Monday, October 5, 2015

Ħ บน บาน ศาล รัก Ħ The 30th Blessing || 05.10.2015



ดีใจเหลือเกินที่ตอนที่แล้วไม่มีใครบ่นว่าเราดราม่า...
แต่ตอนนี้มาม่ามาแล้วนะคะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า(หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง)
สัญญาเลยว่าความหน่วงจะมาแค่ตอนนี้ตอนเดียวจริงๆ
ส่วนตอนอื่น...หากมีมาม่าปรากฏออกมาอีก ถือว่าไม่เป็นโมฆะก็แล้วกันเนอะ

เราฝากช่องทางติดตามนิยายเอาไว้อีกดีกว่า ทุกคนจะได้อ่านตอนใหม่ได้พร้อมๆกัน...

รักคนอ่านทุกท่านค่ะ...
ฝากความเห็นเอาไว้ให้เราปรับปรุงนิยายได้นะคะ ^^



Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ



The 30th Blessing
เราสองสามคน




“เออ... รู้แล้วล่ะน่า ก็นี่ไง... กำลังจะออกไป...
.
...ไม่ต้องมารับหรอก กูไปเองได้...
...เอาเถอะน่า มึงจะห่วงอะไรกูนักหนาเนี่ย?!...
.
.
...เออ! เจอกันโรงกลาง มึงย้ำเป็นรอบที่ร้อยแล้วนะเต๋อ!...
...ก็ถ้ามึงยังไม่วางสาย แล้วชาตินี้กูจะแต่งตัวเสร็จไหม?!...
...เออ! แค่นี้นะ!!

หนุ่มวิศวะร่างเล็กไม่ทันรู้ตัวว่าตลอดเวลาที่โต้ตอบกับคนปลายสายด้วยน้ำเสียงติดรำคาญอยู่นั้น  
กลีบปากบางของตนกลับแย้มยิ้มมากบ้างน้อยบ้าง หากแต่ไม่ร้างลาจากการเผยให้เห็นซี่ฟันขาวเรียงตัวสวยเลยสักวินาที
จนเมื่อร่างสูงสมส่วนของน้องชายผละจากระเบียงกลับเข้ามาในห้องแล้วนั่นแหละ เจ้าตัวจึงขมวดคิ้วฉับพลางปรับสีหน้ากลับเป็นเรียบเฉยเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต


“เฮีย...เสร็จยัง?...
.
...เร็วๆดิเฮีย เก็กจะรีบไปหาบูบู้ เก็กไม่อยากให้บูบู้ต้องหิ้วท้องรอกินข้าว” ธันวากระตุ้นผู้เป็นพี่สลับกับรัวปลายนิ้วพรมลงบนหน้าจอมือถือรัวๆเพื่อคุยกับแฟนตัวน้อยทั้งที่เพิ่งวางหูจากอีกฝ่ายไปหมาดๆ  

“เร่งกูจังนะไอ้สัด!” ท่าทางเห่อแฟนจนน่าหมั่นไส้ของน้องชายทำให้กังฟูอดแขวะไม่ได้ “มึงจะอะไรกับกูนักวะ?...
.
...มึงเร้ากูจนจะแก้ผ้าไปเรียนอยู่แล้วเนี่ย!..
...รอนิดรอหน่อยจะตายหรือไง? ไอ้บูบู้มันไม่หนีไปไหนหรอกไอ้น้องห่า!

ถ้าธันวาหูไม่เฝื่อน ดูเหมือนกรกฏจะรูดซิปกางเกงยีนส์ด้วยความรุนแรงมากกว่าทุกที
แต่มีหรือที่อดีตเดือนมหาลัยหาผู้ฝักใฝ่กับบทสนทนาในหน้าจอจะสะทกสะท้าน


“อย่ามา!  รีบเริบที่ไหนกันเฮีย? เมื่อกี๊เก็กยังได้ยินเฮียคุยโทรศัพท์จีบกับพี่เต๋ออยู่เลย” เก็กยอกย้อนพี่ชายอย่างเจ็บแสบไม่แพ้กัน

“แล้วไง? หรือมึงจะเอา?!” คนพูดสะบัดชายเสื้อช็อปไซส์เอสเฉียดหน้าน้องชายไปแค่เส้นยาแดง คาดว่าหากตะเข็บผ้าฟาดแรงๆเข้าเบ้าตาน้องชายสักสองสามทีคงจะสมใจคนเป็นพี่ดีเหมือนกัน

“แน่ะ! ทำมาเบ่งใส่ เขินอ่ะเด้?” เก็กผู้มีภูมิต้านทานต่อสายตาสาปแช่งของกังฟูเป็นเลิศยิ้มแสยะ ก่อนจะแซะจี้จุดอีกฝ่ายให้น็อตหลุดอย่างไร้เมตตา “ยอมรับเหอะเฮีย ชอบพี่เต๋อแล้วใช่ป่ะ?”

เสือก!!” กรกฏพ่นคำด่าพลางหาโอกาสสั่งสอนน้องชายให้รู้จักสงบปากสงบคำลงเสียบ้าง...

จังหวะที่ร่างเล็กยกปลายเท้าขึ้นหมายจะถีบอีกฝ่ายให้ล้มก้นจ้ำเบ้า นกรู้ก็กระโดดหลบฝ่าเท้าพิฆาตไปได้หวุดหวิด  
อดีตเดือนมหาลัยผู้ยังไม่เห็นโลงศพจึงไม่หลั่งน้ำตาก็แลบลิ้นปลิ้นตาใส่พี่ชายพอเป็นพิธีก่อนจะตอกกลับอย่างไม่ลดละ


“แล้วเฮียจะหน้าแดงทำไม?  ว้าย ว้าย...อายเหรอเฮีย?! กิ๊ว กิ๊ว”

“กิ๊วหาพ่อง!!! เอาตามที่มึงสบายใจเลยไอ้สัด! กูไปล่ะ!!” กรกฏสะพายกระเป๋าแล้วตบเท้าออกจากห้องไปโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะต้องเดือดร้อนวิ่งไล่กวดเขาอย่างเอาเป็นเอาตายในภายหลัง  

“อ้าวเฮ่ย! เฮีย!! รอเก็กด้วยดิ!!” 








“เมื่อกี๊พี่เต๋อโทรมาว่าไงอ่ะเฮีย?”

หลังเบียดแก้มก้นลงครอบครองเบาะข้างคนขับได้ฉิวเฉียด อดีตเดือนมหาลัยก็เปิดปากซักไซ้พี่ชายโดยละเอียดทันที  
โชคดีที่ต้องเพ่งสมาธิกับการจราจรแบบเสรีภายในเขตหอพัก กังฟูผู้นั่งอยู่หลังพวงมาลัยจึงสามารถตอบคำถามของอีกฝ่ายโดยไม่แสดงอาการเคอะเขินเหมือนเมื่อครู่  


“ไม่มีไร... มันแค่โทรมาชวนไปกินข้าว”

“โรงกลางใช่ป่ะ?”

“อือ” คนขับรับคำพลางตีไฟเลี้ยวเพื่อขอทาง จากนั้นจึงหักพวงมาลัยไปทางซ้ายก่อนจะเร่งความเร็วมุ่งหน้าไปยังสถานที่นัดหมายของทั้งตนและน้องชายโดยไม่ลังเล

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายลดความฉุนเฉียวลง ธันวาจึงรีบปรับท่าทีในการล้วงสุดยอดความลับของพี่ชายเสียใหม่
จากที่แซวประโยคเว้นประโยค เปลี่ยนมาเป็นการสร้างบทสนทนาที่สอดแทรกความจริงใจแบบเต็มๆแทน


“เฮีย”
.
.
.
.
.
.
.
.
“พี่เต๋อนี่นิสัยดีเนอะ” เสียงทุ้มน่าฟังของเก็กดังคลอไปกับบรรดาเพลงอัลเทอร์เนทีฟยุคโมเดิร์นด็อกออกอัลบัมใหม่ๆที่เจ้าของรถโปรดปรานเป็นพิเศษ

“ดูๆไป พี่เต๋อก็น่าจะรักเฮียมากด้วย” เมื่อเห็นว่าพี่ชายเลือกการขับรถไม่ใช่การต่อบทสนทนา ธันวาก็ร่ายต่ออย่างไหลลื่น

“คิดดูดิ ขนาดไม่ได้เจอกัน ยังโทรมารายงานตัวกับเฮียตลอดเลย...
.
...เก็กกับบูบู้เป็นแฟนกัน  เก็กกับบูบู้ยังไม่เคยคุยกันตลอดเวลาแบบเฮียกับพี่เต๋อเลยนะ” สาบานได้ว่าเมื่อครู่ หนุ่มรูปงามผู้น้องเห็นพี่ชายพรายยิ้มน้อยๆทันทีที่ตนพูดจบ ดูเหมือนประโยคเปรียบเทียบของตนเมื่อครู่ จะทำให้คนขับอารมณ์ดีได้ไม่น้อย เก็กจึงไม่ปล่อยโอกาสงามๆเช่นนี้ให้หลุดลอยไปโดยเปล่าประโยชน์

“เออ แล้วทำไมเมื่อวานพี่เต๋อไม่มาหาเฮียอ่ะ?”

“มันกับไอ้ด้วงนอนแฮงค์ตายอยู่ที่ห้องนั่นแหละ กว่าจะออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันก็เย็นโน่นแน่ะ” ในที่สุดกรกฏก็หลวมตัวพูดกับอดีตเดือนมหาลัยจนได้

“ถึงว่าสิ” คนเป็นน้องพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับพี่ห้องอีกคนที่หายต๋อมไปตั้งแต่งานเลี้ยงเมื่อวันซืน “แต่เก็กว่ามันก็แปลกๆอยู่นะเฮีย... ทำไมเมื่อวานพี่ด้วงไม่กลับมานอนที่ห้องล่ะ?”

“ไอ้เต๋อมันบอกว่า ไอ้ด้วงยังไม่หายแฮงค์ดี มันอยากนอนเฉยๆมากกว่า...
.
...แล้วถ้าเจ้าของห้องมันบอกมาอย่างนี้  มึงคิดว่าอย่างกูนี่จะไปห้ามอะไรไอ้ด้วงมันได้อีกไหมล่ะ?” เพราะจังหวะที่กรกฏตวัดหางเสียงใส่น้องคือช่วงเดียวกันที่รถสุดที่รักถูกเวสป้าปาดหน้าในระยะฉุกเฉินพอดิบพอดี  อดีตเดือนมหาลัยจึงไม่ได้ใส่ใจน้ำเสียงเหวี่ยงๆของพี่ชายเท่าใดนัก

“แต่ถ้าลองเปลี่ยนเป็นพี่เต๋อไม่กลับห้อง เฮียคงนอนไม่หลับใช่ไหมล่ะ?”

“เออ!” ด้วยยังหงุดหงิดติดพัน กังฟูจึงหลุดปากเผยความลับเข้าหูน้องชายไปเต็มๆ คำแก้ตัวของหนุ่มร่างเล็กที่ตามมาหลังจากนั้น จึงไม่ต่างการตอกย้ำความผิดพลาดของตัวเองให้ยิ่งฝังลึกไปกันใหญ่ “เฮ่ย! ไม่ใช่! ไอ้เต๋อมันจะกลับหรือไม่กลับห้องก็เรื่องของมันดี๊!!

“ไม่ใช่ก็ไม่ใช่  เก็กก็ไม่ได้ว่าอะไรเฮียซะหน่อย” อดีตเดือนมหาลัยฮัมเพลงเบาๆพลางอมยิ้มกับหน้าตาบอกบุญไม่รับของพี่ชาย
.
.
.
.
.
“เฮีย”

“อะไรของมึงอีกล่ะเก็ก? เซ้าซี้นะมึงเนี่ย!” แค่ฟังหางเสียง เก็กก็พอรู้ว่ากรกฏกำลังยัวะได้ที่ น้องชายรูปหล่อจึงลูบหลังหนุ่มผู้พี่เร็วรี่หลังจากกระหน่ำตบตีหัวอีกฝ่ายรัวๆไปแล้วหลายรอบ

“เก็กแค่อยากจะบอกเฮียว่า เก็กชอบพี่เต๋อนะเฮีย...
.
.
...เท่าที่สังเกต นิสัยอย่างพี่เต๋อนี่เก็กถือว่าใช้ได้แถมแกยังรักและเอาใจเฮียน่าดู...
...ถ้าเฮียจะคบกับพี่เต๋อให้เป็นเรื่องเป็นราวจริงๆ เก็กก็พร้อมจะสนับสนุนเฮียเต็มที่นะ...
...เพราะฉะนั้น...เฮียก็อย่าเล่นตัวนักเลย เดี๋ยวว่าที่พี่เขยเปลี่ยนใจหันไปคบคนอื่น เฮียนั่นแหละที่ขมขื่นจนวันตาย”

“จิ๊! กูรู้หรอกน่ะ!...
.
...ได้ทีนี่เล่นกูใหญ่เลยนะไอ้สัด!” แม้ปากจะบ่นอุบอิบ แต่กังฟูก็อดโล่งใจไม่ได้ที่น้องชายยอมรับการสานสัมพันธ์ของตนกับหนุ่มสถาปัตย์ร่างหมีโดยไม่มีเรื่องดราม่าน้ำตาไหลพรากให้ต้องฟันฝ่า

“เวลาด่าน้องไม่ต้องเขินหรอกเฮีย... เดี๋ยวไม่ขลังกันพอดี”

“เขินพ่อมึงสิ!

“พ่อเก็กก็ป๊าเฮียนะ!... อีกอย่างหน้าเฮียแดงจะตายห่ายังจะกล้าบอกว่าไม่เขิน...
.
...เฮียแม่งโคตรซึนเลยว่ะ หึ หึ” เก็กกลั้นขำจนปวดท้องเมื่อเห็นกังฟูแอบเหลือบมองกระจกเพื่อพิสูจน์คำพูดกระเซ้าเย้าแหย่แต่ดันโดนเขาจับได้คาตา ใบหน้าของอีกฝ่ายจึงแปรสภาพเป็นลูกมะเขือเทศสุกไปในทันใด

“รู้งี้ตอนเด็กๆกูน่าจะชงขี้เถ้าผสมน้ำให้มึงแดกๆไปซะก็สิ้นเรื่อง จะได้ไม่ต้องมาเปลืองน้ำลายไล่ด่าน้องบังเกิดเกล้าอย่างมึง!” คนขับบ่นกระปอดกระแปดเพื่อเบนความสนใจจากอาการร้อนเห่อที่ลามไปทั่วใบหน้า แต่ตัวต้นเหตุกลับยังไม่รามือง่ายๆ

“หึ! รำเลิกบุญคุณกลบเกลื่อนเหรอเฮียยยยย? เก็กไม่ซึ้งหรอกนะ...
.
...อีกอย่าง ถึงเฮียจะด่าเก็กให้ตายก็ไม่ได้ทำให้หน้าเฮียแดงน้อยลงหรอกนะจะบอกให้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”








“ไม่มากันเสียวันพรุ่งนี้เลยล่ะครับ?” สกลทักทายพี่น้องอริยะตรัยทันทีที่ทั้งสองหนุ่มเดินหลงเข้ามาในพิกัดสายตา ใบหน้ากวนอวัยวะเบื้องต่ำ กับคำพูดไม่เข้าหูของหนุ่มรุ่นน้องหน้าแว่นเปรียบเสมือนยาบำรุงโลหิตชั้นดีที่ช่วยทำให้เลือดลมของกังฟูพลุ่งพล่านได้อย่างชะงัดนัก  

“ปากอย่างมึงคงไม่ได้ตายดีแหงๆไอ้ห่าราก”

“แหม่... เกรงใจคุณกรกฏเหลือเกินครับ” สกลว่าพลางประนมมือขึ้นกลางอก แล้วจึงย่อตัวก้มหัวไหว้อีกฝ่ายอย่างชดช้อยแถมแจกจ่ายรอยยิ้มจอมปลอมคืนให้กังฟูเป็นของกำนัล “ดูสิ... ยังไม่ทันที่ข้าวจะตกถึงท้อง ก็ต้องลำบากมาเจริญพรให้ผมเป็นอันดับแรกเสียอย่างนั้น”

“กูด่ามึงหรอกไอ้สัดแนน!” พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยเบิกเนตรหนุ่มหน้าแว่นแบบจัดหนัก...

หากไม่ติดว่าเช้านี้ภายในโรงอาหารกลางเต็มไปด้วยนักศึกษาจากหลายคณะ
กังฟูคงได้วิ่งเทคตัวแล้วสกายคิกใส่อกแฟบๆของสกลจนล้มหน้าหงายไปแล้ว

กระนั้นกระแสความเกรี้ยวกราดของหนุ่มวิศวะ
กลับไม่ได้รับการเหลียวแลจากเด็กเต็กปีสองหน้าแว่นเท่าที่ควร


“พี่ฌานครับ พวกเราไปหาอะไรกินเถอะครับ... ขืนต้องหิ้วท้องรอพี่น้องผู้ไม่รักษาเวลานานกว่านี้ ผมคงต้องเป็นลมไปก่อนแน่ๆ!”  สกลสะบัดบ็อบใส่กรกฏแบบไม่ห่วงศักดิ์ศรี พลางหันไปฉอเลาะเกาะแขนหนุงหนิงกับแฝดพี่เพื่อเอาตัวรอดจากสถานการณ์คับขันตรงหน้า แต่มีหรือที่กังฟูจะรู้ไม่เท่าทัน

“ถ้ามึงไม่อยากเป็นลมเมื่อไร กูก็พร้อมจะช่วยให้มึงกลายเป็นอาหารไส้เดือนได้ทุกเมื่อเลยนะ” กรกฏขู่พลางทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามกับสกล จนคนดีแต่ปากดีดตอบสนองด้วยการตัวผึงลุกขึ้นยืนด้วยความเร็วสูงก่อนจะบอกศาลาแกนนำร่วมเฝ้าโต๊ะอย่างฌานไปชั่วคราว

“อุ๊ย! ผมไปซื้ออาหารตามสั่งก่อนนะครับพี่ฌาน แถวสั้นพอดีเลย!” เมื่อสกลคล้อยหลังไปได้ไม่นาน ก็พอดีกับที่คู่พี่น้องวิศวะนั่งประจำที่พร้อมรับไม้เฝ้าโต๊ะต่อเป็นที่เรียบร้อย แฝดพี่จึงตั้งท่าจะผละไปเลือกซื้ออาหารเช้าของตนบ้าง

“เดี๋ยวพี่ฌานไปซื้อข้าวก่อนนะเก็ก”

“แล้วบูบู้ล่ะครับ?” ธันวาเอ่ยถามถึงหนุ่มสถาปัตย์ร่างผอมเนื่องจากปริมาณนักศึกษาที่หนาแน่นเป็นพิเศษ จนเก็กต้องยอมใจไม่ฝืนสังขารเพ่งสายตาแสกนหาบ๊วยด้วยตัวเอง

“บ๊วยไปเอาข้าวน่ะ เดี๋ยวก็มา... เห็นบอกว่าซื้อเผื่อเก็กแล้วหรืออะไรนี่แหละ พี่ฌานไปนะ”

“ขอบคุณครับพี่ฌาน”

“แล้วนี่เฮียจะไม่ไปซื้ออะไรกินหรอกเหรอ?” อดีตเดือนมหาลัยหันไปตั้งคำถามกับพี่ชายตนเองทันทีที่เหลือกันอยู่แค่สองคน   ทว่าเพียงชั่ววินาทีก่อนที่กรกฏจะอ้าปาก  เจ้าของคำถามกลับชิงตอบเสร็จสรรพหลังจากย้อนนึกถึงบทสนทนาทางโทรศัพท์ที่ตนแอบได้ยินเมื่อไม่ถึงครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา

“อ๋อออออ! รอกินพร้อมพี่เต๋อนี่เอง... สวีทเนอะ”

“ไอ้น้องจัญไร!

แทนที่จะเป็นธันวาที่ตอบกลับถ้อยคำผรุสวาทเมื่อครู่ของกังฟู...
กลับกลายเป็นเสียงหวานนุ่มหูซึ่งถูกเจ้าของจงใจดัดให้ฟังเข้มผิดปกติดังสวนกลับมาอย่างเผ็ดร้อน


“พูดจาสมกับระดับความกักขฬะในกมลสันดานดีจริงๆนะครับ” อคิราแดกดันพลางวางจานข้าวของตนและฌอนลงจับจองตำแหน่งเยื้องห่างจากพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยจนเกือบตกขอบ อดีตเดือนบริหารหย่อนกายลงนั่งอย่างเชื่องช้าทว่าสง่างามตรงข้ามกับแฝดน้องที่หอบเครื่องดื่มและขนมมาเต็มไม้เต็มมือ

ที่ร่างบางยอมระเห็จมานั่งตรงสุดโต๊ะเนื่องมาจากทุกๆสิ่งที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นกรกฏ อริยะตรัย
สามารถทำให้ความอยากอาหาร รวมถึงรสชาติของเครื่องคาวหวานเสื่อมจนแทบกระเดือกไม่ลงได้อย่างน่าอัศจรรย์
หากไม่ใช่เพราะฌอนแล้วล่ะก็ อย่าหวังว่าอคิราผู้นี้จะยอมลดตัวมาทนมองหน้าพี่ชายอดีตแฟนให้กินอะไรไม่อร่อยอยู่แบบนี้หรอก


“ทำไมวันนี้ตัวเหี้ยแม่งชุมจังวะ?!” กังฟูกระทบกระแทกอย่างไม่มียอมกัน... หนุ่มวิศวะร่างเล็กนึกขอบคุณตัวเองเป็นรอบที่ร้อยเอ็ดสิบเจ็ดล้านที่ตัดสินใจจัดการกำจัดรอยด่างอย่างอิ๊กให้พ้นจากอนาคตอันสว่างไสวของน้องชายไปเมื่อปีก่อน

“มันคงตามมาเข้าเฝ้าเฮี่ยตัวพ่อแถวๆนี้ล่ะมั้งครับ”

ผิดไปจากที่กังฟูรู้สึกเสียเมื่อไร...
เมื่อได้เห็นเต็มสองตาว่าด่างอย่างอิ๊กสามารถต่อกรกับกรดเกลือกัดกร่อนร้ายกาจอย่างกรกฏได้อย่างสูสีไม่มีใครยอมใคร  
แต่ยังไม่ทันที่ฝ่ายไหนจะเพลี่ยงพล้ำถูกอีกฝ่ายขย้ำจนเสียเลือดเสียเนื้อไปมากกว่านี้  ชายหนุ่มผิวเข้มผู้ขี่ม้าขาวก็ก้าวเข้ามากลางสนามรบของสองหนุ่มหน้าหวานทั้งสองเข้าเสียก่อน


“ฟู... รอนานไหมครับ? เต๋อเพิ่งได้ข้าวเมื่อกี๊นี้เอง...
.
...นี่! ข้าวราดผัดผัก ทอดมันกุ้ง น้ำพริกหนุ่ม ร้านนี้อร่อยมาก...ฟูน่าจะชอบ...
...แล้วก็นี่ น้ำใบเตยหวานน้อยครับ” หนุ่มร่างหมียิ้มกว้างพลางพรีเซนต์กับข้าวที่โปะจนพูนจานพร้อมกับน้ำสีเขียวใสใส่น้ำแข็งด้วยท่าทางกระฉับกระเฉงคล้ายมีส่วนได้ส่วนเสียกับยอดขายของข้าวแกงก็ไม่ปาน

แต่นั่นกลับไม่ได้ทำให้สมาชิกผู้ร่วมโต๊ะคนอื่นๆแปลกใจได้เท่ากับท่าทีที่อ่อนลงทันตาของกังฟู...
จากกางเล็บพองขนขู่อคิราฟ่อๆ เปลี่ยนมาเป็นหงอคล้ายลูกแมวโดนเกาคางเมื่อรุ่นพี่สถาปัตย์ลงนั่งเคียงข้าง
นี่ยังไม่นับรวมโมเมนท์ประสานสายตาแล้วจ้องค้างอย่างน้อยสามวินาทีนั่นอีกนะ


“แล้วมึงกินอะไร?”

น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยของกรกฏยามเอ่ยคำถามเมื่อครู่ทำให้ทั้งอิ๊ก ฌอน และเก็กต่างลอบมองตากันโดยไม่ได้นัดหมาย
คงไม่แปลกอะไรหากทั้งสามจะพยายามหาผู้ร่วมเห็นเหตุการณ์คนอื่นๆเพื่อช่วยยืนยันสิ่งที่เพิ่งได้ยินไปเมื่อครู่

บอกได้เลยว่า การได้เห็นกังฟูในมุมอ่อนหวานกับตา...ถือเป็นเรื่องเหลือเชื่อยิ่งกว่าลุ้นให้หิมะตกในเมืองไทยเสียอีก
ทั้งสามจึงปวารณาตัวเป็นผู้ชมที่ดีดื่มด่ำกับภาพหายากตรงหน้าด้วยความสมัครใจ


“เต๋อกับด้วงกินก๋วยเตี๋ยวต้มยำครับ ไอ้ด้วงมันรอคิวให้อยู่เดี๋ยวมันก็มา” ตรินอธิบายสั้นๆระหว่างทำท่าคะยั้นคะยอให้ร่างเล็กจิบน้ำใบเตยไปพลางๆ กระนั้นกังฟูกลับส่ายหัวป้อยแล้วบอกปัดอย่างนุ่มนวล

“งั้นเดี๋ยวรอกินพร้อมกัน”

“ฟูหิวหรือเปล่าครับ?” หนุ่มหน้าคมยังคงห่วงไม่เลิกจนกรกฏหลุดยิ้ม ก่อนเอ่ยตอบพลางเลื่อนฝ่ามือที่อยู่ใต้โต๊ะไปวางลงบนหน้าขาของคนนั่งข้างๆแล้วตบเบาๆให้เต๋อคลายใจ

“รอไหวน่า”

บรรยากาศอบอุ่นกรุ่นกลิ่นรักระหว่างรุ่นพี่ทั้งสองมีอันต้องหยุดพักอย่างฉับพลัน
เมื่ออดีตเดือนมหาลัยโพล่งแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตกใจเมื่อหันไปเห็นแฟนตัวน้อยของตนในสภาพทุลักทุเล


“บูบู้ มาครับเดี๋ยวเค้าช่วย”  เก็กปรี่เข้าไปช่วยถือถ้วยสุกี้เพื่อให้อีกฝ่ายได้ถือจานข้าวกับบรรดาช้อนส้อมได้ง่ายขึ้น

“เค้ายังไม่ได้ซื้อน้ำเลย” ร่างผอมท้วงเมื่อธันวาฉุดมือให้นั่งลงข้างๆทันทีที่วางจานข้าวลงกับโต๊ะได้สำเร็จ

“ไม่เป็นไรครับ กินข้าวให้เสร็จก่อนก็ได้แล้วค่อยเดินไปซื้อน้ำทีเดียว...
.
...อีกอย่าง...ซื้อนมเย็นมาวางทิ้งไว้ เดี๋ยวก็ไม่อร่อยกันพอดี” หนุ่มวิศวะรูปงามทัดทานเพราะอยากให้บ๊วยได้นั่งพักหายใจหายคอนานขึ้นอีกสักหน่อย ฝ่ายคนฟังที่จนต่อเหตุผลของธันวาก็ตบปากรับคำอย่างว่าง่าย

“เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ”

“หูวววว! ทุกคนครับ... มีใครเห็นคุณพี่ด้วงลุคใหม่แล้วหรือยังครับ?” สกลปราดเข้ามาประกาศเรื่องน่าตกใจที่สุดของวันด้วยสีหน้าและท่าทางตื่นเต้นราวคนปกติเห็นผี  เมื่อเรื่องที่หนุ่มหน้าแว่นจั่วหัวนั้นเกี่ยวข้องกับพี่ห้องที่หายเงียบไปโดยตรง เก็กจึงต้องชงคำถามเพื่อให้อีกฝ่ายคลายข้อสงสัยให้โดยเร็ว

“ทำไมเหรอ? พี่ด้วงทำอะไร?”

“คุณพี่ด้วงหล่อมีออร่าน่าออเซาะมากเลยครับ” สกลพร่ำพรรณนาพลางออกอาการเคลิบเคลิ้ม สี่ตาของหนุ่มแว่นเยิ้มหยดย้อยระหว่างสรรเสริญวิญญูผู้ดูหล่อเหลาจนผิดหูผิดตา

“ผมว่าที่เช้านี้ร้านก๋วยเตี๋ยวคนแน่นผิดปกติน่าจะเป็นเพราะคุณพี่ด้วงแหงๆ” เด็กเต็กหน้าแว่นตบท้ายด้วยการโปรยคำโฆษณาเพื่อเพิ่มความน่าสนใจของผู้ถูกพาดพิงให้ดูยิ่งน่าหลงใหลไปกันใหญ่

ด้วยความหมั่นไส้ผู้พูดเป็นทุน ยิ่งเมื่อหนุนด้วยการแสดงใหญ่ปังอลังการของหนุ่มหน้าแว่นที่เพิ่งลาโรงไปเมื่อครู่
บวกกับเนื้อหาที่ดูเป็นไปไม่ได้ กังฟูจึงสบโอกาสเถียงเคียงคำด่าใส่หน้ารุ่นน้องต่างคณะอย่างไม่คิดเกรงใจ


“มึงเมาเนื้อมาเหรอไอ้เหี้ยแนน?...
.
...อย่างไอ้ด้วงเนี่ยนะที่จะหล่อ? ถ้าสวยกูจะไม่ว่าเลยเหอะ!!

“เมื่อกี๊พี่ฌานก็เห็นคุณพี่ด้วงในมาดหล่อลากใช่ไหมครับ?” สกลหาพวกทันควัน

“อืม... คุณพี่ด้วงก็เปลี่ยนลุคจริงๆอย่างที่สกลว่ามานั่นแหละครับ”

“กูไม่เชื่อ! พวกมึงต้องตาฝาดไปแน่ๆ!!

กระทั่งได้ฟังคำยืนยันของแฝดพี่แบบจะจะ กรกฏกลับไม่อาจปักใจเชื่อคำพูดของรุ่นน้องทั้งสองได้
เพราะกังฟูแน่ใจเป็นที่สุดว่า จวบจนวันนี้...ไม่มีผู้ใดรู้ซึ้งถึงความยากลำบากที่วิญญูต้องเผชิญเมื่อแรกยืดอกยอมรับกับสถานะผู้หญิงก็ไม่ใช่ ผู้ชายก็ไม่เชิงได้ดีเท่าเขาอีกแล้ว

แล้วอยู่ๆจะมาบอกให้เชื่อคำพูดพล่อยๆที่ลอยลมมาตามปากของใครต่อใครง่ายๆ...
คงต้องรอให้คนพูดอมอุโบสถทั้งหลังมาพูดให้ฟังนั่นแหละ ร่างเล็กถึงจะยอมเปลี่ยนใจ
ไม่ก็ต้องคอยให้หลักฐานที่จับต้องได้ปรากฏกายขึ้นมาตรงหน้าก่อนล่ะมั้ง


“ไม่เชื่อก็ตามใจครับ...
...คุณกรกฏก็รอดูเองแล้วกันว่ามันจะเป็นอย่างที่พวกผมพูดไหม...
.
...โน่นไง! เดินมาโน่นแล้ว” ประโยคปลงตกของสกลยังไม่ทันครบถ้วนดี หลักฐานก็ปรี่มากระแทกลูกนัยน์ตาของกรกฏทีเดียวเต็มสองหน่วย...

โครงร่างสูงซึ่งดูอย่างไรก็คุ้นตากังฟูเป็นที่สุดกำลังเดินอย่างผึ่งผายใกล้เข้ามายังโต๊ะอันเป็นที่มั่นของพวกเขาทั้งหมด
เมื่อพินิจอีกฝ่ายใกล้ๆ ร่างเล็กก็ประจักษ์แก่ใจว่า หาใช่เพียงการแต่งกายและทรงผมที่ถูกปรับเสียใหม่จนไม่เหลือเค้ากึ่งหญิงกึ่งชายอย่างที่เคย

ทว่าบุคลิกภายนอก ท่วงท่า และออร่าที่แผ่ออกมาจากร่างกายสูงใหญ่ที่เอาแต่เดินห่อตัวมาตลอดหลายปี
กลายกลับสลับเปลี่ยนเป็นสง่าผ่าเผยไม่น้อยกว่าชายหนุ่มหน้าไหนที่กรกฏเคยพบเจอ...
เผลอๆวิญญูในโฉมใหม่นี้ น่าจะมาดแมนแสนเสน่ห์ แถมยังหล่อและเท่ห์เกินหน้าเขาไปหลายช่วงตัวอีกต่างหาก


“อ่ะนี่ ก๋วยเตี๋ยวของนาย” หนุ่มวิศวะปีสามวางถ้วยก๋วยเตี๋ยวทั้งสองลงบนโต๊ะ หย่อนกายลงนั่งตรงข้ามกังฟูพลางเลื่อนชามหนึ่งส่งให้หนุ่มร่างหมี แล้วจึงแจกรอยยิ้มสะท้านทรวงพ่วงคำทักทายให้เพื่อนสนิทตามวิสัยปกติ “หวัดดีฟู”

“...”

หากจะบอกว่าพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยตกอยู่ในภาวะตกตะลึงอึ้งทึ่งเสียวอยู่คนเดียวก็คงจะไม่ถูกนัก
เพราะนอกเหนือจากเต๋อ สมาชิกคนอื่นๆเกือบทั้งโต๊ะต่างรู้สึกประหลาดใจกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของวิญญูแทบทั้งสิ้น แต่ก็นั่นล่ะ... เพื่อนสนิทที่สุดย่อมจะต้องออกอาการกินจุดไข่ปลาหนักหนากว่าคนอื่นหลายเท่าตัวอยู่แล้ว


“ฟู... ไง?... คิดไรอยู่?”

ต้องรอให้วิญญูย้ำถามอีกครั้ง สติสตังของพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยถึงจะยอมกลับเข้าร่างตามปกติ
กังฟูกวาดสายตามองหน้าเพื่อนรักอย่างช้าๆ เพื่อสำรวจความเปลี่ยนแปลงของด้วงให้ถ้วนถี่

ผมยาวสลวยที่เจ้าตัวมักจะปล่อยสยายให้เคลียแผ่นหลัง กลับถูกตัดแต่งและเซ็ทตั้งตามสมัยนิยม...
ชุดนักศึกษาขนาดพอดีสัดส่วนขับให้ร่างกายสูงสมชายของเจ้าตัวยิ่งดึงดูดสายตาไปกันใหญ่
จริงอยู่ แม้หน้าตาของเพื่อนรักจะยังคงเดิม แต่ทรงผมกลับเพิ่มความน่าสนใจ แถมยังมีผลกับบุคลิกโดยรวมของอีกฝ่ายจนดูคล้ายกับชายแปลกหน้า...

ความเคยชินกับการเห็นอีกฝ่ายในคราบหญิงสาวมาตลอดหลายปี ทำให้กังฟูถึงกับตระหนกเมื่อตระหนักได้ว่า
ด้วงในตอนนี้ คือ ชายหนุ่มที่ใครหลายคนน่าจะใฝ่ฝันหาไปเสียแล้ว... ซึ่งสายตาของสาวๆต่างคณะที่จ้องตรงแน่วตามติดทุกๆการเคลื่อนไหวของวิญญู ก็ช่วยยืนยันข้อสันนิษฐานนี้ได้เป็นอย่างดี  


“เออ... อืม....ดี กูสบายดี!” ร่างเล็กตะกุกตะกัก “มึงโอเคใช่ไหมวะด้วง? หัวไม่ได้กระแทกอะไรมาแน่นะ?” กังฟูยังอดสงสัยไม่ได้

“เราโอเค  กินข้าวกันเถอะ...เดี๋ยวไปคณะสายกันพอดี” ด้วงตอบสบายๆ...

ร่างเล็กนึกอยากจะบอกให้อีกฝ่ายเลิกยิ้มเสียที ถ้ามันไม่อยากให้พวกผู้หญิงที่นั่งอยู่แถวๆนี้หลอมละลายไปเสียก่อน
แต่เขากลับทำได้แค่รับคำเพื่อนพลางก้มหน้าก้มตากินข้าวเช้าโดยไม่พูดไม่จากับใครอีกเลย

“เออๆ ก็ได้ กิน กิน”








“ด้วง... กูถามมึงจริงๆเถอะ ทำไมอยู่ๆมึงถึงลุกขึ้นมาแต่งตัวแบบนี้วะ? วันก่อนมึงเมาจนสมองกลับไปแล้วหรือไง?” เมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายจัดการก๋วยเตี๋ยวในชามจนเกลี้ยง กังฟูก็เปิดฉากสอบสวนไล่เรียงเหตุการณ์ทันที

“ฟูไม่ชอบให้เราแต่งตัวแบบนี้เหรอ?”

“กูจะชอบหรือไม่ชอบไม่สำคัญเท่ากับมึงฝืนใจตัวเองอยู่หรือเปล่า...
.
...เพราะถ้าใช่  ต่อให้มึงแต่งตัวยังไง...กูก็ไม่มีทางชอบสิ่งที่มึงทำได้หรอก” กรกฏอดเป็นห่วงเพื่อนรักไม่ได้... 

คราวที่ออกตัวว่าจะเป็นกะเทยก็ทีนึง ดีเท่าไรที่วิญญูยังไม่บุ่มบ่ามจนทะลึ่งไปเฉือนตุ้มหรือเสริมอกดูมๆเข้าเสียก่อน  
แต่เพราะคนเราไม่สามารถกลับเพศไปมาได้ง่ายคล้ายเล่นขายของ กังฟูจึงต้องการฟังคำยืนยันจากปากเพื่อนให้แน่ใจ


“ถ้างั้นฟูก็สบายใจได้เลย แบบนี้นี่แหละที่เหมาะกับเราที่สุดแล้วล่ะ”

น้ำคำหนักแน่นกับสีหน้าจริงจังของด้วงทำให้กรกฏโล่งอก
แต่อะไรบางอย่างที่ซ่อนเอาไว้ในแววตาเรียวคู่นั้นต่างหาก ที่ทำให้ร่างเล็กใจเต้นไม่เป็นส่ำ


“เหรอ... เออ งั้นก็ดี... มึงก็ดูเหมาะกับแบบนี้ดีนะ ตอนมึงกินข้าวอยู่...ผู้หญิงงี้มองมึงตาไม่วางเลยว่ะ” พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยละล่ำละลักพร้อมสำทับด้วยคำชมเพื่อไม่ให้เพื่อนรักผิดสังเกตกับอาการเขินไม่มีที่มาของตน

“แล้วฟูล่ะ เห็นเราแล้วรู้สึกยังไงบ้าง?” หางเสียงออดอ้อนท้ายคำถามเมื่อครู่ดูจะกระหน่ำซ้ำเติมอาการใจเต้นตึกตักของร่างเล็กได้เป็นอย่างดี

“อืม... มึงก็พอดูได้อ่ะนะ” กังฟูเสหลบตาอีกฝ่ายขณะโป้ปด...

เรื่องอะไรที่เขาจะยอมรับว่าด้วงหล่อกันล่ะ...
เพราะถ้าวัดกันจริงๆ... ตริน หรือน้องชายของเขา...ไม่ก็ไอ้สองแฝดนั่นก็ถือว่าหน้าตาพอสูสี
แต่ถ้าเพื่อนรักเขากลายเป็นหนุ่มหล่อขนาดนี้ แล้วคนที่ด้วงแอบชอบมาหลายปีล่ะ... คนๆนั้นจะรับได้แน่หรือ?!


“มึงเปลี่ยนตัวเองแบบนี้ คนอื่นจะไม่เข้าใจผิดกันพอดีเหรอวะว่ามึงไม่ใช่ผู้ชาย?” หนุ่มร่างเล็กโพล่งออกมาด้วยความเป็นห่วง วิญญูตวัดสายตาไปสบกับหนุ่มร่างหมีครู่หนึ่งพร้อมๆกับอัดลมหายใจเข้าปอดหนักๆเพื่อรวบรวมความกล้า
.
.
.
.
.
“ฟู... ฟูฟังเราให้ดีๆนะ”

“เออ... กูก็ฟังมึงอยู่เนี่ย มีอะไรก็พูดมาสักทีดิวะ!” ร่างเล็กชักรำคาญความเยิ่นเย้อของอีกฝ่าย

“ฟูจำได้ไหมที่เราเคยบอกฟูว่า พอเปิดเทอมแล้ว เราจะไปสารภาพรักกับคนที่เราแอบชอบมาตั้งแต่เด็ก?”

“ก็ต้องจำได้ดิวะ! กูจำเรื่องที่มึงบอกกูได้ทุกเรื่องนั่นแหละ”

“ถ้าอย่างนั้น ฟูคงจำได้ใช่ไหมว่าทำไมเราถึงยอมเป็นกะเทย?” กระทั่งคนพูดเองก็ไม่อาจปิดบังความลังเลเอาไว้ได้...

ด้วงไม่รู้ว่าร่างเล็กจะตอบอย่างไร...
จะใส่ใจกับตัวเขามากพอที่จะจดจำรายละเอียดต่างๆเกี่ยวกับตัวเขาได้ดีอย่างที่เอ่ยอ้างไหม?
หรือพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยจะปล่อยให้คนแอบรักอย่างเขาเฝ้ามอง เฝ้าสังเกต และเฝ้าเก็บงำสิ่งละอันพันละน้อยอยู่เพียงลำพัง?


“ก็เพราะไอ้คนที่มึงแอบชอบเสือกเกลียดผู้ชายด้วยกัน...
.
...มึงเลยยอมลงทุนเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ใกล้เคียงกับผู้หญิงมากที่สุด  กูพูดถูกใช่ไหมล่ะ?” วาจาฉะฉานของกรกฏ ทำให้คนฟังเผยยิ้มกว้าง กระนั้น...สีหน้ายุ่งยากใจก็เข้ามาฉาบกลบรอยยิ้มนั้นให้อันตรธานไปในพริบตา

“แต่ฟูรู้ไหม ไม่นานมานี้... คนที่เราแอบชอบน่ะ เค้าเปิดใจให้ผู้ชายด้วยกันแล้วนะ” แม้การกลืนน้ำลายลงคอจะเป็นไปด้วย ความยากลำบาก ทว่าสิ่งที่หนักหนายิ่งกว่ากำลังจะตามมาหลังจากนี้ต่างหาก  “เราเลยอยากลองบอก คนๆนั้น ให้รับรู้ความรู้สึกของเราในสภาพที่เราเป็นตัวของตัวเองมากที่สุดยังไงล่ะ”

“กูว่าถ้าไอ้ คนๆนั้น ของมึงมันชอบผู้ชายด้วยกัน แล้วมันยังไม่มีใคร... มึงก็น่าจะมีหวังอยู่หรอก...
.
...ใครจะกล้าปฏิเสธเพื่อนกู ดูดิ๊...เล่นประโคมแต่งตัวมาเสียหล่อลากขนาดนี้...
...มึงสบายใจได้เลย... รับรอง ครั้งนี้มึงสมหวังแน่ๆด้วง!


น่าแปลกที่กังฟูชักจะไม่เข้าใจความรู้สึกหน่วงในอกที่เกิดขึ้นระหว่างพร่ำคำสนับสนุนเพื่อนรักกับบุคคลที่สาม...
อย่าบอกนะว่าเขากำลังเศร้าสร้อยเมื่อต้องทนเห็นเพื่อนกำลังจะมีความสุข?!
.
.
.
.
.
.
ด้วงเบนสายตาไปจ้องเต๋ออีกครั้งเพื่อขอกำลังใจก่อนจะถึงฉากไคลแม็กซ์
อีกฝ่ายที่เห็นว่าอริหัวใจยังไม่กล้าทำอะไรสักอย่าง หนุ่มร่างหมีจึงช่วยกระตุ้นวิญญูด้วยการโอบไหล่ของร่างเล็กเอาไว้คล้ายจะแสดงความเป็นเจ้าของอย่างเปิดเผย... ซึ่งนับว่าได้ผล


“แล้วถ้าคนๆนั้นที่เราพูดถึงมาตลอดหลายปีคือฟูล่ะ... ฟูจะว่ายังไง?” 

ห๊ะ?! มึงว่าไงนะ?

“เรารักฟู รักฟูมาตลอด...
...รักจนไม่อยากจะเป็นแค่เพื่อนสนิทของฟูอีกต่อไปแล้ว...
.
...ฟู...เป็นแฟนกับเราเถอะนะ” คำสารภาพความรู้สึกที่พรั่งพรูออกจากปากของหนุ่มหล่อหน้าหยกคนใหม่ของมหาวิทยาลัยทำให้เหล่าสมุนเลวที่นั่งประกอบฉากประหนึ่งต้นไม้ใบหญ้าอยู่พักใหญ่ๆกลับมาฮือฮาหน้าตื่นกันได้อีกครั้ง...

ช่วยไม่ได้  หากอาการตกใจแบบอะคาเพลลาของชายหนุ่มหน้าตาดีหลายชีวิตที่กระจุกตัวรวมกันเป็นกลุ่มก้อน
จะเรียกร้องความสนใจจากนักศึกษากว่าครึ่งโรงอาหารได้แม้ไม่ตั้งใจก็ตาม


“ไหนมึงลองพูดอีกทีซิ เมื่อกี๊...มึงบอกกูว่าอะไรนะ?” อารามตกใจ ร่างเล็กจึงแผดเสียงดังใส่อีกฝ่ายจนใครต่อใครยิ่งจับจ้องชายหนุ่มทั้งเก้าไม่วางตาหนักข้อไปกันใหญ่

“เรารักฟู เราอยากคบกับฟู...
...ฟูให้โอกาสเราได้ไหม?...
.
.
.
...ฟูรักด้วงได้ไหมครับ?”

ชั่ววินาทีที่ด้วงเอ่ยความปรารถนาของตนอีกครั้งดันประจวบเหมาะกับจังหวะที่เสียงเจื้อยแจ้วในโรงอาหารเงียบลงพอดี
นักศึกษาส่วนใหญ่ที่อยู่ในโรงอาหารกลาง ณ ขณะนั้น จึงเทความสนใจให้กับจุดกำเนิดเสียงเพียงแห่งเดียวไปโดยปริยาย



คำว่าอับอาย... คงไม่อาจใช้อธิบายความรู้สึกของกรกฏในเวลานี้ได้สักกระผีก
สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าที่มาพร้อมความกดดันผ่านสายตานับร้อยคู่ ซ้อนทับกับภาพเหตุการณ์เมื่อครั้งที่ตัวเขายังเป็นเพียงเด็กอนุบาลสามราวหนังฉายซ้ำ

กะอีแค่เรื่องเข้าใจผิดเล็กน้อยที่เกิดในห้องน้ำท่ามกลางสายตาของเด็กอนุบาลเพียงไม่กี่คน... ร่างเล็กยังทนแบกรับไม่ได้
นับประสาอะไรกับการขอความรักในที่สาธารณะต่อหน้าสักขีพยานครึ่งพัน
โดยไทยมุงบางส่วนแอบหันกล้องมือถือมายังทิศทางที่พวกเขายืนอยู่...

เรื่องของเขากับด้วงจะกลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ที่ใครต่อใครจะพูดถึงไปอีกหลายปี...
คู่เกย์ที่บอกรักกันกลางโรงอาหารอย่างไร้ยางอาย
นี่เขากำลังจะกลายเป็นเกย์โดยอาจจะโต้แย้งได้จริงๆใช่ไหม?!
.
.
.
.
.
ไม่ได้!!!!
เขาจะไม่ยอมทนอับอายด้วยเรื่องทำนองนี้เป็นอันขาด!
เขาจะไม่ยอมเป็นตัวประหลาดด้วยการรับรักด้วงต่อหน้าคนเป็นร้อยเป็นพันอย่างแน่นอน!!!




“มึงกับกูคบกันมากี่ปีแล้วด้วง?” กรกฏปรับสีหน้าให้เป็นปกติพลางเอ่ยถามเพื่อนรักด้วยน้ำเสียงหยาบกระด้างฟังห่างเหิน

“ยี่สิบปี”

“แล้วมึงว่ายี่สิบปีมันนานไหม?”

“ก็นานนะ... ทำไมเหรอฟู?”

วิญญูขมวดคิ้วนิ่วหน้าด้วยไม่เข้าใจเจตนาของร่างเล็กที่ป้อนคำถามซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับคำร้องขอของเขาเมื่อครู่เลยสักนิด
กระนั้น... ถ้อยแถลงที่กังฟูกำลังจะเอื้อนเอ่ย กลับสร้างความผิดหวังให้กับด้วงได้รุนแรงยิ่งกว่าคำปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมาเสียอีก


“ถ้ากูกับมึงคบกันมานานขนาดนั้น มึงก็ควรจะรู้ดีที่สุดไม่ใช่เหรอว่ากูเกลียดคนโกหกยิ่งกว่าอะไร...
.
.
...แล้วมึงไปเอาความมั่นใจผิดๆมาจากที่ไหนว่ากูจะรับรักคนลวงโลกอย่างมึง?” พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยตบโต๊ะพลางกระแทกเสียงตามระดับความไม่พอใจที่ใกล้จะทะลุขีดสุด

คำพูดเสียงแทงของใครก็ไม่อาจทำร้ายหัวใจของด้วงได้เท่ากับถ้อยวจีร้ายๆของชายหนุ่มเพียงคนเดียวตรงหน้า
ความผิดหวังและน้อยใจทำให้วิญญูกล้าต่อปากต่อคำกับกังฟูเป็นครั้งแรก


“แต่ฟูก็รู้นิว่าที่เราต้องโกหกฟูมาโดยตลอดเป็นเพราะสาเหตุอะไร!”...อนิจจา นอกจากคำพูดของด้วงจะไม่ช่วยให้กังฟูคิดได้ พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยกลับยิ่งโมโหโกรธาไปกันใหญ่ ไม่ต่างอะไรกับเปลวไฟได้เชื้อเพลิง

“ถ้ากูรู้ว่ามึงยอมเป็นตุ๊ดเพราะอยากให้กูรักมึงเหมือนไอ้พวกโรคจิตตัวอื่นๆ กูคงจะเลิกคบกับมึงไปนานแล้วล่ะด้วง!

“ฟู! ฟูใจเย็นก่อนครับ เต๋อว่าฟูอย่าเพิ่งพูดอะไรอีกเลยนะ” หนุ่มร่างหมีพยายามลดความตึงเครียดของสถานการณ์ด้วยรู้แน่ว่า คงไม่มีใครหน้าไหนกล้าขวางกังฟูผู้เดือดดาลถึงขีดสุด  ถึงอย่างนั้น...คนตัวเล็กเสียงดังกลับให้ความร่วมมือไม่

“มึงไม่ต้องมาห้ามกูเลยเต๋อ!” พอว่าหนุ่มสถาปัตย์เสร็จ กังฟูก็หันไปฉะด้วงต่อโดยไม่ขาดช่วง “กูถามหน่อยเหอะวะด้วง...
.
.
.
...มึงคิดว่าผู้ชายที่กล้าเอากระโปรงผู้หญิงมาใส่ แล้วเที่ยวหลอกคนอื่นให้เข้าใจผิดว่าตัวเองเป็นกะเทยอยู่เป็นปีๆ...
...ไอ้คนแบบนั้นน่ะมีศักดิ์ศรีมากพอที่จะได้รับความรักจากใครหรือเปล่า?”

คำพูดเชือดเฉือนของกังฟูทำให้วิญญูรู้สึกเหมือนโดนถีบตกจากกลางหาว
ก่อนจะพุ่งหลาวตกลงสู่ผิวธารใจกลางทวีปอารค์ติก
ความรู้สึกชาดิกตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าได้ชะเอาความโกรธเกรี้ยวเมื่อชั่วครู่ให้ปลาสนาการไปในพริบตา


“ฟู... เราขอโทษ  ตอนนั้นเราไม่รู้จริงๆว่าควรจะทำยังไง...
...เรารู้แค่ว่าฟูไม่มีทางชอบผู้ชาย แต่เรารักฟู อยากอยู่กับฟู เราเลยอยากอยู่ใกล้ๆ ให้ฟูหันมามองเราบ้างเท่านั้นเอง...
.
...ฟูให้อภัยเราเถอะนะ เราขอโทษ!!” อาการลนลานร้อนรนทำให้ชายหนุ่มปริศนาผู้น่าค้นหาผู้ปรากฏกายเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน  กลายร่างเป็นเพียงคนจนตรอกที่พร่ำขอโอกาสจากพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยซ้ำไปซ้ำมาด้วยหวังให้คำอ้อนวอนของตนส่งไปถึงใจของกังฟูบ้าง...สักนิดก็ยังดี

“หึ! มึงนี่ทุเรศไม่มีใครเกินจริงๆว่ะด้วง! มึงคิดได้ยังไงว่าถ้ามึงทำตัวเป็นตุ๊ดแล้วกูจะยอมคบด้วย?” หนุ่มวิศวะร่างเล็กแสยะด้วยสีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์ “หัวมึงมีไว้กั้นหูหรือยังไง ถึงได้คิดชุ่ยๆว่ากูจะยอมตกลงปลงใจกับกะเทยควายหน้าไม่อายอย่างมึง?!!...
.
.
...มึงไสหัวไปให้พ้นหน้ากูเลยนะ! กูทนสมเพชขี้หน้ามึงไม่ได้อีกแล้วว่ะ!!...
...ไป! โน่น!...ออกไปเลยไป!! กรกฏชี้นิ้วไล่แขก

“ฟู! ฟู... เราขอโทษ เราไม่ได้ตั้งใจ!! ฟูอย่าไล่เราไปไหนเลยนะ เราอยู่โดยไม่มีฟูไม่ได้หรอก”

ถึงรูปลักษณ์ภายนอกจะเปลี่ยนจนคนอื่นจำแทบไม่ได้
แต่ความรู้สึกนึกคิดและอุปนิสัยของด้วงกลับไม่ได้ผันแปรง่ายดายด้วยคมกรรไกร หรือใช้เพียงเครื่องแต่งกายแบรนด์เนมเข้าห่อหุ้ม ต่อให้ความผิดที่เขาทำััจะน้อยนิดหรือยิ่งใหญ่ แต่เมื่ออีกฝ่ายออกอาการไม่พอใจ วิญญูก็พร้อมจะเป็นฝ่ายขอโทษ และอดทนรอการให้อภัยจากอีกฝ่ายก่อนเสมอ


กระนั้น...เหตุการณ์ตรงหน้า กลับไม่ได้กระตุ้นให้กังฟูหวนคิดถึงอดีตอยู่ฝ่ายเดียว
เพราะหลังจากที่ร่างเล็กเอ่ยเสียงเขียวพร้อมยื่นคำขาดขับไสไล่ส่งด้วงอย่างไม่มีเหตุสนับสนุน
หนุ่มร่างหมีก็เกิดรู้สึกฉุนขึ้นมาติดหมัด...
ก็สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ คือภาพสะท้อนของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับตัวเขาและเด็กชายกังฟูผู้ย้ายโรงเรียนมาใหม่ชัดๆเลยนี่หว่า!


“ทำไมฟูต้องพูดจาทำร้ายจิตใจด้วงแบบนั้นด้วยล่ะครับ?...
.
...ถ้าตอนนั้นด้วงมันมีทางเลือก มันก็คงไม่ต้องทำตัวตุ้งติ้งให้คนอื่นเข้าใจผิดว่ามันเป็นตุ๊ดหรอกครับฟู” ตรินพยายามอธิบายเพื่อทำให้กังฟูเข้าใจถึงความจำเป็นของวิญญูอีกครั้ง  อย่างน้อย... เขาก็ไม่หุนหันตัดสินโทษร่างเล็กโดยไม่ให้โอกาสแก้ตัวเสียทีเดียว

“กูไม่สน!!... กูรู้อย่างเดียวว่ากูเกลียดที่มันหลอกกูมาตลอดหลายปี” กรกฏลากสายตาจากเพื่อนรักเพื่อทอดไปตัดพ้อว่าที่แฟนโดยเฉพาะค่าที่อีกฝ่ายออกโรงปกป้องคู่กรณีของเขาทั้งที่ไม่จำเป็น  “มันเห็นว่ากูโง่นักหรือไง? คิดจะทำอะไรกับกูก็ได้อย่างนั้นใช่ไหม? ทำไมมันถึงไม่เอาเชือกมาสนตะพายกูเสียเลยล่ะ? กูเป็นเพื่อนมันนะเต๋อ ไม่ใช่ควาย!

ด้วยความเห็นใจอีกฝ่ายค่าที่ถูกหลอกลวงมาตลอดหลายปี
ตรินจึงปรับท่าทีแข็งกร้าวเอาเรื่องของตนลง


“แต่ด้วงก็เป็นคนที่คอยอยู่ข้างๆ...
...คอยช่วยเหลือฟูตอนที่ฟูมีปัญหามาตลอดไม่ใช่เหรอครับฟู?...
.
...เต๋อว่า ฟูสงบจิตสงบใจๆก่อนเถอะนะ  ไว้ฟูอารมณ์เย็นเมื่อไรแล้วเราค่อยกลับมาคุยกันอีกทีแล้วกันนะครับ...
...นะ ถือว่าเห็นแก่เต๋อได้ไหม?” มือหนายื่นไปกุมฝ่ามือเล็กๆของกังฟูเอาไว้ก่อนจะลูบไล้เบาๆด้วยความรักใคร่และเห็นใจเป็นที่สุด

ทว่าข้อเสนอของเต๋อกลับไม่ใช่สิ่งที่กรกฏมองหา...
ร่างเล็กสะบัดมือของหนุ่มร่างหมีทิ้งอย่างไร้เยื่อใยด้วยไม่สบอารมณ์...
เขาตกเป็นเหยื่อ และเต๋อจะต้องเชื่อ ต้องเข้าข้างเขาแต่เพียงผู้เดียวโดยไม่สนความผิดชอบชั่วดีสิถึงจะถูก!!


 “กูเย็นไม่ไหวหรอกเต๋อ!! ที่ผ่านมา มันหลอกกูหน้าด้านๆมาตลอด...
.
...กูถูกมันล้อเล่นทางความรู้สึกมาตั้งเท่าไร แล้วทำไมมึงถึงไม่เห็นใจกูบ้าง?...
...ถ้ามึงรักกูจริง... มึงก็ต้องเห็นแก่ความรู้สึกของกูมากกว่าความรู้สึกของมันสิ!

และแล้ว...โอกาสที่เต๋อหยิบยื่นให้ในรูปของเหตุผลและถ้อยคำประนีประนอมทั้งหลาย
กลายเป็นชนวนที่ทำให้ร่างเล็กเกิดบันดาลโทสะด้วยไม่พอใจกับการแสดงออกของหนุ่มร่างหมีที่ตรงข้ามกับความต้องการของตนอย่างสิ้นเชิง


“แต่ฟูก็ต้องรู้จักควบคุมอารมณ์บ้...  / ถ้าไม่คิดจะเข้าข้างกู มึงก็ไม่ต้องมาให้กูเห็นหน้าอีก!” จบจากหนุ่มสถาปัตย์ กรกฏก็สาปส่งเพื่อนรักที่ยังปักหลักไม่ไหวติงทันที “ส่วนมึง...ด้วง... มึงจะไปตายห่าที่ไหนก็ไป ขออย่างเดียว... อย่าได้คิดจะมาใช้อากาศหายใจใกล้ๆกูอีกก็พอ”

ไม่ต้องรอให้กังฟูสาดพริกสาดเกลือใส่หน้า
นิสัยเอาแต่ใจจนกลายเป็นดื้อด้านไม่ฟังเหตุผลใครๆของร่างเล็กก็ทำให้เส้นความอดทนของตรินขาดผึง...

ในเมื่อกรกฏคิดว่าการตัดคนอื่นที่ขัดใจออกจากชีวิตคือสิ่งที่ถูกต้อง...
เห็นทีว่า เขาควรหยิบยื่นความรู้สึกของการเป็นคนที่ไม่มีใครต้องการให้พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยได้ลิ้มลองรสชาติดูสักครั้ง


“ถ้าขืนฟูยังเอาตัวเองเป็นใหญ่อยู่อย่างนี้ ฟูก็อยู่คนเดียวไปจนกว่าจะคิดได้ก็แล้วกัน” หนุ่มร่างหมีลุกพรวดพราดขึ้นจากโต๊ะ แล้วจึงเดินอ้อมไปคว้าแขนวิญญูให้เดินตามกันออกไป “ไปด้วง!!

“แต่.../ ไม่ต้องแต่... มึงไปเก็บข้าวของแล้วย้ายไปอยู่กับกู!

ไปเลย! พวกมึงอยากจะไปตายที่ไหนก็เชิญเลย!!!” กรกฏถึงกับผุดลุกขึ้นยืนชี้หน้าพลางตะโกนด่าไล่คู่กรณี้เหยงๆ

นอกจากเสียงตะเบ็งของกังฟูจะดังไม่ถึงหูของหนุ่มร่างสูงใหญ่ทั้งสอง...
มันกลับดังก้องในความรู้สึกของพี่ชายอดีตเดือนมหาลัย ซึ่งในเวลานี้กลับทำได้แค่ยืนจ้องมองแผ่นหลังของทั้งเต๋อและด้วงค่อยๆหายลับออกจากโรงอาหารไปด้วยสายตาว่างเปล่า


“เฮียฟูครับ... นั่งก่อนนะครับ” บ๊วยประคองร่างเล็กให้ค่อยๆนั่งลงอย่างช้าๆ เมื่อเห็นว่ากังฟูยืนค้างท่านานเกินไปเสียแล้ว  ส่วนน้องชายก็ย้ายไปนั่งประกบอีกข้างของกรกฏพร้อมกับบีบนวดเนื้อตัวให้ผู้เป็นพี่เสียยกใหญ่  

“เฮียนั่งก่อนเถอะ เดี๋ยวอีกสักพักค่อยไปคณะก็ได้”

“เก็ก... เดี๋ยวพี่ฌานไปก่อนนะ ไว้คุยกันเย็นนี้” แฝดพี่ส่งสายตาพลางพยักเพยิดบอกใบ้ให้สองหนุ่มคู่รักรับรู้ว่าพวกตนจะตามไปประกบรุ่นพี่อีกสองคนเสียเอง

“ครับพี่ฌาน... ฝากทางนั้นด้วยนะ”

ทันทีที่หนุ่มวิศวะรับรู้สิ่งที่ฌานต้องการจะสื่อ
เหล่าสมุนเลวที่เหลือก็ตั้งท่าออกตัวตามรุ่นพี่ร่างใหญ่ทั้งสองไปด้วยความว่องไว
จะเว้นอยู่ก็แต่แฝดน้องที่ต้องออกแรงลากอดีตเดือนบริหารที่ยังยืนยิ้มตาเยิ้มใส่เก็กออกไปด้วยความยากลำบาก


“เฮีย... ไหวไหม? อยากให้เก็กทำอะไรให้หรือเปล่า?” ธันวาสอบถามความเป็นไปของพี่ชายด้วยความเป็นห่วงอีกครั้งอย่างอดไม่ได้... เพราะการที่กังฟูจะดูหมดเรี่ยวแรงจนน่าสงสารได้แบบครั้งนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยนัก

“ไม่ต้อง ขอกูอยู่เงียบๆคนเดียวสักแป๊บนะ”

“ครับเฮีย”








“พวกเราทำแบบนี้จะดีจริงๆเหรอเต๋อ?” ด้วงอดถามหนุ่มร่างหมีที่กำลังหมุนซ้ายหมุนขวาอยู่ในห้องของตัวเองไม่ได้ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเต๋อจะต้องโมโหร้ายทำปึงปังใส่กังฟูไปแบบนั้น

“แล้วมึงจะปล่อยให้ฟูสาปส่งมึงอยู่อย่างนั้นไปจนตายหรือไง? มึงขอความรักเขานะเว่ย...ไม่ใช่ไปให้เขาจิกหัวด่า...
.
...เก็บของเร็วๆดิวะ... หนังสือกองนี้มึงต้องใช้ใช่ไหม?”

“อืม ใช้” วิญญูพยักหน้าให้อีกฝ่ายพลางเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า แต่ยังไม่วายพยายามแก้ต่างแทนร่างเล็กตามนิสัยให้ท้ายกังฟูอย่างไม่ลืมหูลืมตา “แต่ที่ฟูพูดก็ไม่ผิดนะ... ถ้าเราเป็นฟู เราคงโกรธจนควันออกหูเหมือนกัน”

“ด้วง... มึงเพิ่งจะโดนฟูด่าฉิบหายตายห่ามาหมาดๆเองนะ แล้วมึงจะมาแก้ตัวแทนฟูเพื่ออะไร?” หนุ่มสถาปัตย์ตอกหน้าวิญญูอย่างเจ็บแสบ
.
.
.
.
.
.
“หึ! ก็จริง” ถึงจะไม่อยากยอมรับ แต่เหตุการณ์ที่เพิ่งประสบก็ทำให้ด้วงไม่อาจหลีกเลี่ยงความจริงได้ กระนั้น...เขากลับรู้สึกไม่สบายใจหากไม่ได้ดูแลกรกฏอย่างใกล้ชิดเหมือนทุกที

“แต่เราก็ไม่ควรปล่อยฟูให้อยู่คนเดียวไม่ใช่เหรอเต๋อ?”

“ไม่ต้องห่วง กูว่าไอ้เก็กคงไม่ปล่อยฟูเคว้งแน่ๆ” ตรินแย้งอย่างน่าเชื่อถือ โดยเร่งมือเก็บของให้ด้วงไปพร้อมๆกัน  

“แล้วทำไมเราถึงไม่กลับไปคุยกับฟูให้เข้าใจก่อนล่ะเต๋อ?...
.
...ขืนปล่อยเอาไว้นานๆ ฟูจะไม่ยิ่งโกรธพวกเราไปกันใหญ่เหรอ?”

“ด้วง... กูถามมึงจริงๆเถอะ มึงโดนฟูเล่นของใส่มาหรือเปล่าวะ? ...
.
...ขนาดกูรักฟูจะเป็นจะตาย กูยังไม่ชอบใจกับคำพูดร้ายๆที่เขาใช้ตอกหน้ามึงเลย” เมื่อเห็นว่าด้วงตั้งท่าจะเถียง เต๋อก็รีบดักคอเอาไว้เสียก่อน

“มึงฟังกูนะด้วง... พวกเรากำลังทำในสิ่งที่ถูกต้องที่สุด...
...ถึงเวลาแล้วล่ะที่พวกเราต้องเปลี่ยนแปลงนิสัยแย่ๆบางอย่างของฟู...
...ยิ่งไอ้นิสัยที่พอใครทำอะไรไม่ได้ดั่งใจแล้วเที่ยวตัดคนๆนั้นออกไปจากชีวิตง่ายๆน่ะยิ่งต้องรีบแก้เลย...
.
.
.
...มึงลองคิดดูสิ ถ้าต่อไปวันข้างหน้า... เกิดมึงหรือกูได้คบกับฟู...
...แล้วอยู่มาวันหนึ่ง...เราแม่งดันเผลอตัวไปกระตุกต่อมบางอย่างของฟูเข้า...
...ฟูจะไม่ไล่เราออกจากบ้านโดยไม่รับฟังเหตุผลเอาหรือไง?...
...หรือมึงจะโชว์โง่ ก้มหน้ารับกรรม เก็บข้าวเก็บของเดินล่องลอยออกจากบ้านไปเสียทุกเมื่อที่เขาต้องการอย่างนั้นน่ะเหรอ?”

“...” วิญญูอดเห็นด้วยกับเหตุผลของอีกฝ่ายไม่ได้...

ใช่...ไม่ว่าเมื่อไร กังฟูก็มักจะใช้วิธีนี้ต่อรองกับคนรอบข้างอยู่เสมอ...
จนเขาต้องยอมตามใจ เพราะไม่อยากถูกเตะโด่งออกชีวิตของกังฟู


“กูรู้ว่า สำหรับมึง...การหักกับฟูมันเป็นเรื่องยาก แต่กูอยากให้มึงทำความเข้าใจกับเรื่องนี้ให้ได้ก่อน...
.
.
...ฟูต้องเปลี่ยนแปลง ต้องยอมลดทิฐิตัวเองลงเพื่อคนอื่นบ้าง...
..ไม่อย่างนั้น  นอกจากไม่มึงหรือกูที่จะแย่แล้ว...
...ฟูก็อาจจะกลายเป็นคนที่ทำอะไรโดยไม่คิดถึงใจคนอื่นอีกเลย แล้วอย่างนี้จะปกครองกันไหวยังไงวะ? หรือมึงว่าไม่จริง?”

“อืม... งั้นก็แสดงว่าเราก็ต้องอดทนรอเวลาให้ฟูคิดได้อย่างนั้นน่ะเหรอ?”

“ใช่!” เต๋อย้ำคำหนักแน่น

“แล้วระหว่างนั้นเราต้องทำตัวยังไงล่ะ?”

“กูกับมึงก็คอยดูฟูอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆแบบนี้แหละ เชื่อกูสิ... เดี๋ยวฟูก็คิดได้”  

การแลกจูบอย่างดูดดื่มกับกรกฏเมื่อสองคืนก่อนทำให้ตรินเชื่อมั่นกับการตัดสินใจในครั้งนี้เป็นที่สุด  
ในขณะที่วิญญูกลับยิ่งวิตกกังวลไปกันใหญ่เพราะความร้ายกาจไร้ที่สิ้นสุดของกังฟูก็ไม่อาจประมาทได้เช่นกัน


“เรากลัวฟูทิฐิจนไม่ยอมคิดอะไรเลยน่ะสิ”

“เฮ่ออออออออออออออออ!...
...เอาเหอะวะ...
.
...ถึงตอนนั้นเราค่อยมาว่ากันอีกทีก็แล้วกันว่ะ... 
...ตอนนี้... รีบเก็บของแล้วรีบไปห้องกูก่อนเถอะ กูยังไม่พร้อมจะเจอหน้าฟูตอนนี้ว่ะ” เต๋อถอนหายใจปิดท้ายพลางขับไล่ภาพอนาคตอันเลวร้ายให้พ้นออกไปจากสมอง แล้วลงมือกวาดของใช้ส่วนตัวของด้วงใส่กระเป๋าเป้อีกใบอย่างลวกๆ


Ħ------------------------------------------------------------------------Ħ


“ทางนั้นเป็นยังไงบ้างเก็ก?” แฝดพี่ตั้งคำถามกับผู้มาใหม่หลังจากสมุนทั้งห้ามาพร้อมกันยังที่ประชุมฉุกเฉินในคืนนี้  

ร่างสูงสมส่วนของอดีตเดือนมหาลัยคว้าเอาแฟนตัวน้อยมานั่งซ้อนตักพลางถอนหายใจพรู ก่อนชี้แจงความเคลื่อนไหวของพี่ชายตัวเองด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด


“เฮ่อ! พอกลับถึงห้อง เฮียก็นอนเลย ไม่ยอมกินข้าวเย็น... ใครชวนคุยก็ถามคำตอบคำ...
.
...กระทั่งกับผม เฮียยังไม่ค่อยจะยอมพูดด้วยสักเท่าไร... แซวไปยังไม่ด่าเลยคิดดู...
...แล้วฝั่งพี่เต๋อกับพี่ด้วงล่ะครับ เป็นไงมั่ง?”

“ก็ไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไรนะ พี่ฌานว่าพวกแกออกจะชิลๆเสียด้วยซ้ำ” ร่างทรงหนุ่มเอ่ยเรียบๆ  ทว่ากลับมีเสียงนกเสียงกาหน้าแว่นดังสอดขึ้นจนได้

“แต่ผมแอบเห็นคุณพี่ด้วงเหม่อแล้วก็ถอนหายใจอยู่บ้างประปรายนะครับพี่ฌาน” สกลรายงานตามความจริงตามที่ได้เฝ้าเผือกเกาะสถานการณ์อย่างแข็งขันโดยไม่ปล่อยให้รุ่นพี่ทั้งสองคลาดสายตาสักวินาที

“อ้าว! อย่างนั้นหรอกเหรอ... สงสัยพี่ฌานเอาแต่จ้องพี่เต๋อขาลุยอยู่มั้งเลยไม่ทันมองคุณพี่ด้วงอย่างละเอียด” ฌานเกาหัวแก้เก้อ

“แล้วพวกพี่ๆเขาว่ายังไงเรื่องเฮียบ้างล่ะครับ? จะมาง้อเฮียเมื่อไร?” ธันวาอดสงสัยไม่ได้

“เฮ่อ! เรื่องนั้นท่าจะยากว่ะเก็ก...
.
...พี่เต๋อแกเล่นออกตัวชัดเลยว่า ถ้าเฮียฟูไม่มาขอโทษพี่ด้วงต่อหน้า แกจะไม่ยอมยกโทษให้เฮียฟูเหมือนกัน” แฝดพี่สรุปความด้วยน้ำเสียงหนักใจไม่แพ้กัน  

“เฮ่ย! ได้ไงอ่ะพี่ฌาน?!!” อดีตเดือนมหาลัยถึงกับหลุดอุทานเมื่อได้ยินจุดยืนของว่าที่พี่เขย “พี่เต๋อก็น่าจะรู้ไม่ใช่เหรอว่าเฮียผมน่ะแม่งดื้อที่หนึ่ง แถมยังไม่ยอมขอโทษใครก่อน...  เชื่อป่ะ...ตอนเด็กๆเวลาทะเลาะกัน ต่อให้เฮียทำผิดแค่ไหน ผมยังต้องวิ่งไปร้องไห้ขอโทษเฮียทั้งๆที่ผมไม่ผิดตลอดเลยอ่ะ...
.
.
...แล้วถ้าขืนเราปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปนานๆ ความพยายามของพวกเราทั้งหมดจะไม่สูญเปล่ากันพอดีเหรอครับ?”

“ผมว่าคราวนี้พี่เต๋อแกน่าจะเอาจริงนะครับคุณธันวา...
.
...ขนาดผมลองทั้งเต๊าะ ทั้งแหย่ ทั้งยั่วโมโหแกสารพัด...
...แกก็ยังไม่ยอมบอกเลยว่าทำไมแกถึงโกรธคุณกรกฏเสียมากมาย ทั้งๆที่แกไม่ใช่คนถูกด่าอย่างคุณพี่ด้วงสักหน่อย...
...ชื่อคุณกรกฏแกยังไม่เอ่ยถึงเลยนะครับ” ยิ่งหนุ่มหน้าแว่นเพิ่มเติมรายละเอียดให้ชัดเจนมากขึ้นเท่าไร ความหวังของเหล่าสมุนเลวทั้งหลายก็ดูจะริบหรี่ลงเท่านั้น

“พี่เต๋อคงจะโมโหแทนพี่ด้วงมั้งครับ...
.
...ถ้าเป็นพี่ชายโดนเฮียฟูด่าเสียๆหายๆทั้งๆที่ยอมเสียสละแทบเป็นแทบตายมาตั้งหลายปี ฌอนก็ทนฟังเฉยๆไม่ได้เหมือนกัน” ฌอนเสริม

“เรื่องโกรธแทนกันน่ะผมเข้าใจได้อยู่หรอกฌอน...
...ก็เฮียน่ะพูดเกินไปจริงๆนั่นแหละ... 
.
...แต่พวกเราจะปล่อยให้พี่เต๋อกับเฮียมีปัญหาคาราคาซังกันแบบนี้ไปนานๆไม่ได้นะครับ...
...ไม่อย่างนั้น...พวกเราอาจจะล้างพรของเจ้าพ่อไทรทองไม่สำเร็จกันพอดี” บ๊วยคว้ามือของอดีตเดือนมหาลัยมากุมเอาไว้แล้วบีบเบาๆเพื่อบรรเทาความวิตกกังวลของคนรัก

“พี่ฌานก็เป็นห่วงเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ถึงได้ส่งกระแสจิตเชิญเจ้าพ่อให้มาประชุมพร้อมกันตั้งแต่เมื่อตอนบ่าย”

“อ้าว! แล้วทำไมป่านนี้เจ้าพ่อท่านยังไม่ปรากฏกายอีกล่ะครับ?”

“เอ... ไม่รู้เหมือนกันว่ะเก็ก พี่ฌานว่า...พี่ฌานบอกท่านแล้วนะว่าพวกเราจะประชุมกันตอนทุ่มครึ่ง...
.
...ทุกทีท่านก็ไม่เคยเลทเลยนี่หว่า”  ไม่ทันสิ้นเสียงบ่นของแฝดพี่ เสียงเรียกเข้าที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีของสองเจ้าพ่อก็ดังขึ้นอย่างกับรู้คิว



เฮ่ย!!/ เฮ่ย!!!!” ทั้งบุตรแห่งเทพและเหล่าสมุนเลวทั้งห้าต่างพร้อมใจกันส่งเสียงเอ็ดตะโรออกมาโดยพร้อมเพรียงเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น...

เบื้องหน้าของนักศึกษาหนุ่ม ปรากฏร่างทิพย์ของเจ้าพ่อห่อไหล่ในสภาพไม่พร้อมรับแขกเป็นที่สุด
โฮลี่ฮิปสเตอร์อยู่ในชุดลำลองที่ถูกทำให้คล้ายชุดวันเกิดเข้าไปทุกที

ชายเสื้อยืดแขนยาวคอปาดลายทางสีขาวและเขียวไข่กาถูกรั้งขึ้น
ในขณะที่ขอบกางเกงเป้ายานทรงแบ๊กกี้สีเปลือกมังคุดก็ถ่วงลงเสียจนเห็นวีเชฟได้ลางๆ
ซึ่งสภาพล่อแหลมทั้งล่างและบนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำมหาวิทยาลัยล้วนเกิดจากฝีมือของเจ้าพ่อไทรทองแต่เพียงผู้ดียว


“บันยัน!!... เบ๊บบอกแล้วใช่ไหมว่าให้หยุดให้หยุด!...
.
...บันยันคุยกับเจ้าพวกนี้ไปตนเดียวเลยนะ วันนี้เบ๊บไม่พร้อม!ป็อบ!’” ว่าแล้ว เจ้าพ่อห่อไหล่มาในสภาพรุ่งริ่งก็แว่บหายไปต่อหน้าต่อตาเหล่าพยานที่อ้าปากค้างอย่างเอกฉันท์อีกครั้งหลังจากเหตุการณ์เมื่อเช้า  ฝ่ายเทวบุตรสุดชิคก็ออกอาการยืนไม่ติดที่เมื่อเผลอตัวทำให้เจ้าหัวใจเกิดไม่สบอารมณ์ไปเมื่อสักครู่

“เร็วๆ! มีอะไรก็รีบๆว่ามา!! ไม่เห็นหรือไงว่าข้าไม่ว่าง!

“คืออย่างนี้ครับเจ้าพ่อ” แฝดพี่ออกตัวพลางรีบสรุปความเพื่อช่วยองค์เทวบุตรได้ทำเวลาอย่างเร็วรี่ “พี่เต๋อกับพี่ด้วงทะเลาะกับเฮียฟูครับ พวกเราเลยอยากปรึกษาเจ้าพ่อว่าควรทำอย่างไรกันดีน่ะครับ”

“เรื่องที่เกิดเมื่อตอนสายใช่ไหม?” เทวบุตรสุดชิคเจาะจงเหตุการณ์ได้อย่างแม่นยำจนห้าหนุ่มพยักหน้ารับหงึกหงัก

“...อืม...” บุตรแห่งเทพสายบุ๋นหลับตาตั้งกระแสจิตตรวจสอบสถานการณ์ในอนาคตอันใกล้ให้เหล่าสมุนก่อนตัดสินใจถึงแนวทางแก้ปัญหาที่เหมาะสม

“ข้าดูแล้ว อาการของทั้งสองฝ่ายยังไม่น่าเป็นห่วงเท่าไร...
.
...เอาเป็นว่า ข้าขอยกยอดไปประชุมกับพวกเจ้าอีกทีวันพรุ่งนี้แทนแล้วกันนะ...
...ข้าไปก่อนล่ะ... ต้องรีบตามไปง้อแฟนโดยด่วน!เฮ่ลโหล่ว โหม่วโต๊ว!!!’” เจ้าพ่อไทรทองรวบรัดห้วนๆ แล้วจึงหายตัวตามเจ้าพ่อห่อไหล่ไปโดยไม่รอให้สมุนหน้าไหนได้เหนี่ยวรั้ง

“อย่างนี้เราฟ้องสคบ.ได้ไหมครับว่าเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย?” สกลอดแขวะบุตรแห่งเทพไม่ได้  ทว่านอกจากจะไม่ได้การตอบรับที่น่าพอใจ หนุ่มหน้าแว่นกลับโดนเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดสกัดดาวรุ่งเข้าให้อีกต่างหาก

“ตั้งสติก่อนดีไหมแนน... นั่นเจ้าพ่อ ไม่ใช่เพื่อนเล่น” ฌอนเหน็บหน้านิ่งจนคนถูกพาดพิงโดนความโกรธเข้าเล่นงานจนธาตุไฟเกือบแตก

“ฌอนศรีนี่ปากตลาดไม่มีใครเกินจริงๆนะครับ” สกลต่อล้อต่อเถียงจนปากสั่นเหนียงกระพือ

“อย่าเพิ่งทะเลาะกันเลยนะ พวกเรามาหาทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันก่อนดีไหม?” บ๊วยรีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อปรามเพื่อนทั้งสองทางอ้อม

“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน... พวกเราก็แบ่งกันเป็นสองกลุ่มอย่างนี้นี่แหละ...
.
...บ๊วยกับเก็ก เวลาไหนที่ไม่มีเรียนหรืองานด่วน พี่ฌานอยากให้นายสองคนคอยประกบเฮียฟูเอาไว้ตลอดเวลา...
...พี่ฌานกลัวว่า ถ้าปล่อยให้เฮียฟูอยู่คนเดียวมากๆ แกอาจจะฟุ้งซ่านได้...
...ทะเลาะกับเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวนี่เรื่องใหญ่กว่าที่ใครคาดคิดเยอะเลยนะ...
.
.
...ส่วนพี่เต๋อกับคุณพี่ด้วงก็ปล่อยให้เป็นภาระของพี่ฌาน สกล น้องชายและก็อิ๊กได้เลย...
...พวกเราจะพยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับฝั่งนี้มาให้ได้มากที่สุด จะได้หาทางแก้ปัญหาพี่เต๋อกับพี่ด้วงงอนเฮียฟูได้เร็วๆ” แฝดพี่แบ่งงานจัดสรรหน้าที่ให้ทั้งห้าหนุ่มอย่างรวดเร็ว กระนั้นอดีตเดือนมหาลัยกลับไม่ลืมหยิบยกประเด็นที่ยังค้างคาขึ้นมาหารือกับอีกฝ่ายก่อนที่ทั้งหมดจะแยกย้ายกันกลับไปดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมาย

“แล้วเรื่องประชุมล่ะครับพี่ฌาน?“

“ใจจริงพี่ฌานก็อยากให้พวกเรามาคุยกันแบบเห็นหน้าเห็นตาอยู่หรอกนะ...
...แต่พี่ฌานก็ไม่แน่ใจว่าพวกเราจะปลีกตัวจากพวกรุ่นพี่ได้หรือเปล่า...
.
...เอาเป็นว่า... ถ้าเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ พี่ฌานจะนัดพวกเรารวมตัวกันอีกที แต่ถ้าวันที่ยุ่งๆ หมั่นเช็คไลน์หน่อยก็แล้วกัน...
...ส่วนวันพรุ่งนี้ ก็น่าจะเจอกันเวลาราวๆนี้นี่แหละ”

ครับ!/ เฮ่!!


Ħ------------------------------------------------------------------------Ħ


“เข้ามาเลยครับบูบู้” อดีตเดือนมหาลัยเอ่ยพลางเดินนำหน้าแฟนตัวน้อยเข้าห้องสามศูนย์สามด้วยสีหน้าสมใจ ฝ่ายร่างผอมที่ถูกจับจูงกลับทำหน้าปูเลี่ยนด้วยรู้สึกแปลกๆกับการจัดการแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของอีกฝ่าย

“พี่หมี... เค้าต้องย้ายมาอยู่ที่นี่จริงๆเหรอครับ?...
.
...หอเค้าอยู่แค่นี้เอง  เค้าขี่จักรยานไปกลับก็ได้ครับ พี่หมีกับเฮียฟูจะได้ไม่ลำบาก” หนุ่มสถาปัตย์คัดค้านอย่างไม่เต็มเสียงนักด้วยไม่อยากขัดใจแฟนสักเท่าไร...  

กระนั้น...บ๊วยกลับบอกได้ไม่เต็มปากว่าอยากย้ายมาอยู่กับธันวาในสภาวะหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้หรือไม่
แต่ในเมื่อกเลี่ยงไม่ได้ หนุ่มร่างผอมจึงกล่อมตัวเองว่าตนตกกระไดพลอยโจนชั่วคราวมากกว่าเต็มใจย้ายเข้ามาอยู่ในห้องของธันวาแบบถาวรก็แล้วกัน


“ฮื่อ!  ไม่เอาอ่ะ... บูบู้ก็ได้ยินที่พี่ฌานแบ่งหน้าที่แล้วไม่ใช่เหรอครับ?...
.
...ไหนบูบู้ลองทวนซิว่าพี่ฌานบอกพวกเราว่ายังไง?” เก็กอาศัยคำสั่งของแฝดพี่มาเป็นข้อผูกมัดให้อีกฝ่ายต้องยอมจำนนกับการมัดมือชกของตนแต่โดยดี

“แต่การคอยประกบเฮียฟูตลอดเวลาก็ไม่ได้หมายความว่าต้องนอนเฝ้าเสียหน่อยนี่ครับพี่หมี” ชายกลางพ้อพลางกวาดสายตาสำรวจทั่วห้องของอดีตเดือนมหาลัยกับพี่ชาย แต่มีหรือที่สุดหล่อจะยอมรับฟังโดยไม่หาข้ออ้างมาหักล้างให้คำพูดของเขาต้องตกไป

“บูบู้... บูบู้ไม่รู้เหรอครับว่า ช่วงเวลาฟุ้งซ่านที่สุดของเรามักจะเป็นช่วงเวลากลางคืน...
.
...เกิดเฮียนอนไม่หลับแล้วลุกขึ้นมาทำร้ายตัวเองเอากลางดึก...
...แล้วบังเอิญว่าคืนนั้นเค้าเหนื่อยจนหลับลึกทำให้ตื่นมาห้ามเฮียไม่ทัน... 
...สุดท้าย ถ้าเฮียเป็นอะไรขึ้นมา บูบู้เองนั่นแหละที่ต้องเสียใจที่แอบกลับไปนอนที่ห้องตัวเอง!

“พี่หมี!” มือเล็กฟาดเบาๆลงบนกล้ามเนื้อต้นแขนแน่นๆของเก็กด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะอบรมแฟนหนุ่มทันที “พี่หมีไม่ต้องทำถึงขนาดแช่งชักหักกระดูกพี่ชายตัวเองก็ได้ครับ!

“อ้าว! หรือบูบู้จะเถียงว่ามันเป็นไปไม่ได้?”

“แต่พี่หมีก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเฮียฟูแบบนั้นเลยนี่ครับ!” บ๊วยยังคงยืนกรานคำเดิม แต่ดูเหมือนน้ำเสียงแข็งขืนของร่างผอมจะทำให้เก็กทนฟังไม่ได้ หนุ่มหล่อดีกรีเดือนมหาลัยจึงวางกระเป๋าสัมภาระของอีกฝ่ายลงแล้วรวบเอวชายกลางเข้ามากอดเอาไว้เสียแน่น

“เค้าไม่ได้แช่ง เค้าแค่ให้เหตุผลเพราะเค้าอยากให้บูบู้มาอยู่ด้วยกัน...
.
...ได้ดูแลพี่แถมน้องชายสุดหล่ออีกคนไปพร้อมๆกัน...
...บูบู้ไม่คิดว่ามันดีกว่าหรือไงครับ? หือ...ว่ายังไง?” ปลายจมูกโด่งของธันวาคลอเคลียไปตามพวงแก้มของอีกฝ่ายอย่างถือวิสาสะ

“ก็ไม่ได้บอกเสียหน่อยว่ามันไม่ดี” ชายกลางตอบเสียงค่อยเมื่อเก็กคอยแต่กดจูบไปตามไรผมลามไปถึงใบหูที่ทำให้ขนตามร่างกายผอมแกร็นลุกซู่  การหลุดปากสารภาพของหนุ่มสถาปัตย์ทำให้อดีตเดือนมหาลัยบดคลึงปลายนาสิกแล้วสูดดมกลิ่นกายของอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ชีวิตจนบ๊วยบิดร่างไปมาโดยไม่ทันรู้ตัว

“อ้าว! แล้วอย่างนี้บูบู้จะถามเค้าอีกทำไมว่าขอไปกลับได้หรือเปล่าล่ะครับ?” ธันวารามือจากลำคอกรุ่นกลิ่นรัญจวนชั่วครู่เพื่อดุบ๊วยให้จนมุม “เดี๋ยวนี้กล้าลองใจเค้าเหรอ?! อย่างนี้ต้องโดนลงโทษ!!” คาดโทษเสร็จ เจ้าของรูปร่างสมส่วนน่ามองก็จองเวรกับแฟนตัวน้อยของตนต่อทันที  

“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อยครับพี่หมี!! ฮื่อออ!! ปล่อยก่อน เฮียฟูนอนอยู่ตรงนั้นเอง พี่หมีไม่เห็นเหรอครับ?” ชายกลางพยายามทัดทาน แต่ธันวาก็ยังจะหน้ามึนไม่รู้เหนือรู้ใต้มันต่อไป

“อย่ามาหลอกเค้าเสียให้ยากเลย! ที่นอนเฮียฟูอยู่ชั้นสองครับ...
.
...ต่อให้เฮียตื่นแล้วจริงๆ แต่ถ้าเฮียไม่โผล่หัวขึ้นมามอง...เฮียก็ไม่มีทางเห็นพวกเราหรอก”

“เค้าไม่ได้โกหกนะครับ... พี่หมีดูสิ เฮียฟูนอนอยู่เตียงล่างจริงๆนะครับ” เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ามือของอดีตเดือนมหาลัยเลื้อยผ่านสาบเสื้อรุกล้ำสูงขึ้นไป ร่างผอมก็รีบอธิบายสิ่งที่ตนเห็นตำตาเป็นพัลวัน

“หืม? ไหน?...ถ้าไม่ใช่โดนเค้าจัดชุดให.......   เก็กยอมผละจากกิจกรรมปู้ยี่ปู้ยำชายกลางแล้วหันกลับไปมองยังจุดพักสายตาเดียวกันกับร่างผอมอย่างเสียไม่ได้

แต่แล้ว...อดีตเดือนมหาลัยก็ต้องงุนงงกับตำแหน่งที่นอนของพี่ชายในยามนี้ซึ่งไม่ผิดไปจากคำพูดของบ๊วยแม้แต่น้อย  
ตอนก่อนออกไป เขาจำได้ว่ากังฟูปีนขึ้นไปนอนเตียงตัวเองจริงๆ
ทว่าเพราะอะไร...กังฟูถึงได้ไต่ลงมานอนขดตัวอยู่บนเตียงของพี่ห้องอีกคน?
ความสับสนทำให้หนุ่มรูปงามเดินนำแฟนตัวน้อยเข้าไปสังเกตอาการของคนนอนหลับใกล้ๆ


“เฮ่อ!... สงสัยพวกเราคงต้องรีบทำอะไรสักอย่างเพื่อแก้ปัญหานี้โดยเร็วแล้วล่ะครับ” ธันวาโพล่งออกมาพลางสบตาบ๊วยสลับกับมองใบหน้าสวยหวานของผู้เป็นพี่ที่มีคราบน้ำตาไหลเปื้อนทั่วปรางอย่างอ่อนใจ




Ħ------------------------------------ TBC ------------------------------------Ħ



บรรยากาศม่วงๆตรงหน้านั่น... มันใช่ภาพลวงตาไหมพี่ชาย?:


“ไหนพวกมึงลองบอกมาซิว่าที่พวกมึงแห่แหนกันมานั่งเล่นในห้องกูจนเย็นย่ำนี่เพื่อประโยชน์อะไร?”
“โธ่! พี่เต๋อครับ...ที่พวกเราพร้อมใจกันมาที่นี่ก็เพราะอดเป็นห่วงพี่เต๋อกับคุณพี่ด้วงไม่ได้จริงๆ ไม่ได้คิดจะมาอาศัยตากแอร์ฟรี หรือเพราะทีวีที่หอไม่มีช่องหนังจริงๆนะครับ”
“หึ! ไอ้สัดแว่น... ให้มันน้อยๆหน่อย!
“พวกเราเป็นห่วงพี่เต๋อกับคุณพี่ด้วงจริงๆครับ”
“กูไม่เชื่อหรอก ยิ่งไอ้ตัวบอสอย่างมึงพูดเนี่ย กูยิ่งเชื่อไม่ลงไปกันใหญ่...
.
.
...ร้อยวันพันปีกูไม่เคยเห็นพวกมึงอยากจะญาติดีอะไรกับกูนักหนา อยู่ๆจะมาบอกว่าเป็นห่วงกูกับไอ้ด้วง...
...พวกมึงคิดว่ากำลังล่อลวงเด็กเตรียมอนุบาลอยู่หรือไงไอ้แฝดพี่?”
“แหม... ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ป่านนี้พวกผมไม่ต้องให้อมยิ้มหรือชวนกินติมไปแล้วเหรอครับพี่เต๋อ...
.
...ใครเขาจะไปดุร้ายได้ตลอดเวลาอย่างคุณกรกฏล่ะครับ หัดมองน้องมองนุ่งในแง่ดีเสียบ้างเท๊อะ”
“...”
.
.
.
.
.
.
.
.
“(พี่ฌานครับ...เอาไงกันดีอ่ะครับ?...
.
...พี่เต๋อเล่นไม่หือไม่อืออะไรสักอย่าง ขนาดแอบอ้างแถมลบหลู่คู่กรณี แกยังไม่ดูดำดูดีสักนิดเลยอ้ะ!)“
“(งั้นก็ใช้แผนอื่นสิสกล)”
“(แล้วนั่นฌอนศรีไม่คิดจะช่วยอะไรเพื่อนหน่อยเหรอครับ? จะนั่งจับมือกับงูเห่าจนเกิดแผลกดทับให้ได้เลยหรือไง?)”
“...หึ!...”
“(ช่วยก็ไม่ช่วย แถมยังกินแรงเพื่อนอีก!...
.
.
...ทำไงดีว้า?...เอาไงดีน้อ?...)”
“(คุยอะไรกันเหรอนายขอรับ? แล้วทำไมพวกนายต้องกระซิบกระซาบกันด้วยล่ะ?)”
“(ไม่ต้องรู้ทุกเรื่องก็ได้มั้งอิ๊ก...
.
...บอกกี่ทีแล้วว่าให้เรียกฌอน เรียกฌอน...
...หรือจะเอา?)”
“(บ้า! อย่ามาทำลามกใส่ตอนนี้ได้ป่ะ?...
.
.
.
...ไว้ค่อยทำตอนอยู่กันสองเถอะ คึ คึ!)”
“(จ้องอะไรแนน?!)”
“(ชู่ว์! อย่าเพิ่งหาเรื่องสกลสิน้องชาย... ปล่อยให้เพื่อนได้ใช้ความคิดหน่อย)”



“ด้วง เย็นนี้มึงจะแดกอะไร? จะออกไปแดกข้างนอกป่ะ?... วันนี้กูขี้เกียจเก็บล้างว่ะ”
“เหลือของสดอะไรบ้างล่ะ?”
“ทำไม? มึงจะทำกับข้าวเหรอ?”
“...อือ...”
“มึงลองค้นตู้เย็นดูเอาดิ เจออะไรพอแดกได้ ก็ทำอันนั้นแล้วกัน”
“ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นล่ะมั้ง”
“หึ! ทำตัวเป็นประโยชน์เป็นด้วยเหรอวะ?”
“เปล่า... เราแค่คิดว่าทำกินเองมันถูกกว่า นายไม่เห็นเหรอว่ามีปากท้องที่ต้องเลี้ยงอีกตั้งเท่าไร?”
“ช่างหัวพวกแม่งดิวะ อยากมากันเองนี่หว่า... กูไม่ไล่ก็บุญเท่าไรแล้ว”
“ทำเป็นพูดดีไป... เราเห็นนายออกจะชอบใจเวลาได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับพวกนั้นจะตาย”
“มั่วแล้ว!
“เหรอ? งั้นให้เราไปไล่พวกนั้นให้ไหมล่ะ ยังไงเราก็ไม่เดือดร้อนอะไรอยู่แล้ว... ดีเสียอีก ไม่ต้องเหนื่อยทำกับข้าวเยอะๆ”
“เฮ่ย! ไม่ต้อง! ปล่อยพวกมันไว้อย่างนั้นเถอะ”
“หึ!
“ทำหน้าอะไรของมึง? เดี๋ยวเหอะ!
“เด็กน้อย!
“ใครเด็ก? กูแก่กว่ามึงเหอะด้วง!
“สองเดือนไม่นับ”
“อย่าเอาแครอทมาชี้หน้ากู! กูไม่ชอบ!!
“นี่ไง...เด็กน้อยชะมัดเลย!
“กูไม่ได้เด็ก! กูแค่ไม่ชอบให้ใครชี้หน้า!
“ไม่ได้ชี้ แค่ยื่นให้เฉยๆ... จะให้ช่วยเอาไปหั่น”
“ก็แล้วทำไมไม่บอกดีๆ?”
“ก็หน้านายตลกดีเวลาโดนล้อ...
.
.
...ถึงว่า ทำไมพวกรุ่นน้องนายถึงได้ชอบปีนเกลียวกันนัก”
“ไอ้พวกนั้นมันไม่มีสามัญสำนึกเหอะ!
“หึ หึ... ก็คงงั้นมั้ง...
.
.
...ใจเย็นดิ......หั่นดีๆ เดี๋ยวมีดโดนมือ”
“ลืมแล้วหรือไงว่าเมื่อวานใครทำกับข้าว?”
“เออๆ...
.
.
...เกิดก่อนสองเดือนไม่ช่วยอะไรจริงๆ!
“ตู๊ดดดดดดดดด!
“เณรรรรรรรรรรร!



“(พี่ฌานครับ)”
“(อะไร?)”
“(พี่ฌานคิดเหมือนที่ผมคิดไหมครับ?)”
“(คิดอะไรสกล?)”
“(คิดว่า... หรือสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้พี่เต๋อกับคุณพี่ด้วงดังแล้วแยกวงกับคุณกรกฏจะเป็นเพราะ...)”
“(เว้นวรรคนานทำไมแนน? ไม่มีดนตรีโหมโรงให้หรอกนะ)”
“(เดี๋ยวเหอะฌอนศ...
“(บอกมาสักทีสิสกล พี่ฌานรอฟังอยู่นานแล้วนะ)”
“(หืยยยย! พี่ฌานอ้ะ! เอะอะเข้าข้างน้องชายยันเต!!)”
“(วันนี้จะได้บอกไหมแว่น?)”
“(จิ๊!! ก็ได้ ก็ได้!...
.
...เพราะคุณกรกฏตัวเล็กไป... อาจทำให้หมีๆอย่างพี่เต๋อกินไม่อิ่มจนแกหันมาบริโภคคุณพี่ด้วงแทนยังไงล่ะครับ)”
“(หึ! พูดอย่างนั้นก็ไม่ถูกนะสกล)”
“(ผมพูดผิดตรงไหนครับพี่ฌาน? พี่ฌานไม่เห็นบรรยากาศมุ้งมิ้งเมื่อตะกี๊หรือไงครับ?)”
“(เปล่า... แต่ที่ผิดน่ะ คือ...คุณพี่ด้วงน่าจะเป็นฝ่ายได้กินดีหมียังไงล่ะ)”
“(เฮ่ย! ถามจริง?!!)”
“(หึ หึ หึ)”
“(จริงเหรอครับพี่ฌาน?!!!...
.
...โฮวววววว!...ที่แท้ทีละหมัดอปป้า คือ เบน ชลาทิศปลอมตัวมาหรอกหรือนี่?!!!)”
“(น้องรับไม่ได้... น้องสะเทือนใจเหลือเกินครับพี่ฌาน!!)”
.
.
.
.
.
“(หึ หึ หึ... โดนอำจนนกเอี้ยงเกาะไหล่แล้วยังไม่รู้ตัวอีกเหรอแนน?)”
“(ก็ใครใช้ให้อำเรื่องแบบนี้กันล่ะฌอนศรี?! เกิดผีผลักสองคนนั้นจนได้กันเอง บูบู้ของพวกเราจะไม่แห้งเหี่ยวตายกันพอดีเหรอ?)”
“(งั้นก็รีบคิดไวๆสิว่าจะล้วงความลับของพี่เต๋อกับคุณพี่ด้วงยังไง...
.
...ไม่งั้นบ๊วยกับไอ้เดือนมหาลัยคงได้ชวดกันแหงๆ)”
“(ครับๆ... นี่ถ้าไม่ใช่พี่ฌานขอร้อง  น้องไม่ทำให้หรอกนะครับ)”
“(หึ! แนนซี่เอ๊ย!)”
“(พี่ฌานครับ! ฌอนศรีว่าร้ายน้องอีกแล้วครับ!)”
“(เฮ่ออออออ!)”



No comments:

Post a Comment