Wednesday, September 2, 2015

Ħ บน บาน ศาล รัก Ħ The 25th Blessing || 02.09.2015



เพื่อให้สมกับความล่าช้า
เราก็นำพาเนื้อหาย๊าวยาวมาให้อ่านเพื่อชดเชยการผิดนัดเมื่อวาน
หวังว่าความวุ่นวายในป่าหลังบ้านบูบู้ จะทำให้ทุกท่านอ่านอย่างมีความสุขนะคะ ^ ^

หากเจอจุดที่ผิดพลาดประการใด... วานทิ้งความเห็นเอาไว้หน่อยโนะ
(ไม่ก็ฝากความคิดถึงให้คนเขียนอ่านจนชื่นใจแทนก็ได้ค่ะ...เราช๊อบชอบ)
รักคนอ่านทุกท่านเหมือนเดิมค่ะ



Ħ------------------------------------------------------------------------------------Ħ



The 25th Blessing      
หลงป่า... มหาสนุก (หมาตัวไหนมันสนุกกันวะแม่ง?)




“สกล?! ทำไมอยู่ๆพวกเราถึงต้องวิ่งป่าราบกันแบบนี้? เกิดอะไรขึ้น?”  

เมื่อตั้งหลักได้...แฝดพี่ก็ตั้งคำถามกับเพื่อนรักหน้าแว่นด้วยน้ำเสียงตกอกตกใจด้วยไม่รู้สักนิดว่า...
เพราะเหตุใด เขาจึงถูกอีกฝ่ายลากถูลู่ถูกังให้วิ่งหน้าตั้งฝ่าพงหนามและดงไม้รกชัฎ จนทั้งสามโดนกิ่งไม้ ใบไม้ รวมถึงหนามเกี่ยวตามร่างกาย... ทิ้งบาดแผลเอาไว้ให้ดูต่างหน้าเต็มไปหมดทั้งตัว

“....แฮ่ก...แฮ่ก... เสือครับ...เสือ...” หนุ่มหน้าแว่นพยายามอธิบายพลางไล่งับอากาศเข้าปอดอย่างน่าสมเพช

“เสืออะไร เสือที่ไหน?!!” ไอ้สีหน้าตกใจของฌานระหว่างที่พูดน่ะพอเข้าใจได้... แต่ประกายในตาที่ดูสุกใสคล้ายกับเด็กชายเห็นไอรอนแมนบินโฉบผ่านหน้านั่นหมายความว่าอย่างไรกัน?!!

“เมื่อกี๊มีเสือเดินผ่าเข้ามาตรงกลางวงของพวกเราน่ะครับพี่ฌาน” หลังจากได้พักหายใจหายคออยู่ครู่ใหญ่  สกลก็สามารถชี้แจงแถลงไขถึงสาเหตุของสถานการณ์น่าระทึกใจเมื่อครู่ได้อย่างเป็นเรื่องเป็นราวมากขึ้น  ส่วนคนฟังที่ยังตื่นเต้นไม่หาย... ก็ดูจะไร้ความสามารถในการประมวลผลไปชั่วคราว

“ห๊ะ?!! เสือเหรอ? เสือที่ไหน? ทำไมพี่ฌานถึงไม่ทันเห็น?”

“ก็พี่ชายเอาแต่เดินคุยกับพี่โป่งเกี่ยวกับเรื่องโน้นเรื่องนี้อยู่ข้างหน้า แล้วพี่ชายจะรู้ได้ยังไงกันล่ะครับว่าเสือโผล่ออกมาตอนไหน” ฌอนอธิบายด้วยน้ำเสียงหน่ายๆ... ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าพี่ชายฝาแฝดของเขากำลังคิดอะไรอยู่  จะมีสักกี่คนที่ตื่นเต้นจนตัวสั่นเมื่อต้องประจัญหน้ากับเสือได้เหมือนกับฌานกันนะ?!

“แล้วคนอื่นๆล่ะ? พี่โป่ง?...บ๊วย? พวกเฮียฟูล่ะ?” ...ในที่สุดแฝดพี่ก็ตั้งสติได้ น่าดีใจเหลือเกิน...ที่ฌานพาตัวเองกลับเข้าสู่หัวข้อที่สำคัญที่สุดในเวลานี้ได้เสียที

“สงสัยว่าป่านนี้จะแตกกระเจิงกันไปหมดแล้วล่ะมั้งครับ” ฌอนตั้งข้อสังเกตจากภาพความทรงจำวูบสุดท้ายที่เขานึกได้ก่อนออกวิ่ง

“ทำไมพวกเราไม่ลองโทรหาพวกนั้นดูล่ะ?” แฝดพี่เสนอแนะวิธีแก้ปัญหาซึ่งน่าจะเป็นไปได้มากที่สุดให้กับสมัครพรรคพวก... แต่การส่ายหน้า และคำปฏิเสธจากน้องชายที่คลานตามกันมาคือสิ่งที่ทำให้ฌานเริ่มจะวิตก

“ฌอนลองแล้ว แต่ตรงนี้....ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์สักขีดเลยครับพี่ชาย”

“แล้วพวกเราอยู่ตรงไหนของป่ากันแล้ววะเนี่ยะ?” แฝดพี่รำพึงรำพันพลางกวาดสายตาไปรอบด้านเพื่อตั้งต้นใหม่  

“ผมว่าพวกเราคงไม่ได้วิ่งมาไกลจากจุดที่เสือโผล่มานักหรอกครับ ลองตะโกนเรียกคนอื่นดูก่อนก็ได้ เผื่อว่าจะอยู่แถวๆนี้” สกลใช้ทักษะทางการกีฬาที่ค่อนข้างต่ำเตี้ยเรี่ยดินของตัวเองเป็นเครื่องชี้วัด เพราะหนุ่มหน้าแว่นเชื่อสนิทใจว่า...ขาตะเกียบกับอกไก่เรียบๆไร้กล้าม ไม่ใช่ที่ซ่อนของปลีน่องนักวิ่งเหรียญทอง หรือปอดของยอดมนุษย์แน่ๆ

แต่ก่อนที่ทั้งหมดจะหดหู่จนกู่ไม่กลับ...
แฝดน้องก็รับหน้าแก้ปัญหาให้กับพี่ชายและเพื่อนสนิททันที


“เดี๋ยวฌอนจะให้น้องพลายช่วยอีกแรงแล้วกันนะครับพี่ชาย”

“โอเค” แฝดพี่รับคำแล้วจึงเดินหามุมสงบเพื่อตั้งสมาธิต่อสายตรงกระแสจิตคุยกับเจ้าพ่อทั้งสองเพื่อรายงานเหตุการณ์ผิดปกติให้องค์เทวบุตรได้รับทราบ  ระหว่างนั้น...ฌอนกับสกลก็ป้องปากตะโกนเรียกหาคนอื่นๆซึ่งแตกกระสานซ่านกระเซ็นกันไปคนละทิศละทางด้วยความหวังว่าทั้งเก้าหนุ่มจะกลับมารวมกลุ่มกันได้




“เป็นไงมั่ง? มีอะไรคืบหน้าบ้างหรือเปล่า?” นี่คือประโยคแรกที่ฌานเอ่ยขึ้นหลังจากออกสมาธิด้วยสีหน้าไม่เป็นปกตินัก ซึ่งทั้งเพื่อนหน้าแว่นและน้องชายฝาแฝดต่างก็ส่ายหัวป้อยโดยพร้อมเพรียง

“พี่ฌานก็ติดต่อเจ้าพ่อทั้งสองไม่ได้เหมือนกันว่ะ” ร่างทรงหนุ่มถอนหายใจหนักๆติดๆกัน  ฝ่ายแฝดน้องที่เงี่ยหูฟังเสียงกระซิบของกุมารทองคู่กายก็ช่วยไขข้อข้องใจทั้งหลายให้หมดไปจากใจของฌานได้ในชั่วพริบตา

“น้องพลายบอกว่า เสือตัวเมื่อครู่...เป็นเพียงภาพนิมิตรที่ถูกสร้างขึ้นเท่านั้นครับ”

“งั้นก็แสดงว่า...  สกลเบิกตาโพลงระหว่างส่งเสียงพึมพำด้วยความตกใจ

“ที่พวกเราพลัดหลงกันแบบนี้ เป็นฝีมือของเจ้าพ่อห่อไหล่ กับเจ้าพ่อไทรทองล่ะสินะ” ฌานสรุปเสียงเครียด

“แล้วอย่างนี้พวกเราจะทำยังไงกันดีล่ะครับพี่ฌาน?”  หนุ่มหน้าแว่นหารือกับหัวกะทิของกลุ่มตามความเคยชิน  

“ตอนนี้พวกเราคงจะทำอะไรไม่ได้นอกจากเอาตัวรอดกันก่อน แล้วค่อยคิดหาทางช่วยคนอื่นอีกทียังไงล่ะ...
.
...น้องชาย... บอกพ่อพลายให้ช่วยนำทางกลับบ้านบ๊วยที” แฝดพี่ออกคำสั่งกับน้องชายเพื่ออาศัยตัวช่วยพิเศษที่จะพาพวกเขากลับไปยังจุดเริ่มต้นของการเดินทางในทันใด








“พี่หมี... เค้าว่า... พวกเรา...ปลอดภัยแล้วล่ะครับ” บ๊วยที่ถูกร่างสูงสมส่วนกระชากข้อมือให้ออกวิ่งตามกันมาตะโกนคุยกับอีกฝ่ายโดยไม่ผ่อนฝีเท้า

“วิ่งต่ออีกหน่อยเถอะครับบูบู้... เค้ายังไม่วางใจ” ศูนย์หน้านักบอลตัวมหาลัยตอบด้วยน้ำเสียงเจือหอบน้อยๆระหว่างพุ่งตัวตีคู่กับบ๊วยฝ่าพุ่มไม้น้อยใหญ่ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

“พักก่อนได้ไหมครับ?”  ข้อเสนอแนะของชายกลางทำให้เก็กลดความเร็วลงในที่สุด

“บูบู้เหนื่อยเหรอ?!!”...เชื่อเถอะว่าขณะที่ทั้งสองโกยตีนหมาในจังหวะวอลซ์กันอยู่นี่  อดีตเดือนมหาลัยกำลังเป็นห่วงเป็นใยร่างผอมแบบสุดๆ... แต่หนุ่มรูปงามยังไม่อาจวางใจกับสถานการณ์จนหยุดวิ่งได้อย่างที่อีกฝ่ายร้องขอ

“เค้าไหวครับ... แต่คุณอิ๊ก” แฟนหนุ่มผู้สามารถรักษาฝีเท้าวิ่งเคียงบ่าเคียงไหล่กับธันวาได้อย่างน่าชื่นชมพยักเพยิดไปยังร่างบางที่เกาะชายเสื้ออีกฝั่งของเก็กเอาไว้แน่นพลางลากสังขารที่จวนแตกดับให้ซอยเท้าเขย่าเครื่องในจนเกือบขยอกออกทางปากมาเงียบๆอยู่ตลอดทาง

เฮ่ย! มาไงเนี่ย?” อดีตเดือนมหาลัยตะโกนเสียงหลงด้วยความตกใจเมื่อเห็นสภาพน่าอนาถของอิ๊กในยามนี้ ที่แทบไม่เหลือเค้าของอดีตเดือนบริหารคนงามอีกต่อไป   และที่ยิ่งน่าเวทนาไปกันใหญ่...คือการที่อีกฝ่ายไม่สามารถตอบโต้ภาษาคนกลับมาได้แม้แต่คำเดียว

“...แฮ่ก... แฮ่ก...แฮ่ก...

“พักก่อนเถอะครับพี่หมี เค้าว่าเสือตัวนั้นไม่น่าจะตามมาแล้วล่ะ” เมื่อเห็นท่าทางสาหัสของอคิรา  บ๊วยจึงหาทางหว่านล้อมให้อดีตเดือนมหาลัยเห็นใจเพื่อนร่วมทางร่างบางที่น่าจะหมดแรงจนใกล้ร่วงเต็มทน  ธันวาจึงปักหมุดที่หมายให้แฟนใหม่กับอดีตคนรักได้นั่งพักเอาแรงโดยไม่รอช้า  

“งั้นไปนั่งพักตรงโขดหินข้างหน้าก็แล้วกันครับ”




“คุณอิ๊ก... คุณอิ๊กไหวไหมครับ?” บ๊วยถามไถ่อดีตเดือนบริหารที่ยืนอ่อนระโหยทำหน้าอิดโรยไร้สีเลือดฝาดผิดกับสภาพปกติเป็นคนละคนด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง... แย่หน่อย ที่เขาไม่ได้พกยาดมยาหม่องใดๆติดตัวมาเลย ไม่อย่างนั้นชายกลางคงสามารถพยาบาลให้อีกฝ่ายหายเหนื่อยได้เร็วกว่านี้  

“...ไหว...” อิ๊กสะกดกลั้นอาการจอม่านตาดับ ที่ตีคู่มากับภาพดาวภายในสมองที่ส่องแสงวิ้งๆเอาไว้  ก่อนระบายคำตอบออกมาอย่างยากลำบาก... จุดๆนี้ อคิราไม่อยากจะยอมรับเลยว่า ตนเองกำลังสูดลมหายใจเข้าด้วยความทรมานปานกล้ามเนื้อปอดกำลังมอดไหม้อย่างไรอย่างนั้น   

“คุณอิ๊กนั่งพักตรงนี้ก่อนนะครับ” ชายกลางพยุงร่างบางไปวางแหมะลงบนก้อนหินขนาดย่อมที่เรียบพอจะใช้แทนม้านั่งชั้นดี  ฝ่ายอดีตเดือนมหาลัยที่หมุนไปหมุนมาอยู่ครู่ใหญ่ก็เดินกลับมาหาเจ้าถิ่นด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

“ป่าแถวบ้านบูบู้นี่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เลยเหรอครับ?”

“ถ้าไม่ได้เข้าป่าลึกมาก หรือไม่เข้าใกล้ตีนเขา...ก็ยังพอหาสัญญาณมือถือได้อยู่  ทำไมเหรอครับ?”  คนฟังโชว์หน้าจอมือถือของตัวเองให้บ๊วยดู จนร่างผอมต้องควักโทรศัพท์ของตัวเองออกมาเพื่อเปรียบเทียบก่อนจะเกาหัวด้วยความงุนงง

“แปลกจัง... ทั้งที่เค้ารู้สึกว่าพวกเราไม่ได้วิ่งหนีมาไกลจากปากทางสักเท่าไร แล้วทำไมถึงไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ได้ล่ะ?”

“เค้าก็ไม่รู้เหมือนกันครับ... แล้วอย่างนี้ พวกเราควรจะเอายังไงกันต่อดีล่ะครับบูบู้?” หนุ่มหล่อดีกรีมหาลัยซาวด์เสียงเพื่อตัดสินใจหาทางออกจากป่านี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด

“เดี๋ยวเค้าจะลองเดินสำรวจพื้นที่รอบๆดูสักหน่อย จะได้รู้ว่าพวกเราวิ่งกันมาอยู่ตรงไหนของป่า” บ๊วยออกความเห็นด้วยความมั่นใจ... ตนเองน่าจะสามารถนำทางทั้งหมดให้กลับบ้านได้ด้วยเจ้าตัวมีความชำนาญในพื้นที่เป็นทุน

“ให้เค้าไปด้วยนะครับ” อดีตเดือนมหาลัยต่อรองด้วยความเป็นห่วงสวัสดิภาพของแฟนตัวน้อยอย่างที่สุด...

ดูเหมือนเก็กจะลืมไปว่า แฟนใหม่...น่าเป็นห่วงน้อยกว่าแฟนเก่าเยอะ  
กลายเป็นบ๊วยเสียเอง ที่เตือนสติอีกฝ่ายไม่ให้มองข้ามความปลอดภัยของสมาชิกอีกหนึ่งหน่อที่ร่อแร่เต็มทีไปเสียก่อน


“พี่หมีอยู่เป็นเพื่อนคุณอิ๊กเถอะครับ.. เค้าไปแป๊บเดียว เดี๋ยวเค้าก็กลับมาแล้วล่ะ”

“ไม่เอา ให้เค้าไปด้วยเถอะนะครับ... เค้าปล่อยบูบู้ไปคนเดียวไม่ได้หรอก เค้าเป็นห่วง” เก็กออดอ้อนเพราะยังไม่วางใจ

“พี่หมี... พี่หมีอยู่ที่นี่น่ะดีแล้วครับ...
.
...คุณอิ๊กน่าจะยังไม่หายเหนื่อย... ปล่อยเอาไว้คนเดียวน่ะไม่ดีหรอกครับ...
...ที่สำคัญ...เค้าเดินป่าแถวนี้มาเป็นร้อยๆรอบแล้ว รับรอง...เค้าไม่หลงทางแน่นอน” ...แม้ชายกลางจะยืนยันเป็นมั่นเหมาะ ทว่าธันวายังคงไม่คลายใจ

“แค่สิบนาทีนะครับ... เค้าให้เวลาบูบู้แค่สิบนาที...
.
...ถ้าบูบู้กลับมาช้ากว่านั้น...เค้าจะออกไปตามบูบู้ทันทีเลยนะ...
...บูบู้เข้าใจใช่ไหม?” เก็กเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังพร้อมกับส่งสายตาซึ่งฟ้องความรู้สึกที่พ้องกับคำพูดทุกกระเบียดไปให้หนุ่มสถาปัตย์ กระนั้น...ดูเหมือนว่าช่วงเวลาดังกล่าวจะยังไม่เพียงพอกับการตั้งเข็มทิศคลำทางกลับบ้านของบ๊วยสักเท่าไร

“ขอเป็นสักยี่สิบนาทีแล้วกันครับ...
...ถ้าแค่สิบนาที เค้าคงยังเดินได้ไม่ถึงไหน  เดี๋ยวก็ไม่รู้กันพอดีว่า พวกเราวิ่งกระเจิงกันมาหยุดอยู่ตรงไหนของป่ากันแน่...
.
...เค้าสัญญาว่าเค้าจะกลับมาก่อนเวลา เชื่อเค้านะ” ร่างผอมยกเหตุผลมาต่อรองโดยไม่ลืมสำทับรับรองกับอีกฝ่ายว่าจะไม่เถลไถลจนเก็กต้องเป็นห่วง เมื่อได้ยินดังนั้น...ธันวาก็ไม่อาจขัดขวางสายตามุ่งมั่นของแฟนตัวน้อยได้อีกต่อไป

“ครับ ครับ... ยี่สิบก็ยี่สิบ”








“ด้วง... มันยังตามมาอีกเปล่าวะ?” กังฟูส่งเสียงถามร่างสูงของเพื่อนสนิทที่วิ่งประกบมาติดๆด้วยน้ำเสียงตื่นๆ ทว่าดูสบายผิดกันกับหนุ่มผมยาวอย่างลิบลับ...

ไม่ใช่อะไร... ก็ไอ้จังหวะที่ความกลัวจนหัวหดพุ่งเข้าประทับร่างนั้น...
พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยก็พลันรู้สึกตกใจจนเผลอกระโดดผางเข้าคว้าหมับจับแผ่นหลังของหมีใหญ่เป็นที่กำบังทั้งที่ไม่รู้ตัว
ไม่กี่อึดใจให้หลัง... เต๋อก็ควบฝีเท้าเต็มกำลังประหนึ่งม้าหนุ่ม โดยพกพาเหลือบไรชื่อกังฟูติดหลังมาด้วยจนถึงกลางป่านี่


“ไม่นะ... ไม่เห็นแล้ว” ด้วงตอบด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ แม้ว่าก่อนหน้านั้น... เจ้าเสือโคร่งตัวดังกล่าว จะไล่กวดกลุ่มของพวกเขามาได้ระยะหนึ่งก็ตาม

“งั้นพักก่อนก็แล้วกัน” กรกฏที่รู้สึกได้ถึงอาการหอบหายใจถี่ๆของหนุ่มร่างหมีที่ไม่พูดไม่จาอะไรสักคำ เสนอความเห็นที่น่าจะเป็นประโยชน์กับเต๋อมากที่สุด...

ลำพังแค่หนุ่มสถาปัตย์ต้องแบกเป้ใบใหญ่เอาไว้ข้างหน้าเขาก็ว่าเหนื่อยมากแล้ว
แต่นี่กลับต้องพาเขาขี่หลังวิ่งมาตั้งไกล...  ต่อให้เจ้าตัวแข็งแรงแค่ไหน ก็ต้องเหนื่อยต้องล้าอย่างแน่นอน


“ดีเหมือนกัน” และแล้ว...เต๋อก็เอ่ยประโยคแรกออกมาจนได้ หลังจากวิ่งมาจนเหงื่อไหลไคลย้อย ส่วนประโยคที่สองที่ตามมาติดๆ ทันทีที่ทั้งหมดกำหนดจุดพักชั่วคราวได้แล้ว  ก็ไม่แคล้วถ้อยคำซึ่งสะท้อนความเป็นห่วงเป็นใยต่อร่างเล็กผู้เป็นว่าที่เจ้าของหัวใจนั่นเอง  

“ฟู เป็นไงมั่งครับ?”

“ก็กลัวน่ะสิ...จะเหลือเรอะ!!” กังฟูยังไม่วายออกท่าทางวางโตอย่างเต็มที่ราวกับไม่มีสำเหนียก... ซึ่งนั่นเป็นแค่ฉากบังหน้าที่เจ้าตัวใช้ปกปิดความกลัวของตัวเองอย่างมิดชิดเท่านั้น

“ฟูนี่ก็น้า... น้องมันเตือนแล้วว่าอย่าพูด ฟูก็ไม่ฟัง” ด้วงบ่นเพื่อนรักงึมงำด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ...

กับรายนี้ จะให้เขาต่อว่าอีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมาทั้งที่ไม่เคยทำมาก่อน
หนุ่มผมยาวก็กลัวว่ากังฟูจะงอนจนต่อต้าน แล้วพาลไม่อยากเห็นหน้าคนใจดำอย่างเขาไปเสียอีก


“กูจะรู้ไหมล่ะว่าอยู่ๆไอ้ตัวนั้นมันจะโผล่มากลางวง?!” พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยยืนเท้าเอวพลางตวัดหางเสียงเถียงสะบัด เดือดร้อนถึงคนกลางร่างหมีต้องเข้ามาห้ามศึกตีฝีปากระหว่างเพื่อนรักทั้งสองอย่างไม่มีทางเลือก

“อย่าเพิ่งเถียงกันเลยนะ กูขอร้อง” เต๋อประคองร่างเล็กให้นั่งสงบสติอารมณ์เป็นอันดับแรก จากนั้นจึงปลดเป้ใบเขื่องลงจากไหล่แล้วหยิบน้ำขวดใหญ่ยื่นให้ร่างเล็กที่นั่งหน้าง้ำอย่างไม่สบอารมณ์

“ฟูนั่งนี่นะครับ... อ่ะ... น้ำครับฟู ดื่มหน่อยนะ” หนุ่มสถาปัตย์ไม่ได้แค่เอาน้ำเย็นเข้าลูบ หากแต่หวังว่าน้ำดื่มจะช่วยสูบเอาความขุ่นหมองให้หลุดจากใจของกังฟูจนหมดสิ้นไปพร้อมๆกัน

“ไม่เป็นไร มึงแดกเถอะ... วิ่งมาตั้งไกลไม่ใช่เหรอไง?” กรกฏบอกปัดเสียงแข็ง...

เอาจริงๆ ถ้าไม่มีด้วงนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้อีกคน  เต๋อคงไม่ต้องทนฟังน้ำเสียงกระด้างแบบนี้ให้ยิ่งเหนื่อยไปกันใหญ่...
แต่เพราะเขายังไม่อาจบอกความรู้สึกของตัวเองให้หนุ่มร่างหมีรับรู้ได้...  
กังฟูก็ไม่ใจพอที่ต้องแบกรับความกระดากอาย ไปพร้อมๆกับคอยหลบเลี่ยงสายตาสำรวจตรวจสอบของเพื่อนรักได้แน่ๆ

กระนั้น หนุ่มร่างหมีกลับไม่ได้เอานิยมนิยายอะไรกับท่าทางก้าวร้าวเป็นปกติของพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยเลยสักนิด
เพราะเต๋อคิดแค่อย่างเดียวว่า... บุญเท่าไรแล้วที่พวกเขาทั้งหมดรอดพ้นจากเงื้อมมือของสัตว์หน้าขนมาได้


“เอางี้ ถ้าฟูหิวน้ำเมื่อไร บอกเต๋อนะครับ“

“อื้อ” ร่างเล็กรับคำอย่างว่านอนสอนง่าย เต๋อจึงเปลี่ยนเป้าหมายการแจกจ่ายน้ำดื่มมาเป็นหนุ่มวิศวะผมยาวที่นั่งเหงื่อแตกพลั่กๆอยู่ข้างๆกังฟูแทน

“อ่ะมึง” ด้วงมีทีท่าลังเลอย่างเห็นได้ชัดเมื่อต้องรับน้ำขวดใหญ่จากมือของอริหัวใจ  ทั้งที่ก่อนหน้านี้...เขาดูถูกอีกฝ่ายเสียยกใหญ่กับสิ่งของประดามีที่เต๋อหอบติดตัวมาราวพวกบ้าหอบฟาง  แต่เต๋อก็ยังเป็นเต๋อ... หนุ่มนิสัยดีที่ทำตัวกรังบังหน้าไปวันๆเพื่อกันคนอื่นออกห่างจากตัวเองเท่านั้น

“รับๆไปเหอะน่า... อย่าลีลา เดี๋ยวมึงก็หิวน้ำตายพอดี”

“ขอบใจ”

“แล้วทีนี้พวกเราจะทำยังไงกันล่ะ?” น้ำเสียงร้อนรนของกังฟู ทำให้เต๋อต้องรีบอธิบายเพื่อให้อีกฝ่ายคลายความกังวล

“เดี๋ยวรอดูท่าทีอีกสักพักก็แล้วกัน... รอให้แน่ใจอีกหน่อยว่า เจ้าลายพาดกลอนตัวนั้นมันไม่ได้ตามพวกเรามาถึงนี่”

“แล้วหลังจากนั้นจะเอาไงต่อล่ะ?” ด้วงที่พักยกจากการจิบน้ำถามเสริมทันที

“ก็คงต้อหาทางกลับไปที่บ้านให้ได้เร็วที่สุด...
...น้องรหัสกูบอกว่า น้ำตกอยู่ไม่ห่างไปจากบ้านมันมากนัก...
.
...หลังจากนี้ เราก็แค่แกะรอยกลับไปทางเดิม...
...ระหว่างนั้น ก็ช่วยกันมองหาร่องรอยของลำธาร ไม่ก็ทางน้ำ แล้วเดินตามไปเรื่อยๆ...
...เผื่อว่าสุดท้าย จะเจอทางไปน้ำตก หรือทางเดินเท้าแบบเมื่อครู่ ถึงตอนนั้น...พวกเราค่อยเดินตามทางที่ว่า กลับไปบ้านบ๊วยอีกที”

แม้ว่าคำตอบนี้จะฟังเข้าท่า และมีเค้ารางเป็นไปได้มากที่สุดในความรู้สึกของทุกคน
กระนั้น... ร่างเล็กกลับแย้งออกมาด้วยสีหน้าหงุดหงิดระคนผิดหวัง


“ใจคอมึงไม่คิดจะออกตามหาคนอื่นให้เจอก่อนเหรอ?” ...น้ำเสียงตัดพ้อของกังฟู ทำให้เต๋อรู้ได้ทันทีว่า คนอื่นที่หนุ่มวิศวะกำลังพูดถึงนั้นคือใคร

“ฟูครับ... เราไม่ใช่คนในพื้นที่...
...ยิ่งเราเดินวนอยู่ในป่านานเท่าไร ก็ยิ่งเสี่ยงกับการหลงทิศจนหาทางออกไม่ได้มากขึ้นเท่านั้น...
...เอาไว้ให้พวกเราหาทางกลับไปบ้านบ๊วยได้ก่อน แล้วค่อยมาคิดกันอีกทีว่าจะตามหาคนอื่นๆที่เหลือได้ยังไงดีกว่าไหม?” ตรินให้สติ ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยประโยคให้กำลังใจอีกฝ่าย

“ฟูไม่ต้องห่วงไอ้เก็กมันหรอก ก่อนจะแยกกัน...เต๋อเห็นมันวิ่งจูงมือน้องรหัสเต๋อหนีไปอีกทาง...
...มีบ๊วยที่คุ้นเคยกับที่ทางมากกว่า พวกที่หลงอยู่ทางนั้น น่าจะปลอดภัยมากกว่าพวกเราเสียด้วยซ้ำ”

“ใช่ฟู เราว่าตอนนี้ทุกๆคนก็น่าจะคิดเหมือนๆกัน...
.
...ดีไม่ดี...คนอื่นๆอาจจะกลับไปรอเจอพวกเราที่บ้านกันแล้วก็ได้...
...เราว่า ไม่น่าจะมีใครวิ่งหนีเสือมาไกลแบบเราสามคนหรอก” เมื่อทั้งสองหนุ่มพูดเป็นเสียงเดียวกันแบบนี้... ความวิตกกังวลภายในใจของกังฟูก็บรรเทาเบาบางลงได้ไม่น้อย

“อืม... เอาตามนั้นก็ได้”

“ยังดีนะที่พวกเราทั้งหมดปลอดภัย...
.
...เราว่า ที่เสือตัววิ่งไล่กวดพวกเราจนแตกกระเจิง น่าจะเป็นเพราะว่ามันเองก็ตกใจที่โผล่เข้ามากลางวงของพวกเราเข้าพอดี มากกว่าจะปรี่เข้ามาทำอันตราย” ด้วงตั้งข้อสังเกตประสาคนที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับแผนการของเหล่าสมุนเลวที่สมคบคิดกับเจ้าพ่อทั้งสองแห่งองค์กร ลี้ลับ กับ ศักดิ์สิทธิ์คอร์ปฯ แต่อย่างใด  ซึ่งข้อสันนิษฐานดังกล่าว ทำให้หนุ่มสถาปัตย์ร่างหมีคล้อยตามกับเหตุผลที่ว่าได้ไม่ยาก

“เป็นไปได้... ไม่อย่างนั้นพวกเราคงจะตกที่นั่งลำบากยิ่งไปกว่านี้”

“โชคยังดี... นี่ถ้าอากาศแปรปรวน หรือมีฝนตกหนักสักหน่อย...
.
...พวกเราต้องพลอยวิ่งหนีเสือตัวนั้นกันด้วยความยากลำบาก ไม่ก็ล้มลุกคลุกคลานกันจนได้แข้งขาหักกันไปก่อนแน่ๆ” ด้วงรำพึง... ลำพังแค่โดนเสือกวดเอาตอนแดดจ้าฟ้าใส พวกเขาก็โดนหนามเกี่ยวจนตัวลายพร้อยไปหมดแล้ว

“ไม่ใช่แค่วิ่งหนีลำบากหรอก...
.
...ถ้าฝนตก การแกะรอยเท้าเพื่อเดินกลับไปยังจุดเริ่มต้นก็จะยิ่งยากไปกันใหญ่” เต๋อให้ข้อมูลเพิ่มเติมแก่เพื่อนร่วมชะตากรรมทั้งสอง

“แต่ถ้าฝนตกลงมาตอนนี้ก็ดีนะ... กูร้อนฉิบหายเลยว่ะ ป่าแถวนี้แม่งโคตรทึบ...ทึบซะจนไม่มีลมพักซักกะแอะ!” กังฟูผู้ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมบ่นพลางกระพือคอเสื้อเพราะความอบอ้าวในอากาศที่เพิ่มสูงขึ้นจนน่าประหลาดใจ

ทันทีที่พี่ชายอดีตเดือนมหาลัยพูดจบ ดวงตาคู่คมของเต๋อที่มองไปยังท้องฟ้าด้านหลังกังฟูก็เบิกกว้างด้วยความตกอกตกใจ
ให้อารมณ์คล้ายๆกับพระเอกหนังกู้โลกเห็นยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาวเข้ามารุกรานแผ่นดินแม่เป็นครั้งแรกอย่างไรอย่างนั้น


“กะเทย!!!” หนุ่มร่างหมีออกอาการปากคอสั่นระหว่างหันไปกระซิบกระซาบกับด้วงที่เพิ่งหยัดตัวขึ้นยืนเพื่อคลายความรู้สึกเมื่อยขบ

“อะไร?”

“กูว่าหลังจากนี้ มึงต้องคอยห้ามไม่ให้ฟูพูดอะไรแปลกๆซะแล้วล่ะ” เต๋อเริ่มออกอาการลุกลี้ลุกลน จากนั้นจึงกวาดสายตามองหาทางหนีทีไล่เสียแต่เนิ่นๆ  ซึ่งท่าทางเสียอาการของคนพูดจากำกวม ทำให้ด้วงอดหงุดหงิดจนขึ้นเสียงไม่ได้

“ทำไม?!!

“โน่นไง... มึงดูสิ!!!” หนุ่มสถาปัตย์บุ้ยใบ้ไปทางด้านหลังด้วยสีหน้าตื่นตระหนกยิ่งกว่าเผลอจ้องตาเสือตัวเมื่อครู่

หนุ่มผมยาวจึงต้องเบือนหน้าไปจับจ้องยังจุดเกิดเหตุอย่างช่วยไม่ได้...
และแล้วด้วงก็เข้าใจในประโยคของเต๋ออย่างสุดซึ้งถึงกึ๋นไม่ต่างกัน นั่นจึงทำให้เขาหลุดปากสบถแบบผิดวิสัยคุณชายพดด้วงผู้แสนสุภาพ


“ซวยแล้ว!!

“กังฟูแม่งปากพระร่วงจนน่ากลัวเกินไปแล้วว่ะ” เต๋อพูดพลางยืดเส้นยืดสายอีกครั้งเพื่อเตรียมตั้งรับกับเมฆฝนก้อนใหญ่ที่ตั้งเค้ามาแต่ไกล  พนันได้เลยว่า... อีกไม่ถึงห้านาที พวกเขาจะได้วิ่งหนีฝนต่อจากเสือกันอีกยกเป็นแน่








“คุณ...ทำไมคุณถึงไม่ยอมให้ผมไปช่วยกลุ่มเจ้าแฝดล่ะ?” เจ้าพ่อห่อไหล่ที่เดินวนไปวนมาด้วยความว้าวุ่นอดตั้งคำถามขึ้นมาไม่ได้

“เบ๊บครับ เชื่อบันยันเถอะนะ... อย่าเพิ่งให้พวกนั้นรู้จะดีกว่าว่าเราทั้งสองตนกำลังทำอะไรกันอยู่” เจ้าพ่อไทรทองลอยเข้ามาคลอเคลียกับเทวบุตรอีกองค์ ก่อนจะวิงวอนขอให้อีกฝ่ายทำใจให้สงบ

“แต่พวกของเจ้าแฝดพี่ก็เดาได้แล้วนะว่าแผนการทั้งหมดนี่เป็นฝีมือของเราสองตน” โฮลี่ฮิปสเตอร์อดสงสัยไม่ได้

“ถ้าเป็นเจ้าพวกนั้น... ไม่ว่าจะเร็วหรือช้า ก็ต้องเดาได้อยู่แล้วล่ะครับว่าเป็นแผนของบันยัน... 
.
...แต่บันยันต้องการให้พวกของเจ้าสมุนเลว  เป็นผู้เฝ้าดูเหตุการณ์มากกว่าจะผันตัวเข้ามาพัวพันกับเหล่าตัวละครเอกนะครับเบ๊บ” เทวบุตรสุดชิคอธิบายอย่างใจเย็น

“แต่ก็ใช่ว่าอีกสองกลุ่มจะมีแต่ตัวละครเอกเท่านั้นสักหน่อยนี่ครับไทรทอง” เจ้าพ่อห่อไหล่แย้งทันควันด้วยความเป็นจริงไม่สอดคล้องกับสิ่งที่เจ้าพ่อไทรทองเพิ่งเฉลยให้ฟังไปหมาดๆ   

กระนั้น... แม้หลักฐานประกอบเหตุผลของโฮลี่ฮิปสเตอร์จะจะแจ้งแค่ไหน... 
องค์เทพสายบู้กลับเกริ่นนำคำตอบที่นอกจากจะไม่ช่วยคลายความสงสัย รอยยิ้มเจ้าเล่ห์กับท่าทางอมภูมินั่นก็ยิ่งเสริมส่งให้เจ้าพ่อห่อไหล่ไม่อาจวางใจกับสถานการณ์ได้มากนัก


“เบ๊บคงต้องอดใจรอดูแล้วล่ะครับ...
.
...อีกไม่นานหรอก ตัวละครเอกทั้งหมดก็จะอยู่ในที่ๆควรอยู่แบบครบคู่เสียที”  เจ้าพ่อไทรทองว่าพลางหลับตาและยกสองกรขึ้นประนมเพื่ออธิษฐานจิตทันที

“แล้วนี่คุณจะตั้งจิตทำไมครับไทรทอง?”

“บันยันต้องให้คิวพระพิรุณเสียหน่อยครับเบ๊บ...
.
...ดูเหมือนท่านกำลังจะต้องส่งมอบลูกๆสุดที่รักของท่านมาประกอบฉากในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แล้วล่ะ” ...ว่าแล้ว เทวบุตรสุดชิคก็หลุดเข้าไปในภวังค์แห่งกระแสจิตสื่อสารโดยพลัน


Ħ------------------------------------------------------------------------Ħ


วู้ววว!! บ๊วยยยยย!!!... คุณธันวาาาาาาาาา!!

พี่เต๋ออออออออออออออ!ฌานป้องปากตะโกนสลับจังหวะกับสกล โดยปล่อยหน้าที่นำทางให้แก่แฝดน้องที่กำลังปรึกษากับลมกับฟ้าด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง

“ไปทางนี้ครับพี่ชาย” ฌอนที่เพิ่งได้รับคำยืนยันเกี่ยวกับทิศทางจากการหยั่งรู้ของพี่พลายไปเมื่อครู่ ก็ออกเดินนำสมาชิกอีกสองคนไปยังทางแยกซ้ายมือด้วยความมั่นใจ  ทันทีที่หัวขบวนเคลื่อนไหว...คนเดินต่อท้ายทั้งสองก็โก่งคออย่างต่อเนื่อง


 “บ๊วยยยยยยยย!!

ไอ้เก้กกกกกกกกกกกกกกก!!


 ( ...บ๊วยยยยยยยยย!!...)


“พี่ฌานครับ... เมื่อกี๊พี่ฌานได้ยินอะไรไหมครับ?” สกลรั้งแขนฌอนที่กำลังจะเดินต่อให้หยุดโดยไม่ละสายตาจากใบหน้าตื่นเต้นของแฝดพี่

“สกล...คราวนี้ตะโกนให้ดังๆเลย น้องพลายบอกว่าพี่โป่งอยู่ข้างหน้านี่เอง” แฝดน้องรีบคอนเฟิร์มความเข้าใจของเพื่อนหน้าแว่นด้วยข้อมูลจากเด็กวิเศษ  แต่ก่อนที่สกลจะเปล่งเสียงร้องเรียกไกด์กิตติมศักดิ์ของทริปในวันนี้...แฝดพี่กลับยกมือขึ้นห้าม แล้วตามด้วยประโยคคำสั่งแบบรวบรัด

“เดี๋ยวก่อน!... ถ้าพวกเราเจอหน้าพี่โป่ง อย่าบอกว่าพวกเราเจอเสือนะ”

“อ้าว! ไหงงั้นล่ะครับ?” สกลถึงกับเลิกคิ้วด้วยความสงสัย

“ก็ถ้าพี่โป่งรู้ว่าสาเหตุที่ทำให้พวกเราวงแตกเป็นเพราะเสือ... สกลไม่คิดเหรอว่า ผู้คนแถวนี้จะขวัญหนีดีฝ่อไปถึงไหนๆ?”

“อืม...ก็จริงนะครับ ถ้าพูดปากต่อปากกันไปมากๆเข้า จากเสือปลอมของเจ้าพ่อทั้งสอง...อาจจะบานปลายกลายเป็นการล่าเสือไปเลยก็ได้” ฌอนวิเคราะห์ผลที่อาจจะตามมาบนพื้นฐานความคิดอันรอบคอบของพี่ชาย

“เอาเป็นว่า เดี๋ยวไว้เป็นหน้าที่พี่ฌานอธิบายกับพี่โป่งเองก็แล้วกัน... ตกลงตามนี้นะ” สกลพยักหน้าหงึกหงักด้วยความเข้าอกเข้าใจโดยไม่ออกอาการเกรียนใส่เหมือนยามที่โลกอยู่ในภาวะสันติ

“สกลรีบเรียกพี่โป่งเถอะ แกกำลังจะเดินไปทางอื่นแล้ว” ฌอนเร่งเพื่อนหน้าแว่น


พี่โป่งงงงงงงงงงคร๊าบบบบบบบ!

 (...แนนนนนนนนนนนน!...)


“เดินตรงไปเรื่อยๆครับพี่ชาย...น้องพลายบอกว่าข้างหน้านี่แหละ อีกเดี๋ยวก็เจอกัน... เอาให้เต็มที่เลยสกล!

พี่โป่งงงงงงงงงงง!!

 (แนนนนนน!!!)

“ใกล้แล้วครับพี่ชาย.... พี่โป่งงงงงงงงงงง!!

พี่โป่งงงงงงง/พี่โป่งคร๊าบบบบบบบบบบบบ!” เสียงตะโกนครั้งสุดท้ายของทั้งแฝดพี่และสกลมาจากความดีใจ เมื่อร่างสันทัดเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อของชายวัยสามสิบกว่าๆปรากฏขึ้นในคลองจักษุ

“เฮ่อ! แนน...ค่อยยังชั่ว!!! พวกเราไม่เป็นอะไรกันใช่ไหม?” โป่งตั้งหน้าตั้งตาถามทั้งสามหนุ่มด้วยน้ำเสียงตื่นๆ

“พี่โป่ง! พี่โป่งจริงๆด้วย!!!!... พวกผมปลอดภัยดีครับพี่” สกลปรี่เข้าไปกระโดดโลดเต้นรอบๆตัวของผู้ช่วยเจ้าของไร่ที่ชายหนุ่มคุ้นเคยเป็นอย่างดีประหนึ่งสมาชิกในครอบครัวของแม่บัวและพ่อเขียว

“แล้วเมื่อกี๊แนนกับเพื่อนๆหายไปไหนมา?...
.
...พี่นี่โคตรตกใจเลยว่ะที่หันหลังกลับมาก็ไม่เห็นใครสักคน...
...แล้วบ๊วยกับคนอื่นๆล่ะ ไปไหนกันหมด?”

“ตอนที่พี่เดินนำทางอยู่ข้างหน้า พวกผมที่เดินข้างหลังเกิดท้ากันให้เขย่าต้นไม้ที่รังผึ้งใหญ่ทำรังอยู่น่ะครับ...
.
...รู้ตัวอีกที พวกผมก็วิ่งหน้าตั้งหนีผึ้งกันไปคนละทิศละทางโดยไม่ได้บอกพี่ให้รู้ก่อน” ข้อข้องใจของโป่งถูกน้ำเสียงทุ้มนุ่มน่าฟังเปี่ยมพลังและบารมี กับมาดอันน่าเชื่อถือของฌานหักล้างความน่าสงสัยไปได้กว่าครึ่ง...

นี่ถ้าลองให้จอมลุกลี้ลุกลนอย่างสกล หรือคนหน้าตึงอย่างแฝดน้องเป็นคนตอบคำถามข้อนี้
มีหวังอีกฝั่งต้องตั้งโต๊ะสอบสวนพวกเขาจนพรุนไปก่อนแน่ๆ


“แปลกแฮะ... ถ้าเป็นผึ้งจริงๆ ทำไมพี่ไม่โดนลูกหลงไปด้วยเลยล่ะ?” ชาวไร่หนุ่มถามด้วยยังไม่ปักใจเชื่อเสียทีเดียวจนแฝดพี่นึกอยากได้คาถาเป่ากระหม่อมเพื่อกล่อมให้อีกฝ่ายหลับหูหลับตาเชื่อคำอธิบายของเขาเสียให้รู้แล้วรู้รอด  

“พวกมันคงแค้นพวกผมมากกว่าพี่ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรด้วยน่ะครับ” ร่างทรงหนุ่มตอบเรียบๆ

“อย่างนั้นเองหรอกเหรอ?”

ครับ” ทั้งสามต่างรับคำของโป่งอย่างแข็งขัน ซึ่งนั่นทำให้หนุ่มชาวไร่จำต้องเชื่อเหตุผลแปลกประหลาดนั้นไปโดยปริยาย ก่อนจะย้ายไปถามถึงประเด็นถัดมาที่น่าเป็นห่วงไม่แพ้กัน

“ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าคนอื่นๆก็วิ่งหนีสะเปะสะปะกันไปหมดเลยล่ะสิ?”

“ครับ”

“งั้นพวกเราคงต้องตามพี่กลับไปที่บ้านก่อนแล้วแหละ พี่จะได้ระดมคนงานมาช่วยกันตามหาคนอื่นๆให้ได้ก่อนที่จะหลงทางหลุดเข้าเขาใหญ่ไป” โป่งสรุปรวดเร็วแล้วจึงเดินนำทั้งสามหนุ่มมุ่งหน้ากลับไร่โดยไม่รั้งรอ








“เก็ก... นั่งลงก่อนเถอะ เดี๋ยวเขาก็กลับมา” อดีตเดือนบริหารในโหมดไร้สติหว่านล้อมแฟนเก่าที่ตกอยู่ในสภาวะร้อนรนจนคนเฝ้ามองลายตา

“อิ๊ก นั่งรออยู่ตรงนี้ก่อนได้หรือเปล่า? เดี๋ยวเก็กมา” ธันวาเอ่ยปากถามคนรักเก่าด้วยน้ำเสียงจริงจังจนอีกฝ่ายรับรู้ได้ถึงความว้าวุ่นภายในใจของอดีตเดือนมหาลัย หลังจากแฟนใหม่ของเก็กหายลับไปจากสายตาได้สักพัก ทว่าอคิรากลับทักท้วงและเว้าวอนไปพร้อมๆกัน  

“จะไปตามเหรอ?... อย่าไปเลยนะ อิ๊กไม่อยากอยู่คนเดียว... อิ๊กกลัว”  

“ไม่ต้องกลัวหรอก ถ้าเสือตัวนั้นมันยังอยู่แถวนี้ มันก็น่าจะโผล่ออกมาตั้งนานแล้วล่ะ...
.
...นะ อิ๊กรออยู่นี่แป๊บเดียวได้ไหม? เก็กจะรีบไปรีบกลับ” หนุ่มวิศวะรูปงามแทบจะคุกเข่าขอความเห็นใจจากอดีตคนรักให้ยินยอมแต่โดยดี

“เก็กอย่าไปเลย! ถ้าเก็กหลงไปอีกคนจะยุ่งนะ” ...นี่เป็นครั้งแรกที่อิ๊กอดเห็นด้วยกับตัวเองในเวอร์ชันไร้สติไม่ได้...

ก็ถ้าไอ้แฟนเก่าเฮงซวยหายหัวไปอีกคน เขาอาจจะโดนเสือคาบไปกินเป็นอาหารว่างแกล้มน้ำชายามบ่ายก็เป็นได้...
โฮ!! ไม่นะ อิ๊กยังไม่อยากตาย...ชีวิตนี้ อิ๊กยังไม่ได้สัมผัสรักแท้เลยสักครั้ง!!!!


“เก็กไม่หลงหรอก... เก็กจะเดินไปตามทางเดียวกันกับบูบู้นั่นแหละ” อดีตเดือนมหาลัยพยายามเกลี้ยกล่อมอย่างเต็มที่ ด้วยคิดถึงแต่เพียงสวัสดิภาพของแฟนตัวน้อยเท่านั้น...

แค่อีกฝ่ายยินดีปล่อยให้เขาตามหาชายกลาง...
ความรู้สึกผิดที่คิดจะชิ่งหนีหนุ่มร่างบางไปตามหาบ๊วยโดยไม่บอกไม่กล่าวที่กัดกินใจ คงจะลดลงไปได้อีกโข

แต่แทนที่ความวุ่นวายใจของธันวาจะทำให้อคิรารู้สึกเห็นใจ...
อีกฝ่ายกลับโผตัวเข้าใส่ แล้วกอดรวบร่างเขาเอาไว้แล้วร้องขอความเห็นใจไม่ต่างจากฉากดราม่ากอดขาคว้าเข่าในละครตอนเย็น  


“ไม่เอา! อิ๊กไม่ให้ไป!!” อดีตเดือนบริหารส่งเสียงอ้อนวอนโหยหวนชวนให้ขนอ่อนของเก็กลุกชันด้วยความแขยง  

“อิ๊ก!! ปล่อยยยยยย!! อย่าทำแบบนี้!!!!!!” ร่างสมส่วนทั้งผลัก ทั้งดันร่างบางให้ออกห่างตัว... แต่ความน่ากลัวของอคิราในยามนี้กลับไม่มีขีดจำกัดแต่อย่างใด

“ไม่!! อิ๊กไม่ปล่อย! เก็กรู้ไหม...อิ๊กรอเวลาที่จะอยู่ลำพังกับเก็กมาตลอดเลยนะ” อิ๊กที่กอดอีกฝ่ายแน่นแม้นเป็นตุ๊กแกกลับชาติมาเกิดเอ่ยด้วยเสียงกระเส่า

เมื่อพูดจบ... อดีตเดือนบริหารก็ไถเบ้าหน้าหวานทว่าเยินผิดลุคไปตามกล้ามอกล่ำที่มีเพียงผ้ายืดของเสื้อคอวีบางๆกั้นอยู่
โดยทำปากยู่เหมือนปลาบู่ขาดน้ำตอดไปตามเนื้อผ้าที่ริมฝีปากบางๆนั่นลากผ่าน   

ทว่าในขณะเดียวกันนั้นเอง...
สติรับรู้ซึ่งถูกขังอยู่ภายในก็กำลังร่ำไห้ด้วยความรู้สึกสะอิดสะเอียนประหนึ่งเมาจนเผลอไปเบี้ยนกับเพื่อนสาวก็ไม่ปาน


“เฮ่ยยยย!! แล้วนี่จะหื่นทำไมเนี่ย? ปล่อยเก็กซักทีดิวะ!!” เก็กร้องโวยวายพลางใช้มือข้างหนึ่งยันหัวอิ๊กให้ห่างจากลำตัว ส่วนอีกข้าว...ก็กำลังนัวกับการปัดมือที่ป่ายไปตามร่างทั้งหน้าทั้งหลังอย่างช่ำชองออกให้พ้นตัวเป็นพัลวัน...

นี่เขาเดินมาถึงจุดนี้ได้ยังไง?...จุดที่อดีตเดือนมหาลัยอย่างเขา กลายร่างเป็นไส้เดือนโดนขี้เถ้าสาดใส่
เพราะไม่อาจสู้กำลังกับร่างบางได้ทั้งที่ไซส์ผิดกันราวพ่อกับลูก?!!  


“ไม่!!! อิ๊กจะทำให้เก็กลืมคนอื่นไปให้หมดเอง!” อคิรายื่นคำขาดโดยไม่ยอมรามือทั้งสอง พร้อมทั้งขัดขืนเบ้าหน้าจนเป็นอิสระได้ในที่สุด ไม่เท่านั้น... ขาทั้งสองข้างก็สลับกันคุกคามก่ายแข้งก่ายขาอ่อนของเก็กเป็นพักๆจนชักจะรุงรังไปกันใหญ่

ซึ่งบอกเลยว่าไอ้เหตุการณ์คาบลูกคาบดอกที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า...
นำพาให้สติของอดีตเดือนบริหารที่ถูกกักกันเอาไว้ หลั่งน้ำตาไหลออกมาเป็นปี๊บๆ...
แม่เจ้า!! ชื่อเสียงของเขาในฐานะเกย์รับที่วางตัวดีไม่มีข่าวคาวมาตลอดหนึ่งปี ถึงคราวป่นปี้ฉิบหายไม่เหลือชิ้นดีเอาวันนี้นี่เอง!!  


“ปล่อยซักทีสิเว่ยยยยยย!!!! สิ้นคำ...ร่างสูงสมส่วนก็สะบัดตัวกระชากไปทางซ้ายและขวาอย่างไม่ปรานีปราศรัย ด้วยหวังจะให้แรงเหวี่ยงช่วยกำจัดติ่งเนื้อดิ้นได้ที่ถือเป็นส่วนเกินออกไปให้ได้โดยเร็วที่สุด

อนิจจา... มนตราอันเป็นผลแห่งพรของเจ้าพ่อไทรทองกลับรุนแรงเสียจนทำให้ทั้งสองร่างล้มระเนระนาดจนพลาดมานอนกองทับกันเหมือนฉากชวนใจสั่นของพระเอกและนางเอกในนิยายขายฝันราวกับมีใครจัดฉาก

ซึ่งอดีตเดือนมหาลัยกลับเป็นฝ่ายกำลังอยู่ในภาวะซวยถึงขีดสุด เพราะเขาดันตกเป็นเบี้ยล่างของร่างบางเสียอย่างนั้น  
มิหนำซ้ำ... ภาพล่อแหลมชวนคิดมากดังกล่าวกับเกิดขึ้นตำสองตาของผู้ที่เพิ่งเดินกลับมาเข้าฉากอย่างบ๊วยเสียเฉยๆ...
โดยที่เก็กไม่ทันรู้ตัวเลยว่า งานราษฎร์งานหลวงกำลังห้อมล้อมข้าหาตัวอยู่รอมร่อเต็มที!!


“เก็ก... เรามารำลึกความหลังกันเถอะนะ!!” อคิราผู้ไร้สติเหนี่ยวนำเร่งกระทำการอุกอาจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด...

แขนขาเล็กเรียวกระหวัดรอบตัวเก็กราวกับเป็นลูกหมีโคอาล่าแบเบาะเกาะหน้าท้องแม่
ส่วนใบหน้าที่ทำปากจู๋นำร่องก็จ้องจะแหย่ไปให้ถึงริมฝีปากของอดีตเดือนมหาลัยอย่างมุ่งมั่น


“เมื่อไรจะหยุดบ้าได้ซักทีวะอิ๊ก?! ปล่อยเก็กเหอะ...เก็กขอร้อง!!!” หนุ่มรูปงามพยายามเลี่ยงหนีตราประทับแห่งจอมมารที่หว่านแหจูจุ๊บด้วยการหลุบหน้าหลบจนครบสามร้อยหกสิบองศา ซึ่งเมื่อหมุนคอไปรอบๆแบบนั้น ก็ทำให้หางตาของเก็กเหลือบไปเห็นใบหน้าช็อกซีนีม่าของชายกลางที่ยืนอ้าปากค้างอยู่ไม่ไกลเข้าจนได้

เหี้ยยยย!!!” คงไม่มีคำอุทานใดสาสมกับระดับความละเหี่ยใจเป็นที่สุดของธันวาได้มากกว่าคำนี้อีกแล้ว


“เอ่อ... พอดีตรงโน้นมีลำธารอยู่ เดี๋ยวพอพวกคุณคุยกันเสร็จเมื่อไร ค่อยเดินตามผมไปก็ได้นะครับ” บ๊วยพูดด้วยน้ำเสียงโมโนโทนเหมือนโดนกระซวกวิญญาณออกไปด้วยฉากเกือบอนาจารงานกลางแจ้งตรงเบื้องหน้า...

แล้วสรรพนามห่างเหินไอ้คุณๆ ผมๆที่ร่างผอมเพิ่งพูดออกมาเมื่อครู่นี้น่ะมันหมายความว่าอะไร๊?!!!
ถ้าจะต้องรับมือกับปัญหาทั้งเก่าและใหม่ไปพร้อมๆกัน ก็ช่วยจั่วหัวสถานะของชีวิตหน่วงๆในจังหวะนี้ว่า พระเอกต้องร้องเหี้ยหนักมากให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยเฮอะ!

จากที่เก็กแอบปลงว่าคงต้องรอให้ฟ้าผ่าลงมาเสียก่อนถึงจะสลัดอิ๊กหลุดได้
กลับกลายเป็นว่า เมื่อบ๊วยเข้าใจผิดได้ที่...เรี่ยวแรงและความมุ่งมั่นประมาณผีแม่หม้ายตายโหงของอคิราก็หายวับไปเสียดื้อๆ

เมื่อมือไม้ของคนรักเก่าไม่ยุ่บยั่บคลุ้มคลั่งเหมือนก่อน ธันวาก็ผลักให้ลูกหมีโคอาล่าปากปลาบู่นอนหงายลงกับพื้น
แล้วจึงกระวีกระวาดดีดตัวลุกขึ้นจนมึนหัว ก่อนจะออกวิ่งด้วยท่าทางทุลักทุเลตามแผ่นหลังของชายกลางไปในทันใด 
ระหว่างนั้น... ก็ไม่ลืมร้องแรกแหกกระเชอให้แฟนตัวน้อยเห็นใจ...ผ่อนฝีเท้าหยุดรอตน  แม้จะรู้ว่าความหวังนั้นช่างหม่นหมองเสียเหลือเกินก็ตามที


บูบู้!!!! บูบู้รอเค้าด้วย เค้าไปด้วย!!!!


ฝ่ายอิ๊ก...ก็นอนมองฟ้าสีครามด้วยความงุนงง เพราะยังตกลงกับตัวเองไม่ได้ว่า
ระหว่างความรู้สึกละอายใจ กับความรู้สึกอยากตายชั่ววูบชั่วยาม  เขาควรจะจัดลำดับก่อนหลังอย่างไรดี?
เพราะจนกระทั่งตอนนี้  ร่างบางก็ยังไม่เข้าใจการกระทำที่เกิดขึ้นด้วยน้ำมือของตัวเองเมื่อครู่เลยสักนิด











“ไอ้ฝนห่า!! อยู่ๆก็เสือกตกลงมาได้... ดูซิ! เปียกลามไปถึงกางเกงในแล้วเนี่ยะ!!” กังฟูบ่นอย่างหัวเสียระหว่างวิ่งดุ๊กๆตามหลังเต๋อไปติดๆท่ามกลางสายฝนที่ตกแบบไม่ลืมหูลืมตา

“ฟู! อย่าพูดแบบนี้อีกนะ!!” ด้วงที่วิ่งรั้งท้ายห้ามปรามเสียงหลง ด้วยยังติดใจกับคำพูดของเต๋อเมื่อครู่ไม่หาย

“ทำไมกูจะพูดไม่ได้?! อากาศแม่งไว้ใจไม่ได้ฉิบหาย... 
.
...เมื่อกี๊กูก็แค่ร้อนจนเผลอบ่นนิดๆหน่อยๆ...
...ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ท้องฟ้าน้อยใจจนต้องร้องไห้ออกมาจริงๆนี่หว่า!” ร่างเล็กเถียงข้างๆคูๆเพราะรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าตัวเองน่าจะผิดเต็มเปา

“รีบวิ่งเถอะครับฟู...
.
...พวกเราต้องหาที่กำบังฝนให้ได้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นคงได้ตากฝนกันจนเป็นหวัดแน่ๆ” เต๋อผินหน้ากลับมาเร่งพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยให้หยุดพะวักพะวนจนช้าไปทั้งขบวน

“แม่ง! อะไรกันนักหนาวะ?... ตอนแรกก็เจอเสื...เอ๊ย! เจอไอ้ตัวเหลืองๆนั่นแหละ! จนต้องมาหลงป่า...
...พอกำลังจะหาทางออก ฝนก็เสือกตกลงมาเสียอีก...
.
...ถ้าจะน้ำเน่าได้โล่ขนาดนี้... ทำไมถึงไม่มีกระท่อมปลายนาโผล่มาให้หลบเข้าไปนอนแก้ผ้าผิงไฟกอดกันเลยเล่า?” กังฟูตะโกนประชดชีวิตเสียดังลั่นป่าอย่างเหลืออด  จนเพื่อนรักต้องย้อนเข้าให้เพราะอดรนทนฟังไม่ได้  

“ฟู!!!!!! จำที่สกลบอกไม่ได้เหรอว่าอย่าพูดจาท้าทายอะไรในป่าในเขาแบบนี้? ครั้งก่อนก็ทีนึงแล้ว... ฟูจำไม่ได้เหรอ?”

“ก็ให้มันมีกระท่อมโผล่ขึ้นมาตรงหน้ากูก่อนสิ กูจะได้หุบปากให้เงียบกริ๊บเลย!” ร่างเล็กผู้ยังไม่รู้ซึ้งถึงอานุภาพของการพูดจาท้าทายในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งจับต้องไม่ได้ก็ยังคงโวยวายต่อไป

ถึงอย่างนั้น... แทนที่ด้วงจะได้เป็นผู้ท้าชิงลับฝีปากกับกังฟู
กลับกลายเป็นร่างหมีที่จู่ๆก็หยุดนิ่งอยู่กับที่แบบกะทันหัน เอ่ยขัดออกมาด้วยน้ำเสียงประหวั่นพรั่นพรึงโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ


“สงสัยฟูคงจะต้องหุบปากไปตลอดทั้งวันแล้วล่ะครับ”

“เอ๊ะ! ไอ้สัดเต๋อ!!... แล้วทำไมกูจะต้องเงียบด้วย?” กรกฏในโหมดติดอาวุธครบมือซึ่งยังหงุดหงิดติดลมบน แหวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจใส่เต๋อทั้งที่ไม่ใช่เป้าหมายหลัก  

กระนั้น...ความสงสัยของพี่ชายอดีตเดือนมหาลัย...กำลังปรากฏกายตระหง่านขึ้นตรงหน้าของหนุ่มร่างหมีแบบไร้ที่มาที่ไป และดูไม่เข้ากับบรรยากาศป่าเขาลำเนาไพรเขียวพรึ่ดไปหมดเป็นที่สุด  


“ก็นั่นยังไงล่ะครับฟู” หนุ่มสถาปัตย์หลบฉากเพื่อเผยภาพชวนขนตั้งชันตรงหน้าให้กังฟูและด้วงได้ชื่นชมเป็นขวัญตาโดยพร้อมเพรียงกัน

เหี้ย?!!!!!” เสียงอุทานของกรกฏดังก้องโสตของร่างสูงทั้งสอง...

สิ่งปลูกสร้างซึ่งตั้งอยู่ห่างออกไปไม่ถึงห้าเมตรที่ทำให้กังฟูต้องอ้าปากค้างอยู่ครู่ใหญ่  คือ กระท่อมน้อยปลายนาไม่ผิดแน่
แต่เฮ่ย!! นี่มันกลางป่า... ใครมันจะบ้าสร้างกระท่อมกรุสังกะสียกพื้นสูงทิ้งเอาไว้ให้ดูต่างหน้ากันล่ะเฮะ?!!


“ไม่ต้องตกใจไปหรอกครับฟู... พวกเราเข้าไปหลบฝนกันก่อนเถอะนะ” เต๋อลูบแผ่นหลังเปียกโชกของกังฟูเบาๆเพื่อปลอบไม่ให้ร่างเล็กตื่นตกใจ...

ขณะนี้พวกเขาไม่มีทางเลือก เพราะหลังจากวิ่งหาที่หลบฝนกันหัวซุกหัวซุนมากว่าสิบนาที
ทว่ากลับไม่มีวี่แววของถ้ำ หรือชะง่อนหินให้เห็นแม้แต่น้อย ถ้าขืนยังวิ่งอย่างเลื่อนลอยด้วยหวังพึ่งน้ำบ่อหน้า
นอกจากจะเสี่ยงกับการเป็นไข้กันถ้วนหน้า  อาจจะทำให้ยิ่งถลำตัวหลงลึกเข้าไปในป่าโดยหาทางออกไม่ได้อีกเลย


“ไปกันเถอะฟู... หลบฝนข้างในกระท่อมนั้น ย่อมต้องดีกว่าวิ่งตากฝนอยู่ตรงนี้อยู่แล้วล่ะ” ด้วงสรุปด้วยเห็นพ้องกับเต๋ออย่างไม่มีข้อสงสัย... แล้วพี่ชายอดีตเดือนมหาลัยจะค้านอะไรได้อีก

“เออ เออ... พวกมึงเดินนำไปเลย!!” ร่างเล็กเอ่ยอย่างหัวเสีย...

เสือเหี้ย!...
ฝนเหี้ย!...
กระท่อมโคตรเหี้ย!!...
ยังมีอะไรที่จะทำให้สถานการ์ณยิ่งเหี้ยมากไปกว่านี้รอพวกเขาอยู่อีกไหมวะสัด?!!!








“พี่ฌานครับ... ฌอนศรีหายไปครับ!!” สกลวิ่งหน้าตาตื่นมารายงานความผิดปกติกับแฝดพี่ทันทีที่โป่งนำพวกเขาทั้งหมดกลับมาถึงบ้านของบ๊วยได้อย่างปลอดภัย   ฝ่ายผู้ช่วยเจ้าของไร่ เมื่อวางใจกับความปลอดภัยของอาคันตุกะหนุ่ม ชายชาวไร่ก็ขอปลีกตัวไปจัดเตรียมคนงานบางส่วนมาออกตามหาชาวคณะที่วิ่งเตลิดหายไปทันที  

“อืม... พี่ฌานรู้แล้ว” แฝดพี่ที่ดูไม่ตื่นเต้นกับข่าวล่ามาเร็วดังกล่าวสักเท่าไร กลับให้รายละเอียดเพิ่มเติมแก่เพื่อนหน้าแว่นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ก็หายไปตั้งแต่ตอนที่พวกเราทั้งหมดเดินมาถึงชายป่าใกล้กับไร่นั่นแหละ”

“อ้าว?! แล้วทำไมพี่ฌานไม่ห้ามฌอนล่ะครับ? น้องทั้งคนนะนั่น!!!!!” สกลโอดด้วยความเป็นห่วงเพื่อนอีกคน  แต่เพราะฌานรู้ถึงเหตุผลที่ทำให้น้องชายฝาแฝดตัดสินใจดั้นด้นเดินกลับเข้าป่าไปเป็นอย่างดี จึงไม่คิดรั้งให้อีกฝ่ายร้อนรน

“ไม่ต้องคิดมากไปหรอกสกล... น้องชายมีพ่อพลายคอยนำทางให้ ยังไงก็ไม่มีทางหลงป่าหรอก... เว้นเสียแต่ว่า...” ช่องไฟของแฝดพี่ทำให้สกลใจไม่ดี

“เว้นเสียแต่ว่าอะไรเหรอครับพี่ฌาน?”

“เว้นเสียแต่ว่าน้องชายจะหักโหมร่างกายเกินกว่าเหตุ...
.
...เพราะพอฌอนเหนื่อยมากๆทีไร ก็ได้กลายเป็นภาชนะให้เหล่าสัมพเวสีเร่ร่อนทั้งที่เจ้าตัวไม่เต็มใจไปเสียทุกครั้งน่ะสิ” ฌานอธิบายด้วยสีหน้าหนักใจ

“แต่พี่พลายก็อยู่ด้วยไม่ใช่เหรอครับ?”

“พี่ฌานก็หวังว่าพ่อพลายจะช่วยแก้ไขทุกอย่างได้ทันการณ์เหมือนกันนั่นแหละ...
.
...แต่สกลก็รู้ไม่ใช่เหรอ... พ่อพลายน่ะเป็นแค่เด็กอายุไม่กี่ขวบ บางที...อาจจะมีจังหวะที่พ่อพลายเผลอไผลได้เหมือนกัน” แฝดพี่พยายามปลอบใจตัวเองไปในทางที่ดีเพื่อไม่สร้างความยุ่งยากใจให้เพื่อนหน้าแว่นมากไปกว่านี้

“สาธู้!!! ขออย่าให้เป็นอย่างนั้นเลยครับ แค่นี้ก็ยุ่งจะตายอยู่แล้ว!” สกลพึมพำกับลมกับฟ้าด้วยหวังว่าคำขอของเขาจะเป็นจริง

“อืม... พี่ฌานก็หวังอย่างนั้นเหมือนกัน”  แฝดพี่พยักหน้าปลงๆ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องเกริ่นนำกลับเข้าสู่หัวข้อสำคัญ ที่อีกฝ่ายต้องทำความเข้าใจโดยเร่งด่วน “เออนี่สกล”

“ครับพี่ฌาน?”

“เดี๋ยวถ้าพี่โป่งแกรวบรวมคนงานได้เมื่อไร พี่ฌานจะให้สกลอยู่โยงที่บ้านนี่แหละนะ...
.
...สกลจะได้คอยอยู่เป็นเพื่อนครอบครัวของบ๊วยไปพร้อมๆกับอยู่รอเจอหน้าเพื่อน หรือพี่ๆคนไหนที่อาจจะหาทางกลับมาที่ไร่ได้ก่อนน่ะ”

“แล้วพี่ฌานล่ะครับ?... พี่ฌานจะไม่คอยพวกนั้นอยู่ด้วยกันเหรอ?” น้ำเสียงของหนุ่มหน้าแว่นฟังสร้อยเศร้าระคนหวาดหวั่นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด... ถึงฝีปากของเจ้าตัวจะจัดว่าร้ายกาจ แต่ในยามที่สถานการณ์ผิดความคาดหมายไปไกลเช่นนี้...มิตรสหายอย่างสกล ก็เป็นห่วงเพื่อนรักทุกคนอย่างไม่น้อยหน้าใครเหมือนกัน

“ไม่ล่ะ... พี่ฌานอยากไปช่วยพี่โป่งตามหาพวกนั้นอีกแรง” ร่างทรงหนุ่มยืนยันความตั้งใจด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเสียจนสกลไม่อาจทัดทานอีกฝ่ายเอาไว้ได้ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะปล่อยให้เพื่อนรักเดินเข้าป่าโดยไม่เตรียมความพร้อมเสียหน่อย

“ถ้างั้นก่อนไป... พี่ฌานกินอะไรเสียก่อนดีไหมครับ?...
.
...เดี๋ยวผมจะไปบอกแม่บ้านให้ช่วยเตรียมอาหารกลางวันเผื่อเอาไว้ให้กลุ่มที่ออกตามหาด้วยเลย” สกลเสนอแนะ และแน่นอน...แฝดพี่ก็ไม่คิดปฏิเสธความหวังดีของอีกฝ่ายอยู่แล้ว

“อืม ก็ดีเหมือนกัน”








“ไทรทอง... แล้วคุณจะเสกกระท่อมให้เจ้าสามคนนั้นทำไมกัน?...
.
...ก็คุณเองไม่ใช่เหรอที่บอกพระพิรุณท่านให้เสกพายุฝนเฉพาะการณ์ให้เจ้าพวกนั้นไปเมื่อครู่?" เจ้าพ่อห่อไหล่รบเร้าขอคำตอบจากเจ้าพ่อไทรทองด้วยไม่อาจเข้าใจถึงเจตนาซ่อนเร้นของอีกฝ่ายได้ทะลุปรุโปร่ง

ฝ่ายเทวบุตรสุดชิคที่ยังนัวเนียไม่ห่างจากกายละเอียดของโฮลี่ฮิปสเตอร์ก็ยิ้มพราย
ก่อนจะบอกใบ้จุดมุ่งหมายของสถานการณ์ต่างๆที่จัดเตรียมเอาไว้ให้สามหนุ่มเสียดิบดี


“ก็เพราะทั้งสามคนนั่น จะต้องติดอยู่ในป่าด้วยกันทั้งคืนยังไงล่ะครับเบ๊บ”

“?!?” สีหน้าตระหนกพร้อมๆกับอาการผงะนะจังงังของบุตรแห่งเทพประจำมหาวิทยาลัยทำให้เจ้าพ่อไทรทองระบายยิ้มออกมาอีกครั้ง

“หึ หึ หึ ไม่ต้องเป็นกังวลไปนะครับเบ๊บ...
.
...เพราะเจ้าพวกนั้นไม่ใช่กลุ่มเดียวที่จะต้องพักค้างอ้างแรมกลางป่าเขาลำเนาไพรในคืนนี้” เทพสายบุ๋นจั่วหัวถึงหัวใจสำคัญของแผนการอันลึกล้ำด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์

“แล้วเจ้าพวกนั้นจะปลอดภัย ไม่หิว ไม่ป่วยไปก่อนเหรอครับ?...
.
...สรุปแล้ว เราสองตนกำลังล้างพรหรือสร้างบาปกรรมกับเจ้าพวกนั้นกันแน่ครับไทรทอง?” โฮลี่ฮิปสเตอร์รำพึงรำพัน

“ทั้งหมดที่เบ๊บพูดมา... ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเลยครับ... 
.
...เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดภายในป่า ต่างพร้อมจะให้ความคุ้มครองเจ้าลูกมนษย์เหล่านั้นเป็นอย่างดี ให้สมกับที่เราทั้งสองตนอุตส่าห์จัดงานเลี้ยงสังสรรค์แบ่งปันบุญบารมีให้เทพแต่ละองค์ไปเมื่อสองคืนก่อนยังไงล่ะครับเบ๊บ” เทวบุตรสุดชิคพาดคางลงบนลาดไหล่บางของเจ้าพ่ออีกองค์พลางกระซิบเฉลยมาตรการด้านความปลอดภัยที่เขาเตรียมการเอาไว้อย่างรัดกุม

ได้ยินดังนั้น...
เจ้าพ่อห่อไหล่ซึ่งเอนกายพิงอ้อมอกอีกฝ่ายก็ผินหน้ามองเสี้ยวพักตร์ของเจ้าพ่อไทรทองด้วยสายตาตื่นตะลึงปนหมั่นไส้
ก่อนจะออกปากตำหนิติเตียนเทวบุตรสุดชิคด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า


“คุณนี่เจ้าเล่ห์แท้เชียว!

คำพูดต่อว่าที่ขัดแย้งกับใบหน้าแต้มยิ้มพิมพ์ใจ และสายตาสุกใสของเจ้าพ่อห่อไหล่แบบสุดขั้วที่เพิ่งได้ยินไปเมื่อครู่
ทำให้เจ้าพ่อไทรทองอดรู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้  
ไหนๆก็ไหนๆ...ขอหยอดอีกฝ่ายให้แน่ใจว่าแต้มบุญที่เสียไปหลายล้านหน่วยจะไม่สูญเปล่าเสียหน่อยเถอะ


“หึ หึ หึ บันยันบอกแล้วยังไงล่ะครับเบ๊บ ว่าบันยันทำได้ทุกอย่างเพื่อเบ๊บ... เพื่อเบ๊บของบันยันแต่เพียงตนเดียว” ยังไม่ทันจบประโยค ริมฝีปากของเทวบุตรแห่งย่านปทุมวัน ก็ประทับลงบนหลังมือของเจ้าพ่อห่อไหล่ในทันที... จริงๆแล้ว เทพบุตรหนุ่มหวังที่จะหอมปรางนวลที่หอมรัญจวนใจ แต่เดี๋ยวจะโดนอีกฝ่ายแฮ่มใส่จนอดกินทั้งเปรี้ยวและหวานไปเสียก่อน

“ขอบคุณมากนะครับไทรทอง” โฮลี่ฮิปสเตอร์กล่าวด้วยความซาบซึ้ง ทว่าผู้ฟังกลับส่ายหน้าดิก

“...ฮื่อ... ไม่เอาครับ...ไม่เรียกบันยันว่าไทรทองแล้วได้ไหม?...
.
...ไหนเบ๊บลองเปลี่ยนมาเรียกบันยันให้ชื่นหัวใจหน่อยได้ไหมครับ?” เจ้าพ่อไทรทองออดอ้อนเสียงอ่อนเสียงหวาน ไม่เท่านั้น... เขายังหมั่นส่งสายตาเกี้ยวพาราสีไปให้อีกฝ่ายโดยไม่เว้นระยะ

“ขอเวลาผมหน่อยนะครับไทรทอง” เจ้าพ่อห่อไหล่ต่อรองจนบุตรแห่งเทพอีกองค์ร้องครางพร้อมตั้งท่าคัดค้านหัวชนฝา

“ฮื่อออออ... แล้วบันยันจะต้องรอไปอีกนานเท่าไรกันล่ะครับเบ๊บ?”

“เอาไว้ให้เจ้าพวกนั้นกลับบ้านได้เมื่อไร... ผมจะตามใจคุณทุกเรื่องเลยครับไทรทอง” หลังจากรวบรวมความกล้าเอ่ยประโยคเมื่อครู่ออกไปได้สำเร็จ โฮลี่ฮิปสเตอร์ก็เบือนหน้าหลบสายตาเบิกกว้างของอีกฝ่ายไปอีกทางทันที  

ฝั่งผู้ฟัง...ด้วยอารามดีใจ
เจ้าพ่อไทรทองจึงกระชับวงแขนจนเจ้าพ่อห่อไหล่กระเถิบเข้ามาแนบชิดประหนึ่งไม่คิดจะปล่อยอีกฝ่ายให้หลุดมือไปไหน
ก่อนจะละล่ำละลักทวนคำของเทพหนุ่มอีกองค์ด้วยน้ำเสียงเปี่ยมสุขยิ่งกว่าถูกล็อตโต้บุญแบบแจ็คพ็อตเสียอีก


“เบ๊บรู้ใช่ไหมครับว่าเบ๊บเพิ่งพูดอะไรออกมา?!!” แค่รับรู้ได้ว่าผู้ฟังพยักหน้าน้อยๆให้ เขาก็ฉวยโอกาสวินาทีหยุดโลกนี้ เดินหน้าซักไซ้เจ้าพ่อห่อไหล่ต่อทันที “ทุกเรื่องเลยนะจริงๆนะครับ?”

“ผมเป็นบุตรแห่งองค์มหาเทพนะครับไทรทอง... ผมไม่เคยโกหก” โฮลี่ฮิปสเตอร์ที่ปรับสีหน้าเป็นปกติได้แล้วหันกลับมาส่งสายตาดุๆให้กับเจ้าพ่อไทรทองเพื่อลดความเก้อเขินที่รู้สึกอยู่ภายใน

แต่ดูเหมือนว่า...อาการดีใจจนออกนอกหน้าของอีกฝ่าย
จะทำให้รอยยิ้มหวานที่อุตส่าห์กลั้นแทบตาย กลับเผยออกมาประดับบนใบหน้างดงามไร้ที่ติของบุตรแห่งเทพสายบุ๋นอย่างง่ายดายผิดความตั้งใจไปเสียฉิบ


Oh My Buddah!!!!  บันยันดีใจที่สุดในโลกเลยครับเบ๊บ!!!” เจ้าพ่อไทรทองโห่ร้องด้วยความยินดีปรีดา พลางส่งกระแสจิตภาวนาให้ความใกล้ชิด ช่วยทำให้บรรดาลูกมนุษย์ทั้งหลายเปิดใจให้กับคู่หมายของตนกันเสียวันนี้พรุ่งนี้


Ħ------------------------------------------------------------------------Ħ


บูบู้... บูบู้รอเค้าด้วยสิครับ!!” เก็กตะโกนไล่หลังร่างผอมที่เดินตัวปลิวนำเขาห่างไปหลายช่วงตัว

ด้วยความกลัวว่าหากปล่อยให้เรื่องนี้ยิ่งคาราคาซังอีกฝั่งคงจะคิดมากจนไม่เป็นอันทำอะไร
ร่างสูงสมส่วนของอดีตเดือนมหาลัยก็สับเท้าไล่กวดชายกลางจนทันกันตรงอีกฟากของลำธาร


“เราต้องคุยกันนะครับบูบู้!” ธันวาพูดพลางยื้อแขนของอีกฝ่ายเอาไว้เพื่อให้หันมาสบตาและตั้งหน้าพูดคุยกันอย่างเป็นกิจลักษณะ

“พี่หมีไปคุยกับคุณอิ๊กให้จบก่อนเถอะครับ เดี๋ยวเค้าไปนั่งรอตรงโน้นก่อนก็ได้” บ๊วยตอบด้วยน้ำเสียงเจียมเนื้อเจียมตัวพลางพยักเพยิดไปยังทิศทางที่ตนกำลังจะมุ่งหน้าไปหลบเลียแผลใจเพื่อทำให้อีกฝ่ายคลายความเป็นห่วง  

ส่วนเก็กที่เห็นสีหน้าท่าทางถอดใจของอีกฝ่าย ก็อดยกมืออีกข้างขึ้นเกาท้ายทอยด้วยความหงุดหงิดไม่ได้...
นั่น! ยังไม่ทันไร แฟนตัวน้อยของเขาก็ออกอาการห่อเหี่ยวเสียแล้ว


“ไม่! เค้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ถ้าเรายังคุยกันไม่รู้เรื่อง” อดีตเดือนมหาลัยยืนกระต่ายขาเดียว แล้วจึงผ่อนลมหายใจปรับอารมณ์ให้เย็นลง ก่อนตะล่อมถามชายกลางด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ไหนครับบูบู้... ลองบอกเค้าซิว่าตอนนี้บูบู้คิดอะไรอยู่?”
.
.
.
.
.
.
.
“ก็... คิดว่าคุณอิ๊กอาจจะอยากกลับมาหาพี่หมี... อยากกลับมาคบกันเหมือนเมื่อก่อนครับ” คนพูดที่ก้มหน้ามองปลายเท้ากล่าวอย่างไม่เต็มเสียงนัก คนฟังจึงต้องเพิ่มความพยายามทำความเข้าใจกับความคิดของหนุ่มสถาปัตย์ขึ้นอีกเท่าตัว

“แล้วอะไรอีกครับ?”
.
.
.
“...แล้วก็คิดว่า...” ความไม่มั่นใจในตัวเอง และความรู้สึกของอีกฝ่ายที่มีต่อบุคคลที่สามซึ่งแสดงทีท่าอาลัยอาวรณ์ต่ออดีตเดือนมหาลัยอย่างไม่คิดปิดบัง... ทำให้บ๊วยหลุดอาการหลุกหลิกออกมาอย่างเห็นได้ชัด

“คิดว่าอะไรครับบูบู้?” เก็กซักพลางคลายน้ำหนักจากปลายนิ้วที่กระทบต้นแขนของอีกฝ่ายให้เบาลงเพื่อลดความกดดันของสถานการณ์ทางอ้อม
.
.
.
.
.
.
“...คิดว่าเรื่องระหว่างเรา อาจเป็นแค่ความเข้าใจผิดเพียงชั่วคราวเท่านั้น... 
.
...เพราะตอนนี้...พี่หมียังอยู่ภายใต้อิทธิฤทธิ์จากพรของเจ้าพ่อไทรทอง...
...พี่หมีเลยอาจจะสับสนว่า ความผูกพันที่เกิดขึ้นตลอดเวลาที่เราสองคนอยู่ด้วยกัน คือ ความรู้สึกที่เจ้าพ่อได้เสกให้หายไปจากหัวใจ ของพี่หมีก็ได้” ร่างผอมพรั่งพรูความรู้สึกอัดอั้นตันใจที่เอ่อล้นขึ้นมาหลังจากได้เห็นเหตุการณ์ระลึกความหลังของอดีตคู่รักตำตาไปเมื่อครู่...

รู้ทั้งรู้ว่าธันวาไม่ได้เล่นด้วย...
แต่ความรู้สึกห่วงหาอาวรณ์คนรักเก่าของหนุ่มหน้าสวยอดีตเดือนบริหารอันรุนแรงผิดปกติทำให้บ๊วยได้ฉุกคิด...

หรืออิทธิฤทธิ์ของพรแห่งเจ้าพ่อ จะผนึกความรู้สึกรักใคร่ใยดีต่อแฟนเก่าของอดีตเดือนมหาลัยเอาไว้
จนเก็กไม่รู้สึกอะไรกับคนที่ตนเคยรักและผูกพัน แล้วเกิดเข้าใจผิดไปว่า... ตัวเขาหมดรักอิ๊กไปแล้วโดยสิ้นเชิง?

แต่หากคนตรงหน้าได้รับความรักคืนสมดังตั้งใจเมื่อไร... ชายกลางจะแน่ใจได้อย่างไรว่า
ความรู้สึกที่ธันวามีต่ออิ๊กซึ่งหล่นหายไปเพราะอำนาจของเจ้าพ่อไทรทองจะไม่หวนสู่หัวใจของหนุ่มวิศวะอีกครั้ง?!!


“บูบู้ฟังนะครับ...
.
...เค้าขอให้บูบู้วางความรู้สึกกังวลรุ่มร้อนทั้งหลายลงเสียก่อน...
...ช่วยเปิดใจรับฟัง และได้โปรดจงเชื่อในความจริงที่เค้ากำลังจะบอกกับบูบู้ทุกๆคำนับจากนี้” อดีตเดือนมหาลัยอ้อนวอนพลางส่งสายตาจริงจังสำทับไปอีกคำรบ

“ถึง ความรู้สึกสุดพิเศษ นั้นจะถูกลบออกไปจากหัวใจของเค้า...
.
...แต่เชื่อเถอะครับว่า แม้เค้าจะยัง รักไม่ได้...
...แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ความสัมพันธ์ของเราสองคน อยู่บนพื้นฐานของการโกหกตัวเองเสียเมื่อไร”

“...แต่...     ก่อนที่บ๊วยจะให้เหตุผลหักล้าง ธันวาก็เลื่อนมืออีกข้างไปปิดริมฝีปากของอีกฝ่ายเอาไว้เสียก่อน...

แววตาต่อต้านของชายกลางที่เห็นตำตา
ผลักดันให้เก็กต้องยอมเผย ความรู้สึกต้องห้าม ที่เจ้าตัวพยายามหลีกเลี่ยงมาโดยตลอดเข้าจนได้...
ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ เห็นทีว่า...การบอก รักน่าจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้อีกฝ่ายได้ดีกว่าการกระทำเป็นไหนๆ... แต่เขาควรพูดอย่างไร เพื่อบอกควาในใจให้อีกฝ่ายรับรู้ได้จนหมดโดยไม่ช็อกตาตั้งไปเสียก่อน?!!  

หลังจากใช้เวลาประมวลผลอยู่ครู่ใหญ่
ทางออกที่แยบยลและน่าจะได้ผลกับคนมีปัญหากับความรักเป็นที่สุดอย่างตัวเขา...ก็โผล่วาบเข้ามาในสมอง


“เอาอย่างนี้... เรามาทำความเข้าใจเรื่องระหว่างเราด้วยสิ่งที่จับต้องได้มากที่สุดก่อนก็แล้วกันนะครับ” หนุ่มรูปงามว่าพลางเปลี่ยนท่วงท่าในการสนทนาของเขาทั้งคู่เสียใหม่ โดยจับร่างผอมให้หันหน้าเข้าหาตัวก่อนจะเอื้อมมือไปกอดเอวอีกฝ่ายเอาไว้หลวมๆ

“บูบู้ครับ  การที่บูบู้จะยอมให้ใครสักคนสัมผัส คลุกวงในอย่างใกล้ชิด หรือปล่อยให้คนๆนั้นคอยคลอเคลียอยู่ไม่ห่าง...
...เป็นเพราะเหตุผลข้อไหนกันครับ?” อดีตเดือนมหาลัยเพิกเฉยต่อสีหน้างุนงงขอคนฟังแล้วเว้นวรรคสั้นๆเพื่อให้อีกฝ่ายได้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง  
.
.
.
.
.
“เพราะคนๆนั้นเล่นบทแฟนจอมปลอมของบูบู้อยู่หรือเปล่า?” บ๊วยมีสีหน้าลังเล...

ก่อนหน้านี้ที่โดนอีกฝ่ายจูบต่อหน้าธารกำนัล ธันวาก็อ้างว่าเพื่อความแนบเนียนและสมจริง...
แม้ภายหลังจะได้เปิดใจเคลียร์กันไปแล้วก็เถอะ ชายกลางก็อดสับสนไม่ได้   
ทว่าการแสดงอารมณ์ดังกล่าว ไม่ได้ทำให้เก็กหมดกำลังใจ


“หรือเป็นเพราะบูบู้รู้สึกผูกพันกับคนๆนั้นมาเนิ่นนาน...
...เพราะความสงสาร เพราะความเห็นอกเห็นใจอีกฝ่าย จนบูบู้สามารถยอมให้คนๆนั้นทำอะไรกับบูบู้ก็ได้อย่างนั้นหรือเปล่าครับ?” เมื่อเห็นหนุ่มสถาปัตย์ส่ายหัว ความกลัวของอดีตเดือนมหาลัยก็ลดน้อยลงไปทุกทีๆ

“แล้วถ้าลองแทนที่คนๆนั้นด้วยผู้ชายคนอื่น...
.
...บูบู้จะทำทุกอย่างเหมือนตอนที่อยู่กับเค้าหรือเปล่าครับ?...
...บูบู้จะยอมให้คนๆนั้นกอด...หอม หรือกระทั่งยอมให้จูบบูบู้ได้ตามใจโดยไม่คิดอะไรทีหลังหรือเปล่าครับ?” ยังไม่ทันขาดคำ ฝั่งที่ทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดีมาโดยตลอดก็ส่ายหัวดิก

“ไม่ครับพี่หมี... ต้องเป็นพี่หมีคนเดียวเท่านั้น” บ๊วยแย้งอย่างหนักแน่น จนหนุ่มรูปงามยิ้มแป้นเพราะเริ่มจะใจชื้น

“ทำไมล่ะครับบูบู้? ทำไมถึงเป็นคนอื่นไม่ได้?” เก็กไม่ปล่อยโอกาสอันดีให้หลุดลอยไป... อดีตเดือนมหาลัยจี้ต่อไม่รอเวลา อีกฝ่ายก็สวนตอบกลับมาอย่างทันควันด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ

“เพราะของแบบนี้... ไม่ใช่จะทำกับใครก็ได้”

“บูบู้รู้อะไรไหมครับ... เค้าเองก็คิดเหมือนบูบู้ไม่มีผิด” ธันวาสารภาพด้วยความโล่งอก...

ประโยคยืนยันสั้นๆ ทว่าแฝงความหมายยิ่งใหญ่ที่อดีตเดือนมหาลัยเพิ่งเอ่ยให้บ๊วยได้รับฟัง
ทำให้อีกฝ่ายชั่งตวงวัดความรู้สึก และย้อนนึกภาพตามจนเริ่มจะเข้าใจอะไรๆได้มากขึ้น
แต่เก็กยังเหลือบางอย่างที่ค้างคาใจ... ซึ่งเขาแอบหวังเอาไว้ลึกๆว่า เมื่อชายกลางได้ยินสิ่งที่เขากำลังจะเอ่ยในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า เรื่องทั้งหมดจะลงเอยด้วยความผาสุกได้เสียที


“ในเมื่อความสัมพันธ์ของเรายังย่ำอยู่กับที่...
...แถมยังมีเรื่องไม่เป็นเรื่องมาคอยกวนใจ ทำให้ความคิดของเราสวนทางกันครั้งแล้วครั้งเล่า...
...คงถึงเวลาที่เค้าจะต้องบอกความลับที่ไม่เคยบอกใครมาก่อนในชีวิตให้บูบู้ฟังเสียแล้วล่ะ”

“ความลับ?” บ๊วยแปลกใจ

“ฮื่อ! ความลับที่น่าอับอายของเค้าเองครับ...
.
...ไหนบูบู้ลองบอกเค้าซิว่า...
...หลังจากที่เราจูบกันเมื่อคืนวันลอยกระทง เกิดเหตุการณ์น่าสยดสยองอะไรขึ้นหลังจากนั้นกันครับ?”

“พี่หมีอ้วกรดคนอื่นจนซุ้มล่มครับ” หนุ่มสถาปัตย์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม...

แม้เหตุการณ์ดังกล่าวจะเป็นโศกนาฏกรรมฉากใหญ่
แต่พอมองย้อนกลับไป...บ๊วยก็อดขำตัวเองน้อยๆไม่ได้อยู่ดี เพราะทั้งที่แฟนในนามกำลังทรมานกับอาการคลื่นไส้โดยไร้สาเหตุ แต่เขากลับทำได้แค่สังเกตอาการทุรนทุรายของเหยื่อทั้งหลายด้วยสายตาเบลอๆเท่านั้น...
รสจูบของอีกฝ่ายมันช่างมีอิทธิพลกับหัวใจของเขาเหลือเกิน


“นั่นแหละ... ความลับของเค้า” ประโยคอ้อมแอ้มของอดีตเดือนมหาลัยเบรคภาพแฟลชแบ็คของบ๊วยได้อย่างชะงัดนัก... ธันวาต้องการบอกอะไรกับเขากันแน่?   

“นอกจากพรที่เฮียฟูขอกับเจ้าพ่อไทรทองจะทำให้เค้ารักใครไม่ได้แล้ว...
.
...ผลพวงจากพรนี้ ยังทำให้ทุกครั้งที่เค้าปรารถนาในตัวผู้ชายคนไหน หรือเมื่อไรก็ตามที่เค้าคิดอกุศลกับคนๆนั้น...
...ร่างกายของเค้าก็จะแสดงอาการผิดปกติออกมาเสมอ...
...ทั้งตด... ทั้งเรอ ทั้งอ้วก หรือบางครั้ง...ก็ร้ายแรงถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อไปเลยก็มี” บ๊วยถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูกไปชั่วขณะ หลังได้ยินถ้อยคำอธิบายอย่างหมดเปลือกของอีกฝ่าย  แต่สุดท้าย...ชายกลางก็เก็บเอาความสงสัยเอาไว้กับตัวไม่ได้อีกต่อไป

“จริงเหรอครับพี่หมี?!!

“ครับ... แต่พอเค้ามาเจอบูบู้ ได้ทำความรู้จักจนเค้าไม่อาจหักห้ามความรู้สึกเกินเลยกว่าเพื่อนเอาไว้ได้...
...ต่อให้เค้าจะรู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองจะมีจุดจบน่าทุเรศขนาดไหนในสายตาคนอื่น...
...หรือต่อให้เค้าต้องทรมานกับอาการผิดปกติต่างๆ เค้าก็ยังอยากจะเข้าใกล้บูบู้โดยไม่เคยรู้สึกเข็ดหลาบเลยสักนิด” เก็กแบไพ่จนหมดหน้าตัก “ทีนี้บูบู้เข้าใจสิ่งที่เค้าต้องการจะสื่อแล้วหรือยังครับ?”

ร่างผอมพยักหน้ารัวๆแทนการเจรจา...
ความรู้สึกยินดีที่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดเห็นเช่นไร ทำให้ความรู้สึกสะเทิ้นเขินอายเข้าทำลายฟังก์ชันในการวางตัวตามปกติของบ๊วยจนป่วยเป๋เรรวนไปชั่วขณะ


“เค้าขอโทษนะ ที่วันนี้...เค้ายังบอกความรู้สึกนั้นเพื่อย้ำให้บูบู้มั่นใจร้อยเปอร์เซนต์ไม่ได้...
.
...แต่เชื่อเถอะครับว่า เค้าไม่ได้รู้สึกแบบนี้กับใครอีกแล้ว...
...กระทั่งอิ๊กก็ตาม”

ถ้อยคำ น้ำเสียงและสีหน้าจริงจังจริงใจของอดีตเดือนมหาลัย
มีค่าเหนือกว่าคำบอกรักในอุดมคติที่บ๊วยเคยวาดหวังเอาไว้ในใจอย่างเทียบกันไม่ติด...
ที่ผ่านมา เขาคิดมากจนทำให้อีกฝ่ายหนักใจพอดูเลยใช่ไหมนี่?!!


“ขอบคุณครับพี่หมี... ขอบคุณที่ไว้ใจ และขอบคุณที่อดทนกับคนไม่มั่นใจอย่างเค้ามาโดยตลอด” ชายกลางเอ่ยด้วยความซาบซึ้งพลางส่งยิ้มที่ทำให้ตาคนมองพร่าไปชั่วขณะมาให้ด้วยความเต็มอกเต็มใจ...

ไม่เสียแรงที่แบไต๋ความลับน่าอับอายให้อีกฝ่ายได้รับฟัง
เพราะสิ่งที่เก็กเฝ้ารอคอยมาโดยตลอดก็ผลิดอกออกผลงดงามทำให้เขาชื่นใจได้ในที่สุด


“ทีนี้ก็มั่นใจในตัวเองได้แล้วนะครับ... เค้าไปไหนไม่รอดแล้วล่ะบูบู้” อดีตเดือนมหาลัยหยอกเย้าพลางส่งยิ้มเต็มหน้าคืนให้ชายกลางด้วยความโล่งใจหาใดเปรียบ

“ฮื่อ... ขอบคุณครับพี่หมี ขอบคุณมากๆครับ”...คำพูดล้อเล่นที่แฝงความหมายจริงจังของอีกฝ่าย ทำให้บ๊วยดีใจจนไม่อาจกลั้นน้ำตาแห่งความปีติเอาไว้ได้อีกต่อไป...

ในที่สุด...มนุษย์กลางๆจืดจางไม่มีใครเกินอย่างเขา ก็กลายเป็นคนที่อดีตเดือนมหาลัยตัดสินใจเลือกคบหา
ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นหยาดน้ำตาร่วงพรูออกมาเป็นสายอาบสองแก้มของแฟนตัวน้อย ธันวาเลยปล่อยมุกเพิ่มเพื่อปรับเปลี่ยนสถานการณ์ให้ดีขึ้น


“เป็นแฟนพี่หมีต้องอดทน... ถูกรถวิ่งชนต้องไม่ร้องไห้นะครับ” ธันวาใช้ประคองใบหน้านองน้ำตาของบ๊วยขึ้นมาด้วยความทนุถนอม ก่อนจะใช้ปลายนิ้วโป้งทั้งสองไล้ปาดหยาดน้ำตาให้แห้งอย่างเบามือ

ทว่าความพยายามในการเปลี่ยนโทนของเก็กกลับสวนทางกับปฏิกิริยาของบ๊วยโดยสิ้นเชิง
เพราะอดีตเดือนมหาลัย...ไม่เคยล่วงรู้มาก่อนว่า ร่างผอมไม่อาจควบคุมน้ำตาเอาไว้ได้ในยามที่ตนดีใจเป็นที่สุด


โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ!

ยิ่งเก็กโอ๋ตนมากขึ้นเท่าไร... บ๊วยก็ยิ่งเป่าปี่ด้วยความดีใจดังขึ้นเท่านั้น

“อ้าวเฮ่ย! ไหงยิ่งปลอบยิ่งร้องละครับบูบู้... โอ๋ โอ๋... ไม่ร้องนะ ไม่ร้องแล้วนะ... ไหนฮึบซิ... ฮึบ ฮึบ!” คนปลอบก็ปลอบด้วยน้ำเสียงติดตลกพลางเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่ายจนมือไม้แทบพันกัน  ในขณะที่คนร้องก็ยังไม่อาจสงบจิตสงบใจลงได้ทั้งที่ไม่อยากทำให้อีกฝ่ายตกใจยิ่งไปกว่านี้


ฮือออออออออออออออออออออ!!


ระหว่างที่ทั้งสองหนุ่มกำลังแผ่ออร่าสวีทหวานโทนชมพูอมม่วงพาสเทลใส่กันลั่นป่าอยู่นั้น...
บุคคลที่สามผู้ซึ่งไม่เป็นที่พึงประสงค์ของสมการรักฉบับอดีตเดือนมหาลัยและชายกลาง  ก็ออกเดินตามรอยเท้าของคู่รักหมาดๆเพื่อมาอาละวาดและสร้างความร้าวฉานให้เกิดขึ้นอีกครั้ง... นัยว่ารอบบนี้  อิ๊กในโหมดโสดใสไร้สติ...จะขยี้หัวใจของบ๊วยให้ย้วยกันไปข้างเลยทีเดียว

อนิจจา... เป็นเพราะพลังวิเศษของเจ้าพ่อห่อไหล่ที่จงใจบันดาลโอกาสให้บ๊วยกับเก็กได้ปรับความเข้าใจกัน
ทำให้ขณะที่อดีตเดือนบริหารเดินผ่านมายังลำธารที่หนุ่มสถาปัตย์เกริ่นนำเอาไว้นั้น ร่างบางจึงไม่มีโอกาสมองเห็นคู่รักที่ปลอบประโลมกันอยู่อีกฟากหนึ่งของลำธารได้แม้แต่เงา... แถมซาวด์ประกอบก็ถูกเซนเซอร์ออกไปเสียอีก  

จิตใจภายในที่เปี่ยมไปด้วยสติสตังอันพรั่งพร้อมของอคิราเลยเดาเอาว่า...
ค่าที่ตนเล่นใหญ่รับบทมารหัวใจโดยไม่ปิดบัง ทำให้คู่รักที่แสนแตกต่างแห่งปีตัดหางปล่อยวัดทิ้งตนให้ผจญภัยในป่ากว้างเพียงลำพังเข้าให้แล้ว ร่างบางเลยนั่งแกร่วทอดอาลัยมองสายธารไหลเอื่อยๆอยู่อย่างนั้น ด้วยไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปพึ่งใคร




”พ่อฌอนเร่งฝีเท้าอีกสักนิดเถอะขอรับ...
.
...ตอนนี้ คนน่ารักกำลังรู้สึกสิ้นหวังและโดดเดี่ยวอย่างสุดประมาณแล้วขอรับพ่อฌอน...
...หากปล่อยคนน่ารักให้เผชิญกับอาถรรพ์ของป่าตัวคนเดียวนานกว่านี้  พี่พลายหวั่นใจเป็นล้นพ้นว่า...คนน่ารักน่าอาจจะเตลิดเปิดเปิงหายเข้าป่าลึกไปกันใหญ่น่ะขอรับ”
”อดทนหน่อยนะอิ๊ก... ผมกำลังจะไปหาคุณแล้ว” ร่างสูงใหญ่ขับไล่ความรู้สึกอ่อนเปลี้ยระหว่างเร่งฝีเท้าให้เร็วยิ่งขึ้น...เพื่อที่เจ้าของนัยน์ตาหวานฉ่ำ กับริมฝีปากอ่อนนุ่มคนนั้น จะไม่ต้องต่อสู้กับฝันร้ายเพียงคนเดียวอีกต่อไป




Ħ------------------------------------ TBC ------------------------------------Ħ






No comments:

Post a Comment