวฉับๆกลับไปยังจุดที่พวกเขาจอดรถทิ้งเอาไว้  ซึ่งเมื่อดูจากสีหน้าของกังฟูยามที่เอ่ยประโยคเมื่อครู่... ไม่ต้องให้ใครบอกก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ปรารถนาคำปฏิเสธเป็นคำตอบ

“กลับกันเถอะครับพี่หมี ขืนอยู่ต่อไป...เฮียฟูคงได้อาละวาดร้านแตกแน่ๆ” หนุ่มสถาปัตย์ร่างผอมเอ่ยชวนแฟนหนุ่มให้รีบเดินตามหลังรุ่นพี่ไปโดยเร็ว ฝ่ายอดีตเดือนมหาลัยที่ดูจะเสียดายบรรยากาศคู่รักภายในร้านเป็นพิเศษก็แอบเหลือบกลับไปมองตัวอาคารด้านหลังด้วยแววตาโหยหาอยู่แว่บหนึ่งก่อนจะหันมาตอบตกลงกับแฟนตัวน้อยอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก

“ฮื่อ... ก็ได้ครับ” ว่าแล้ว...เจ้าของรูปร่างสูงสมส่วนน่ามองก็เดินเข้าไปกอดคอบ๊วยเอาไว้แล้วพากันออกเดินตามหลังกังฟูไปห่างๆ  คนสูงกว่าโน้มคอลงกระซิบเบาๆข้างๆใบหูของชายกลางพลางวาดหวัง

“บูบู้... ไว้เรากลับมากินข้าวที่นี่กันสองคนนะครับ”

“ครับ” คนตัวเล็กกว่าเงยหน้าขึ้นแล้วส่งยิ้มหวานให้กับคนรักจนคนมองเคลิบเคลิ้มเสียจนน้ำเปรี้ยวแอบดันขึ้นอย่างพอเป็นกระสัย


Ħ------------------------------------------------------------------------Ħ

 [7A]


“คุณธันวาครับ สรุปว่าคุณกรกฏไม่อยากขอโทษคุณพี่ด้วงแล้วเหรอครับ?” สกลที่เพิ่งซื้อข้าวเย็นเสร็จถามอดีตเดือนมหาลัยทันทีที่นั่งลง  

กระนั้น...ฝ่ายผู้ที่ถูกตั้งคำถามกลับใช้สีหน้าปูเลี่ยนๆและการยักไหล่แทนคำตอบ
เนื่องจากเกรงใจพี่ชายที่นั่งหน้าตูมอยู่ข้างๆเป็นที่สุด
กระทั่งจวบจนตอนนี้... กรกฏก็ยังไม่ปริปากคุยกับใครเลยสักคำ ขนาดเรื่องเมื่อกลางวันจบไปตั้งหลายชั่วโมงแล้วก็ตาม


“ฮื่อ...สกล! พี่ฌานว่า พวกเราอย่าเพิ่งคุยเรื่องนี้กันเลยนะ” แฝดพี่ออกปากห้ามเพื่อนหน้าแว่นแทนหนุ่มรูปงามต่างคณะเพื่อความสงบสุขของทุกคนระหว่างร่วมกินมื้อเย็นพร้อมหน้าพร้อมตากัน  แต่สกลกลับยังไม่เลิกทำตัวเป็นเจ้าหนูจำไมในเวลาที่ไม่เหมาะไม่ควร

“อ้าว ทำไมล่ะครับ? ทำไมพวกเราถึงคุยเรื่องนี้ไม่ได้?”

“ไม่คิดจะดูตาม้าตาเรือสักหน่อยเหรอแนน? เดี๋ยวก็วงแตกก่อนเวลาอันควรกันพอดี” ...คราวนี้เป็นแฝดน้องที่ต้องยอมออกแรงปรามหนุ่มหน้าแว่นตามพี่ชายไปอีกคน

“ก็ผมไม่รู้นี่ครับฌอนศรี เห็นตอนที่คุยกันเมื่อเช้า... ไฟแห่งความมุ่งมั่นยังท่วมตัวคุณกรกฏอยู่เลย”  สกลปรายตามองกรกฏตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง ก็สภาพของพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยเมื่อเก้าโมงกับตอนนี้...ช่างมีความหลากหลายเสียเหลือเกิน

“เออ... พักเรื่องนี้ไปก่อนเถอะสกล” ฌานสำทับรับรองคำพูดของแฝดน้องอีกครั้งเพื่อสร้างความเข้าใจที่ตรงกันและขอความร่วมมือจากเพื่อนหน้าแว่นกลายๆ... แต่สกลกลับไม่วายทิ้งทุ่นระเบิดปิดท้ายเสียอย่างนั้น

“ว้า! ถ้าอย่างนั้นผมก็อดสปอยล์เรื่องของพี่เต๋อกับพี่ด้วงเรื่องใหม่ที่เด็ดสะระตี่ยิ่งกว่าการขอขมาเมื่อกลางวันอันเป็นวาระแห่งชาติไปน่ะสิครับ”

“พี่ฌานขอล่ะสกล... อะไรที่เกี่ยวกับพี่ๆสองคนนั้นน่ะ สกลอย่าพูดถึงอีกเลยนะ”

“แต่เรื่องที่ผมไปรู้มามันเด็ดสะระตี่หมีตีฉิ่งจริงๆนะครับ... ถ้าพลาดข่าวนี้ไป รับรองว่าพรุ่งนี้พวกเราต้องคุยกับใครไม่รู้เรื่องแน่ๆ” การออกท่าออกทางอย่างร่าเริงเต็มพิกัดขัดกับสถานการณ์ของสกลทำให้ฌอนคันปากยิบๆ

“ปกติแนนก็คุยกับใครไม่รู้เรื่องอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? / ฌอนศรี!!

โอ๊ย! พวกมึงหยุดกัดกันเสียที กูรำคาญ!!...
.
... ไอ้แนน!...มึงไปฟังอะไรมา?!

สุดท้าย...กังฟูก็ไม่อาจข่มความอยากรู้อยากเห็นลงได้
ขนาดพยายามกล่อมตัวเองแทบบ้าว่า ต่อให้ไอ้ควายเต๋อกับไอ้เหี้ยด้วงมันจะไปตายที่ไหน เขาก็จะไม่สนใจเลยสักนิด
แต่ทำไมพอเห็นสีหน้ามีลับลมคมในของไอ้เด็กแว่นเมื่อครู่ เขาถึงรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไรก็ไม่รู้... ราวกับว่าเรื่องเด็ดที่อีกฝ่ายครั่นเนื้อครั่นตัวอยากจะเล่านั้นต้องเกี่ยวข้องกับไอ้ชั่วสองตัวกับไอ้เด็กแฝดคู่นั้นไม่ทางใดก็ทางหนึ่งอย่างแน่นอน!!!


“...เอ่อ...” สกลทำหน้าเป็นหมาเห็นเงากระดูกในน้ำก็ไม่ปาน  

“พวกแม่งสองคนไปแอบทำอะไรกับใครที่ไหนอีก? บอกกูมาเดี๋ยวนี้นะถ้ามึงไม่อยากเจ็บตัวฟรีๆ!” กรกฏใช้เสียงเข้าข่มขู่จนดูไม่เหมือนชายหนุ่มตัวเล็กๆที่นั่งหงอจมอยู่กับโต๊ะโรงอาหารเมื่อครู่เลยสักนิด

“จะดีเหรอครับคุณกรกฏ?...แต่พี่ฌานเพิ่...

“เออ! พูดมาเถอะ กูรับรองว่านอกจากกูแล้วจะไม่มีใครทำอะไรมึงได้!...
.
...เร็วๆ! ความอดทนของกูไม่ได้มีเอาไว้ใช้กับคนอย่างมึงหรอกนะ!” ในเมื่อรุ่นพี่ต่างคณะรับรองแข็งขันเสียขนาดนี้... สกลจึงรีบคายประเด็นเม้าท์ล่าสุดให้ชายหนุ่มทั้งวงสนทนาได้รับรู้ร่วมกันทันที

“คือผมได้ยินคนอื่นเม้าธ์กันหนาหูว่า มีหนุ่มรุ่นน้องมหาลัยอื่นมาตามขายขนมจีบให้คุณพี่ด้วงกับพี่เต๋อครับ”

!!!!!!!

“เห็นเขาพูดกันว่า สองคนนั้นลงทุนมานั่งรอพี่เต๋อกับคุณพี่ด้วงถึงคณะเลยนะครับ...
.
...ตอนเลิกเรียนวันนี้ คุณกรกฏไม่ทันเห็นหรอกเหรอครับ?”  

“เอ่อ... กูคงไม่ทันสังเกตล่ะมั้ง”

ระหว่างตอบคำถามของรุ่นน้องหน้าแว่น  สมองของกังฟูก็พยายามทบทวนถึงเหตุการณ์เมื่อตอนเย็น
ถึงอย่างนั้น...นับตั้งแต่ที่เขากลับมาจากร้านอาหารนอกมหาลัยเมื่อตอนกลางวัน...
ภาพในหัวที่ร่างเล็กพอนึกออกต่างล้วนแต่เป็นฉากเบลอๆไร้เสียง ไร้สีสัน ไม่น่าจดจำแทบทั้งสิ้น
จนเมื่อน้องชายเดินมาตามถึงหน้าห้องเลคเชอร์ และพากันมากินข้าวพร้อมกับรุ่นน้องต่างคณะอีกสี่คนที่โรงอาหารใกล้หอนี่แหละ สติสตังของกรกฏก็เพิ่งกลับเข้าร่างเป็นครั้งแรก...

ซึ่งดูเหมือนว่า พอได้ฟังคำบอกเล่าของสกลจนจบ
ความหวัง กำลังใจ และสติก็ต่างเก็บกระเป๋าออกเดินทางไปพักร้อนยังที่ห่างไกลเป็นที่เรียบร้อย
ร่างเล็กของกังฟูค่อยๆหยัดตัวยืนขึ้นแล้วออกเดินไปโดยไม่พูดไม่จากับใครสักคนที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่... กระทั่งเขาเองยังไม่อาจรู้ได้ว่า ฝ่าเท้าทั้งสองข้างกำลังมุ่งหน้าไปยังปลายทางแห่งไหนกันแน่  


“อ้าวเฮีย! แล้วนั่นเฮียจะไปไหนอ่ะ? เฮียยังกินข้าวไม่หมดเลยนะเฮ่ย!!... เฮีย เฮีย!/ พี่หมี... รีบตามเฮียฟูไปเถอะครับ เดี๋ยวเค้าสั่งข้าวกับน้ำให้ใหม่” บ๊วยเร่งให้คนรักรูปงามรีบติดตามพี่ชายไปโดยเร็วเนื่องจากอดห่วงสภาวะว่างเปล่าผิดปกติของกรกฏที่เห็นเมื่อครู่ไม่ได้

“เจอกันที่ห้องนะครับบูบู้... พี่ฌาน ผมฝากไปส่งบูบู้ที่หอผมด้วยนะครับ” ธันวาสั่งความกับฌานด้วยน้ำเสียงลุกลี้ลุกลน จนแฝดพี่รับปากนั่นแหละ อดีตเดือนมหาลัยถึงได้ยอมลุกขึ้นแต่โดยดี

“เออๆ ไม่ต้องห่วง รีบไปเหอะ... เฮียฟูเหวี่ยงตัวเองหลุดออกวงโคจรโลกไปแล้วมั้งป่านนี้”

“ครับ ครับ!” อริยะตรัยผู้น้องรับคำพลางปรายตามองหน้าแฟนตัวน้อยอีกครั้งก่อนจะผลุนผลันออกจากโรงอาหารตามร่างเล็กของพี่ชายไปติดๆ  




Ħ------------------------------------ TBC ------------------------------------Ħ



 [3.2]
อยู่ๆก็มีเรื่องราวให้นอนไม่หลับ | ก่อนนอน | ห้อง 303


บูบู้! แล้วบูบู้จะเอาผ้านวมมาปูพื้นทำไมล่ะครับเนี่ย? จะชวนเค้าเล่นมวยปล้ำก่อนนอนเหรอครับ?...
.
...อยากเล่นมวยปล้ำ ทำไมไม่บอกเค้าก่อนเข้าไปอาบน้ำล่ะครับ?”
พี่หมี... คืนนี้เรานอนพื้นกันดีไหมครับ?”
อ้าว! ทำไมล่ะบูบู้? บูบู้เมื่อยหรือครับ? หรือว่าบูบู้ไม่อยากนอนกอดกับเค้าแล้ว?”
เปล่าครับพี่หมี... แต่เค้าว่า คืนนี้เรานอนด้วยกันดีกว่าครับ...
.
...คือ... หนังที่พี่หมีเปิดเมื่อกี๊มันติดตาเค้าน่ะ
มึงกลัวใช่ไหมล่ะไอ้บูบู้? ก็ได้!... กูจะยอมนอนพื้นกับพวกมึงก็ได้ มึงจะได้นอนหลับสบายๆยังไงล่ะ
ครับ ผมกลัวครับเฮียฟู... ผมเลยไม่อยากนอนคนเดียว เฮียฟูมานอนด้วยกันนะครับ
เอ้า... นอนสิ นอนได้แล้ว... พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า
แล้วทำไมเฮียถึงต้องนอนตรงกลางล่ะ? นั่นที่เก็กนะเฮีย!”
ก็กูไม่ชอบนอนขอบนี่หว่า... มึงก็อย่าเรื่องมากนักเลยไอ้เหี้ยเก็ก! นอนๆ!... เอ้า! ปิดไฟได้แล้ว!
โห่! เฮียอ้ะ! เป็นพี่ก็ต้องเสียสละที่ให้น้องดิวะ!!”
นอนไปเลยมึง อย่าบ่นมาก... น่ารำคาญ!
เฮ่ออออออ... เฮียแม่ง!
เดี้ยะ เดี้ย!




...อย่า!... อย่าเข้ามานะ!!... กลัวแล้ว!!... อย่าเข้ามา!!!... อย่าาาาาาาาา!!!...(แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก)...ร่างเล็กของกรกฏสะดุ้งโหยง เหงื่อกาฬแตกเสียจนเสื้อยืดใส่นอนชุ่มไปทั้งตัว  

เมื่อรู้ว่าภาพติดตาก่อนนอนจากฉากในหนังที่น้องชายเปิดหลังกินข้าวตามมาหลอกหลอนตนเองถึงในความฝันจนเกิดอาการตกใจผวาตื่นเอากลางดึก ชายหนุ่มร่างเล็กก็อดบ่นในใจกับตัวเองไม่ได้


ไอ้ผีเหี้ยเอ๊ย! ดูดิ๊... ตื่นเลย!’s
อ้าว! ไอ้เหี้ยเก็กล่ะ... ไอ้เหี้ยเก็กหายไปไหนแล้ว?!!’ กรกฏยิ่งตกใจไปกันใหญ่เมื่อด้านซ้ายมือของตัวเองไร้ซึ่งร่างสูงใหญ่ของน้องชายผิดไปจากตอนก่อนนอน ความกลัวทำให้ร่างเล็กค่อยๆไล่สายตามองฝ่าความมืดเพื่อตามหาน้องชายให้พบก่อนพยายามข่มตานอนอีกครั้ง
.
.
.
.
.
.
.

 ‘ไอ้น้องห่า! นี่แม่งแอบลุกไปนอนกอดไอ้บู้บู้ตั้งแต่เมื่อไรวะ?...
.
...แล้วดูแม่ง กอดไอ้บูบู้เสียแน่นแบบนั้น ไม่กลัวบูบู้มันอึดอัดเลยหรือไง?...
...ตัวอย่างกับงูหลาม รัดแรงๆทีมีหวังไอ้บูบู้ขาดใจตายแหงๆ  กังฟูค่อนแคะผู้เป็นน้องที่ย้ายมานอนแทรกกลางระหว่างตัวเองกับแฟนได้โดยที่เขาไม่ทันรู้สึกตัว... แล้วไหนจะท่านอนที่ดูหวงแหนหนุ่มสถาปัตย์เป็นที่สุดนั่นอีกล่ะ... เขาว่าจะไม่หมั่นไส้พวกมันแล้วนะ แต่พอเห็นแบบนี้กับตาจะๆแล้วมันอดด่าไม่ได้จริงๆ

แต่นั่นกลับไม่ได้สำคัญเท่ากับ... จะทำอย่างไรให้เขากลับไปนอนตรงกลางระหว่างน้องชายและแฟนได้นั่นแหละ
กรกฏพยายามแงะแขนและร่างหนาของธันวาออกจากบ๊วยก่อนจะแทรกซึมเข้าไปยังที่ว่างระหว่างสองร่างที่นอนกอดกันกลมเป็นก้อน กระนั้น...อดีตเดือนมหาลัยกลับไม่ให้ความร่วมมือกับเขาแม้แต่น้อย


...ฮื่ออออออออออ...


ไอ้งูหลามเผือกเอ๊ย! เกาะไอ้บูบู้แน่นเชียวนะมึง แล้วจะอือๆออๆใส่กูหาอะไร?!...
.
...ใจคอมึงทำด้วยอะไร? นี่จะไม่ให้กูนอนแทรกกลางจริงๆเหรอวะ? กูกลัวผีนะเว่ยเฮ่ย!!

กรกฏด่าพลางยื้อแขนธันวาออกจากร่างของบ๊วยด้วยแรงที่มีทั้งหมด ทว่าเขากลับได้รับเสียงอ้อแอ้ต่อต้านเป็นการตอบแทนโดยที่แขนยาวๆนั่นไม่ได้ขยับออกจากตำแหน่งเดิมเลยสักนิด

แต่เมื่อกังฟูคิดจะเปลี่ยนเป็นผลักลำตัวบ๊วยออกจากอกน้อง... กลายเป็นว่าแขนยาวๆที่เคยรัดแน่นกับร่างผอมกลับพาดลงบนหัวของเขาอย่างเหมาะเหม็งก่อนจะออกแรงผลักเหมือนดันลูกบิดประตูอย่างไรอย่างนั้น


...อือออออ...


ไอ้สัด! นี่หัวกู้ววววว!! อย่าผลักดี้!... ขอกูนอนด้วยคน!!

จังหวะที่กรกฏเริ่มจะอ่อนแรงและอ่อนใจ ร่างเล็กก็เปลี่ยนกลยุทธมาเป็นนอนประกบแผ่นหลังของน้องชายเพื่ออาศัยความรู้สึกปลอดภัยจากการสัมผัสเนื้อตัวของอีกฝ่ายกล่อมให้ตัวเองหลับลงได้อีกครั้ง... แต่ยังไม่ทันคุ้นกับท่านอนดังกล่าวถึงนาทีดี กลับมีสิ่งไม่คาดฝันเกิดขึ้นโดยที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน


( ...ปู๊ดดดดด!... )


“...(แค่ก แค่ก แค่ก)... เหี้ยเอ๊ย!...(แค่ก แค่ก)...


มึงจะตดทำไมเนี่ยไอ้เหี้ยเก็ก?!...
...แม่ง...แดกห่าอะไรมาวะ? ขมคอฉิบหาย...
.
...ย้ายไปนอนข้างไอ้บูบู้ดีกว่า

“...(แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก)...

...งืม งืม...เอิ้ก!...


หนอย! หวงจังนะไอ้บูบู้เนี่ย กระทั่งตอนนอน...ยังจะไม่ให้กูนอนด้วย! ไอ้เหิ่มอ๋อยเอ๊ย! กังฟูบ่นกับตัวเองเป็นครั้งสุดท้ายหลังจากย้ายไปนอนประกบแผ่นหลังไร้เนื้อหนังของแฟนใหม่น้องชาย... น่าแปลกที่แผ่นหลังบางๆนี้แผ่ความรู้สึกสบายใจออกมาได้ไม่น้อยไปกว่าอ้อมกอดของด้วงเลยสักนิด  

เมื่อฤทธิ์ของความง่วงงุนทำงานผสานกับความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยไร้เสียงและกลิ่นที่สัมผัสได้ กรกฏก็ค่อยๆคลายความกังวลจนหลับตาลงได้อีกครั้งท่ามกลางเสียงตดที่ดังเป็นระยะๆอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล




No comments:

Post a Comment