อั้ยย่ะ!
ยิ่งเขียนยิ่งยาว นี่มันอะไรกัน?!!
ก่อนอ่าน
กรุณาคิดเสียว่าเรามาเจอกันอาทิตย์ละครั้ง
เพราะฉะนั้น...อ่านกันให้ตาบานและเต็มอิ่มในความรู้สึกกันไปเลยนะคะ
(อย่าโกรธกันเลยเนอะ
เหอ เหอ เหอ)
หากท่านใดติดตามนิยายเรื่องอื่นๆผ่าน
facebook
แนะนำให้ตามเพจของเราเพื่อช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้นดีไหมเอ่ย...
(เวลานิยายลงตอนใหม่
ใจเราน่ะอยากส่งข้อความแจ้งทุกๆท่านมากเลย
แต่ถ้ากดไลค์เพจแล้ว
ปัญหานี้จะแก้ได้ง่ายมากๆเลยค่ะ
ยังไงฝากเพจเอาไว้เป็นทางเลือกในการอ่านอัพเดทนิยายเรื่องนี้แบบง่ายๆเอาไว้ด้วยนะคะ
^^)
รักคนอ่านทุกๆท่าน
และขอบคุณสำหรับกำลังใจอย่างสม่ำเสมอค่ะ
(ต้อนรับผู้อ่านหน้าใหม่ด้วยนะคะ)
Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ
The 27th
Blessing
หลงป่ายืดเยื้อเหมือนหนังอาหลอง...
ทองภาคร้อยห้า
”พ่อฌอน...
พ่อฌอนไหวไหมขอรับ?”
”ไหวสิพลาย
ถามทำไมเหรอ?”
”พี่พลายอยากจะแวะไปดูพ่อฟูสักประเดี๋ยวน่ะขอรับ...
พ่อฌอนอยู่คนเดียวได้ไหมขอรับ?”
”ก็ไม่น่าจะมีปัญหานะ
รีบไปรีบมาก็แล้วกัน”
”ขอรับ... พี่พลายจะรีบไปรีบกลับนะขอรับ”
ภายหลังจากที่กระแสจิตของกุมารทองดับวูบไปจากห้วงความรู้สึก
แฝดน้องก็กลับไปดื่มด่ำกับสัมผัสอ่อนนุ่มของเรือนผมสีทองซีดที่ลูบอยู่เบาๆด้วยความเพลิดเพลินเต็มที่
ดีที่ร่างบางในอ้อมกอดชอบให้ทำแบบนี้
ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มีอะไรทำระหว่างอยู่โยงเฝ้ายามในขณะที่อีกฝ่ายตกอยู่ในห้วงนิทราเป็นแน่
แต่เมื่อความรู้สึกลื่นมือผนวกกับความอบอุ่นที่ส่งผ่านผิวกายโดยไร้ซึ่งเสียงวอแวรบกวนจากเด็กวิเศษดังเช่นทุกที
เปลือกตาทั้งสองที่หนักอึ้งเพราะความเหนื่อยล้าข้างจึงค่อยๆโรยตัวปิดลงมาทั้งที่ในใจคัดค้านดังลั่น...
กระนั้น
ดวงตาคมกลับหลับไหลไปเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะกระพือไหวอีกครั้ง...
แต่สิ่งที่ต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด
คือ ประกายเบื้องหลังแพขนตาหนางอนที่ดูอย่างไร...ก็ไม่ใช่สายตาลึกซึ้งของฌอน
Ħ------------------------------------------------------------------------Ħ
“ม้า...ป๊า
กลับมาแล้วเหรอ? เป็นไงม้า...ไปเที่ยวมา เหนื่อยไหม?”
กังฟูเดินเข้าไปหาร่างแบบบางที่เพิ่งทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวใหญ่ในห้องรับแขกของบ้าน
มือเล็กๆบีบนวดสะบักไหล่ของหญิงวัยกลางคนเชื้อสายจีนที่ไม่ว่าดูอย่างไร
หล่อนก็ไม่แก่ลงเลยนับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นหน้ากันเมื่อหลายปีก่อน
ฝ่ายคนฟังที่นั่งนิ่งๆให้บุตรชายร่างเล็กเอาอกเอาใจอยู่ครู่ใหญ่ๆยิ้มมุมปาก
พลางหันไปสบตากับคู่ชีวิตก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเอ็นดู
“ม้ากับป๊าไม่ได้กลับมาอยู่บ้านเราหรอก
แค่กลับมาเยี่ยมฟูเฉยๆ” สัมผัสที่หล่อนส่งผ่านฝ่ามือระหว่างลูบหัวบุตรชายแฝงไว้ซึ่งความคะนึงหาสุดประมาณ
“อ้าว! ทำไมล่ะม้า”
กังฟูอดโวยวายออกมาไม่ได้...
อะไรกัน?! กลับเข้าบ้านได้ไม่ถึงสิบนาที
พ่อกับแม่ก็ตั้งท่าจะหนีเขาไปเที่ยวกันอีกแล้ว!
ชายหนุ่มเบือนหน้าจากมารดาเพื่อหันไปส่งสายตาโกรธเคืองให้กับคนบงการที่แท้จริง...
ซึ่งก็คือ ชายไทยเสี้ยวจีนแต้จิ๋ว วัยกลางคนซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้าม เขาเป็นผู้ชักนำมารดาสุดที่รักให้ออกท่องโลกกว้างอย่างไม่ลืมหูลืมตาตลอดหลายปีที่ผันผ่าน
“ป๊า! ป๊าจะพาม้าไปเที่ยวไหนอีกล่ะคราวนี้?”
“หึ
หึ หึ... รอบนี้ป๊าจะพาม้าไปเที่ยวให้ทั่วยุโรปเลยว่ะ กะจะฮันนีมูนรอบสองเสียหน่อย”
ปะป๊ากระหยิ่มยิ้มย่องหลังจากจ้องผู้เป็นภรรยาด้วยสายตาแพรวพราวจนหญิงสาวเพียงคนเดียวของบ้านเขินอายไปหลายตลบ
ท่าทางไม่เห็นใครในสายตานอกจากภรรยาตัวเองของพ่อทำให้กังฟูอดรนทนฟังไม่ได้
“โห...ป๊า! ทีกับลูกนี่ไม่เคยชวนเลยนะ!!”
“ก็เออสิวะ
ใครจะมีความสำคัญเทียบเท่าเมียได้อีกล่ะโว้ย?!”
แต่ก่อนที่สามีกับลูกชายคนโตจะเปิดศึกทำลายความสงบภายในบ้าน
คนกลางอย่างม้าก็เอ่ยแทรกบทสนทนาที่หาข้อสรุปไม่ได้ของทั้งสองด้วยประเด็นอื่นที่น่าสนใจกว่าทันที
“เอาล่ะ
เอาล่ะ... อย่าเถียงกันไปเลยพ่อลูก...
.
.
....ฟูมาดูนี่ดีกว่า...
...ม้ามีของมาฝากฟูด้วยนะ”
หล่อนลุกขึ้นแล้วจึงจับมือข้างหนึ่งของบุตรชายเอาไว้ แล้วออกคำสั่งอย่างนุ่มนวล “หลับตาก่อนสิฟู...
รับรองเลยว่าถ้าฟูเห็นของฝากที่ม้าเตรียมไว้ ฟูต้องชอบใจแน่ๆ”
“อะไรอ่ะม้า?”
หนุ่มร่างเล็กพยายามซักไซ้หญิงสาวซึ่งใจดีที่สุดในชีวิตของตน...
ยิ่งจับความตื่นเต้นที่เจืออยู่ในน้ำเสียงและแววตาสุกใสของมารดาได้ชัดเจนมากเท่าไร...
กังฟูก็เก็บงำความสงสัยเอาไว้กับตัวได้น้อยลงเท่านั้น
“เหอะน่า...
ทำตามที่ม้าบอกเถอะตี๋ อย่าชักช้า” ผู้เป็นพ่อตวัดหางเสียงตำหนิลูกชายถึงความขี้สงสัยเกินเหตุ ถ้อยคำของบิดาทำให้กังฟูยอมหลับตาแล้วปล่อยให้ม้านำทางอย่างช่วยไม่ได้
“เอาล่ะ...ถึงแล้ว
ฟูเปิดตาได้เลยลูก” น้ำเสียงเจือความตื่นเต้นของม้าที่ยกระดับขึ้นอย่างน่าฉงน
ทำให้ตัวเขาซึ่งปิดตาอยู่อดรู้สึกลุ้นตามไปไม่ได้...
ทันทีที่กังฟูเบิกตามองดูสิ่งที่อยู่ตรงหน้า...
ใบหน้าเรียบเฉยติดจะบึ้งตึงนิดๆกลับถูกความยินดีและประหลาดใจปรับให้กลายเป็นสีหน้าสดใสคล้ายกับคนละคน
“เฮ่ย! น่ารักอ่ะม้า!!! น่ารักทั้งสามคนเลย!! ม้าไปเอาไอ้ตัวเล็กพวกนี้มาจากไหนอ่ะ?”
กังฟูร้องเสียงหลงด้วยความดีใจเมื่อได้เห็นเด็กน้อยวัยเตาะแตะสามคนนอนหลับน้ำลายไหลย้อยอาบแก้มย้วยๆอยู่ในรถเข็นเด็กสีสันสดใส คนฟังทั้งสองชอบอกชอบใจเมื่อเห็นว่าลูกชายมีความสุขจนเครื่องหน้าทั้งหมดเคลื่อนย้ายตำแหน่งไปตามความแรงของรอยยิ้มกว้าง
“ก็ลูกๆของฟูเองนั่นแหละ”
“จริงเหรอม้า?
ลูกฟูจริงๆเหรอ?” ท่าทางและน้ำเสียงกระตือรือล้นระคนจริงจังของเด็กหนุ่มทำให้ผู้เป็นพ่ออดหมั่นไส้ไม่ได้
“ก็เออดิวะ! ม้าไม่เคยโกหก... ตี๋ก็รู้ไม่ใช่เหรอ?”
“ฟูไม่ได้จะว่าม้าเสียหน่อย
ฟูแค่ดีใจเฉยๆ... ป๊าก็รู้ ฟูอยากมีลูกมาตั้งนานแล้ว” กังฟูเบือนหน้าจากสายตาดุดันของบิดาไล่มองใบหน้าเล็กๆของเด็กชายทั้งสามช้าๆอย่างตื้นตัน...
ไม่รู้เมื่อไรเหมือนกันที่ความรู้สึกอยากมีทายาท
กลายมาเป็นความปรารถนาอันดับต้นๆในรายการสิ่งที่ต้องทำก่อนตาย
ซึ่งไม่ทันไร...
พ่อกับแม่เขาก็ช่วยทำให้ความฝันในข้อนี้เป็นจริงขึ้นมาได้ภายในชั่วพริบตาเสียแล้ว
“เออ!... ไอ้สามตัวนี่น่ะหลานป๊า
หลานแท้ๆเลยนะเว่ย!” ป๊าสำทับ...แค่ฟังดู กังฟูยังรู้เลยว่า...คนพูดเองก็เห่อหลานๆอยู่ไม่น้อย
“แล้วเมียฟูอ่ะป๊า
เมียฟูอยู่ไหน?” หนุ่มร่างเล็กไม่ลืมถามถึงหัวข้อสำคัญ...
จะเป็นไปได้อย่างไรที่เด็กน้อยหน้าตาน่าชังทั้งสามจะตามพ่อกับแม่เขากลับมาบ้านโดยไร้เงามารดาผู้ให้กำเนิด?!
เขาต้องรู้ให้ได้...
ว่าหญิงสาวคนไหน คือ ต้นฉบับของแฝดสามสุดน่ารักที่ทำให้เขาหลงหัวปักหัวปำได้ตั้งแต่แรกเห็นหน้า
“เมียเมอที่ไหน?
ตี๋เอาอะไรมาพูด? นี่ลูกตี๋... ลูกตี๋กับผัว”
จากที่จะเอื้อมมือไปจับแก้มยุ้ยๆของหนึ่งสามแฝด
กังฟูถึงกับชักมือกลับด้วยความรวดเร็วเมื่อได้ยินสิ่งที่พ่อของตนอธิบาย...
เด็กพวกนี้คือลูกของเขากับ
‘ผัว’?!!...
ใครก็ได้ช่วยบอกทีว่าป๊าไม่ได้พูดจาเลอะเทอะมั่วซั่ว!
“ห๊ะ?! ป๊าว่าไงนะ?”
“ก็อย่างที่ป๊าบอกนั่นแหละฟู...
ตี๋น้อยทั้งสามนี่ลูกฟูกับแฟนฟูที่เป็นผู้ชายน่ะ” น้ำเสียงจริงจังที่ม้าใช้พูดย้ำทำกังฟูสติแตก
“บ้าแล้วม้า! ม้าพูดอะไรของม้าเนี่ย?
ฟูเป็นผู้ชายนะ... ฟูจะไปมีแฟนเป็นผู้ชายจนมีลูกตั้งสามคนได้ยังไงกัน?”
“ถ้าฟูยืนยันแบบนั้น
ม้าคงต้องขอหลานคืนแล้วล่ะ” เจ้าของประโยคถอนหายใจพรืดพลางปลีกตัวหมายจะเดินกลับไปยังรถเข็นเด็ก...
ดูจากสีหน้าท่าทางของหล่อนแล้ว
ไม่แคล้วว่าหล่อนคงจะได้เสียหลานชายทั้งสามไปเพราะความดื้อด้านของลูกชายคนโตเป็นแน่
“อ้าว!! ทำไมล่ะม้า? ก็ไหนม้าบอกว่าไอ้แก้มย้อยสามคนนี่เป็นลูกฟูไง?
ม้าจะเอาลูกฟูไปไม่ได้นะ!!” กังฟูรีบพุ่งตัวไปยืนกางแขนถ่างขากันไม่ให้มารดาเข้าใกล้รถเข็นบรรทุกเด็กน้อยทั้งสามได้เป็นอันขาด
“ก็ถ้าฟูไม่ยอมมีแฟนเป็นผู้ชาย
เด็กพวกนี้คงไม่มีวันได้เกิดมาเป็นลูกของฟู...
.
...แล้วอย่างนี้จะให้ม้าทิ้งหลานๆของม้าเอาไว้กับฟูได้ยังไง?
ม้าก็ต้องพาหลานกลับไปด้วยกันสิ” หญิงสาวเพียงคนเดียวของบ้านเอ่ยอย่างอ่อนอกอ่อนใจหากแต่ไม่ละสายตาไปจากรถเข็นเด็กข้างหลังกังฟูเลยสักชั่วขณะ...
อาจเป็นเพราะดวงหน้ายามหลับที่ดูไม่เป็นพิษภัยของเจ้าแก้มยุ้ยทั้งสามที่ออกจะน่าปกป้องคุ้มครองเป็นที่สุด
หรือจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม
แต่สิ่งเดียวที่กังฟูรู้สึกก็คือ...
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เขาก็จะทำทุกอย่างเพื่อให้เจ้าตัวจ้ำม่ำทั้งสามได้เกิดมาเป็นลูกๆของเขาให้จงได้
“ฟูไม่ยอมให้ม้าเอาลูกฟูไปหรอก!!”
“เอ๊ะ! ไอ้ตี๋นิ!!! เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็งขนาดเถียงม้าแล้วเรอะ?...
.
...ก็ม้าบอกจนปากจะฉีกแล้วยังไงล่ะว่า
ถ้าเอ็งไม่มีแฟนเป็นผู้ชาย ก็ไม่มีวันที่ไอ้สามตัวนี่จะได้มาเกิด” ป๊าขึ้นเสียงจนหน้าขึ้นสี...
อาการพูดจาไม่รู้ฟังของกังฟู ดูจิ๊บจ๊อยไปเมื่อเทียบกับวาจาสามหาวที่ประกาศกร้าวใส่หน้าภรรยาสุดที่รักของตน
ท่าทางเอาเรื่องของพ่อ
กับแววตาจริงจังของแม่ทำให้กังฟูรู้ว่าครั้งนี้เขาไม่มีสิทธิต่อรอง...
ถึงคราวที่เขาจะต้องเลือก
ระหว่างลูก...กับความถูกต้องตามขนบ
ร่างเล็กอัดลมหายใจเข้าปอดหนักๆ...
หวังว่าอ็อกซิเจนคงจะช่วยทำสมองให้ปลอดโปร่งได้บ้าง
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“ตกลง...ฟูจะมีแฟนเป็นผู้ชาย!” กังฟูแถลงผลการตัดสินใจของตนหลังจากไตร่ตรองเพียงไม่นานโดยไม่ลืมบอกเงื่อนไขสำคัญ
“แต่ม้าต้องให้ไอ้แก้มย้อยทั้งหมดกับฟู
นะม้านะ”
“ถ้าฟูยืนยัน
ม้าก็จะไม่เอาหลานไป... แต่อย่าลืมนะ หลานม้าน่ะ จะเกิดมาหลังจากที่ฟูมีแฟนเป็นผู้ชายแล้วเท่านั้น!!”
“โธ่ม้า! ม้ากับป๊าเล่นย้ำบ่อยเสียขนาดนี้แล้วฟูจะไปลืมได้ยังไงกันล่ะ”
แม้ระหว่างพูดจาตัดพ้อพ่อกับแม่
น้ำเสียงของร่างเล็กจะฟังอ่อนระโหยโรยแรง
แต่เมื่อนึกถึงเรื่องคาใจที่สุดขึ้นมาได้
ความเอาจริงเอาจังและตั้งใจจริงของชายหนุ่มก็กลับมาประทับร่างอีกครั้ง
“ว่าแต่
ม้ากับป๊าไม่รู้สึกอะไรเหรอที่ฟูจะมีแฟนเป็นผู้ชายน่ะ?
ไอ้เก็กมันก็เป็นเกย์ไปคนนึงแล้วนะม้า”
“ม้ากับป๊าจะไปว่าอะไรล่ะ
ตี๋มีความสุขกับใคร ม้าก็ดีใจด้วยทั้งนั้นแหละ...
.
...ดีเสียอีก
ม้าจะได้มีหลานอ้วนน่าขย้ำอย่างนี้ตั้งสามคน
เนอะป๊าเนอะ” ผู้เป็นมารดาที่อุ้มเจ้าตัวป้อมที่ชิงตื่นก่อนใครๆขึ้นมากอดเอาไว้แนบอกอุ่นของเจ้าหล่อน
ก่อนจะหันไปยักคิ้วหลิ่วตาให้สามีอย่างอารมณ์ดี
“ใช่...
จะคิดอะไรให้มากมายวะตี๋?...
...ป๊ากับม้าน่ะไม่ได้อยู่ค้ำฟ้า
ถ้ามีใครพร้อมจะดูแลตี๋แทนป๊ากับม้า กล้ารักตี๋โดยไม่มีเหตุผล...ไม่มีเงื่อนไข แถมยังเต็มใจจะทำให้ตี๋มีความสุขไปตลอด
ต่อให้คนๆนั้นเป็นใคร ป๊ากับม้าก็รับได้ทั้งหมดนั่นแหละ” ป๊าเสริมพลางจับมือป้อมๆไกวไปมาแล้วทำหน้าหลอกล่อให้เจ้าแก้มย้อยเบอร์หนึ่งหัวร่องอหาย
ภาพความสุขที่เห็นตรงหน้าทำให้กังฟูรำพันกับตัวเองเบาๆด้วยความรู้สึกโล่งอกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน...
.
.
.
.
.
.
.
“ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่า
ฟูรักไอ้หมีได้แล้วสิ?”
“หมีตัวไหนล่ะฟู?”
คำถามที่เพิ่งล่องลอยเข้าหัวคนที่เผลอเหม่อลอยคิดถึงชายหนุ่มหัวเกรียนร่างหมีทำให้กังฟูกลับคืนสู่ความเป็นจริงอีกครั้ง...
หากแต่สิ่งที่อยู่รอบข้างในยามนี้
กลับมีเพียงมาสคอตหมีตัวหนึ่งนั่งหันหลังให้ตน
พอเผลอนึกไปถึงไอ้หมีควาย...
ก็โผล่เข้ามาวุ่นวายทันทีเชียวนะ
แล้วอย่างนี้...
เขาควรจะทำหน้าอย่างไรเพื่อไม่ให้เต๋อจับได้ว่ากำลังคิดถึงอีกฝ่ายอยู่ล่ะเนี่ย?
จังหวะที่ร่างเล็กเริ่มแสดงอาการลุกลี้ลุกลน
หมีตัวใหญ่ก็ค่อยๆหันกลับมาประจัญหน้ากับเขา ก่อนจะถอดหัวหมีออกช้าๆ...
ทว่าใบหน้าที่โผล่ออกมาจากหัวมาสคอต
กลับดูสวยหวานละม้ายผู้หญิง...
.
.
.
...นั่นมันด้วงนี่นา!!
...แล้วทำไมเพื่อนรักของเขา
จึงกลายเป็นหมีแทนที่หนุ่มสถาปัตย์หนวดเคราเฟิ้มไปได้ล่ะ??!!
สิ่งที่เห็นในความฝันทำให้ร่างเล็กเผลอสะดุ้งด้วยความตกใจจนสะดุ้งตื่น
กรกฏผงะไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าจมูกและริมฝีปากของเพื่อนสนิทวางประกบอยู่เหนือหน้าผากของตน...
ก่อนจะค่อยๆนึกขึ้นได้ว่า
ก่อนนอน... เป็นเขาที่โผเข้าไปซุกอ้อมกอดของอีกฝ่ายเพราะอดหวาดหวั่นกับบรรยากาศวังเวงภายในกระท่อมที่มีแสงเพียงวอมแวมไม่ได้จริงๆ
ความรู้สึกตะขิดตะขวงใจกับท่านอนของตนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ทำให้การข่มตานอนอีกครั้งกลายเป็นเรื่องยาก
พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยจึงค่อยๆพลิกตัวด้วยความระมัดระวังเพื่อเปลี่ยนข้างตะแคงหันหน้าไปยังอีกฝั่ง
แต่แล้ว...
ปลายทางของความพยายามในการเปลี่ยนท่านอนที่สัมฤทธิ์ผลแล้วนั้น
กลับปรากฏใบหน้าของหนุ่มร่างหมีลอยอยู่ไม่ห่าง...
เมื่อใคร่ครวญตำแหน่งของพวกเขาทั้งหมดอยู่สักพัก
กังฟูก็ถึงบางอ้อ
ว่าแท้ที่จริงแล้ว
ทั้งเขาและด้วงถูกเต๋อกอดเอาไว้อีกทีนี่เอง
ถึงว่าสิ...
ทำไมอากาศเย็นของคืนฝนตกพรำๆกลับทำอะไรเขาไม่ได้เลยสักนิด
จริงๆเลย!...
ทำอย่างนี้อีกแล้ว!...
เอาใจใส่และดูแลเขาเสียมากมายอีกแล้ว!!
แล้วอย่างนี้...
เขาจะยั้งความรู้สึกดีๆเอาไว้ได้อย่างไรกัน?!
โดยไม่ทันรู้สึกตัว...ฝ่ามือเล็กๆของคนที่เผลอตื่นขึ้นกลางดึก
ก็วาดไปประทับยังแก้มสากของคนตรงหน้า
ก่อนจะลูบไล้ด้วยสัมผัสละมุนละไมไปตามสันคาง
สลับกับโหนกแก้มด้วยความรู้สึกที่กระทั่งเจ้าตัวยังไม่อาจบรรยายได้
จนเมื่อหนุ่มสถาปัตย์ส่งเสียงละเมอในลำคอคล้ายพึงใจ
พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยจึงรีบชักมือกลับเข้าหาตัว
แล้วแสร้งนอนนิ่งเพื่อผ่อนจังหวะการเต้นของใจตัวเองอยู่ครู่ใหญ่
จากนั้นจึงค่อยๆผล็อยหลับไปด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
กระนั้น...
สิ่งเดียวที่กรกฏไม่ทันได้สังเกตเห็นคงจะเป็น
อาการกลั้นหายใจของเจ้าของอ้อมกอดอุ่นที่ตนเลือกจะหันหลังให้...
ไม่ว่าสิ่งที่กังฟูกระทำจะเล็กน้อยแค่ไหน...
แต่ด้วงกลับไม่เคยปล่อยให้หลุดรอดสายตาไปเลยสักครั้ง
ทั้งที่ยิ่งเฝ้ามอง...
จะยิ่งทำให้เจ้าตัวหมองเศร้าก็ตาม
Ħ------------------------------------------------------------------------Ħ
“สกล
ไปได้แล้ว... เดี๋ยวพี่โป่งรอนาน” แฝดพี่กระตุ้นเพื่อนรักหน้าแว่นซึ่งครึ่งท่อนบนผลุบหายเข้าไปหลังบานประตูหน้าห้องพักรับรองแขกชั้นล่างที่เปิดแง้มอยู่
“เดี๋ยวสิครับพี่ฌาน
ผมยังแอบเก็บภาพสวีทหวานของอดีตเดือนมหาลัยกับชายกลางได้ไม่หนำใจเลย”
เนื่องจากมิชชันแบล็คเมล์ชายกลางเพื่อนสนิทที่กึ่งนั่งกึ่งนอนฟุบอยู่ข้างเตียงคนป่วยรูปงามยังไม่สำเร็จตามความตั้งใจ
สกลจึงยอมโผล่หน้าออกมากระซิบกระซาบต่อรองกับเพื่อนรักที่ยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ด้านนอก...
แต่คิดหรือว่าฌานซึ่งกำลังเป็นห่วงน้องชายฝาแฝดเข้าเส้นจะยอมผ่อนผัน
“งั้นพี่ฌานไปแล้วนะ
สกลก็เฝ้าบ้านดีๆล่ะ” พูดจบ แฝดพี่ก็ตีจากโดยพลันจนสกลต้องวิ่งถลันตามไปด้วยอาการร้อนรน
“เดี๋ยว!
พี่ฌาน! รอผมด้วย! ผมไปด้วย!!”
“พี่ฌานจะรีบไปไหนเนี่ยะ?
ฟ้ายังไม่สว่างเลยนะครับ” ถ้อยคำทักท้วงเจือเสียงหอบถูกเปล่งออกมาทันทีที่สกลเร่งฝีเท้าจนสามารถเดินเคียงกับเพื่อนรักได้อีกครั้ง
คนฟังถอนหายใจยาวโดยไม่หยุดก้าวย่าง พลางตอบด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยน้องชายร่วมครรภ์มารดาจนหนุ่มหน้าแว่นสัมผัสได้
“พี่ฌานสังหรณ์ไม่ดีว่ะ
ไม่อยากปล่อยให้น้องชายอยู่กลางป่านานๆเลยไม่รู้ทำไม”
“พี่ฌานวาร์ปไปคุยกับฌอนศรีในหัวมาอีกแล้วสินะครับ
ถึงได้อยู่ไม่สุขแบบนี้”
“วาร์ปเวิ้บอะไรสกล?! เพ้อเจ้อใหญ่แล้ว!” แฝดพี่สวนเร็วรี่ระหว่างปรายตาเพื่อปราม...
แต่ใครเล่าจะห้ามสกลได้?!
“ถึงจะไม่ใช่วาร์ป
พี่ฌานก็มีคอนเนคชันพิเศษสุดกับฌอนศรีอยู่ดีนั่นแหละ... ดูดิ๊ ผมงี้กลายเป็นคนนอกเลย!”
“ถ้าเดินได้ไวเท่าพูดคงจะดีกว่านี้นะสกล
/ง่อวววววววววว!” ฌานเร่งเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อตัดบทกลายๆก่อนจะเพิ่มความเร็วบังคับให้อีกฝ่ายต้องวิ่งตามโดยไม่มีโอกาสซักถามหรือหยอกเย้าอีกต่อไป
สกลจึงได้แต่ส่งเสียงงึมงำในลำคอด้วยความไม่พอใจเท่านั้น
“...คนน่ารัก...”
“...คนน่ารักขอรับ...”
“...อืออออออ!...” อิ๊กส่งเสียงงัวเงียประท้วงโดยไม่ยอมลืมตาขึ้นมองร่างทองโปร่งใสของเด็กวิเศษที่ลอยอยู่ไม่ห่าง
“คนน่ารักตื่นเถอะขอรับ”
“ฮื่อออออออออออออ!” อดีตเดือนบริหารโวยวายตามประสาคนเมาขี้ตา
“คนน่ารักตื่น...
ถ้าคนน่ารักไม่ตื่น พี่พลายจะหลอกผีนะขอรับ”
“หลอก...รายยยยยย...งืมมมมมมมมมมม!... แจ๊บ แจ๊บ..” แม้จะโดนขู่
แต่คนน่ารักของพลายกลับตอบโต้ด้วยการเคี้ยวน้ำเชื่อมเสียงดังพลางพลิกตัวก่อนจะตบท้ายด้วยการเกาพุงสองสามแกรกๆแล้วก็นิ่งไป
กุมารทองจึงใช้วาจาและสุ้มเสียงข่มขู่มาเป็นมาตรการสุดท้ายเพื่อปลุกให้ยอดมนุษย์ขี้เซาตื่นขึ้นมาสู้โลกอีกครั้ง
“คนน่ารักชอบพ่อฌอน...
.
...คิดลามกกับพ่อฌอน...
...อยากให้พ่อฌอนทำจาบจ้วงล่วงเกินด้วย...
...อยากให้พ่อฌอนยกซดจนหมดชามใช่ไหมล่ะขอรับ”
“เฮ่ย! ทำไมรู้ล่ะ?!” หนุ่มบริหารดีดตัวขึ้นนั่งทันควันหลังจากสมองถอดความหมายของสิ่งที่เพิ่งผ่านเข้าโสตประสาทได้อย่างชัดแจ่ม
แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นร่างมลังมเลืองเหลืองเรืองรองลอยละล่องอยู่ใกล้ๆจนแทบจะทิ่มเข้าเบ้าตาอยู่รอมร่อ
“ก็ต้องรู้สิขอรับ
พี่พลายน่ะรู้หมดแหละว่าคนน่ารักคิดอะไรอยู่” ฟากกุมารก็ไม่อาจเก็บซ่อนความรู้สึกเหนื่อยใจกับคำถามประจำของเหล่ามนุษย์ผู้ไร้พลังวิเศษได้ดีนัก...
ขนาดคนถามเป็นถึงคนน่ารัก พลายยังอดเอือมระอากับคถามทำนองนี้ไม่ได้จริงๆ
“น้องพลับ?!! น้องพลับมาได้ไง?
แล้วทำไมตัวเหลืองๆล่ะ? เป็นดีซ่านเหรอ?!” อคิราที่ทั้งดีใจและประหลาดใจพรั่งพรูคำถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ชู่ว์! อย่าพูดเสียงดังสิขอรับ... คนน่ารักคิดแทนสิขอรับ
คิดในใจน่ะ...ทำเป็นไหมขอรับ?” คำถามของกุมารทองทำเอาหนุ่มร่างบางหน้าหวานกลอกตาและเบ้หน้าอย่างไม่ค่อยพอใจ...
อีกฝ่ายดูจะรู้จักเขาน้อยเกินไปเสียแล้ว
“ก็ต้องเป็นสิ
ออกจะถนัด... แล้วทำไมพี่ถึงพูดไม่ได้ล่ะน้องพลับ? น้องพลับมาที่นี่ได้ยังไง?
ไปทำอะไรมาตัวถึงเหลืองเหมือนตกถังสีแบบนี้ล่ะ... ท่าจะไม่ปกตินะ เหลืองลามเข้าลูกตาแล้วเนี่ยะ”
“ใจเย็นๆนะขอรับ
พี่พลายจะตอบคนน่ารักทีละคำถามขอรับ”
“ที่คนน่ารักเห็นอยู่นี่ไม่ใช่พลับขอรับ...
.
...นี่พี่พลายเองขอรับ...
...พี่พลายเป็นเด็กวิเศษที่คอยคุ้มครองร่างของพ่อฌอนอยู่
เพราะฉะนั้น...จึงไม่แปลกหากพี่พลายจะมีสีกายละเอียดทองอร่ามแบบนี้ ส่วนสาเหตุที่พี่พลายห้ามไม่ให้คนน่ารักพูด...เดี๋ยวคนน่ารักก็รู้เองแหละครับ”
“เด็กวิเศษ...แบบกุมารทองที่ต้องกินน้ำแดงแฟนต้าทุกๆวันอะไรเทือกๆนั้นน่ะเหรอ?” หากใครได้เห็นอิ๊กในตอนนี้คงจะรู้สึกขบขันไม่น้อย
เพราะแม้จะไม่มีคำพูดคำจาใดๆหลุดรอดออกจากริมฝีปากอวบอิ่มน่าลิ้มลองเลยสักแอะ
แต่ร่างบางกลับแสดงสีหน้าประกอบคำพูดในใจอย่างไม่มีลดละ
“ขอรับ”
“เฮ้ยยยยย! ชอบอ่ะ ขอเอากลับไปเล่นที่บ้านได้ป่ะ?” อดีตเดือนบริหารเบิกตาวาวพลางกระพือแผงขนตารัวๆพร้อมกับพยักหน้าหงึกหงักเพื่ออ้อนวอน
จนกุมารนึกอยากจะถอนใจขึ้นมาเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“พี่พลาย...หาใช่สุนัขไซบีเรียนไม่นะขอรับ” พลายเชือดนิ่มๆ
“ปากร้ายเหมือนฌอนเลยนะเราน่ะ...
รู้ตัวหรือเปล่า?” อิ๊กคิดพลางก็จิกตามองเพดานพร้อมทำปากคว่ำได้รูปสระอิแบบสมมาตร
“พี่พลายพูดตรงขอรับ”
“ตรงเข้าตัดขั้วหัวใจน่ะสิไม่ว่า!” อคิราค้อนเข้าให้ตามท้ายด้วยขยับปากขมุบขมิบ
“คนน่ารักชอบเพ้อพกเกินพอดีในบางทีนะขอรับ”
“ฮึ! เหมือนกันอย่างกับแกะทั้งตัวพ่อตัวลูก!”
”แล้วทำไมพลายถึงมาอยู่กับฌอนได้ล่ะ?”
“พ่อฌอนกับพ่อฌานเป็นผู้มีบุญขอรับ...
จิตวิญญาณดวงไหนๆย่อมต้องอยากมาอาศัยพึ่งใบบุญอยู่แล้ว”
“วันๆพลายต้องคอยอยู่ประกบฌอนตลอดเวลาเลยเหรอ?
ไม่เบื่อบ้างหรือไง? ไม่อยากไปเที่ยวเล่นเหมือนเด็กคนอื่นๆบ้างเหรอ?”
“ไม่หรอกขอรับ... พี่พลายอยากอยู่กับพ่อฌอนด้วย ยิ่งช่วงนี้พ่อฌอนตัวติดกับคนน่ารักตลอดเวลา พี่พลายก็ยิ่งชอบใจ” ประโยคเปื้อนยิ้มของเด็กวิเศษทำให้อดีตเดือนบริหารหน้าถอดสี... ร่างบางเผลอคิดฟุ้งซ่านด้วยความลืมตัวขึ้นมาอีกจนได้
”นี่เรากับฌอนกลายเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับเด็กตาเหลืองๆลำตัวเรืองแสงไปแล้วหรือเปล่า?!...
...แล้วไอ้ตอนที่ฌอนทำไอ้โน่น...ไอ้นี่ใส่คนไม่มีทางสู้อย่างเรา
จะทำให้พลายมองโลกเป็นสีรุ้งไปหรือยังวะ?!”
“คนน่ารัก ตั้งสติเถิดขอรับ...
พี่พลายหาได้เดือดร้อนกับการเกี้ยวพาของพ่อฌอนกับคนน่ารักไม่ขอรับ”
“งั้นก็แสดงว่าพลายเป็นพวกชอบถ้ำมองน่ะสิ...
เรื่องแบบนี้ไม่เหมาะกับเด็ก รู้หรือเปล่า?”
“พี่พลายหมายถึงพี่พลายชอบใจเวลาได้เห็นหน้าคนน่ารัก
ได้ฟังคนน่ารักคุยกับพ่อฌอนเท่านั้นขอรับ...
.
...พี่พลายมิได้คิดบัดสีบัดเถลิงเหมือนกับที่คนน่ารักคิดเลยสักนิดขอรับ”
“อ้าวเหรอ?! แต่อยู่ด้วยตลอดเวลาก็ต้องเห็น... ‘ทุกอย่าง’...ทั้งหมดเลยไม่ใช่เหรอ?”
แค่นึกย้อนไปช่วงเวลาที่โดนหนุ่มสถาปัตย์เอาเปรียบครั้งแล้วครั้งเล่า อดีตเดือนบริหารก็อดหน้าขึ้นสีไม่ได้
“พี่พลายเป็นเด็กมีมรรยาทนะขอรับ
หาได้ชอบละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของพ่อฌอนไม่”
“รู้สึกเหมือนโดนด่าว่าเสือกเลยแฮะ!”
“พี่พลายไม่ได้ตั้งใจขอรับ
แค่ต้องการอธิบายเท่านั้นขอรับ”
“พอ...พอเลย! ไม่ต้องอธิบายแล้ว
ยิ่งพลายพูด...ฉันก็ยิ่งรู้สึกแย่...
.
...แล้วทำไมอยู่ๆถึงยอมออกมาคุยกับฉันล่ะ?
ทำไมไม่ไปอยู่กับฌอน?”
“ฮ้าววววววววว!... อาห์ ท้องฟ้าวันนี้ช่างสดใสดีเหลือเกิน...
.
...อากาศช่างเหมาะแก่การออกเดินทางไปยังมรกตนครเสียจริงๆ”
แฝดน้องซึ่งเดินแจกจ่ายรอยยิ้มเรี่ยราดให้กับทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นคน ต้นไม้ หรือแม้กระทั่งละอองฝุ่นในอากาศ
ถ่ายทอดความรู้สึกเบิกบานในหัวใจออกมาเป็นถ้อยคำขณะก้าวเข้ามาในถ้ำในสภาพเหงื่อโซมกาย
ประโยคดังกล่าวทำให้เส้นขนตามเรือนร่างของผู้ฟังร่างบางตั้งเกรียวกราวได้อย่างน่าอัศจรรย์...
อิ๊กยอมรับเลยว่า
หากเปลี่ยนเป็นการก่นด่าว่ากล่าวด้วยถ้อยคำหยาบคาย หรือการฮัมเพลงใต้ดินที่เต็มไปด้วยคำสบถยังจะเข้ากับบุคลิกนิ่งๆโหดๆของฌอนมากกว่าความสดใสเจิดจ้าจนตาพร่าขนาดเทเลทับบี้ยังต้องอายอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้เสียอีก
“นี่แหละขอรับตัวต้นเหตุ”
“!!!!!!!!!!”
ยัง! มันยังไม่ใช่ที่สุดของแจ้!!
ประโยคชักชวนสุดร่าเริงพร้อมใจความน่าฉงน
กับหน้าตาสุดทนและคำอธิบายสั้นๆของกุมารพลาย
เป็นเพียงแค่การเซย์ไฮเบาๆของหายนะเท่านั้น
ของจริงคืออากัปกิริยา และแววตาที่แปลกไปของแฝดน้องนั่นตังหาก
ทั้งหมดที่จาระไนมานั้น
ทำให้อดีตเดือนบริหารรู้สึกราวกับว่า... ร่างที่เพิ่งเดินกลับเข้ามาในถ้ำแห่งนี้ไม่ใช่ฌอน...หนุ่มสถาปัตย์หัวจุกที่อคิราเคยรู้จักเลยแม้แต่น้อย
“อรุณสวัสดิ์”
หนุ่มสถาปัตย์เอ่ยทักร่างเล็กที่ค่อยๆยันตัวลุกขึ้นจากถุงนอนที่ใช้ปูต่างเสื่อแล้วเดินเตาะแตะมายังข้างๆเตาไฟที่เขานั่งเฝ้าเติมเชื้อฟืนเพื่อไล่ความเหน็บหนาวของช่วงเช้าให้หมดไป
อยู่ดีๆสายตาคมของอีกฝ่ายที่จ้องมองเขาไม่วางก็ทำให้กังฟูรู้สึกสะท้านอายขึ้นมาเสียเฉยๆ
ผลลัพธ์เลยออกมาในรูปการตอบคำถามแบบสงวนท่าทีโดยไม่มีสายตาหรือการแสดงสีหน้าเกรี้ยวกราดแถมให้เหมือนทุกทีที่เขาชอบปั้นหน้าใส่อีกฝ่ายเป็นประจำ
“เอ่อ...
อรุณสวัสดิ์” กรกฏตอบพลางลูบผมให้เข้าที่เข้าทาง...
เอาจริงๆ
เขาก็ไม่ได้อะไรกับทรงผมตัวเองนักหรอก...แถมยังไม่ได้อยากดูพิเศษในสายตาอีกฝ่ายสักเท่าไร
แต่ก็ไม่อยากปล่อยตัวให้ดูทุเรศเกินไป
เดี๋ยวคนมองจะเสียสายตาไปเปล่าๆ
“เมื่อคืนนอนหลับไหมครับฟู?”
ดวงตาคมจับจ้องใบหน้าของกังฟูด้วยความตั้งอกตั้งใจ ในขณะที่อีกฝ่าย...
เริ่มจะหายใจติดขัดพลางตั้งข้อสงสัย... ทำไมอีกฝ่ายถึงถนัดหาเรื่องทำให้เขาตื่นเต้นได้เสมอเลยนะ?!
“...ก็ดี...”
กรกฏอ้อมแอ้ม
“กินกาแฟก่อนสิ...
เต๋อต้มเอาไว้ให้แล้ว” หนุ่มร่างหมีตบเบาๆลงตรงที่นั่งข้างๆตัวพร้อมนำเสนอหม้อต้มมาม่าเมื่อวาน
ที่วันนี้ผันตัวมาเป็นกาต้มกาแฟหอมฉุยไปเสียแล้ว
“กาแฟ?...
มีกาแฟด้วยเหรอ?” ร่างเล็กตาโต พลางทำจมูกฟุดฟิดระหว่างสูดดมกลิ่นอ่อนๆของกาแฟที่โชยออกมาจากหม้อ
และแก้วกระดาษในมือเต๋อ
“ครับ...
กล้วยก็มีครับ” หน้าตาประหลาดใจของหนุ่มวิศวะทำให้ตรินเจาะลึกลงรายละเอียด “เมื่อเช้าเต๋อออกไปเดินดูที่ทาง
ก็เจอกล้วยสุกอยู่เครือนึง เลยตัดเก็บมาให้พวกเรากินกันเป็นข้าวเช้า...
ฟูกินได้ใช่ไหมครับ?”
“อืม...
กินได้ กินได้หมดน่ะแหละ” กรกฏรับคำง่ายๆ แม้จะยังทึ่งกับความใส่ใจในเรื่องเล็กๆน้อยๆของอีกฝ่ายอยู่ไม่หายก็เถอะ
แต่คิดไปคิดมาก็อดสงสัยไม่ได้...กล้วยลูกอวบเครือนี้...
มาจากส่วนไหนของป่ากันนะ?
ต้องแบกมาไกลหรือเปล่า?... ถ้าไกล อีกฝ่ายต้องตื่นนอนออกไปตัดมาตั้งแต่กี่โมง?
“แล้วมึงล่ะ?
ทำไมตื่นเช้า? นอนไม่หลับเหรอ?”
“เปล่าครับ
เมื่อคืนเต๋อนอนหลับสนิทสุดๆ...
.
...แต่ตอนฟ้าใกล้สางดันเกิดรู้สึกตัวเพราะทนกลั้นฉี่เอาไว้ไม่ไหว
สุดท้ายก็ต้องเลยลุกไปฉี่จนได้...
...ไปๆมาๆ
เลยเดินดูโน่นนี่จนได้กล้วยติดมือมานี่ยังไงล่ะครับ”
“กูถามนิดเดียว
ตอบเสียยาวเลยนะ” กรกฏหลุดปากเหน็บเพราะหมั่นไส้ใบหน้าเปื้อนยิ้มของอีกฝ่ายขึ้นมาตงิดๆ
แต่หนุ่มร่า
งหมีกลับยิ่งออกอาการระรื่นชื่นบาน
“ตอบสั้นๆ
เดี๋ยวฟูจะยิ่งห่วงเต๋อไปกันใหญ่... จริงไหมครับ?”
“กูเปล่าห่วงเสียหน่อย! ถามเฉยๆเอง!!” พอโดนจับไต๋ได้ พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยจึงบอกปัดเสียงฉุนทั้งที่ไม่จำเป็นก่อนจะตัดช่องน้อยแต่พอตัวไปดื้อๆ
“กูไปฉี่ดีกว่า...แม่ง ปวดฉี่ฉิบหาย”
“หึ
หึ หึ... ก่อนฉี่ก็ไหว้เจ้าป่าเจ้าเขาก่อนด้วยนะครับ” เต๋อเอ่ยกลั้วหัวเราะ
เพราะอีกฝ่ายยิ่งพูด...ก็ยิ่งปิดอาการหน้าแดงเอาไว้ไม่มิด
“ไม่ต้องมาสอน!” กังฟูพ่นไฟใส่หนุ่มร่างหมีค่าที่โดนอีกฝ่ายไล่ต้อนไม่เลิกรา
“เปล่าสอน...
เป็นห่วงฟูเฉยๆตังหากล่ะครับ”
“พูดมาก!!” ร่างเล็กกระแทกเสียงแล้วเดินย่ำเท้าหนักๆลงจากกระท่อมไปทันทีที่พูดจบ
ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่คำพูดลอยๆของหนุ่มผมยาวที่นอนหันหลังให้เตาไฟดังกระทบกระดูกค้อนทั่งโกลนของเต๋อพอดิบพอดี
“ชักจะเกินหน้าเกินตาไปหน่อยแล้วมั้ง”
ต่อให้ด้วงไม่หันมาสบตา
หนุ่มสถาปัตย์ที่นั่งจิบกาแฟร้อนอยู่เงียบๆก็บอกได้ว่าคนที่ค่อยๆเปลี่ยนอิริยาบทเป็นการนั่งหันหลังให้เขาอยู่นั้นดูไม่ค่อยจะสบอารมณ์สักเท่าไร...
ใจคออีกฝ่ายจะไม่เอ่ยประโยคแรกของวันที่มันจรรโลงใจกว่านี้สักหน่อยเหรอ?
หนักแน่นกับจุดยืนจนไม่สนมารยาทแบบนี้มันน่าแหย่ให้เสียอาการจริงๆ
“หึ! ช่วยไม่ได้... มึงเสือกอยากทำตัวเป็นอีแอบเองนี่หว่า”
“นายคงลืมไปแล้วใช่ไหมว่าเราเป่าหูฟูได้”
สุดท้าย... ร่างสูงใหญ่ของหนุ่มผมยาวก็มายืนเท้าเอวฟาดสายตาใส่เด็กต่างคณะอย่างไม่เห็นหัว
“ถึงฟูจะฟังมึง
แต่มึงก็รู้นิว่า...คำพูดมึงทำอะไรหัวใจฟูไม่ได้...
.
...เพราะถ้ามึงทำได้...
ป่านนี้ฟูคงไม่เห็นมึงเป็นเพื่อนอยู่แบบนี้หรอก!!” ทั้งคำพูดทั้งสีหน้าและแววตาตอกย้ำเจตนาเย้ยหยันของเต๋อได้เป็นอย่างดี
“ถึงฟูจะยังไม่รู้ตัว
แต่สุดท้าย...คนที่ฟูเลือกก็ต้องเป็นเรา!” ด้วงไม่วายเถียงแม้จะเจ็บปวดกับบทสนทนาของกังฟูกับเต๋อที่เพิ่งได้ยินไปก่อนหน้าอยู่ไม่น้อย...
เขาจะยอมถอยไม่ได้เป็นอันขาด!
ทว่าอีกฝ่ายก็ดูจะไม่วางมือง่ายๆเช่นกัน
“แต่กว่าจะถึงวันนั้น
กูกับฟูอาจจะตกลงเป็นแฟนกันไปแล้วก็ได้...
.
...ส่วนมึงก็จะกลายเป็นแค่เพื่อนสนิทที่แอบรักฟูอยู่ห่างๆไปตลอดชีวิตเท่านั้น”
“นายนี่มั...
“มึงตื่นแล้วเหรอด้วง?...
มา! กินกาแฟกัน” ระฆังยุติการโต้วาทีดังขึ้นทันทีที่กังฟูเดินผ่านประตูกระท่อมเข้ามาหาสองหนุ่ม
จนด้วงจำต้องกลืนประโยคต่อปากต่อคำลงคอไปโดยเร็วก่อนจะตอบรับคำชวนของร่างเล็กด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“อืม
เอาสิ”
“พวกคุณคือคณะเดินทางที่อยากจะไปตามหาสมบัติพระอุมากับผมใช่ไหมครับ?”
แฝดน้องภาคเอ็มซีประจำงานอีเวนท์ธีมเอาใจเหล่าคุณแม่และเด็กวัยอนุบาลยอมลดดีกรีความร่าเริงลงนั่งกับพื้นเพื่อคุยกับสมาชิกผู้ร่วมเดินทางด้วยสายตามุ่งมั่น
“นะ
นะ...นาย นายเป็นใคร?” อดีตเดือนบริหารตั้งคำถามด้วยความสะพรึงกลัวจากก้นบึ้งของจิตใจ...
ถึงหน้าตา
รูปร่าง น้ำเสียง และกลิ่นตัวจะใช่...
แต่ทำไมอคิราถึงรู้สึกไม่สนิทใจราวกับว่า
อีกฝ่ายเป็นหน่วยข่าวกรอง ไม่ก็เคจีบี เอฟบีไอ ซีเอสไอ เอชบีโอ ทีโอทีที่สวมรอยเป็นฌอนเพื่อตลบหลังต้อนให้เขายอมจำนนจนมุมอย่างไรก็ไม่รู้
“ผม...
แวร์ซายแห่งทิพรสนครครับ”
อีกฝ่ายเอ่ยด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ...
ถ้าอคิราไม่ได้เข้าใจผิดไปเอง
ดูเหมือนเมื่อกี๊คนพูดจะเชิดหน้ารั้งปลายจมูกขึ้นชี้ฟ้าราวซิมบ้าประกาศความเป็นเจ้าป่าอยู่เหนือแง่งหน้าผาก็ไม่ปาน
แล้วที่เพิ่งพูดออกมานั่น...
คิดดีแล้วใช่ไหม? ไม่ได้พี้กัญชาหรือเคี้ยวใบกระท่อมมาก่อนแน่ๆจริงๆน่ะหรือ?!!
“ห๊ะ?! ไหนลองพูดอีกทีซิ...นายเป็นใครนะ?!!!”
“ผมชื่อแวร์ซายครับ”
คนพูดทำท่าคล้ายจะลูบเคราล่องหนของตนเพื่อเสริมบารมีผู้มีของดีติดตัว ก่อนจะยกยิ้มทำหน้าปริ่มเปรมเอมจิตแล้วว่าต่อ
“หึ หึ หึ... ถึงจะเป็นชื่อในวงการ
แต่มันก็บอกอะไรได้หลายอย่าง...
.
.
...ถามคุณดีกว่า...
...พอฟังชื่อผมแล้ว
คุณนึกถึงอะไรครับ?”
“ทำไมฌอนถึงกลายเป็นคนพูดจาไม่รู้เรื่องแบบนี้ล่ะ?
พวกเราเอาไงกันดีล่ะพลาย?” อคิราจูนกลับเข้าสู่โหมดนินทาด้วยจิตพลางกลอกสายตาไปมาเพื่อมองหน้ากุมารพลายสลับกับแวร์ซายแห่งทิพรสนครเป็นพักๆ
เด็กวิเศษที่รู้เห็นความเคลื่อนไหวทั้งหมดมาตั้งแต่เมื่อคืนจึงแนะวิธีรับมือเฉพาะหน้าให้อดีตเดือนบริหารแก้ปัญหาไปพลางๆ
“คนน่ารักก็ลองเล่นด้วยไปพลางๆสิขอรับ...
.
...เราจะได้รู้กันไปว่า...
วิญญาณที่เข้าสิงร่างพ่อฌอนในเพลานี้เป็นใคร มีพื้นเพอย่างไร...
...ทีนี้
การจัดการวิญญาณที่สิงพ่อฌอนอยู่นี่ก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายดายอย่างไรล่ะขอรับ” ดวงตากลมโตของหนุ่มบริหารแทบจะถลนออกจากเบ้ากับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน
“นี่มันเรื่องอะไรกัน? วิญญาณ?
วิญญาณอะไร?! แล้วใครสิง...สิงใคร?!!!”
“เรื่องนั้นเอาไว้เดี๋ยวพี่พลายจะสาธยายให้คนน่ารักฟังอีกทีนะขอรับ...
.
...แต่ตอนนี้...รีบตอบคำถามโดยเร็วเถิดขอรับ
ไม่เช่นนั้นวิญญาณดวงนี้อาจจะสงสัยเอาได้นะขอรับ”
“กะ..กะ...
ก็ได้”
“อืม...ชื่อนายเหมือน
เหมือน...เหมือนแยกแคราย แยกที่รถติดนานๆน่ะ” คำตอบส่งเดชของอคิราทลายความมั่นหน้าของแวร์ซายได้อย่างรุนแรง
“โธ่...คุณ!!
ใครมันจะไปอยากชื่อเหมือนสี่แยกกันล่ะครับ...
.
...ไม่เอาสิ
ทายใหม่นะครับ...
...อ่ะ! คราวนี้ผมใบ้ให้นิดนึงก็ได้...
...ตอนนี้เราอยู่ในป่าใช่ไหมครับ
มีต้นไม้ มีภูเขา มีเรื่องราวผจญภัย... มีสัตว์ร้ายและเรื่องลี้ลับ...
...ที่สำคัญ...ยังมีเด็กหนุ่มผู้มีหน้าตาผิวพรรณงดงามผิดมาดเด็กลูกหาบบ้านป่าที่โผล่มาแบบไร้คำอธิบาย...
...และเมื่อไรก็ตามที่เกิดเหตุฉุกเฉิน
เด็กหนุ่มผู้เต็มไปด้วยความลับมากมายคนดังกล่าวกลับสามารถแสดงฝีไม้ลายมือด้านการต่อสู้และเอาตัวรอดได้อย่างยอดเยี่ยมจนน่าตกใจ...
.
.
...ฟังกิตติศัพท์มาเสียขนาดนี้
คุณคงจะพอเดาออกแล้วใช่ไหมครับว่าบุคคลที่ผมกำลังพูดถึงอยู่นั้นเป็นใคร...
...ซึ่งคนๆนั้นคงจะเป็นใครไม่ได้...
...นอกจาก!...
...นอกจาก!!!!...” แฝดน้องในโหมดแวร์ซายลุ้นคำตอบจนหน้ายู่...
แม้จะรู้ทั้งรู้ว่า
คนถามต้องการฟังสิ่งใด เนื่องด้วยคำใบ้ชี้ชัดคุณลักษณะของโจทย์เอาไว้เป็นฉากๆ
แต่เพราะยังรู้สึกอยากแกล้งวิญญาณเร่รอนที่สิงร่างฌอนให้หนำใจเสียก่อน
อดีตเดือนบริหารจึงออกอาการยึกยักยอกย้อนพร้อมกับตีหน้าซื่อตาใสใส่แวร์ซายเสียอย่างนั้น
“อินเดียน่าโจนส์!!” อคิราตอบเสียงดังฟังชัด
“โอ๊ยคุณ!! ถามหน่อยเถอะ... ตลอดชีวิตที่ผ่านมา คุณไม่เคยอ่านสุดยอดวรรณกรรมอันเลื่องลือซึ่งมีชื่อชุดว่า
‘เพชรพระอุมา’ โดยท่านพนมเทียนเลยเหรอครับ?” แวร์ซายถามด้วยน้ำเสียงตำหนิติเตียนพร้อมกับแสดงสีหน้ารับไม่ได้อย่างโจ่งแจ้ง
จนอิ๊กเผลอพ่นลมหายใจแรงจนปีกจมูกแทบหลุดก่อนจะถามกลับด้วยน้ำเสียงติดฉิว
“เคย
แล้วมันเกี่ยวกับนายตรงไหนล่ะ?”
“ก็ผมเนี่ยะแหละ...
แวร์ซาย หรือที่ใครๆในวงการต่างรู้จักกันในนาม
แฟนพันธุ์แท้แงซายแห่งมรกตนครยังไงล่ะครับ” เป็นอีกครั้งที่วิญญาณในร่างแฝดน้องทำท่าโอหังอวดดีใส่อดีตเดือนบริหาร
แต่ยังไม่ทันที่อคิราจะรู้สึกชังน้ำหน้าฌอนในโหมดนี้ไปถึงไหนต่อไหน
กุมารพลายก็ดึงความสนใจของร่างบางไปเสียก่อน
“แงซายคือผู้ใดกันขอรับ?”
“ตัวละครหนึ่งในนิยายชุดที่เกี่ยวกับการผจญภัยในป่าน่ะ”
“อย่างนั้นเองดอกหรือขอรับ?”
“อืม
จะเอายังไงกับเจ้าแวร์ซายคนนี้ดีกันล่ะเนี่ย? ปวดหัวชะมัด! ทำไมถึงต้องมีแต่เรื่องยุ่งๆด้วยก็ไม่รู้?!!” ความคิดของอคิรากำลังสะเปะสะปะตามอารมณ์ที่เดือดพล่านเพราะเจ้าตัวชักจะรำคาญวิญญาณไม่ได้รับเชิญจนเริ่มจะทนไม่ไหว
“ใจเย็นๆก่อนนะขอรับคนน่ารัก
อาจจะไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงก็ได้ขอรับ...
...เอาเป็นว่า
ตอนนี้...คนน่ารักกินข้าวเช้าก่อนดีไหมขอรับ
พ่อฌอนก็จะได้กินอะไรรองท้องเสียหน่อยด้วย”
“อืม
เอางั้นก็ได้”
“ฉันว่า
พวกเรากินข้าวเช้ากันก่อนเถอะนะ ฉันหิวแล้วล่ะ” หนุ่มบริหารกล้ำกลืนความไม่พอใจเอาไว้ข้างในแล้วส่งยิ้มแกนๆให้อีกฝ่าย
“ดีครับ...
ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวผมออกไปล่าสัตว์สักครู่นะครับ คุณจะได้มีอาหารเช้ากิน” วิญญาณแวร์ซายในร่างฌอนตั้งท่าจะลุกขึ้นแต่กลับโดนอคิราห้ามเอาไว้เสียก่อน
“อย่าดีกว่า
กินกล้วยนี่ก็ได้...ฉันไม่อยากให้นายฆ่าสัตว์ตัดชีวิตโดยไม่จำเป็นน่ะ” อดีตเดือนบริหารอ้างข้างๆคูๆ
เพราะดูท่าทางก็รู้ว่า หากเขาขืนบ้าจี้รออีกฝ่าย...คงได้ตะบันน้ำกินไปก่อนแน่ๆ
“ก็ดีครับ...
พอดีผมไม่ได้พกหน้าไม้หรือมีดสั้นติดมาเสียด้วย กว่าจะทำบ่วงดักสัตว์เสร็จ...คุณอาจจะหิวจนไส้ขาดไปก่อนก็ได้”
แวร์ซายยักไหล่หลังเอ่ยยอมรับโดยง่าย ซึ่งท่าทีไม่สำเหนียกศักยภาพที่แท้จริงของตัวเองของผู้พูดทำให้อิ๊กตัดบทฉับไวก่อนจะหลุดปากผรุสวาทใส่อีกฝ่ายให้กระเจิดกระเจิง
“รีบๆกินเถอะนะพ่อคุณ
ฉันขอร้อง”
“โอ๊ยยย! ฉันอยากจะบ้า!!!”
“อดทนหน่อยนะขอรับคนน่ารัก”
“ฮึ่ย!! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ยะ?!!!!” อดีตเดือนบริหารบ่นพลางเคี้ยวกล้วยน้ำว้าอย่างรุนแรงเพื่อระบายความอึดอัด
“แล้วเราจะกลับบ้านไอ้บูบู้กันยังไง?”
กังฟูถามขึ้นระหว่างที่ทั้งหมดตั้งขบวนอยู่ตรงด้านหน้ากระท่อมหลังน้อยหลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ
“เต๋อว่าเราเดินไปตามทางนี้ก็แล้วกันครับ”
หนุ่มร่างหมีผู้เป็นที่พึ่งหลักๆของชาวคณะตัดสินใจ แต่เพราะทางที่เต๋อแนะนำ เต็มไปด้วยเศษกิ่งไม้
ใบไม้แห้งจนแทบมองไม่เห็นพื้นดินแถมยังเป็นทางชันไหล่เขาอีกต่างหาก หนุ่มผมยาวจึงออกหน้าทักท้วงแทนร่างเล็กผู้ไม่มีปากเสียงในเรื่องนี้ทันที
“แต่เมื่อวานเราไม่ได้เดินทางนี้นี่นา”
ด้วงแย้งพลางชี้ไปยังทางเดินเก่าที่กลายสภาพเป็นลำธารขนาดย่อมไปในชั่วข้ามคืน
“มึงก็เห็นไม่ใช่เหรอกะเทย
ว่าทางเมื่อวานมันกลายเป็นทางน้ำไหลไปแล้ว...
.
...ถ้าเรายังขืนดันทุรังเดินเลาะไปตามทางเก่า
เราอาจจะล้มหัวฟาดไปก่อนก็ได้...
...ไปตามทางใหม่ที่น่าจะเดินง่ายว่า
คงทำให้เราพอเดินได้ระยะมากกว่าเดินย้อนกลับออกไปตามทางน้ำไหลนั่นแน่ๆ” เต๋อให้เหตุผลแก่อีกฝ่ายไปตามความจริงที่ตนประสบหลังจากสำรวจเปรียบเทียบเส้นทางไปเมื่อตอนย่ำรุ่ง
แม้สภาพทางเดินที่เขาแนะนำจะดูเป็นอุปสรรคในการเดินเท้าของพวกเขาในแรกเริ่ม
แต่เมื่อไต่ขึ้นเขาไปได้สักพัก
พื้นผิวจะเรียบขึ้นผิดกับทางเส้นเก่าที่พวกเขาใช้เมื่อวาน ที่ในวันนี้กลายร่างเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ไปเสียแล้ว
“แต่ฟู... / มึงไม่ต้องเป็นห่วงกูไปหรอกด้วง! กูเดินได้” กังฟูตัดรำคาญ...
มันจะลำบากสักแค่ไหนกันเชียว แค่เดินไต่ขึ้นทางชันเพื่อหาทางกลับไปบ้านไอ้บูบู้ให้ได้
“อืม...
ถ้าฟูว่าแบบนั้น พวกเราเดินไปตามทางที่เต๋อว่าก็ได้”
“หึ! ก็แค่นั้น!” เต๋อสรุปโดยไม่วายหันไปส่งยิ้มมุมปากเยาะเย้ยอริหัวใจหมายเลขหนึ่งของตนก่อนจะออกเดินนำทางทั้งสามไปตามเส้นทางใหม่
สุดท้าย...ด้วงก็จำต้องก้มหน้ายอมรับการตัดสินใจของกรกฏพลางออกเดินตามแผ่นหลังเล็กๆที่เขาเฝ้ามองมาตลอดหลายปีโดยไม่เคยปล่อยให้คลาดสายตาเลยสักวินาที
พลางข่มความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่อัดแน่นคล้ายกับลูกโป่งที่ค่อยๆอัดก๊าซจนพองขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่มีที่สิ้นสุดให้เบาบางลง
กระนั้น
เมื่อทั้งสามเดินลัดเลาะไปตามทางได้ไม่นาน
ร่างเล็กกะทัดรัดกลับก้าวพลาดจนลื่นล้มลงนั่งจุมปุ๊กกองกับพื้น
แรงกระแทกและความรู้สึกแปล๊บที่ข้อเท้าทำให้กังฟูเผลออุทานออกมาเบาๆ
“โอ๊ย!”
“ฟูครับ!!! / ฟู!!!!” ปฏิกิริยาตอบสนองของพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยเมื่อครู่ทำให้เจ้าของร่างสูงใหญ่ทั้งสองต่างพุ่งเข้าใส่กังฟูด้วยความเป็นห่วง ด้วงเข้าช่วงชิงพื้นที่ข้างกายคนที่ยังนั่งสูดปากอยู่กับพื้นอย่างว่องไว
ก่อนจะหันไปขึ้นเสียงใส่หนุ่มสถาปัตย์ด้วยความเกรี้ยวกราด
“ถอยไปเลย!.. นายไม่ต้องมายุ่ง!!”
“มึงนั่นแหละถอยไปกะเทย
กูจะดูข้อเท้าให้ฟู!” เต๋อไม่ละความพยายาม แต่กลับโดนหนุ่มผมยาวผลักอกให้พ้นทางไปเสียก่อน
“นายนั่นแหละที่เป็นตัววุ่นวาย! ถอยไป!!...
...เพราะนายคนเดียว! ทางเดินบ้าบออะไรก็ไม่รู้...
...ดูซิเนี่ย!...เดินก็เดินยาก แถมยังลื่นอีกตังหาก!...
.
...ฟู...
เรากลับไปเดินทางน้ำกันเถอะ อย่างน้อยๆก็น่าจะเดินง่ายกว่าทางนี้” ด้วงนั่งยองๆพลางโน้มน้าวเพื่อนรักที่ยืดเหยียดสลับกับหมุนปลายเท้าเพื่อทดสอบสถานะทางร่างกายของตน
กังฟูไม่ได้ตอบอะไรหากแต่จิ๊ปากเบาๆคล้ายขัดใจ เต๋อจึงรีบทำความเข้าใจกับคนที่เป็นเดือดเป็นร้อนแทนกรกฏจนน่ารำคาญโดยไม่รีรอ
“ด้วง...
ถ้ากูเลือกได้ กูก็ไม่ได้อยากพามึงกับฟูมาเดินลำบากแบบนี้หรอก...
...แต่มึงลองคิดดูสิว่า
ถ้าพวกเราเดินสวนทางน้ำไปเรื่อยๆ แล้วเกินน้ำพัดทางจนเปลี่ยนรูปไปหมด พวกเราจะไม่ยิ่งหลงทางไปกันใหญ่เหรอ?...
.
...ทางนี้มันแค่วิบาก
แต่มันเป็นทางเดินเท้าที่มีร่องรอยการใช้งานชัดมาก...
...ถ้าเดินตามทางนี้ไปเรื่อยๆ
ยังไงพวกเราก็ไม่น่าจะหลงหลุดไปไหนไกลๆแน่ๆ”
แม้จะไม่แน่ใจนักว่าหนทางที่เลือกจะนำพวกเขากลับไปยังจุดเริ่มต้นได้หรือไม่
แต่การจะกลับไปใช้ทางเดินเก่าที่ดูไม่ปลอดภัย...เต๋อก็ไม่อาจเอาชีวิตของทั้งสามไปเสี่ยงเพื่อพิสูจน์หาความจริงได้เหมือนกัน
กระนั้น...อคติและความน้อยใจหลังจากได้เห็นทีท่าโอนอ่อนของเพื่อนรักที่แสดงต่อคู่แข่งหัวใจตลอดช่วงเวลาที่ทั้งหมดหลงป่ามาด้วยกัน
กลับผลักดันให้หนุ่มผมยาวทำหน้าที่ฝ่ายค้านได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
“ฟู...
อย่าไปฟังนะ ฟูก็เห็นกับตาแล้วไม่ใช่เหรอว่าทางมันชันแล้วยังเดินยากอีกต่างหาก...
.
...เรากลับไปเดินทางเก่าเถอะฟู
อย่างน้อยๆฟูก็ไม่ต้องล้มจนขาเจ็บแบบนี้” วิญญูเกลี้ยกล่อมพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน
ทว่ากังฟูดันกลายเป็นก๊าซก็อกสุดท้ายที่เร่งให้ลูกโป่งบรรจุความน้อยใจของด้วงโป่งป่องพองตัวขึ้นมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
“ไม่เอา! มึงก็เห็นไม่ใช่เหรอว่า
ขนาดเป็นทางราบไม่มีน้ำขังแบบทางนี้ยังลื่นมาก แล้วไอ้ทางเดินน้ำเชี่ยวขนาดนั้น
มันจะเดินได้สบายไปกว่านี้ได้ยังไงกัน?...
.
...แค่นี้
ไกลหัวใจจะตายห่า...
...อย่าทำเหมือนกูบอบบางกว่าผู้หญิงนักเลยว่ะด้วง กูไม่ได้เป็นแบบมึงนะ!!” กรกฏกระแทกหางเสียงเหวี่ยงใส่เพื่อนด้วยระดับความรำคาญถึงขีดสุด...
...อย่าทำเหมือนกูบอบบางกว่าผู้หญิงนักเลยว่ะด้วง กูไม่ได้เป็นแบบมึงนะ!!” กรกฏกระแทกหางเสียงเหวี่ยงใส่เพื่อนด้วยระดับความรำคาญถึงขีดสุด...
ก็เห็นๆกันอยู่ว่าไม่อาจเอาแน่เอานอนอะไรกับทางเดินในป่าได้
แล้วอีกฝ่ายจะเถียงเอาเป็นเอาตายไปเพื่ออะไร?
แล้วที่ออกตัวแรงแสดงทีท่าว่าเป็นห่วงเสียมากมายนั่นน่ะ
เพราะนั่นยิ่งทำให้เขาดูอ่อนแอเป็นสาวน้อยไปกันใหญ่...ใครมันจะไปยอมได้ล่ะวะ?!!
โพล๊ะ!...
และแล้วแววตา
สีหน้า และคำพูดของร่างเล็กก็ทำให้ลูกโป่งในอกด้วงระเบิดไม่เหลือซาก
เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่หนุ่มผมยาวตะเบ็งเสียงใส่เพื่อนรักโดยไม่รู้ตัว
“เราแค่เป็นห่วงฟู
เราไม่ได้อยากทำให้ฟูไม่พอใจเสียหน่อย!” สายตาเจ็บปวดของคนพูดทำให้ประโยคยิ่งฟังดราม่าไปกันใหญ่...
การโต้เถียงด้วยอารมณ์ของเพื่อนรักทั้งสองทำให้บรรยากาศหนักอึ้งขึ้นทันตา
กังฟูจ้องหน้าด้วงไม่วางพลางไตร่ตรองถึงความผิดของตัวเองอย่างถี่ถ้วน
ในขณะที่คู่กรณีอีกฝั่งเบือนหน้ามองพุ่มไม้ข้างๆเพื่อสงบสติอารมณ์อย่างตั้งอกตั้งใจ
หนุ่มหน้าคมที่เห็นท่าไม่ดีจึงเข้ามาไกล่เกลี่ยสถานการณ์ให้คลี่คลายโดยเร็ว
“พวกมึงใจเย็นๆ
ค่อยๆพูดค่อยๆจากันก็ได้”
“มึงออกไปก่อนเหอะเต๋อ
ขอกูเคลียร์กับด้วงแป๊บนึง” กังฟูสั่งเสียงเข้ม แต่ตรินกลับทำได้แค่เกาเกรียนของตนแกรกๆด้วยไม่รู้จะทำตามบัญชาของอีกฝ่ายได้อย่างไร
ในเมื่อทั้งหมดติดแหง็กอยู่ตรงทางเดินไหล่เขา แล้วจะไปหาฉากกั้นบังตาหรือมุมสงบให้กังฟูได้จากที่ไหน?!
“ฟูจะให้เต๋อออกไปไหนได้อีกล่ะครับ?...
.
...คืบก็ป่า...ศอกก็ป่า
มันไม่ได้หาที่หลบง่ายๆอย่างที่ฟูว่าหรอกนะครับ”
“งั้นมึงยืนหันหลังแล้วปิดหูเอาไว้ด้วย
กูขอความเป็นส่วนตัวสักหน่อย” กังฟูสั่งส่งๆ...
มีบุคคลที่สามร่วมรู้เห็นการยอมรับผิด
และเอ่ยปากขอโทษด้วงของเขาจนได้...
แต่จะเป็นไร
แค่ปล่อยให้เต๋อรับฟังบทสนทนาครั้งนี้อีกคน ดีกว่าต้องทนโดนเพื่อนที่รักและหวังดีกับเขาที่สุดโกรธใส่ไปทั้งวันหลายเท่านัก
“ด้วง...
กูขอโทษ กูไม่ได้ตั้งใจจะว่ากระทบมึง... แต่มึงต้องเข้าใจและมีเหตุผลมากกว่านี้” กังฟูเอ่ยเนิบๆ “ก่อนอื่นเลย... กูไม่ได้เจ็บขนาดนั้น ที่กูล้มนี่เพราะว่ากูซุ่มซ่าม
ไม่ใช่เพราะทางมันเดินยาก มึงเข้าใจใช่ไหม?...
.
...ขาเคล็ดแค่นี้เรื่องเล็กจะตายห่า
ยมทูตไม่เล่นกูหรอกน่า...เชื่อดิ”
“แต่เราไม่อยากให้ฟูลำบากนี่”
ด้วงเถียงทันควัน
“แล้วกูลำบากตรงไหน?”
“ก็ทางเดินทางนี้มันต้องไต่เขา
แล้วรองเท้าฟูก็เป็นแค่แตะคีบ เต๋อก็รีบเดิน... ฟูจะไปไหวได้ยังไง?” น้ำเสียงหนุ่มผมยาวฟังร้อนรน
แค่ทนเห็นกังฟูลำบากนิดๆหน่อยๆเขายังทำไม่ได้
นับประสาอะไรกับการต้องเห็นฟูบาดเจ็บหรือไม่สบายใจและกายกันล่ะ?!
“แล้วมึงล่ะ
มึงเดินได้หรือเปล่า?”
ร่างเล็กยังไม่หยุดต้อน
“...ได้...
เราเดินได้” แม้จะไม่เข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายดีนัก แต่ด้วงก็ตอบคำถามของกังฟูแต่โดยดีไม่มีปิดบัง
“ถ้าอย่างมึงเดินได้
กูก็ต้องเดินได้...แถมกูยังต้องเดินได้คล่องกว่ามึงแน่ๆ
เพราะกูไม่ได้ตุ้งติ้งหรือไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่มึงเป็น นั่นแหละเหตุผลข้อที่สองของกู
ทีนี้มึงจะเข้าใจกูได้หรือยัง?”
“แต่!! / ไม่มีต่งไม่มีแต่แล้ว! หรือมึงอยากให้กูโกรธแล้วไม่คุยกับมึงอีกเลย...
กูทำให้ได้นะ” หนุ่มร่างเล็กยื่นคำขาดแล้วรวบตึงโดยไม่ปล่อยช่องให้เพื่อนได้ต่อรอง
เมื่อนั้น
คดีก็พลิกผันจนได้...
แทนที่จะตั้งหน้าตั้งตาออกอาการปั้นปึ่งใส่พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยได้นานกว่านี้
แต่พอเห็นสีหน้าถือดีของฝ่ายที่ง้อไม่นาน ด้วงก็ลนลานเปลี่ยนฝั่งมารับบทอ้อนวอนอีกฝ่ายแทบไม่ทัน
“ไม่เอา!... ฟูอย่าโกรธเราเลยนะ เราขอร้อง”
“เออ! กูไม่โกรธมึงหรอก
แต่มึงต้องไม่ทำตัวขี้โวยวาย เข้าใจไหม?” พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยได้ทีก็รีบสำทับเสียใหญ่โต
“ก็ได้”
“แล้ววันนี้มึงเป็นอะไร?”
กังฟูอดสงสัยไม่ได้ “ทำไมมึงดูไม่สดใสเลย?
นอนไม่หลับเหรอ? หรือว่าเป็นไข้?”
“อ๋อ...
เราเพลียๆนิดหน่อยน่ะ... นอนกลางป่านี่เนอะ จะให้ชินได้ยังไงกัน” ด้วงปดอย่างแนบเนียน
“ถ้างั้นก็ดี เต๋อ!หันกลับมาได้แล้ว” หนุ่มร่างหมีหมุนตัวกลับมาทันทีทั้งที่สองมือยังครอบอยู่บนหู...
ดูก็รู้ว่าแอบฟังอยู่เห็นๆ แต่แม้จะถูกจับได้
ตรินกลับไม่สนใจสายตาดุๆของหนุ่มวิศวะทั้งสองมากเท่ากับการเดินทางขากลับของพวกเขาทั้งหมดสักเท่าไร
“ฟูเดินไหวไหม?
ขี่หลังเต๋อกลับไปดีไหมครับ?
/
ไม่! กูจะขี่หลังด้วง!” หนุ่มสถาปัตย์เสนอตัว แต่ร่างเล็กกลับบอกปัดโดยไม่ต้องคิด
“ไหนฟูบอกว่าไม่ให้คนอื่นทำกับฟูเหมือนเป็นผู้หญิงยังไงล่ะครับ?”
เต๋ออดสงสัยไม่ได้
“กูไม่ได้ให้มันทำกับกูเหมือนผู้หญิง...
กูแค่ปวดขานิดๆต่างหากล่ะ กูขี่หลังมึงได้ใช่ไหมด้วง?” ร่างเล็กเอ่ยอย่างเอาแต่ใจ...
จริงๆแล้วข้อเท้าของเขานั้นไม่ได้บาดเจ็บ แต่เพราะไม่อยากให้ด้วงบ่นพร่ำเพรื่อร่ำไร
กังฟูจึงใช้ลูกอ้อนเข้าช่วยทำให้เพื่อนรักอารมณ์ดี
“ได้สิ!” หนุ่มผมยาวตอบรับโดยไม่เสียเวลาคิด ร่างสูงเปลี่ยนสู่ท่าเตรียมพร้อมรับน้ำหนักของร่างเล็กที่ตะกายขึ้นหลังอย่างช้าๆ
เมื่อทั้งสองอยู่ในท่าพร้อมออกเดิน พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยก็หยอกเย้าเพื่อนรักด้วยการหยิกแก้มด้วงเบาๆพลางพูดกระเซ้าด้วยรอยยิ้ม
“หายงอนกูได้แล้วนะคนสวย”
“หึ
หึ หึ... อือ ไม่งอนแล้ว” กลายเป็นว่าประโยคเมื่อกี๊ทำให้หนุ่มวิศวะทั้งคู่หลุดเข้าไปในโลกที่มีกันอยู่แค่สองคนในชั่วพริบตา
จนชายร่างหมีที่เดินอยู่ข้างหน้าจำต้องขัดด้วยน้ำเสียงสะดีดสะดิ้งชวนขบขัน
“เชอะ! งั้นเดี๋ยวฟูต้องเปลี่ยนมาขี่หลังง้อเต๋อด้วยนะ
เต๋อจะงอนแล้ว!” ว่าแล้วเต๋อก็เดินกระทืบเท้าไปยืนกอดอกหันหลังให้เพื่อนรักทั้งสองอยู่อีกมุมหนึ่ง
จนกังฟูอดอำนวยพรไม่ได้
“ปัญญาอ่อน!!”
“เต๋อไม่คุยด้วยหรอก
เต๋องอน!!”
“ปล่อยไอ้หมีบ้ามันไปเหอะด้วง...
เราสองคนไปกันเถอะ” ยังไม่ทันที่กังฟูจะพูดจบ ด้วงก็ออกเดินไปตามทางที่เต๋อแนะนำโดยไม่สนใจหนุ่มร่างหมีที่เล่นไม่เป็นเวลา
ทำให้หนุ่มสถาปัตย์ต้องกลับตัววิ่งตามทั้งสองแทบไม่ทัน
“โธ่ฟู!!... รอเต๋อด้วยสิครับ!!!” ตรินตะโกนไล่หลังพลางกวดสองหนุ่มเพื่อนซี้อย่างรวดเร็ว
“สกล...
นั่งพักอยู่ตรงนี้แหละ” แฝดพี่สั่งเพื่อนรักหน้าแว่นขณะที่ทั้งหมดกำลังนั่งพักเหนื่อยหลังจากออกเดินมาได้ราวๆเกือบชั่วโมง
“อ้าว! ทำไมล่ะครับพี่ฌาน? พี่ฌานจะไปไหน?”
“พี่ฌานจะไปรับพวกพี่เต๋อน่ะ”
“แล้วพี่ฌานจะรู้ทางได้ยังไงกันล่ะครับ...
พี่โป่งก็อยู่นี่ พี่ฌานจะไม่หลงเหรอ?” สกลอดถามออกมาไม่ได้
การจะปลีกตัวเดินป่าท่อมๆโดยไม่มีคนนำทาง ก็เท่ากับตอกตะปูปิดฝาโลงด้วยตัวเองอย่างไรอย่างนั้น
“ไม่ต้องห่วง...
เจ้าพ่อท่านส่งสัญญาณบอกทางให้พี่ฌานแล้ว” ฌานอธิบายแค่พอสังเขป...
ที่เขามั่นใจว่าตนเองไม่มีทางหลุดออกนอกวงโคจรของเส้นทางที่ถูกต้อง
เป็นเพราะเจ้าพ่อเล่นตั้งป้ายไฟล่องหนบอกทิศให้เขาได้อาศัยอ้างอิงก่อนเลี้ยวซ้าย
หรือ ขวาอยู่ตลอดทาง
เท่านั้นยังไม่พอ..
บางจุดยังมีกระดานข่าวอัพเดทสถานะของชาวคณะที่ยังหลงป่าคนอื่นๆให้อ่านอีกต่างหาก
“ให้ผมไปด้วยเถอะครับ
ผมไม่อยากแยกกับพี่ฌานเลย” หนุ่มหน้าแว่นเว้าวอน ทว่าแฝดพี่กลับไม่เห็นด้วย
“สกลนั่งอยู่ตรงนี้แหละ
เพราะอีกครึ่งชั่วโมงพวกของฌอนน่าจะผ่านมาพอดี
สกลจะได้ไม่ต้องเดินเยอะเกินไปด้วยไง... พี่ฌานไปก่อนนะ”
“เดี๋ยวครับพี่ฌาน”
“มีอะไรอีกล่ะสกล?”
ฌานยั้งตัวเองเอาไว้พลางหันกลับไปจับจ้องเพื่อนรักเพื่อค้นหาสาเหตุของการเอ่ยปากรั้งตนเอาไว้อีกครั้ง
ซึ่งสิ่งที่ได้ยินทำให้แฝดพี่ถึงกับคลี่ยิ้มกว้างด้วยความเอ็นดูเพื่อนหน้าแว่นของตน
“ระวังตัวด้วยนะครับ”
“ไม่ต้องห่วงพี่ฌานหรอก
ห่วงตัวเองเถอะ... สงบปากสงบคำผิดคาดเลยนะสองวันนี้” ฌานแซวสกลด้วยหวังให้อีกฝ่ายกลับมาร่าเริงเป็นปกติโดยเร็ว
ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำให้ร่างทรงหนุ่มผิดหวัง
“พี่ฌานเพิ่งรู้เหรือครับว่า
ความสุภาพนี่เนื้อแท้ของผมเลยนะครับ” สกลยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ จนฌานเบาใจก่อนจะทิ้งท้ายง่ายๆแล้ววิ่งเข้าป่าไปทันที
“หึ
หึ หึ... เดี๋ยวกลับไปเจอกันที่บ้านบ๊วยก็แล้วกัน”
“ครับ
เจอกันที่บ้านบ๊วย”
“นายดูเดินไม่ค่อยถนัดเลยนะ...
เป็นอะไรหรือเปล่า?” อคิราตั้งข้อสังเกตหลังจากแวร์ซายลื่นไถล พร้อมๆกับยื่นหน้าให้กิ่งไม้ฟาดเข้าเบ้าตาเป็นครั้งที่สามล้านห้าได้...
น่าทำวิจัยเสียจริงๆ...
หากเขาปล่อยให้วิญญาณตนนี้สิงร่างอีกฝ่ายไปนานๆ
ฌอนจะได้แผลกี่มากน้อยกันนะ?!
“อ๋อ! เปล่าหรอกครับ...
.
...ตามประสาพรานนำทางที่ดี
ผมต้องคอยสังเกตรายละเอียดของสองข้างทางเอาไว้ตลอด จะได้ป้องกันพวกเราจากสิงห์สาราสัตว์
หรืออันตรายร้ายแรงอื่นๆได้ยังไงล่ะครับ” แวร์ซายแก้ตัวน้ำขุ่นๆ... ไม่ต้องสงสัย
ตอนยังมีชีวิต แวร์ซายได้ฉายาหนอนหนังสือตัวเอ้ แต่เป๋เหลวเป๋วดิ่งลงเหวกับวิชาพลศึกษาเป็นที่สุด
บุญเท่าไรที่ไม่เดินสะดุดกิ่งไม้จนหน้าคะมำไปเสียก่อน
“มันต้องระวังจนเจ็บตัวขนาดนั้นเลยเหรอ?”
อดีตเดือนบริหารยังไม่หยุดแซะด้วยความหมั่นไส้ที่ทวีคูณยิ่งไปกว่าเดิม...
หนุ่มหน้าหวานแห่งบริหารมักจะอดรนทนฟังคำตอแหลได้ไม่นาน
เพราะหลังจากนั้น
ภูมิต้านทานความสตรอเบอรี่ที่ต่ำยิ่งกว่าอะไร ก็จะขับให้อคิราหน้ามืดจนกล้าหาเรื่องท้าตีท้าต่อยกับอีกฝ่ายไปเสียทุกที
“ผมไม่ได้เจ็บอะไรหรอกครับ...
แค่นี้ ไม่ระคายผิวของแวร์ซายหรอก” จนตอนนี้ วิญญาณเร่ร่อนก็ยังไม่รู้สึกตัวว่าตนเองใกล้จะถึงฆาตอีกหน
“อืม
จ๊ะ” คนฟังเบ้ปากพร้อมกับทำหน้าเหม็นเบื่อ ก่อนจะปรายหางตาเหลือบมองกุมารที่ชี้นิ้วไปยังท่อนไม้ที่ตกอยู่ข้างทาง
พี่พลายส่งสัญญาณบอกใบ้ให้อิ๊กรู้ว่า
อีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า...
ก็จะถึงเวลาโบกมือบ๋ายบายแวร์ซายแห่งทิพรสนครอย่างถาวรเสียที
อคิราจึงดำเนินการตามแผนที่ได้หารือกับเด็กวิเศษเอาไว้โดยไม่รอช้า
ร่างบางแสร้งปักหลักก่อนจะเรียกร้องความสนใจของคนเดินนำหน้าทันที
“อ๊ะ! นั่นใช่รอยเท้าของสัตว์หรือเปล่าน่ะนาย?”
ไม่รู้เป็นเพราะความสมจริงสมจังของท่าทางที่อิ๊กแสดงออก หรืออีกฝ่ายเชื่อคนง่ายด้วยไม่เดียงสาต่อโลก
แต่หลักฐานอุปโลกน์ก็ดึงความสนใจของแวร์ซายไปได้จริงๆ
“ไหนครับ?!!!”
“โน่นไง...
โน่นน่ะ... ตรงโน้นนนนน” อดีตเดือนบริหารชี้นิ้วส่งเดชไปยังทิศทางด้านหลังตนด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
ก่อนจะวิ่งไปฉวยท่อนไม้ขนาดพอเหมาะติดมือตามหลังแวร์ซายไปติดๆ
“คนน่ารักฟาดเลยขอรับ ฟาดให้เต็มแรงเลย”
“จะดีเหรอ?” อคิราลังเล เพราะหากเขาลงแรงหนักมือเกินไป...
ฌอนอาจถึงตายเพราะกระดูก้านคอเคลื่อน
แต่ดูเหมือนว่ากุมารทองจะคำณวนทุกอย่างเอาไว้เป็นอย่างดี
เพราะอีกฝ่ายส่งสีหน้ามั่นอกมันใจพร้อมคำพูดปลอบประโลมมาให้โดยไร้วี่แววแห่งความลังเล
“เชื่อพี่พลายเถิดขอรับ
รับรองว่าคนน่ารักได้กลับบ้านแน่ๆ ที่สำคัญ...
พ่อฌอนจะได้ไม่เป็นอันตรายไปมากกว่านี้”
“โอเค”
ทันทีที่ตั้งสมาธิได้
อคิราก็ฟาดปลายไม้ลงตรงท้ายทอยของแฝดน้องแบบเต็มรัก
เพียงวูบเดียวก่อนที่ร่างสูงหัวจุกของอีกฝ่ายจะล้มลง
ฌอนก็กลับลืมตาแล้วทรงตัวยืนได้เหมือนกับหุ่นยนต์บังคับวิทยุที่เพิ่งเปลี่ยนถ่านก้อนใหม่ยกเซ็ต
“เฮ่อ! ในที่สุดพี่พลายก็สามารถครองร่างของพ่อฌอนได้สำเร็จเสียที” กุมารในร่างฌอนปาดเหงื่อที่ไหลอาบใบหน้าพร้อมกับยิ้มกว้างให้กับความสำเร็จของแผนการทั้งหมด...
ในที่สุดก็ยึดกายหยาบของแฝดน้องคืนกลับมาได้เสียที
ซึ่งนับว่าดีกว่าคราวที่แล้วเยอะมาก...
เผลอไปเที่ยวเล่นเดี๋ยวเดียว
แต่ต้องเสียเวลารอสามวัน กว่าวิญญาณคุณป้าติ่งพระเอกลิเกคนนั้นจะยอมออกจากร่างฌอน
“พลาย?...
คราวนี้กลายเป็นพลายไปแล้วเหรอเนี่ย?” ถึงรอบนี้จะตกใจไม่เบา แต่ในแววตาของอิ๊กก็ฉายความรู้สึกโล่งอกให้เห็นได้อย่างชัดเจนเช่นกัน
“ขอรับ
พี่พลายย้ายมาสิงร่างของพ่อฌอนแทนวิญญาณของเจ้าแวร์ซายนั่นแล้วล่ะขอรับ” คำพูดคำจาของกุมารที่เพิ่งยืนยันความเข้าใจของอีกฝ่ายไปนั้น
ช่วยกระตุ้นความสมองของอิ๊กได้อย่างดีเยี่ยม
“เดี๋ยวนะ...
ฉันจำได้ว่า ฉันเคยคุยกับฌอนเวอร์ชันพูดจาขอรับ ขอรับแบบนี้มาก่อนนี่นา”
อดีตเดือนบริหารหรี่ตาจับผิดคู่สนทนาที่ยิ้มร่าเมื่อได้ยินข้อสังเกตของหนุ่มร่างบางเมื่อครู่...
บทจะคุยรู้เรื่อง ก็คุยรู้เรื่องขึ้นมาเสียเฉยๆเลยนะนี่
“นั่นไม่ใช่พ่อฌอนหรอกครับ
หากแต่นั่นเป็นวิญญาณของพี่พลายเข้าควมคุมร่างนี้แทนพ่อฌอนน่ะขอรับ”
“สรุปว่าฌอนเป็นอะไรกันแน่?
ทำไมถึงโดนนั่นโน่นนี่สิงได้เป็นว่าเล่นแบบนี้?” อิ๊กซักไซ้ไล่เลียงเพราะต้องการทำความเข้าใจคุณสมบัติพิเศษของสิ่งมีชีวิตที่ชื่อว่าฌอนโดยเร็วที่สุด
“พี่พลายว่า
เราเดินไปคุยกันไปดีไหมขอรับคนน่ารัก?...
.
...พี่พลายไม่อยากให้คนน่ารักหลงอยู่ในป่านานเกินไปน่ะขอรับ”
เด็กวิเศษเอ่ยชวน แล้วจึงเดินนำขบวนต่อทันที จนอคิราต้องวิ่งรี่ตามมาประกบข้างกายร่างสูงอย่างไม่มีทางเลือก
“พลายรู้ทางด้วยเหรอ?”
“ขอรับ...ไม่ต้องห่วงนะขอรับ...
พี่พลายไม่มีทางพาคนน่ารักหลงไปที่อื่นอย่างแน่นอน”
“ฉันไม่ได้ห่วง
ฉันทึ่ง...
.
...นึกไม่ถึงว่าฌอนจะมีอะไรพิเศษแบบนี้ไว้ให้ตื่นเต้นเยอะแยะไปหมด”
สีหน้าตื่นเต้นและสายตาแวววาว ยืนยันน้ำหนักของคำพูดที่อคิราเพิ่งแถลงไขได้ดีเสียจริงๆ...
คนอื่นอาจจะไม่ชอบ
รับไม่ได้ หรือกลัวเกรงกับเรื่องที่เพิ่งได้ยิน
แต่สำหรับอดีตเดือนบริหาร
สิ่งเหล่านี้กลับทำให้เขาฟินได้ครั้งแล้วครั้งเล่า
“พูดจาเช่นนี้แสดงว่าถูกใจมากใช่หรือไม่ขอรับ?”
“ยิ่งกว่าชอบอีก...
รักเลยล่ะ” คำสารภาพของอคิราทำให้กุมารพลายอดเสียดายไม่ได้ที่เจ้าของร่างเหนื่อยจนหมดสติยาวมาจนถึงตอนนี้ ไม่อย่างนั้นฌอนคงได้รู้สึกยินดีกับคำพูดคำจาน่าฟังของอิ๊กไปนานแล้ว
Ħ------------------------------------------------------------------------Ħ
“อ๊ะ! พี่หมี...พี่หมีฟื้นแล้วเหรอครับ?” คนเฝ้าไข้ที่เพิ่งสะดุ้งตื่นเมื่อรู้สึกตัวว่าโดนอุ้มขึ้นไปกอดเอาไว้เสียแน่นส่งเสียงถามไถ่อาการคนป่วยที่นั่งพิงหัวเตียงซ้อนหลังเขาอยู่
“อืม...
ฟื้นได้สักพักแล้วล่ะ”
“ไหน...ขอเค้าวัดไข้หน่อยนะครับ”
จังหวะที่ชายกลางจะเอี้ยวตัวกลับไปแตะหน้าผากเพื่อวัดความร้อนจากร่างกายของอดีตเดือนมหาลัย
คนป่วยก็ยื่นปากจู๋เข้าใส่ด้วยหมายจะขโมยจูบบ๊วยให้รู้แล้วรู้รอด
“ฮื่อ
ไม่เอาครับ วัดไข้ก่อนนะ” หนุ่มสถาปัตย์กางฝ่ายมือยันหน้าหมีปากยื่นสุดหื่นให้ติดนิ่งค้างกลางอากาศ
จนเก็กอดหงุดหงิดไม่ได้
“ไม่ต้องวัดหรอก
เค้าหายดีแล้วครับ” หนุ่มรูปงามตอบหน้าตึง
“จะหายง่ายๆได้ยังไงกัน
ก็เมื่อคืนพี่หมีไข้ขึ้นสูงออกเสียขนาดนั้น” คนพูดดิ้นขลุกขลักเพื่อจะหันกลับไปสำรวจใบหน้า
ท่าทาง และสภาพโดยรวมภายนอกของแฟนหนุ่มให้เป็นกิจลักษณะทว่าไม่เป็นผล เพราะสองแขนของคนป่วยที่คล้องรอบเอวของเขา
ตรึงให้ร่างผอมจำยอมต้องนั่งนิ่งๆให้อีกฝ่ายกอดได้ตามใจ
“เชื่อเค้าเถอะ
เค้าหายแล้ว...
.
...ที่เมื่อคืนเค้าป่วยกะทันหัน
เป็นเพราะพรของเจ้าพ่อไทรทองทำให้เค้าหมดสติไปก่อนที่เราจะมีอะไรกัน...
...พอเค้าหลับ
อาการป่วยก็หายไป
ร่างกายเค้าก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกครั้ง” คำอธิบายที่เปล่งออกจากริมฝีปากที่ประกบอยู่ข้างๆใบหูของหนุ่มสถาปัตย์ฟังสม่ำเสมอและเป็นจังหวะจะโคน
แต่ลมหายใจร้อนๆที่ค่อยๆไต่ลงไปตามลำคอเรียวของบ๊วยนี่สิ ชักจะไม่ใช่สัญญาณอันดีเสียแล้ว
“ถ้างั้น
เรายิ่งควรอยู่ห่างๆกันเอาไว้ให้มากๆเลยครับ
ไม่อย่างนั้นพี่หมีก็จะเป็นอันตรายไปกันใหญ่” บ๊วยเอี้ยวคอหลบริมฝีปากที่ประกบจูบเบาๆตรงต้นคอของเขาเมื่อครู่ไปอีกฝั่ง
ทั้งที่ร่างผอมตั้งหน้าตั้งตาเจรจากับอดีตเดือนมหาลัยด้วยสีหน้าจริงจังแท้ๆ
แต่อีกฝ่ายกลับดับความหวังของชายกลางจนใกล้จะริบหรี่เต็มที
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับบูบู้...
.
...อย่างมากเค้าก็แค่สลบไป
แล้วก็ตื่นขึ้นมาโดยไม่มีอะไรบุบสลายทั้งนั้นแหละ” ธันวายักไหล่อย่างไม่แยแสกับอาการแปลกๆของร่างกายสักเท่าไร
เพราะหนุ่มรูปงามมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า...
พรของเจ้าพ่อไทรทองไม่น่าจะมุ่งทำลายสวัสดิภาพและความปลอดภัยของชีวิตเขาแต่อย่างใด
“ยิ่งพี่หมีพูดแบบนี้
เค้าก็ยิ่งยอมไม่ได้เลยครับ...
.
...เกิดพี่หมีเพลี่ยงพล้ำในสถานที่ๆเสี่ยงต่อความปลอดภัย...
พี่หมีอาจจะบาดเจ็บ หรือเป็นอันตรายได้นะครับ“ บ๊วยท้วงเพราะทนฟังไม่ได้...
การประคองตัวอยู่บนความไม่ประมาทย่อมเป็นผลดีกับธันวามากกว่าอยู่แล้ว
แต่คนที่ห่างหายจากรสสัมผัสทางกายมาเกือบปีอย่างอดีตเดือนมหาลัย
กลับดึงคู่สนทนาเข้าสู่หัวข้อต้องห้ามอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย
“บูบู้พูดอย่างกับว่าเราจะไปมีอะไรกันริมดาดฟ้าตึก
หรือโหนสลิงแล้วทิ้งตัวใส่กันยังไงยังงั้นเลยครับ?...
.
...ไม่บอกไม่รู้นะเนี่ยะว่าบูบู้เป็นพวกชอบบทรักแบบผาดโผน”
เก็กแซวแฟนตัวน้อยจนแก้มบ๊วยเปลี่ยนเป็นสีแดงแจ๋
“จะบ้าเหรอครับพี่หมี!” ร่างผอมฟาดต้นแขนแน่นของอีกฝ่ายเบาๆ “เค้าพูดถึงเรื่องอื่นต่างหาก”
“เค้าไม่เป็นอะไรหรอก
ถ้าเค้าไม่ทำอะไรบูบู้แบบเมื่อคืนน่ะ” อดีตเดือนมหาลัยออกปากรับรองหนักแน่นแต่ก็ไม่วายออกอาการเสียดมเสียดายอย่างแรง
“เฮ่อ! เมื่อคืนนี่เกือบจะดีอยู่แล้วแท้ๆ...
ไม่น่าสลบไปก่อนเล้ยยยยย!!”
“เรื่องนั้นไม่เห็นต้องรีบร้อนไปเลยครับพี่หมี...
.
.
...เราต้องอยู่กันไปอีกนานไม่ใช่เหรอ?”
พูดจบ ร่างผอมก็ก้มหน้างุดพลางจ้องมือตัวเองด้วยความแน่วแน่ เพราะไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองอีกฝ่ายตรงๆ
แต่แล้วประโยคของแฟนรูปงามที่ต่อท้ายตามหลังมาติดๆก็ทำให้เขาต้องหน้าแดงอีกหน
“ได้ดูแค่ตา
แต่ว่ามือห้ามต้อง... น้องชายคนเล็กของเค้าจะเฉาเอาได้นะครับ”
“พี่หมีนี่จริงๆเลย!” บ๊วยเอ็ดคนป่วยหน้าเป็นที่ดีแต่หมกมุ่นกับเรื่องอย่างว่าอยู่ตลอดเวลาอย่างเหลืออด
(ก็อก ก็อก ก็อก)
“ครับ”
เสียงเคาะประตูทำบ๊วยตกใจจนเผลอขานรับโดยไม่ทันคิดถึงสภาพของตนในปัจจุบัน “พี่หมี...ปล่อยก่อนเถอะครับ”
ดูเหมือนคำอ้อนวอนของชายกลางจะเป็นเพียงลมที่เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
เพราะนอกจากอีกฝ่ายจะไม่ยอมปล่อยแล้ว
อดีตเดือนมหาลัยยังกอดเขาเอาไว้แน่นแถมยังขู่ตบท้ายเข้าให้อีกต่างหาก
“ไม่เอา...
ถ้าบูบู้ไม่ยอมให้เค้ากอด เค้าจะปล้ำบูบู้จริงๆด้วย”
(ก็อก
ก็อก ก็อก ก็อก ก็อก ก็อก)
“ฮื่ออออ...
พี่หมี” หนุ่มสถาปัตย์ร่างผอมคงจะเพ่งสมาธิไปกับพยายามดิ้นรนจนเกินไป พลอยทำให้ทั้งคู่ไม่ได้ใส่ใจเสียงเคาะรอบสองกับเสียงเปิดประตูของคนหน้าห้องไปเสียฉิบ
“ตื่นกันแล้วเหรอลูก?”
แม่บัวที่เดินนำพ่อเขียวเข้าในห้องเปิดฉากบทสนาทนาโดยไม่ถือสาท่าทางล่อแหลมของลูกชายตนเองกับแฟนหนุ่ม
“แหม่!
เด็กๆสมัยนี้มันไวไฟกันดีจริงๆเลยนะแม่” ฝั่งผู้เป็นพ่อที่ยืนหน้านิ่งแผ่ออร่าดำมืดอยู่ข้างหลังก็เอ่ยแซวด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง...
แม้จะรับได้กับการที่ลูกชายเป็นเกย์
แต่การต้องมาเป็นสักขีพยานการเสียเชิงชายของบ๊วยต่อหน้าต่อตาเป็นครั้งแรก
ก็ทำให้พ่อเขียวรู้สึกโดนหยามศักดิ์ศรีแปลกๆได้ไม่น้อยเหมือนกัน...
นี่ลูกกูมันต้องโดนตุ๋ยจริงๆแล้วใช่ไหมวะเนี่ย?!!
“พี่หมี...ปล่อยสิครับ!” ชายกลางที่สังเกตเห็นอาการผิดปกติของบิดาเมื่อครู่
ก็ยิ่งดิ้นรนต่อสู้เพื่ออิสรภาพหนักข้อไปกันใหญ่...
แต่ไอ้อดีตเดือนมหาลัยหน้าหนาก็ช่างกล้าขัดขืนดีเสียจริงๆ
“ไม่เป็นไร
ไม่เป็นไร พ่อกับแม่รับได้ เชิญล้วงเชิญควักลูกพ่อได้ตามสบายเลยนะลูกเขย” พ่อเขียวประชดให้อีกดอกจนแม่บัวต้องออกปากห้าม
“พ่อ!!”
“เฮ่ย!!! ไม่ใช่!” ชายวัยกลางคนสะดุ้งโป๊งชึ่งไปครึ่งจังหวะก่อนจะปรับเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ให้เป็นไปตามความตั้งใจที่แท้จริงของตน “พ่อจะบอกว่า... อยากจะกินตับกันน่ะก็ได้
แต่ช่วยเห็นหัวหงอกของพ่อกับแม่บัวหน่อยครับไอ้ลูกเขย”
“ขอโทษครับพ่อ”
เก็กยอมปล่อยบ๊วยเมื่อได้ยินประโยคห้ามปรามนิ่มๆของว่าที่พ่อตาแบบจะจะ
“แล้ววันนี้อาการเป็นไงบ้างล่ะลูก?”
แม่บัวเปลี่ยนเรื่องโดยหันไปถามคนป่วยที่หน้าหดเหลือสองนิ้วด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“หายแล้วครับแม่...
ได้กำลังใจดีจากพยาบาลส่วนตัวน่ะครับ” ธันวารายงานอาการล่าสุดของตัวเอง
พร้อมทั้งหยอดแฟนตัวน้อยไปพร้อมๆกัน พอเห็นว่าที่ลูกเขยยอมไว้หน้าตน...พ่อตาอย่างเขียวก็ปรับอารมณ์เป็นเบิกบานสำราญใจได้อีกครั้ง
“เออ
ดี ดี!
ไอ้หนูลูกพ่อมันเอาการเอางานนะ ลูกเขยอยากเอาท่าไหน...
ไอ้หนูมันน่าจะจัดให้ได้ทั้งหมดนั่นแหละ” พูดจบ พ่อตากับลูกเขยก็แลกเปลี่ยนบทสนทนาอันล้ำลึกที่เกี่ยวข้องกับประเด็นเมื่อครู่ผ่านสายตากันอย่างเผ็ดร้อน
จนคนฟังอย่างแม่บัวทนไม่ไหว
“พ่อนี่ล่ะก็...
เข้าเรื่องได้แล้ว!”
“จ๊ะ
จ๊ะ... เข้าเรื่องเลยก็ได้จ๊ะแม่บัว” พ่อเขียวชูมือยอมแพ้ให้แก่ภรรยาอันเป็นที่รัก
“คืองี้... พ่อกับแม่แค่จะเข้ามาคุยกับเราทั้งสองคนให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียหน่อยน่ะ”
“พ่อกับแม่จะคุยอะไรกับพวกผมเหรอครับ?”
อดีตเดือนมหาลัยออกหน้ารับเรื่องแทนแฟนตัวน้อยที่นั่งมองผู้ให้กำเนิดทั้งสองตาแป๋ว
“พ่อแค่อยากจะมายืนยันอีกครั้งนึงน่ะว่า
เรื่องที่เราสองคนคบกัน... พ่อกับแม่ไม่มีปัญหาอะไรนะ เข้าใจและรับได้...
.
...แต่...”
“แต่อะไรครับพ่อ?”
หนุ่มวิศวะรูปงามชักใจไม่ดีที่ได้ยินคำบอกความขัดแย้งและท่าทางใช้ความคิดของผู้อาวุโสดังที่เป็นอยู่ในตอนนี้
“แต่สัญญากับพ่อสักอย่างได้ไหม?...
.
...พวกเอ็งทั้งสองจะต้องไม่ทิ้งการเรียน
ต้องช่วยประคับประคองดูแลกันไปจนกว่าจะเรียนจบนะไอ้หนู ไอ้ลูกเขย” สีหน้าของทั้งพ่อเขียวและแม่บัวที่สะท้อนความเป็นห่วง
และความปรารถนาดีที่มีต่อชายหนุ่มทั้งสองจากใจจริง ที่มาพร้อมกับน้ำเสียงจริงจังของคำร้องขอเมื่อครู่
ทำให้เก็กยืนยันความตั้งใจอันแน่วแน่ของตนแก่พ่อเขียวโดยไม่ต้องฉุกคิด
“ครับพ่อ
ผมให้สัญญาครับว่าผมกับบูบู้ จะคว้าใบปริญญามาให้พ่อกับแม่ชื่นชมให้ได้”
“เออ
ดี ดี...หนักแน่นแบบนี้พ่อชอบ!” พ่อเขียวชมเชยว่าที่ลูกเขยคนเล็กอย่างเปิดเผย
ทำเอาธันวายิ้มหน้าบาน
“อยู่กันทางโน้น
พ่อกับแม่ก็ไม่รู้หรอกว่าพวกหนูจะจัดการชีวิตกันยังไง
แต่แม่อยากจะขอให้พวกหนูจำเอาไว้ว่า...
...ถ้าคิดจะอยู่ด้วยกัน
ก็ต้องชวนกันทำในสิ่งที่ถูกที่ควร...อย่าชวนกันละทิ้งหน้าที่สำคัญของตัวเอง...
.
...หากพวกหนูมีเรื่องทุกข์ร้อนใจ
หรือมีปัญหาอะไรกัน... ขอให้ใจเย็นๆ อย่าแก้ปัญหาด้วยอารมณ์...
...ถ้าอยากได้ความเห็นที่สามหรือสี่
ก็โทรหาพ่อกับแม่ได้ตลอดเวลานะลูก” แม่บัวกำชับกับทั้งสอง
“ครับ/ ครับแม่”
“เก็ก...
ลูกชายแม่น่ะเป็นเด็กไม่ค่อยมั่นใจ ถ้าหนูบ๊วยของแม่คิดมาก หรือขี้น้อยใจเกินไป...
...หนูก็อย่าไปถือสาเก็บมาเป็นอารมณ์เลยนะลูก...
.
...ลำพังแค่ต้องเกิดมาในสภาพที่หน้าตาไม่เหมือนใครสักคนในบ้าน
หนูบ๊วยก็เจ็บปวดมากพอแล้วล่ะ” เพราะไม่อยากให้บรรยากาศช่วงท้ายๆของบทสนทนาเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดจนเกินไป
ประมุขหญิงของบ้านจึงอดแหย่ลูกคนเล็กของหล่อนไม่ได้... ซึ่งหากลูกชายคนเดียวของแม่บัวจะเกิดร้อนตัวขึ้นมาก็คงจะไม่แปลกนัก
“แม่!!!”
“ขอบคุณพ่อกับแม่มากนะครับที่ไว้ใจผม
ผมรับรองครับว่าจะดูแลบูบู้ให้ดีที่สุดให้สมกับที่พ่อแม่ให้โอกาสผมครับ” เก็กกระพุ่มมือไหว้พ่อแม่ของคนรักด้วยความเคารพและซาบซึ้งจากก้นบึ้งของจิตใจ
กระนั้น...
หัวหน้าครอบครัวผู้ร่าเริงก็ไม่ปล่อยให้ความพยายามของภรรยาเมื่อครู่ต้องเปล่าประโยชน์
“อ่ะโห! แม่บัวเอ้ย! ผัวลูกเรานี่มันหน่วยก้านใช้ได้นะ
พูดจาแบบนี้... มาอยู่นี่สองสามปีต้องได้เป็นนายกอบต.แหงๆเลยว่ะ”
“แม่ว่าต้องได้ตำแหน่งตั้งกะปีแรกเลยแหละพ่อ...
หล่อขนาดนี้ ชนะเรียบ!” ฝ่ายแม่บัวก็ทำหน้าที่ลูกคู่ได้อย่างถูกจังหวะเสียเหลือเกิน
“ลูกเขย... เคยวูบๆอยากจะเล่นการเมืองท้องถิ่นดูบ้างไหมล่ะ?” แต่ดูเหมือนจะมีคนไม่อินอยู่ด้วยเหมือนกัน
“ใครเขาให้คุยเรื่องแบบนี้กับคนเพิ่งหายไข้กันล่ะแม่?!” บ๊วยแทรกกลางความรื่นเริงบันเทิงใจของมารดาเอากลางปล้องเสียอย่างนั้น
ร้อนถึงคนเป็นพ่อที่ต้องออกมาปกป้องภรรยาสุดที่รักด้วยการทำร้ายลูกชายออกสื่อ
“แหม่! หวงผัวเหลือเกินนะไอ้หนู... เพิ่งจะได้กันไม่นานงั้นสิ”
คำพูดน่ะไม่เท่าไร... แต่สายตาล้อเลียนที่พ่อเขียวส่งให้ต่างหากที่ทำเอาบ๊วยวางตัวลำบากขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“โอ๊ย! หนูไม่คุยกับพ่อแล้ว!” ชายกลางโวยวายเพื่อหวังจะเปลี่ยนเรื่อง
โดยไม่ทันรู้ว่า... บทสนทนาเมื่อครู่มีอันต้องสิ้นสุดลงในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า...
หลังจากที่พี่สาวคนที่สองวิ่งเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“พ่อจ๋า
แม่จ๋า... เพื่อนไอ้หนูกลับมาถึงบ้านกันแล้วล่ะจ๊ะ” บ็อบเอ่ยด้วยน้ำเสียงปนหอบ
“เอ้าเรอะ! กลับมาถึงแล้วก็ดี... ไปแม่บัว
ไปเตรียมอุ่นกับข้าวกับปลาให้เพื่อนไอ้หนูมันหน่อย ท่าจะหิวซ่กกันมาเลยล่ะ”
“งั้นแม่กับพ่อลงไปก่อนนะลูก
เดี๋ยวพวกหนูล้างหน้าล้างตาแล้วก็ลงไปกินข้าวพร้อมๆกัน”
“ครับแม่”
บ๊วยยังไม่ทันรับคำดี... สมาชิกทั้งสามก็เดินออกจากห้องไปตระเตรียมความพร้อมรอรับเด็กหนุ่มที่เหลือซึ่งเพิ่งกลับออกมาจากป่าด้วยความขันแข็ง
ชายกลางที่มัวแต่มองตามแผ่นหลังของพ่อแม่
ก็ถูกธันวาลากเข้าไปกอดอีกครั้ง
หนนี้ต่างกับคราวที่แล้วตรงที่
อีกฝ่ายคร่อมทับเหนือร่างผอมบางของเขาเอาไว้จนบ๊วยไม่อาจกระดุกกระดิกได้อีกแล้ว
“ฮื่ออออ
พี่หมี...ปล่อยได้แล้วครับ ไปล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะนะ
จะได้ลงไปกินข้าวพร้อมกับทุกคน” หนุ่มสถาปัตย์อ้อนวอนคนที่นอนเอาแก้มวางแนบลงบนแผ่นอกบางพลางแทรกกลางตรงหว่างขาทั้งสองข้างของตัวเอง
“ขออีกแป๊บนึงนะครับบูบู้
นะ...นะ” คนพูดหลับตาฟังเสียงเต้นระรัวของหัวใจภายในอกชายกลาง ก่อนจะตวัดมือกอดคนตัวเล็กกว่าเอาไว้แน่น
ความอบอุ่นและตื่นเต้นจากอ้อมกอดที่ไม่เร่งเร้าทำเอาหนุ่มสถาปัตย์ใจอ่อนยวบเป็นขี้ผึ้งลนไฟ
“แป๊บเดียวนะครับ
/ อือ... แป๊บเดียว”
แล้วก็เป็นประเดี๋ยวเดียวจริงๆที่ทั้งสองได้นอนกอดกันนิ่งๆแบบเมื่อครู่
เพราะอยู่ๆ
เสียงครวญจากช่องแคบของอดีตเดือนมหาลัยก็ทำลายช่วงเวลาสวีทหวานของทั้งสองหนุ่มลงในพริบตา
(ปู๊ดดดดดด!)
“ไปเข้าห้องน้ำก่อนดีกว่าไหมครับพี่หมี?”
บ๊วยอดถามด้วยน้ำเสียงกึ่งขำกึ่งสงสารอีกฝ่ายไม่ได้ พอโดนแฟนตัวน้อยหยามเอาซึ่งซึ่งหน้า ชายหนุ่มรูปงามก็ไม่อาจทนกอดอีกฝ่ายนิ่งๆได้ตามที่ตั้งใจเอาไว้แต่ทีแรกอีกต่อไป
“อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง...
มาให้เค้าจูบเสียดีๆบูบู้”
“แต่พี่หมีตดดังนี่นา!”
“บูบู้!” ...การเถียงพลางกลั้นขำอย่างเต็มที่ของบ๊วยทำให้ธันวาพยายามปล้ำจูบอีกฝ่ายมากขึ้นอีกเท่าตัว
แต่ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะได้นัวเนียชิดใกล้จนถึงระดับที่อดีตเดือนมหาลัยพึงพอใจ
ร่างกายก็ฉีกหน้าเก็กจนไม่เหลือชิ้นดีอีกคำรบ...
คราวนี้มากันครบครันทั้งเสียง
แรงสั่นสะเทือน และกลิ่นอันยากจะลบเลือนไปจากฆานประสาท
([ปู๊ดดดดดดด...ปุ๊ด ปุ๊ด ปุ๊ด ปุ๊ด... )
“เอ่อ...
เค้าว่าเค้าไปเข้าห้องน้ำดีกว่า /
หึ
หึ หึ...รีบไปเถอะครับ” หนุ่มรูปงามดีดตัวขึ้นจากเตียงนอนหลังจากสัญญาณเตือนภัยดังถี่ยิบแบบไม่คิดอิดออด
ฝ่ายเหยื่อที่รอดจากเงื้อมมือของอดีตเดือนมหาลัยจอมหื่นก็นอนอมยิ้มฟังเสียงฝีเท้าของแฟนหนุ่มหายต๋อมเข้าห้องน้ำไปด้วยความขบขัน
Ħ------------------------------------ TBC ------------------------------------Ħ
คนเห็นผี:
”อ้าวคุณ... ไหงมากับแกงค์นี้ได้ล่ะ?”
“คุณเห็นผมด้วยเหรอครับ?”
“ก็...ครับ... ความสามารถพิเศษส่วนตัวของผมเองแหละ”
“เห็นวิญญาณอย่างผมได้น่ะเหรอครับ?”
“ครับ... ว่าแต่คุณเถอะ มากับสองคนนี้ได้ยังไงกันครับ?”
“เจ้าของร่างเขาเผลอวูบน่ะครับ...
.
...พอเห็นไฟสัญญาณขึ้นว่า ‘ว่าง...สิงได้’ ผมก็รีบเข้าไปยืมร่างคุณคนนั้นทันทีเลยน่ะครับ...
...คือ... ผมมีภารกิจสำคัญที่ต้องทำให้สำเร็จก่อน
ดวงจิตผมถึงจะยอมไปเกิดใหม่น่ะครับ“
“แต่งตัวเดินป่าเต็มยศแบบนี้... คงจะอยากเห็นกระทิงสักครั้งก่อนตายให้ได้ใช่ไหมล่ะครับ?”
“เปล่าครับ... ผมอยากไปมรกตนครเหมือนท่านแงซายน่ะครับ”
“...เอ่อ...”
“มีอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมคุณทำหน้าหนักใจแบบนั้น?”
“คุณไม่รู้หรือครับว่า
ป่าแถบนี้มันอยู่คนละฝั่งกับป่าสาละวินทางไปมรกตนครของคุณแบบคนละโยชน์เลยน่ะครับ”
“อ้าว! จริงเหรอครับ?
ผมนี่นึกมาตลอดเลยนะครับว่าป่าไหนๆมันก็ทะลุถึงกันไปหมด”
“ถ้าอย่างนั้นผมก็ขอให้คุณโชคดีกับการตามหามรกตนครของคุณต่อไปแล้วกันนะครับ”
“เดี๋ยวสิครับ! คุณทนฟังผมไม่ไหวแล้วเหรอครับ?”
“เปล่าหรอกคุณ... ผมแค่ต้องกลับไปปฏิบัติหน้าที่เพื่อนที่ดีเสียแล้วล่ะ”
“แล้วผมล่ะครับ?”
“ผมว่าคุณลองตั้งจิตตามหาวิญญาณของพรานรพินทร์ดูนะครับ
เพราะการเดินทางไปมรกตนครไม่อาจสำเร็จลงได้หากคุณไม่ได้เดินทางกับสุดยอดพรานอย่างผู้กองรพินทร์น่ะครับ”
“อย่างนั้นเหรอครับ? พอดีตอนผมอ่านเพชรพระอุมา
ผมเอาแต่สนใจท่านแงซายจนไม่ทันได้สนใจตัวละครตัวอื่นเลย”
“เฮ่อ! งั้นก่อนที่คุณจะตั้งจิตเรียกพรานรพินทร์
ผมว่าคุณลองกลับไปอ่านเพชรพระอุมาอย่างตั้งอกตั้งใจอีกสักรอบดีไหมครับ
เผื่อว่าจะเก็บรายละเอียดที่ตกหล่นไปได้”
“ครับ! ขอบคุณมากครับที่ชี้แนะ!”
“เฮ่อ! ขอให้ตามหามรกตนครให้เจอนะครับ”
“ไม่ต้องห่วงครับ... ผมไปล่ะ!!”
“เมื่อไรจะเจอวิญญาณแจ่มๆอย่างในเดอะช็อคสักทีน้า?
ที่ผ่านมามีแต่ผีช่องแอร์ ผีแชมพู ผีข้าวกล่อง...เฮ่อ
ไม่ท้าทายเลยอ้ะ...ง่อววววววว!!”
No comments:
Post a Comment